ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#thai ESGX


โบรกฯ มองดัชนี Q2 ต่ำสุด 1,080 จุด Thai ESGX ความหวังฟื้น! 

โบรกฯ มองดัชนี Q2 ต่ำสุด 1,080 จุด Thai ESGX ความหวังฟื้น! 

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ภาวะตลาดหุ้นไทยไตรมาส 2/2568 ยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกประเทศอย่างต่อเนื่อง ไม่แพ้ไตรมาส 1/2568 ที่นอกจากจะมีแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องของสงครามการค้าฯ และสงครามในตะวันออกกลาง ในประเทศเองก็เผชิญกับแผ่นดินไหวเป็นครั้งแรกในรอบ 100 ปี ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ สั่งปิดทำการซื้อขายทุกตลาด ทั้ง SET mai TFEX ในช่วงบ่ายของวันที่ 28 มี.ค.2568 ก่อนแจ้งเปิดการซื้อขายตามปกติในวันจันทร์ที่ 31 มี.ค.2568 แต่ด้วยความกังวลจากเหตุการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้ช่วงเปิดตลาดภาคเช้าดัชนีฯ ปรับตัวลงทันที โดยทำระดับต่ำสุดเอาไว้ที่ 1,155.05 จุด ต่ำสุดในรอบ 5 ปี (นับตั้งแต่เดือนมี.ค.2563) ถือเป็นสถิติไตรมาสแรกที่ดูไม่สวยเท่าใดนัก           ทั้งนี้ในไตรมาส 2/2568 นักวิเคราะห์ฯ ได้มีการประเมินกรอบดัชนีหุ้นไทย ต่ำสุดไว้ที่ 1,080-1,100 จุด และมีแนวต้านสูงสุดที่ 1,350 จุด ซึ่งปัจจัยกดดันยังเป็นเรื่องของสงครามการค้าฯ ที่มีโอกาสทวีความรุนแรงมากขึ้น แต่ก็ยังมีปัจจัยหนุน อย่างการเสนอขายของกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thailand ESG Extra Fund : Thai ESGX) คาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาพยุงหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 2 นี้           พร้อมแนะกลยุทธ์นักลงทุน ลงทุนในหุ้นรายตัว ที่ผลการดำเนินงานยังมีการเติบโตดี รวมถึงหุ้นปันผลสูง และหุ้น Value Play บล.พาย มอง SET ไตรมาส 2 ไร้สัญญาณบวก           นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.พาย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 2/2568 ยังไม่เห็นสัญญาณบวก เนื่องจากเศรษฐกิจไทย (GDP) ที่ยังเติบโตในระดับต่ำ โดยเครื่องยนต์ที่เป็นแรงขับเคลื่อนหลักยังดูอ่อนแอ ทั้งการบริโภคที่โตต่ำราว 3-4% จากหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ซึ่งคิดเป็น 89% ของ GDP ส่งผลกระทบมายังการลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวออกไป           ขณะที่การส่งออก และการท่องเที่ยว เผชิญแรงกดดันจากมาตรการทางภาษีของประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ในอัตราสูงถึง 25% จากปัจจุบันที่ระดับ 2.5% มีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เม.ย. และจะเริ่มดำเนินการเก็บภาษีในวันที่ 3 เม.ย.นี้ รวมถึงประกาศเก็บภาษีตอบโต้กับทุกประเทศ ทำให้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ           ประกอบกับในช่วงก่อนหน้านี้ เดือนม.ค.-ก.พ.2568 สหรัฐมีการเร่งการนำเข้า ทำให้ตัวเลขการส่งออกเติบโตดี แต่มองว่าจากนี้ไปการส่งออกที่เคยเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก อาจไม่ถึงแล้ว           ส่วนภาคการท่องเที่ยว เจอผลกระทบจากแผ่นดินไหว ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวชะลอการเข้ามาประเทศชั่วคราว ขณะที่ภาพรวม 3 เดือนแรกโตได้เพียง 3% จากทั้งปีตั้งเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวไว้ที่ 38-39 ล้านคน มองว่าอาจไปไม่ถึงเป้าหมายดังกล่าว           “การลงทุนในไตรมาส 2/2568 เป็นภาวะซึมๆ จากมาตรการทางการค้าของสหรัฐที่คอยกดดันภาพรวม และเศรษฐกิจไทยที่เติบโตในระดับต่ำ โดยสภาพัฒน์ ได้คาดการณ์ GDP ปีนี้เติบโตเหลือเพียง 2.1% และอาจเห็นการปรับลดคาดการณ์ของสำนักวิจัยอื่นเพิ่มเติมด้วย” *Sector หลักไร้แรงขับเคลื่อน กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ที่เป็น Sector ใหญ่ในตลาดหุ้นไทย ภาพรวมในไตรมาส 2/2568 ยังไม่ดี เป็นไปตามทิศทางเศรษฐกิจโลก และผลกระทบจากสงครามการค้าฯ ซึ่งจะคาดหวังให้เป็นตัวที่ผลักดันตลาดนั้นเป็นไปได้ยากมาก กลุ่มสื่อสาร คาดผลการดำเนินงานทรงตัว เป็นไปตาม GDP กลุ่มธนาคารพาณิชย์ มองกลาง-ลบเล็กน้อย แม้ว่าราคาหุ้นไม่แพง และมีปันผลดี แต่การเติบโตไม่เด่น โดยเฉพาะในแง่ของสินเชื่อธนาคารที่ไม่โต จากการเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งการเติบโตจะมาจากการลดค่าใช้จ่าย การตั้งสำรองฯ ที่ลดลง กลุ่มค้าปลีก ยังดูเหนื่อย แนะนำให้ดูเป็นรายตัว เช่น กลุ่มค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง ตกแต่งบ้าน