ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#SCC


SCC ทำสัญญาเช่าเรือขนส่งก๊าซอีเทนเพิ่ม 2 ลำ 

SCC ทำสัญญาเช่าเรือขนส่งก๊าซอีเทนเพิ่ม 2 ลำ 

              หุ้นวิชั่น - นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทฯ ได้รายงานให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทราบ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2567 เรื่องโครงการเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนที่โรงงาน Long Son Petrochemicals Company Limited ประเทศเวียดนาม (หรือ LSPE) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในกลุ่มบริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) (SCGC) ที่ SCC ถือหุ้นทั้งหมด และรายงานให้ทราบความคืบหน้าที่สำคัญของโครงการในวันที่ 23 มกราคม 2568 และ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ตามลำดับนั้น               SCC ขอแจ้งความคืบหน้าเพิ่มเติมว่า SCGC ได้ทำสัญญาเช่าเหมาเรือขนส่งเพิ่มเติมอีก 2 ลำ สำหรับโรงงาน Long Son Petrochemicals Company Limited ประเทศเวียดนาม โดย SCGC และ Mitsui O.S.K. Lines, Ltd. (MOL) ได้ลงนามในสัญญาระยะยาวสำหรับเช่าเหมาเรือขนส่งก๊าซอีเทน (Very Large Ethane Carriers (VLECs)) ผ่านบริษัทย่อยของ MOL เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2568 ภายใต้สัญญาดังกล่าว กลุ่มบริษัท MOL จะให้บริการขนส่งก๊าซอีเทนจากสหรัฐอเมริกาไปยังประเทศเวียดนามตลอดระยะเวลาสัญญา 15 ปี ดังนั้นกลุ่มบริษัท MOL จะเป็นผู้ให้บริการเรือขนส่งก๊าซอีเทนรวมทั้งหมด 5 ลำสำหรับโครงการ LSPE               โครงการ LSPE มีการลงทุนประมาณ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 18,000 ล้านบาท) ซึ่งเงินลงทุนส่วนใหญ่จะเป็นการก่อสร้างถังเก็บวัตถุดิบ ในขณะที่การจัดหาเรือ VLECs จำนวน 5 ลำ จะดำเนินการในรูปของสัญญาบริการระยะยาว โดย LSP จะพิจารณาใช้แหล่งเงินทุนภายในของ SCC และคาดว่าจะสามารถเริ่มใช้ก๊าซอีเทนที่โรงงาน LSP ได้ในปลายปี 2570               Mitsui O.S.K. Lines, Ltd. หรือ MOL เป็นบริษัทขนส่งชั้นนำที่มีการดำเนินงานระดับโลกด้วยเรือประมาณ 900 ลำ และ MOL ได้พัฒนาธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ โดยมีธุรกิจหลัก ได้แก่ การขนส่งทางทะเล เทคโนโลยีและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการ รวมถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม บริการเรือของ MOL ประกอบด้วยเรือบรรทุกสินค้าแห้ง เรือบรรทุกก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เรือบรรทุกยานยนต์ และเรือบรรทุกน้ำมัน นอกจากธุรกิจขนส่งแบบดั้งเดิมแล้ว MOL ยังให้บริการทางธุรกิจด้านความเป็นอยู่และไลฟ์สไตล์ เช่น อสังหาริมทรัพย์ การดำเนินงานท่าเรือ และบริการเรือเฟอร์รี่ รวมถึงธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โลจิสติกส์และพลังงานลมนอกชายฝั่ง โดยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MOL สามารถดูได้ที่ https://www.mol.co.jp/en/

