#SCB


SCB-BBL เด่น รับ กนง. คง ดอกเบี้ย

SCB-BBL เด่น รับ กนง. คง ดอกเบี้ย

          บล.หยวนต้า ชี้ กนง. คงดอกเบี้ย 2.25% ตามคาด หลังเศรษฐกิจยังขยายตัวจากภาคท่องเที่ยวและบริการ พร้อมส่งสัญญาณเฝ้าระวังความเสี่ยงสินเชื่อ SMEs ด้านกลยุทธ์การลงทุน แนะเก็บหุ้นกลุ่ม Domestic Play เด่น SCB, KBANK, BBL, CPALL และ CRC           บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.25% หลังจาก ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในครั้งที่ผ่านมา โดยการคง อัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้เนื่องจากเงินเฟ้อที่ยังสามารถเติบโต ในกรอบเป้าหมาย และเศรษฐกิจยังขยายตัว โดยได้รับแรง หนุนจากภาคบริการและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวดีขึ้น รวมถึง การส่งผ่านต้นทุนในหมวดอาหารอย่างไรก็ดี ยังคงมีความ เสี่ยงด้านสินเชื่อที่ชะลอตัวและความสามารถในการคืนหนี้ที่ ลดลง           โทนจากการแถลงของ กนง. ไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจน โดยเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอยู่ในกรอบเป้าหมาย ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และยังไม่มีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ เนื่องจากยังไม่เห็นการปรับเพิ่มขึ้นของราคาสินค้า แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังและติดตามแนวโน้มนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลัก           นอกจากนี้ยังคงมีความเสี่ยงด้านสินเชื่อที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs อย่างไรก็ดี โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” คาดว่าจะสามารถเข้ามาช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่มีภาระหนี้สูง ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาได้อย่างตรงจุดและส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ           เชิงกลยุทธ์การลงทุน มีมุมมองบวกต่อกลุ่ม Domestic Play เช่น ธนาคาร ค้าปลีก และอาหารและเครื่องดื่ม โดยหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ SCB, KBANK, BBL, TTB, CPALL, CPAXT, BJC, CRC, และ OSP

KSS คาด SET “ช่วงปลายความผันผวน” ต้าน 1415 จุด ชู KTB, SCB, BTS

KSS คาด SET “ช่วงปลายความผันผวน” ต้าน 1415 จุด ชู KTB, SCB, BTS

           หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “ช่วงปลายความผันผวน” ต้าน 1411/1415 จุด รับ 1380/1363 จุด ดัชนีS&P500 ดิ่ง -2.95% ตอบ รับผลประชุม Fed ที่แม้ปรับลดดอกเบี้ย -25 bps ตามคาด แต่ประเด็นที่ตลาดให้น ้าหนัก คือ Dot Plot ปี2025F ที่คาดปรับลดดอกเบี้ยเหลือ 2 ครั้ง (vs ตลาดคาด 2-3 ครั้ง, เดิม 4 ครั้ง) โดยรวมผลกระทบนโยบาย Trump 2.0 ขณะที่ปรับเพิ่ม GDP ปี2025F สู่ 2.1% (เดิม 2.0%) vs prev. 2.5% หลังประชุม US Bond Yield 10 ปี+12 bps มาที่ 4.51% Dollar Index แข็งค่าสู่ 107.9 จุด ประเมินระยะสั้นท าให้เกิดภาพปรับสถานะ สินทรัพย์เสี่ยงโลกอีกรอบ แต่ประเมินความผันผวนจะอยู่ในช่วงปลาย โดยไทยกดดันจากเงินบาทอ่อนค่าสู่ 34.5 +/- บาท อย่างไรก็ตาม ภาพ หลักปี2025F ที่ Fed ยังมองวงจรดอกเบี้ยเป็นขาลง เศรษฐกิจสหรัฐ Soft Landing vs BOT ที่ยังคงคาดการณ์ GDP ปี2025F เร่งขึ้น โดย มีภายในหนุน เราประเมินความผันผวนระยะสั้นเป็นโอกาสทยอยตั้งรับ หุ้นเด่น คือ กลุ่ม Domestic ที่เกาะไปกับกระแส Yield เร่งขึ้น+เศรษฐกิจ ภายในเด่น อาทิธนาคาร ประกัน ผสาน หุ้น Defensive อาทิสื่อสาร ค้าปลีก (สินค้าจ าเป็น) ร.พ. กลุ่มที่ได้จิตวิทยาบวกเงินบาทอ่อนค่าหนุน วันนี้แนะน ำ KTB, SCB, BTS

