#SNNP


[Vision Exclusive] ขนมขบเคี้ยวไทย 5 หมื่นล. SNNP เจ้าตลาด-เป้า 20.8 บ.

[Vision Exclusive] ขนมขบเคี้ยวไทย 5 หมื่นล. SNNP เจ้าตลาด-เป้า 20.8 บ.

           หุ้นวิชั่น - KResearch ส่องยอดขายขนมขบเคี้ยว 50,400 ล้านบาท หรือโต 2% ชี้ปังกรอบ - บิสกิตมาแรงค้าปลีกหนุน ฟากผู้บริหาร SNNP "วิโรจน์ วชิรเดชกุล" ฉายภาพธุรกิจปี 68 ติดเครื่องวิ่งต่อ เล็งอัดงบการตลาดกระตุ้นยอดซื้อ โบรกลุ้นโค้งท้ายกลับมา New High เคาะราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 68 ที่ 20.80 บาท            ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) ปี 2568 ยอดขายขนมขบเคี้ยวไทยคาดอยู่ที่ 50,400 ล้านบาท หรือโต 2% ชะลอจากปี 2567 ที่โต 6% โดยกลุ่มขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ด ซึ่งเป็นตลาดหลักจะโตได้ไม่มากที่ราว 1.4% ตามจำนวนผู้เดินทางท่องเที่ยวและจำนวนผู้ใช้การสตรีมวิดีโอที่เติบโตชะลอ รวมถึงจำนวนอีเวนต์ใหญ่ที่ลดลง            ขณะที่ยอดขายขนมขบเคี้ยวกลุ่มที่เติบโตได้สูงกว่าภาพรวมตลาดในปี 2568 คือ กลุ่มขนมปังกรอบและบิสกิตที่โต 2.7% แรงหนุนจากความเป็นเมืองและจำนวนร้านค้าปลีกสมัยใหม่ที่เพิ่มขึ้น และกลุ่มขนมขบเคี้ยวที่ทำจากสาหร่าย/เนื้อสัตว์/ธัญพืช คาดโต 2.4% จากเทรนด์การบริโภคที่ดูแลสุขภาพมากขึ้น            ตลาดขนมขบเคี้ยวไทยแบ่งเป็น 3 กลุ่มตามยอดขาย คือ กลุ่มขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ด ซึ่งมีสัดส่วนยอดขายมากที่สุดราว 51% ตามมาด้วยกลุ่มขนมปังกรอบและบิสกิต 36% และกลุ่มขนมที่ทำจากสาหร่าย/เนื้อสัตว์/ธัญพืช 13%            ผู้บริโภคมักจะบริโภคขนมขบเคี้ยวในช่วงเวลาทำกิจกรรมท่องเที่ยวหรือสังสรรค์ร่วมกับผู้อื่นเป็นหลัก หรือ “We Time” คิดเป็น 54% ของเวลาทั้งหมดที่บริโภคขนมขบเคี้ยว และอีก 46% จะบริโภคในเวลาที่ใช้อยู๋กับตัวเองหรือ “Me Time”            ตลาดขนมขบเคี้ยวในประเทศมีการแข่งขันสูง ทั้งจากจำนวนผู้เล่นมากรายและสินค้าที่เข้ามาเพิ่มเติม โดยปัจจุบันผู้เล่นในตลาดขนมขบเคี้ยวของไทยมีจำนวนมากกว่า 590 ราย (เฉพาะนิติบุคคลจากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า) และด้วยอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ของตลาดขนมขบเคี้ยวที่สูงราว 20-35% ส่วนหนึ่งมาจากราคาวัตถุดิบที่เป็นสินค้าเกษตรที่มีราคาไม่สูง ทำให้สร้างมูลค่าเพิ่มได้ดี จึงจูงใจให้มีผู้เล่นเข้าสู่ตลาดจำนวนมาก และทำให้ตลาดขนมขบเคี้ยวมีการแข่งขันรุนแรง (Red Ocean)            ทั้งนี้ การแข่งขันที่รุนแรงมาจากผู้เล่นรายใหญ่ด้วยกันเองเป็นหลัก เนื่องจากรายใหญ่มี Economy of Scale รวมถึงมีสินค้าหมุนเวียนตลอด ไม่อยู่นิ่ง มีการคิดค้นนวัตกรรม/ความสร้างสรรค์ ด้วยการออก รสชาติหรือไลน์โปรดักส์ใหม่ๆ แม้ผลิตภัณฑ์เดิมจะยังได้รับความนิยม แต่การสร้างสีสันให้แบรนด์และตลาดยังเป็นแรงหนุนสำคัญของธุรกิจ อีกทั้งผู้เล่นรายใหญ่ยังบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายด้านการตลาดได้ จึงสามารถจัดโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขายได้อย่างสม่ำเสมอ นำไปสู่การรับรู้แบรนด์ของผู้บริโภคและหนุนให้เกิดการบริโภค ขณะที่ผู้เล่นรายเล็กจะแข่งขันในตลาดได้ยากกว่า แม้ผู้เล่นรายใหญ่จะครองตลาดได้ แต่ในแง่การแข่งขันของผลิตภัณฑ์ก็ไม่ง่ายนัก เพราะต้องแข่งขันกันเองระหว่างผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวที่มีความหลากหลาย และยังต้องแข่งข้ามผลิตภัณฑ์ด้วยอย่างอาหารทานเล่นอื่นในตลาด เช่น ขนมหวาน ติ่มซ่า เฟรนช์ฟรายส์ ลูกชิ้น เป็นต้น ส่งผลให้ตลาดขนมขบเคี้ยวเติบโตได้จำกัดตามการเพิ่มความถี่ในการบริโภคที่ทำได้ยาก ทำให้ผู้เล่นบางรายมักทำการตลาดเพื่อดึงดูดและสร้างสีสันในการกระตุ้นยอดขายโดยเฉพาะในกลุ่มเป้าหมายหลักอย่างวัยรุ่น เช่น ออกของสะสมอย่างการ์ดเกม ซึ่งเป็นที่นิยม รวมถึงเหรียญ สติกเกอร์ และตุ๊กตา เป็นต้น            ขณะที่ขนมขบเคี้ยวนำเข้าที่หลากหลายรวมถึงอาหารฟาสต์ฟู้ดสัญชาติจีนและเกาหลีอย่างไก่ทอดที่เป็นที่นิยม ก็เข้ามาตีตลาดไทยเพิ่มขึ้น จะยิ่งทำให้การแข่งขันของตลาดขนมขบเคี้ยวในประเทศรุนแรงขึ้นอีก ทั้งนี้ ขนมขบเคี้ยวนำเข้าแม้จะมีปริมาณไม่มาก แต่ในปี 2563-2566 พบว่า ปริมาณการนำเข้าขนมปังกรอบและเวเฟอร์เติบโตเฉลี่ยกว่า 8% ต่อปี และในช่วง 10 เดือนแรกปี 2567 โตถึง 11% ส่วนการส่งออกขนมขบเคี้ยวไทยที่มีสัดส่วนปริมาณราว 18% ก็มีความเสี่ยง โดยในปี 2564-2566 ปริมาณส่งออกขนมขบเคี้ยวไทยหดตัวเฉลี่ย 0.5% ต่อปี และแม้ในช่วง 10 เดือนแรกปี 2567 จะพลิกโตเป็นบวกที่ 7% แต่ไปข้างหน้าก็ยังต้องเผชิญการแข่งขันรุนแรง โดยเฉพาะในตลาดจีน ที่มีทั้งแบรนด์ขนมเก่าและใหม่ในตลาดจำนวนมาก อีกทั้งยังมีราคาถูก จะเป็นปัจจัยกดดันการส่งออกขนมขบเคี้ยวของไทย            กลุ่มขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ด เป็นตลาดใหญ่ที่สุด ประกอบด้วยมันฝรั่งทอดกรอบและขนมขบเคี้ยวประเภทต่างๆ โดยในปี 2568 คาดว่ายอดขายขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ดจะขยายตัวที่ 1.4% ชะลอจาก 4.2% ในปี 2567 (รูปที่ 5) ทั้งนี้ แม้จะเป็นกลุ่มที่เติบโตได้น้อยกว่าภาพรวมตลาด แต่ด้วยขนมกลุ่มนี้มีลักษณะของแบรนด์ที่แข็งแกร่ง (Brand Power) หรือพลังของแบรนด์ที่ทำให้ผู้บริโภคมีความภักดีต่อแบรนด์สูง จึงช่วยหนุนและรักษาระดับยอดขายให้ยังครองส่วนแบ่งตลาดที่ใหญ่ที่สุดในตลาดขนมขบเคี้ยว สะท้อนจากมันฝรั่งทอดกรอบของผู้เล่นรายใหญ่ ได้ถูกจัดอันดับให้เป็นสุดยอดแบรนด์ทรงพลังที่สุดในกลุ่มขนมขบเคี้ยวในงาน The Most Powerful Brands of Thailand 2567 กลุ่มขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ด            คาดว่าจะมียอดขายเติบโตในปี 2568 ตามการขยายตัวของจำนวนผู้เดินทางท่องเที่ยวในไทยทั้งคนไทยและคนต่างชาติ แต่คงมีแนวโน้มเติบโตช้าลงจากฐานที่สูงในปี 2567 ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2567 จำนวนคนไทยเดินทางท่องเที่ยวเติบโตที่ 9.4% ขณะที่จำนวนคนต่างชาติเดินทางท่องเที่ยวเติบโตสูงถึง 22.9% โดยมีค่าใช้จ่ายในหมวดอาหารและเครื่องดื่มซึ่งรวมถึงขนมขบเคี้ยวของคนต่างชาติคิดเป็น 23% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด (ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา)            นอกจากนี้ ผู้บริโภคมักนิยมบริโภคขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ดไปพร้อมกับการสตรีมวิดีโอและการมีอีเวนต์ใหญ่ ซึ่งในปี 2568 จำนวนผู้ใช้การสตรีมวิดีโอของไทยเพื่อรับชมภาพยนตร์ รายการทีวี วิดีโอ YouTube และการถ่ายทอดสด เช่น กีฬา เพลง เป็นต้น มีแนวโน้มเติบโตแต่คงชะลอลง ประกอบกับในอีกด้านหนึ่ง ด้วยจำนวนอีเวนต์ใหญ่ในปี 2568 ที่ลดลงเหลือเพียงกีฬาซีเกมส์ช่วงปลายปี เทียบกับปี 2567 ที่มีทั้งกีฬาโอลิมปิกและฟุตบอลยูโร ทำให้ภาพรวมการบริโภคขนมขบเคี้ยวกลุ่มนี้เติบโตได้ไม่มาก ทั้งนี้ ในช่วงที่มีการจัดฟุตบอลโลกจะช่วยหนุนการบริโภคขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ดของไทยให้เพิ่มขึ้นราว 2 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันที่ไม่มีการจัดฟุตบอลโลก            อย่างไรก็ตาม ในส่วนของวัตถุดิบซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตหลักราว 30% ของต้นทุนการผลิตรวม โดยในปี 2568 ราคาวัตถุดิบหลักอย่างมันฝรั่งมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนของธุรกิจเพิ่มขึ้น จึงลดโอกาสในการทำการตลาดของธุรกิจเพื่อกระตุ้นยอดขาย เช่น การทำโปรโมชั่น (รางวัล