#SCGP


SCGPฟื้นตัวแรง โบรกปรับคำแนะนเป็น

SCGPฟื้นตัวแรง โบรกปรับคำแนะนเป็น "ซื้อ" พิกัด 25 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า SCG Packaging (SCGP) เตรียมผ่านจุดต่ำสุดใน 4Q67 และกลับมาฟื้นตัวในปี 2568 คาดกำไรจะผ่านจุดต่ำสุดของรอบใน 4Q67           เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 4Q67 ที่ระดับ 500-600 ล้านบาท ลดลง/ทรงตัว QoQ และลดลง YoY แม้คาดอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจ IPC เริ่มฟื้นตัว (ผลจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวลง) หลังถูกกดดันจากการรับรู้ผลขาดทุนจาก Fajar หลังเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 100% แบบเต็มไตรมาส (คาดผลขาดทุนของ Fajar ในช่วงดังกล่าวอยู่ที่ราว 500 ล้านบาท +/-) และต้นทุนทางการเงินที่คาดเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 700 ล้านบาท (เทียบกับ 628 ล้านบาทใน 3Q67) จากการรับรู้ดอกเบี้ยจากเงินกู้ที่ใช้ในการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน Fajar แบบเต็มไตรมาสเป็นครั้งแรก รวมถึงค่าใช้จ่าย SG&A ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้ง QoQ และ YoY ตามผลของฤดูกาล ปริมาณขายที่เร่งตัวขึ้น และค่าขนส่งระหว่างประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้น           ทั้งนี้เรามองว่ากำไร 4Q67 จะเป็นจุดต่ำสุดของรอบ และเริ่มเห็นการฟื้นตัวของกำไรของบริษัทฯ ได้ตั้งแต่ช่วง 1Q68 เป็นต้นไปตามผลประกอบการของ Fajar ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง (ผลจากเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัว) ปรับประมาณการปี 2567-69 ลงหลังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนช้ากว่าคาด           ฝ่ายวิเคราะห์ปรับประมาณการกำไรปี 2567-69 ลง 7-13% เป็น 4,291 ล้านบาท (-17% YoY), 4,449 ล้านบาท (+4% YoY) และ 5,244 ล้านบาท (+18% YoY) ตามลำดับ เพื่อสะท้อนแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ช้ากว่าที่เราประเมินไว้ก่อนหน้านี้ หลังทางการจีนรายงานตัวเลขยอดค้าปลีกเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้นเพียง 3.0% YoY ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ระดับ 4.6% YoY (แสดงให้เห็นถึงอุปสงค์ในจีนที่ยังฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป)           ทั้งนี้คาดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจะเริ่มเร่งตัวขึ้นในปี 2568 หลังคุณสี จิ้นผิง ได้มีการเปิดเผยว่าจีนเตรียมปรับเพิ่มเป้าหมายการขาดดุลการคลังให้สูงขึ้น (รายจ่ายของรัฐบาลมากกว่ารายรับ) รวมถึงเน้นย้ำว่าจะแก้ไขการบริโภคอย่างจริงจัง หลังการประชุม Central Economic Work Conference ของจีนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คาดเห็นพัฒนาการของ Fajar มากขึ้นในปี 2568           ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของ Fajar เพื่อให้สามารถพลิกเป็นกำไรในระดับ EBITDA ได้ภายในช่วง 2Q68 และพลิกกลับมาทำกำไรปกติได้ภายใน 4Q68 ผ่านการปรับปรุงประสิทธิภาพของสายการผลิต, การปรับ Product Mix, การลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น, การเพิ่ม Synergy ของระบบ Supply Chain, การปรับโครงสร้างหนี้สิน และการเพิ่มระดับ Integration Level ของธุรกิจในอินโดนีเซีย (ผ่านการทำ M&P เพิ่มเติม)           โดยคาดกระบวนการที่จะเห็นผลเร็วและชัดเจนที่สุดคือการปรับโครงสร้างหนี้ เนื่องจากในปัจจุบัน Fajar มีหนี้สินอยู่ที่ราว 1.6-1.7 หมื่นล้านบาท และมีอัตราดอกเบี้ยที่ราว 6-7% (หากอิงสมมติฐานการ Refinance หนี้ดังกล่าวจำนวน 50% และอัตราดอกเบี้ยใหม่ที่ระดับ 4-5% การปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าวจะลดต้นทุนทางการเงินได้ราว 150-250 ล้านบาท/ปี) ทั้งนี้คาดการปรับโครงสร้างหนี้จะมีความชัดเจนมากขึ้นภายในช่วง 1Q68 หุ้นสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว...ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ”           ผลจากการปรับประมาณการลงและการปรับ EV/EBITDA ที่ใช้ประเมินมูลค่าลงเป็น 9.6 เท่า (ค่าเฉลี่ยกลุ่มบรรจุภัณฑ์ทั้งในและต่างประเทศ รวมพรีเมียมจาก Yuanta ESG Rating ระดับ AAA แล้ว) จากเดิม 10.2 เท่า เพื่อสะท้อนสภาวะตลาดที่มีความเสี่ยงมากขึ้น ส่งผลให้ได้ราคาเหมาะสมใหม่ที่ 25.00 บาท/หุ้น           ทั้งนี้มองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลง 31% QTD ได้สะท้อนแนวโน้มกำไร 4Q67 ที่อ่อนแอและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ช้ากว่าคาดไปมากแล้ว และเมื่อประกอบกับแนวโน้มกำไรในช่วง 12 เดือนข้างหน้าที่กลับเข้าสู่รอบของการฟื้นตัว ทำให้ที่ระดับราคาปัจจุบันหุ้นเริ่มมี Downside จำกัดแล้ว จึงปรับคำแนะนำจาก “TRADING” ขึ้นเป็น “ซื้อ” สำหรับการลงทุนระยะยาว