SCB FM มองเงินบาทยังผันผวน  คาดแข็งค่าครึ่งหลังปี68

SCB FM มองเงินบาทยังผันผวน คาดแข็งค่าครึ่งหลังปี68

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets: SCB FM) เปิดเผยว่า การอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงที่เหลือของปีนี้จะไม่มากนัก เพราะมองว่าปัจจัย Trump trade ได้ทยอยหมดไปแล้ว สำหรับปี 2025 มองว่าเงินบาทอาจยังอ่อนค่าต่อในช่วงครึ่งแรกของปีเนื่องจาก เศรษฐกิจสหรัฐน่าจะยังแข็งแกร่ง ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปอาจฟื้นช้าทำให้เงินยูโรอ่อน นอกจากนี้ มาตรการ Tariffs จะทำให้การค้าโลกชะลอ กระทบเศรษฐกิจในภูมิภาคทำให้ค่าเงินอ่อน อย่างไรก็ดี SCB FM มองว่าเงินบาทอาจกลับมาแข็งค่าได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 โดยมองว่าการลดดอกเบี้ยของ Fed ราคาน้ำมันโลกที่มีแนวโน้มลดลง ราคาทองคำที่อาจสูงขึ้น และเงินทุนเคลื่อนย้ายที่อาจไหลกลับเข้า EM ช่วงปลายปี อาจช่วยให้เงินบาทแข็งค่าได้ โดยมองกรอบปลายปีที่ราว 33.50-34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ สำหรับมุมมองอัตราดอกเบี้ยไทย SCB FM คาดว่า กนง. อาจลดดอกเบี้ยอีกเพียง 1 ครั้ง ในการประชุมแรกเดือน ก.พ. ปีหน้า ตามสถานการณ์สินเชื่อในไทยที่ปรับแย่ลงต่อเนื่อง รวมทั้งเศรษฐกิจไทยที่มีความเสี่ยงด้านลบมากขึ้นจากนโยบาย Trump 2.0           นายแพททริก ปูเลีย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า แม้เงินบาทในเดือนที่ผ่านมาอ่อนค่าเร็วกว่าช่วงหลังเลือกตั้งสหรัฐฯ ปี 2016 ที่ Trump ชนะเช่นกัน แต่ SCB FM มองว่าปัจจัยเรื่อง Trump trade ล่าสุดได้จบไปแล้ว ทำให้การอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงที่เหลือของปีนี้จะไม่มากนัก สะท้อนจาก 1) เงินบาทเริ่มกลับมาแข็งค่าได้บ้าง หลังเลขเศรษฐกิจไทยออกมาดีกว่าคาด เช่น GDP ไตรมาส 3 และเลขการส่งออก 2) การแต่งตั้ง Scott Bessent เป็น รมว.คลังสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนเชื่อว่านโยบายของ Trump จะไม่แข็งกร้าวมาก Treasury yields จึงปรับลดลงเร็ว และเงินดอลลาร์อ่อนค่า และ 3) ตลาดเริ่มชินกับการประกาศ Tariffs ของ Trump มากขึ้น โดยล่าสุด Trump ประกาศเตรียมขึ้น Tariffs จีน แคนาดา เม็กซิโก และกลุ่ม BRICS ทำให้เงินภูมิภาครวมถึงบาทอ่อนค่า แต่การอ่อนค่ายังน้อยกว่าการประกาศครั้งก่อน ๆ และน้อยกว่าในปี 2017 (Trump 1.0) ด้วยเหตุนี้ จึงมองว่า เงินบาทจะยังผันผวนสูงแต่ไม่อ่อนค่ามาก โดยอาจอยู่ที่กรอบราว 34.00-35.00 ในช่วงที่เหลือของปีนี้           เงินบาทอาจอ่อนค่าต่อช่วงครึ่งแรกของปี 2025 แต่อาจกลับมาแข็งค่าได้ช่วงครึ่งปีหลัง โดยปัจจัยหลักที่จะทำให้เงินบาทอ่อนค่าต่อได้คือ 1) เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งแกร่งกว่าเศรษฐกิจหลักอื่น ๆ โดยเฉพาะยุโรป ทำให้เงินดอลลาร์จะยังแข็งค่า และเงินยูโรอาจยังอ่อนค่าต่อได้ 2) การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะกดดันให้เงินภูมิภาคอ่อนค่าต่อเนื่อง โดยเฉพาะเงินหยวนที่อาจอ่อนค่าเร็วเพราะ Trump อาจใช้ Executive orders เพื่อขึ้น Tariffs ต่อจีนได้เร็ว และ 3) การกีดกันทางการค้าที่น่าจะมีมากขึ้นอาจทำให้การค้าโลกชะลอลง กดดันเศรษฐกิจไทยและคู่ค้าสำคัญ ทำให้เงินบาทอ่อน โดยนายแพททริกมองว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า เงินบาทอาจอ่อนค่าแตะระดับ 35.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้ สำหรับเงินทุนเคลื่อนย้ายในช่วงที่เหลือของปี อาจยังไหลออกต่อได้จากความไม่แน่นอนที่ยังมีอยู่มาก และเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่งทำให้เงินยังไหลเข้าสหรัฐฯ โดยข้อมูลล่าสุดขี้ว่าเงินทุนเคลื่อนย้ายกลับไปไหลออกในช่วงไตรมาสที่ 4 ปีนี้ แม้ว่าจะเริ่มไหลเข้าตลาดหุ้นและตลาดบอนด์ไทยในไตรมาสที่ 3 ก็ตาม           ในระยะยาว มองว่าเงินบาทอาจกลับมาแข็งค่าได้ โดยมองกรอบปลายปีที่ราว 33.50-34.50 ซึ่งการแข็งค่าของเงินบาทอาจเป็นผลจาก 1) การลดดอกเบี้ยของ Fed โดยนายแพททริกมองว่า Fed จะลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้งในปี 2025 ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Treasury yields) ลดลง และดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าได้ 2) รัฐบาลสหรัฐมีแนวโน้มขาดดุลการคลังมากขึ้น จากการลดภาษีและการใช้จ่ายที่มากขึ้น ซึ่งจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐอาจอ่อนค่า 3) เงินทุนเคลื่อนย้ายอาจไหลกลับเข้า EM รวมถึงตลาดเอเชียและไทย 4) ราคาน้ำมันโลกมีแนวโน้มลดลงในปี 2025 ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดไทยอาจสูงขึ้น และ 5) ราคาทองคำอาจปรับสูงขึ้นจากแนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลโลกที่อาจลดลง ซึ่งราคาทองที่สูงขึ้นจะช่วยดันให้เงินบาทแข็งค่าได้           นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า การอ่อนค่าของเงินบาทในระยะข้างหน้าจะสอดคล้องกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาค เช่น เงินหยวน และเงินเยน โดยมองว่าเงินหยวนอาจอ่อนค่าต่อในปีหน้า จาก 1) เศรษฐกิจจีนน่าจะชะลอลงต่อ และมาตรการรัฐอาจมีจำกัด 2) ธนาคารกลางจีน (PBOC) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยต่อ ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยจะยังกว้าง นอกจากนี้ เงินหยวนจะได้รับผลกระทบจากมาตรการ Tariffs มากที่สุด แต่คาดว่า Market reaction อาจน้อยกว่าสมัย Trump 1.0 เนื่องจากนักลงทุนเริ่มเคยชินกับภาษี ทำให้ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย (Flight to quality flows) อาจน้อยลง 3) ทางการจีนอาจปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่า เพื่อเป็น Cushion ต่อการส่งออกที่แย่ลง สำหรับมุมมองเงินเยน นายวชิรวัฒน์มองว่า เงินเยนอาจยังเคลื่อนไหว Sideways ในปีนี้ เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะยังแข็งแกร่ง ทำให้ดอลลาร์ยังแข็งเทียบกับเยน แต่ในปีหน้าคาดว่า เงินเยนจะทยอยแข็งค่าเทียบต่อดอลลาร์สหรัฐ จากแรงกดดันเงินเฟ้อที่จะยังอยู่สูงตามค่าแรงญี่ปุ่น ซึ่งจะทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะสามารถขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ ทั้งนี้ ยังต้องจับตาการ Unwind carry trade ที่อาจทำให้เยนแข็งค่าเร็วกว่าคาด           ความผันผวนในระยะต่อไปอาจสูงขึ้น และแนวโน้ม Trade protectionism จากทางสหรัฐฯ อาจทำให้การใช้เงินหยวนกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง โดยเงินทุนเคลื่อนย้ายและเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ จะได้รับอิทธิพลจากนโยบายของ Trump ซึ่งมักจะโพสต์ผ่าน Social media จึงมองว่าการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนผ่านการทำธุรกรรม Forward และการหันมาใช้สกุลเงินภูมิภาค เช่น เงินหยวน หรือเงินเยน จะมีความสำคัญมากขึ้น โดยล่าสุดพบว่า สัดส่วนการใช้เงินหยวนผ่านระบบ Swift ปรับเพิ่มขึ้นเร็วในปี 2023 หลังจีนหันมาเน้นการค้าขายในภูมิภาคมากขึ้น และเงินหยวนอ่อนค่าในช่วงดังกล่าวทำให้ผู้ขายได้ประโยชน์มากขึ้น           สำหรับมุมมองอัตราดอกเบี้ยไทย ตลาดมองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดดอกเบี้ยในการประชุมแรกของปีหน้า (เดือนกุมภาพันธ์) และตลาดมองว่าจะมีการลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในช่วงกลางปี 2025 ทำให้ Terminal rate จะลงไปที่ราว 1.75% อย่างไรก็ดี นายวชิรวัฒน์มองว่า กนง. อาจลดดอกเบี้ยอีกเพียง 1 ครั้ง ในการประชุมแรกเดือน ก.พ. ปีหน้า ตามสถานการณ์สินเชื่อที่ปรับแย่ลงต่อเนื่อง รวมทั้งเศรษฐกิจไทยที่มีความเสี่ยงด้านลบมากขึ้นจากนโยบาย Trump 2.0