ส่วนลด) สะท้อนจากค่าใช้จ่ายในการขายที่ลดลง ซึ่งสวนทางกับราคาวัตถุดิบทำให้การแข่งขันด้านราคาทำได้อย่างจำกัด กลุ่มขนมปังกรอบและบิสกิต            ประกอบด้วยขนมปังกรอบและบิสกิต (แครกเกอร์ คุกกี้ และเวเฟอร์) โดยในปี 2568 คาดว่ายอดขายขนมปังกรอบและบิสกิตจะขยายตัวที่ 2.7% ชะลอจาก 8.7% ในปี 2567 ขนมปังกรอบและบิสกิตคาดว่าจะมียอดขายเติบโตในปี 2568 จากแรงหนุนของความเป็นเมือง ซึ่งมีความเร่งรีบในการบริโภคเพื่อรองท้องหรือทดแทนมื้ออาหารหลัก สะท้อนผ่านจำนวนคนในเมืองของไทยที่เพิ่มขึ้นในปี 2563-2566 เป็น 37.6 ล้านคน จากปี 2559-2562 ที่ 35.2 ล้านคน (ข้อมูลจาก Our World in Data)สอดคล้องกับปริมาณขายขนมปังกรอบและแครกเกอร์ที่เพิ่มขึ้นเป็น 8.5 หมื่นตัน จาก 8.3 หมื่นตัน            นอกจากนี้ ผู้บริโภคไทยมักซื้อขนมปังกรอบและบิสกิตผ่านช่องทางร้านค้าปลีกสมัยใหม่เป็นหลัก โดยเฉพาะในไฮเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อที่มีสัดส่วนสูงถึง 56% ของช่องทางขายทั้งหมด            อย่างไรก็ดี ตลาดขนมปังกรอบและบิสกิตจะได้รับผลกระทบจากราคาวัตถุดิบหลักบางรายการในปี 2568 ที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นตามราคาตลาดโลก จากการคาดการณ์ของ World Bank โดยเฉพาะราคาน้ำตาล คาดเพิ่มขึ้น 2.2% และราคาเนยคาดเพิ่มขึ้น 6.4% ซึ่งจะกระทบทิศทางการทำการตลาดของธุรกิจคล้ายกับกรณีของกลุ่มขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ดดังกล่าวข้างต้น กลุ่มขนมที่ทำมาจากสาหร่าย/เนื้อสัตว์/ธัญพืช            ประกอบด้วยขนมขบเคี้ยวที่ทำมาจากสาหร่าย เนื้อปลา/ปลาหมึก/กุ้ง/หมู/ไก่ และถั่ว โดยในปี 2568 คาดว่ายอดขายขนมที่ทำมาจากสาหร่าย/เนื้อสัตว์/ธัญพืช จะขยายตัวที่ 2.4% ชะลอจาก 5.6% ในปี 2567            ขนมที่ทำมาจากสาหร่าย/เนื้อสัตว์/ธัญพืช คาดจะมียอดขายเติบโตในปี 2568 จากแรงหนุนของกระแสรักสุขภาพมากขึ้น เช่น บริโภคโปรตีนมากขึ้น รวมถึงการบริโภคโซเดียมที่ลดลง ซึ่งแม้ขนมกลุ่มสาหร่าย/เนื้อสัตว์/ธัญพืชจะมีปริมาณโซเดียมใกล้เคียงกับกลุ่มขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ดในน้ำหนักที่เท่ากัน แต่ปัจจุบันผู้ประกอบการขนมกลุ่มสาหร่ายรายใหญ่ได้ลดโซเดียมลง 50% ขณะที่ขนมกลุ่มมันฝรั่งทอดรายใหญ่ลดโซเดียมลง 30% ทำให้ผู้บริโภคบางส่วนหันมาบริโภคขนมกลุ่มสาหร่ายทดแทนมากขึ้น            อย่างไรก็ตาม ความต้องการขนมขบเคี้ยวที่ทำจากสาหร่าย/เนื้อสัตว์/ธัญพืชของคนต่างชาติที่ซื้อเป็นของฝาก โดยเฉพาะสาหร่ายทอดที่เป็นของฝากยอดนิยม จะมีแนวโน้มเติบโตช้าลงตามจำนวนคนต่างชาติเดินทางท่องเที่ยวไทยที่โตชะลอ โดยมีค่าใช้จ่ายในการซื้อของฝาก ซึ่งรวมถึงขนมขบเคี้ยวของคนต่างชาติราว 18% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด (ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) ขณะที่ผู้ประกอบการในห่วงโซ่ขนมขบเคี้ยวไทยอยู่ที่ในตลาดหลักทรัพย์ ประกอบไปด้วย BJC CHAO CH KCG NSL PM SNP SNNP SORKON TKN TU            นายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจในประเทศ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP ผู้นำด้านเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวในประเทศไทย เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า คาดว่าตลาดขนมขบเคี้ยวในปี 2568 จะเติบโตต่อเนื่องจากปี 2567 โดยประมาณ 3-5% ขึ้นอยู่กับแต่ละกลุ่มสินค้า ขณะที่ภาพรวมในปี 2567 SNNP ยังคงเติบโตได้ดี โดยเฉพาะในกลุ่มเจเล่พร้อมดื่ม และเบนโตะ ซึ่ง SNNP มีส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ในกลุ่มเบนโตะสูงถึง 70% ส่วนกลุ่มเจเล่พร้อมดื่ม บริษัทสามารถผลักดันการเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ            สำหรับแผนการตลาดในการจำหน่ายขนมขบเคี้ยวในปี 2568 บริษัทจะดำเนินการตลาดแต่ละแบรนด์เพื่อกระตุ้นการบริโภคและการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2567 โดยทั่วไป สินค้าที่มีมาร์เก็ตแชร์สูงหรือได้รับความนิยมมักจะต้องใช้งบประมาณในการโฆษณาเพื่อส่งเสริมการตลาดและกระตุ้นยอดขาย ขณะที่กลยุทธ์การตลาดในแต่ละกลุ่มสินค้าอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับการเจาะตลาดและกลุ่มเป้าหมายของสินค้านั้น ๆ เบื้องต้นบริษัทวางงบการตลาดปี 2568 ไว้ไม่เกิน 3% ของยอดขาย            บริษัทคาดว่าเป้าหมายการเติบโตในปี 2568 จะอยู่ในช่วงตัวเลข 2 หลัก (Two-Digit Growth) โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำแผนการตลาดเพื่อผลักดันยอดขายให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง            ด้านบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาด SNNP กำไรใน 4Q67 คาดกลับมาทำ New High อีกครั้ง            คาดกำไรปกติใน 4Q67 ของ SNNP เบื้องต้นอยู่ในกรอบ 170-180 ล้านบาท กลับมาทำ New High ได้อีกครั้ง หนุนจาก 1) การเข้าสู่ช่วง High season ของทั้งไทยและต่างประเทศ รวมถึงการได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐฯ ที่เข้ามาช่วยหนุนกำลังซื้อของผู้บริโภคในช่วงท้ายปี 2) คำสั่งซื้อในเวียดนามที่คาดจะสามารถเห็นการฟื้นตัว QoQ ได้ หนุนจากการปรับโครงสร้างการกระจายสินค้าที่เสร็จสิ้นไปแล้วกว่า 80% ส่งผลให้ผู้จัดจำหน่ายบางส่วนเริ่มกลับมาสั่งซื้อสินค้ามากขึ้น แต่อาจยังลดลงหากเทียบ YoY เนื่องจากกำลังการผลิตในปัจจุบันที่จำกัด 3) การรับรู้ผลของการเพิ่มผู้จัดจำหน่ายรายที่ 2 ในฟิลิปปินส์เต็มไตรมาส ขณะที่ GPM คาดสูงขึ้นต่อเนื่อง QoQ หนุนจาก U-rate ที่ปรับตัวสูงขึ้นจากทั้งโรงงานในไทยและเวียดนาม            นอกจากนี้ในปัจจุบันบริษัทกำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้จัดจำหน่ายรายที่ 3 ในฟิลิปปินส์ที่มีความชำนาญด้านการจัดจำหน่ายในร้าน Traditional Trade ซึ่งทางผู้บริหารให้ข้อมูลว่าจะสามารถเซ็นสัญญากับผู้จัดจำหน่ายดังกล่าวได้ภายใน 4Q67-1Q68 ซึ่งเป็น Upside ที่ยังไม่รวมอยู่ในประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์            คาดจะสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง YoY หนุนจาก 1) ยอดคำสั่งซื้อจากเวียดนามที่คาดกลับเข้าสู่ระดับปกติใน 1Q68 จากการเพิ่มการทำงานของเครื่องจักรเป็น 2 กะ (16 ชม.) จากในช่วง 4Q67 ที่ 1 กะ (8 ชม.) และ 2) การรับรู้ผลของการเพิ่มผู้จัดจำหน่ายรายที่ 3 เต็มไตรมาส รวมถึง GPM ที่คาดจะปรับตัวสูงขึ้นต่อ QoQ จาก U-rate ของโรงงานในเวียดนามที่ดีขึ้นและ Product Mix ที่ดีขึ้นเนื่องจากอัตรากำไรของเวียดนามสูงกว่าไทย            ฝ่ายวิเคราะห์คงประมาณการกำไรปกติปี 2567 ที่ 667 ล้านบาท (+4.8% YoY) และคาดว่ากำไรจะยังสามารถเติบโตได้ต่อในปี 2568 เป็น 772 ล้านบาท (+15.8% YoY) โดยเป็นผลมาจาก 1) ยอดขายในเวียดนามที่กลับเติบโตจากการปรับกลยุทธ์การกระจายสินค้าที่สิ้นสุดลง รวมถึงการเพิ่มระยะเวลาการผลิตของเครื่องจักรตั้งแต่ 1Q68 2) ยอดขายในฟิลิปปินส์ที่เติบโตจากการรับรู้ผลของการเพิ่มผู้จัดจำหน่ายเต็มปี และ 3) ยอดขายในประเทศที่เติบโตอย่างต่อเนื่องจากการออกสินค้าใหม่มากขึ้น            คงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2568 ที่ 20.80 บาท อิง PE ที่ 22.0 เท่า โดยราคาหุ้นในปัจจุบันซื้อขายบน PER67-68 เพียง 16.8 เท่า และ 14.6 เท่า ตามลำดับ จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” เรามองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมาสะท้อนปัจจัยลบจากยอดขายในเวียดนามที่อ่อนแอไปมากแล้ว เชิงกลยุทธ์แนะนำสะสม