SCC เทรดคึกคัก พุ่ง 6.82% ราคายัง Laggard-ลุ้นงบ Q1/68 ฟื้น

SCC เทรดคึกคัก พุ่ง 6.82% ราคายัง Laggard-ลุ้นงบ Q1/68 ฟื้น

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ราคาหุ้นของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) (SCC) ปรับตัวขึ้นโดดเด่น หรือ บวก 6.82% มาอยู่ที่ 164.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 778,976 ล้านบาท เมื่อเวลา 11.34 น.           นายเบญจพล สุทธิ์วนิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) (UOBKHST) เปิดเผยว่า ราคาหุ้นของ SCC ที่ปรับตัวขึ้นมา คาดเป็นไปตาม Sentiments ตลาด และเป็นหุ้นที่ยัง Laggard อยู่ ประกอบกับในแง่ปัจจัยพื้นฐาน คาดว่าผลการดำเนินงานจะเห็นการฟื้นตัวในไตรมาส 1/68 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/67 เนื่องจากธุรกิจปิโตรเคมี ปิโตร spread PE, PP ฟื้น 2-5% qoq และ ธุรกิจของSCGP, SCGD คาดฟื้นตัวจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น ส่วนธุรกิจซีเมนต์ ก็คาดว่าจะฟื้นตัวตาม volume ที่เพิ่มขึ้น แต่ราคาปูนซีเมนต์ ที่ขยับขึ้นมาตั้งแต่เดือนก.พ.68 คาดมีผลในไตรมาส 2/68           ทั้งนี้ล่าสุด SCC ได้มีการเปิดเผยถึงกลยุทธ์ในระยะสั้น และกลยุทธ์ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า โดยมีรายละเอียด ดังนี้           - กลยุทธ์ระยะสั้น การเงินแข็งแกร่ง           1.มุ่งรักษากระแสเงินสดให้แข็งแกร่ง ลดค่าใช้จ่าย ลดต้นทุน หยุดธุรกิจที่ไม่ทำกำไร เพื่อสร้างความคล่องตัว รับมือทุกสถานการณ์           2.เมื่อเงินสดแข็งแกร่ง สามารถนำไปลดหนี้ และจ่ายเงินปันผลเพื่อดูแลผู้ถือหุ้นทุกคนต่อเนื่อง โดยไม่ต้องกู้เงินเพิ่ม รวมทั้งสามารถลงทุนเมื่อมีโอกาสดี ๆ เข้ามา           3.รัดเข็มขัดงบลงทุนปี 2568 อยู่ที่ 30,000-35,000 ล้านบาท เน้นลงทุนในกิจกรรมที่ได้ผลตอบแทนไว           4.ปี 67 EBITDA ยังอยู่ในระดับแข่งขันได้ แม้กำไรลดลง เพราะ SCG เพิ่งขึ้นโรงงานใหม่ LSP เวียดนาม จึงรับรู้ค่าเสื่อมราคาและกระทบกำไร แต่หากมองที่ EBITDA จะมั่นใจได้ว่าธุรกิจสร้างรายได้ได้ต่อเนื่อง           - กลยุทธ์ระยะยาว แข่งขันได้ยั่งยืน           ธุรกิจเคมิคอลส์ 5.โรงงานเวียดนาม LSP จะมีศักยภาพการแข่งขันสูงยิ่งขึ้น - จากการนำก๊าซอีเทนมาใช้เป็นวัตถุดิบ ทำได้เร็ว - ได้เปรียบต้นทุนวัตถุดิบ - คืนทุนไว เตรียมรับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในอนาคต           6.โรงงานไทย HVA เด่น - โรงงานปิโตรเคมีในไทยมีศักยภาพทำกำไร แม้อยู่ท่ามกลางวัฏจักรปิโตรเคมีชะลอตัว เนื่องจากมีนวัตกรรมมูลค่าเพิ่มสูง HVA ที่มีอัตรากำไรดี ปีนี้ผลักดันต่อเนื่อง รวมทั้งเดินหน้านวัตกรรมพลาสติกรีไซเคิล           ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง           7.กลุ่มซีเมนต์ ผู้นำนวัตกรรมก่อสร้างคาร์บอนต่ำ - ปัจจุบันสร้างกำไรได้ แม้ตลาดซบเซา เพราะได้เปรียบจากนวัตกรรมปูนคาร์บอนต่ำ ส่งออกได้หลายประเทศ รวมทั้งการปรับตัวเปลี่ยนสู่พลังงานสะอาดมาต่อเนื่อง ทำให้ต้นทุนพลังงานลดลง กำลังเร่งขยายผลต่อเนื่อง           8.กลุ่มสมาร์ทลีฟวิง โซลูชันหลากหลาย - เร่งพัฒนา System การอยู่อาศัยใหม่ ๆ แบบครบวงจร และแตกต่างจากสินค้าจากจีน เช่น โซลูชันหลังคา หรือโซลูชันผนัง           ทิศทางปี 68           9.ปี 68 มีโอกาส จากโครงการก่อสร้างภาครัฐในไทยและอาเซียนเพิ่มขึ้น วัฏจักรปิโตรเคมีเริ่มทรงตัว ราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลง           10.SCG เข้มแข็งและปรับตัวรวดเร็วยิ่งขึ้น พร้อมรับทุกสถานการณ์

SCC บวกสวนตลาดร่วงหนัก รับราคาปูนซีเมนต์พุ่ง หนุน Upside กำไรปีนี้

SCC บวกสวนตลาดร่วงหนัก รับราคาปูนซีเมนต์พุ่ง หนุน Upside กำไรปีนี้

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.ธนชาต ระบุ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) (SCC) มีปัจจัยบวกจาก ร้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้างเริ่มทยอยปรับราคาปูนซีเมนต์ขึ้น อยู่ที่ 400-600 บาท/ตัน (ราว 20 บาท/ถุง) ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้นสูดสุดในรอบ 10 ปี จากปกติที่ปรับขึ้นไม่เกิน 5 บาท/ถุง จากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น           โดยราคาปูนซีเมนต์ในประเทศที่เพิ่มขึ้นประมาณ 20% เป็น 2,000-2,050 บาทต่อตัน (ก่อนหักส่วนลดจากตัวแทน) เรามองเป็น upside ต่อ SCC ราว 15-30% ของคาดการณ์กำไรปีนี้           อย่างไรก็ดี ด้วย chemical spreads ที่อ่อนแอทำให้ผลประโยชน์จากกำไรที่เพิ่มขึ้นถูกลดทอนไป จึงคงคำแนะนำ “ขาย” SCC พื้นฐาน 125 บาท