SCB รุก “โซลาร์รูฟท็อป”    จับมือ โกดังไฟฟ้าดอทคอม - หัวเว่ย

SCB รุก “โซลาร์รูฟท็อป” จับมือ โกดังไฟฟ้าดอทคอม - หัวเว่ย

          หุ้นวิชั่น - ธนาคารไทยพาณิชย์ มุ่งมั่นสร้างสรรค์วิถีชีวิต “อยู่ อย่าง ยั่งยืน” ให้คนไทย นำความแข็งแกร่งช่องทาง SCB EASY เชื่อมโอกาสทางธุรกิจกับพันธมิตร มอบความยั่งยืนถึงทุกหลังคาบ้าน จับมือ โกดังไฟฟ้าดอทคอม แพลตฟอร์มอุปกรณ์ไฟฟ้าและโซลาร์ออนไลน์ภายใต้ GUNKUL นำเสนอโซลูชัน “โซลาร์รูฟท็อป” แพ็คเกจติดตั้งโซลาร์เซลล์สำหรับที่อยู่อาศัย ชูจุดเด่นด้วยทางเลือกแผงโซลาร์เซลล์คุณภาพสูง มาพร้อมกับอุปกรณ์ Huawei Solar Inverter และบริการติดตั้งครบวงจรจาก GUNKUL เพิ่มโอกาสการเข้าถึงพลังงานสะอาดสำหรับลูกค้าทุกครัวเรือนได้ง่ายๆ แล้ววันนี้ผ่านแอป SCB EASY พิเศษด้วยโปรแกรมการผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิต SCB และ CardX ดอกเบี้ย 0% 10 เดือน หวังเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านวิถีชีวิตคนไทยสู่ไลฟ์สไตล์ Net Zero โดยมี ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน ธนาคารไทยพาณิชย์ นางสาวปิติพร พนาภัทร์ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Digital Business ธนาคารไทยพาณิชย์ นางสาวนฤชล ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจพลังงานและกลยุทธ์การลงทุน บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) และ นายโลแกน ยู กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจพลังงานดิจิทัล บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมประกาศความร่วมมือ           ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ธนาคารมีความมุ่งมั่นในการเป็น True partner ให้กับลูกค้าตลอดเส้นทางการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการสนับสนุนด้านการเงินยั่งยืน (Sustainable Finance) ที่ครบถ้วนให้กับลูกค้าทุกกลุ่ม พร้อมนำศักยภาพทางเทคโนโลยีของธนาคารเข้าขับเคลื่อนความยั่งยืนทุกมิติ นอกจากนี้ ธนาคารยังจะร่วมมือกับองค์กรพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญด้านต่างๆ สนับสนุนโครงการความยั่งยืนให้กับลูกค้าของเรา ทั้งนี้ เทรนด์การเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดในชีวิตประจำวันกำลังเป็นที่ได้รับความสนใจจากประชาชนทั่วไป ธนาคารจึงต้องการสนับสนุนกลุ่มลูกค้ารายย่อยให้สามารถเข้าถึงทางเลือกการใช้งานพลังงานสะอาดได้อย่างสะดวกสบาย และถือเป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินชีวิตประจำวันเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนอีกด้วย จึงได้ร่วมมือกับ กันกุลโกดังไฟฟ้า และ หัวเว่ย เทคโนโลยี่ นำเสนอผลิตภัณฑ์ชุดโซลาร์เซลล์สำหรับที่อยู่อาศัย “โซลาร์รูฟท็อป” ผ่านแอป SCB EASY เพื่อเชิญชวนให้คนไทยร่วมกันขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ สอดคล้องกับเป้าหมายของธนาคารที่มุ่งเป็นธนาคารชั้นนำด้านความยั่งยืน และเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันเป้าหมาย Net Zero 2050”           ธนาคารไทยพาณิชย์มุ่งมั่นที่จะนำศักยภาพทางด้านผู้นำดิจิทัลแบงก์สร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าทุกความต้องการ ตามกลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch ด้วยการใช้ความสามารถทางด้านเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นตัวกลางเชื่อมโยงลูกค้าไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน ด้วยความแข็งแกร่งของแอป SCB EASY ที่ปัจจุบันครอบคลุมผู้ใช้งานกว่า 18 ล้านราย จึงเป็นช่องทางที่มีศักยภาพในการนำเสนอทางเลือกผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อความยั่งยืนให้กับประชาชนทั่วไป ความร่วมมือในครั้งนี้ จึงเป็นการสะท้อนความมุ่งมั่นของธนาคารที่จะเป็นพันธมิตรยั่งยืนให้กับลูกค้าทุกกลุ่ม กลุ่มประชาชนทั่วไปมากขึ้น ช่วยประหยัดค่าไฟ สามารถแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม และลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเห็นผล             นางสาวนฤชล ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจพลังงานและกลยุทธ์การลงทุน บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การผนึกกำลังร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์ในครั้งนี้ ทาง GUNKUL เชื่อว่าจะสามารถสร้างการเติบโตให้กับตลาดพลังงานสะอาดเนื่องด้วยบทบาทของภาคธนาคารที่เชื่อมโยงกับประชาชนทั่วประเทศผ่านแอป SCB EASY ทางโกดังไฟฟ้าดอทคอมได้คัดสรรโซลูชั่นในการประหยัดค่าไฟพร้อมกับตอบโจทย์เรื่องสิ่งแวดล้อมสำหรับกลุ่มลูกค้าครอบคลุมระดับบ้านเรือนไปจนถึงออฟฟิศขนาดเล็กหรือค่าไฟเริ่มต้นที่ 2,500 บาทต่อเดือน จนถึงค่าไฟที่ประมาณ 10,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ภายใต้แนวคิด ‘Add Energy to Cart’ ทาง GUNKUL ให้ความสำคัญเสมอมากับอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานและบริการที่มีคุณภาพ ซึ่งนำมาสู่การพัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซโกดังไฟฟ้าดอทคอมที่มีจุดเด่นด้านตัวเลือกสินค้าจากแบรนด์ชั้นนำในราคาจับต้องได้และประสบการณ์ช้อปปิ้งที่สะดวกสบายเพื่อเพิ่มทางเลือกแก่ผู้ใช้พลังงานในทุกบทบาท ซึ่งทางแพลตฟอร์มก็ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากหัวเว่ยซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดด้านอุปกรณ์ระบบผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ โดยทั้งหมดนี้นอกเหนือจากจะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านทางด้านพลังงาน โซลาร์รูฟท็อปยังสามารถเป็นโอกาสในอนาคตที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้า อาทิ คาร์บอนเครดิต และยกระดับศักยภาพทางการแข่งขันให้กับประเทศต่อไป           นายโลแกน ยู กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจพลังงานดิจิทัล บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “หัวเว่ยมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการสร้างอนาคตพลังงานสะอาด เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนและคุณภาพชีวิตของคนไทยในทุกภาคส่วน เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือในครั้งนี้ เพื่อให้คนไทยได้มีโอกาสเข้าถึงพลังงานสะอาดที่ได้จากการเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น ในการร่วมมือครั้งนี้ เรามีเป้าหมายที่จะผลักดันการใช้งานระบบโซลาร์เซลล์ในประเทศไทย เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงพลังงานสะอาดได้อย่างง่ายดาย ด้วยการใช้งานผ่านแอป SCB EASY จากทางธนาคารไทยพาณิชย์ พร้อมรับการดูแลจากบริษัทชั้นนำอย่าง กันกุล โกดังไฟฟ้าแพลตฟอร์ม ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้มั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยของระบบพลังงานที่เราได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ระบบโซลาร์รูฟท็อปของหัวเว่ย นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้การใช้งานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มีประสิทธิภาพ ใช้งานง่าย และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เจ้าของบ้านได้มากขึ้น พลังงานที่ได้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน และเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสู่การประหยัดค่าไฟฟ้า ลดปัญหาค่าไฟแพงในปัจจุบัน คืนทุนเร็วในระยะ 5-7 ปี และหากไฟเหลือ สามารถทำกำไรจากการขายไฟฟ้าคืนอย่างน้อยอีก 20-25 ปี” ในแพ็คเกจ “โซลาร์รูฟท็อป” ที่นำเสนอบนแอป SCB EASY นั้น เป็นชุดอุปกรณ์เพื่อการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์คุณภาพสูงจาก Gunkul และหัวเว่ย ประกอบด้วย 1)   แผงโซลาร์เซลล์ (Solar panel) โกดังไฟฟ้าดอทคอมมุ่งเน้นในการส่งมอบแผงโซลาร์เซลล์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้า และมีความปลอดภัย อายุการใช้งานกว่า 25 ปี ทนทานแข็งแรงจากแบรนด์ชั้นนำ Tier 1 ที่ได้รับการยอมรับโดยผู้ติดตั้งและบริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลก โดยนำเสนอตัวเลือกกำลังผลิตที่หลากหลายตอบโจทย์หน้างานหลังคาทุกรูปแบบ นอกจากนั้นทางแพลตฟอร์มยังมีบริการขนส่งที่ช่วยดูแลให้สินค้าไปถึงมือผู้รับในคุณภาพที่ดีที่สุด 2)   อุปกรณ์แปลงไฟ (Huawei Solar Inverter) อุปกรณ์แปลงไฟในระบบโซลาร์เซลล์ของหัวเว่ย ได้รับการออกแบบให้มีความทนทานและประสิทธิภาพสูง ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย สามารถตรวจสอบการทำงานผ่านแอปพลิเคชัน ช่วยให้ผู้ใช้งานทราบสถานะการทำงานของระบบ รวมถึงดูข้อมูลการประหยัดพลังงานได้ทุกที่ทุกเวลา มีความปลอดภัยสูง มีกำลังไฟหลากหลายเหมาะสมตามความต้องการของแต่ละครัวเรือน 3)         แบตเตอรี่เก็บไฟฟ้า (Huawei Solar Battery) แบตเตอรี่ของหัวเว่ยยังมีระบบความปลอดภัยสูงถึง 5 ขั้น อาทิเช่น เซลล์แบตเตอรี่ชั้นนำ ระบบการป้องกันภายในตัวแบตเตอรี่ และ IP66 ที่กันน้ำกันฝน และสามารถใช้งานได้ยาวนานกว่า 15 ปี โดยมีระบบการบริหารจัดการอัจฉริยะที่สามารถนำพลังงานสะอาดไปใช้ในบ้านเรือนและชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Car) ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย 4)   อุปกรณ์เพิ่มประสิทธิภาพ (Huawei Optimizer) ที่ช่วยออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพลังงาน แม้ในสภาพที่มีเงาหรือฝุ่น นอกจากนี้ยังมีระบบความปลอดภัยขั้นสูงและการติดตามการทำงานแบบเรียลไทม์ผ่านแอป ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา พร้อมยืดอายุการใช้งานของระบบ 5)   บริการติดตั้งและบริการหลังการขาย "โซลาร์รูปท็อป" ทุกชุดที่ซื้อผ่าน SCB EASY จะได้รับบริการโดย ทีมงานผู้เชี่ยวชาญ วิศวกร และ ช่างมากประสบการณ์ภายใต้การกำกับดูแลจาก Gunkul พร้อมการรับประกัน การติดตั้ง 1 ปี  ล้างแผง 1 ครั้ง  และรับประกันสินค้าสูงสุด 30 ปี และบริการหลังการขายและให้คำปรึกษาโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ 6)         ผ่อนสบาย 0% พิเศษด้วยโปรแกรมการผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิต SCB และ CardX ดอกเบี้ย 0% 10 เดือน*