บอร์ด SNNP เคาะซื้อหุ้นคืน  ทุ่ม 640 ลบ. ดีเดย์ 23 ธ.ค.นี้

บอร์ด SNNP เคาะซื้อหุ้นคืน ทุ่ม 640 ลบ. ดีเดย์ 23 ธ.ค.นี้

          หุ้นวิชั่น - บอร์ด บมจ.ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง (SNNP) อนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนในวงเงินไม่เกิน 640 ล้านบาท หรือจำนวนไม่เกิน 40 ล้านหุ้น ดีเดย์ 23 ธ.ค.67 - 20 มิ.ย.68 ฟากผู้บริหาร “ฐากร ชัยสถาพร” ระบุเพื่อบริหารสภาพคล่องส่วนเกินให้เกิดประโยชน์สูงสุด และยังเป็นการแสดงความเชื่อมั่นการดำเนินงานของบริษัทฯ ด้วยสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ส่วนแนวโน้มช่วงโค้งสุดท้ายปี 67 คาดว่ายอดขายสินค้าคึกคักรับอานิสงส์ช่วงไฮซีซั่น สนับสนุนผลงานโตสวย           นายฐากร ชัยสถาพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP ผู้นำผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม และขนมขบเคี้ยวของประเทศไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.67 ได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) ในวงเงินไม่เกิน 640 ล้านบาท จำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 40 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.5 บาท ซึ่งจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนคิดเป็นอัตรา 4.17% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ           สำหรับวัตถุประสงค์ในการเปิดโครงการครั้งนี้ เพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของกลุ่มบริษัทฯ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้แก่ส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) รวมถึงซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นในอนาคตสามารถสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของกลุ่มบริษัทฯ รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นต่อสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและความสามารถในการทำกำไรในอนาคต โดยบริษัทฯ จะเริ่มดำเนินการซื้อหุ้นคืนผ่านระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ ตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2567 - 20 มิถุนายน 2568           ทั้งนี้ บริษัทฯ ทยอยออกสินค้าใหม่วางจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง และมีวางกลยุทธ์ทางด้านการตลาดด้วยการปรับโฉมสินค้า รวมถึงการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ๆ เดินหน้ากลยุทธ์ส่งเสริมการขาย ณ จุดขาย การจัดโปรโมชั่น และทำการตลาดเชิงรุก เพื่อกระตุ้นการรับรู้แบรนด์สินค้าด้วยงบประมาณที่น้อยลงแต่ได้ผลลัพธ์ที่ดีมากขึ้น ตลอดจนออกสินค้าใหม่ๆ ในทุกรูปแบบเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ได้แก่ ปลาหมึกบด ซึ่งเป็นสินค้าที่เจาะกลุ่มวัยรุ่นได้มาก และมีกระแสตอบรับที่ดีเกินคาด           “แนวโน้มช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่งเป็นช่วง High season ของตลาดเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวของบริษัทฯ คาดว่าจะเติบโตได้ดีจากการออกสินค้าเรือธงใหม่ๆ อย่าง เบนโตะหมึกบดรส ไทยคลาสสิคชิลลี่ และ เจเล่ ดับเบิ้ล เยลลี่ ไอซ์ โฉมใหม่ ที่ช่วยสร้างความคึกคักในตลาดเป็นอย่างมาก รวมถึงโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเฟสที่ 2 ในช่วงก่อนตรุษจีนปี 68 จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกที่จะช่วยสนับสนุนยอดขายให้ขยายตัวได้มากขึ้น และในส่วนของแผนระยะยาวบริษัทฯ วางกลยุทธ์ขยายตลาดในต่างประเทศ ทั้งรูปแบบการส่งสินค้าไปขาย และการร่วมการทำตลาด รวมถึงการแต่งตั้งตัวแทนจัดจำหน่าย เพื่อสนับสนุนการเติบโตในระยะยาว” นายฐากร กล่าวในที่สุด [PR News]

SNNP คาด Q4 กำไรพุ่ง แนะนำ “ซื้อ” เป้า 17.00 บาท

SNNP คาด Q4 กำไรพุ่ง แนะนำ “ซื้อ” เป้า 17.00 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.ดาโอ ชี้ SNNP (ซื้อ/เป้า 17.00 บาท) ประกาศซื้อหุ้นคืนวงเงินไม่เกิน 640 ล้านบาท จำนวนไม่เกิน 40 ล้านหุ้น วันที่ 18 ธ.ค. ทาง SNNP แจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน วงเงินไม่เกิน 640 ล้านบาท และจำนวนหุ้นซื้อคืนไม่เกิน 40 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.17% ซึ่งไม่เกิน 10% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัท โดยกำหนดระยะเวลาซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 23 ธ.ค. 2024 - 20 มิ.ย. 2025 (ที่มา: SET)           DAOL มีมุมมองเป็นบวก โดยแผนซื้อหุ้นคืนดังกล่าว imply ราคาซื้อคืนเฉลี่ยที่ 16 บาท/หุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาปิดเมื่อวานราว +33% ทำให้เรามองว่าจะเป็น sentiment เชิงบวกต่อราคาหุ้นได้ โดยราคาหุ้นเมื่อวานปรับตัวเพิ่มขึ้น +6% ปิดตลาดที่ 12.00 บาท           สำหรับ 4Q24E เราคาดกำไรขยายตัวจาก high season โดยรายได้ในประเทศที่โตต่อ ด้านรายได้ต่างประเทศโต QoQ จากรายได้เวียดนาม และรายได้ฟิลิปปินส์ขยายตัว เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E ที่ 659 ล้านบาท (+4% YoY) เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” และคงราคาเป้าหมายที่ 17.00 บาท อิง 2025E PER 22.5x