SCC สรุปผลการดำเนินการด้าน ESG ปี 2567

SCC สรุปผลการดำเนินการด้าน ESG ปี 2567

          หุ้นวิชั่น - บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC สรุปผลการดำเนินการด้าน ESG Net Zero: ในปี 2567 เอสซีจีมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Scope 1+2) อยู่ที่ 26.25 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ ลดลง 23.4% เมื่อเทียบกับ 34.24 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ ในปี 2563 (ปีฐาน) Go Green: ในปี 2567 รายได้จากสินค้า Green Choice อยู่ที่ 275.6 ล้านบาท หรือคิดเป็น 54% ของรายได้รวม อีกทั้งยังสามารถ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 950,000 ตัน CO2 ลดเหลื่อมล้ำ: ในปี 2567 เอสซีจีมีส่วนในการ ลดความเหลื่อมล้ำในสังคมรวม 24,543 คน ผ่านการพัฒนาอาชีพ ส่งเสริมโอกาสทางการศึกษา และยกระดับสุขภาวะ เป็นต้น ย้ำความร่วมมือ: เอสซีจีร่วมกับผู้แทนจาก กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ GCCA และ UNIDO นำเสนอความคืบหน้าและความสำเร็จของโครงการ Saraburi Sandbox ในหัวข้อ "Saraburi Sandbox: Leading Thailand’s Pathway to a Low Carbon City" ในการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ COP29 ที่กรุงบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน ระหว่างวันที่ 11-13 พฤศจิกายน 2567 สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของ โครงการ Saraburi Sandbox ในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น เมืองคาร์บอนต่ำ และเป็นต้นแบบในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผลการดำเนินการด้าน ESG Net Zero           ผลการดำเนินงานในปี 2567 เอสซีจีมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Scope 1+2) อยู่ที่ 26.25 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ ลดลง 23.4% หากเทียบกับ 34.24 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ ในปี 2563 (ปีฐาน) ซึ่งยังสอดคล้องกับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเอสซีจีในปี 2573 ตามคำแนะนำของ The Science Based Target Initiatives (SBTi) ที่แนะนำให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ 2.5% ต่อปี           แต่หากรวมปริมาณก๊าซเรือนกระจกภายใต้กำลังการผลิตในระดับปกติ เอสซีจีจะมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ประมาณ 29 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์           เอสซีจีเดินหน้าปรับแผนธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างการเติบโตและคว้าโอกาสใหม่ ๆ จากการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน มุ่งเน้นการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือก (Alternative Fuel) เช่น พลังงานชีวมวล วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร และเชื้อเพลิงจากขยะ (Refuse Derived Fuel หรือ RDF) รวมถึงการใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) อย่างยั่งยืน           ในปี 2567 เอสซีจีใช้เชื้อเพลิงทางเลือกคิดเป็น 29% ของพลังงานความร้อนทั้งหมดในทุกธุรกิจ และ 45% สำหรับธุรกิจซีเมนต์ในประเทศไทย Go Green           เอสซีจีเดินหน้าพัฒนาสินค้าคาร์บอนต่ำภายใต้ฉลาก Green Choice เน้นความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้เลือกใช้สินค้าที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สร้างความมั่นใจว่าสินค้าเหล่านี้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และดีต่อคุณภาพชีวิต           เอสซีจีตั้งเป้ารายได้จากสินค้า Green Choice เป็นสัดส่วน 2 ใน 3 ของรายได้จากการขายทั้งหมดภายในปี 2573           ในปี 2567 เอสซีจีสามารถสร้างรายได้จากสินค้า Green Choice จำนวน 275.6 ล้านบาท หรือคิดเป็น 54% ของรายได้รวม และสามารถ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 950,000 ตัน CO2 ลดเหลื่อมล้ำ           เอสซีจีมุ่งพัฒนาอาชีพ ส่งเสริมโอกาสทางการศึกษา และยกระดับสุขภาวะ ตั้งแต่ปี 2565 โดยมีเป้าหมาย 50,000 คนในปี 2573 และมีเป้าหมายอยู่ที่ 5,600 คนในปี 2567           สำหรับปี 2567 เอสซีจีมีส่วนในการลดความเหลื่อมล้ำในสังคมรวม 24,543 คน โดย สนับสนุนการพัฒนาสร้างอาชีพ 5,025 คน ผ่านความร่วมมือกับเครือข่ายและหน่วยงานต่าง ๆ ในการพัฒนาทักษะและความสามารถในการประกอบอาชีพ เช่น โครงการพลังชุมชน ที่อบรมวิสาหกิจชุมชน ส่งเสริมการแปรรูปผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น เพิ่มมูลค่าสินค้าท้องถิ่น ขยายโอกาสทางเศรษฐกิจ และสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนในระยะยาว สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการและ SMEs โดยผ่านแพลตฟอร์มการเงิน Siam Validus Capital ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน 15,093 คน ผ่านโครงการ แพทย์ดิจิทัลทางไกล โดยใช้ นวัตกรรม DoCare เชื่อมโยงผู้ป่วยและแพทย์ เพิ่มการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ในพื้นที่ห่างไกล มอบโอกาสทางการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนรวม 4,425 คน ย้ำความร่วมมือ โครงการสระบุรีแซนด์บ็อกซ์ (Saraburi Sandbox) เอสซีจีร่วมกับ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ GCCA และ UNIDO นำเสนอความคืบหน้าและความสำเร็จของโครงการ Saraburi Sandbox ในหัวข้อ "Saraburi Sandbox: Leading Thailand’s Pathway to a Low Carbon City" ในการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ COP29 ที่กรุงบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน ระหว่างวันที่ 11-13 พฤศจิกายน 2567 สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของโครงการ Saraburi Sandbox ในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น เมืองคาร์บอนต่ำ ภาคพลังงาน ปลัดกระทรวงพลังงาน เข้าเยี่ยมชมโครงการฯ และเร่งผลักดัน Solar Floating คลองเพรียว โดยเสนอแนวทางให้ทั้ง กฟผ. และภาคเอกชนดำเนินการ เพื่อเรียนรู้ข้อจำกัดและโอกาสของโครงการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สำรวจพื้นที่ คลองเพรียวและบึงบ้านหมอ เพื่อประเมินศักยภาพในการติดตั้ง Solar Floating โดยพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น ระดับน้ำ ข้อมูลสายส่งโดยรอบ และความต้องการใช้ไฟฟ้าในอนาคต ภาคกระบวนการอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ เสนอให้ยกระดับมาตรฐานปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก (มอก. 2594-2567) เป็น มอก. บังคับ แทนปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ (มอก. 15) ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี การบริหารจัดการขยะ ร่วมมือกับ กระทรวงศึกษาธิการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดสระบุรี จัดทำโครงการโรงเรียนไร้ขยะ เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกด้าน การจัดการของเสียและการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยนำร่อง 54 โรงเรียนในจังหวัดสระบุรี ภาคเกษตร ขยายผลการทำนาเปียกสลับแห้ง จากแปลงนำร่องที่อำเภอหนองโดนและเสาไห้ จาก 50 ไร่ในปี 2566 เป็น 1,180 ไร่ในปี 2567 ครอบคลุม 7 อำเภอ ได้แก่ เสาไห้ หนองโดน หนองแซง เมืองสระบุรี บ้านหมอ ดอนพุด และหนองแค การใช้ประโยชน์ของที่ดินและป่าไม้ สร้างความเข้มแข็งเครือข่ายป่าชุมชน 45 แห่ง สำหรับการเขียนแผนจัดการป่าชุมชนและการตั้งคณะกรรมการป่าชุมชน ค้นหา Food Bank เพื่อพัฒนาอัตลักษณ์ของป่าชุมชนและใช้ประโยชน์จากป่าชุมชนอย่างยั่งยืน ฝึกอบรม "อาสาป่าชุมชน" สู้ไฟป่า จังหวัดสระบุรี จำนวน 4 รุ่น

abs

ปตท. แข็งแกร่งร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน

SCCความท้าทายรอพิสูจน์ ปีนีัจะฟื้นไหม เช็กเลย!