จากความต้องการซ่อมบ้านหลังแผ่นดินไหว กลุ่มท่องเที่ยว ยังยากที่จะเติบโต จากคาดจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าไทยน้อยลงกว่าเป้าหมาย           ให้กรอบแนวรับไว้ที่ 1,100 จุด และแนวต้าน 1,250 จุด เนื่องจากกังวลว่านโยบายภาษีของทรัมป์จะรุนแรงขึ้น แต่ก็มีความหวังจากกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thailand ESG Extra Fund : Thai ESGX) ที่เตรียมเสนอขายในไตรมาส 2/2568 เข้ามาพยังหุ้นไทย *ชู 4 หุ้นเด่น ผลงานโต นายวทัญ แนะกลยุทธ์การลงทุน เน้นลงทุนหุ้นเป็นรายตัว ที่มีผลประกอบการดี และมีปันผล ประกอบด้วย กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ได้แก่ BBL ราคาเป้าหมายที่ 172 บาท, KBANK ราคาเป้าหมาย 180 บาท Commerce ได้แก่ CPALL ราคาเป้าหมาย 80 บาท ศูนย์การค้า ได้แก่ CPN ราคาเป้าหมาย 80 บาท บล.หยวนต้า ลุ้น SET ฟื้นครึ่งหลัง Q2           นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในไตรมาส 2/2568 ตลาดหุ้นไทยยังโดนกดดันจากสงครามการค้าฯ, การขึ้นเครื่องหมาย XD ของหุ้นขนาดใหญ่หลายตัว และ Sell in May ซึ่งเป็นความเชื่อที่ว่าตลาดหุ้นในเดือนพ.ค.มักจะปรับตัวลงบ่อยครั้ง ทำให้ SET น่าจะเคลื่อนไหว “ทรงตัว” ในช่วงครึ่งไตรมาส และน่าจะปรับตัวขึ้นได้ในครึ่งหลังของไตรมาส 2 นี้ เป็นผลจากคาดการณ์ที่ว่า บริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) จะรายงานผลการดำเนินงาน หรือกำไรออกมาดี รับอานิสงค์จากมาตรการ  Easy E-Receipt และการส่งออกในไตรมาส 1/2568 ที่เติบโต ขณะเดียวกันยังมีแรงหนุนจากกองทุน Thai ESGX ที่คาดหวังจะมีเม็ดเงินใหม่เข้ามาราว 1-2 หมื่นล้านบาท ในช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย.นี้ ให้กรอบแนวรับไว้ที่ 1,100-1,150 จุด และแนวต้าน 1,250-1,300 จุด มองว่าหากผ่านพ้นสงครามการค้าฯ ไปได้ มีโอกาสที่ SET จะเด้งสูง และตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกเกณฑ์ควบคุม Naked Short Selling คาดช่วงจำกัดดาวไซด์ แนะลงทุน 6 หุ้น ธีมปันผลสูง (Dividend Plays) และ Value Play  ได้แก่ 3BBIF CPALL GULF LH PTTGC BAM บล.ทิสโก้ ลุ้น SET เด้งหลังสงกรานต์ ชี้ต้นเดือนเม.ย.จังหวะเหมาะสะสมหุ้น            นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า นับตั้งแต่ต้นปีดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงมาแล้วกว่า -17% ในช่วงหลังจากนี้บล.ทิสโก้มองว่าดัชนีหุ้นไทยจะเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น จากปัจจัยสนับสนุนทั้งในและต่างประเทศ คือ การซื้อหุ้นคืน - นับตั้งแต่ต้นปี มีบริษัทจดทะเบียนไทยหลายแห่งประกาศซื้อคืนหุ้นรวมวงเงินกว่า 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งสูงกว่ามูลค่าในปีที่แล้วทั้งปี บล. ทิสโก้มองส่งผลดีต่อราคาหุ้นโดยตรงและแนวโน้มการซื้อหุ้นคืนในปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง TESGX - ถึงแม้บล. ทิสโก้ไม่ได้คาดว่าจะมีเม็ดเงินจาก LTF สูงถึง 3 ใน 4 หรือ 75% แปลงเป็น TESGX และมีเม็ดเงินลงทุนใหม่ราว 2-3 หมื่นล้านบาทไหลเข้า TESGX เหมือนกับที่ทางการประเมินไว้ แต่ก็น่าจะช่วยพยุงตลาดได้ไม่มากก็น้อยในระยะสั้น แนวโน้มสภาพคล่องเพิ่มขึ้น – นอกจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะลดปริมาณการลดสภาพคล่องในระบบลง (QT Tapering) จากเดิมเดือนละ 5 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ เหลือเดือนละ 5 พันล้านดอลลาร์ฯ สภาพคล่องมีแนวโน้มสูงขึ้นชั่วคราวในช่วงไตรมาส 2 นี้หลังจากที่หนี้สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นชนเพดานแล้ว ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ มีแต่การใช้จ่ายเงินออกไปจากบัญชีเงินฝากหลัก (TGA)  ภาพนี้จะคล้ายกับช่วงปี 2566 ที่หนี้สหรัฐฯ ขึ้นชนเพดาน ทำให้สภาพคล่องในระบบสูงขึ้นและสามารถขับเคลื่อนหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นกว่า 8% ในช่วงไตรมาส 2 ของเวลาดังกล่าว การผลักดันร่างกฎหมายลดภาษีของสหรัฐฯ - พรรครีพับลิกันเตรียมผลักดันร่างกฎหมายลดภาษีมูลค่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ฯ ควบคู่กับการตัดงบประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์ฯ ในระยะ 10 ปี คาดว่าจะเห็นความคืบหน้าในช่วงไตรมาส 2 นี้ และมีผบบังคับใช้ในช่วงปลายปีนี้           “ปกติในช่วงครึ่งแรกเดือนเม.ย. จะเป็นช่วงที่มีวันหยุดต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนมักเลือกชะลอการลงทุนชั่วคราว อย่างไรก็ดีหลังผ่านพ้นช่วงหยุดยาว บล.