SNNP ซื้อหุ้นคืน 640ล. โบรกมองบวก Q4 งบดี

SNNP ซื้อหุ้นคืน 640ล. โบรกมองบวก Q4 งบดี

          บอร์ด SNNP อนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนวงเงิน 640 ลบ. เก็บหุ้นไม่เกิน 40 ล้านหุ้น หรือ 4.17% ของหุ้นทั้งหมด เริ่ม 23 ธ.ค. 67 - 20 มิ.ย. 68 หวังเพิ่ม ROE-EPS เสริมความเชื่อมั่นสถานะการเงิน ด้าน บล.ดาโอ มองบวก ชี้ราคาซื้อคืนสูงกว่าราคาปัจจุบัน 42% คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 17 บาท รับแรงหนุนจากไฮซีซั่น Q4/67 และการเติบโตในเวียดนาม-ฟิลิปปินส์           บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) ขอรายงานมติที่ประชุมคณะกรรมการครั้งที่ 8/2567 เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 เกี่ยวกับการอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารการเงิน วงเงินสูงสุดที่จะใช้ในการซื้อหุ้นคืน ไม่เกิน 640 ล้านบาท โดย จำนวนหุ้นที่จะซื้อคืน ไม่เกิน 40,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.5 บาท คิดเป็นร้อยละ 4.17 ของหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมด           วิธีการและกำหนดเวลาในการซื้อหุ้นคืน ซื้อด้วยวิธีจับคู่อัตโนมัติผ่านระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์กำหนดระยะเวลาที่จะซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 20 มิถุนายน 2568 (บริษัทต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน) เปิดเผยข้อมูลมาประกอบการพิจารณากำหนดราคาหุ้นด้วยราคาหุ้นที่จะซื้อคืนจะไม่เกินกว่าร้อยละ 115 ของราคาปิดเฉลี่ย 5 วันทำการซื้อขายก่อนหน้าวันที่ทำการซื้อ หุ้นคืน ทั้งนี้ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา ราคาหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 4พฤศจิกายน 2567 ถึง วันที่ 17 ธันวาคม 2567 เท่ากับ 11.94 บาทต่อหุ้น (ราคาปิดถัวเฉลี่ย 30 วันทำการ ย้อนหลัง) ส่วน ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท มีกำไรสะสมและสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัท           ข้อมูลจากงบการเงินงบเฉพาะกิจการสอบทานตรวจสอบงวดล่าสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 - กำไรสะสมของบริษัท (ยังไม่ได้จัดสรร) เท่ากับ 857 ล้านบาท - หนี้สินที่ถึงกำหนดชำระภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่จะเริ่มซื้อหุ้นคืนเท่ากับ 138 ล้านบาท           อธิบายความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทที่ถึงกำหนดชำระภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่จะเริ่ม ซื้อหุ้นคืน โดยระบุแหล่งเงินทุนที่ใช้ในการชำระหนี้คืน ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 บริษัทมีรายการเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 67 ล้านบาท บริษัทประมาณการว่า บริษัทจะมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของงบการเงินเฉพาะกิจการในครึ่งปีแรกของปี 2568 เป็นจำนวน 890 ล้านบาท ดังนั้น บริษัทมีสภาพคล่องเพียงพอในการชำระหนี้ที่ถึงกำหนดใน 6 เดือน นับแต่วันที่จะซื้อหุ้นคืน และมีเงินสดคงเหลือเพียงพอที่จะนำมาใช้ในการซื้อหุ้นคืนตามโครงการ ส่วนจำนวนผู้ถือหุ้นสามัญชายย่อย (Free fioat) ณ วันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นหรือวันที่คณะกรรมการกำหนดเพื่อกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นลำสุด เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2567 เท่ากับร้อยละ 28.78 ของทุนชำระแล้วของบริษัท เหตุผลในการซื้อหุ้นคืน - เพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัทให้เกิดประโยชน์สูงสุด - เพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้แก่ส่วนเกินของผู้ถือหุ้น (ROE) รวมถึงเพิ่มอัตราทำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) -เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ผลกระทบภายหลังซื้อหุ้นคืนต่อผู้ถือหุ้น -ผู้ถือหุ้นจะได้รับผลตอบแทนโดยคำนวณจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตราทำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS)เพิ่มสูงขึ้น และผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินปันผลต่อหุ้นสูงขึ้น เนื่องจากหุ้นที่บริษัทซื้อคืนจะไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินปันผล - ทำให้ปริมาณหุ้นหมุนเวียนในตลาดลดลง ช่วยทำให้ราคาหุ้นมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น 4.2 ต่อบริษัท - บริษัทจะมีสินทรัพย์สภาพคล่อง และมูลค่าทางบัญชีของส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง (Book Value Per Share) - หากบริษัทดำเนินการซื้อหุ้นคืนได้ครบตามวงเงินที่ได้ระบุได้ทั้งหมด เมื่อสินสุดโครงการการซื้อหุ้นคืนบริษัทจะมีสินทรัพย์ สภาพคล่อง และมูลค่าทางบัญชีของส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงเป็นจำนวนเท่ากับวงเงินดังกล่าว การจำหน่ายและการตัดหุ้นที่ซื้อคืน - วิธีการจำหน่ายหุ้นบริษัทอาจทำการจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน โดยการขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปซึ่งขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในขณะนั้น โดยจะพิจารณาอีกครั้งภายหลังเสร็จสิ้นโครงการซื้อหุ้นคืน กำหนดระยะเวลาจำหน่ายและตัดหุ้นที่ซื้อคืน           คณะกรรมการบริษัทจะพิจารณากำหนดระยะเวลาจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนอีกครั้งภายหลังเสร็จสิ้นโครงการซื้อหุ้นคืน และจะแจ้งให้ทราบต่อไป (กำหนดระยะเวลาจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน จะทำได้ภายหลัง 3 เดือนนับแต่การซื้อหุ้นคืนเสร็จสิ้น แต่ต้องไม่เกิน 3ปี ทั้งนี้ ทันทีที่จำหน่ายได้บริษัทจะเร่งพิจารณาและจำหน่ายออกในเวลาที่เหมาะสม)           ด้าน บล.ดาโอ ระบุว่า SNNP ประกาศซื้อหุ้นคืนวงเงินไม่เกิน 640 ล้านบาท จำนวนไม่เกิน 40 ล้าน โดยมีมุมมองเป็นบวก โดยแผนซื้อหุ้นคืนดังกล่าว imply ราคาซื้อคืนเฉลี่ยที่ 16 บาท/หุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาปัจจุบันราว +42% ทำให้เรามองว่าจะเป็น sentiment เชิงบวกต่อราคาหุ้นได้           สำหรับ ไตรมาส 4/2567 คาดกำไรขยายตัว จาก high season โดยรายได้ในประเทศที่โตต่อ ด้านรายได้ต่างประเทศโต QoQ จากรายได้เวียดนาม และรายได้ฟิลิปปินส์ขยายตัว เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E ที่ 659 ล้านบาท (+4% YoY) เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” และคงราคาเป้าหมายที่ 17.00 บาท อิง 2025E PER 22.5x