SCCความท้าทายรอพิสูจน์ ปีนีัจะฟื้นไหม เช็กเลย!

         หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า คงคำแนะนำ “ถือ” ที่ราคาเป้าหมายใหม่ปี 2025E ที่ 175.00 บาท (เดิม 230.00 บาท) อิงวิธี SOTP SCC รายงานขาดทุนสุทธิ 4Q24 ที่ 512 ล้านบาท เทียบกับ ขาดทุน 1.1 พันล้านบาทใน 4Q23 และกำไร 721 ล้านบาทใน 3Q24 เทียบกับที่เราและ consensus คาดที่ -194/-710 ล้านบาท โดยมีผลขาดทุนหลักๆจากธุรกิจปิโตรเคมีซึ่งได้รับผลกระทบจากแนวโน้มส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ (olefins spread) ที่อ่อนแอต่ำกว่าระดับคุ้มทุนและการรับรู้ค่าเสื่อมราคาของโครงการ LSP Petrochemical Complex (LSP) ในไตรมาสนี้          ในขณะที่ธุรกิจที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง (CBM) มีรายได้ลดลงซึ่งน่าจะสะท้อนผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยในภาคใต้บางส่วน ขณะที่ธุรกิจแพ็คเกจจิ้ง (SCGP) รายงานขาดทุนเนื่องจากความสามารถในการทำกำไรที่ลดลง อย่างไรก็ดี SCC ประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการปี 2024 ที่ 5.00 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราตอบแทนเงินปันผลที่ 3.3% โดยจะขึ้น XD ในวันที่ 2 เม.ย.2025          เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E ลง 40% เป็น 8.0 พันล้านบาท หลักๆเพื่อสะท้อนสมมติฐาน 1) ปริมาณขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ลดลงจากการปิดซ่อมบำรุงโรงงาน LSP เป็นระยะเวลา 6 เดือน 2) Olefins spread ที่อ่อนตัว 3) รายได้ของธุรกิจ CBM ที่ลดลง และ 4) กำไรจากบริษัทร่วมในธุรกิจปิโตรเคมีที่อ่อนตัว          อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่าบริษัทจะเห็นกำไรเติบโต 23% YoY ในปี 2025E ตามปริมาณขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ดีขึ้นและ olefins spread ที่สูงขึ้นราคาหุ้นปรับตัวลง 32% และ underperform SET -35% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาสอดคล้องกับแนวโน้ม olefins spread ที่อ่อนตัวลง          ทั้งนี้ แม้ว่าราคาปัจจุบันจะสะท้อน 2025E PBV ที่ไม่แพงที่ 0.51x (ประมาณ -3.00SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง) แต่ก็สะท้อน 2025E PER ที่ไม่ถูกที่ 23.0x (ประมาณ +3.00SD บนค่าเฉลี่ย PER 5 ปีย้อนหลัง) ทั้งนี้ เราเชื่อว่าผลประกอบการของบริษัทจะยังคงถูกกดดันจากภาพรวมธุรกิจปิโตรเคมีและแพ็คเกจจิ้งที่ยังคงอ่อนแออยู่หลักๆจากผลกระทบของเศรษฐกิจจีนที่ยังฟื้นตัวช้า