ทิสโก้ คาดว่านักลงทุนจะกลับเข้าสู่ตลาดมากขึ้นในช่วงครึ่งเดือนหลัง ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยหลังสงกรานต์มักกลับมาคึกคักขึ้น  จากการศึกษาความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในช่วงหลังสงกรานต์นับตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา SET Index มีโอกาสสูงถึง 74% ที่จะปรับตัวขึ้น และให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ย +1.4% ผสานกับช่วงครึ่งเดือนแรกคาดจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ของทรัมป์และซึมซับในราคาหุ้นมากแล้ว เพราะฉะนั้นนักลงทุนอาจหาจังหวะทยอยสะสมในช่วงครึ่งเดือนแรก เพื่อหวังผลในช่วงครึ่งเดือนหลัง” นายอภิชาติ กล่าว           ทั้งนี้ บล.ทิสโก้แนะนำเลือกลงทุนหุ้นที่แนวโน้มงบไตรมาส 1/2568 เติบโต ได้รับผลกระทบจำกัดจากสงครามการค้า แนะนำ BJC, CPN, EKH ผสานกับหุ้นที่คาดว่าจะมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวหนุนราคาหุ้น Outperform ในระยะสั้น เด่น AEONTS, HMPRO, PTTEP, SCCC ดังนั้น           หุ้นเด่นที่บล.ทิสโก้ แนะนำในเดือน เม.ย. คือ AEONTS, BJC, CPN, EKH, HMPRO, PTTEP และ SCCC  ด้านแนวรับสำคัญของดัชนีหุ้นไทยเดือนนี้อยู่ที่ 1,150 - 1,100 จุด และแนวต้านสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,190 - 1,200 จุด ตามลำดับ           สำหรับปัจจัยที่ต้องจับตามองในช่วงนี้ คือ ในวันที่ 2 เม.ย.2568 สหรัฐฯ จะประกาศภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศกลุ่มเสี่ยงที่จะถูกเก็บภาษีดังกล่าว เพราะเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ และมีส่วนต่างของภาษีกับสหรัฐฯ ในระดับค่อนข้างสูง โดยหากสหรัฐฯ บังคับใช้ Reciprocal Tariffs กับประเทศไทยด้วยการขึ้นภาษีโดยเฉลี่ยราว 5% (อิงมาจากส่วนต่างของอัตราภาษีที่ไทยเรียกเก็บสูงกว่าสหรัฐฯ โดยเฉลี่ย) คาดจะส่งผลกระทบเชิงลบ (Downside Risk) ต่อ GDP ไทยในปีนี้ราว 0.3-0.5% จาก GDP ปีนี้ที่ บล.ทิสโก้คาดว่าจะโต 2.8%           อย่างไรก็ดีสัญญาณล่าสุดจากทรัมป์ระบุว่า Reciprocal Tariffs จะมีความยืดหยุ่นและในมุมมองของบล.ทิสโก้เชื่อว่าจะถูกใช้แบบเฉพาะในกลุ่มสินค้าหรือกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (Targeted Tariffs) มากกว่าที่จะใช้เป็นวงกว้างในทุกกลุ่มสินค้า (Broad-based Tariffs) และอาจเปิดช่องในการเจรจาด้วยการทิ้งระยะเวลาการมีผลบังคับใช้อย่างน้อย 30 วันอย่างที่เคยทำมาในช่วงต้นปีนี้           ด้านทางเลือกการลงทุนหุ้นต่างประเทศ ภาพรวมตลาดหุ้นโลกในเดือนที่ผ่านมาเริ่มเผชิญแรงเทขายโดยเฉพาะในหุ้นสหรัฐฯ (NASDAQ -8% และ S&P500 -6%) และบล.ทิสโก้มองว่าในเดือน เม.ย. มีความไม่แน่นอนสำคัญคือการขึ้นภาษีเพื่อตอบโต้นานาประเทศของทรัมป์ในวันที่ 2 เม.ย. ทำให้บล.ทิสโก้มองว่าช่วงต้นเดือนจะเป็นจังหวะในการสะสมหุ้นพื้นฐานดีที่สามารถผ่านสงครามการค้าได้และมีความสามารถในการแข่งขันสูง เช่น BYD และบล.ทิสโก้ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นจีน (SHCOMP +0.45%) และฮ่องกง (HSI +0.78%) เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ทำให้ DR แนะนำของบล.ทิสโก้ในเดือนนี้ ได้แก่ BYDCOM80 และ HK01 บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ คาด SET โอกาสฟื้นแตะ 1,300-1,350 จุด ใน Q2/68            นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา หัวหน้านักลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า แม้ตลาดหุ้นไทยยังมีแรงกดดันจากปัจจัยเชิงโครงสร้างและความไม่แน่นอนด้านภาษีการค้า แต่ Valuation ที่ปรับตัวลงต่ำกว่าระดับก่อนเกิด COVID-19 ทำให้เริ่มกลับมาน่าสนใจในแง่มูลค่า โดยคาดว่า SET Index มีโอกาสฟื้นขึ้นที่ระดับ 1,300 -1,350 จุดในช่วงไตรมาส 2/2568           InnovestX แนะนำให้นักลงทุนเน้นลงทุนในหุ้นคุณภาพสูง มีรายได้หลักจากในประเทศ และได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หุ้นเด่นที่แนะนำในไตรมาสนี้ ได้แก่ BCH กลุ่มโรงพยาบาลเชิงรับ พร้อมรายได้จากในประเทศ CPALL, CPF หุ้นบริโภคในประเทศที่ยังมีแนวโน้มฟื้นตัว KTB, TRUE กลุ่มธนาคารและเทคโนโลยีที่มีความแข็งแกร่ง           สำหรับต่างประเทศ แนะนำลงทุนในตลาดจีนและ Emerging Markets ที่ได้รับแรงหนุนจากนโยบายภาครัฐ โดยเน้นไปที่บริษัทที่มีเงินปันผลสูง มีสัดส่วนรายได้ภายในประเทศสูงและมีลักษณะเชิงรับ ได้แก่ Verizon, UnitedHealth, Iberdrola, Hong Kong Exchange, Trip.com, Tencent, Alibaba           นายรัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงาน Wealth Products & Strategy บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า ไตรมาส 2/2568 ตลาดการลงทุนยังเผชิญความผันผวนสูงจากมาตรการภาษี Reciprocal Tariffs ของสหรัฐฯ ที่อาจกระทบเงินเฟ้อและเศรษฐกิจโลก แม้ภาคเทคโนโลยียังมีแนวโน้มแข็งแกร่ง แต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจถูกกดดันจากความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ที่เพิ่มสูงขึ้นจากสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรง ทำให้ InnovestX แนะนำปรับลดสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากมีความน่าสนใจลดลง และมีความเห็นเป็นกลางกับหุ้นไทยแต่เริ่มมอง downside จำกัดและมีโอกาสฟื้นตัวได้ระยะสั้น ขณะเดียวกันมีมุมมองด้านบวกสำหรับตลาดจีน โดยเฉพาะหุ้น A-Shares เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากมาตรการภาครัฐและการหันกลับมาสนับสนุนภาคเอกชน และสำหรับตลาดเวียดนามจากประเด็นโอกาสการยกระดับตลาดหุ้นขึ้นสู่ Emerging market พร้อมแนะนำกระจายพอร์ตสู่สินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ตราสารหนี้ ซึ่งมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่มั่นคงในภาวะความผันผวนสูง           ทั้งนี้ หุ้นเชิงรับ (Defensive Stocks) อย่าง Healthcare และ Utility คาดว่าจะยังคงให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นเติบโต (Growth Stocks) โดยนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงสามารถพิจารณากองทุนตราสารหนี้ เช่น UGIS-N ควบคู่กับกองทุนหุ้นต่างประเทศ อย่างหุ้นจีน A-Sharesกองทุน KFCSI300-A และหุ้นเวียดนาม กองทุน PRINCIPAL VNEQ-A รวมถึงกองทุนหุ้นเชิงรับอย่าง  LHHEALTH-A ซึ่งเน้นกลุ่ม Healthcare เพื่อสร้างสมดุลพอร์ตในภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน บล.กรุงศรี มอง Q2/68 อาจเห็น SET เจอฐาน และค่อยๆ ฟื้นตัว           ทีมกลยุทธ์ บล.กรุงศรี ประเมิน SET ไตรมาส 2/2568 เจอฐาน และ ค่อยๆ ฟื้นตัว โดยมีกรอบแนวรับ 1,130-1,080จุด แนวต้าน 1,268-1,340 จุด แนะนำถือน้ำหนักหุ้นไทย 50% , หุ้นต่างประเทศลดลงเหลือ 20% พันธบัตร 20% และสินทรัพย์ทางเลือก 10% ปัจจัยหนุนการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทย มาตรการระยะสั้น : กองทุน ThaiESGX รองรับเงินจาก LTF ที่ครบก าหนด 1.6 แสนล้านบาท บรรเทา Overhang ในตลาด มาตรการระยะกลาง-ยาว: ThaiESGX พิเศษ (พ.ค.-มิ.ย. 2025), กองทุน TISA และ "หวยเกษียณ" สร้างฐานเงินลงทุนระยะยาว นโยบายการเงิน-การคลังที่สอดประสาน: ธปท. ลดดอกเบี้ยนโยบาย, มาตรการ "คุณสู้เราช่วย", การผ่อนปรน LTV การเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน Digital Wallet เฟส 3 และเร่งประมูลโครงการขนาดใหญ่ การลงทุนจากต่างชาติในโครงการ Data Center (สิงคโปร์, จีน, สหรัฐ) หนุน New S Curve แนะนำลงทุน 3 ธีมหลัก Deep Value Stocks ที่มีส่วนลดเทียบค่าเฉลี่ยระยะยาวสูง มีความมั่นคง และมี ESG Score ที่ดี Thailand Structural Reform หุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง Thailand New Investment Cycle ในกลุ่มอุตสาหกรรม New S Curve โดยมีหุ้นเด่นในไตรมาส 2/2568 ได้แก่ BDMS, CPALL, MINT, KBANK, MTC, LH, ADVANC ส่วน Mid-Small Cap Play : BCH, BTS, JMT, ERW, AMATA ความเสี่ยงที่ต้องติดตาม Trade War 2.0 ที่อาจรุนแรงเกินคาด ส่งผลต่อเงินเฟ้อและการลดดอกเบี้ยของ Fed ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ตึงเครียดตั้งแต่ 22 มี.ค.2568 ประเด็นการส่งกลับชาวอุยกูร์ กระทบการเจรจา FTA กับสหรัฐและยุโรป หนี้ครัวเรือนระดับสูง 85-90% ของ GDP เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของการบริโภค นักท่องเที่ยวจีนเสี่ยงต่ำกว่าเป้า จากประเด็นความปลอดภัยและปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์           ดัชนีเป้าหมายสำหรับ SET ในปีนี้ กำหนดไว้ที่ 1,418 จุด (ปรับลดจาก 1,660 จุด) โดยใช้สมมติฐานกำไรตลาดปี 2567 ที่ 90 บาทต่อหุ้น (ปรับลดจาก 95 บาท) ตามหลักอนุรักษ์นิยมเพื่อสะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ช้ากว่าคาด รวมถึงความเสี่ยงจากผลกระทบของมาตรการกีดกันการค้าต่อราคาน้ำมัน           นอกจากนี้ ได้มีการปรับลด Target PER เหลือ 15.7 เท่า จากเดิม 17.3 เท่า อันเนื่องมาจากภาพเม็ดเงินลงทุนภายในที่อยู่ในช่วงรอยต่อเพื่อฟื้นตัวจากโซนฐานแรงขับเคลื่อนหลักสำหรับตลาดในระยะถัดไป

