ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#STECON


STECON พุ่ง 15.32% เก็งเงินเคลมประกันฯ- Q1/68 ลุ้นพลิกกำไร

STECON พุ่ง 15.32% เก็งเงินเคลมประกันฯ- Q1/68 ลุ้นพลิกกำไร

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กสิกรไทย ระบุ ราคาหุ้นของ บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (STECON) ที่ปรับตัวขึ้น 2 วันติดต่อกัน โดยวานนี้ บวก 12.73% และวันนี้บวกมาได้อีกกว่า 15% คาดมาจากการเก็งกำไร เงินเคลมประกันโครงการบึงหนองบอนที่คาดจะได้รับในครึ่งปีแรกนี้ อีกทั้งบริษัทมีแผนเปลี่ยนวิธีการบันทึกบัญชี เพื่อจะไม่ต้องรับรู้ ส่วนแบ่งขาดทุน (Share of loss) จาก MRT สายสีชมพู-เหลือง บริษัทฯ คาดจะดำเนินการแล้วเสร็จในไตรมาส 1/2568 ซึ่งจะหนุนให้พลิกกลับมามีกำไรอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส 1/2568

STECONจัด900ล.ซื้อหุ้นคืน ผลงานฟื้น-ปันผลGULFค้ำ

STECONจัด900ล.ซื้อหุ้นคืน ผลงานฟื้น-ปันผลGULFค้ำ

            หุ้นวิชั่น- บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ STECON มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน วงเงินไม่เกิน 900 ล้านบาท และจำนวนหุ้นซื้อคืนไม่เกิน 150 ล้านหุ้น คิดเป็น 9.87% ของหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัท โดยกำหนดระยะเวลาซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค.-17 ก.ย. 2025 (ที่มา: SET)             มีมุมมองเป็นบวก โดยแผนซื้อหุ้นคืนดังกล่าว imply ราคาซื้อคืนเฉลี่ย 6 บาท/หุ้น สูงกว่าราคาปัจจุบันราว +19% ทำให้เรามองว่าจะเป็น sentiment เชิงบวกต่อราคาหุ้นได้ สำหรับ 1Q25E เบื้องต้นประเมินผลการดำเนินงานปกติจะปรับตัวดีขึ้น YoY, QoQ หนุนโดย GPM ฟื้นตัวหลังบริษัทรับรู้ต้นทุนส่วนเพิ่มงานบึงหนองบอนทั้งหมดแล้วใน 4Q24 รายได้ก่อสร้างสูงขึ้นตามทิศทาง backlog และมีเงินปันผลจาก GULF             ทั้งนี้เราคงกำไรปกติปี 2025E ที่ 535 ล้านบาท พลิกฟื้นจากขาดทุนปกติปี 2024 ที่ -1.3 พันล้านบาท คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 7.00 บาท อิง 2025E PER 20x (-1SD below 5-yr average PER)

STECON คว้างานก่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ 2 แห่ง มูลค่า 1.6 หมื่นล.

STECON คว้างานก่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ 2 แห่ง มูลค่า 1.6 หมื่นล.

          หุ้นวิชั่น - หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (STECON) เปิดเผยว่า บริษัท ชิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชัน จำกัด (มหาชน) (STEC) บริษัทย่อยของบริษัทฯ ได้ลงนามสัญญาก่อสร้างโครงการ ดาต้าเซ็นเตอร์ CHN-1A และ โครงการ ดาต้าเซ็นเตอร์ CHN-2A โดยมีรายละเอียดดังนี้            1. ชื่อโครงการ: โครงการ ดาต้าเซ็นเตอร์ CHN-1A (สัญญาลงวันที่ 11 มีนาคม 2568)            เจ้าของโครงการ: บริษัท ควอตซ์ คอมพิวติ้ง จำกัด            ผู้ว่าจ้าง : บริษัท ควอตซ์ คอมพิวติ้ง จำกัด           ผู้รับจ้าง : บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น           มูลค่าโครงการ : 7,575,113,346 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)           ลักษณะงานก่อสร้าง : งานก่อสร้าง โครงสร้าง สถาปัตย์ และงานระบบ           ระยะเวลาการก่อสร้าง : 1 เมษายน 2568 ถึง 8 เมษายน 2570 2. ชื่อโครงการ: โครงการ ดาต้าเซ็นเตอร์ CHN-2A (สัญญาลงวันที่ 11 มีนาคม 2568)            เจ้าของโครงการ: บริษัท ควอตซ์ คอมพิวติ้ง จำกัด           ผู้ว่าจ้าง : บริษัท ควอตซ์ คอมพิวติ้ง จำกัด           ผู้รับจ้าง : บมจ.ชิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น            มูลค่าโครงการ : 8,376,164,306 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)           ลักษณะงานก่อสร้าง : งานก่อสร้าง โครงสร้าง สถาปัตย์ และงานระบบ           ระยะเวลาการก่อสร้าง : 1 เมษายน 2568 ถึง 11 กรกฎาคม 2570

STECON แบ็กล็อก 1.16 แสนล. ดันเป้ารายได้แตะ 4.5 หมื่นล.