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

SCB ชูยิลด์ปันผล 9.6-10.3% โบรกเคาะเป้า130บาท

SCB ชูยิลด์ปันผล 9.6-10.3% โบรกเคาะเป้า130บาท

หุ้นวิชั่น - ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล(ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ โดยเชื่อว่า SCB จะระมัดระวังกับการกำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 68 เนื่องจากนักเศรษฐศาสตร์ของ CGSI คาดการณ์ว่า GDP จะขยายตัวเพียง 3% และปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงจะยังฉุดยอดสินเชื่อใหม่ของธุรกิจสินเชื่อรายย่อย อย่างไรก็ตาม มองว่า SCB น่าจะลดค่าใช้จ่ายปีละ 2 พันล้านบาทหลังขายเงินลงทุนในบริษัทเพอร์เพิล เวนเจอร์ส ณ สิ้นไตรมาส 3/67 ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกหนุนการเติบโตของกำไรปี 68 ขณะที่ SCB กล่าวระหว่างประชุมนักวิเคราะห์ว่า จะยังให้ความสำคัญกับการปรับปรุงคุณภาพสินเชื่อรายย่อย ซึ่งจะทำให้อัตราการสำรองหนี้สูญลดลงในปี 68-69 ในงวด 9 เดือนแรกของปี 67 SCB ใช้เกณฑ์ที่เข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลแบบไม่มีหลักประกันของบริษัท คาร์ด เอกซ์ (CardX, Not listed) ส่งผลให้พอร์ตสินเชื่อของ CardX ในไตรมาส 3/67 ลดลง 15.1% yoy และลดลง 14.3% จากสิ้นปี 66 ซึ่งช่วยยืนยันมุมมองของฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ที่เชื่อว่าการขยายธุรกิจสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกันในขณะที่หนี้ครัวเรือนสูง มีความเสี่ยงสูงเกินไป   อย่างไรก็ตาม SCB ยังเดินหน้าขยายพอร์ตสินเชื่อจำนำทะเบียนรถที่อยู่ภายใต้บริษัทออโต้ เอกซ์(AutoX, Not listed) ทำให้สินเชื่อกลุ่มนี้ในไตรมาส 3/67 เติบโตสูงถึง 97.3% yoy และเพิ่มขึ้น 53.4% จากสิ้นปี 66 นอกจากนี้ ยังขยายสินเชื่อดิจิทัลที่อยู่ภายใต้บริษัทอื่นในเครือ ทั้งนี้สินเชื่อดิจิทัลมีสัดส่วน 1.2% ของยอดสินเชื่อรวมในไตรมาส 3/67 ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ปรับประมาณการ EPS ในปี 67-69 ขึ้น 1.8-10.8% เพราะคาดว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) ของ SCB จะเพิ่มขึ้น 5-21bp เป็น 3.98-4.03% ขณะที่ปรับสมมติฐานอัตราการสำรองหนี้สูญลงมาอยู่ที่ 178- 188bp ในปี 67-69 เนื่องจาก SCB เพิ่มความเข้มงวดเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อและตัดหนี้สูญอย่างต่อเนื่องช่วง ไตรมาส 4/66-ไตรมาส 3/67 นอกจากนี้ ยังปรับลดอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จาก 42.1-42.3% เป็น 40.6- 41.1% ในปี 68-69 สะท้อนการขายเงินลงทุนในบริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส ซึ่งจะส่งผลดีสุทธิในรูปของค่าใช้จ่ายการดำเนินงานที่ลดลง ดังนั้น หากอิงตามประมาณการใหม่ SCB จะมี ROE เพิ่มขึ้น จาก 8.9% ในปี 67 เป็น 9.4-9.9% ในปี 68-69 ขณะที่ยังคาดว่า SCB จะมีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูงที่ 80% ในปี 67-69 ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ปรับราคาเป้าหมายของ SCB เป็น 130 บาท จาก 111 บาท ซึ่งจะเท่ากับ P/BV 0.88 เท่าในปี 68 ทั้งนี้เป้า P/BV เพิ่มสูงขึ้นหลังจากปรับเพิ่มประมาณการกำไรในปี 68-69 นอกจากนี้ยังปรับเพิ่มคำแนะนำจาก “ถือ” เป็น “ซื้อ” เพราะมองว่า EPS น่าจะเติบโตดีในอัตรา 7.3-7.4% ในปี 68-69 และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลยังน่าสนใจที่ 9.6-10.3% ต่อปี อย่างไรก็ตาม SCB จะมี downside risk หาก NPL พุ่งสูงขึ้นจากสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย, สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลแบบไม่มีหลักประกัน รวมถึงการที่รายได้ค่าธรรมเนียมต่ำกว่าคาด ส่วนปัจจัยบวกคือความสำ เร็จของมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่มุ่งเป้าไปยังกลุ่มสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย, สินเชื่อรถ และมาตรการลดค่าใช้จ่ายของ SCB

ธนาคารไทยพาณิชย์ มุ่ง Net Zero  ร่วม รพ.พระรามเก้าจัดเงินฝากยั่งยืน

ธนาคารไทยพาณิชย์ มุ่ง Net Zero ร่วม รพ.พระรามเก้าจัดเงินฝากยั่งยืน

หุ้นวิชั่น - ธนาคารไทยพาณิชย์ และ โรงพยาบาลพระรามเก้า ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อสนับสนุนธุรกิจที่มุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืน ซึ่งถือเป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกที่เข้าร่วมโครงการ “เงินฝากเพื่อความยั่งยืน” (Sustainability Deposit) เพื่อตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) สะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการสนับสนุนเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050             นายรังสรรค์ องค์สรณะคม รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Corporate Banking 3 ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า เงินฝากเพื่อความยั่งยืน เป็นบัญชีเงินฝากประจำหลากหลายสกุล เช่น เงินไทยบาท, เงินสหรัฐดอลลาร์ และเงินยูโร ซึ่งเป็นหนึ่งฟันเฟืองสำคัญที่ธนาคารจะนำไปสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่มีการลงทุนเพื่อลดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของธนาคารไทยพาณิชย์ในการเป็นผู้นำด้านการให้สินเชื่อเพื่อความยั่งยืนในประเทศไทย ด้วยเป้าหมายสินเชื่อเพื่อความยั่งยืน 1.5 แสนล้านในปี 2025 สอดรับกับพันธกิจในการเป็น Net Zero ในปี 2050 โดยมีความพร้อมในการเป็นพันธมิตรที่สนับสนุนลูกค้าทุกกลุ่มไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน             นพ.เสถียร ภู่ประเสริฐ กรรมการผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการผนึกกำลังเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน โดยโรงพยาบาลพระรามเก้า ได้มุ่งมั่นพัฒนาการให้บริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม บนพื้นฐานของธรรมาภิบาล มีความรับผิดชอบต่อชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อม            โดยการสนับสนุนการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Financing) ในโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในด้านสุขภาพ การเงิน และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดรับกับกรอบนโยบายการในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และมีความรับผิดชอบต่อสังคม สะท้อนให้เห็นว่า นอกจากการมุ่งมั่นยกระดับการให้บริการที่มีประสิทธิภาพแล้ว โรงพยาบาลพระรามเก้ายังมุ่งให้ความสำคัญต่อความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สังคม และสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปด้วย            ความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลพระรามเก้า และ ธนาคารไทยพาณิชย์ ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการผสานพลังระหว่างองค์กรธุรกิจและสถาบันการเงินในการสนับสนุนความยั่งยืนระยะยาวให้กับประเทศไทย โดยโรงพยาบาลจะได้รับข้อมูลรายงานประจำปีเกี่ยวกับโครงการเหล่านี้             ทั้งนี้ โรงพยาบาลพระรามเก้า มุ่งหวังว่าความร่วมมือในครั้งนี้ จะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว ตามแนวทาง ESG คือ สิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และหลักธรรมาภิบาล (Governance) ผ่านกระบวนการดำเนินธุรกิจในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการ ที่ตอบสนองความต้องการของผู้มีส่วนได้เสีย

SCBX ตั้ง PointX เริ่มลุยบริการ Q1/68

SCBX ตั้ง PointX เริ่มลุยบริการ Q1/68

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (“SCBX”) ขอเรียนว่า SCBX ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยในการจัดตั้งบริษัท พอยท์เอกซ์ จำกัด (PointX Co., Ltd.) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยรายใหม่ในกลุ่มธุรกิจทางการเงิน ที่ SCBX ถือหุ้นร้อยละ 100 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด โดยบริษัท พอยท์เอกซ์ จำกัด ได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทแล้ว ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาทเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567 และมีแผนเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 700 ล้านบาท ภายในไตรมาส 1 ของปี 2568 บริษัท พอยท์เอกซ์ จำกัด (“บริษัท”) ประกอบธุรกิจเพื่อให้บริการแลกคะแนนสะสม (Point Redemption) และบริการพัฒนาและดูแลระบบ Loyalty Program แก่บริษัทต่าง ๆ ในกลุ่มธุรกิจการเงินของ SCBX และบริษัทพันธมิตรตามที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย โดยบริษัทคาดว่าจะเริ่มให้บริการในไตรมาส 1 ของปี 2568 เป็นต้นไป

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

ไทยพาณิชย์ เพิ่มเอกสิทธิ์การเงิน ผนึก ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด

ไทยพาณิชย์ เพิ่มเอกสิทธิ์การเงิน ผนึก ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด

          หุ้นวิชั่น – ธนาคารไทยพาณิชย์ ตอกย้ำกลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch มุ่งสู่การเป็นดิจิทัลแบงก์ที่เป็นอันดับหนึ่งด้านการบริหารความมั่งคั่ง พร้อมมอบประสบการณ์การให้บริการที่เข้าถึงใจ เข้าถึงคุณ จับมือ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ในฐานะผู้ให้บริการเอกสิทธิ์ทางด้านวีซ่าพำนักระยะยาว ภายใต้การกำกับดูแลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ภายใต้แนวคิด “Enhance Your Financial Experience” มอบเอกสิทธิ์ด้านการบริหารความมั่งคั่งเหนือระดับให้แก่สมาชิกไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด ด้วยประสบการณ์การเงินการลงทุนแบบครบวงจรแก่กลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่มีศักยภาพที่เข้ามาพำนักในประเทศไทย โดยมี นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ และนายมนาเทศ อันนวัฒน์ เพรสซิเดนท์ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ร่วมลงนามความร่วมมือ เมื่อเร็วๆ นี้            นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ภายใต้กลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch ธนาคารให้ความสำคัญกับการนำขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีดิจิทัลมายกระดับประสบการณ์การให้บริการที่เข้าใจและรู้ใจลูกค้ามากยิ่งขึ้น ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นดิจิทัลแบงก์ที่เป็นอันดับหนึ่งด้านการบริหารความมั่งคั่ง ธนาคารไทยพาณิชย์ จึงได้ร่วมมือกับ ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด ภายใต้แนวคิด “Enhance Your Financial Experience” มอบเอกสิทธิ์ด้านการเงิน การลงทุนและบริการเหนือระดับที่คัดสรรให้แก่สมาชิกไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด ด้วยผลิตภัณฑ์และโซลูชันทางการเงินการลงทุนแบบครบวงจร อาทิ สนับสนุนเรื่องการเปิดบัญชีเงินฝาก การทำธุรกรรมทางการเงินผ่านแอป SCB EASY พร้อมทีมที่ปรึกษาด้านการเงินการลงทุนส่วนบุคคลระดับมืออาชีพ (Relationship Manager) ที่พร้อมดูแลลูกค้าคนสำคัญอย่างใกล้ชิด ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มชาวต่างชาติที่มีศักยภาพที่เข้ามาพำนักในประเทศไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องได้อย่างตรงใจ ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการผสานความแข็งแกร่งของทั้งสององค์กรเข้าไว้ด้วยกัน สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการยกระดับบริการทางการเงินการลงทุนที่มีคุณภาพสูงสุดสำหรับสมาชิก พร้อมหวังเป็นส่วนหนึ่งในการดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน สอดรับมาตรการของรัฐบาลในการดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาค”           นายมนาเทศ อันนวัฒน์ เพรสซิเดนท์ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด กล่าวว่า “บริษัทฯ ได้ผนึกกำลัง ธนาคารไทยพาณิชย์ พันธมิตรทางด้าน Wealth และหนึ่งในผู้นำด้านสถาบันการเงินของไทย เพื่อตอบโจทย์ตามความต้องการของสมาชิกในการทำธุรกรรมทางการเงินและการลงทุนให้ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น พร้อมตอกย้ำความแข็งแกร่งในการดำเนินงานของไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด ในฐานะผู้ให้บริการเอกสิทธิ์ทางด้านวีซ่าพำนักระยะยาว มุ่งมั่นดำเนินการนำเสนอบัตรสมาชิกพิเศษไทยแลนด์ พริวิเลจ ที่มาพร้อมกับการบริการพิเศษ ณ สนามบิน และสิทธิประโยชน์ที่หลากหลายครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ ให้กับลูกค้าสมาชิกชาวต่างชาติที่พำนักระยะยาวและใช้ชีวิตในประเทศไทยภายใต้แนวคิด “Make Thailand Your Home”

KSS คาด SET วันนี้ “แกว่งขึ้น” ส่องต้าน 1470 จุด AOT, SCB, WHA เด่น

KSS คาด SET วันนี้ “แกว่งขึ้น” ส่องต้าน 1470 จุด AOT, SCB, WHA เด่น

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “แกว่งขึ้น” ต้าน 1463/1470 จุด รับ 1442/1436 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดีดสั้นๆ ดัชนีS&P500 ปิด +0.39%           กลุ่มพลังงานขยับขึ้นนำตลาด ราคาน้ำมันดีดเฉลี่ย 3.18% รับบ่อผลิตน้ำมันนอร์เวย์ Johan Sverdrup หยุดผลิต น้ำมัน (กำลังผลิต 7.5 แสนบาร์เรลต่อวัน) และจิตวิทยาลบสถานการณ์ยูเครน - รัสเซีย กลับมาตึงขึ้น ภาพใหญ่ US Bond Yield 10 ปีติดแนวต้าน 4.5% และเริ่มนิ่งรอติดตามรายงานเศรษฐกิจเพิ่มเติม คลายแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยงระยะสั้น ผสานภาพบวกพัฒนาการเศรษฐกิจภายใน ทั้ง GDP 3Q24 เติบโต 3%y-y ดีกว่าตลาดคาด และมีสัญญาณเร่งต่อทั้งการเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐ+ท่องเที่ยวที่ยังน่าจะขยายตัวสูงต่อเนื่องในระดับ 20%y-y +/-           ขณะที่วันนี้น่าจะมีความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจเสริม บวกต่อค่าเงินบาทเช้านี้แกว่งแข็งค่า 34.6 +/- บาท หนุน SET แกว่งขึ้น หุ้นนำ คือ Domestic (ค้าปลีก ท่องเที่ยว ธนาคาร เช่าซื้อ นิคม) กลุ่ม Yield นิ่ง+เงินบาทแข็ง (โรงไฟฟ้า) กลุ่มน้ำมันดีดแรงหนุนฝั่งพลังงานต้นน้ำ และปิโตรเคมี Spread สัปดาห์ล่าสุดเด่น +6-10% w-w วันนี้แนะ AOT, SCB, WHA

KSS คาด SET สร้างฐาน ชี้ต้าน 1463 จุด ค้าปลีก ท่องเที่ยว แบงก์ เช่าซื้อเด่น

KSS คาด SET สร้างฐาน ชี้ต้าน 1463 จุด ค้าปลีก ท่องเที่ยว แบงก์ เช่าซื้อเด่น

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “แกว่งสร้างฐาน” ต้าน 1458/1463 จุด รับ 1443/1440 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯแกว่งในกรอบ ดัชนีS&P500 ปิดทรง แม้เงินเฟ้อ CPI ต.ค. 24 ตามตลาดคาด +2.6%y-y, 0.2%m-m และตลาดส่วนใหญ่ยังเชื่อภาพ Fed จะปรับลดดอกเบี้ย ธ.ค. 24 แต่เป็นที่น่าสังเกต US Bond Yield ปรับลงเฉพาะ 2 ปี ส่วน 10 ปีปรับขึ้น บ่งชี้ตลาดยังความกังวลต่อความเสี่ยงผลกระทบนโยบาย ประธานาธิบดี Trump ต่อเงินเฟ้อเงินบาทเคลื่อนไหวอ่อนค่าเช้านี้แตะ 34.9 บาท มองจิตวิทยาลบต่อ SET แต่ภายในกำไร 3Q24 ยังมีพัฒนาการ หลังรายงานเพิ่มเป็น 415 บริษัท ระดับกำไรต่ำกว่าคาดทรงตัว -19.2% (vs วานนี้ -19%) โดยมีกำไรกลุ่ม Domestic เด่นกลบฝั่ง Global พลังงาน+ชิ้นส่วนที่ต่ำคาด กอปรกับ สัญญาณชี้นำระยะถัดไปที่เป็นบวก อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก ต.ค. 24 สูงสุด ในรอบเกือบ 1ปี , กระทรวงการคลังยืนยันพิจารณามาตรการกระตุ้นบริโภค หากการฟื้นตัวมีสัญญาณสะดุด มอง SET ประคองได้ หุ้นเด่น คือ หุ้น Domestic (ค้าปลีก ท่องเที่ยว ธนาคาร เช่าซื้อ) หุ้น China Plays (เก็งรายงานเศรษฐกิจพรุ่งนี้คาดเริ่มเห็นพัฒนาการบวก) และหุ้นเงินบาทอ่อนค่าหนุน (อาหาร, ชิ้นส่วน) วันนี้แนะ CPALL, IVL, SCB