ก.ล.ต. พร้อมออกเกณฑ์รองรับจัดตั้ง-จัดการ Thai ESGX

ก.ล.ต. พร้อมออกเกณฑ์รองรับจัดตั้ง-จัดการ Thai ESGX

          หุ้นวิชั่น - ก.ล.ต. พร้อมดำเนินการออกเกณฑ์รองรับการจัดตั้งและจัดการกองทุน Thai ESGX ที่สอดรับกับแนวนโยบายของภาครัฐ โดยเปิดให้ บลจ. ยื่นขอจัดตั้งกองทุนรวมได้ภายในเมษายน 2568 รองรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF และเงินลงทุนใหม่ ในช่วงพฤษภาคมถึงมิถุนายน 2568 พร้อมเน้นย้ำ บลจ. และตัวแทนขายหน่วยลงทุน ให้ความสำคัญกับการให้ข้อมูลผู้ลงทุนเกี่ยวกับเงื่อนไขในการรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามมาตรการที่ภาครัฐกำหนด           ตามที่คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 มีมติเห็นชอบหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ร่างกฎกระทรวงฯ) ตามมาตรการ การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อสนับสนุนการลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน (ESG) และเพิ่มเสถียรภาพตลาดทุนไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ได้แก่ การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับเงินลงทุนใหม่ในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESGX) และการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)ไป Thai ESGX ในช่วงเวลาที่กำหนด 2 เดือน ตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด           นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า “คณะกรรมการกำกับตลาดทุน (ก.ต.ท.) ในการประชุมครั้งที่ 3/2568 เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568 มีมติเห็นชอบหลักการปรับปรุงหลักเกณฑ์เพื่อรองรับการจัดตั้งและจัดการ Thai ESGX ที่สอดรับกับแนวนโยบายของภาครัฐ โดย ก.ล.ต. จะเร่งเดินหน้าออกประกาศรองรับการจัดตั้งและจัดการ Thai ESGX ให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) สามารถยื่นขอจัดตั้งกองทุนรวมดังกล่าวได้ภายในเดือนเมษายน 2568 เพื่อรองรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF และเงินลงทุนใหม่สำหรับการลงทุนในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน 2568           นอกจากนี้ ก.ล.ต. ได้มีการหารือร่วมกับ บลจ. และตัวแทนขายหน่วยลงทุนทุกแห่ง เพื่อซักซ้อมความเข้าใจและเน้นย้ำให้ผู้ประกอบธุรกิจให้ความสำคัญในการสื่อสารกับผู้ถือหน่วยลงทุน LTF เกี่ยวกับเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ทางภาษีใหม่ภายใต้ Thai ESGX และหากผู้ถือหน่วยลงทุน LTF รายใดแจ้งความประสงค์ที่จะใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี บลจ. และตัวแทนขายหน่วยลงทุนจะต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับเงื่อนไขของการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ไป Thai ESGX ที่ต้องดำเนินการให้ครบทุกกองทุน ทุก บลจ. เพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขในการรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามมาตรการที่ภาครัฐกำหนดด้วย”           ทั้งนี้ เพื่อให้สอดรับกับแนวนโยบายของภาครัฐ ก.ต.ท. มีมติเห็นชอบหลักการให้ Thai ESGX ลงทุนในทรัพย์สินที่ผู้ออกเป็นภาครัฐไทยหรือกิจการที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ที่มีคุณสมบัติด้านความยั่งยืนตามหลักเกณฑ์เดียวกับกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) ที่ต้องลงทุนในผลิตภัณฑ์กลุ่มความยั่งยืน โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV โดย Thai ESGX ต้องลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืนโดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของ NAV รวมทั้ง ต้องเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนของกองทุนรวมตามหลักเกณฑ์กองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (SRI Fund) เพื่อที่ผู้ลงทุนจะได้รับข้อมูลที่เพียงพอประกอบการตัดสินใจลงทุน นอกจากนี้ Thai ESGX จะได้รับสิทธิยกเว้นค่าธรรมเนียมคำขอจัดตั้งและแก้ไขโครงการจาก ก.ล.ต. เช่นเดียวกับ SRI Fund ด้วย* สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามร่างกฎกระทรวงฯ เพื่อสนับสนุนการลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืนและเพิ่มเสถียรภาพตลาดทุนไทย สำหรับผู้ลงทุนใน Thai ESGX โดยแบ่งวงเงินสิทธิประโยชน์ทางภาษีออกเป็น 2 วงเงิน** ประกอบด้วย วงเงินที่ 1 สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจลงทุนใน Thai ESGX ในช่วงเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน 2568 วงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมิน เฉพาะในส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาท โดยต้องถือครองหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี (วันชนวัน นับแต่วันที่ลงทุน) วงเงินที่ 2 สำหรับผู้ถือหน่วยลงทุนที่สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF เดิม ที่ถือทั้งหมดใน LTF ทุกกองทุนในทุก บลจ. (ไม่รวม class หน่วยภาษีอื่นภายใต้กองทุนเดียวกัน เช่น class SSF) มาเป็นหน่วยลงทุนของ Thai ESGX ในช่วงเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน 2568 วงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด 500,000 บาท โดยทยอยลดหย่อน 5 ปี ตั้งแต่ปีภาษี 2568 – 2572 ในปีแรก (2568) วงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด 300,000 บาท และปีที่ 2 – 5 (2569 - 2572) วงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุดปีละ 50,000 บาท           ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมของ Thai ESGX ได้ที่เว็บไซต์ ก.ล.ต. www.sec.or.th หรือ https://www.sec.or.th/Documents/News/Attach/11616/QA%20Thai%20ESGX%20110368.pdf หมายเหตุ : * หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (SRI Fund) กำหนดให้ บลจ. ที่บริหารจัดการ SRI Fund ต้องเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนภายใต้มาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลเดียวกัน เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเปรียบเทียบข้อมูลระหว่าง SRI Fund ได้อย่างสะดวก และมีข้อมูลที่เพียงพอประกอบการตัดสินใจลงทุน อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงด้านการฟอกเขียว (greenwashing) โดย ก.ล.ต. ได้ประกาศยกเว้นค่าธรรมเนียมประกอบด้วยค่าธรรมเนียมคำขออนุมัติจัดตั้ง 100,000 บาท ต่อกองทุนรวม และค่าธรรมเนียมคำขอแก้ไขเพิ่มเติมโครงการจัดการกองทุนรวม ไม่เกิน 5,000 บาท ต่อกองทุนรวม ** เงินหรือผลประโยชน์ที่ได้จากการขายคืนหน่วยลงทุน จะได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษี ถ้าการลงทุนเป็นไปตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรประกาศกำหนด

9 หมื่นล. LTF ไม่เข้า TESGX รอขายคืนกดหุ้นไทยต่อ

9 หมื่นล. LTF ไม่เข้า TESGX รอขายคืนกดหุ้นไทยต่อ

          “ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า ความตึงเครียดระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ยังกระทบต่อ sentiment ของตลาด อีกทั้งกองทุน LTF ที่ไม่ได้ย้ายไป TESGX ซึ่งน่าจะเหลืออีกประมาณ 9 หมื่นล้านบาท สามารถขายคืนได้ตลอดเวลา จึงยังคงสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นไทย”           หุ้นวิชั่น- ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า เมื่อวันที่ 11 มี.ค.68 รัฐบาลประกาศจะให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาทแก่ผู้ถือหน่วย ลงทุนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่ย้ายการลงทุนใน LTF มาอยู่ในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน แบบพิเศษที่จัดตั้งขึ้นใหม่คือ “TESGX” โดยกำหนดให้สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีในปีนี้ได้ 300,000 บาท ส่วนอีก 200,000 บาทจะใช้สิทธิลดหย่อนได้ปีละ 50,000 บาทเป็นเวลา 4 ปี           อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหน่วยลงทุน จะต้องแจ้งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนและโอนหน่วยลงทุน LTF ที่เหลือไปยังกองทุน TESGX ใหม่ ภายในเดือนมิ.ย. 68 นอกจากนี้กระทรวงการคลังยังให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาทแก่นักลงทุนที่ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน TESGX ช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย.68 และถือจนครบ 5 ปี           กระทรวงการคลังประเมินว่า น่าจะมีเงินลงทุนในกองทุน LTF 1.8 แสนล้านบาทหรือ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ประมาณ 75% ย้ายเข้ามาลงทุนใน TESGX และคาดว่าจะมีเม็ดเงินใหม่เข้าสู่กองทุนอีกราว 3 หมื่นล้านบาท เท่ากับกระทรวงการคลังคาดว่าจะมีเงินลงทุนในกองทุน TESGX ราว 1.65 แสนล้านบาท ขณะที่กองทุน TESGX จะต้องลงทุนอย่างน้อย 65% ในหุ้นที่ปฏิบัติตามหลักการ ESG อย่างเคร่งครัดและมากกว่า 80% ในสินทรัพย์ที่กองทุนสามารถลงทุนได้ คล้ายกันกับ TESG ส่วนที่เหลืออีก 20% จะลงทุนในโทเคนดิจิทัลเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม/เพื่อความยั่งยืน           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI  คาดว่า น่าจะมีเงินลงทุนใน LTF เพียงครึ่งเดียวที่จะย้ายมาลงทุนใน TESGX ใหม่ ส่วนเม็ดเงินใหม่ที่จะเข้ามาลงทุนใน TESGX น่าจะอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท โดยเชื่อว่าการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี/กองทุนอาจเป็นความพยายามของรัฐที่จะชดเชยประเด็นความล่าช้าในการแจกเงินให้กับคนไทยที่มีอายุ 16-20 ปี จำนวน 2.7 ล้านคนภายใต้โครงการดิจิทัล วอลเล็ตเฟส 3 ซึ่งรัฐบาลวางแผนจะแจกเงินในช่วงไตรมาส 2/68 และไตรมาส 3/68 นี้ ขณะที่การแจกเงินเฟส 4 ให้กับคนไทยที่มีอายุ ระหว่าง 21-60 ปียังไม่แน่นอน           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า ความตึงเครียดระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ยังกระทบต่อ sentiment ของตลาด อีกทั้งกองทุน LTF ที่ไม่ได้ย้ายไป TESGX ซึ่งน่าจะเหลืออีกประมาณ 9 หมื่นล้านบาท สามารถขายคืนได้ตลอดเวลา จึงยังคงสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นไทย           ทั้งนี้ เชื่อว่าถึงแม้สิทธิประโยชน์ทางภาษีล่าสุดที่รัฐบาลเพิ่งประกาศออกมาน่าจะช่วยให้ sentiment ของตลาดดี ขึ้น แต่ยังคงเป้าดัชนี SET สิ้นปีนี้อยู่ที่ 1,380 จุด เท่ากับ P/E 14 เท่า ในปี 69 หรือ -2SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี เพื่อสะท้อนปัจจัยลบทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ดังนั้นจึงยังแนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงและหุ้นในกลุ่มปลอดภัย           นอกจากนี้ ยังมองว่าหุ้นที่มีราคาร่วงลงแรงก่อนหน้านี้น่าจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าเมื่อ sentiment ตลาดกลับมาฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดทางการเมืองและการที่สหรัฐฯอาจปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยยังเป็น downside risk ส่วนสิทธิประโยชน์ทางภาษีใหม่น่าจะช่วยหนุนตลาด