STECON แบ็กล็อก 1.16 แสนล. ดันเป้ารายได้แตะ 4.5 หมื่นล.

           หุ้นวิชั่น –STECON เปิดแผนธุรกิจ ปักธงรายได้แตะ 4.5 หมื่นล้านบาทในปี 73 ขณะที่ปีนี้ตั้งเป้ารายได้เติบโต 5-10% แตะระดับ 3.2 หมื่นล้านบาท พร้อมเดินหน้าร่วมประมูลงานใหม่ รวม 4.5 แสนล้านบาท โชว์ Backlog เต็มหน้าตัก ณ สิ้นปี 67 ที่ 1.16 แสนล้านบาท เล็งคว้างานใหม่เพิ่ม 5 หมื่นล้านบาทในปีนี้ ใส่เกียร์ขยายธุรกิจด้านพลังงานและสาธารณูปโภค นายศิว์วิศว์ อนันตกุล ผู้จัดการแผนกนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้แตะ 45,000 ล้านบาท ในปี 2573 ขณะที่ 2568 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 5-10% หรือประมาณ 32,000 ล้านบาท โดยคาดว่ารายได้จากธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง แต่จะมีรายได้จาก ธุรกิจใหม่เข้ามาเสริมประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยธุรกิจใหม่จะสามารถช่วยสนับสนุนการเติบโตของรายได้และเป็นการกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง            ขณะที่ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ณ สิ้นปี 2567 บริษัทมี งานในมือ หรือ Backlog ที่ 1.16 แสนล้านบาท และมีเป้าหมายในการรับงานใหม่ปีนี้ 50,000 ล้านบาท สำหรับ โครงการประมูลของภาครัฐและเอกชนที่บริษัทเตรียมเข้าประมูล มูลค่าประมาณ 451,412 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการขยาย ธุรกิจใหม่ โดยเน้นพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อลดต้นทุน รวมถึงศึกษาธุรกิจด้าน พลังงานสะอาดและดิจิทัล เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม            ด้าน โครงการ Mars Water ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจของบริษัท มีแผนเปิด 3 โรงงาน โดยปัจจุบันเปิดดำเนินการแล้ว 2 แห่ง และเตรียมเปิดแห่งที่ 3 ในช่วงปลายปีนี้ คาดว่ารายได้ไตรมาสแรกปี 2568 จะได้รับจากโครงการนี้ รวมถึงโครงการ มอเตอร์เวย์ M81 ซึ่งเป็นรายได้ที่เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ (Recurring income)            สำหรับ โครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีชมพู ขณะนี้ใกล้แล้วเสร็จ โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในเดือน พฤษภาคม 2568 ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางไปยังสถานที่จัดคอนเสิร์ต ขณะที่ โครงการพัฒนาอู่ตะเภา คาดว่าจะสามารถเริ่มก่อสร้างได้ภายในครึ่งปีแรกนี้ ทั้งนี้ บริษัทยังมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยตั้งเป้าควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ที่ระดับ 1-2% ของกำไรสุทธิ พร้อมเดินหน้าศึกษาโครงการใหม่เพิ่มเติม เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว

abs

ปตท. แข็งแกร่งร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน

STECON ปี 68 ฟ้าหลังฝน โกลเบล็กปรับคำแนะนำ

STECON ปี 68 ฟ้าหลังฝน โกลเบล็กปรับคำแนะนำ "ซื้อ"

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง STECON ว่า บริษัทรายงานผลขาดทุนในไตรมาส 4 ปี 2567 ที่ 2,288 ล้านบาท โดยขาดทุนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) สาเหตุหลักมาจากการตั้งสำรองโครงการ CFP ของ TOP จำนวน 1,012 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายด้อยค่าในอาคารชุด 170 ล้านบาท และการตั้งค่าเผื่อซ่อมแซมอุโมงค์ระบายน้ำบึงหนองบอน รวมถึงการปรับปรุงระบบความปลอดภัยของ MRT สายสีชมพูและสายสีเหลือง รวมกันราว 800 ล้านบาท            บริษัทมีรายได้ในปี 2567 อยู่ที่ 29,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับปีก่อน อย่างไรก็ตาม บริษัทพลิกกลับมาขาดทุน 2,400 ล้านบาทจากที่เคยมีกำไร            สำหรับแนวโน้มในปี 2568 ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้เติบโต 10% สู่ระดับ 32,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะรับรู้รายได้จาก Backlog ที่มีอยู่ราว 90,000 ล้านบาท และมีแผนเข้าร่วมประมูลงานใหม่ ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่ารวมประมาณ 450,000 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้าจะได้รับงานใหม่ราว 50,000 ล้านบาท และคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะกลับมาอยู่ที่ระดับปกติที่ 7% เนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมบึงหนองบอนอีกต่อไป อีกทั้งงานใหม่ที่เข้าประมูลมีอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยที่ 7% นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 จะสามารถปิดดีลการลงทุนใน Data Center และ Startup ได้อย่างละ 1 โครงการ            เรามีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการของบริษัท เนื่องจากคาดว่าผลการดำเนินงานได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และมีโอกาสพลิกกลับมามีกำไรในไตรมาสแรกของปี 2568 อีกทั้งบริษัทไม่มีภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมบึงหนองบอนอีกต่อไป ขณะเดียวกัน บริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการเคลมประกันค่าซ่อมแซม ซึ่งคาดว่าจะได้รับเงินคืนภายในครึ่งแรกของปี 2568 นอกจากนี้ การที่ภาครัฐเตรียมเปิดประมูลงานใหม่มูลค่าราว 450,000 ล้านบาท จะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อราคาหุ้น เราจึงปรับคำแนะนำจาก "ซื้อเก็งกำไร" เป็น "ซื้อ"