เปิดโผหุ้นเด่น น่าสะสม 1 ปี ขึ้นไป มองปีหน้ากำไรเติบโตต่อ

เปิดโผหุ้นเด่น น่าสะสม 1 ปี ขึ้นไป มองปีหน้ากำไรเติบโตต่อ

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.เอเชียพลัส สำรวจหุ้น พบว่า หลังโควิดถึงปัจจุบัน การลงทุนในตลาดหุ้นไทยยากขึ้น ถูกกดดันจากเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตช้า และต่ำคาด, การเมืองไม่นิ่ง, FUND FLOW ชะลอไหลเข้า กดดันให้ ในปี 2022, 2023, 2024YTD มีสัดส่วนจำนวนหุ้นทั้งหมดในดัชนี SET และ MAI ที่ให้ผลตอบแทนรายปีเป็นบวกน้อยกว่าครึ่ง หรือเพียง 31%, 14%, 26% ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่า ตลาดมีจำนวนหุ้นบวกรายปีต่ำ ทำให้การลงทุนต้อง พิถีพิถัน และเน้น SELECTIVE BUY มากขึ้น ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ ทำการศึกษา และค้นหาหุ้นที่คาดว่าจะเอาชนะตลาด และน่าสะสม สะสมระยะ 1 ปีขึ้นไป ด้วยเงื่อนไขต่างๆ ดังนี้ เลือกหุ้นที่มี SAFETY MARGIN สูง โดยปกติตลาดหุ้นและหุ้นมักจะไม่ลบ ติดต่อกัน 2 ปี ทำให้หุ้นที่ย่อตัวลงมาในปีนี้ ช่วยลด DOWNSIDE RISK ลงไป ระดับหนึ่งแล้ว เลือกหุ้นที่กำไรปีหน้ามีโอกาสเติบโตเด่น โดยสังเกตได้จากหุ้นที่ขึ้นแรง อันดับต้นๆใน SET100 ในแต่ละปี มักเป็นหุ้นที่กำไรปีนั้นเติบโตเด่นมาก ดังนั้น ฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการค้นหา กลุ่มหุ้นที่ราคาย่อตัวลงมาเยอะ แต่กำไรมี โอกาสเติบโตเด่นในปี 2568 อาทิ PETRO, CONS, MEDIA, TOURISM, CONMAT, ENERG, PKG, FIN และเลือกหุ้นเด่นน่าลงทุนจากในกลุ่มนี้ ได้ผลลัพธ์ หุ้นเด่นน่าเข้าสะสมหวังผลในระยะ 1 ปีขึ้นไป คือ SCC, SCGP, MINT, GPSC, CK เป็นต้น นอกจากนี้  ฝ่ายวิจัยฯ ยังค้นหาจุดน่าเข้าสะสมที่เหมาะสมที่สุดรายบริษัท จากการหา OPTIMIZATION  ในกรอบการซื้อขาย ผ่านตัวชี้วัดทางเทคนิค อย่าง RSI โดยการ ทดสอบย้อนหลังในระยะเวลา 4 ปี ที่ผ่านมา ผลลัพธ์จะได้ช่วงซื้อ (RSI กรอบล่าง) และช่วงขาย (RSI กรอบบน) ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีสุดสำหรับหุ้นตัวนั้นๆ