เอสซีจี ปี67 กำไร 6,342 ลบ. เคาะปันผล 5 บ. คิดเป็น 95% ของกำไร

เอสซีจี ปี67 กำไร 6,342 ลบ. เคาะปันผล 5 บ. คิดเป็น 95% ของกำไร

            หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ : 29 มกราคม 2568 – เอสซีจี เผยปี 2567 กำไร 6,342 ล้านบาท กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (EBITDA) 53,946 ล้านบาท ระดับเดียวกับปี 2566 หนี้ลดลงจากไตรมาสก่อน ผลจากการเร่งปรับตัว เคาะปันผล 5.00 บาท/หุ้น รวมเป็นเงิน 6,000 ล้านบาท คิดเป็น 95% ของกำไร ย้ำมุ่งดูแลผู้ถือหุ้นต่อเนื่อง             เอสซีจีแจ้งผลประกอบการ ปี 2567 คงความสามารถในการบริหารกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน หรือ EBITDA ได้ดี อยู่ที่ 53,946 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับปี 2566 ผลจากการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ บริหารต้นทุนต่อเนื่อง เร่งส่งมอบนวัตกรรมมูลค่าเพิ่มสูง ตลอดจนได้รับเงินปันผลในปี 2567 รวม 14,063 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากการลงทุนในธุรกิจเครื่องจักรกลการเกษตรและธุรกิจยานยนต์             เอสซีจีเผยถึงความคืบหน้ามาตรการปรับตัวรับมือเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ซึ่งได้แถลงไปเมื่อสิ้นไตรมาส 3 ปี 2567 1.) บริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียน ลดลงประมาณ 6,200 ล้านบาทจากปีก่อน 2.) ปรับโครงสร้างการดำเนินงานและธุรกิจ และหยุดธุรกิจที่ไม่ทำกำไรในปี 2567 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน 3.) ควบคุมเงินลงทุน (CAPEX) เน้นเฉพาะโครงการที่มีผลตอบแทนสูงและเร็ว ทั้งหมดนี้ ส่งผลให้หนี้สินสุทธิลดลง 16,777 ล้านบาท จากไตรมาสก่อน อัตราหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 0.7 เท่า สถานะทางการเงินยังมั่นคงและแข็งแกร่ง โดยมีเงินสดคงเหลือ ณ สิ้นปี 53,331 ล้านบาท             เมื่อพิจารณาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (EBITDA) ที่ยังคงตัวอยู่ในระดับเดียวกับปี 2566 คณะกรรมการบริษัทจึงมีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 5.00 บาท รวมเป็นเงิน 6,000 ล้านบาท คิดเป็น 95% ของกำไรสำหรับปีตามงบการเงินรวม ซึ่งคณะกรรมการมีความเห็นว่าเป็นอัตราเงินปันผลที่เหมาะสมและอยู่ในกรอบนโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัท ที่กำหนดในช่วงอัตรา 40-50% ของกำไรสุทธิของงบการเงินรวม แต่ในกรณีที่มีความจำเป็นหรือมีเหตุการณ์ไม่ปกติ บริษัทอาจนำมาประกอบการพิจารณาเปลี่ยนแปลงการจ่ายเงินปันผลในช่วงนั้น ๆ ตามความเหมาะสมได้ ปีนี้คณะกรรมการบริษัทจึงเห็นสมควรเสนอการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2567 ตามข้างต้น เพื่อมุ่งดูแลผู้ถือหุ้นให้ได้รับผลตอบแทนการลงทุนอย่างต่อเนื่อง             ทั้งนี้ บริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับครึ่งปีแรกในอัตราหุ้นละ 2.50 บาท เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 2.50 บาท กำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นเฉพาะผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลตามข้อบังคับของบริษัทตามที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 3 เมษายน 2568 (จะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 2 เมษายน 2568) โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 22 เมษายน 2568 และให้รับเงินปันผลภายใน 10 ปี             ปี 2567 สถานการณ์เศรษฐกิจโลกมีความท้าทาย และเป็นช่วงที่วัฏจักรปิโตรเคมีโลกชะลอตัวต่ำสุดในรอบ 20 ปี ส่งผลให้เอสซีจีมีรายได้จากการขาย ปี 2567 511,172 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อน จากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นของเอสซีจี เคมิคอลส์ และเอสซีจีพี กำไรสำหรับปี 6,342 ล้านบาท ลดลง 76% จากปีก่อน จากผลประกอบการของโรงงานปิโตรเคมี LSP และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง ทั้งนี้ หากไม่รวมรายการพิเศษจากขาดทุนการด้อยค่าสินทรัพย์ของโรงงานซีเมนต์ในภูมิภาค ในปี 2566 กำไรสำหรับปี ลดลง 52% จากปีก่อน สำหรับไตรมาส 4 ปี 2567 รายได้จากการขาย 130,512 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของเอสซีจี เคมิคอลส์ ขาดทุนสำหรับงวด 512 ล้านบาท เมื่อเทียบกับกำไร 721 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน จากผลประกอบการและการรับรู้ค่าเสื่อมราคาทั้งหมดของ LSP ขณะที่ไตรมาสก่อน มีรายการเงินสดที่ได้จากสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย หรือ Interest Rate Swap (IRS) มูลค่า 2,183 ล้านบาท จากเอสซีจี เคมิคอลส์ [PR News]

SCC ปี67 กำไร 6.3พันล. ต่ำคาด ปันผล 5บ.

SCC ปี67 กำไร 6.3พันล. ต่ำคาด ปันผล 5บ.