2 โบรกมองบวก STECON ประสานเสียงเชียร์ “ซื้อ”

2 โบรกมองบวก STECON ประสานเสียงเชียร์ “ซื้อ”

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน STECON มีแนวโน้มพลิกกลับมาทำกำไรปี 2568 หลังผ่านช่วงขาดทุนหนัก โดย บล.ดาโอ ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น "ซื้อ" พร้อมเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 7.00 บาท ในขณะที่ บล.เคจีไอ คงราคาเป้าหมายที่ 8.50 บาท โดยมี upside อยู่ราว 57% จากราคาปิดหุ้นล่าสุด ดังนั้นปรับเพิ่มคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” จาก “ถือ” STECON ปลุกผลงานฟื้น ดาโอ อัพเป้าเป็น 7 บาท           บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุุถึง STECON ปรับคำแนะนำหุ้น STECON ขึ้นเป็น "ซื้อ" (จากเดิม "ถือ") และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 7.00 บาท (จากเดิม 4.00 บาท) โดยอิงจาก 2025E PER ที่ 20x (-1SD below 5-yr average PER). การปรับคำแนะนำนี้มาจากมุมมองบวกหลังการประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวันที่ 5 มี.ค. โดยประเด็นสำคัญคือ 1) การตั้งเป้ารายได้ปี 2025E อย่างน้อย 3.2 หมื่นล้านบาท โต +5-10% YoY ซึ่งใกล้เคียงกับการคาดการณ์ของเราที่ +7% YoY, 2) ยืนยันว่าไม่มีต้นทุนเพิ่มจากงานอุโมงค์ระบายน้ำบึงหนองบอนแล้ว, 3) บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับ NBM (สายสีชมพู) และ EBM (สายสีเหลือง) เพื่อขอลาออกจากคณะกรรมการตามหลัก CG เนื่องจากบริษัทถือหุ้นเพียง 15% ซึ่งทำให้บริษัทไม่ต้องรับรู้ส่วนแบ่งกำไร/ขาดทุนจากโครงการดังกล่าว, 4) คาดว่าจะเห็นความคืบหน้าในงาน CFP ของไทยออยล์ใน 2-3 เดือนข้างหน้า.           เราปรับกำไรปกติปี 2025E ขึ้น +75% เป็น 535 ล้านบาท พลิกฟื้นจากขาดทุนปกติปี 2024 ที่ -1.3 พันล้านบาท เพื่อสะท้อนแนวโน้มที่บริษัทอาจหยุดรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากสายสีชมพูและสายสีเหลืองตั้งแต่ 2Q25E. สำหรับ 1Q25E เบื้องต้นคาดผลการดำเนินงานปกติจะดีขึ้น YoY และ QoQ เนื่องจาก GPM ฟื้นตัวหลังบริษัทรับรู้ต้นทุนส่วนเพิ่มจากงานบึงหนองบอนทั้งหมดแล้ว และยังได้ประโยชน์จากเงินปันผลจาก GULF. ราคาหุ้นกลับมา outperform SET เพิ่มขึ้น 11% ใน 1 เดือนที่ผ่านมา STECON คาดปี68 พลิกมีกำไร 765 ลบ. เคจีไอ แนะซื้อ เป้า 8.50 บาท           บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า STECON ประสบผลขาดทุน 4Q67 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2.25 พันลบ. และปี 2567 อยู่ที่ 2.36 พันลบ. จาก i) ตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญจากโครงการ Clean Fuel ของ Thai Oil (TOP.BK/TOP TB)* ราว 1 พันลบ., ii) รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากโครงการรถไฟฟ้ารางเดี่ยวสายสีชมพูและสีเหลืองที่ 585 ลบ., iii) ปรับลดมูลค่าของอาคารชุดเพื่อขาย 170 ลบ., iv) ตั้งค่าเผื่อขาดทุนของการซ่อมโครงการป้องกันน้ำท่วมบึงหนองบอนที่ 480 ลบ. และ v) ผลขาดทุนจากดำเนินงานอื่น ๆ รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัยเชิงป้องกันสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู/สีเหลือง