#TU


TU ซื้อหุ้นคืน 3 พันล้าน โบรกเล็งราคาเฉลี่ย15บาท

TU ซื้อหุ้นคืน 3 พันล้าน โบรกเล็งราคาเฉลี่ย15บาท

หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอ ระบุว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน วงเงินไม่เกิน 3 พันล้านบาท และจำนวนหุ้นซื้อคืนไม่เกิน 200 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.5% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัท โดยกำหนดระยะเวลาซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค. - 30 มิ.ย. 2025 (ที่มา: SET) มีมุมมองเป็นบวก โดยแผนซื้อหุ้นคืนดังกล่าว imply ราคาซื้อคืนเฉลี่ย 15 บาท/หุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาปัจจุบันราว +17% ทำให้มองว่าจะเป็น sentiment เชิงบวกต่อราคาหุ้นได้ สำหรับแนวโน้ม 4Q24E เบื้องต้นเราประเมินกำไรปกติจะโต YoY, QoQ หนุนโดยธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปและธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงขยายตัวต่อเนื่อง คงกำไรปกติปี 2024E/25E ที่ 5.3 พันล้านบาท/5.6 พันล้านบาท (+6% YoY/+6% YoY) คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 18.50 บาท อิง SOTP

TU โชว์กำไรสุทธิ Q3 1,400 ลบ. จากกำลังซื้อ-ราคาวัตถุดิบ หนุน

TU โชว์กำไรสุทธิ Q3 1,400 ลบ. จากกำลังซื้อ-ราคาวัตถุดิบ หนุน

          หุ้นวิชั่น - บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ TU  รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ปี 2567 การเพิ่มขึ้นของยอดขาย โดยเป็นผลจากการเติบโตจากการดำเนินงานปกติ (Organic) ประกอบกับมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงสุด พร้อมทั้งบันทึกกำไรสุทธิที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง - บริษัทฯ รายงานยอดขายอยู่ที่ 34,840 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการดำเนินงานปกติที่เพิ่มขึ้น 3.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านอัตราแลกเปลี่ยนมีผลกระทบเชิงลบต่อยอดขายรวมเล็กน้อยที่ 0.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน - อัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดที่ 19.5% เนื่องจากการฟื้นตัวของความต้องการซื้อในหลายภูมิภาคและราคาวัตถุดิบที่ลดลง - กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,400 ล้านบาท โดยมีกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.30 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 4.4% และ 8.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ ซึ่งเติบโตอย่างแข็งแกร่งเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน ทั้งนี้หากไม่รวม transformation costs กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญที่ 21.8% มาอยู่ที่ 1,634 ล้านบาท - กระแสเงินสดอิสระของบริษัทฯ ยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน โดยมีกระแสเงินสดจำนวน 8,052 ล้านบาทสำหรับงวดเก้าเดือนแรกของปี 2567 และอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับที่ดีที่ 0.79 เท่า           ทั้งนี้ในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2567 บริษัทฯ รายงานผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ยอดขายและปริมาณขายเพิ่มขึ้น 2.7% และ 3.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์มาอยู่ที่ระดับ 18.5% ในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2567 ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารปรับตัวสูงขึ้น 10.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจาก transformation costs ของกลุ่มบริษัท รวมถึงค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่เพิ่มขึ้นตามกลยุทธ์ของบริษัทเพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบุคลากรที่เพิ่มขึ้น ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าเพิ่มขึ้น 16.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจาก Avanti Group และ Lucky Union Foods ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น 13.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2567 บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 380 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ ไม่ได้รับประโยชน์ทางภาษีจาก RL หลังจากการบันทึกรายการด้อยค่าเต็มจำนวนจากการลงทุนทั้งหมดใน RL ในไตรมาส 4 ปี 2566 ด้วยเหตุนี้ กำไรสุทธิฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งมาอยู่ที่ 3,772 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิตามที่ปรับปรุงในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2566 ซึ่งไม่รวมส่วนแบ่งขาดทุนและรายได้ภาษีเงินได้จาก RL