          หุ้นวิชั่น - SCC ปี 2567 มีกำไรสุทธิ 6,342 ล้านบาท ต่ำกว่าโบรกคาด แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและอัตรากำไรธุรกิจปิโตรเคมีที่อยู่ในระดับต่ำ แต่รักษากระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง EBITDA อยู่ที่ 53,946 ล้านบาท เตรียมจ่ายปันผลอีก 2.50 บาท รวมทั้งปีจ่ายทั้งสิ้น 5 บาทต่อหุ้น คาดปี 68 มี EBITDA ที่ดีขึ้น ตั้งงบลงทุน 3-3.5 หมื่นล้านบาท           บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC รายงานว่าในปี 2567 เอสซีจีมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง จาก EBITDA อยู่ที่ 53,946 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ EBITDA ในปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ 54,143 ล้านบาท แม้ว่าสถานการณ์โลกยังอยู่ในช่วงที่ท้าทาย และจากอัตรากำไรของธุรกิจปิโตรเคมียังอยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ EBITDAสำหรับปี 2567 เป็นผลมาจากการบริหารจัดการภายใน มาตรการบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ รวมถึงมีสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง สินค้าปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ และสินค้า SCGC Green Polymer นอกจากนี้ เอสซีจีได้ดำเนินการมาตรการเร่งด่วนส่งผลทางด้านการเงินและการเพิ่มประสิทธิภาพ ดังนี้ • ปรับโครงสร้างการดำเนินงานและธุรกิจ และการหยุดธุรกิจที่ไม่ทำกำไรในปี 2567 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในอนาคต • เงินปันผลรับอยู่ในระดับสูง หลัก ๆ จากการลงทุนในธุรกิจอื่น (SCG Investment) ในปี 2567 เอสซีจีมีเงินปันผลรับอยู่ที่ 14,063 ล้านบาท โดยเงินปันผลรับในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 อยู่ที่ 7,671 ล้านบาท หลัก ๆ จากธุรกิจเครื่องจักรกล การเกษตร และธุรกิจยานยนต์ • ลดเงินทุนหมุนเวียน เงินทุนหมุนเวียนสุทธิในปี 2567 ของเอสซีจี ลดลงประมาณ 6,200 ล้านบาทจากปีก่อน • ลดภาระหนี้ หนี้สินสุทธิของเอสซีจีในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ลดลงมาอยู่ที่ 295,104 ล้านบาท จาก 311,881 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 3 ปี 2567           เมื่อพิจารณาจาก EBITDA ในปี 2567 ที่อยู่ในระดับที่มั่นคง คณะกรรมการบริษัทมีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น เพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2567 ในอัตรา 5.0 บาทต่อหุ้น รวมเป็นจำนวนเงิน 6,000 ล้านบาท คิดเป็น 95% ของกำไรสำหรับปี ทั้งนี้บริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับครึ่งปีแรกในอัตรา 2.5 บาทต่อหุ้น และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตรา 2.5 บาทต่อหุ้น คิดเป็นจำนวนเงิน 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีการขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 26 มีนาคม 2568           ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับผลประกอบการเอสซีจีในปี 2567: ท่ามกลางความท้าทายในระดับโลกและในระดับภูมิภาคจากหลากหลายอุตสาหกรรม เอสซีจีมีกำไรสำหรับปี 2567 อยู่ที่ 6,342 ล้านบาท ภาพรวมสถานการณ์โลกประกอบด้วยหลายปัจจัยจากความตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ อัตรากำไรธุรกิจปิโตรเคมียังอยู่ในระดับต่ำ ต้นทุนพลังงานที่ยังมีความผันผวนและอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูง ในขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมปิโตรเคมีทั่วโลกได้รับผลกระทบอย่างมาก จากอัตรากำไรที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ประกอบการปิโตรเคมีหลายรายต้องหยุดดำเนินการ           ภาพรวมสถานการณ์ในประเทศไทย มีการฟื้นตัวและการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไป การเบิกจ่ายงบประมาณรัฐที่ล่าช้าจากปีก่อน อุปสรรคจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และความท้าทายจากสินค้าประเทศจีนที่ขยายตลาด รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ นอกจากนี้ เอสซีจีเคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) ได้มีการดำเนินการเชิงพาณิชย์โครงการลองเซินปิโตรเคมิคอลส์คอมเพล็กซ์ที่ประเทศเวียดนาม (LSP) ส่งผลทำให้ในปี 2567 มีค่าใช้จ่าย(จากค่าเสื่อมราคา และดอกเบี้ย) ประมาณ 6,000 ล้านบาท ทั้งนี้ รายได้จากการขายของเอสซีจีสำหรับปี 2567 อยู่ที่ 511,172 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อน Outlook ในปี 2568 เอสซีจีคาดว่าจะมี EBITDA ที่ดีขึ้นในปี 2568 ด้วยปัจจัยสนับสนุนจาก • ราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลง และการกระตุ้นเศรษฐกิจจากประเทศจีน ซึ่งส่งผลดีต่อธุรกิจปิโตรเคมี • การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐในประเทศไทยคาดว่าจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง งานโครงการจากภาครัฐมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง • การเติบโตในภูมิภาคยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ได้รับแรงสนับสนุนจากการใช้จ่ายของรัฐบาล โดยเฉพาะในประเทศเวียดนามและอินโดนีเซีย • เอสซีจีดำเนินงานต่อเนื่องในการบริหารจัดการภายใน ใช้มาตรการลดต้นทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ รวมถึงการเร่งแผนการดำเนินงานที่สำคัญ • คาดการณ์รายจ่ายลงทุนและเงินลงทุนสำหรับปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 30,000-35,000 ล้านบาท • เอสซีจีเร่งดำเนินงานต่อเนื่อง เช่นเพิ่มสัดส่วนสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง ขยาย ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ Gen II และ Gen III และเร่งขยาย ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำไปยังตลาดอาเซียน พัฒนา SCGC Green Polymerเดินหน้า โครงการก๊าซอีเทน LSP ดำเนินแผนการ ขายสินทรัพย์ (Asset Divestments) เป็นต้น           โดย บล. ดาโอ คาดการณ์ว่า กำไรปี 2567 ของ SCC ที่ กำไรของบริษัทจะฟื้นตัวได้ชัดเจนมากขึ้นในปี 2025E คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2567-2568 ที่ 8.5/13.3 พันล้านบาท เทียบกับ 2.59 หมื่นล้านบาทในปี 2023 ประเมินราคาเป้าหมายที่ 230 บาท

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

จับสัญญาณ SCC คาดฟื้นจาก Low Carbon เคาะเป้าใหม่ 210 บ.

จับสัญญาณ SCC คาดฟื้นจาก Low Carbon เคาะเป้าใหม่ 210 บ.

หุ้นวิชั่น - บล.หยวนต้า ประเมินหุ้น SCC มองแนวโน้มปี 2025 มีสัญญาณฟื้นตัวจากผลิตภัณฑ์ LowCarbon, ต้นทุนน้ำมันลดลง, ประสิทธิภาพของ Fajar, มาตรการควบคุมค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ SCC มีแผนกลับมาผลิตในโครงการ LSP ช่วงกลางปี 2025 จากต้นทุนวัตถุดิบ Propane ต่ำลง อีกทั้งอยู่ระหว่างลงทุนโครงการนำเข้าวัตถุดิบ Ethane สร้าง ความได้เปรียบด้านต้นทุน จะเริ่มใช้งานปลายปี2027 ฝ่ายวิจัยแนะราคาเหมาะสมใหม่ 210.00 บาท หุ้นมี Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ และ Downside จำกัด ทั้งนี้ คงคำแนะนำ TRADING เพราะระยะสั้นยังไม่มีCatalyst ปี2025 สถานการณ์มีมแนวโน้มผ่อนคลายมากขึ้น ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี2024 – 2025 ลง 28-36% เป็น 7.1 พันล้านบาท และ 1.1 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยมองสถานการณ์ผลการดำเนินงาน และกระแสเงินสดปี2025 มีแนวโน้มไปในทางที่ดี ขึ้น YoY เนื่องจาก 1) ผ่านช่วงลงทุนใหญ่มาแล้ว และอยู่ระหว่างปรับลดหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ย ผู้บริหารให้ ข้อมูลว่า CAPEX จะเหลือ 3 หมื่นล้านบาท (vs 6 หมื่นล้านบาทในปี2024) 2) อัตรากำไรสูงขึ้นจากการเร่ง เพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์Low Carbon Cement 3) ต้นทุนปิโตรเคมีได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันชะลอตัว 4) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพของ Fajar 5) มาตรการควบคุมค่าใช้จ่าย 6) หยุดธุรกิจที่ไม่สร้างกำไร นอกจากนี้ เชื่อว่าบริษัทฯ ยังไม่มีการบันทึกด้อยค่าสินทรัพย์ เนื่องจากที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นการลงทุนก่อสร้าง โรงงาน ไม่ได้มาจากธุรกรรมเข้าซื้อกิจการ รวมทั้งสินทรัพย์ดังกล่าวยังมีความสามารถการแข่งขันได้ เตรียมเพิ่มความสามารถการแข่งขันให้LSP SCC มีแผนจะกลับมาเดินเครื่องการผลิตโครงการ LSP ช่วงกลางปี2025 เนื่องจากคาดว่าจะได้ประโยชน์ จากต้นทุนวัตถุดิบ Propane ที่ต่ำลง นอกจากนี้ ในระยะยาวบริษัทฯ อยู่ระหว่างลงทุนโครงการนำเข้า Ethane จากสหรัฐฯ เพื่อเป็นวัตถุดิบ ซึ่งต้นทุนผลิตจะได้เปรียบผู้ผลิตจาก Naphtha ราว US$200-250/ตัน คาดเริ่มใช้งานได้ปลายปี2027