แม้ว่ารายได้ประมาณ 3 หมื่นลบ. จะเป็นไปตามที่เราคาด แต่อัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิติดลบจากต้นทุนที่เกินกำหนด (overrun) และการตั้งสำรองต่าง ๆ ในเชิงบวก STECON ได้มีการลงนามสัญญาใหม่ ๆ มูลค่ารวมราว 4 หมื่นลบ. ในปี 2567 ธุรกิจจะพลิกฟื้นตั้งแต่ 1Q68F           เราคาดว่า STECON จะกลับมามีกำไรตั้งแต่ 1Q68F หนุนจากเงินปันผลรับราว 220 ลบ. จาก Gulf Holding (GULF.BK/GULF TB)* และ GPM พลิกกลับสู่ระดับปกติที่ 5-7% หากการเคลมประกันของการซ่อมโครงการหนองบอนมูลค่า 1 พันลบ. เสร็จสิ้น STECON จะบันทึกรายการนี้เป็นกำไรพิเศษภายในปีนี้ นอกจากนี้ เป็นไปได้ที่ STECON จะไม่ต้องบันทึกส่วนแบ่งขาดทุนจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู/สีเหลืองมูลค่า 500-600 ลบ. หากผู้บริหารบริษัทไม่มีตำแหน่งกรรมการในบริษัทดังกล่าว           อีกทั้ง STECON ยังหวังว่าโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภาของ UTA ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนจะเดินหน้าต่อไป เพื่อจะเริ่มรับรู้รายได้ราว 2.7 หมื่นลบ. จากงานก่อสร้างในโครงการนี้ ปรับประมาณการกำไรให้สอดคล้องกับ guidance ของบริษัทปี 2568           STECON ให้ guidance รายได้จากงานรับเหมาก่อสร้างราว 3.2 หมื่นลบ. โดยมี GPM ราว 7% นอกจากนี้ บริษัทยังตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจใหม่ราว 1 พันลบ. ซึ่ง 200 ลบ. จะมาจากโครงการน้ำประปา Mars ที่บริษัทถือหุ้น 51% และส่วนที่เหลืออาจมาจากดีล M&A ใหม่ ๆ           ขณะที่บริษัทคาดว่าจะได้ backlog ใหม่มูลค่า 5 หมื่นลบ. ภายในปีนี้ ซึ่ง 4 หมื่นลบ. อาจมาจากโครงการเอกชน เช่น ศูนย์ข้อมูลสองแห่ง โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนต่าง ๆ โครงสร้างพื้นฐาน และอาคารพาณิชย์ ที่สำคัญ 5 โครงการของรัฐบาลที่อยู่ในลำดับต้น ๆ มูลค่ารวมราว 1.2 แสนลบ. มีกำหนดจะเปิดประมูลใน 3Q-4Q68           ทั้งนี้ เราคงประมาณการรายได้ไว้ที่ 3.2 หมื่นลบ. โดยมี GPM ที่ 5% นอกจากนี้เราไม่ได้รวมส่วนแบ่งขาดทุนจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู/สีเหลืองไว้ในกำไรสุทธิ ดังนั้น เราประมาณการกำไรที่ 765 ลบ. ในปี 2568F และเติบโตต่ออีก 21% YoY ในปี 2569F Valuation & Action           เราคงราคาเป้าหมาย SOTP ที่ 8.50 บาท โดยมี upside อยู่ราว 57% จากราคาปิดหุ้นล่าสุด ดังนั้น เราจึงปรับเพิ่มคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” จาก “ถือ” ขณะที่ ณ ราคาเป้าหมายของเรา STECON เทรดระดับ PE ที่ 17x หรือราว -1SD ทั้งนี้ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market cap.) ปัจจุบันของบริษัทที่ 8.2 พันลบ. ยังคงน้อยกว่ามูลค่าการถือหุ้นใน GULF ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1.1 หมื่นลบ. Risks           ความรวดเร็วในอัตราการเติบโตของ GDP ความล่าช้าจากการอนุมัติของคณะรัฐมนตรีและการเริ่มดำเนินการโครงการใหม่ ๆ การแก้ไขสัญญาต่าง ๆ การปรับเปลี่ยนระเบียบต่าง ๆ การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย และการปรับเพิ่มค่าแรงงานขั้นต่ำขึ้น