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

SNNP ผลงาน Q4 ติดเครื่องวิ่งต่อ เล็งรุกตลาดขนมขบเคี้ยวปี68

SNNP ผลงาน Q4 ติดเครื่องวิ่งต่อ เล็งรุกตลาดขนมขบเคี้ยวปี68

           หุ้นวิชั่น - นายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจในประเทศ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP ผู้นำด้านเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวในประเทศไทย เปิดเผยว่าผลประกอบการไตรมาส 4/2567 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 3 เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของการขายสินค้า ซึ่งจะส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับภาพรวมทั้งปี 2567 ยังคาดการณ์ว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้           "Q3 เป็นช่วงโลวซีซั่นแต่เราสามารถทำให้ผลงานเติบโตเพิ่มขึ้นได้ จากการออกสินค้าใหม่ ทำให้มียอดขายเพิ่มขึ้น"นายวิโรจน์ กล่าว            บริษัทกำลังพิจารณาจัดทำแผนการเติบโตสำหรับปี 2568 โดยเบื้องต้นคาดว่าตลาดขนมขบเคี้ยวจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 3-5% ต่อปี ขึ้นอยู่กับประเภทของผลิตภัณฑ์และพฤติกรรมการบริโภค โดยในแต่ละปี หากมีการกระตุ้นการขายและการตลาดที่เข้มข้น กลุ่มขนมขบเคี้ยวนั้นๆ จะมีโอกาสเติบโตสูงขึ้น            สำหรับกลุ่มขนมขบเคี้ยว แบ่งผลิตภัณฑ์ออกเป็นหมวดหมู่ต่างๆ เช่น หมากฝรั่ง ปลาเส้น และถั่วชนิดต่างๆ พร้อมกันนี้ SNNP ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดในกลุ่มขนมขบเคี้ยวอย่างแข็งแกร่ง ด้วยส่วนแบ่งตลาดที่ครอบคลุมในผลิตภัณฑ์หลากหลายกลุ่ม อย่างไรก็ตามผลิตภัณฑ์ “เบนโตะ” SNNP ยังคงรักษาระดับมาร์เก็ตแชร์ ระดับ 70% และผลิตภัณฑ์ “เจเล่” ครองมาร์เก็ตแชร์เกือบ 80% ส่งผลให้ SNNP ยังคงเป็น Market Leader ของตลาดขนมขบเคี้ยวในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง           ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของปี 2567 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567) บริษัทมีกำไรสุทธิ 483.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.4 ล้านบาท หรือ 2.6% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 470.7 ล้านบาท และมีรายได้รวมอยู่ที่ 4,367.5 ล้านบาท โดยปัจจัยที่สนับสนุนให้กำไรสุทธิของบริษัทยังเติบโตมาจากยอดขายของทุกผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก ขณะเดียวกัน บริษัททยอยออกสินค้าใหม่วางจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง และมีการวางกลยุทธ์ทางด้านการตลาด การปรับโฉมสินค้า รวมถึงการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ๆ เพื่อสื่อสารทางการตลาดกับกลุ่มผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ การปรับปรุงโครงสร้างภายในของบริษัทฯ และประสิทธิภาพการผลิตสินค้าได้เป็นอย่างดี           สำหรับในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา SNNP ส่งสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสร้างความคึกคักให้ตลาดเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวเป็นอย่างมาก ได้แก่ Jele Fresshy กลิ่นแตงโม , โลตัสหนังไก่กรอบ 2 รสชาติใหม่ “รสลาบ – รสไก่ทอดสไตล์หาดใหญ่ , เจเล่ฟิตต์ (Jele Fitt) ในรูปแบบเยลลี่รสผลไม้ ,เบนโตะ แมกซ์ มาใน 3 รสชาติอร่อย “ทรงเครื่อง-ปรุงรส-ลาบ” ,เจเล่บิวตี้ 2 รสชาติใหม่ “สูตรไฟเบอร์-รสชาหมักคอมบูฉะ” , เมจิก ฟาร์ม เฟรช 2 รสชาติใหม่ “น้ำมะพร้าว – ชาเขียวกลิ่นน้ำผึ้งมะนาว , “เมจิก ฟาร์ม เฟรช คอมบูฉะ”, เบนโตะหมึกบดรส “ไทยคลาสสิคชิลลี่” และ เจเล่ ดับเบิ้ล เยลลี่ ไอซ์ โฉมใหม่           ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) เปิดเผยถึงแนวโน้มของ SNNP ว่า กําไร 3Q24 ที่ 163 ลบ. (+2% y-y, +1% q-q) โดยรายได้ -6% y-y เป็นครั้งแรกในรอบ 11 ไตรมาสจากตลาดต่างประเทศ -43% y-y, -35% q-q โดยหลักจากเวียดนาม จากการปรับโครงสร้างการขายและยอมลดผู้ขายที่ขาดคุณภาพ ขณะที่ตลาดในไทย (75% ของรายได้) +7% y-y จากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ และเน้นช่องทาง Modern trade ที่ยังเติบโต สำหรับ Gross margin ยังทําได้ดีที่ 30.0% vs 3Q2328.8% จากทั้ง Product mix ยอดขายขนม (High margin) โตดีกว่า Beverage           รวมถึง การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน รวมถึง สินค้าใหม่มี Margin ระดับดี ขณะที่ SG&A/Sales ยังใกล้เคียงเดิม และสุดท้าย Tax rate ลดเหลือ 15% จาก 3Q23 18% คาดกําไร 4Q24F เพิ่มเล็กน้อย y-y, q-q ปัจจัยหลักติดตามการปรับโครงสร้างในเวียดนามระยะสั้น           4Q24F คาดกําไรราว 170 ลบ. +3% y-y, +3% q-q ตามช่วงฤดูกาล และ Margin คาดยังทําได้สูง หักล้างยอดขายต่างประเทศคาดยังลดลงคล้าย 3Q24 และคงกำไรปี 2024F 650 ลบ.(+2%) อย่างไรก็ตาม ปรับลดกําไรปี 2025-26F ลงเฉลี่ย 2% เหลือ 698 (+7%) / 753 ลบ. (+8%) จากปัจจัยหลัก ลดรายได้เวียดนาม 2025-26F เหลือ 650 (+20%) /791 ลบ. (+10%) จากปี 24F กำหนด 541 ลบ. (-31% y-y) โดยมองเวียดนาม อยู่ในช่วงปรับโครงสร้างการขาย จะใช้เวลา 2 ปี กลับสู่จุดสุงสุดเดิม ขณะเดียวกัน พยายามเร่งการเติบโตในประเทศ Potential โดยเฉพาะฟิลิปปินส์ เป้ารายได้เพิ่ม 50% y-y จากปีก่อนที่ราว 40 ลบ. โดยเริ่มแต่งตั้ง Distributor รายที่ 2 และคาดจะเริ่มมีคำสั่งซื้อขายราวปลาย 4Q24F           ฝ่ายวิเคราะห์ คงแนะนำ “Neutral” โดยรอดูความคืบหน้าการจัดการในเวียดนาม เพื่อกำหนดจุดเข้าลงทุนต่อไปจาก TP25F ใหม่ 13.5 บาท อิง DCF (WACC 10.8%, TVGrowth 1.5%) รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

SNNP โค้งสุดท้ายปี 67 ออกสินค้าใหม่รับไฮซีซั่น

SNNP โค้งสุดท้ายปี 67 ออกสินค้าใหม่รับไฮซีซั่น

           บมจ.ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง (SNNP) โชว์ผลงาน 9 เดือนปี 67 รายได้รวม 4,367.5 ล้านบาท กำไรสุทธิฯ 483.1 ล้านบาท ผลจากยอดขายสินค้าหลักและผลิตภัณฑ์ใหม่ ในกลุ่มเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวมีกระแสตอบรับดีตามคาด ฟากผู้บริหาร “วิโรจน์ วชิรเดชกุล” ระบุ โค้งสุดท้ายปีนี้ ทยอยออกสินค้าใหม่สู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง หวังผลักดันยอดขายและรายได้ช่วงไฮซีซั่นโตสวย            นายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจในประเทศ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP ผู้นำผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม และขนมขบเคี้ยวของประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของปี 2567 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567) บริษัทฯ มีกำไรสุทธิฯ 483.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.4 ล้านบาท หรือ 2.6% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 470.7 ล้านบาท และมีรายได้รวมอยู่ที่ 4,367.5 ล้านบาท            โดยปัจจัยที่สนับสนุนให้กำไรสุทธิของบริษัทฯ ยังเติบโตมาจากยอดขายของทุกผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ทยอยออกสินค้าใหม่วางจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง และมีการวางกลยุทธ์ทางด้านการตลาด การปรับโฉมสินค้า รวมถึงการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ๆ เพื่อสื่อสารทางการตลาดกับกลุ่มผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ การปรับปรุงโครงสร้างภายในของบริษัทฯ และประสิทธิภาพการผลิตสินค้าได้เป็นอย่างดี            สำหรับในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา SNNP ส่งสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสร้างความคึกคักให้ตลาดเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวเป็นอย่างมาก ได้แก่ Jele Fresshy กลิ่นแตงโม , โลตัสหนังไก่กรอบ 2 รสชาติใหม่ “รสลาบ - รสไก่ทอดสไตล์หาดใหญ่ , เจเล่ฟิตต์ (Jele Fitt) ในรูปแบบเยลลี่รสผลไม้ ,เบนโตะ แมกซ์ มาใน 3 รสชาติอร่อย “ทรงเครื่อง-ปรุงรส-ลาบ” ,เจเล่บิวตี้ 2 รสชาติใหม่  “สูตรไฟเบอร์-รสชาหมักคอมบูฉะ” , เมจิก ฟาร์ม เฟรช 2 รสชาติใหม่ “น้ำมะพร้าว - ชาเขียวกลิ่นน้ำผึ้งมะนาว, “เมจิก ฟาร์ม เฟรช คอมบูฉะ”  , เบนโตะหมึกบดรส “ไทยคลาสสิคชิลลี่” และ เจเล่ ดับเบิ้ล เยลลี่ ไอซ์ โฉมใหม่            “แนวโน้มผลงานช่วงไตรมาส 4/2567 ซึ่งเป็นช่วง High season ตลาดเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวของบริษัทฯ คาดว่าจะเติบโตได้ดีจากการออกสินค้าเรือธงใหม่ๆ อย่าง เบนโตะหมึกบดรส ไทยคลาสสิคชิลลี่ และ เจเล่ ดับเบิ้ล เยลลี่ ไอซ์ โฉมใหม่ ที่ช่วยสร้างความคึกคักในตลาดเป็นอย่างมาก รวมถึงโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐภาค จะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนภาพรวมผลดำเนินงานของ SNNP เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และในส่วนของแผนระยะยาวบริษัทฯ วางกลยุทธ์ขยายตลาดในต่างประเทศ ทั้งรูปแบบการส่งสินค้าไปขาย และการร่วมการทำตลาด รวมถึงการแต่งตั้งตัวแทนจัดจำหน่าย เพื่อสนับสนุนการเติบโตในระยะยาว” นายวิโรจน์ กล่าวในที่สุด [PR News]

SNNP โชว์ 9 เดือนกวาดกำไร 483ล.