abs

Hoonvision

SCB คุณภาพสินทรัพย์แกร่ง หัวหอกหุ้นเด่นกลุ่มธนาคาร

SCB คุณภาพสินทรัพย์แกร่ง หัวหอกหุ้นเด่นกลุ่มธนาคาร

          หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ โดยบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) (KKPS) ระบุว่า บริษัท เอสซีบี เอ็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ยังคงมีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและต้นทุนที่ต่ำกว่าคาด KKPS จึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2024 ขึ้น 3% แต่ได้มีการปรับลดประมาณการกำไรลงเล็กน้อย 1% และ 2% ตามลำดับสำหรับปี 2025 และ 2026 จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยยังคงแนะนำ SCB เป็นหุ้น Top pick ของกลุ่มธนาคาร เนื่องจากมีแนวโน้มการเติบโตของกำไรในปี 2025 และมีอัตราเงินปันผลที่น่าจับตามองอยู่ที่ราว 9%           นอกจากนี้ อัตราการเกิดหนี้เสียใหม่ (NPL formation) ของ SCB ปรับตัวดีขึ้น ลดลงจาก 264 bps ในไตรมาส 2 เหลือ 242 bps ในไตรมาส 3 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยแปดไตรมาสที่ผ่านมา โดยหลักมาจากกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ สินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อเช่าซื้อ ขณะเดียวกันต้นทุนทางด้านเครดิตของสินเชื่อบุคคล (Gen-2) ก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 10.7% ในไตรมาส 2 เหลือ 8.5% ในไตรมาส 3 จากกลยุทธ์การลดความเสี่ยงของ Card X และการปรับปรุงกระบวนการในการติดตามหนี้ ทำให้คุณภาพสินเชื่อที่อยู่อาศัยบางส่วนกลับมาดีขึ้นจาก stage 3 เป็น stage 2 อีกครั้ง           แม้ว่าจะมีการคาดการณ์ถึงการลดดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้งในปี 2025 แต่ KKPS ยังคงคาดการณ์ผลกำไรของ SCB ที่ 41.8 พันล้านบาทในปี 2025 ซึ่งใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากการขายธุรกิจ Purple Ventures (Robinhood) ซึ่งจะช่วยลดการขาดทุนต่อปีราว 2 พันล้านบาท ขณะเดียวกันการลดค่าใช้จ่ายด้านเครดิตลง 10 bps มาอยู่ที่ 170 bps จะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการลดดอกเบี้ยนโยบาย ทั้งนี้ คาดว่า SCB จะสามารถรักษาสัดส่วนการจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ 80% อย่างต่อเนื่อง โดยมีสัดส่วนเงินทุนสำรองส่วนของผู้ถือหุ้น (CET-1) ที่แข็งแกร่งอยู่ที่ประมาณ 17.8% ซึ่งเพียงพอที่จะเพียงพอรองรับการเติบโตของสินเชื่อราว 2.5% ในช่วงปี 2025-2026

โบรกส่อง SCB หลังประกาศงบไตรมาส 3/67 ทำได้  1.09 หมื่นล้านบาท หุ้นปันผลสูง

โบรกส่อง SCB หลังประกาศงบไตรมาส 3/67 ทำได้ 1.09 หมื่นล้านบาท หุ้นปันผลสูง

           บริษัท หลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง SCB ว่า รายงานกำไรสุทธิใน ไตรมาส3/2567  ที่ 1.09 หมื่นล้านบาท (+13% yoy, +9% qoq) โดยผลประกอบการออกมาดีกว่าที่และตลาดคาดการณ์ไว้ 15% และ 10% ตามลำดับ การขาย Purple Ventures (แอปพลิเคชัน Robinhood) ทำให้ SCB ไม่ต้องแบกรับผลขาดทุนอีกต่อไป SCB คาดว่าอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงทุก ๆ 1% จะทำให้ NIM ลดลง 25-30bp ในขณะเดียวกันคุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้น qoq โดยเรามีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มของคุณภาพสินทรัพย์ คงคำแนะนำซื้อ            บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุถึง SCB ว่าปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 ขึ้น 3% มาอยู่ที่ 4.21 หมื่นล้านบาท (ลดลง 3% YoY) เนื่องจากปรับลดประมาณการอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จาก 43.9% มาอยู่ที่ 42.8% นอกจากนี้ ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 ขึ้น 3% มาอยู่ที่ 4.56 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 8% YoY) ดังนั้น ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2568 ของเราเพิ่มขึ้นจาก 110 บาท มาอยู่ที่ 125 บาท PER ปี 2568 ของ SCB อยู่ที่ 8.4 เท่า เป็นไปตามค่าเฉลี่ยกลุ่มธนาคารที่เราให้คำแนะนำที่ 8.3 เท่า PBV ณ สิ้นปี 2568 อยู่ที่ 0.8 เท่า และเราคาด ROE ปี 2568 อยู่ที่ 9.2% ทำให้อัตราส่วน PBV/ROE อยู่ที่ 0.083 เท่า เท่ากับค่าเฉลี่ยของกลุ่มธนาคารที่เราให้คำแนะนำที่ 0.082 เท่า เราคาดอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลมากกว่า 8% ในปี 2567 และ 2568 นอกจากนี้ คุณภาพสินทรัพย์ของ SCB มีแนวโน้มจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2568 ดังนั้น ปรับเพิ่มคำแนะนำจากขายเป็นซื้อ            บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุถึง SCB ว่า คาดจะมีอัตราผลตอบแทนเงินปั่นผลสูงสุดในกลุ่มธนาคารที่ 8.7% ในปี 2024 (หักเงินปันผลระหว่างกาลเหลือ 5.5%) และให้เพิ่มเป็น 8.9%/9.4% ในปี 2025-26 ถือเป็นจุดเด่นในการลงทุน แม้ SCBX จะได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยลดลง โดยประเมินว่าทุก 100 bps ของการปรับลด อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะกระทบต่อ NIM ลดลง 25-30 bps แต่ด้วยการควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานได้ดี ทำให้เราปรับคาดการณ์กำไรปี 2024-26 เพิ่มขึ้น 2-4% โดยคาดว่ากำไรสุทธิจะลดลง 4.3% ในปี 2024 และฟื้นกลับมาขยายตัว 2.2%/5.8% ในปี 2025-26 ด้านผลการดำเนินงานใน ไตรมาส3/2567 กำไรสุทธิแข็งแกร่งที่ 10.9 พันล้านบาท (+13.2% YoY, +9.3% QoQ) คุณภาพสินเชื่อทรงตัว NPL ratio เพิ่มเล็กน้อยที่ 3.4% และ Coverage ratio เพิ่มเป็น 163.9%            บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุถึง SCB ว่า ยังคงประมาณการกำไรปี 2567 ที่ 43,229 ล้านบาท (-1% YoY) สำหรับแนวโน้มกำไร ไตรมาส4/2567  นั้นคาดว่าจะเห็นการอ่อนตัวลงจากค่าใช้จ่ายตามฤดูกาล บวกกับอาจเห็นค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ที่เพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของลูกหนี้ Stage 2 ขณะที่แนวโน้มปี 2568 คาดว่าจะมีแรงกดดันจากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งกระทบต่อ NIM บวกกับอาจเห็นสินเชื่อชะลอตัวจากความกังวลด้านคุณภาพหนี้ อย่างไรก็ตาม จะไม่มีรายการ One-time จาก Robinhood เช่นในปี 2567 บวกกับไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนจากการดำเนินงานของ Robinhood ซึ่งทำให้คาดว่ากำไรยังพอเติบโตได้เล็กน้อยราว 3% YoY แต่ระดับ Div. Yield ที่สูงถึง 6-7% ยังเป็นปัจจัยจูงใจ จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”            บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  ระบุถึง SCB ว่า ธนาคารได้บันทึกการชำระคืนเงินกู้เพิ่มเติมและลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพื่อชดเชยการขาดทุนจาก Robinhood ขณะที่ธนาคารแนะว่า NIM ที่ลดลงจะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มกำไรในระยะสั้น โดยศักยภาพการเติบโตในปีหน้าจะมาจากการไม่รวมผลขาดทุนจาก Robinhood (ราว 3.0 พันล้านบาทที่บันทึกไว้ในปี 2567) ทั้งนี้ เราใช้ PBV ของกำไรปี 2568F ที่ 0.8x (ซึ่งเป็นพรีเมียมกว่าธนาคารอื่นเพื่อสะท้อนอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงกว่า) เราจึงได้ราคาเป้าหมายใหม่ปี 2568F ที่ 127 บาท (เพิ่มจากราคาเป้าหมายปี 2567F เดิม 117 บาท) โดยคงคำแนะนำ "ถือ"