[Vision Exclusive] STECON เป้าพลิกกำไร ยังถือหุ้น GULF มั่นคง

[Vision Exclusive] STECON เป้าพลิกกำไร ยังถือหุ้น GULF มั่นคง

           หุ้นวิชั่น-STECON แผนปี 2568 ตั้งเป้ากลับมามีกำไร หลังปี 2567 ขาดทุนสุทธิ 2,388.13 ล้านบาท จากต้นทุนโครงการก่อสร้างและค่าเผื่อขาดทุนเครดิต เดินหน้าประมูลงานใหม่ 50,000 ล้านบาท พร้อมขยายธุรกิจพลังงาน-สาธารณูปโภค หวังเพิ่มรายได้เสริม จ่อลงทุนใน Start-up 2-3 บริษัท ยังถือหุ้น GULF ที่ 1.88% โดยบริษัทฯ จะพิจารณาแนวโน้มผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นดังกล่าวต่อไป            นายภาคภูมิ ศรีชำหนิ ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่ม และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายกลับมามีกำไร หลังจากปี 2567 บริษัทฯ รายงานผลประกอบการขาดทุนสุทธิ 2,388.13 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักมาจากต้นทุนงานก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นจากโครงการอุโมงค์ระบายน้ำบึงหนองบอน และโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง รวมถึงการตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของสินทรัพย์ทางการเงิน การรับรู้รายการปรับลดราคาทุนของอาคารชุดเพื่อขาย และส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม            นายภาคภูมิ ระบุว่า โครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำบึงหนองบอน และโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง เป็นต้นทุนที่เกิดขึ้นเฉพาะกิจ (Unexpected/One-Time Items) ซึ่งคาดว่าจะไม่มีการบันทึกต้นทุนลักษณะนี้อีกในอนาคต จึงขอยืนยันว่าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว            นอกจากนี้ ในปี 2567 บริษัทฯ ได้ตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของสินทรัพย์ทางการเงิน จำนวน 1,012.59 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ มีสัญญากับผู้ว่าจ้างในงานก่อสร้างโครงการพลังงานสะอาด หรือ Clean Fuel Project (CFP) ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 4/2567 ผู้ว่าจ้างได้ผิดนัดชำระ ทำให้บริษัทฯ ต้องพิจารณาสถานการณ์การค้างชำระหนี้และตัดสินใจตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตดังกล่าว            บริษัทฯ ได้ทำสัญญากับ UJV ซึ่งเป็นผู้รับเหมา EPC (EPC Contractor) มูลค่าสัญญาประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันงานก่อสร้างได้ดำเนินการไปแล้วประมาณ 50% โดยตัวเลขดังกล่าวเป็นผลงานที่ดำเนินการแล้วแต่ยังค้างชำระ ปัจจุบันบริษัทฯ กำลังดำเนินการตามขั้นตอนในสัญญา ด้วยการนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการ เพื่อเรียกร้องค่างานที่ยังไม่ได้รับชำระ และชะลอการดำเนินงานพร้อมลดค่าใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้ UJV สามารถกล่าวหาว่าบริษัทฯ ผิดสัญญาได้            สำหรับปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรับงานใหม่เพิ่ม 50,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันมีงานประมูลที่ติดตามอยู่ประมาณ 300,000-400,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มงานในมือให้มากขึ้น ในขณะเดียวกัน คาดว่าการลงทุนภาครัฐจะเติบโตขึ้นตามนโยบายโครงการต่าง ๆ ที่ภาครัฐประกาศออกมา ส่วนภาคเอกชนคาดว่าจะเติบโตในอัตราที่ใกล้เคียงกับภาครัฐ            อย่างไรก็ตาม นายภาคภูมิ ยอมรับว่าผู้รับเหมาก่อสร้างรายกลางและรายเล็กประสบปัญหาสภาพคล่อง เนื่องจากการจ่ายเงินจากผู้ว่าจ้างทั้งภาครัฐและเอกชนค่อนข้างล่าช้า ซึ่งอาจเกิดจากงบประมาณที่จำกัดและขั้นตอนการจ่ายเงินที่ใช้เวลานาน ดังนั้น บริษัทฯ จึงจำเป็นต้องบริหารจัดการภาพรวมทุกอย่างให้มีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงินอย่างต่อเนื่อง            นอกจากนี้ ในปี 2568 บริษัทฯ จะมุ่งเน้นการขยายธุรกิจด้านสาธารณูปโภคและพลังงาน เพื่อสร้างรายได้เสริมจากธุรกิจหลัก โดยคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป อีกทั้งยังอยู่ระหว่างการพิจารณาลงทุนในธุรกิจ Start-up โดยคาดว่าจะลงทุนในปีนี้ประมาณ 2-3 บริษัท            สำหรับการถือหุ้นในบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ปัจจุบัน บริษัทฯ ยังคงถือหุ้นอยู่จำนวน 220 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 1.88% โดยบริษัทฯ จะพิจารณาแนวโน้มผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นดังกล่าวต่อไป รายงานโดย : ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการข่าว Hoonvision

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

STECON พุ่งกว่า 20% รับ Q1/68 พลิกกำไร-ปันผลพิเศษ GULF 222 ลบ.

STECON พุ่งกว่า 20% รับ Q1/68 พลิกกำไร-ปันผลพิเศษ GULF 222 ลบ.

           หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ราคาหุ้นบริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (STECON) ปรับตัวขึ้นร้อนแรง 2 วันติดต่อกัน โดยวานนี้ (3 มี.ค.68) ราคาหุ้นบวกขึ้นมา 23.84% และในวันนี้ (4 มี.ค.68) ยังคงพุ่งขึ้นกว่า 20% มาอยู่ที่ 5.20 บาท ใกล้ราคา Ceiling            บล.บัวหลวง แนะเก็งกำไร จากคาดไตรมาส 1/68 พลิกเป็นกำไรหลัก (Turnaround) ทั้ง YoY และ QoQ จากธุรกิจรับเหมาฯ กลับสู่ปกติ และปันผลพิเศษจากบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF) ราว 222 ล้านบาท ทั้งนี้มองแรงกดดันของ Gross margin ปีนี้จะน้อยลงจากเดิม จึงปรับเพิ่มกำไรหลักปี 2568 ขึ้น 30% หลักๆ เป็นการปรับเพิ่มสมมติฐาน GM ขึ้นเป็น 5.5% (แต่ยังอนุรักษ์นิยมกว่าค่าปกติ 6-7%) ประเด็นกดดันกำไรปีนี้เหลือเพียงผลขาดทุนของสายชมพู-เหลือง            ให้ราคาเป้าหมาย 5.70 บาท คาดว่าจะเห็นแรงซื้อ Buy-after-fact ช่วง 1-3 เดือนนี้ จากการเก็งแนวโน้มผลประกอบการกลับสู่ปกติ ทั้งนี้ STECON จะจัดประชุมนักวิเคราะห์วันที่ 5 มี.ค. นี้ ประเมินว่าจะเคลียร์ประเด็นกังวลตลาดชัดขึ้น

STECON ปี67 ขาดทุนกว่า 2 พันล. ตั้งสำรองครั้งเดียว “เจ็บแล้วจบ” เช็กดู!