SNNP โชว์ 9 เดือนกวาดกำไร 483ล.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายศุภโชค บำรุงพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานบัญชีและการเงิน บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP แจ้งผลประกอบการไตรมาส 3/2567 ที่ 163.3 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนที่ 160.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.0% ส่งผลให้ 9 เดือนแรกปี 2567 มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 483.1 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันกับปีก่อนที่ 470.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6% ส่วนรายได้ไตรมาส 3/2567 ทำได้ 1,397.3 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน 1,497.8 ล้านบาท ลดลง 6.7% และ 9 เดือนแรกปี 2567 มีรายได้ที่ 4,367.5 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนที่ 4,405.8 ล้านบาท ลดลง 0.9%

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

SNNP การันตีผลงาน คว้า CGR ดีเลิศ 5 ดาว 2 ปีซ้อน

SNNP การันตีผลงาน คว้า CGR ดีเลิศ 5 ดาว 2 ปีซ้อน

          บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ (SNNP) ตอกย้ำความเป็นหนึ่งในผู้นำผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยว ได้รับคะแนนการประเมินการกำกับดูแลกิจการในระดับ 5 ดาว หรือ “ดีเลิศ” (Excellent CG Scoring) จากโครงการสำรวจด้านการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนไทย ประจำปี 2567 (Corporate Governance Report of Thai Listed Companies 2024 : CGR) จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) โดยการสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดย SNNP ถือเป็นองค์กรภาคเอกชนที่ได้รับการประเมิน CGR 5 ดาว ในระดับดีเลิศ ติดต่อกันเป็นเวลา 2 ปี สะท้อนถึงศักยภาพในการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัท ที่มุ่งเน้นพัฒนามาตรฐานการกำกับดูแลกิจการในระดับที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ถือหุ้นมีความมั่นใจในการดำเนินงานของบริษัทฯ [PR News]

SNNP รายได้ในประเทศทำสถิติ คาดโชว์กำไรปีนี้669ล้าน

SNNP รายได้ในประเทศทำสถิติ คาดโชว์กำไรปีนี้669ล้าน

           หุ้นวิชั่น บล. ดาโอ คงคำแนะนำ “ซื้อ”  SNNP แต่ปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 17.00 บาท อิง 2024E PER 24.5x (เดิมที่ 19.00 บาท อิง 2024E PER26.0x) เราประเมินกำไรสุทธิ 3Q24E ที่ 169 ล้านบาท (+5% YoY, +4% QoQ) ต่ำกว่าคาดการณ์เดิมจากรายได้ต่างประเทศที่ต่ำกว่าคาด กำไรขยายตัว YoY จาก 1) รายได้รวมลดลงเล็กน้อย -1% YoY            โดยรายได้ในประเทศทำสถิติสูงสุดใหม่ +10% YoY ช่วยชดเชยรายได้ต่างประเทศที่ปรับตัวลดลง -32% YoY จากรายได้เวียดนามที่ปรับตัวลดลง -45% YoYเนื่องจากอยู่ระหว่างปรับเปลี่ยน distributors รายเล็กๆ, 2) GPM ขยายตัว จาก product mix ที่ดี และสินค้าที่ออกมาใหม่ซึ่ง high margin ได้รับการตอบรับที่ดี            ด้านกำไรที่ขยายตัว QoQ หนุนโดย GPM ขยายตัว จากสัดส่วนรายได้ snack ที่ขยายตัว จาก high season ของกลุ่ม snack            ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E-25E ลง -3% และ -4% ตามลำดับเพื่อสะท้อนการฟื้นตัวรายได้ของต่างประเทศที่ช้ากว่าคาด            ประเมินกำไรสุทธิปี 2024E ที่ 669 ล้านบาท (+5% YoY) และปี 2025E ที่ 773 ล้านบาท (+16% YoY) จากรายได้ในประเทศขยายตัว และต่างประเทศฟื้นตัว จากเวียดนามฟื้นตัวจากปัญหา distributors ที่เวียดนามคลี่คลาย และรายได้ฟิลิปปินส์เติบโตดี ราคาหุ้น underperform SET -11% ใน 1 เดือนที่ผ่านมา            ทั้งนี้ SNNP เทรดอยู่ที่ PER 17.8x เรายังชอบ SNNP จาก 1) มี snack & beverage ที่ตอบโจทย์ได้ครอบคลุมทุกเพศ ทุกวัย, 2) มี production facilities ทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง และ 3) penetration rate ในตลาดต่างประเทศยังอยู่ในระดับต่ำ ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก

[PR News] SNNP ลุยตลาดฟิลิปปินส์ตั้งตัวแทนจัดจำหน่ายอัพยอด

[PR News] SNNP ลุยตลาดฟิลิปปินส์ตั้งตัวแทนจัดจำหน่ายอัพยอด

           บมจ.ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง (SNNP) ผู้นำผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวของภูมิภาค เดินหน้าบุกตลาดต่างประเทศ แต่งตั้ง REDDIMART MULTI RESOURCES INC. เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายสินค้าของบริษัทฯ อย่างเป็นทางการในประเทศฟิลิปปินส์ ฟาก ซีอีโอ “ฐากร ชัยสถาพร” ระบุ ความร่วมมือครั้งนี้ จะช่วยขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศได้มากขึ้น และคาดว่าตลาดในประเทศฟิลิปปินส์ จะช่วยสนับสนุนสัดส่วนรายได้ในต่างประเทศให้เติบโตเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง            นายฐากร ชัยสถาพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) (SNNP) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ลงนามแต่งตั้ง REDDIMART MULTI RESOURCES INC. หรือ (RM) เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายสินค้าของบริษัทฯ อย่างเป็นทางการในประเทศฟิลิปปินส์ เพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า Bento, Magic Farm และ Jele Cube ที่มีเครือข่ายห้าง Modern และเครือข่ายร้านค้า Traditional Trade ทั่วประเทศฟิลิปปินส์            บริษัทฯ มองเห็นโอกาสการแต่งตั้งตัวแทนจัดจำหน่ายในครั้งนี้ จะช่วยการกระจายสินค้าประเภทเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวของบริษัทฯ ในประเทศฟิลิปปินส์และยังเป็นการขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศ ตอกย้ำความเป็นหนึ่งในผู้นำผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวของภูมิภาค ช่วยผลักดันยอดขายและรายได้ในต่างประเทศ ให้เติบโตได้อย่างยิ่งยวดและมีเสถียรภาพ            Mr. Jerbie Sheldon Ong  President and CFO REDDIMART MULTI RESOURCES INC. หรือ (RM) กล่าวว่า บริษัทฯ เป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้ารายใหญ่ที่มีความเชี่ยวชาญในการนำเข้าขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มจากต่างประเทศ มีเครือข่ายห้าง Modern Trade ทั่วประเทศกว่า 10,000 จุดจำหน่าย และเครือข่ายร้านค้า Traditional Trade กว่า 100,000 ร้านค้า ซึ่งจะเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของ SNNP ภายใต้แบรนด์สินค้า  Bento, Magic Farm และ Jele Cube ในประเทศฟิลิปปินส์            การร่วมมือระหว่าง SNNP และ RM ในครั้งนี้ ถือเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน เพื่อขยายฐานลูกค้าในกลุ่มเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวในต่างประเทศให้มากขึ้น และสินค้าของบริษัทฯ ยังมีจุดเด่นเรื่อง รสชาติ คุณภาพ และราคาที่เข้าถึงได้ พร้อมที่จะดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคในประเทศฟิลิปปินส์ และครองใจได้อย่างแน่นอน บริษัทฯ คาดว่าความร่วมมือในครั้งนี้ จะสามารถสร้างรายได้ในประเทศฟิลิปปินส์ มาช่วยเพิ่มสัดส่วนรายได้ในต่างประเทศให้เติบโตเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง” นายฐากร กล่าวในที่สุด

abs

Hoonvision

[PR News] SNNP ออกสินค้าใหม่ “เจเล่ ดับเบิ้ล เยลลี่ ไอซ์” มั่นใจไฮซีซั่น ดันยอดขายโตสวย

[PR News] SNNP ออกสินค้าใหม่ “เจเล่ ดับเบิ้ล เยลลี่ ไอซ์” มั่นใจไฮซีซั่น ดันยอดขายโตสวย

