#TOP


TOP ย้ำชัดCFPเดินต่อได้ ปันผลปกติไม่ต้องเพิ่มทุน

TOP ย้ำชัดCFPเดินต่อได้ ปันผลปกติไม่ต้องเพิ่มทุน

          หุ้นวิชั่น - TOP เคลียร์เงินลงทุนเพิ่มในโครงการ CFP มาจากเงินสด รวมทั้งการออกหุ้นกู้และเงินกู้ยืม บริษัทฯ เชื่อมั่นว่ามีแหล่งเงินเพียงพอเดินหน้าโครงการฯ ยันไม่ต้องเพิ่มทุน พร้อมจ่ายปันผลตามผลประกอบการปกติ “บัณฑิต” ย้ำ กระบวนการทำงานยึดหลักสากล โปร่งใส และเป็นธรรม แม้อัตราผลตอบแทน IRR ลดเหลือ 7% แต่ยังสูงกว่าต้นทุน  นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)หรือ TOP เปิดเผยว่า สำหรับงบประมาณลงทุนส่วนเพิ่มของโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project หรือCFP) ประมาณ 63,028 ล้านบาท ที่บริษัทฯ จะใช้ในการดำเนินการก่อสร้าง บริษัทฯ มีแผนจัดหาเงินทุนประกอบด้วย 1. เงินสดคงเหลือและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2025-2027 2.การออกหุ้นกู้ หรือการกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งพิจารณาหาเครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ เช่น การออก ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน รวมถึงการบริหารจัดการทรัพย์สินให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยบริษัทขอยืนยันว่าไม่มีแผนการเพิ่มทุนจากการเพิ่มงบประมาณในการก่อสร้างโครงการในครั้งนี้แต่อย่างใด“บริษัทฯ มั่นใจว่างบประมาณที่ขอเพิ่มเติมเพียงพอต่อการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จ โดยได้ศึกษาและประเมินร่วมกับที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้วยความระมัดระวังว่าสามารถดำเนินโครงการนี้ได้ตามงบประมาณที่วางไว้บริษัทฯ จะบริหารจัดการงบประมาณให้ดีที่สุด อีกทั้งจากการศึกษาและประเมินของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระถึงแม้อัตราผลตอบแทนการลงทุนระดับโครงการในปัจจุบันจะลดลงจากการประเมินในช่วงการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย แต่ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าต้นทุนของกิจการ เมื่อโครงการเสร็จจะทำให้ไทยออยล์มีผลประกอบการทางการเงิน ทั้งในส่วนรายได้ ผลกำไร และฐานะทางการเงินดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นในระยะยาว” นายบัณฑิต กล่าว นายบัณฑิต กล่าวต่อไปอีกว่า การก่อสร้างโครงการฯ ที่ต้องเลื่อนออกไปกว่า 3 ปี เป็นผลมาจากการดำเนินงาน ขั้นตอนที่เหลือเป็นส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเชื่อมต่อระบบของโครงการฯ ที่มีความยุ่งยากและซับซ้อน ดังนั้นก่อนเปิดดำเนินการ จึงต้องทำการทดสอบระบบจนกว่าจะมั่นใจว่าสามารถเปิดดำเนินการได้ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ การก่อสร้างหน่วยกลั่นใหม่ที่ทำหน้าที่เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ โดยเปลี่ยนน้ำมันเตาและยางมะตอยให้เป็น น้ำมันอากาศยานและดีเซลไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนด เนื่องจากปัญหาการหยุดงานของกลุ่มบริษัทรับเหมาช่วงอัน เนื่องมาจากไม่ได้รับค่าจ้างค้างจ่ายจากผู้รับเหมาหลัก UJV ทำให้การดำเนินโครงการต้องสะดุดจนต้องปรับระยะเวลาดำเนินโครงการออกไป อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ บริษัทฯ ได้พยายามหาทางแก้ไขเพื่อให้การดำเนินงานกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุดเพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าต่อไปให้แล้วเสร็จ คาดว่าบริษัทฯ จะสามารถสรุปเวลาให้แน่ชัดขึ้นในปี 2568 นายบัณฑิต กล่าวอีกว่า การเพิ่มเงินงบประมาณก่อสร้างโครงการครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการจ่ายเงินปันผลของบริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมส่วนใหญ่มาจากเงินสดคงเหลือ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และการกู้ยืม ดังนั้นบริษัทฯ ยังคงพิจารณาจ่ายเงินปันผลตามนโยบายจ่ายปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิของงบการเงิน ภายหลังจากการหักทุนสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของ บริษัทฯ และตามกฎหมายได้ นายบัณฑิต กล่าวอีกว่า โครงการนี้เป็นโครงการขนาดใหญ่มีมูลค่าสูง บริษัทฯ ต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบ ในการตรวจรับงานและการจ่ายเงินโครงการฯ ต้องเป็นไปตามหลักสากลและเงื่อนไขในสัญญา มีการตรวจสอบความถูกต้องทั้งในส่วนปริมาณงานและคุณภาพงานจากผู้ที่เกี่ยวข้องทุกส่วน รวมทั้งจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการที่มีความเชี่ยวชาญในงานก่อสร้างเป็นผู้ประเมินและตรวจรับงาน และจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการฯ ให้การดำเนินการเป็นไปตามหลักสากลในการบริหารโครงการขนาดใหญ่ “ขอยืนยันว่าไทยออยล์ยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาลสำหรับการดำเนินธุรกิจกับผู้มีส่วนได้เสียอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีหน่วยตรวจสอบภายในเพื่อให้มั่นใจว่ากระบวนการทำงานต่าง ๆ เป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม” นายบัณฑิต กล่าวทิ้งท้าย ด้าน นางวนิดา บุญภิรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้านการเงินและบัญชี บมจ.ไทยออยล์ (TOP)  เปิดเผยถึง การเพิ่มงบประมาณลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด (CFP) อาจส่งผลให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ปรับลดลงจากที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 12% เหลือ 7% โดยเป็นผลจากการเพิ่มต้นทุนเงินลงทุนและดอกเบี้ย ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้พิจารณาร่วมกับที่ปรึกษาทางการเงินอิสระแล้วว่า แม้อัตราผลตอบแทนจะลดลง แต่ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าต้นทุนของกิจการ ขณะเดียวกัน อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ยังคงได้รับการบริหารให้อยู่ในกรอบที่กำหนดไว้ไม่เกิน 1 เท่า เพื่อรักษาความมั่นคงทางการเงินและเสถียรภาพในระยะยาว การดำเนินการดังกล่าวสะท้อนถึงความรอบคอบของบริษัทฯ ในการบริหารจัดการงบประมาณ และสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ถือหุ้นว่าโครงการ CFP จะส่งผลเชิงบวกต่อผลประกอบการของบริษัทฯ ในอนาคต

บอร์ด TOP ไฟเขียวเพิ่มงบประมาณ เร่งเดินหน้าโครงการ CFP

บอร์ด TOP ไฟเขียวเพิ่มงบประมาณ เร่งเดินหน้าโครงการ CFP

        หุ้นวิชั่น - “บอร์ดไทยออยล์” ไฟเขียวเพิ่มงบประมาณโครงการพลังงานสะอาด (CFP) วงเงิน 63,028 ล้านบาท พร้อมเตรียมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น 21 ก.พ. ปีหน้า ยืนยันผู้ถือหุ้นและบริษัทฯ ได้ประโยชน์สูงสุด อีกทั้งเพิ่มความแข็งแกร่งและมั่นคงด้านพลังงาน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ           นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่  บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ นัดพิเศษ ครั้งที่ 6/2567 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ได้มีมติเห็นชอบเพิ่มงบประมาณในโครงการพลังงานสะอาด   (Clean Fuel Project หรือ CFP) ประมาณ 63,028 ล้านบาท และดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้างประมาณ 17,922 ล้านบาท การเพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP ครั้งนี้ จะนำไปใช้เพื่อการก่อสร้าง การจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ส่วนที่เหลือ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าที่ปรึกษาต่างๆ เป็นต้น เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จ    และสามารถดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ โดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสีย ที่เกี่ยวข้อง และประโยชน์สูงสุดของบริษัทฯ และผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ บริษัทฯ เตรียมจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 14.00 น. เพื่อขอมติจากผู้ถือหุ้นในการอนุมัติการเพิ่มงบประมาณในโครงการ CFP ดังกล่าว “โครงการ CFP จะทำให้ไทยออยล์มีกำลังการกลั่นน้ำมันดิบ 400,000 บาร์เรลต่อวัน และสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นโครงการขนาดใหญ่ ปัจจุบันดำเนินการไปแล้วกว่า 90% เมื่อโครงการสำเร็จจะสามารถตอบโจทย์การเติบโตทางกลยุทธ์ในระยะยาว ทำให้บริษัทฯ เติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) ทำให้ไทยออยล์สามารถแข่งขันได้ และเป็นผู้นำ   ในภูมิภาคซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง ก่อให้เกิดผลตอบแทนที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นและบริษัทฯ ในระยะยาว  หากโครงการเดินหน้าต่อจะทำให้ซัพพลายเชน รวมถึงบริษัทรับเหมาก่อสร้างและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องมีงานทำ          มีรายได้มาจับจ่ายใช้สอย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง” นายบัณฑิตฯ กล่าว