ก.ล.ต.เผยแพร่ Q&A กองทุน Thai ESGX

ก.ล.ต.เผยแพร่ Q&A กองทุน Thai ESGX

Q : Thai ESGX คืออะไร ? A : กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thailand ESG Extra Fund : Thai ESGX) เป็นกองทุนรวมที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี รองรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF และเงินลงทุนใหม่ สำหรับการลงทุนในช่วงเวลาที่กำหนด 2 เดือน      ทั้งนี้ Thai ESGX ต้องลงทุนในทรัพย์สินที่ออกโดยผู้ออกหรือกิจการในประเทศไทยที่มีคุณสมบัติด้านความยั่งยืนตามหลักเกณฑ์เดียวกันกับกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV โดยจะต้องลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของ NAV   ประเภทสินทรัพย์ที่ Thai ESGX ต้องลงทุนในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ประกอบด้วย (1) หุ้นกลุ่มความยั่งยืนใน SET หรือ mai ไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของ NAV (2) ตราสารหนี้ในกลุ่มความยั่งยืน (3) โทเคนดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความยั่งยืน Q : มีเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ทางภาษี อย่างไร ? A : สิทธิประโยชน์ทางภาษีแบ่งออกเป็น 2 วงเงินใหม่ โดยไม่รวมกับกองทุนและประกันเพื่อรองรับการเกษียณการทำงานอื่น ๆ ภายใต้เงื่อนไข ดังนี้ Thai ESGX (วงเงินลดหย่อนที่ 1) สำหรับเงินใหม่ที่บุคคลธรรมดาลงทุนในกองทุน Thai ESGX เฉพาะปี 2568 สูงสุด 300,000 บาท วงเงินลดหย่อน : ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท (เฉพาะปี 2568) ระยะเวลาลงทุน : เปิดระยะให้ลงทุนภายใน 2 เดือน (คาดว่าเริ่มเปิดขายหน่วยได้ทุกวันทำการของเดือน พ.ค. - มิ.ย. 68) การถือครอง : ไม่น้อยกว่า 5 ปี (วันชนวัน นับแต่วันที่ลงทุน) Thai ESGX (วงเงินลดหย่อนที่ 2) สำหรับผู้ลงทุนที่สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF เดิม ที่ถือทั้งหมด ใน LTF ทุกกองทุนในทุก บลจ. มาเป็นหน่วยลงทุนของ Thai ESGX เพื่อรับเงินสิทธิลดหย่อนสำหรับ LTF เดิม สูงสุด 500,000 บาท วงเงินลดหย่อน : สูงสุด 500,000 บาท รวม ทยอยลดหย่อน 5 ปี ตั้งแต่ปีภาษี 2568 – 2572 ปีแรก (2568) : สูงสุด 300,000 บาท ปีที่ 2 - 5 (2569 - 2572) : สูงสุด ปีละ 50,000 บาท หน่วยลงทุนที่มีสิทธิ : หน่วยลงทุนที่ผู้ถือหน่วย LTF ถือครอง ณ วันที่ ครม. มีมติอนุมัติมาตรการข้างต้น (ไม่รวม class หน่วยภาษีอื่นภายใต้กองทุนเดียวกัน เช่น class SSF)       หมายเหตุ : ผู้ถือหน่วย LTF ที่ประสงค์ใช้สิทธิลดหย่อน ต้องสับเปลี่ยนจาก LTF ทุกกองทุน ในทุก บลจ. มา Thai ESGX ในช่วงระยะเวลาการสับเปลี่ยนที่กำหนด หากสับเปลี่ยนมาไม่ครบ จะไม่มีสิทธิใช้วงเงินลดหย่อนที่ 2 ได้  การถือครอง : Thai ESGX ที่สับเปลี่ยนจาก LTF รวมทั้งหมด ต้องถือครองไม่น้อยกว่า 5 ปี (วันชนวัน นับจากวันที่ส่งคำสั่งสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF เดิม มายังกองทุน Thai ESGX)       หมายเหตุ : การขายหน่วยลงทุนก่อนครบระยะเวลา 5 ปี จะต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับการยกเว้นและมีเบี้ยปรับตามที่กฎหมายหรือกฎเกณฑ์กำหนด นอกจากนี้ หากมีกำไรจากการขายหน่วยจะต้องนำกำไรนั้นมาคำนวณภาษีเงินได้ตามหลักเกณฑ์ทางภาษีด้วย ระยะเวลาในการสับเปลี่ยน : ภายใน 2 เดือน (คาดว่าเป็นช่วงเดียวกันกับการเปิดขายหน่วย Thai ESGX (วงเงินลดหย่อนที่ 1) คือ เริ่มเปิดให้สับเปลี่ยนหน่วย LTF มาเป็น Thai ESGX ได้ทุกวันทำการของเดือน พ.