          SNNP ตอกย้ำความเป็นผู้นำเดินหน้าออกสินค้าใหม่ “เจเล่ ดับเบิ้ล เยลลี่ ไอซ์” ชูนวัตกรรม ดับเบิ้ลความอร่อย ดับเบิ้ลความสนุก มั่นใจผลงาน Q4/67 เข้าสู่ไฮซีซั่น ดันยอดขายโตสวย            บมจ.ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง (SNNP) ตอกย้ำผู้นำในตลาดเยลลี่พร้อมดื่ม ส่ง “เจเล่ ดับเบิ้ล เยลลี่ ไอซ์” ชูคอนเซ็ปต์ดับเบิ้ลความอร่อย “แช่เย็นเป็นเยลลี่ แช่แข็งเป็นไอศกรีม” มาพร้อมกับบรรจุภัณฑ์แบบใหม่ ที่สามารถบริโภคได้ 2 แบบ ทั้งดูดเป็นเยลลี่หรือฉีกซองเป็นไอศกรีม และยังสามารถนำฝามาเป็นตัวต่อ ฟากผู้บริหาร “วิโรจน์ วชิรเดชกุล” ระบุ ทยอยออกสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง คาดจะผลักดันยอดขายและรายได้ในช่วง Q4/67 เติบโตสอดรับช่วงไฮซีซั่น และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ           นายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจในประเทศ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) (SNNP) เปิดเผยว่า หลังจากในปีที่ผ่านมา SNNP ประสบความสำเร็จในการทำตลาดเยลลี่ “Jele Chewy Jelly Ice” (เจเล่ ชิววี่ เยลลี่ ไอซ์) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีจุดเด่นที่แตกต่างสามารถบริโภคได้แบบทั้งแบบเยลลี่ และแบบไอศกรีมได้ อร่อยง่าย ๆ ไม่ซ้ำใคร ล่าสุดยังคงเดินหน้ากระตุ้นตลาดในช่วงโค้งสุดท้ายของปีอย่างต่อเนื่องกับ “เจเล่ ดับเบิ้ล เยลลี่ ไอซ์” ที่มาในแพ็คเกจจิ้งใหม่ ด้วยคอนเซ็ปต์ที่สามารถอร่อยได้ทั้ง 2 แบบ 2 สไตล์ รวมถึงนวัตกรรมฝา Fancy Caps ที่ไม่ต้องทิ้งให้เป็นขยะ สามารถนำมาเป็นของเล่นตัวต่อ เพื่อช่วยเสริมสร้างจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ได้ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคอายุ 10-15 ปี รวมถึงพ่อแม่ ผู้ปกครอง โดยมั่นใจว่าจะเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ของเจเล่ที่ครองใจผู้บริโภคได้อย่างแน่นอน           ทั้งนี้  “เจเล่ ดับเบิ้ล เยลลี่ ไอซ์” แพ็คเกจจิ้งนวัตกรรมใหม่ ดับเบิ้ลความอร่อย ดับเบิ้ลความสนุก  มาพร้อมกับบรรจุภัณฑ์แบบใหม่ ที่สามารถบริโภคได้ 2 แบบ ทั้งดูดเป็นเยลลี่หรือฉีกซองเป็นไอศกรีม และยังสามารถนำฝามาเป็นตัวต่อ เพื่อเสริมสร้างจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ให้กับกลุ่มเป้าหมาย อายุ 10-15 ปี เปิดตัวสินค้าพร้อมกัน 2 รสชาติความอร่อย “กลิ่นลิ้นจี่” และ “กลิ่นมิกซ์เบอรี่” พบกับความอร่อยได้แล้ววันนี้ ในราคาซองละ 15 บาท วางจำหน่ายแบบ exclusive เฉพาะที่ 7-11 เท่านั้น  สามารถเข้าไปดูวิธีการต่อฝา Fancy Cap เพื่อเสริมสร้างจินตนาการได้แล้วที่ https://jeledoubleice.com/           บริษัทฯ วางแนวทางการสื่อสารกับผู้บริโภค โดยเน้นการสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์ โดยมีการจัดแคมเปญสื่อสารผ่าน Key Message “เจเล่ดับเบิ้ลเยลลี่ไอซ์ ดับเบิ้ลความอร่อย ดับเบิ้ลความสนุก” ทั้งในส่วนของการโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่สามารถอร่อยได้ทั้ง 2 แบบ ผ่าน influencer ยอดนิยมในกลุ่มเป้าหมาย และการแจกสินค้าตัวอย่างให้ได้ทดลองชิม พร้อมทั้งกิจกรรม Fancy Cap Create เสริมสร้างทักษะให้กับเด็ก เพื่อทำให้ “เจเล่ ดับเบิ้ล เยลลี่ ไอซ์” เข้าถึง และเข้าไปอยู่ในใจกลุ่มเป้าหมายได้เพิ่มขึ้น           “แนวโน้มผลงานช่วงไตรมาส 4/2567 ซึ่งเป็นช่วง High season ตลาดเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวของบริษัทฯ คาดว่าผลประกอบการช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้จะเติบโตได้เป็นอย่างดี จากการออกสินค้าเรือธงใหม่ๆ อย่าง เบนโตะหมึกบดรส ไทยคลาสสิคชิลลี่ ก่อนหน้านี้ และ เจเล่ ดับเบิ้ล เยลลี่ ไอซ์ โฉมใหม่ จะช่วยสร้างความคึกคักในตลาดเป็นอย่างมาก รวมถึงโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐภาค ที่สนับสนุนเงินจำนวน 10,000 บาท ให้กลุ่มเป้าหมาย จะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนภาพรวมผลดำเนินงานของ SNNP เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง” นายวิโรจน์ กล่าวในที่สุด

[Vision Exclusive]

[Vision Exclusive] "SNNP" แชมป์ขนมขบเคี้ยว ไฮซีซั่นท้ายปี ดันยอดขายโตแรง

          หุ้นวิชั่น - รู้หรือไม่!  SNNP หรือ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 30 ปี เริ่มต้นจากการก่อตั้งร้านค้าส่งที่มีชื่อว่า "ศรีวิวัฒน์" ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 จากนั้นในปี พ.ศ. 2534 ได้ขยายกิจการในรูปแบบบริษัทจำกัด โดยได้จัดตั้งบริษัทผลิตภัณฑ์อาหาร กิมเฮง จำกัด (KHF) บริษัท สยามเดลี่ฟู้ดส์ จำกัด (SDF) และบริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เพื่อผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยว ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในกลุ่มเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวของบริษัทจนถึงปัจจุบัน           บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP เป็นหนึ่งในผู้นำด้านการผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในกลุ่มขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์อาหารในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ที่คุ้นเคยอย่าง "เบนโตะ", "เจเล่", "โลตัส" โดยมีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมทั้งในกลุ่มเด็กและผู้ใหญ่ ด้วยประสบการณ์อันยาวนานในการพัฒนาและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเครื่องดื่มประเภทเยลลี่พร้อมดื่มและเยลลี่ ภายใต้ตราสินค้า "เจเล่" ซึ่งได้รับความนิยมสูงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ "เจเล่" ได้ครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับหนึ่งในกลุ่มเยลลี่พร้อมดื่มและเยลลี่คาราจีแนน โดยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 72.0% ในปี 2564, 77.4% ในปี 2565 และ 78.0% ในปี 2566           นอกจากผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแล้ว "เบนโตะ" ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวประเภทปลาหมึกกรอบ ปลาหมึกเส้น และปลาเส้น ก็ครองส่วนแบ่งการตลาดในอันดับต้น ๆ มาโดยตลอด โดยมีส่วนแบ่งการตลาดในปี 2564, 2565 และ 2566 อยู่ที่ 72.6%, 73.9% และ 72.4% ตามลำดับ ด้วยคุณภาพและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ทำให้เบนโตะได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่ผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนสามารถสร้างความแข็งแกร่งและเป็นผู้นำในตลาดขนมขบเคี้ยวจากอาหารทะเลได้อย่างมั่นคง           ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางธุรกิจของบริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP ว่ายังคงมีมุมมองเชิงบวก โดยรายได้ในประเทศเดือนสิงหาคมสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ และคาดว่าในเดือนกันยายนจะเติบโตต่อเนื่อง ส่งผลให้กำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 ขยายตัวทั้งเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก (HoH) โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเวียดนาม นอกจากนี้ ยังเป็นช่วง High season ของผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวที่มีอัตรากำไรสูง (High Margin) จึงยังคงประมาณการกำไรปี 2567 ไว้ที่ 691 ล้านบาท เติบโต 9% เมื่อเทียบกับปีก่อน           สำหรับรายได้รวมของบริษัท คาดว่าจะขยายตัว 9% YoY โดยรายได้ในประเทศเติบโต 9% YoY และรายได้ต่างประเทศเติบโต 10% YoY จากตลาดในกลุ่ม CLMV ที่ทรงตัว แต่มีรายได้จากประเทศฟิลิปปินส์และเกาหลีเติบโตถึง 33% YoY ทำให้ภาพรวมธุรกิจต่างประเทศขยายตัวได้ดี ขณะเดียวกัน อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ขยายตัวเล็กน้อยจากการเติบโตของ GPM ในเวียดนาม           ฝ่ายวิเคราะห์แนะนำ “ซื้อ” หุ้น SNNP ด้วยราคาเป้าหมาย 19.00 บาท อิงจากค่า P/E ที่ 26.0 เท่า โดยมองว่าราคาหุ้นปัจจุบันเทรดอยู่ที่ค่า P/E เพียง 17.3 เท่า ใกล้เคียงกับระดับ -1.75 SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์ จึงมองว่าเป็นโอกาสลงทุนที่น่าสนใจ           นอกจากนี้ SNNP ยังมีจุดเด่นจากการมีผลิตภัณฑ์ทั้งขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มที่สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้หลากหลายกลุ่มทุกเพศทุกวัย รวมถึงโรงงานการผลิตทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ช่วยลดต้นทุนการผลิต อีกทั้งมูลค่าหุ้น (Valuation) ยังไม่แพงเมื่อเทียบกับกลุ่ม Food & Beverage ทำให้มีโอกาสเติบโตในอนาคตอีกมาก เนื่องจากอัตราการเข้าถึงตลาด (Penetration Rate) ในต่างประเทศยังอยู่ในระดับต่ำ           ด้าน นายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจในประเทศ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP เปิดเผยกับ ทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า แนวโน้มธุรกิจในไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 หรือ Q4/67 คาดว่าจะเติบโตได้ดี เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ โดยหากพิจารณาจากตัวเลขการขายในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน ๆ พบว่าอัตราการเติบโตมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากไม่มีปัจจัยลบมากดดัน เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ การเติบโตของธุรกิจในไตรมาสนี้จะเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับช่วงที่ผ่านมา โดยปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจากการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก ผู้บริโภคเดินทางและพักผ่อนมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขนมขบเคี้ยวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย คาดว่ายอดขายในไตรมาสนี้จะมีอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่ง           ตลาดขนมขบเคี้ยวมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 3-5% ต่อปี โดยแบ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น หมากฝรั่ง ปลาเส้น และถั่วชนิดต่าง ๆ ขณะที่ SNNP ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำในกลุ่มขนมขบเคี้ยวด้วยส่วนแบ่งการตลาด (Market Share) ของผลิตภัณฑ์ "เบนโตะ" ที่ยังคงยืนเหนือระดับ 70% และผลิตภัณฑ์ "เจเล่" ครองมาร์เก็ตแชร์เกือบ 80% ส่งผลให้ SNNP ยังคงเป็น Market Leader ของตลาดขนมขบเคี้ยวในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง           สำหรับกลยุทธ์ในช่วงที่เหลือของปี 2567 SNNP จะมุ่งเน้นการเพิ่มยอดขายในกลุ่มขนมขบเคี้ยว โดยเน้นทำการตลาดเพื่อเพิ่มความถี่ในการซื้อของผู้บริโภคและขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น เพื่อผลักดันการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่องและเสริมสร้างความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำตลาดขนมขบเคี้ยวในประเทศและต่างประเทศ           ล่าสุด เบนโตะ แบรนด์ผู้นำตลาดขนมขบเคี้ยวจากปลาหมึก เดินหน้าขยายพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเปิดตัว “เบนโตะหมึกบดรสไทยคลาสสิคชิลลี่” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม โดยมองเห็นโอกาสในกลุ่มอาหารไทยสตรีทฟู้ดที่ยังคงได้รับความนิยมและมีเสน่ห์เฉพาะตัว จึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์หมึกบดเนื้อนุ่ม ที่ให้รสชาติเข้มข้นถึงเครื่องแบบไทย เหมือนยกรถเข็นหมึกบดสตรีทฟู้ดมาไว้ในซองเบนโตะ ด้วยการขยายพอร์ตโฟลิโอครั้งนี้ ทำให้เบนโตะกลายเป็นแบรนด์เดียวที่มีสินค้าประเภทขนมขบเคี้ยวจากปลาครบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น หมึกอบ หมึกอบกรอบ หมึกบด และหมึกทอดกรอบ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย           สำหรับ “เบนโตะหมึกบดรสไทยคลาสสิคชิลลี่” มีจุดเด่นที่เนื้อหมึกนุ่มเคี้ยวง่าย ชุ่มด้วยน้ำจิ้มรสจัดจ้านสไตล์ไทย คลาสสิค เหมือนยกรถเข็นหมึกบดสตรีทฟู้ดมาไว้ในซอง เจาะกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคอายุ 18-29 ปี กลุ่มนักศึกษา วัยทำงานตอนต้น ที่ชื่นชอบขนมขบเคี้ยวแนว snack, ปลาหมึก, กับแกล้ม, สตรีทฟู้ด และผู้ที่ชื่นชอบรสชาติสไตล์ไทย ๆ ได้เป็นอย่างดี           เบนโตะหมึกบดรสชาติใหม่ “ไทยคลาสสิคชิลลี่” วางจำหน่ายในราคาซองละ 20 บาท เฉพาะที่ร้าน 7-11 ทุกสาขา คาดว่าจะช่วยขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่และสร้างความเติบโตให้กับแบรนด์เบนโตะในระยะยาว รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[PR News] SNNP เสิร์ฟเบนโตะ “ไทยคลาสสิคชิลลี่” หนุนยอดครึ่งหลังโต