TOP โบรกชี้ประท้วงไม่กระทบ เดินตามแแผน-แนะนำ“ซื้อ”

TOP โบรกชี้ประท้วงไม่กระทบ เดินตามแแผน-แนะนำ“ซื้อ”

หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า มีรายงานบริษัทรับเหมาช่วง 28 บริษัทของโครงการพลังงานสะอาด (CFP) เดินทางมารวมตัวกันบริเวณด้านหน้าสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย (สถานทูตเกาหลีใต้) เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้แก้ปัญหาการค้างชำระค่าจ้างที่เกิดขึ้นจากผู้รับเหมากลุ่มหลักกิจการร่วมค้า UJV ซึ่งนำโดยบริษัท Samsung E&A (Thailand) Co.,Ltd. ร่วมกับ Petrofac South East Asia Pte. Ltd. และ Saipem Singapore Pte. Ltd. ทั้งนี้ หากภายในสิ้นปีนี้ยังไม่ได้รับคำตอบกลุ่มผู้รับเหมาช่วงจะนำพนักงานไปเรียกร้องที่บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) (PTT) ภายในสัปดาห์แรกของปี 2025 และขอแนวทางแก้ไขจาก TOP ด้วย โดยผู้รับเหมาช่วงอ้างว่า UJV ค้างชำระค่าจ้างเป็นระยะเวลา 10 เดือน สร้างความเสียหายกว่า 7.0 พันล้านบาทแล้ว นอกจากนี้ ผู้รับเหมาช่วงมีแผนที่จะไปขอความเป็นธรรมกับสถานทูตของอีก 2 ผู้ถือหุ้นด้วย (ที่มา: ข่าวหุ้น) มีมุมมองเป็นกลางต่อข่าวนี้ โดยเรามองว่าการประท้วงที่สถานทูตไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อแนวทางแก้ปัญหาอย่างมีนัยสำคัญ          อย่างไรก็ดี TOP ได้แจ้งก่อนหน้านี้ว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในส่วนของแนวทางการแก้ปัญหานี้ในต้นปี 2025 สำหรับภาพรวมธุรกิจระยะสั้นใน 4Q24E เชื่อว่าบริษัทจะกลับมารายงานกำไรปกติได้ใน 4Q24E หนุนโดยการฟื้นตัวของค่าการกลั่นตลาด (market GRM) และผลขาดทุนจากสต๊อก (stock loss) ที่ลดลง ทั้งนี้ ยังคงประมาณการกำไรสุทธิ 2024E ที่ 9.7 พันล้านบาท (-50% YoY) อย่างไรก็ดี แม้ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" ที่ราคาเป้าหมายที่ 55.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.70x (ประมาณ -1.5SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง) แต่สำหรับภาพระยะสั้นจนกว่าจะมีความชัดเจนในเรื่องนี้ เราแนะนำให้ลงทุนใน SPRC (ซื้อ/เป้า 8.50 บาท) แทนก่อนการฟื้นตัวที่เป็นไปได้ของผลประกอบการ 4Q24E

[ภาพข่าว] ไทยออยล์ผนึกกำลังสมาคมวอลเลย์บอล ร่วมพัฒนาทักษะกีฬาวอลเลย์บอลให้กับเยาวชนแหลมฉบัง

[ภาพข่าว] ไทยออยล์ผนึกกำลังสมาคมวอลเลย์บอล ร่วมพัฒนาทักษะกีฬาวอลเลย์บอลให้กับเยาวชนแหลมฉบัง

            เมื่อเร็วๆนี้  บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย และเทศบาลนครแหลมฉบัง จัดโครงการ “ไทยออยล์ปั้นฝันเยาวชนสู่ความเป็นหนึ่ง เพื่อพัฒนาทักษะด้านกีฬาวอลเลย์บอล” ณ โรงเรียนเทศบาลแหลมฉบัง 3 อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ให้กับเยาวชนในพื้นที่แหลมฉบัง โดยมี คุณประพฤทธิ์ ผกผ่า ผู้จัดการ-บริหารงานชุมชน บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการฯ และได้รับเกียรติจาก คุณธนาพร แก้วเมืองกลาง ผู้อำนวยการกองการศึกษา เทศบาลนครแหลมฉบัง และ คุณสมพร ใช้บางยาง นายกสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย ร่วมพิธีเปิดโครงการฯ โดยโครงการดังกล่าว             จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการเล่นกีฬาวอลเลย์บอลและพัฒนาทักษะด้านวอลเลย์บอลให้กับเยาวชนในพื้นที่แหลมฉบัง รวมถึงสร้างแรงบันดาลใจในการมุ่งสู่การเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลอาชีพ โดยได้มีผู้ฝึกสอนและนักกีฬาทีมชาติจากสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย อาทิ “โค๊ชยะ” นาวาอากาศโท ณัฐพนธ์ ศรีสมุทรนาค อดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย “กัปตันกิ๊ฟ” วิลาวัณย์ อภิญญาพงศ์ และปลื้มจิตร์ ถินขาว อดีตนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย มาร่วมถ่ายทอดความรู้พร้อมเสริมทักษะและแบ่งปันประสบการณ์ในการอบรมในครั้งนี้อีกด้วย

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

[ภาพข่าว] TOP รวมพลังจิตอาสา ฟื้นฟูทะเลเกาะสีชังครบวงจร

[ภาพข่าว] TOP รวมพลังจิตอาสา ฟื้นฟูทะเลเกาะสีชังครบวงจร

           เมื่อเร็วๆ นี้ คุณถิรยุทธ ลิมานนท์ ผู้จัดการฝ่ายกิจการสัมพันธ์ และคุณกรภัทร ลิมปพยอม ผู้จัดการฝ่ายกิจการองค์กรและความยั่งยืน บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกิจกรรมกับพนักงานจิตอาสาของสายงานด้านกำกับองค์กรและกิจการสัมพันธ์ อำเภอเกาะสีชัง เทศบาลตำบลเกาะสีชัง สำนักงานประมงจังหวัดชลบุรี และโรงเรียนเกาะสีชัง ภายใต้แนวคิด “โครงการคุณริเริ่ม...เราเติมเต็ม ปี 4” ณ ศูนย์เรียนรู้ธนาคารสัตว์ทะเลเกาะสีชัง อ.เกาะสีชัง จ.ชลบุรี โดยได้ดำเนินกิจกรรมจิตอาสาทำซั้งเชือก (บ้านปลา) เพื่อเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำตัวอ่อนร่วมกับสำนักงานประมงอำเภอเกาะสีชัง พร้อมส่งมอบซั้งเชือกดังกล่าวให้กับกลุ่มประมงเกาะสีชัง โดยมี คุณพัฒนา เกตุแก้ว รองนายกเทศมนตรีตำบลเกาะสีชัง เป็นผู้รับมอบ            นอกจากนี้ บริษัทฯ และพนักงานจิตอาสายังได้ร่วมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำและปลูกปะการังอ่อน เพื่อเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพและฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของทะเล รวมถึงร่วมกิจกรรมสร้างสรรค์โดยนำเศษเปลือกหอยมาใช้แทนปูนและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อส่งเสริมการใช้ทรัพยากรคุ้มค่า อีกด้วย  

OPEC+ ขยายเวลาลดการผลิต หุ้นโรงกลั่นน่าลงทุนไหม?

OPEC+ ขยายเวลาลดการผลิต หุ้นโรงกลั่นน่าลงทุนไหม?