เปิดโผหุ้นเด่น น่าสะสม 1 ปี ขึ้นไป มองปีหน้ากำไรเติบโตต่อ

เปิดโผหุ้นเด่น น่าสะสม 1 ปี ขึ้นไป มองปีหน้ากำไรเติบโตต่อ

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.เอเชียพลัส สำรวจหุ้น พบว่า หลังโควิดถึงปัจจุบัน การลงทุนในตลาดหุ้นไทยยากขึ้น ถูกกดดันจากเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตช้า และต่ำคาด, การเมืองไม่นิ่ง, FUND FLOW ชะลอไหลเข้า กดดันให้ ในปี 2022, 2023, 2024YTD มีสัดส่วนจำนวนหุ้นทั้งหมดในดัชนี SET และ MAI ที่ให้ผลตอบแทนรายปีเป็นบวกน้อยกว่าครึ่ง หรือเพียง 31%, 14%, 26% ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่า ตลาดมีจำนวนหุ้นบวกรายปีต่ำ ทำให้การลงทุนต้อง พิถีพิถัน และเน้น SELECTIVE BUY มากขึ้น ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ ทำการศึกษา และค้นหาหุ้นที่คาดว่าจะเอาชนะตลาด และน่าสะสม สะสมระยะ 1 ปีขึ้นไป ด้วยเงื่อนไขต่างๆ ดังนี้ เลือกหุ้นที่มี SAFETY MARGIN สูง โดยปกติตลาดหุ้นและหุ้นมักจะไม่ลบ ติดต่อกัน 2 ปี ทำให้หุ้นที่ย่อตัวลงมาในปีนี้ ช่วยลด DOWNSIDE RISK ลงไป ระดับหนึ่งแล้ว เลือกหุ้นที่กำไรปีหน้ามีโอกาสเติบโตเด่น โดยสังเกตได้จากหุ้นที่ขึ้นแรง อันดับต้นๆใน SET100 ในแต่ละปี มักเป็นหุ้นที่กำไรปีนั้นเติบโตเด่นมาก ดังนั้น ฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการค้นหา กลุ่มหุ้นที่ราคาย่อตัวลงมาเยอะ แต่กำไรมี โอกาสเติบโตเด่นในปี 2568 อาทิ PETRO, CONS, MEDIA, TOURISM, CONMAT, ENERG, PKG, FIN และเลือกหุ้นเด่นน่าลงทุนจากในกลุ่มนี้ ได้ผลลัพธ์ หุ้นเด่นน่าเข้าสะสมหวังผลในระยะ 1 ปีขึ้นไป คือ SCC, SCGP, MINT, GPSC, CK เป็นต้น นอกจากนี้  ฝ่ายวิจัยฯ ยังค้นหาจุดน่าเข้าสะสมที่เหมาะสมที่สุดรายบริษัท จากการหา OPTIMIZATION  ในกรอบการซื้อขาย ผ่านตัวชี้วัดทางเทคนิค อย่าง RSI โดยการ ทดสอบย้อนหลังในระยะเวลา 4 ปี ที่ผ่านมา ผลลัพธ์จะได้ช่วงซื้อ (RSI กรอบล่าง) และช่วงขาย (RSI กรอบบน) ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีสุดสำหรับหุ้นตัวนั้นๆ

SCC จับตา Q4 มีแววฟื้นตัว รายได้เข้ามีปันผลค้ำ

SCC จับตา Q4 มีแววฟื้นตัว รายได้เข้ามีปันผลค้ำ

          หุ้นวิชั่น - บล. ดาโอ ระบุว่า แนะนำ “ถือ” SCC ที่ราคาเป้าหมายปี 2025E ที่ 230.00 บาท อิงวิธี SOTP บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 3Q24 ที่อ่อนแอที่ 721 ล้านบาท (-71% YoY, -81% QoQ) หากไม่รวมรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน กำไรปกติจะอยู่ที่ 721 ล้านบาท (-76% YoY, -81% QoQ) ใกล้เคียงกับที่ consensus ประเมินที่ 760 ล้านบาท โดยกำไรลดลง YoY จากธุรกิจปิโตรเคมีที่ขาดทุนจากการที่ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ (olefins spread) ต่ำกว่าระดับคุ้มทุนของบริษัทและธุรกิจแพ็กเกจจิ้ง (SCGP) มีต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (RCP) สูงขึ้น           ขณะที่ ลดลง QoQ จากกำไรของธุรกิจที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง (CBM) ที่อ่อนตัวและรายได้เงินปันผลที่ลดลง           สำหรับภาพรวม 4Q24E เชื่อว่าโครงการ LSP Petrochemical Complex (LSP) จะสามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ตามแผนล่าสุดของบริษัท (ต.ค.2024)           อย่างไรก็ดี ในช่วงแรกคาดว่า SCC จะพยายามควบคุมอัตราการใช้กำลังการผลิต (utilization rate) ของ LSP และจะทำการผลิตเท่าที่จำเป็นเท่านั้นเนื่องจาก olefins spread ที่ต่ำกว่าปกติ           โดยมองด้วยว่ากำไรของบริษัทจะฟื้นตัวได้ชัดเจนมากขึ้นในปี 2025E คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E/2025E ที่ 8.5/13.3 พันล้านบาท เทียบกับ 2.59 หมื่นล้านบาทในปี 2023 โดยมีสมมติฐานที่สำคัญ คือ 1) ปริมาณยอดขายปิโตรเคมีรวม (PE, PP, PVC) จะอยู่ในช่วง 2.28-2.86 ล้านตัน (mt) เทียบกับ 2.34 mt ในปี 2023 โดยมีแรงหนุนจากการ COD ของโครงการ LSP 2) HDPE spread จะอยู่ในช่วง USD335/t-USD360/t เทียบกับ USD395/t ในปี 2023 3) รายได้ธุรกิจ CBM ที่อยู่ในช่วง 1.70-1.92 แสนล้านบาท เทียบกับ 1.82 แสนล้านบาทในปี 2023 และ 4) รายได้จากSCGP ที่อยู่ในช่วง 1.30-1.33 แสนล้านบาท เทียบกับ 1.26 แสนล้านบาทในปี 2023           ราคาหุ้นปรับตัวลง 18% และ underperform SET -24% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาสะท้อนแนวโน้ม olefins spread ที่อ่อนตัวลง ราคาปัจจุบันสะท้อน 2025E PBV ที่ 0.62x (ประมาณ -2.75SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง) กำไรสุทธิ 9M24 คิดเป็น 80% ของประมาณการกำไรทั้งปี           ทั้งนี้ เชื่อว่ากำไรของบริษัทจะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปใน 4Q24E โดยมีแรงหนุนจากรายได้เงินปันผลตามปัจจัยฤดูกาล แต่ยังไม่มีปัจจัยหนุนราคาหุ้นในระยะสั้น