โบรกส่อง SCGP โค้งท้ายฟื้น เคาะเป้า 30 บ.

โบรกส่อง SCGP โค้งท้ายฟื้น เคาะเป้า 30 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) มอง Negative ต่อรายงานกำไรสุทธิ 3Q24 ของ SCGP ที่ 577 ลบ. (-56% y-y, -60% q-q) ต่ำกว่าวิเคราะห์และตลาดคาด จาก GPM ที่ต่ำกว่าคาด โดยการลดลง y-y q-q สภาวะการแข่งขันสูงจาก demand จีนชะลอ ทำให้ปรับราคาขายได้ช้ากว่าต้นทุนกระดาษที่เพิ่มขึ้น           ฝ่ายวิเคราะห์คาด 4Q24F กลับมาฟื้น q-q (ฐานต่ำ) ตามปริมาณขายของไทยที่ผลกระทบน้ำท่วมลดลง และต้นทุนกระดาษลดลง (lagged effect) ทั้งนี้แนะนำรอดูการฟื้นตัวของยอดนำเข้า container board จีนใน ต.ค.-พ.ย. 24 ก่อนได้ หากการฟื้นตัวเร่งขึ้นจะเป็นจุดซื้อเก็งกำไรการฟื้นตัวใน 2025F ที่ปริมาณขาย Packging paper ฟื้นตัวตามกำลังซื้อในภูมิภาคที่การท่องเที่ยวเติบโตและอัตราดอกเบี้ยลดลง คง Neutral ที่ TP25F = 30.0

SCGP ผ่านจุดต่ำสุด โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 33.00 บาท

SCGP ผ่านจุดต่ำสุด โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 33.00 บาท

