#SAFE


ภาวะมีบุตรยากขาขึ้น ล็อกมง GFC-SAFE

ภาวะมีบุตรยากขาขึ้น ล็อกมง GFC-SAFE

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) แนะนำ Bullish กลุ่ม Fertility service ชี้ SAFE เด่น เคาะเป้า 16.30 บาท ด้าน GFC "ซื้อ" พิกัด 8.30 บาท           แนวโน้มตลาดบริการรักษาภาวะมีบุตรยากโลกและไทยเป็นขาขึ้น National Statistics Offices UN ระบุ ในปี 2022 ตลาดบริการภาวะมีบุตรยากทั่วโลก (Global Fertility Services) รวมถึงการขายผลิตภัณฑ์และการให้บริการที่เกี่ยวกับการช่วยเจริญพันธุ์ มีมูลค่าราว 47,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตเป็น 90,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2027 และ 117,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2032 หรือมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 13.8% ต่อปี สำหรับตลาดบริการ Intracytoplasmic Sperm Injection (ICSI) ในปี 2022 มีมูลค่าราว 17,725 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตเป็น 35,582 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2027 และ 69,277.2 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2032 ตามลำดับ หรือมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 14.3% ต่อปี           ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของตลาดบริการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ คือ อายุเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นของการมีบุตรคนแรกของผู้หญิงในหลายประเทศ และการขยายตัวของตลาดท่องเที่ยวสำหรับผู้มีบุตรยาก (Fertility Tourism) โดยข้อมูลจาก Medicaltourism.com คาดการณ์ว่าตลาดท่องเที่ยวสำหรับผู้มีบุตรยากทั่วโลกจะมีมูลค่าประมาณ 180,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2026 หรือมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 15% CAGR ในช่วงปี 2019-2026 โดยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงที่สุดราว 68,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2026 หรือเติบโตเฉลี่ย 17% ต่อปี (ปี 2019-2026) รวมทั้งคาดการณ์ว่าประเทศไทยจะมีมูลค่าราว 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ           สำหรับประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของ Fertility Tourism ได้แก่ ไทย, มาเลเซีย, อินเดีย, ออสเตรเลีย, และญี่ปุ่น           สำหรับประเทศไทย ข้อมูลจาก National Statistics Offices ระบุว่าในปี 2019 ตลาดให้บริการผู้มีบุตรยากมีมูลค่าราว 211 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าในปี 2027F ตลาดท่องเที่ยวสำหรับผู้มีบุตรยากของไทยจะมีมูลค่าเพิ่มเป็น 518 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 15% CAGR ในช่วงปี 2023-2027 ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อธุรกิจให้บริการรักษาภาวะมีบุตรยากในประเทศไทยยังมีแนวโน้มเติบโตขาขึ้น สอดคล้องกับตลาดโลก ทำให้ฝ่ายวิเคราะห์มองเป็นโอกาสทั้ง GFC และ SAFE ในการขยายตลาดกลุ่มต่างชาติใหม่ๆ           ฝ่ายวิเคราะห์ให้น้ำหนักลงทุน Bullish สำหรับกลุ่มผู้ให้บริการภาวะผู้มีบุตรยาก (Fertility service) เนื่องจากการให้บริการภาวะผู้มีบุตรยากเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ทางการแพทย์ที่ภาครัฐผลักดัน เพื่อให้ประเทศไทยกลายเป็น “Medical Hub” รวมทั้งเป็นทางเลือกของคนอยากมีลูก และตอบโจทย์วาระแห่งชาติส่งเสริมการมีบุตร นอกจากนี้ คาดว่าใน 4Q24F กำไรสุทธิรวมกลุ่มฯ จะมีการฟื้นตัว q-q และปี 2025F คาดกำไรสุทธิรวม (+17% y-y) เข้าสู่การเติบโตรอบใหม่ มีปัจจัยสนับสนุน           แนวโน้มตลาดท่องเที่ยวสำหรับผู้มีบุตรยากของโลกและไทยยังเติบโตเป็นขาขึ้น