ค. - มิ.ย. 68) ทั้งนี้ การใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด   Q : ใครได้ประโยชน์ทางภาษีจากการลงทุนใน Thai ESGX ? A : วงเงินลดหย่อนที่ 1 สำหรับเงินใหม่ที่บุคคลธรรมดาลงทุนในกองทุน Thai ESGX ในช่วงเวลาที่เปิดขายหน่วยไม่เกิน 2 เดือน (คาดว่า พ.ค. - มิ.ย. ปี 2568) ลดหย่อนสูงสุด 300,000 บาท ผู้ลงทุนทุกคนที่เป็นผู้เสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาซึ่งรวมถึงผู้ถือหน่วย LTF ที่อยากลงทุนเพิ่มเติมนอกเหนือจากการได้รับสิทธิจากวงเงินลดหย่อนที่ 2 ด้วย วงเงินลดหย่อนที่ 2 สำหรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF เดิม มากองทุน Thai ESGX เพื่อรับเงินลดหย่อนสำหรับ LTF เดิม ลดหย่อนสูงสุด 500,000 บาท - ผู้ถือหน่วยกองทุนรวม LTF ที่มีชื่อเป็นผู้ถือหน่วยลงทุน ณ วันที่ คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติ ที่ได้สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ทั้งหมดในทุกกองทุน ทุก บลจ. ของผู้ถือหน่วยลงทุนรายนั้น ๆ มาเป็นหน่วยลงทุน Thai ESGX Q: กรณีผู้ถือหน่วยกองทุนรวม LTF ประสงค์จะย้ายไปกองทุนรวม Thai ESGX หากมีเงินลงทุนมากกว่า 500,000 บาท จะมีผลอย่างไร ? A: หากต้องการใช้สิทธิลดหย่อนวงเงินที่ 2 จะต้องสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ทั้งหมดในทุกกองทุน ทุก บลจ. ของผู้ถือหน่วยลงทุนรายนั้น ๆ มาเป็นหน่วยลงทุน Thai ESGX โดยหน่วยลงทุนที่สับเปลี่ยนมาแล้วรวมทั้งหมด ต้องถือครองตามเงื่อนไข ไม่น้อยกว่า 5 ปีด้วย (วันชนวัน นับจากวันที่ส่งคำสั่งสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF เดิม มากองทุน Thai ESGX)   Q : Thai ESGX วงเงินลดหย่อนที่ 1 (300,000 บาท) ให้สิทธิเฉพาะปี 2568 ? A : ใช่ Thai ESGX วงเงินลดหย่อนที่ 1 ให้สิทธิลดหย่อนเฉพาะในปี 2568 วงเงินลดหย่อนจากการลงทุนในช่วงระยะเวลา 2 เดือน ที่กำหนดในปี 2568 จะเป็นวงเงินสิทธิประโยชน์ทางภาษีแยกจากการลงทุนในกองทุน Thai ESG ปกติ ทั้งนี้ Thai ESGX จะสามารถเปิดขายได้้อีกครั้งตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป โดย Thai ESG และ Thai ESGX จะใช้วงเงินลดหย่อนเดียวกัน Q : สรุปแล้วในปีภาษี 2568 ผู้ลงทุนมีวงเงินที่สามารถลดหย่อนสำหรับการลงทุนในกอง ESG อย่างไรบ้าง      A : ทั้งนี้ ในปี 2568 มีกองทุนรวมกลุ่ม Thai ESG ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี 3 วงเงิน รวมสูงสุดไม่เกิน 900,000 บาท ดังนี้ เงินลงทุนใหม่สำหรับผู้ลงทุนทุกรายที่ลงทุนในหน่วยลงทุนของ Thai ESG ในปัจจุบัน โดยลดหย่อนไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท เงินลงทุนใหม่สำหรับผู้ลงทุนทุกรายที่ลงทุนใน Thai ESGX ในช่วงระยะเวลา 2 เดือนที่เปิดขายในปี 2568 โดยลดหย่อนไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท สำหรับผู้ถือหน่วย LTF ที่สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจาก LTF ทุกกองทุนไป Thai ESGX โดยมีวงเงินลดหย่อน ดังนี้ ปีแรก (2568) : สูงสุด 300,000 บาท ปีที่ 2 - 5 (2569 - 2572) : สูงสุดปีละ 50,000 บาท ***************

abs

ปตท. แข็งแกร่งร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน

พฤอา
311234567891011121314151617181920212223242526272829301234567891011