           หุ้นวิชั่น - บล. ดาโอ ระบุว่า ประเทศสมาชิก OPEC+ บางประเทศตกลงขยายเวลาลดกำลังการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจจนถึงปี 2026E ที่ประชุมระดับรัฐมนตรีของผู้ผลิตน่ามันรายใหญ่ทั้งในและนอกกลุ่มโอเปค (OPEC and non-OPEC Ministerial Meeting: ONOMM) ครั้งที่ 38 เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.2024 มีข้อตกลงที่จะขยายการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจ (voluntary production cuts) ของ 8 ประเทศสมาชิก (รวมถึง ซาอุดิอาระเบีย, รัสเซีย, อิรัก, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE), คูเวต, คาซัคสถาน, อัลจีเรียและโอมาน) ออกไปจนถึงปี 2026E โดยแบ่งออกเป็น 1) voluntary production cuts จำนวน 1.65 ล้านบาร์เรลต่อวัน (mbd) (ซึ่งประกาศมาตั้งแต่ เม.ย.2023) จะมีผลจนถึง ธ.ค.2026 และ 2) voluntary production cuts จำนวน 2.2 mbd (ซึ่งประกาศในเดือน พ.ย.2023) จะขยายเวลาจนถึงเดือน มี.ค.2025 ก่อนที่จะทยอยปรับลดขนาดรายเดือนจนถึงสิ้นเดือน ก.ย.2026 เพื่อสนับสนุนความมีเสถียรภาพของตลาด โดยการปรับเพิ่มรายเดือนสามารถที่จะหยุดหรือกลับรายการได้ขึ้นอยู่กับสภาวะตลาด ทั้งนี้ การประชุม ONOMM ครั้งที่ 39 จะจัดขึ้นในวันที่ 28 พ.ค.2025 (ที่มา: Reuters, Bloomberg)            มีมุมมองเป็นกลางต่อแนวโน้มราคาน้ำมันดิบ โดยเรามองว่าการขยายเวลาการทยอยถอน voluntary production cuts ออกไปจะทำให้ผลกระทบจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นต่อตลาดน้ำมันโลกจำกัดมากขึ้น            อย่างไรก็ดี เชื่อว่าตลาดน้ำมันโลกยังมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะอุปทานล้นตลาด (oversupply) ในปี 2025E จากภาพรวมอุปสงค์การใช้น้ำมันที่ฟื้นตัวช้ากว่าอุปทานใหม่ที่เข้ามา (โดยเฉพาะจากกลุ่ม non-OPEC+) และเรายังเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวลง YoY ในปี 2025E โดยปัจจุบัน            สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยของเราอยู่ที่ USD80.0/bbl ในปี 2024E และ USD73.0/bbl ในปี 2025E ทั้งนี้เราเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะซื้อขายในกรอบ USD70/bbl-USD75/bbl สำหรับช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้            ยังคงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” สำหรับกลุ่มพลังงาน และชอบหุ้นโรงกลั่นที่น่าจะเห็นการฟื้นตัว QoQ ของผลประกอบการใน 4Q24E            โดยชอบหุ้น SPRC (ซื้อ/เป้า 8.50 บาท), TOP (ซื้อ/เป้า 55.00 บาท) และ BCP (ซื้อ/เป้า 40.00 บาท)            ทั้งนี้ เชื่อว่าผลประกอบการของกลุ่มโรงกลั่นน่าจะผ่านจุดต่ำสุดของปีไปแล้วใน 3Q24 และจะกลับมารายงานกำไรสุทธิได้ใน 4Q24E หนุนโดย 1) การฟื้นตัวของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) และ 2) ผลขาดทุนสต๊อกน้ำมัน (stock loss) ที่เป็นไปได้ที่ลดลงตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่มีความผันผวนน้อยลง QoQ ใน 4Q24E

[ภาพข่าว] ไทยออยล์คว้ารางวัลเกียรติคุณ การเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน Sustainability Disclosure Award

[ภาพข่าว] ไทยออยล์คว้ารางวัลเกียรติคุณ การเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน Sustainability Disclosure Award

           หุ้นวิชั่น - เมื่อเร็วๆนี้ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ได้รับรางวัลเกียรติคุณการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน “Sustainability Disclosure Award” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 จากงานมอบรางวัลการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน ประจำปี 2567 จัดโดยสถาบันไทยพัฒน์ ณ ห้องออดิทอเรียม หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร โดยมี คุณกรภัทร ลิมปพยอม ผู้จัดการฝ่ายกิจการองค์กรและความยั่งยืน บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนในการรับมอบรางวัลจาก คุณวรณัฐ เพียรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์ รางวัลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญในการเผยแพร่ข้อมูลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนต่อสาธารณะและผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ ไทยออยล์เป็นผู้ประกอบธุรกิจการโรงกลั่นนํ้ามันแบบคอมเพล็กซ์ (Complex Refinery) และเป็นโรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพสูงสุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2504 โดยมีธุรกิจหลักคือ การกลั่นนํ้ามันปิโตรเลียม ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 275,000 บาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้ ไทยออยล์มีระบบการบริหารจัดการที่มุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ (Operational Excellence) โดยบริหารงานเป็นกลุ่มที่มีการเชื่อมโยงธุรกิจ ทั้งธุรกิจการกลั่นน้ำมัน ธุรกิจปิโตรเคมีและธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน โดยร่วมวางแผนการผลิตก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีต้นทุนต่ำ ขณะเดียวกันมีคุณภาพสูงในระดับโรงกลั่นชั้นนำ (Top quartile) ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทำให้ได้เปรียบเชิงต้นทุนการผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนั้น ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องหลากหลาย เช่น ธุรกิจปิโตรเคมี ธุรกิจไฟฟ้า ธุรกิจสารทำละลาย ธุรกิจบริหารการขนส่ทางท่อ ธุรกิจพลังงานทดแทน ธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์สารทำความสะอาด และธุรกิจ New S-Curve

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

TOP แจงโครงการ CFP โปร่งใส ย้ำความล่าช้าเกิดจากปัจจัยภายนอก

TOP แจงโครงการ CFP โปร่งใส ย้ำความล่าช้าเกิดจากปัจจัยภายนอก

          หุ้นวิชั่น - ตามที่มีข่าวปรากฏในสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 ระบุว่า นายชัชนัย ปานเพชร ผู้ถือหุ้นของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และประธานสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อขอให้ตรวจสอบการกระทำของคณะกรรมการและผู้บริหารของบริษัทฯ ว่าอาจมีการกระทำผิดตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องหรือไม่ บริษัทฯ ขอชี้แจงข้อเท็จจริงดังนี้: 1. โครงการพลังงานสะอาด (“โครงการฯ”) เป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของบริษัทฯ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในด้านการกลั่นน้ำมันและสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ โดยการลงทุนในโครงการฯ บริษัทฯ ได้นำเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาและอนุมัติเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2561 ในคราวนั้น บริษัทฯ ได้จัดให้มีความคิดเห็นของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเกี่ยวกับความสมเหตุสมผลและประโยชน์ของโครงการฯ เพื่อประกอบการตัดสินใจของผู้ถือหุ้น ซึ่งที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติโครงการดังกล่าวด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 99.91 ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่เข้าประชุมและออกเสียงลงคะแนน การดำเนินการทั้งหมดเป็นไปตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ และกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน สะท้อนถึงการมีส่วนร่วมของผู้ถือหุ้นในกระบวนการตัดสินใจเกี่ยวกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีผลสำคัญต่อการพัฒนาธุรกิจของบริษัทฯ 2. ความล่าช้าของโครงการฯ เกิดจากปัจจัยภายนอก ได้แก่ สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้โครงการฯ เกิดความล่าช้าและต้องเจรจาแก้ไขสัญญาเพิ่มเติมกับผู้รับเหมาหลัก ได้แก่ The Consortium of PSS Netherlands B.V. (Offshore Contractor) และ Unincorporated Joint Venture of Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd., Petrofac South East Asia Pte. Ltd., และ Saipem Singapore Pte. Ltd. (เรียกรวมกันว่า “UJV – Samsung, Petrofac และ Saipem”) นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ผู้รับเหมาช่วงบางรายได้ยุติการปฏิบัติงาน เนื่องจาก UJV – Samsung, Petrofac และ Saipem ไม่ชำระเงินค่าจ้าง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ดำเนินการบริหารจัดการโครงการฯ อย่างดีที่สุด ทั้งด้านการเจรจาสัญญา การควบคุมต้นทุน และการบริหารความเสี่ยง เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการฯ จะดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. ขอให้ผู้ที่ได้รับข่าวสารใช้วิจารณญาณ บริษัทฯ ขอให้หลีกเลี่ยงการแชร์ข้อมูลที่บิดเบือนข้อเท็จจริง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและความเสียหายต่อบริษัทฯ บริษัทฯ ขอยืนยันความมุ่งมั่นต่อการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสและมีบรรษัทภิบาล พร้อมจะดำเนินการอย่างเต็มความสามารถเพื่อรักษาผลประโยชน์ของบริษัทฯ และผู้ถือหุ้น