KSS มอง SCB ปันผลเด่น 9% สูงสุดในกลุ่มแบงก์

KSS มอง SCB ปันผลเด่น 9% สูงสุดในกลุ่มแบงก์

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) มีมุมมอง slightly positive ต่อการประชุมนักวิเคราะห์ของ SCB เพราะคุณภาพสินทรัพย์ของ SCB เห็นสัญญาณดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม Gen 2 จากการแก้ปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ของ Gen 2 มาตลอดในช่วงที่ผ่านมา ภาพรวมเรามอง SCB คงปันผลเด่น dividend yield ประมาณ 9% ต่อปี สูงสุดในกลุ่มธนาคาร           ฝ่ายวิเคราะห์ปรับประมาณการกำไรสุทธิ 2568-2569 ที่ 4.17 / 4.27 และ 4.38 หมื่นลบ. เดิม 4.06/4.32 และ 4.40 หมื่นลบ. ตามลำดับ มุมมองที่เปลี่ยนไป สินเชื่อรวมต่ำกว่าคาด จากกลยุทธ์การเติบโตสินเชื่ออย่างรัดระวัง           ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายขาลง ฝ่ายวิเคราะห์ใช้สมมุติฐานดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.0% ซึ่งคาดจะมีการปรับลงอีกครั้งในช่วงไตรมาส 1/2567 และค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) ดีกว่าคาด จากธุรกิจ Gen 2

SCB ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% มีผลวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567

SCB ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% มีผลวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567

          ธนาคารไทยพาณิชย์ ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% ต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่มีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 2.50% มาอยู่ที่ 2.25% ต่อปี เพื่อช่วยบรรเทาภาระหนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป           นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวไม่สูงนักใกล้เคียงกับที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินไว้และอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายภายในสิ้นปี ทั้งนี้เพื่อตอบสนองต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ กนง. ธนาคารไทยพาณิชย์จึงได้พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% ต่อปี เพื่อช่วยบรรเทาภาระหนี้ของลูกค้ารายย่อยและผู้ประกอบการภาคธุรกิจ โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (Minimum Overdraft Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 7.575% เป็น 7.325% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 7.30% เป็น 7.175% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (Minimum Loan Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 7.05% เป็น 6.925% ต่อปี           โดยก่อนหน้านี้ ธนาคารได้ออกมาตรการพิเศษในการช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มเปราะบาง ทั้งลูกค้าบุคคลและ SME รายย่อย ตั้งแต่ 16 พฤษภาคม 2567 ถึง 15 พฤศจิกายน 2567 นั้น ธนาคารได้พิจารณาขยายมาตรการช่วยเหลือดังกล่าวออกไปจนถึง 31 ธันวาคม 2567           ธนาคารพร้อมให้การสนับสนุนลูกค้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมคำนึงถึงศักยภาพและโอกาสในการปรับตัวของลูกค้าในอนาคต สำหรับลูกค้าที่ประสงค์จะขอรับความช่วยเหลือหรือคำปรึกษาสามารถติดต่อธนาคารได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าธนาคารไทยพาณิชย์ SCB Call Center 02-777-7777 [PR News]

SCB กำไร Q3 โต 13.2% เดินหน้าธุรกิจ Virtual Bank

SCB กำไร Q3 โต 13.2% เดินหน้าธุรกิจ Virtual Bank

          SCB โชว์กำไรไตรมาส 3/2567 เพิ่มขึ้น 13.2% แตะ 10,941 ล้านบาท ทั้งปีตั้งเป้าสินเชื่อเติบโตไว้ 3-5% โดย 9เดือน มีการเติบโต 0.3% ขณะเดียวกันบริษัทเดินหน้าขยายธุรกิจ Virtual Bank ร่วมมือกับ KakaoBank และ WeBank เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในอนาคต คาดประกาศผู้ชนะใบอนุญาตกลางปี 2568           กรุงเทพฯ – บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) รายงานผลกำไรสุทธิในไตรมาส 3 ของปี 2567 จำนวน 10,941 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับเก้าเดือนแรกของปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 32,236 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 0.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน           ในไตรมาส 3 ปี 2567 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 32,635 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเกิดจากการขยายตัวของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ แม้ว่าจะมียอดสินเชื่อโดยรวมลดลง 0.9% เนื่องจากบริษัทฯ มีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย           รายได้ค่าธรรมเนียมและอื่น ๆ ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 9,985 ล้านบาท ลดลง 7.5% จากปีก่อน โดยสาเหตุหลักมาจากการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมจากการขายประกันภัยและการให้สินเชื่อ           ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในไตรมาส 3 อยู่ที่ 17,606 ล้านบาท ลดลง 4.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้อยู่ที่ 40.9% ไม่รวมผลกระทบจากการขายแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี Robinhood           บริษัทฯ ตั้งเงินสำรองลดลง 10.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากไม่มีการตั้งสำรองพิเศษในไตรมาสนี้เหมือนปีก่อน คุณภาพสินเชื่อโดยรวมอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ดี โดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2567 อยู่ที่ 3.4% ปรับเพิ่มจาก 3.3% ในปีก่อน อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพคงอยู่ในระดับสูงที่ 163.9% เงินกองทุนตามกฎหมายของบริษัทฯ ยังคงแข็งแกร่งที่ 19.0%            นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ภายใต้แรงกดดันจากอุทกภัยในหลายพื้นที่ บริษัทฯ จึงให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและมุ่งเน้นการเติบโตที่มีคุณภาพ           ในเดือนกันยายน 2567 SCBX ได้ยื่นขอใบอนุญาต Virtual Bank ต่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยจัดตั้งกลุ่มบริษัทร่วมกับ KakaoBank ซึ่งเป็นธนาคารดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเกาหลีใต้ และ WeBank ซึ่งเป็นธนาคารดิจิทัลชั้นนำของจีน ประสบการณ์และความสามารถด้านเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งของทั้งสองพันธมิตร พร้อมกับตำแหน่งที่มั่นคงของ SCBX ในประเทศไทย จะช่วยให้ Virtual Bank ของ SCBX ประสบความสำเร็จในอนาคต โดยธปท. จะใช้เวลาประมาณเก้าเดือนในการพิจารณาใบสมัคร และคาดว่าจะประกาศผู้ชนะใบอนุญาตสามรายภายในกลางปี 2568           นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ขายกิจการแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี Robinhood ให้กับกลุ่มผู้ลงทุนที่นำโดยบริษัท ยิบอินซอย จำกัด ภายใต้เจตนารมณ์ที่จะส่งต่อแพลตฟอร์มเพื่อคนไทย และการขายกิจการดังกล่าวเป็นการรักษาความมั่นคงทางการเงินและสร้างมูลค่าให้ผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืน           บริษัทได้สังเกตเห็นสัญญาณของสภาพแวดล้อมที่ “ดีขึ้นเล็กน้อย” แต่ยังไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการ “ฟื้นตัวอย่างยั่งยืน” โดยทีมเศรษฐกิจมหภาค SCB EIC ยังคงคาดการณ์การเติบโตของ GDP ที่ร้อยละ 2.5 สำหรับปี 2567 และปรับลดการเติบโตของ GDP ปี 2568 ลงเหลือร้อยละ 2.6 เนื่องจากการกระตุ้นทางการคลังเพิ่มเติมน่าจะมีจำกัด สำหรับธุรกิจของบริษัทเอง คุณภาพสินทรัพย์และผลการดำเนินงานมีเสถียรภาพในไตรมาส 3 ปี 2567 เมื่อเทียบกับที่บริษัทคาดไว้เมื่อสิ้นไตรมาส 2 ปี 2567 ซึ่งเห็นได้ชัดจากอัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อที่ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยในไตรมาส 3 ปี 2567 ในขณะที่สินเชื่อด้อยคุณภาพเกิดใหม่ค่อนข้างคงที่จากไตรมาสก่อน ภายในรายได้จากค่าธรรมเนียมที่ลดลง รายได้จากธุรกิจบริหารความมั่งคั่งแสดงสัญญาณการฟื้นตัว และรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกรรมทางการเงินก็ดีขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม รายได้ค่าธรรมเนียมในส่วนอื่น ๆ ยังคงค่อนข้างจำกัด ในขณะที่การเติบโตของสินเชื่อโดยรวมยังอยู่ในระดับต่ำ ผลประกอบการโดยรวมในเก้าเดือนแรกของปี 2567 อยู่ในภาวะที่อ่อนแอกว่าเป้าหมายธุรกิจทั้งปี เนื่องจากเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับภูมิทัศน์ที่ซับซ้อนและการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศที่ต่ำกว่าที่คาด แม้ว่าจะเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น สิ่งเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายทั้งปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อและการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียม ซึ่งอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเป้าหมายทั้งปี ความสามารถในการบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ได้ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี ในส่วนของการตั้งสำรอง บริษัทใช้วิธีการตั้งสำรองเพื่อให้มั่นใจว่างบดุลมีความเหมาะสม และคาดว่าอัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อของทั้งปีจะอยู่ในกรอบบนของเป้าหมาย ในทางกลับกัน ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิเป็นไปตามคาด เนื่องจากการเข้มงวดทางด้านราคา กลยุทธ์การปรับสินเชื่อให้เหมาะสมกับความเสี่ยง สัดส่วนของธุรกิจ Gen 2 ที่เพิ่มขึ้น และการบริหารจัดการสภาพคล่องส่วนเกิน อย่างไรก็ตาม จากการที่ กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 ซึ่งเร็วกว่าคาดในเดือนตุลาคม 2567 ทำให้ธนาคารจะได้รับผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี แต่คาดว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิจะยังคงอยู่ในกรอบขั้นสูงได้ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้สำหรับเก้าเดือนแรกปี 2567 เป็นไปตามคาดและน่าจะคงอยู่ในกรอบล่างของเป้าหมายทั้งปี

กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.20-33.45 บาท/ดอลลาร์

กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.20-33.45 บาท/ดอลลาร์

          เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ ด้านดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นช่วงข้ามคืน หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์ว่าการขึ้นภาษีนำเข้าเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตดีขึ้นและปกป้องธุรกิจที่ดำเนินในสหรัฐฯ           ราคาน้ำมันกลับมาสูงขึ้นหลังปรับลดลงก่อนหน้านี้จากรายงานที่บอกว่าอิสราเอลจะไม่โจมตีคลังน้ำมันอิหร่าน           เงินเยนกลับมาแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย โดยนักลงทุนจับตาระดับราว 150 เยนต่อดอลลาร์ ซึ่ง ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจเข้าแทรกแซง

บล.ดาโอ แนะหุ้นควรมี

บล.ดาโอ แนะหุ้นควรมี "BDMS,SCB,AOT,WHA"

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มอง ตลาดหุ้นไทย มีแรงซื้อเข้ามาเรื่อยๆ อาจได้อานิสงค์จากการซื้อของกองทุน วายุภักษ์ด้วย หากดัชนีฯ ผ่าน 1470 จุดไปได้ จะยืนยันการปรับฐานจบ            กลยุทธ์ ภาพรวมเป็น “ถือ” ควรพร้อมหรือเลือกซื้อหุ้นที่แข็งแกร่งเหนือตลาด หรือจะเป็นกลุ่มที่เป็น high dividend yield หากตลาดมีสัญญาณกลับตัว(ขึ้น) ด้วยเหตุผลใดก็ตาม หุ้น 3 ตัว ที่ควรมี BDMS, SCB , AOT และ WHA หุ้นในพอร์ตวันนี้ BDMS, TRUE*, CPALL เข้ามาใหม่ หุ้นในพอร์ตประกอบด้วย BDMS (1 5 %) , TRUE*(1 0 %) , CPALL(1 5 %) , SISB (10%) , WHA(10%) , GULF (20%)

[PR News] SCB จับมือ Thunes โอนเงินต่างประเทศผ่าน SCB EASY ครอบคลุม 26 ประเทศ

[PR News] SCB จับมือ Thunes โอนเงินต่างประเทศผ่าน SCB EASY ครอบคลุม 26 ประเทศ

          ธนาคารไทยพาณิชย์ ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านดิจิทัลแบงก์กิ้ง ล่าสุด จับมือ Thunes ผู้ให้บริการโอนเงินระหว่างประเทศชั้นนำระดับโลก ร่วมพัฒนาศักยภาพบริการโอนเงินต่างประเทศผ่านแอป SCB EASY ด้วยการเพิ่มกลุ่มประเทศรับเงินโอนให้ครอบคลุมทั่วโลก ได้แก่ สวีเดน เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ออสเตรเลีย แคนาดา จีน อินโดนีเซีย อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา และเวียดนาม โดยลูกค้าสามารถโอนเงินไปต่างประเทศด้วยสกุลเงินหลักยอดนิยม ได้แก่ ดอลลาร์ออสเตรเลีย ดอลลาร์แคนาดา ดอลลาร์ฮ่องกง ยูโร เยน วอน หยวน โครนาสวีเดน โครเนอเดนมาร์ก รูปียะฮ์ รูปี ริงกิต เปโซ และเวียดนามดอง รวมทั้งหมด 17 สกุลเงิน ครอบคลุม 26 ประเทศ/พื้นที่ปลายทาง ด้วยค่าธรรมเนียมเริ่มต้น 199 บาท ปลายทางได้รับเงินเต็มจำนวน สะดวก รวดเร็วแบบเรียลไทม์ ทำรายการได้ทุกที่ ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมอัดโปรโมชันสุดคุ้ม ลดค่าธรรมเนียมโอนเงินเพียง 99 บาท/รายการ* ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 – 15 มกราคม 2568           นายธนวัฒน์ กิตติสุวรรณ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงาน Digital Juristic & Payment ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ข้อมูลจาก Statista Market Insights ระบุว่าภาพรวมตลาดธุรกรรมการโอนเงินระหว่างประเทศปี 2567 เติบโตกว่า 13% เมื่อเทียบกับปี 2566 และ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยธุรกรรมส่วนใหญ่ของธนาคารฯ นิยมใช้บริการโอนเงินระหว่างประเทศเพื่อการศึกษา (Education) รวมถึงการโอนเงินให้ครอบครัวหรือญาติพี่น้องที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ (Family Support) สอดคล้องกับการเติบโตของจำนวนคนไทยที่ไปศึกษาต่อหรืออาศัยอยู่ต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของลูกค้าที่หันมาทำธุรกรรมทางการเงินผ่านช่องทางดิจิทัลแพลตฟอร์มมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ ธนาคารจึงมุ่งมั่นในการนำขีดความสามารถทางเทคโนโลยีอันทันสมัยมาพัฒนาโซลูชันทางการเงินรูปแบบใหม่ๆ เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพและขยายขอบเขตการให้บริการให้ครอบคลุมประเทศปลายทางเพื่อตอบรับความต้องการของผู้บริโภค จึงได้ร่วมมือกับ Thunes ผู้ให้บริการโอนเงินระหว่างประเทศชั้นนำระดับโลก พัฒนาบริการโอนเงินต่างประเทศผ่านแอป SCB EASY ด้วยการเพิ่มกลุ่มประเทศรับเงินโอนให้ครอบคลุมทั่วโลก อีกทั้ง ลูกค้าปลายทางยังได้รับเงินเต็มจำนวน ไม่ต้องชำระเงินเพิ่ม สะดวก รวดเร็วแบบเรียลไทม์ ทำรายการได้ทุกที่ ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง โดยมุ่งหวังว่าความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยรองรับความต้องการในการทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ และยกระดับประสบการณ์ทางการเงินแบบไร้รอยต่อให้กับลูกค้าของธนาคาร พร้อมเชื่อมต่อบริการทางการเงินทั่วโลกในยุคใหม่อย่างไร้พรมแดน”           ด้าน มร. ไซมอน เนลสัน (Mr. Simon Nelson) Chief Revenue Officer, Middle East & South Asia, Thunes กล่าวว่า “เรามีความภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับธนาคารไทยพาณิชย์ หนึ่งในสมาชิกอันยาวนานของ Thunes Direct Global Network Thunes ในฐานะผู้นำด้านการให้บริการโอนเงินระหว่างประเทศ ได้รับความไว้วางใจจากสมาชิกของเราในการชำระเงินไปยัง Mobile Wallet และบัญชีธนาคาร มากกว่า 7 พันล้านบัญชี ใน 130 ประเทศทั่วโลก 80 สกุลเงิน เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ หนึ่งในผู้นำดิจิทัลแบงก์กิ้งของเมืองไทย ในการร่วมกันยกระดับศักยภาพการโอนเงินระหว่างประเทศของลูกค้าให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมตอบสนองความต้องการการทำธุรกรรมทางการเงินของลูกค้าให้ได้รับความสะดวก รวดเร็ว สามารถควบคุมได้ มีความโปร่งใส และคุ้มค่าอีกด้วย”           เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าที่ให้การตอบรับบริการโอนเงินต่างประเทศผ่านแอป SCB EASY อย่างดีเสมอมา ธนาคารจังได้จัดโปรโมชันพิเศษ! ลดค่าธรรมเนียมโอนเงิน จากปกติค่าธรรมเนียมเริ่มต้น 199 บาท เหลือเพียง 99 บาท/รายการ* ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 – 15 มกราคม 2568           ธนาคารเปิดให้บริการโอนเงินต่างประเทศผ่านแอป SCB EASY ตั้งแต่ปี 2563 โดยปัจจุบันลูกค้าสามารถโอนเงินได้ตลอด 24 ชั่วโมง ครอบคลุมกว่า 26 ประเทศปลายทาง รวมทั้งหมด 17 สกุลเงิน ได้แก่ สหรัฐอเมริกา กลุ่มสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี สเปน เนเธอแลนด์ ไอร์แลนด์ ออสเตรีย เบลเยี่ยม โปรตุเกส ฟินแลนด์ สวีเดน เดนมาร์ค สิงคโปร์ ออสเตรเลีย แคนาดา จีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย  ฟิลิปปินส์ กัมพูชา เวียดนาม           สำหรับลูกค้าที่สนใจ สามารถสอบถามข้อมูลบริการโอนเงินต่างประเทศผ่านแอป SCB EASY ได้ที่ SCB Call Center โทร. 02-777-7777 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.scb.co.th/th/personal-banking/other-services/ripple/scb-easy-app.html