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

SCC ไตรมาส 3/67กำไรทรุด81% ค่าเงินบาทแข็ง กำไรบริษัทร่วมลดลง

SCC ไตรมาส 3/67กำไรทรุด81% ค่าเงินบาทแข็ง กำไรบริษัทร่วมลดลง

          ไตรมาสที่ 3 ปี 2567 เอสซีจี มีกำไรสำหรับงวดเท่ากับ 721 ล้านบาท ซึ่งรวมรายการเงินสดที่ได้จากสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยแล้ว โดยกำไรสำหรับงวดลดลง 81% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า การปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือลดลง และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง           บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน)  หรือ SCC ไตรมาสที่ 3 ปี 2567 เอสซีจี มีกำไรสำหรับงวดเท่ากับ 721 ล้านบาท ซึ่งรวมรายการเงินสดที่ได้จากสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยหรือ Interest Rate Swap (IRS) มูลค่า 2,183 ล้านบาทจากเอสซีจี เคมิคอลส์ โดยที่กำไรสำหรับงวดลดลง 81% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่แข็งค่า การปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือลดลง และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง ประกอบกับไตรมาสก่อนเป็นช่วงที่มีรายได้เงินปันผลรับจากการลงทุนในธุรกิจอื่น ทั้งนี้ หากไม่รวม IRS ขาดทุนสำหรับงวดจะเท่ากับ 1,462 ล้านบาท สำหรับรายได้จากการขายอยู่ที่ 128,199 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน เนื่องจากเอสซีจี เคมิคอลส์มีปริมาณขายเพิ่มขึ้นชดเชยกับยอดขายที่ลดลงของเอสซีจีพี ในขณะที่ EBITDA เท่ากับ 9,879 ล้านบาท ลดลง 39% จากไตรมาสก่อน           เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เอสซีจีมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 2% จากยอดขายของเอสซีจี เคมิคอลส์และเอสซีจีพี ในขณะที่ EBITDA ลดลง 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรสำหรับงวดลดลง 70% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรที่ไม่รวมรายการพิเศษ (Profit excluding extra items) ลดลง 76% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่แข็งค่า การปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือลดลง และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง           ผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนของปี 2567 เอสซีจีมีรายได้จากการขายอยู่ในระดับเดียวกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 380,660 ล้านบาท เป็นผลมาจากปริมาณขายของเอสซีจี เคมิคอลส์ และเอสซีจีพีที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ยอดขายกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้างลดลง ส่วน EBITDA ลดลง 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 38,768 ล้านบาท กำไรสำหรับงวดและกำไรที่ไม่รวมรายการพิเศษ (Profit excluding extra items) เท่ากับ 6,854 ล้านบาท ลดลง 75% และ 46% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากค่าใช้จ่ายในการเดินเครื่องโรงงานปิโตรเคมี Long Son ที่ประเทศเวียดนาม (ค่าใช้จ่ายนี้รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการเดินเครื่องที่เป็นเงินสดและค่าเสื่อมราคาที่ไม่เป็นเงินสด) ประกอบกับส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่ลดลง           ในช่วง 9 เดือนของปี 2567 เอสซีจีมีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเท่ากับ 5,342 ล้านบาท ลดลง 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมในธุรกิจเคมิคอลส์คิดเป็น 23% ของทั้งหมด หรือเท่ากับ 1,223 ล้านบาท ลดลง 59% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมในธุรกิจอื่นเท่ากับ 4,119 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน           เอสซีจีมีเงินปันผลรับในช่วง 9 เดือนของปี 2567 เท่ากับ 6,392 ล้านบาท ลดลง 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเอสซีจีมีเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม (เอสซีจีถือหุ้น 20-50%) เท่ากับ 4,141 ล้านบาท และจากบริษัทอื่น (เอสซีจีถือหุ้นต่ำกว่า 20%) เท่ากับ 2,251 ล้านบาท           เอสซีจีมีเงินสดและเงินสดภายใต้การบริหาร ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2567 เท่ากับ 47,880 ล้านบาท ขณะที่ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ปี 2567 อยู่ที่ 78,907 ล้านบาท โดยลดลงเนื่องมาจากการลงทุนของเอสซีจีพี และการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล           เอสซีจีมีเงินทุนหมุนเวียนสุทธิ 104,903 ล้านบาท ลดลง 3% จากไตรมาสก่อน โดยมีอัตราหมุนเวียนสินค้าคงเหลือต่อต้นทุนขายเท่ากับ 69 วัน เทียบกับ 72 วันในไตรมาสก่อน (ไตรมาสที่ 2 ปี 2567)

พฤอา
311234567891011121314151617181920212223242526272829301234567891011