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คงคำแนะนำ “ซื้อ” SCGP ที่ราคาเป้าหมายใหม่ปี 2025E ที่ 33.00 บาท(เดิม 38.00 บาท) อิง 2025E PER ที่ 24.1x (-1.0SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PER ระยะยาว)            ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่าบริษัทจะรายงานกำไรที่อ่อนแอใน 3Q24E ที่ 804 ล้านบาท (-39% YoY, -45% QoQ)โดยลดลง YoY หลักๆจากความสามารถในการทำกำไรที่ลดลงจากต้นทุนที่สูงขึ้น ในขณะที่ ลดลง QoQ ตามแนวโน้มปริมาณขายที่อ่อนตัวและการรับรู้ผลขาดทุนจากบริษัท PT. Fajar Surya Wisesa Tbk. (Fajar) ที่สูงขึ้น (หลังบริษัทเพิ่มสัดส่วนถือครองเป็น99.7% ตั้งแต่ 30 ส.ค.2024)            อย่างไรก็ดีเชื่อว่าไตรมาสนี้จะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้แล้วและบริษัทจะเห็นปริมาณขายที่ฟื้นตัว QoQ จากอุปสงค์การสะสมคลังสินค้า (stocking) ตามปัจจัยฤดูกาล อีกทั้งบริษัทน่าจะเห็นต้นทุนที่ต่ำลงจากผลกระทบที่ล่าช้า (lagged effect)            นอกจากนี้คาดว่าบริษัทน่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนซึ่งน่าจะทำให้ยอดส่งออกของ SCGP โดยรวมสูงขึ้น ฝ่ายวิเคราะห์ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E/2025E ลง 14%/10% เป็น 5.1-5.9 พันล้านบาท เทียบกับ 5.2พันล้านบาทในปี 2023 หลักๆเพื่อสะท้อน ปริมาณขายรวมที่ลดลงอยู่ในช่วง 5.7-5.9 ล้านตัน (mt) จากเดิม 5.8-6.0 mt ในปี 2024E-2025E อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่ลดลงอยู่ในช่วง 18.0%- 18.3% จากเดิม 18.7% ตามต้นทุนที่สูงขึ้นในขณะที่ เราปรับราคาขายเฉลี่ย (blended ASP) ขึ้นเล็กน้อย 1.0%-1.1% อยู่ในช่วง USD649/ton-USD665/ton อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้ (SG&A-to-revenue ratio) ที่สูงขึ้นในช่วง 12.1%-12.3% จากเดิม 11.9%-12.0% ราคาหุ้นลดลง 10% และ underperform SET 14% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจของจีนที่ยังไม่ฟื้นตัว            ทั้งนี้เชื่อว่าราคาหุ้นได้สะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว ล่าสุดซื้อขายที่ 2025E PER ที่น่าดึงดูดที่ 20.6x (ประมาณ -1.6SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PER ระยะยาว) หากกำไร 3Q24E เป็นไปตามที่เราคาด กำไร 9M24E จะคิดเป็น 79% ของประมาณการกำไรใหม่ของเรา โดยฝ่ายวิเคราะห์เชื่อว่าบริษัทจะเห็นปริมาณขายและ GPM ที่สูงขึ้น QoQ ใน 4Q24E ตามปัจจัยฤดูกาลและผลกระทบจาก lagged effect ของต้นทุน

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

SCGP เตรียมออกหุ้นกู้ 5,500 ล้านบาท

SCGP เตรียมออกหุ้นกู้ 5,500 ล้านบาท

           นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) (หรือ “SCGP”) ขอเรียนว่า SCGP จะดำเนินการออกหุ้นกู้ครั้งที่ 2/2567 (SCGP28DA) ในวันที่ 2 ธันวาคม 2567 จำนวนไม่เกิน 5,500 ล้านบาท ภายใต้ “โครงการออกหุ้นกู้ปี พ.ศ. 2567 วงเงินรวม 40,000 ล้านบาท ของบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน)” เพื่อชำระคืนหนี้จากการออกตราสารหนี้ (Rollover) ทั้งนี้ แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้และหนังสือชี้ชวนสำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้มีผลใช้บังคับในวันที่ 9 ตุลาคม 2567 สรุปสาระสำคัญของหุ้นกู้ดังกล่าว