STECON ปี67 ขาดทุนกว่า 2 พันล. ตั้งสำรองครั้งเดียว “เจ็บแล้วจบ” เช็กดู!

           หุ้นวิชั่น – STECON ปี2567 พลิกขาดทุนกว่า 2 พันล้าน จากปีก่อนกำไร 525 ล้านบาท มาจากเหตุการณ์ unexpected / one-time items มีอะไรบ้าง และหากไม่รวมเหตุการณ์นี้ STECON จะมีกำไรปกติ 1,423 ล้านบาท หรือ 4.68% ของรายได้รวม            บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON รายงานผลการดำเนินงาน สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 มีผลขาดทุนสุทธิ สรุปได้ดังนี้: • บริษัทฯ มีขาดทุนสุทธิ จำนวน 2,388.13 ล้านบาท สาเหตุมาจากต้นทุนงานก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นจากโครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำบึงหนองบอน และโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง ค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของสินทรัพย์ทางการเงิน และการรับรู้รายการปรับลดราคาทุนของอาคารชุดเพื่อขาย รวมถึงส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมดังกล่าว • หากไม่รวมต้นทุนและค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่ม (unexpected / one-time items) บริษัทฯ จะมีผลกำไรจากกิจกรรมปกติประมาณ 1,423.54 ล้านบาท คิดเป็น 4.68% ของรายได้รวม ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 10.36 % บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายรวมเป็นจำนวน 32,151.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 3,018.23 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10.36% โดยต้นทุนและค่าใช้จ่ายหลักที่สำคัญ ได้แก่: • ต้นทุนงานก่อสร้างจำนวน 30,102.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.44% โดยหลักเกิดจากรายการต้นทุนส่วนเพิ่ม (unexpected / one-time items) ดังนี้: 1. โครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำบึงหนองบอน จากเหตุการณ์สุดวิสัยที่อุโมงค์ระบายน้ำบริเวณสะพานข้ามคลองเคล็ด ถนนอุดมสุขเกิดการทรุดตัว บริษัทฯ ได้ทำการสำรวจความเสียหาย พร้อมจัดทำรายงานแนวทางการแก้ไข และได้รับการอนุมัติจากผู้ว่าจ้างในไตรมาสที่ 4/2567 ดังนั้น บริษัทฯ จึงประเมินต้นทุนส่วนเพิ่มและพิจารณาบันทึกต้นทุนดังกล่าวทั้งหมดไว้ในงบกำไรขาดทุนของปี 2567 อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้มีการจัดทำประกันภัยไว้ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายกับบริษัทประกันภัย 2. โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง บริษัทฯ ได้ตรวจสอบและปรับปรุงโครงสร้างของโครงการทั้งหมด เพื่อยกระดับความปลอดภัยในทุกส่วนงานของโครงการ รวมถึงเพิ่มค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและบำรุงรักษาโครงสร้างและส่วนประกอบอื่นๆ ของโครงการในเชิงป้องกัน เนื่องจากเป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของผู้ใช้บริการและสาธารณชนโดยรอบ หากพิจารณาอัตรากำไรขั้นต้นตามกิจกรรมปกติ (normalized gross margin) ซึ่งไม่รวมต้นทุนส่วนเพิ่ม (unexpected / one-time items) จากโครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำบึงหนองบอน และโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง อัตรากำไรขั้นต้นตามกิจกรรมปกติในปี 2567 จะเป็น 6.77% • ค่าใช้จ่ายในการบริหารจำนวน 845.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.56 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.39% โดยหลักมาจากค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการของกิจการร่วมการงาน และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบุคลากรของบริษัทย่อย • ค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของสินทรัพย์ทางการเงิน จำนวน 1,012.59 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ มีสัญญากับผู้ว่าจ้างในงานก่อสร้างโครงการพลังงานสะอาด หรือ Clean Fuel Project (CFP) โดยเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 ทั้งนี้ ในระหว่างไตรมาส 4/2567 ผู้ว่าจ้างได้ผิดนัดชำระและบริษัทฯ ได้พิจารณาถึงสถานการณ์การค้างชำระหนี้ของผู้ว่าจ้าง จึงได้พิจารณารับรู้ค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตดังกล่าว อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ได้ดำเนินการติดตามให้มีการชำระหนี้ตามขั้นตอนในสัญญา • มีการรับรู้รายการปรับลดราคาทุนของอาคารชุดเพื่อขายให้เป็นมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ ในบริษัทที่บริษัทย่อยลงทุนจำนวน 169.91 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม รายการดังกล่าวเป็นราคาปรับลดตามราคาประเมินซึ่งเป็นรายการที่ไม่ใช่เงินสด • ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมของบริษัทฯ เป็นจำนวน 584.46 ล้านบาท โดยหลักเกิดจากการรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากผลการดำเนินงานของรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และรถไฟฟ้าสายสีชมพู ที่บริษัทฯ ร่วมลงทุน ซึ่งยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการดำเนินงานและผลการดำเนินงานยังไม่ถึงจุดคุ้มทุน