TOP มองค่าการกลั่นปี68ฟื้นตัว ศึกษาธุรกิจใหม่ไบโอเจท-CCUS

TOP มองค่าการกลั่นปี68ฟื้นตัว ศึกษาธุรกิจใหม่ไบโอเจท-CCUS

         หุ้นวิชั่น - TOP หวังค่าการกลั่นฟื้นตัวในปี 2568 เร่งเครื่องโครงการพลังงานสะอาด (CFP) พร้อมขยายธุรกิจและสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างความมั่นคงพลังงานไทยในระยะยาว ยังเดินหน้าศึกษาธุรกิจใหม่ๆ ร่วมกับ กลุ่ม ปตท. และพันธมิตรอื่นๆ เช่น Bio surfactant, Blue หรือ Green Hydrogen, น้ำมันอากาศยานชีวภาพ (Bio Jet),การดักจับ กักเก็บและใช้ประโยชน์จากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCUS)สร้างมูลค่าเพิ่มและขยายธุรกิจในระยะยาว           นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แม้เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยยังคงมีความผันผวน แต่ยังคงมีปัจจัยบวกที่จะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมพลังงานและโรงกลั่นในปี 2568 อยู่บ้าง โดยความต้องการน้ำมันอากาศยานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการเติบโตของเที่ยวบินพาณิชย์ โดยเฉพาะในเอเชียที่มีอัตราการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลายลงซึ่งไทยออยล์ครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดประมาณ 50% รวมถึงอุปสงค์ของน้ำมันดีเซลที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากการเติบโตทางเศรษฐกิจในเอเชีย ส่วนตลาดน้ำมันเบนซินแม้ความต้องการใช้ยังคงเติบโตแต่อาจจะได้รับแรงกดดันจากอุปทานของโรงกลั่นใหม่ที่จะเริ่มดำเนินการผลิตในปีหน้า ทำให้ค่าการกลั่นมีแนวโน้มฟื้นตัวได้บ้างในปี 2568 อย่างไรก็ตาม คาดว่ายังคงจะเป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจโรงกลั่นในระยะยาว” ไทยออยล์พร้อมรับมือกับความท้าทายและคว้าโอกาสในการเติบโตโดยกำหนดกลยุทธ์หลัก 4 ด้านในปี 2568 ประกอบด้วย • เสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจโรงกลั่น (Strengthen Refinery Business) และ เร่งเดินหน้าโครงการพลังงานสะอาด (CFP) : ไทยออยล์ให้ความสำคัญกับโครงการพลังงานสะอาดที่ถือเป็นกุญแจหลักในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับไทยออยล์ในระยะยาว รวมถึงการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการเพิ่มผลผลิต (Productivity Improvement) เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันและควบคุมต้นทุน สำหรับความคืบหน้าโครงการ CFP มีความสำเร็จส่วนแรก คือ การทดลองเดินเครื่องจักรหน่วยกำจัดกำมะถันในน้ำมันดีเซล (HDS-4) ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2567 เพื่อรองรับการผลิตน้ำมันดีเซลมาตรฐาน Euro 5 ซึ่งสนับสนุนนโยบายการใช้น้ำมันที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นของภาครัฐในต้นปี 2567 โครงการ CFP อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างหน่วยผลิตต่างๆ และได้นำเครื่องจักรหลักเข้ามาในพื้นที่ก่อสร้างเป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 ที่ผ่านมา ทั้งนี้หน่วยกลั่นน้ำมันดิบที่ 4 (CDU-4) มีความคืบหน้าไปมากกว่าส่วนงานอื่นๆ ในขณะที่หน่วย Residue Hydrocracking Unit (RHCU) ซึ่งเป็นหน่วยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ โดยเปลี่ยนน้ำมันเตา และยางมะตอยให้เป็นน้ำมันอากาศยานและน้ำมันดีเซลนั้น อยู่ระหว่างเร่งติดตั้งอุปกรณ์เครื่องจักรและเชื่อมต่อระบบท่อต่างๆ โดยเป็นหน่วยผลิตที่มีความสลับซับซ้อนอยู่ในพื้นที่จำกัด จึงมีความคืบหน้าของงานน้อยกว่าหน่วยผลิตอื่น • ขยายห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain Extension): มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง สำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ เพื่อขยายช่องทางการจำหน่าย และขยายตลาดไปยังประเทศที่มีศักยภาพสูง เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และอินเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อยอดธุรกิจสารเคมีในกลุ่มสารฆ่าหรือยับยั้งเชื้อโรคและสารลดแรงตึงผิว (Disinfectant & Surfactants: D+S) โดยมีบทบาทสำคัญในตลาดผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อที่มีแนวโน้มเติบโตสูง นอกจากนี้ ภายใต้แนวทางการดำเนินงาน TOP for The Great Future ไทยออยล์ยังเดินหน้าศึกษาธุรกิจใหม่ๆ ร่วมกับ กลุ่ม ปตท. และพันธมิตรอื่นๆ เช่น Bio surfactant, Blue หรือ Green Hydrogen, น้ำมันอากาศยานชีวภาพ (Bio Jet),การดักจับ กักเก็บ และใช้ประโยชน์จากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCUS) • เสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน (Financial Strength): ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการบริหารความเสี่ยงด้านราคาสินค้าโภคภัณฑ์และอัตราแลกเปลี่ยนอย่างรอบคอบ เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงิน และรักษาอันดับความน่าเชื่อถือให้อยู่ในระดับน่าลงทุน ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน • ขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน (Drive for Sustainability): มุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) โดยมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การสร้างคุณค่าให้กับสังคมและชุมชน ผ่านโครงการต่างๆ เช่น การส่งเสริมการศึกษา การสร้างอาชีพ และการเข้าถึงสาธารณสุขในพื้นที่ห่างไกล           นายบัณฑิต กล่าวเสริมว่า “เรามั่นใจว่ากลยุทธ์ทั้ง 4 ด้านนี้จะช่วยให้ไทยออยล์สามารถรับมือกับความท้าทายและบรรลุเป้าหมายการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว พร้อมสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมให้กับผู้ถือหุ้น และสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศไทย” ทั้งนี้ ไทยออยล์มีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ในปัจจุบันที่กลุ่มบริษัทผู้รับเหมาช่วงของ UJV - Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd. (“Samsung”), Petrofac South East Asia Pte. Ltd. (“Petrofac”) และ Saipem Singapore Pte. Ltd. (“Saipem”) ได้ลงมติจะไม่ดำเนินงานก่อสร้างโครงการ CFP หาก UJV– Samsung, Petrofac และ Saipem ไม่ชำระหนี้ค้างชำระทั้งหมด ซึ่งไทยออยล์ตระหนักถึงความเดือดร้อนของผู้รับเหมาช่วงที่ไม่ได้รับเงินดังกล่าว โดยไทยออยล์ได้มีการทำหนังสือเร่งรัดให้ UJV – Samsung, Petrofac และ Saipem ตลอดจนบริษัทแม่ของ UJV– Samsung, Petrofac และ Saipem ชำระค่าตอบแทนค้างจ่ายให้แก่บริษัทผู้รับเหมาช่วงมาโดยตลอด เพราะเป็นหน้าที่ตามเงื่อนไขของสัญญารับเหมาช่วง จากกรณีดังกล่าว ไทยออยล์และผู้รับเหมาช่วง ต่างเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการไม่ทำตามสัญญาของ UJV – Samsung, Petrofac และ Saipem ดังนั้น การเร่งบริหารจัดการโครงการ CFP จึงเป็นเป้าหมายหลักและเร่งด่วน ที่ไทยออยล์มุ่งมั่นในการดำเนินการก่อสร้างโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยได้ติดตามความคืบหน้าเหตุการณ์ล่าสุดอย่างใกล้ชิด และได้ประเมินผลกระทบทั้งด้านแผนงานของโครงการ (Project Timeline) ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น และผลกระทบต่อระบบนิเวศทางธุรกิจ รวมทั้งเร่งดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้นกับไทยออยล์ ตลอดจนเตรียมแนวทางดำเนินการที่เหมาะสมเพื่อผลักดันการเดินหน้าโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จอย่างละเอียดรอบคอบ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของไทยออยล์และผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ ซึ่งปัจจุบัน คาดว่าจะมีความ ชัดเจนในช่วงต้นปี 2568 ถึงแม้ว่า สถานการณ์การเรียกร้องค่าตอบแทนค้างจ่ายของผู้รับเหมาช่วงจาก UJV– Samsung, Petrofac และ Saipem จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินโครงการ CFP ให้ล่าช้า แต่ก็ไม่ได้ทำให้โครงการ CFP จะต้องเลื่อนเปิดดำเนินการออกไปอย่างไม่มีกำหนดแต่อย่างใด แม้จะยังคงมีอุปสรรคและความท้าทายอีกมาก ไทยออยล์ยังมุ่งมั่นที่จะเร่งดำเนินการก่อสร้างโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ และเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

