#TASCO


TASCO Q3 กำไรแกร่งโต 264% รับอานิสงค์งบประมาณรัฐบาลปี 67

TASCO Q3 กำไรแกร่งโต 264% รับอานิสงค์งบประมาณรัฐบาลปี 67

           นายชัยวัฒน์ ศรีวรรณวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยางมะตอย เพื่อใช้ในงานก่อสร้างและซ่อมบำรุงทาง เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯในไตรมาส 3/2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 9,099 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 735 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากรายได้รวมและกำไรสุทธิเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 28 และร้อยละ 264 ตามลำดับ            ในไตรมาส 3/2567 รายได้จากการขายและบริการของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 42 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของตลาดในประเทศที่ขึ้นสูงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่มีการจัดสรรงบประมาณปี 2567 ของรัฐบาลในช่วงปลายไตรมาส 2/2567 โดยยอดขายยางมะตอยในไตรมาส 3 อยู่ที่ 3.35 แสนตัน นอกจากนั้นราคาขายยางมะตอยยังปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากความต้องการยางมะตอยที่สูง ทั้งนี้ยอดขายในตลาดต่างประเทศมีปริมาณลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2566 โดยกลุ่มบริษัทฯ ยังคงใช้กลยุทธ์การขายแบบเลือกตลาดอย่างต่อเนื่องเป็นไปตามกลยุทธ์การขายแบบเลือกตลาดที่มีประสิทธิภาพ            อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ของปีที่ผ่านมาเป็นผลมาจากราคาขายผลิตภัณฑ์ยางมะตอยที่เพิ่มสูงขึ้นตามที่กล่าวข้างต้น            สำหรับธุรกิจก่อสร้างนั้นรายได้รวมอยู่ที่ 663 ล้านบาท ปรับตัวลงร้อยละ 42.97 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา การดำเนินงานหลักในไตรมาสนี้ยังคงมาจากโครงการก่อสร้างทางวิ่งที่ 3 สนามบินสุวรรณภูมิ และโครงการงานปรับปรุงคุณภาพดินบริเวณลานจอดอากาศยานประชิดอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 2 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (SAT-2)            “ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ที่ผ่านมานั้น เป็นไปตามความคาดหมาย จากการที่รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณปี 2568 เมื่อปลายไตรมาส 3 บริษัทฯ คาดว่าความต้องการยางมะตอยจะมีอย่างต่อเนื่องในไตรมาสหน้า” นายชัยวัฒน์ กล่าว            นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้รับการอนุมัติการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท ไทยสเลอรี่ ซิล จำกัด (“TSS”) จากคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 จากในปัจจุบันที่บริษัทฯถือหุ้น TSS ร้อยละ 62.5 เป็นร้อยละ 100.00 ซึ่งปัจจุบัน TSS เป็นบริษัทย่อยในกลุ่มธุรกิจก่อสร้างของกลุ่มบริษัททิปโก้แอสฟัลท์ การเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน TSS นี้จะส่งผลให้บริษัทฯ สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่มีมูลค่าสูงและเทคนิคการฉาบผิวถนนภายใต้เครื่องหมายการค้าของกลุ่มบริษัทฯ เข้าสู่อุตสาหกรรมก่อสร้าง รวมถึงการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการในการดำเนินธุรกิจของ TSS เพิ่มมากขึ้นและช่วยส่งเสริมศักยภาพในการแข่งขันและผลการดำเนินงานของ TSS ให้เติบโตมากขึ้น อีกทั้งเป็นการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างของบริษัทฯ และเป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนของบริษัทฯ ได้ดียิ่งขึ้น [PR News]

KSS คาดราคาน้ำมันดิบลงต่อ ชูอานิสงส์หุ้นการบิน โรงไฟฟ้า วัสดุก่อสร้าง

KSS คาดราคาน้ำมันดิบลงต่อ ชูอานิสงส์หุ้นการบิน โรงไฟฟ้า วัสดุก่อสร้าง

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาดราคาน้ำมันดิบปรับลงต่อ อิง Brent -2.61%d-d ปิดที่ USD 71.94/barrel น้ำมันดิบ West Texas -3.32%d-d ปิดที่ USD 68.04/barrel แรงกดดันมาจาก 1.)Dollar แข็งค่าต่อเนื่อง 2.)           ตลาดผิดหวังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนในช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว ไม่มีมาตรการกระตุ้นอสังหา การบริโภค 3.)คลายกังวล Supply น่ำมันที่หายไปจากพายุเฮอร์ริเคนในอ่าวเม็กซิโกจะ กลับมา           โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มที่มีต้นทุนน้ำมัน อาทิ กลุ่มสายการบิน เน้น AAV, BA กลุ่ม Anticommodity กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF กลุ่มวัสดุก่อสร้าง TASCO

จัดพอร์ตหุ้นรับวายุภักษ์ KTB-BBL-BCP น่าสะสม

จัดพอร์ตหุ้นรับวายุภักษ์ KTB-BBL-BCP น่าสะสม

หุ้นวิชั่น- บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุว่า การลงทุนที่น่าสนใจ หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากกองทุนวายุภักษ์รอบใหม่ โดยเลือกหุ้น SET100 ที่มีคุณสมบัติ 1) จ่ายเงินปันผลดี โดยให้ Dividend Yield ขั้นต่ำปีละ 3.5% 2) มี ESG Ratings สูงตั้งแต่ระดับ A-AAA และ CG ระดับ 5 ดาว และ 3) มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตได้ในปี 2025 เลือก KTB BBL BCP ADVANC HMPRO นักลงทุนที่ต้องการหุ้นเก็งกำไรซึ่งคาดได้อานิสงส์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง แนะนำ กลุ่มเช่าซื้อ (MTC TIDLOR) กลุ่มอสังหาฯ (AP SIRI) กลุ่มค้าปลีก (CPALL) กลุ่มโรงไฟฟ้า (GULF) กลุ่ม REITs (LHHOTEL DIF) นักลงทุนที่ต้องการหุ้นเก็งกำไรซึ่งได้อานิสงส์บวกจากสถานการณ์น้ำท่วม แนะนำ HMPRO GLOBAL CPALL BJC DCC และ TASCO ซึ่งจากสถิติปีที่เกิด La Nina หากลงทุนช่วงครึ่งหลัง ก.ย. และขายต้น พ.ย. คาดหวังจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 5.0%