STECON แจ้งบริษัทย่อย  รับงานก่อสร้างบางกอกมอลล์ (Zone 2-4) มูลค่า 5,800 ลบ.

STECON แจ้งบริษัทย่อย รับงานก่อสร้างบางกอกมอลล์ (Zone 2-4) มูลค่า 5,800 ลบ.

          หุ้นวิชั่น - นายภาคภูมิ ศรีชานิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (“STECON”) แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (“STEC”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ STECON (สัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 99.60) ได้ลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงจ้างและรับจ้างก่อสร้างโครงการศูนย์การค้าบางกอกมอลล์ Zone 2, 3 และ 4 โดยมีรายละเอียดดังนี้ ชื่อโครงการ : โครงการศูนย์การค้าบางกอกมอลล์ Zone 2, 3 และ 4 (หนังสือแสดงเจตจำนงฯ ลงวันที่ 12 ธันวาคม 2567) เจ้าของโครงการ : บริษัท บางนา ช้อปปิ้งคอมเพล็กซ์ จำกัด ผู้ว่าจ้าง : บริษัท บางนา ช้อปปิ้งคอมเพล็กซ์ จำกัด ผู้รับจ้าง : บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น มูลค่าโครงการ : 5,800,000,000 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ลักษณะงานก่อสร้าง : งานก่อสร้างโครงสร้าง สถาปัตย์ อาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ระยะเวลาการก่อสร้าง : 1 มีนาคม 2568 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2572

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

สเตคอน กรุ๊ป คว้า SET ESG Ratings ระดับ AA ปี 67

สเตคอน กรุ๊ป คว้า SET ESG Ratings ระดับ AA ปี 67

          บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON ได้รับผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ในระดับ AA ประจำปี 2567 ในกลุ่มก่อสร้าง โดยเป็น 1 ใน 228 บริษัทจดทะเบียนที่ได้รับการประเมินและจัดอันดับจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สะท้อนการทำงานอย่างจริงจังและต่อเนื่องของ STECON ในด้าน ESG ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล           นับเป็นปีที่สองติดต่อกันที่ STECON ได้รับคัดเลือกเข้าสู่หุ้นยั่งยืน “SET ESG Rating” โดยได้รับการจัดอันดับในระดับ “Rating AA” นับเป็นความสำเร็จและภาคภูมิใจของบริษัทฯ ซึ่งตระหนักถึงความสำคัญต่อการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยบริษัทกำหนดนโยบายและเป้าหมายหลักด้านการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน ตามหลัก ESG (Environmental, Social and Governance) ให้ความสำคัญกับแนวทางในการดำเนินธุรกิจแบบเติบโตไปพร้อมกันทุกภาคส่วนอย่างยั่งยืน หรือ Sustainability Development ที่ครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งด้านบรรษัทภิบาลเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล เพื่อเป็นรากฐานในการพัฒนาประเทศไทย สร้างคุณค่าแก่สังคมไทยในทุกภาคส่วน           ทั้งนี้การประเมินหุ้นยั่งยืนหรือ SET ESG Ratings นี้ ยังเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผู้ลงทุน นักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุน ใช้ควบคู่กับข้อมูลอื่น ๆ ในการวิเคราะห์ความเสี่ยงและโอกาสการเติบโตของธุรกิจ ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) จะยิ่งส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันและศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจ           STECON มีความมุ่งมั่นสร้างการเติบโตทางธุรกิจ นำหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนมาปรับประยุกต์ใช้ในการทำงานตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ มีเป้าหมายการเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม และจากนี้บริษัทยังคงมุ่งมั่นพัฒนาสู่การเติบโตทางธุรกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป [PR News]

[Vision Exclusive] STECON ได้สีส้มหนุน ก่อสร้างปี68 ยิ้มได้!

[Vision Exclusive] STECON ได้สีส้มหนุน ก่อสร้างปี68 ยิ้มได้!