TOP ได้ CGR ระดับ

TOP ได้ CGR ระดับ "ดีเลิศ" ต่อเนื่องเป็นปีที่ 16

          หุ้นวิชั่น – บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ได้รับคะแนนการประเมินการกำกับดูแลกิจการในระดับ “ดีเลิศ” (Excellent CGR Rating) หรือ 5 ตราสัญลักษณ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุด ต่อเนื่องกันเป็นปีที่ 16 และเป็นหนึ่งใน TOP QUARTILE ของบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าทางการตลาดไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท ในงานประกาศผลสำรวจการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนไทย (Corporate Governance Report of Thai Listed Companies: CGR) ประจำปี 2567 เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2567 ซึ่งจัดโดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ที่ได้รับการสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) คะแนนการประเมินนี้สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินธุรกิจของไทยออยล์ที่ให้ความสำคัญด้าน การกำกับดูแลกิจการที่ดีอย่างต่อเนื่อง คำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน เปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ ตามแนวทางการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน สอดคล้องกับแนวคิด ESG (Environment, Social and Governance) สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ควบคู่ไปกับการมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม สำหรับบรรณาธิการ ไทยออยล์เป็นผู้ประกอบธุรกิจการโรงกลั่นนํ้ามันแบบคอมเพล็กซ์ (Complex Refinery) และเป็นโรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพสูงสุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2504 โดยมีธุรกิจหลักคือ การกลั่นนํ้ามันปิโตรเลียม ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 275,000 บาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้ ไทยออยล์มีระบบการบริหารจัดการที่มุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ (Operational Excellence) โดยบริหารงานเป็นกลุ่มที่มีการเชื่อมโยงธุรกิจ ทั้งธุรกิจการกลั่นน้ำมัน ธุรกิจปิโตรเคมีและธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน โดยร่วมวางแผนการผลิตก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีต้นทุนต่ำ ขณะเดียวกันมีคุณภาพสูงในระดับโรงกลั่นชั้นนำ (Top quartile) ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทำให้ได้เปรียบเชิงต้นทุนการผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนั้น ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องหลากหลาย เช่น ธุรกิจปิโตรเคมี ธุรกิจไฟฟ้า ธุรกิจสารทำละลาย ธุรกิจบริหารการขนส่ทางท่อ ธุรกิจพลังงานทดแทน ธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์สารทำความสะอาด และธุรกิจ New S-Curve

abs

Hoonvision

TOP ไตรมาส4 ฟื้นชัด ดีล CFP ไม่กระทบ

TOP ไตรมาส4 ฟื้นชัด ดีล CFP ไม่กระทบ

          หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล.ดาโอ ระบุว่า คงคำแนะนำ TOP “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายที่ 55.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.70x (ประมาณ -1.5SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง) เรามีมุมมองเป็นกลางหลังเข้าร่วมประชุมนักวิเคราะห์ โดยแม้ว่าสถานการณ์ผู้รับเหมาของ Clean Fuel Project (CFP) ยังคงมีความไม่ชัดเจนอยู่ แต่เรายังคงมุมมองว่าจุดต่ำสุดของปีนี้น่าจะผ่านไปแล้วและบริษัทน่าจะกลับมารายงานกำไรสุทธิได้ใน 4Q24E หนุนโดยการฟื้นตัวของค่าการกลั่นตลาด (market GRM) และผลขาดทุนจากสต๊อก (stock loss including NRV) ที่ลดลง สำหรับภาพรวมธุรกิจในปี 2025E TOP คาดว่าราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวจากอุปทานที่สูงขึ้น (หลักๆจากกลุ่มประเทศ Non-OPEC+) เร็วกว่าอัตราการเติบโตของอุปสงค์ ขณะที่ ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) น่าจะฟื้นตัวได้เล็กน้อยจากอุปสงค์ของผลิตภัณฑ์น้ํามันสําเร็จรูปกึ่งหนักกึ่งเบา (middle distillate) ที่สูงขึ้นตามอุปสงค์การท่องเที่ยวและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E/2025E ที่ 9.7/11.6 พันล้านบาท ลดลงจาก 1.94 หมื่นล้านบาทในปี 2023 โดยมีสมมติฐานที่สำคัญ คือ 1) Market GRM จะอยู่ในช่วงที่ลดลงที่ USD4.8/bbl-USD5.6/bbl จาก USD8.5/bbl จากการกลับสู่ระดับปกติมากขึ้นของ crack spread 2) อัตราการใช้กำลังการกลั่น (refinery run rate) จะอยู่ที่ 110% เทียบกับ 112% ในปี 2023 และ 3) Stock loss (including NRV) จะอยู่ระหว่าง -6.3 พันล้านบาทถึง -3.8 พันล้านบาท เทียบกับ -932 ล้านบาทในปี 2023 ราคาหุ้นปรับตัวลง 21% และ underperform SET 26% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา สอดคล้องกับแนวโน้ม crack spread ที่อ่อนแอตามภาพรวมอุปสงค์การใช้น้ำมันโลก (โดยเฉพาะจีน) ทั้งนี้ ราคาปิดล่าสุดสะท้อน valuation ที่น่าดึงดูดที่ 2025E PBV 0.52x (ประมาณ -2.0SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง) เราเชื่อว่าบริษัทจะกลับมารายงานกำไรสุทธิได้ใน 4Q24E หลักๆจาก market GRM ที่ฟื้นตัวและ stock loss ที่ต่ำลง ในขณะที่ ประเด็นของ CFP น่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในต้นปี 2025E

[ภาพข่าว] CEO ไทยออยล์ คว้ารางวัล CEO of the Year 2024 in Transformation Excellence

[ภาพข่าว] CEO ไทยออยล์ คว้ารางวัล CEO of the Year 2024 in Transformation Excellence

           เมื่อเร็วๆ นี้ คุณบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ได้รับรางวัล Bangkok Post CEO of the Year 2024 ในด้าน CEO of the Year in Transformation Excellence จัดขึ้นโดยหนังสือพิมพ์ Bangkok Post ณ ห้องเวิร์ลบอลรูม โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอทเซ็นทรัลเวิร์ล กรุงเทพฯ โดยมีคุณภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้เกียรติมอบรางวัลในครั้งนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ มุ่งพาองค์กรสู่อนาคตที่ยิ่งใหญ่ด้วยการทรานส์ฟอร์มธุรกิจ รองรับและตอบสนองเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของโลก มีแผนกลยุทธ์และแผนธุรกิจที่ชัดเจน พร้อมปรับเปลี่ยนตามปัจจัยภายในและภายนอกองค์กรให้มีความเหมาะสม มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญในการสร้างเสริมศักยภาพของพนักงานทุกด้าน เพื่อให้มั่นใจว่าไทยออยล์จะเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน สู่การเป็นองค์กร 100 ปี ต่อไป

วิเคราะห์หุ้นโรงกลั่น TOP มีสัญญาณยังไง?

วิเคราะห์หุ้นโรงกลั่น TOP มีสัญญาณยังไง?

           หุ้นวิชั่น- ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า จากข้อมูลของ Bloomberg แสดงให้เห็นว่า crack spread ของน้ำมันเตาที่มีกำมะถันสูง (HSFO) ในเอเชีย เพิ่มขึ้นก้าวกระโดดมาที่ 0.8 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรลในเดือนต.ค.67 จาก -6 เหรียญ สหรัฐฯ/บาร์เรลในเดือนก.ย. 67 และ -5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในไตรมาส 3/67 เพราะมีปัจจัยหนุนจากการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่น ซึ่งตารางส่วนใหญ่อยู่ช่วงเดือนต.ค. รวมถึงอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากโรงกลั่นขนาดเล็กในจีน            ขณะที่ข้อมูลของ S&P Platts ระบุว่า รัฐบาลจีนอาจปรับอัตราภาษีการบริโภคของน้ำมันเตาและบิทูเมน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มภาระภาษีของโรงกลั่นขนาดเล็กและส่งผลให้โรงกลั่นเหล่านี้ เร่งเติมสต๊อก HSFO ก่อนจะมีการปรับอัตราภาษี จึงเชื่อว่า crack spread ของ HSFO อาจลดลงหลังสิ้นสุดฤดูปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในเดือนพ.ย.-ธ.ค.67 แต่น่าจะยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยในงวด 9 เดือนแรกของปี 67 ที่ -6.6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล            ตามข้อมูลของ S&P Platts ภูมิภาคเอเชียมีความต้องการน้ำมันอากาศยานเพิ่มขึ้น 330k บาร์เรล/วันในไตรมาส 4/67 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เพราะมีอุปสงค์เพิ่มขึ้นจากจีน (ทั้งเที่ยวบินในประเทศและเที่ยวบินระหว่างประเทศ) และประเทศในกลุ่มอาเซียน เมื่อรวมกับอุปสงค์จากการเติมสต๊อกก่อนเข้าสู่ฤดูหนาว crack spread ของน้ำมันอากาศยานในเอเชียจะฟื้นตัวมาอยู่ที่ 13.0 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในเดือนต.ค.67 จาก 10.9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในเดือนก.ย. 67            ขณะเดียวกัน แนฟทาในเอเชียอยู่ที่ -2.9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในเดือนต.ค.หรือดีขึ้นจาก -6.7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในไตรมาส 3/67 เนื่องจาก Naphtha cracker มีอัตราการผลิตสูงขึ้นเมื่อกลับมาเปิดหลังหยุดซ่อมบำรุง            นอกจากนี้ crack spread ของน้ำมันดีเซลในเอเชียยังเพิ่มขึ้นจาก 10.8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในเดือนก.ย.67 เป็น 13.0 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในเดือนต.ค.หรือช่วงที่โรงกลั่นปิดซ่อมบำรุงมากที่สุด อย่างไรก็ตาม เล็งเห็น downside risk จากอุปสงค์ที่เติบโตจำกัดในจีน หลังยอดขายรถบรรทุก LNG (ก๊าซธรรมชาติเหลว) ในประเทศนี้พุ่งสูงขึ้น            ขณะที่คาดว่า crack spread ของน้ำมันเบนซินในเอเชียจะทรงตัวที่ประมาณ 10-11 เหรียญสหรัฐ/ บาร์เรลในไตรมาส 4/67 ก่อนจะลดลงช่วงต้นปี 68 เมื่อหน่วย RFCC (residue catalytic cracking unit) ของ Dangote เริ่มผลิตน้ำมันเบนซิน            ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI เชื่อว่า แรงหนุนจาก crack spread ของ HSFO และแนฟทาจะทำให้ค่าการกลั่นตลาด (GRM) ของ SPRC เพิ่มขึ้นจาก 3.8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในไตรมาส 3/67 เป็น 4.6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในเดือนต.ค.67 และแม้ว่า PTTGC และ BCP จะมีการผลิต HSFO และแนฟทาไม่มากนัก แต่เชื่อว่า GRM ของทั้งสองบริษัทอาจได้แรงหนุนจากน้ำมันเตาที่มีกำมะถันต่ำ (LSFO) เนื่องจากเชื้อเพลิงเรือเป็นที่ต้องการมากขึ้น (การขนส่ง สินค้าทางทะเลมีระยะทางไกลขึ้น จากปัญหาคอขวดด้านโลจิสติกส์ในตะวันออกกลาง) และโรงกลั่น Dangote มีการส่งออกลดลง นอกจากนี้ หากส่วนต่างระหว่างน้ำมันดีเซลและHSFO หดแคบลงต่อเนื่องถึงปี 68 โครงการพลังงานสะอาด (CFP) จะมีขาดทุนสุทธิถ้า TOP ตัดสินใจเปิด complex แห่งนี้            ยังแนะนำ Neutral กลุ่มโรงกลั่น เพราะเชื่อว่าค่าการกลั่นตลาดจะอยู่ในระดับช่วงกลางวงจรที่ 5-6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปี 68 ขณะที่มองว่า upside risk จะมาจากอุปสงค์ของน้ำมันดีเซลในตลาดโลก และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกว่าคาด ส่วน downside risk จะมาจากขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันที่สูงกว่าคาดและกำลังการผลิตที่เพิ่มเข้ามาในตลาด