[PR News] SNNP เสิร์ฟเบนโตะ “ไทยคลาสสิคชิลลี่” หนุนยอดครึ่งหลังโต

          SNNP เสิร์ฟเบนโตะหมึกบดรสเข้มข้น “ไทยคลาสสิคชิลลี่” เดินหน้าขยายพอร์ตฯ ผลิตภัณฑ์ใหม่เอาใจลูกค้าทุกกลุ่ม ประเมินครึ่งปีหลังรายได้เติบโตดีอานิสงส์ช่วงไฮซีซั่น           บมจ.ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง (SNNP) ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาด เปิดตัวเบนโตะหมึกบดรส “ไทยคลาสสิคชิลลี่” เจาะกลุ่มลูกค้าชื่นชอบหมึกบดนุ่มชุ่มน้ำจิ้ม เข้มข้นถึงรสชาติสไตล์ไทย พร้อมปูพรมสื่อสารการตลาดทุกช่องทาง ฟากผู้บริหาร “วิโรจน์ วชิรเดชกุล” ระบุเดินหน้าขยายพอร์ตโฟลิโอ (Portfolio) พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่หลากหลายให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม พร้อมประเมินครึ่งปีหลังผลงานเติบโตกว่าครึ่งปีแรก เหตุเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น และการออกสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง หนุนรายได้และยอดขายเพิ่มขึ้น           นายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจในประเทศ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) (SNNP) เปิดเผยว่า “เบนโตะ” ผู้นำตลาดขนมขบเคี้ยวที่ทำจากปลาหมึก เดินหน้าขยายพอร์ตโฟลิโอเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม โดยเล็งเห็นโอกาสของ “อาหารไทยสตรีทฟู้ด” ที่ยังคงมีเสน่ห์และครองใจผู้บริโภคอยู่เสมอมา  จึงพัฒนาเบนโตะหมึกบดรส “ไทยคลาสสิคชิลลี่” ซึ่งเป็นหมึกบดแบบนุ่ม เข้มข้นถึงรสชาติสไตล์ไทย เหมือนยกรถเข็นหมึกบดสตรีทฟู้ดมาไว้ในซองเบนโตะ และจากการขยายพอร์ตโฟลิโอทำให้เบนโตะเป็นแบรนด์เดียวที่มีสินค้าประเภทขนมขบเคี้ยวครบทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น หมึกอบ หมึกอบกรอบ หมึกบด และหมึกทอดกรอบ           สำหรับ  เบนโตะหมึกบดรส “ไทยคลาสสิคชิลลี่” อร่อยเต็มแผ่นเนื้อหมึกนุ่มเคี้ยวง่าย ชุ่มด้วยน้ำจิ้ม ให้รสชาติเข้มข้นคลาสสิคสไตล์ไทย เหมือนยกรถเข็นหมึกบดสตรีทฟู้ดมาไว้ในซองเบนโตะ เจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าใหม่ที่ชื่นชอบหมึกบดแบบนุ่ม ถือเป็นการขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหม่ คาดว่าจะตอบสนองผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายอายุ 18-29 ปี กลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัย วัยทำงานตอนต้น ที่ชื่นชอบทาน snack, ปลาหมึก, กับแกล้ม, สตรีทฟู้ดต่าง ๆ และสายที่ชื่นชอบความคลาสสิคสไตล์ไทย ๆ ของปลาหมึกบดได้เป็นอย่างดี ซึ่งเบนโตะหมึกบดรสชาติใหม่ “ไทยคลาสสิคชิลลี่” ราคาซองละ 20 บาท วางจำหน่ายเฉพาะที่ร้าน 7-11 เท่านั้น           ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ทำการปูพรมสื่อสารการตลาดทุกช่องทาง พร้อมจัดเต็มกิจกรรมแน่นๆ โดย SNNP จะมีการทำสื่อสารการตลาดเพื่อสร้างกระแสให้อยากลอง มีการจัดทำโฆษณาออนไลน์ แคมเปญออนไลน์ผ่าน KOL Macro Micro และ Nano influencer รวมถึงจัดโรดโชว์แจกสินค้าตัวอย่างตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคให้มากที่สุด           ขณะที่ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 2567 ที่ภาครัฐจะสนับสนุนเงินจำนวน 10,000 บาทต่อคน ให้แก่กลุ่มเป้าหมาย (กลุ่มเปราะบาง ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนพิการ) ประมาณ 14.55 ล้านราย เพื่อกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย สามารถนำไปใช้จ่ายซื้อสินค้า คาดว่าจะเป็นอีกปัจจัยบวกให้กับ SNNP ในช่วงไตรมาส 4/2567 ที่จะกระตุ้นยอดขายในกลุ่มเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวให้คึกคัก           “สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง ประเมินว่าจะเติบโตได้มากกว่าครึ่งปีแรก จากความแข็งแกร่งของแบรนด์สินค้าหลัก แผนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศ ประกอบกับในไตรมาสที่ 4 จะเป็นช่วงหน้าขาย (High season) และในส่วนของแผนระยะยาว บริษัทฯ วางกลยุทธ์ขยายตลาดในต่างประเทศ ทั้งรูปแบบการส่งสินค้าไปขาย และการร่วมการทำตลาด รวมถึงการแต่งตั้งตัวแทนจัดจำหน่าย เพื่อสนับสนุนการเติบโตในระยะยาว” นายวิโรจน์ กล่าวในที่สุด