          หุ้นวิชั่น - STECON แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทลูก STEC เซ็นสัญญาร่วมค้าก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม มูลค่า 5.89 หมื่นล้าน ร่วมกับ CK คาดเริ่มรับรู้รายได้งานก่อสร้างQ1/68 หนุน Backlog สิ้นปี 2567 แตะ 1 แสนล้าน คาดรับรู้รายได้หลักใน 3-4 ปี พร้อมตั้งเป้ารายได้ปี 2568 ที่ 31,000-32,000 ล้านบาท เดินหน้าขยายธุรกิจพลังงานสะอาด-สาธารณูปโภค มองโอกาสลงทุน Startups           นายภาคภูมิ ศรีชำหนิ ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่ม และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) หรือ STECON ขอแจ้งให้ตลาดหทรัพย์แห่งประเทศไทย ทราบว่า บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ STEC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ STECON (สัดส่วนการถือหุ้นร้อนละ 99.60) ได้ทำสัญญาร่วมค้ากับ ซีเคเอสที-โออาร์ มีวัตถุประสงค์เพื่อรับจ้างก่อสร้างงานโยธาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) โดยมีสัดส่วนการร่วมลงทุนดังนี้1. บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) 51% 2. บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) 49%           ทั้งนี้ กิจการร่วมค้า ซีเคเอสที-โออาร์ ได้ลงนามเป็นผู้รับจ้างในสัญญาจ้างก่อสร้างงานโยธาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ส่วนตะวันตก ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กับบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) โดยมีรายละเอียดของงานดังต่อไปนี้ วันลงนามสัญญา: 29 พฤศจิกายน 2567มูลค่าสัญญา: ประมาณ 58,950,000,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ระยะเวลาดำเนินการ: ประมาณ 64 เดือน ทั้งนี้น่าจะรับรู้รายได้จากงานก่อสร้างได้ตั้งแต่ ไตรมาส 1/2568           มูลค่างานในมือ (Backlog) เมื่อรวมโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ที่ดำเนินการในนามกิจการร่วมค้า CKST (ซีเคเอสที) คาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2567 โดยการรับรู้รายได้หลักจากโครงการดังกล่าวจะเกิดขึ้นในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า ซึ่งจะช่วยหนุนผลประกอบการให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง           สำหรับปี STEC ตั้งเป้ารายได้ในปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 31,000-32,000 ล้านบาท เติบโตเล็กน้อยจากปี 2567 ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้ราว 30,000 ล้านบาท โดยโครงการสำคัญที่จะสนับสนุนการเติบโต ได้แก่ โครงการสนามบินอู่ตะเภา ที่มีแนวโน้มเริ่มดำเนินการได้ในช่วงกลางปี 2568 รวมถึงโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ เช่น ทางด่วนและรถไฟทางคู่ ที่หากประมูลได้สำเร็จ คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2569 ในส่วนของการขยายธุรกิจใหม่ บริษัทมุ่งเน้นด้าน สาธารณูปโภค เช่น น้ำประปา และ พลังงานสะอาดหรือพลังงานทดแทน พร้อมทั้งเข้าศึกษาความเป็นไปได้ในตลาดเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยเฉพาะในกลุ่ม Startups เพื่อเสริมศักยภาพการเติบโตในอนาคต           แนวโน้มอุตสาหกรรมก่อสร้างในปี 2568 คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากโครงการขนาดใหญ่ที่รัฐชะลอในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา การลงทุนภาคเอกชนในประเทศมีแนวโน้มเติบโตตามการลงทุนของรัฐ และยังคาดหวังการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น เนื่องจากรัฐบาลเริ่มสร้างความเชื่อมั่นและเสถียรภาพในสายตานักลงทุน โดยรวม STEC มองว่า ปี 2568 จะดีกว่าปี 2567 จากปัจจัยสนับสนุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมก่อสร้างในภาพรวม. รายงาน ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการข่าว สำนักข่าว HoonVision

ตลท. เตือนซื้อขาย STEC หลังแลกหุ้น STECON เสร็จแล้ว ซึ่งจะถูกเพิกถอนต่อไป

ตลท. เตือนซื้อขาย STEC หลังแลกหุ้น STECON เสร็จแล้ว ซึ่งจะถูกเพิกถอนต่อไป

          หุ้นวิชั่น - ตลท. ขอให้ผู้ลงทุนใช้ความระมัดระวังในการซื้อขายหลักทรัพย์ STEC เนื่องจากอยู่ระหว่างการนำหลักทรัพย์ของ บมจ. สเตคอน กรุ๊ป (STECON) เข้าจดทะเบียนแทนหลักทรัพย์ STEC ซึ่งจะถูกเพิกถอนจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนต่อไป ตามที่บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (STECON) ได้มีการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (STEC) เพื่อปรับโครงสร้างการถือหุ้น โดยการแลกเปลี่ยน 1 หุ้นสามัญของ STEC ต่อ 1 หุ้นสามัญของ STECON ระหว่างวันที่ 19 สิงหาคม 2567 - 21 ตุลาคม 2567 เสร็จสิ้นแล้ว ซึ่ง STECON อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อนำหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนแทนหลักทรัพย์ STEC นั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ผู้ลงทุนใช้ความระมัดระวังในการซื้อขายหลักทรัพย์ STEC ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว เนื่องจาก STEC จะเป็นหลักทรัพย์ที่ไม่มีตลาดรองในการซื้อขายหลักทรัพย์ ภายหลังการนำหลักทรัพย์ STECON เข้าจดทะเบียนแทนหลักทรัพย์ STEC ซึ่งจะถูกเพิกถอนจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนต่อไป

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

พฤอา
311234567891011121314151617181920212223242526272829301234567891011