TOP ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว จับตา Q4 พลิกกำไร

TOP ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว จับตา Q4 พลิกกำไร

            หุ้นวิชั่น- บทวิเคราะห์ บล.ดาโอ ระบุว่า ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” TOP ที่ราคาเป้าหมายที่ 55.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.70x (ประมาณ -1.5SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง) TOP รายงานขาดทุนสุทธิ 3Q24 ที่ 4.2 พันล้านบาท เทียบกับ กำไร 10.8 พันล้านบาทใน 3Q23 และกำไร 5.5 พันล้านบาทใน 2Q24 สอดคล้องกับที่ consensus คาดแต่ต่ำกว่าคาด             ทั้งนี้ ผลขาดทุนในไตรมาสนี้หลักๆเกิดจากการรับรู้ผลขาดทุนจากสต๊อก (stock loss including NRV) ก้อนใหญ่และค่าการกลั่นตลาด (market GRM) ที่ยังคงอ่อนแอ             อย่างไรก็ดี เชื่อว่าไตรมาสนี้จะเป็นจุดต่ำสุดของปีแล้วและบริษัทจะสามารถกลับมารายงานกำไรสุทธิได้ใน 4Q24E หนุนโดยการฟื้นตัวของ market GRM และ stock loss ที่ลดลง             ทั้งนี้ ยังคงมุมมองเชิงอนุรักษ์นิยมว่าบริษัทอาจจะเห็นความเสี่ยงที่เป็นไปได้ที่โครงการพลังงานสะอาด (CFP) อาจจะมีการรับรู้ต้นทุนบานปลายเพิ่มเติมจากสถานการณ์ปัญหาการเงินของบริษัทผู้รับเหมาช่วงที่ยังคงดำเนินอยู่             คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E/2025E ที่ 9.7/11.6 พันล้านบาท ลดลงจาก 1.94 หมื่นล้านบาทในปี 2023 โดยมีสมมติฐานที่สำคัญ คือ 1) Market GRM จะอยู่ในช่วงที่ลดลงที่ USD4.8/bbl-USD5.6/bbl จาก USD8.5/bbl จากการกลับสู่ระดับปกติมากขึ้นของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) 2) อัตราการใช้กำลังการกลั่น (refinery run rate) จะอยู่ที่ 110% เทียบกับ 112% ในปี 2023 และ 3) Stock loss (including NRV) จะอยู่ระหว่าง -6.3 พันล้านบาทถึง -3.8 พันล้านบาท เทียบกับ -932 ล้านบาทในปี 2023 ราคาหุ้นปรับตัวลง 19% และ underperform SET 26% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา สอดคล้องกับแนวโน้ม crack spread ที่อ่อนแอตามภาพรวมอุปสงค์การใช้น้ำมันโลก (โดยเฉพาะจีน) ที่ยังคงเปราะบาง             ทั้งนี้ ราคาปิดล่าสุดสะท้อน valuation ที่น่าดึงดูดที่ 2025E PBV 0.54x (ประมาณ -1.9SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง) กำไรสุทธิ 9M24 คิดเป็น 74% ของประมาณการทั้งปี 2024E ของเรา             ทั้งนี้ เชื่อว่าบริษัทจะกลับมารายงานกำไรสุทธิได้ใน 4Q24E หลักๆจาก market GRM ที่ฟื้นตัวและ stock loss ที่ต่ำลง

TOP ธุรกิจโรงกลั่นไตรมาส 4/67 ฟื้นตัว น้ำมันเครื่องบินดีมานด์ดี

TOP ธุรกิจโรงกลั่นไตรมาส 4/67 ฟื้นตัว น้ำมันเครื่องบินดีมานด์ดี

           นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต CEO ไทยออยล์ เผยแนวโน้มธุรกิจโรงกลั่นในไตรมาส 4 มีสัญญาณฟื้นตัวจากความต้องการน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในฤดูหนาวและการท่องเที่ยวที่เติบโต น้ำมันอากาศยานดีขึ้น เตรียมแผนเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจพลังงานสะอาดและโอกาสในธุรกิจใหม่            นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า สำหรับภาพรวมธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันในไตรมาสที่ 4 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากไตรมาส 3/2567 โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันในช่วงฤดูหนาว รวมถึงการเติบโตของภาคการท่องเที่ยว  ในขณะที่ปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปคงคลังปรับลดลงจากไตรมาสที่ 3 ส่งผลให้ส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยานกับราคาน้ำมันดิบดูไบมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น สำหรับปี 2568 ถึงแม้ว่าอุปสงค์น้ำมันสำเร็จรูปจะเพิ่มขึ้น แต่อุปทานจากโรงกลั่นน้ำมันใหม่ปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน ทั้งจากในประเทศจีน และเม็กซิโก ที่จะทยอยเปิดดำเนินการในปีนี้และปีหน้า   ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าการกลั่นปรับเพิ่มขึ้นในระดับจำกัด            ในส่วนน้ำมันอากาศยานถือปรับตัวดีขึ้นเพราะยังมีกิจกรรมการบินอยู่ต่อเนื่อง แต่อาจจะยังไม่ถือว่ากลับมาในระดับปกติเพราะปริมาณเที่ยวบินก็ยังไม่กลับมาเทียบเท่าช่วงก่อนโควิด ทั้งนี้ปัจจุบัน ไทยออยล์ มีการผลิตน้ำมันอากาศยานกว่า 18%            อย่างไรก็ดี ไทยออยล์จะติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทาง  การแข่งขันในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการเร่งรัดการก่อสร้างโครงการพลังงานสะอาดให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด ตลอดจนแสวงหาโอกาสในธุรกิจใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ Megatrends เพื่อมุ่งเติบโตเป็นองค์กร 100 ปี อย่างมั่นคง ภายใต้วิสัยทัศน์ สร้างสรรค์คุณภาพชีวิต ด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน            ส่วนไตรมาส 3/2567 กลุ่มไทยออยล์ขาดทุนสุทธิ 4,218 ล้านบาท สาเหตุจากส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลกับราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวลดลง เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันช่วงฤดูกาลขับขี่ในประเทศสหรัฐอเมริกา (สหรัฐฯ) ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ และมีอุปทานเพิ่มขึ้นจากโรงกลั่นน้ำมันใหม่ ทำให้ระดับน้ำมันสำเร็จรูปคงคลังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และประเทศจีนยังคงอ่อนแอ ในส่วนธุรกิจอะโรเมติกส์ปรับตัวลดลงเช่นกันจากส่วนต่างราคาสารพาราไซลีนกับน้ำมันเบนซิน 95 ที่ปรับลดลงจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจภายในประเทศจีนที่ยังคงเปราะบาง นอกจากนี้ ธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์     ทำความสะอาดปรับลดลงเล็กน้อยจากอุปสงค์ที่ถูกกดดันในช่วงฤดูมรสุมในประเทศอินเดีย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในขณะที่ธุรกิจผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานปรับตัวดีขึ้นจากต้นทุนราคาน้ำมันเตาที่ลดลง            ราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 3/2567 ปรับลดลงจากราคาเฉลี่ยในไตรมาส 2/2567 จากตัวเลขการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของประเทศจีนต่ำกว่าคาดการณ์ รวมถึงการหดตัวของภาคการผลิต (PMI) ในประเทศสหรัฐฯ และจีน ทำให้อุปสงค์น้ำมันโลกเติบโตในระดับจำกัด ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 5,380 ล้านบาท หรือ 5.4 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มรวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันลดลง 7.0 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลจากไตรมาส 2 ของปี 2567            ส่วนโครงการ CFP ปัจจุบันการดำเนินงานของโครงการ CFP ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยอุปกรณ์ เครื่องจักร โครงสร้างเหล็กขนาดใหญ่ที่สำคัญได้ถูกนำเข้ามาในพื้นที่ก่อสร้างเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการเร่งประกอบติดตั้งในแต่ละพื้นที่ นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เริ่มทดลองเดินเครื่องจักรของหน่วยกำจัดสารกำมะถันในน้ำมันดีเซลหน่วยใหม่ (Hydrodesulfurization; HDS-4) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งการดำเนินงานของหน่วย HDS-4 เร็วกว่าแผนงาน เพื่อรองรับการผลิตน้ำมันมาตรฐาน Euro 5 ที่มีผลบังคับใช้ทั่วประเทศในปี 2567 ในส่วนของหน่วยผลิตอื่นๆ อยู่ระหว่างเร่งดำเนินการเพื่อให้เริ่มทยอยทดลองเดินเครื่องจักรได้ต่อไป