โผหุ้นรับกระตุ้นศก.จีน

โผหุ้นรับกระตุ้นศก.จีน

          หุ้นวิชั่น รายงานว่า บล. DAOL เผยว่า จีนเปิดตัวมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ หลังเศรษฐกิจชะลอตัว เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2024 ธนาคารประชาชนจีน (PBOC) ได้ประกาศใช้มาตรการกระตุ้นทางการเงินและมาตรการสนับสนุนตลาดอสังหาริมทรัพย์ครงั้ ใหญ่ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่กา ลังเผชิญกับแรงกดดันจากภาวะเงินฝืด และมีความเสี่ยงที่จะไม่บรรลุเป้าหมายการเติบโตในปีนี้ โดย PBOC ประกาศปรับลดปริมาณการตงั้ เงินสา รองไว้ที่อัตราที่ต่า ที่สุดตงั้ แต่ปี 2020 และปรับลดอัตราดอกเบ้ยี นโยบาย ซึ่งถือเป็นครงั้ แรกในรอบทศวรรษที่มาตรการทงั้ สองถูกปรับลดในวันเดียวกัน นอกจากนี้ผู้ว่าการธนาคารกลางยังประกาศมาตรการสนับสนุนตลาดอสังหาริมทรัพย์ของประเทศ โดยมีรายละเอียดมาตรการของ PBOC ไว้ดังนี้ ปรับลดอัตราดอกเบี้ย Reverse Repo Rate ระยะ 7 วัน ลงจาก 1.7% เป็น 1.5% ปรับลดอัตราส่วนการตั้ง เงินสำรอง (Reserve Require Ratio) ลง 0.50% ปล่อยสภาพคล่องจำนวน 1 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 142 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ปรับลดอัตราดอกเบ้ยี ระยะกลาง (Medium-Term Lending Facility) ลง 0.3% ปรับลดอัตราเงินดาวน์ขนั้ ต่า สา หรับผ้ซู ื้อบ้านหลังที่ 2 ลงจาก 25% เป็น 15%           การผ่อนคลายนโยบายการเงินในครั้ง นี้มากกว่าทนีั่กเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาด และมีโอกาสในการผ่อนคลายเพิ่มเติมในไตรมาสต่อๆ ไป หลังจากที่ Fed ปรับลดอัตราดอกเบ้ยี ลงมามากกว่าคาด DAOL มองเป็น sentiment เชิงบวกระยะสั้นต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจจีน เช่น กลุ่มปิโตรเคมีและแพ็กเกจจิ้ง, พลังงานต้นน้ำ , โลจิสติกส์, ยางพารา และส่งออกอาหารไปจีน กลุ่มปิโตรเคมีและแพ็คเกจจิ้ง (PTTGC, IVL, IRPC, SCC, SCGP) เนื่องจากอา นาจในการซื้อของผู้บริโภคที่สูงขึ้นเสริมให้มีการอุปโภคบริโภคภายในประเทศสูงขึ้น ทงั้ นี้ เราเชื่อว่า SCGP จะได้ประโยชน์มากที่สุด เนื่องจากมีรายได้โดยตรงจากส่งออกไปจีน พลังงานต้นนา้ (PTTEP, BANPU) เนื่องจากอา นาจในการซื้อของผู้บริโภคที่สูงขึ้นจะส่งผลบวกต่อความต้องการใช้พลังงานต้นนา้ ทงั้ นี้ เราเชื่อว่า PTTEP จะได้ประโยชน์มากที่สุดจากการที่จีนเป็นผู้นา เข้าน้ำมันดิบรายใหญ่ของโลก โลจิสติกส์ (RCL, PSL, WICE, LEO, SJWD) เนื่องจากจะส่งผลบวกต่อกิจกรรมการขนส่งดีขึ้น จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว โดย RCL และ PSL จะได้ประโยชน์มากกว่าจากอัตราค่าระวางเรือที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ยางพารา (STA, TEGH, NER) เนื่องจากจีนเป็นตลาดส่งออกยางสา คัญของไทย โดยเฉพาะยางแท่ง ซึ่งตลาดจีนคิดเป็นสัดส่วนราว 40-50% ของส่งออกยางแท่งรวม ทงั้ น้เี ราคาด STA จะได้ประโยชน์มากสุด เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้จากจีนสูงถึง 50% ส่งออกอาหารไปจีน (TKN, COCOCO, PLUS) เนื่องจากจีนเป็นตลาดส่งออกใหญ่ของผู้ประกอบการหลายราย โดย COCOCO มีสัดส่วนรายได้จากจีนประมาณ 28% ของรายได้รวม ส่วน PLUS มีสัดส่วนมากกว่า 20% ขณะที่ TKN มีสัดส่วนรายได้จากจีนที่ 22-24% ของรายได้รวม Top picks เราเลือก SCGP, PTTEP, NER, COCOCO