[ภาพข่าว] ไทยออยล์รับรางวัล Sustainability Excellence จากเวที SET Awards 2024

[ภาพข่าว] ไทยออยล์รับรางวัล Sustainability Excellence จากเวที SET Awards 2024

              เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) โดย คุณกรภัทร ลิมปพยอม ผู้จัดการ ฝ่ายกิจการองค์กรและความยั่งยืน รับมอบรางวัล SET Awards ประจำปี 2024 ในกลุ่มรางวัล Sustainability Excellence ประเภท Commended Sustainability Awards จาก ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในพิธีประกาศผลและมอบรางวัล SET Awards ประจำปี 2024 จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยร่วมกับวารสารการเงินธนาคาร ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย ชั้น 7 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย               รางวัลดังกล่าวมอบให้กับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีความโดดเด่นในการดำเนินธุรกิจตาม            แนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน มีการกำกับดูแลกิจการที่ดี คำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียอย่างรอบด้าน มีการเติบโตด้านเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการมีส่วนร่วมสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของไทยออยล์              ที่นอกจากให้ความสำคัญต่อการกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันแล้ว ยังได้กำหนด       กลยุทธ์ด้านความยั่งยืนให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ทางธุรกิจ ในมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG: Environment, Social, and Governance) เพื่อตอบสนองต่อความคาดหวังและการสร้างคุุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ตามวิสัยทัศน์องค์กรในการ “สร้างสรรค์คุณภาพชีวิตด้วยพลังงาน และเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน”

TOP เร่งแก้ปมรับเหมาช่วง พร้อมไปต่อโครงการ CFP

TOP เร่งแก้ปมรับเหมาช่วง พร้อมไปต่อโครงการ CFP

          การก่อสร้างโครงการ Clean Fuel Project (CFP) ของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)หรือ TOP หลังจากที่มีการรวมตัวกันของผู้รับเหมาช่วงของโครงการ ในการเรียกร้องค่าตอบแทนค้างจ่ายจากผู้รับเหมาหลัก UJV ซึ่งประกอบด้วย Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd., Petrofac South East Asia Pte. Ltd., และ Saipem Singapore Pte. Ltd. แม้ไทยออยล์จะจ่ายค่าตอบแทนให้ UJV ครบถ้วนตามสัญญา แต่ผู้รับเหมาหลักกลับไม่สามารถจ่ายค่าตอบแทนให้กับผู้รับเหมาช่วงได้ตามกำหนด สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้รับเหมาช่วงไทยและเป็นประเด็นร้อนที่สาธารณชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจ           ที่ผ่านมา ไทยออยล์แจงสถานะจ่ายค่าตอบแทนครบ แต่ UJV ค้างจ่ายผู้รับเหมาช่วง ไทยออยล์เปิดเผยว่า ได้จ่ายค่าตอบแทนให้ UJV ครบถ้วนตามสัญญา EPC แต่ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อ UJV ไม่สามารถจ่ายค่าตอบแทนให้กับผู้รับเหมาช่วงได้ตามกำหนด โดยอ้างเหตุผลขาดสภาพคล่อง แม้ไทยออยล์จะพยายามผลักดันให้ UJV ชำระค่าจ้างตามสัญญาด้วยแนวทางต่าง ๆ แต่ข้อจำกัดทางสัญญาทำให้ไทยออยล์ไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงหรือจัดการการจ่ายค่าจ้างค้างระหว่าง UJV และผู้รับเหมาช่วงได้โดยตรง           ในด้าน กิจการร่วมค้า (UJV) ประกอบด้วย Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd., Petrofac South East Asia Pte. Ltd., และ Saipem Singapore Pte. Ltd.  ทั้ง 3 บริษัท มีบริษัท แม่ เป็นระดับ international ซึ่งเมื่อดูงบการเงินของบริษัทแม่ของแต่ละบริษัทแล้วมีเงินสดเป็นจำนวนมาก ดังนั้น บริษัทแม่แต่ละบริษัท นั้นมีความสามารถที่จะต้องส่งเงินเข้ามาช่วยบริษัทลูกให้ทำโครงการ CFP ต่อไปได้ ซึ่งก็ต้องติดตามต่อไป ว่าบริษัทแม่จะดำเนินการอย่างไร ในการแก้สถานการณ์ดังกล่าว           ด้านล่าสุด ผู้รับเหมาช่วงแม้ว่าจะไม่มีการชุมนุมแล้วในขณะนี้ แต่ได้มีการ แถลงข่าววันที่ 15 ตุลาคม 2567 ในนาม “สหพันธ์ผู้รับเหมาโรงกลั่น TOP, โครงการ CFP ศรีราชา” (“สหพันธ์”)และได้ชุมนุมหน้าโรงกลั่นฯหลายพันคนในวันที่ 18 ตุลาคม 2567 ประกอบด้วย  16 บริษัทผู้รับเหมาช่วง  ระบุ UJV ผู้รับเหมาหลัก ค้างจ่ายค่าตอบแทน นานครึ่งปีรวมเป็นเงินหลายพันล้านบาท จนขาดสภาพคล่องและอาจต้องลอยแพแรงงาน 20,000 ชีวิต และจะกระทบต่อ โครงการ  CFP ให้ล่าช้า สำหรับ รายชื่อผู้รับเหมาช่วง 16 บริษัทที่ได้รับความเดือดร้อนและลงชื่อขอความช่วยเหลือประกอบด้วยCAZ (Thailand) PCL [CAZ] CHART Karnchang Laemchabang Co.,Ltd. [CKC] CMG Engineering and Construction Co.,Ltd. [CMG] Firstcon Construction Co.,Ltd. [FSC] IETL Co.,Ltd. [IETL] Italthai Engineering Co.,Ltd. [ITE] Logthai-Hai Leck Engineering [LTHL] Raikothong Construction & Service Co.,Ltd. [RCS] Rayong Maintenance and Contracting [RMC] Sriracha Construction PLC. [SCC] The Seaboard D&C Co.,Ltd. [SBD] Sino-Thai Engineering & Construction PCL. [STECON] SWOT Construction Co.,Ltd. [SWOT] Thai Jurong Engineering Limited [TJEL] THAI ROTARY ENGINEERING PLC. [TREL] V.A.P Service(1997) co.,Ltd. [VAP]           ในส่วนของ ไทยออยล์ ที่ผ่านมาก็ได้ออกมายืนยัน การดำเนินโครงการ CFP แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด โดยให้ความสำคัญต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม และจะเร่งผลักดันให้ UJV ชำระค่าตอบแทนค้างจ่ายกับผู้รับเหมาช่วงตามสัญญาระหว่าง UJV กับผู้รับเหมาช่วงแต่ละรายต่อไป อย่างไรก็ดีต้องติดตามการ UJV และบริษัทแม่ จะดำเนินการอย่างไร           ทั้งนี้ โครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project: CFP) เป็นโครงการพัฒนาพลังงานด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง (Complex Refinery) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการกลั่นน้ำมันและสร้างเสถียรภาพด้านพลังงานให้กับประเทศ โดยใช้งบลงทุนกว่า 4,825 ล้านเหรียญสหรัฐฯ  โดย CFP มีเป้าหมายเพิ่มกำลังการกลั่นน้ำมันจาก 275,000 บาร์เรลต่อวันเป็น 400,000 บาร์เรลต่อวัน เพื่อลดต้นทุนการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพการกลั่นน้ำมันหนักได้ถึง 40-50% และผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 5 ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม           โครงการนี้เริ่มศึกษาความเป็นไปได้ในปี 2557 และดำเนินการออกแบบในปี 2558-2559 โดยในปี 2561 ได้ว่าจ้างบริษัท 3 แห่ง คือ Petrofac, Samsung Engineering และ Saipem ดำเนินการก่อสร้างภายใต้ชื่อ "The Consortium"

TOP ยันโครงการ CFP เดินหน้าต่อ เร่งเงินค้างจ่ายผู้รับเหมาช่วง

TOP ยันโครงการ CFP เดินหน้าต่อ เร่งเงินค้างจ่ายผู้รับเหมาช่วง

          หุ้นวิชั่น - จากกรณีที่มีการรายงานข่าวปรากฏบนสื่อบางสื่อเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2567 ว่า การรวมตัวชุมนุมเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 ของ “สหพันธ์ผู้รับเหมาโรงกลั่น TOP, โครงการ CFP ศรีราชา” (“สหพันธ์”) บริเวณหน้าโรงกลั่นไทยออยล์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี “ส่งผลให้โครงการ CFP ต้องเลื่อนเปิดดำเนินการออกไปอย่างไม่มีกำหนด” และได้มีการรายงานข่าวบนสื่อออนไลน์ว่า บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (“ไทยออยล์”) หรือ TOP ได้จัดจ้างผู้รับเหมาหลัก คือ กิจการร่วมค้าระหว่าง Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd., Petrofac South East Asia Pte. Ltd. แ ละ Saipem Singapore Pte. Ltd. (เรียกรวมกันว่า “UJV – Samsung, Petrofac และ Saipem”) ที่มีปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงินอย่างมากในการดำเนินงานโครงการ CFP จึงเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาการจ่ายเงินค่าตอบแทนล่าช้าให้กับผู้รับเหมาช่วงนั้น ไทยออยล์ ขอชี้แจงว่า โครงการ CFP เป็นโครงการขยายโรงกลั่นน้ำมันที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง (Complex Refinery) เพิ่มขีดความสามารถในด้านการกลั่นน้ำมันและสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ ซึ่งเป็นการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้เงินลงทุนจำนวนมาก จึงมีความจำเป็นต้องจัดจ้างบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ซึ่งในประเทศไทยยังไม่มีบริษัทใดที่สามารถดำเนินการได้ ไทยออยล์ได้เริ่มทำการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ CFP มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 โดยเริ่มการออกแบบกระบวนการผลิตและออกแบบทางวิศวกรรมเบื้องต้น ในปี พ.ศ. 2558-2559 เพื่อให้ได้ข้อมูลเพียงพอในการออกหนังสือเชิญประกวดราคาผู้รับจ้างเหมาท าของ ออกแบบวิศวกรรม การจัดหา และการก่อสร้าง (EPC: Engineering, Procurement and Construction) โครงการ CFP และในปี พ.ศ. 2559           ไทยออยล์ได้มีการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมการประกวดราคา ตามกระบวนการจัดจ้างที่โปร่งใส สอดคล้องตามหลักบรรษัทภิบาล โดยมีหลักเกณฑ์ที่มีมาตรฐาน เช่น การวิเคราะห์งบการเงิน อัตราส่วนทางการเงิน ประสบการณ์ เป็นต้น ซึ่งปรากฏว่า บริษัท 1. Petrofac International (UAE) LLC, 2. Samsung Engineering Co., Ltd., และ 3. Saipem S.P.A. ได้รับการคัดเลือกและได้ทำสัญญาจ้าง EPC ดังกล่าวกับไทยออยล์ ในปี พ.ศ. 2561 ในนามของ The Consortium ประกอบด้วย PSS Netherlands B.V., (Offshore Contractor) และ UJV – Samsung, Petrofac และ Saipem (Onshore Contractor) โดยบริษัทแม่ของ The Consortium (PSS Netherlands B.V., (Offshore Contractor) และ UJV – Samsung, Petrofac และ Saipem (Onshore Contractor)) คือ 1. Petrofac Limited 2. Samsung Engineering Co., Ltd. และ 3. Saipem S.P.A. (“บริษัทแม่”) ได้ออกหนังสือค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาของ The Consortium ทั้งหมด           ไทยออยล์ ได้ทราบข่าวมาจากผู้รับเหมาช่วงบางรายในช่วงเดือนเมษายน พ.ศ. 2567 ว่า UJV – Samsung, Petrofac และ Saipem ไม่จ่ายเงินค่าตอบแทนให้กับบริษัทผู้รับเหมาช่วงบางรายตามกำหนด โดย UJV – Samsung, Petrofac และ Saipem อ้างว่าขาดสภาพคล่องในการดำเนินงาน ทั้งๆ ที่ไทยออยล์ได้มีการจ่ายค่าตอบแทนให้กับ UJV – Samsung, Petrofac และ Saipem อย่างครบถ้วนมาโดยตลอด และยังมีบริษัทแม่ที่สามารถให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ UJV – Samsung, Petrofac และ Saipem ได้           ไทยออยล์ ขอชี้แจงว่า การที่สหพันธ์รวมตัวชุมนุมบริเวณหน้าโรงกลั่นไทยออยล์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 มีผลกระทบต่อการปฏิบัติงานของไทยออยล์ ในบริเวณดังกล่าว แต่มิได้ส่งผลให้โครงการ CFP ต้องเลื่อนเปิดดำเนินการออกไปอย่างไม่มีกำหนดดังที่สื่อบางรายได้มีการรายงานข่าวแต่อย่างใด           ไทยออยล์ ขอยืนยันว่า ไทยออยล์ ได้มีการจ่ายค่าตอบแทนให้กับ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญา EPC อย่างครบถ้วนถูกต้องมาอย่างต่อเนื่อง แต่ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ยังไม่จ่ายค่าตอบแทนค้างจ่ายให้กับบริษัทผู้รับเหมาช่วง           อย่างไรก็ดี ไทยออยล์ตระหนักถึงความเดือดร้อนของสหพันธ์จากการไม่ได้รับค่าตอบแทนค้างจ่าย จาก UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ซึ่งไทยออยล์ ได้พยายามอย่างเต็มที่ในการผลักดันให้ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ชำระค่าตอบแทนค้างจ่ายกับผู้รับเหมาช่วงตามสัญญาระหว่าง UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem กับผู้รับเหมาช่วงแต่ละรายมาโดยตลอด เช่น การยินยอมให้ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem เรียกเก็บเงินค่าตอบแทนจากไทยออยล์ตามความสำเร็จของงานที่เกิดขึ้นจริง แทนการจ่ายตามการส่งมอบงานเมื่อแล้วเสร็จในแต่ละส่วนตามแผนงานที่ระบุไว้ในสัญญา ตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2563 ถึงต้นปี พ.ศ. 2567 รวมถึงการจ่ายค่าจ้างให้เร็วที่สุดภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา เพื่อสนับสนุนสภาพคล่องทางการเงินตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2565 ถึงกลางปี พ.ศ. 2567           นอกจากนี้ ไทยออยล์ได้หารือและเรียกร้องให้ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ยินยอมให้ไทยออยล์หักค่าตอบแทนตามสัญญา EPC ตามมูลค่าที่ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem มีสิทธิ์จะได้รับจากไทยออยล์ตามงวดงาน เพื่อชำระให้กับผู้รับเหมาช่วงโดยตรง แต่ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ยังไม่ให้ความยินยอม           อย่างไรก็ตาม การให้ความช่วยเหลือต่อผู้รับเหมาช่วง ไทยออยล์ยังคงต้องคำนึงถึงว่า ไทยออยล์ มิได้เป็นคู่สัญญากับผู้รับเหมาช่วงโดยตรง จึงไม่สามารถก้าวล่วงดำเนินการใดๆ ในสัญญาระหว่างผู้รับเหมาช่วงและ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ได้ รวมถึง UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ยังได้ระบุเป็นลายลักษณ์อักษรแจ้งไม่ให้ไทยออยล์เข้ามายุ่งเกี่ยวกับสัญญาระหว่าง UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem กับผู้รับเหมาช่วง           ไทยออยล์ ขอยืนยันว่า ไทยออยล์มีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจโดยยึดมั่นตามหลักบรรษัทภิบาล และมุ่งหวังให้การดำเนินโครงการ CFP แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด โดยให้ความสำคัญต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม และไทยออยล์จะ ดำเนินการผลักดันให้ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ชำระค่าตอบแทนค้างจ่ายกับผู้รับเหมาช่วงตามสัญญาระหว่าง UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem กับผู้รับเหมาช่วงแต่ละรายต่อไป