เนื่องจากอายุเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นในการมีบุตรคนแรกของผู้หญิงหลายประเทศ ทำให้ภาวะผู้มีบุตรยากเป็นปัญหาที่พบในหลายประเทศ โดย National Statistics Offices UN คาดการณ์ตลาดบริการภาวะมีบุตรยากทั่วโลก (Global Fertility Services) มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 14% ต่อปี (2022-32) ส่วนตลาดไทยคาดมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 15% CAGR 2023-27 จึงเป็นโอกาสในการขยายตลาดกลุ่มใหม่ให้กับ GFC และ SAFE           ประเทศไทยมีจำนวนประชากรเกิดใหม่ลดลงต่อเนื่องในช่วง 10 ปี (2012-2022) จาก 818,901 คน หรือคิดเป็นอัตราการเกิดร้อยละ 12.7 ต่อพันคน ในปี 2012 เป็น 502,107 คน หรือคิดเป็นอัตราการเกิดร้อยละ 7.6 ต่อพันคน ในปี 2022 ซึ่งเป็นจำนวนการเกิดต่ำสุดในประวัติศาสตร์ ทำให้รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการมีบุตรเป็นวาระแห่งชาติ และการให้บริการรักษาภาวะผู้มีบุตรยากเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับครอบครัวที่อยากมีลูก           กฎหมายสมรสเท่าเทียมจะมีผลใช้บังคับ 22 ม.ค. 2025 ประกอบกับมีการทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริการภาวะผู้มีบุตรยาก รวมทั้งเสนอปรับแก้ไขกฎหมายเพื่ออนุญาตให้คู่สมรสที่มีทะเบียนสมรสสามารถอุ้มบุญได้ โดยรวมถึงคู่สมรสเพศเดียวกัน และสำหรับกรณีชาวต่างชาติ           มองเป็นปัจจัยช่วยเพิ่มความต้องการมีบุตรเปิดกว้างขึ้นหุ้นเด่นเลือก SAFE (Buy TP25F 16.30 บาท) ปรับคำแนะนำเป็น Buy (เดิม Trading Buy) เนื่องจากคาด 4Q24F กำไรสุทธิ (-33% y-y +18% q-q) กลับมาเติบโต q-q และปี 25F คาดกำไรสุทธิ (+17% y-y) เติบโตเด่นกว่า GFC (vs กำไรสุทธิ +7% y-y) จากศักยภาพให้บริการพร้อมทั้งบุคลากรการแพทย์และเทคโนโลยีใหม่ ประกอบกับไม่มีผลกระทบต้นทุนและค่าใช้จ่ายของสาขาใหม่เหมือน GFC           เทคโนโลยีใหม่ PGT-A Seq ให้บริการเต็มปี 2025 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพตัวอ่อนและอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ รวมทั้งเป็นโอกาสให้บริการลูกค้าภายนอกทั้งคลินิก IVF และ รพ. ต่างๆ           เอเจนซี่ต่างชาติรายใหม่เข้ามาเพิ่มเติมทั้งจีน, อินเดีย, บังคลาเทศ และเวียดนาม ทำให้มีโอกาสขยายตลาดต่างชาติเพิ่มเติมจากปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ต่างชาติราว 45%           ส่วน GFC (Buy TP25F 8.30 บาท) ฝ่ายวิเคราะห์ปรับคำแนะนำเป็น Buy (เดิม Trading Buy) เนื่องจากคาด 4Q24F กำไรสุทธิ (-19% y-y +11% q-q) กลับมาเติบโตได้ q-q จากการใช้บริการเพิ่มขึ้น ประกอบกับสาขาใหม่อุบลราชธานีให้บริการเต็มไตรมาส และสาขาพระราม 9 เริ่มให้บริการมีปัจจัยบวกจากการปรับขึ้นค่าบริการเฉลี่ยราว 10% มีผลตั้งแต่ 4Q24F และสาขาพระราม 9 ให้บริการเต็มปี 25F มองเป็น S-curve ใหม่ในการเติบโตจากการขยายตลาดลูกค้าต่างชาติ ซึ่งปัจจุบัน GFC มีสัดส่วนรายได้ต่างชาติเพียง 1% อย่างไรก็ตามฝ่ายวิเคราะห์ชอบ GFC น้อยกว่า SAFE เนื่องจากคาดปี 25F GFC จะยังมีปัจจัยกดดันด้วยต้นทุนของ 2 สาขาใหม่ รวมทั้งอยู่ระหว่างหาเอเจนซีรายใหม่ร่วมทำตลาดต่างชาติ ทำให้คาดการสร้างรายได้จะเติบโตช้ากว่าต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น           ช่วง 1Q24 ราคาหุ้น SAFE (+16%) ปรับตัวขึ้นดีกว่า GFC (-3%) และกลุ่มการแพทย์ (-0.5%) มีปัจจัยบวกจากผลการดำเนินงาน 1Q24 ทะลุ all time high จากอานิสงส์ความต้องการมีลูกในปีมังกร ทำให้มีการใช้บริการเร่งขึ้นทั้งลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ ทั้งนี้นับจากต้นปี 24 ราคาหุ้น SAFE (-33% ytd) และ GFC (-37% ytd) ปรับตัวลงแย่กว่ากลุ่มการแพทย์ (-13% ytd) สะท้อนผลการดำเนินงานปีนี้ผ่านช่วงดีสุดใน 1Q24 ทำให้ราคาปัจจุบัน SAFE และ GFC ซื้อขาย PE ปี 25F เฉลี่ย 18 เท่า หรือเทียบเท่า Forward PE -2.0 SD มองเป็นโซนน่าลงทุน เมื่อเทียบกับแนวโน้มการเติบโตของกำไรสุทธิกลุ่มฯ เฉลี่ย 17% CAGR ปี 25F-26F ประกอบกับการให้บริการรักษาภาวะผู้มีบุตรยากเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ทางการแพทย์ที่มีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง รวมทั้งได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐและกฎหมายสนับสนุนต่างๆ มองว่าราคาหุ้น SAFE และ GFC ควรถูก Re-rated PE ขึ้นจากระดับ -2.0 SD เพื่อสะท้อนแนวโน้มกำไรสุทธิปี 25F กลับมาเติบโต           ในปี 2024F คาดว่ากลุ่มผู้ให้บริการรักษาภาวะผู้มีบุตรยากที่ศึกษาจะมีกำไรสุทธิรวม 260 ลบ. (-7% y-y) ลดลงตามทิศทางผลการดำเนินงานของ SAFE คาดมีกำไรสุทธิ 179 ลบ. (-11% y-y) ลดลง เนื่องจากคาดว่า SAFE จะมีรายได้ให้บริการ (-0.5% y-y) ชะลอตัวตามจำนวนรอบการเก็บไข่และให้บริการตรวจพันธุกรรมตัวอ่อน ทำให้มีผลของ Economies of scale ลดลงตามการใช้บริการ รวมทั้งการทำตลาดเชิงรุกร่วมกับเอเจนซี่ต่างชาติในประเทศจีน, บังคลาเทศ และอินเดีย ทำให้คาดว่าจะมีค่าใช้จ่าย SG&A (+12% y-y) เพิ่มขึ้นสวนทางกับรายได้ที่ชะลอตัว ส่วน GFC คาดมีกำไรสุทธิ 81 ลบ. (+5% y-y) เติบโต เนื่องจากคาดว่าจะมีรายได้ให้บริการ (+7% y-y) เติบโตจากจำนวนรอบการเก็บไข่ที่เพิ่มขึ้น และมีการปรับขึ้นค่าบริการช่วง 4Q24F ขณะที่ต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการเปิด 2 สาขาใหม่ คาดเริ่มเห็นผลกระทบบางส่วนใน 4Q24F (ปลายเดือน ส.ค. 24 เปิดสาขาอุบลราชธานี และปลาย 4Q24F เปิดสาขาพระราม 9)           ทิศทางและเป้าหมายปี 2025F ผู้บริหาร GFC และ SAFE มีมุมมองบวกต่อการเติบโตของรายได้ที่ดีขึ้นจากการตลาดเชิงรุกและขยายลูกค้าใหม่ โดย GFC ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 10-15% ยังไม่รวมการขยายตลาดลูกค้าต่างชาติของสาขาพระราม 9 ส่วน SAFE ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตราว 15% ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตของตลาด IVF ในประเทศไทย           โดยในปี 2025F คาดว่ากลุ่มผู้ให้บริการภาวะมีบุตรยากที่ศึกษาจะมีกำไรสุทธิรวม 297 ลบ. (+14% y-y) เข้าสู่การเติบโตรอบใหม่ เนื่องจากคาดว่า GFC และ SAFE จะมีรายได้เติบโตดีขึ้นตามการใช้บริการและมีจำนวนรอบการเก็บไข่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่า GFC จะมีรายได้ให้บริการเติบโต +16% y-y รวมลูกค้าต่างชาติของสาขาพระราม 9 คาดเริ่มให้บริการใน 2Q25F เป็นต้นไป ส่วน SAFE คาดรายได้ให้บริการเติบโต +12% y-y ตามที่คาดว่าจะมีจำนวนรอบการเก็บไข่และให้บริการตรวจโครโมโซมตัวอ่อนเพิ่มขึ้น           ทั้งนี้คาดว่า GFC จะมีปัจจัยกดดันจากการรับรู้ต้นทุนและค่าใช้จ่ายของ 2 สาขาใหม่เต็มปี ทำให้คาดว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 87 ลบ. (+7% y-y) เติบโตในอัตราน้อยกว่ารายได้ และเติบโตน้อยกว่า SAFE ที่เราคาดว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 210 ลบ. (+17% y-y) เนื่องจากคาดว่า SAFE จะมีผลบวกจาก Economies of scale ของการให้บริการเพิ่มขึ้นทั้งการให้บริการ IVF และให้บริการตรวจโครโมโซมตัวอ่อน รวมทั้งไม่มีปัจจัยกดดันต้นทุนจากการเปิดสาขาใหม่เหมือน GFC

โบรกแนะ Trading Buy

โบรกแนะ Trading Buy "SAFE" ให้เป้า 18 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) มีมุมมอง Negative ต่อไตรมาส 3/2567 ของ SAFE คาดกำไรสุทธิ 39 ลบ. (-35% y-y -16% q-q) ลดลงตามทิศทางรายได้ (-9%y-y - 6% q-q) และมี Economies of scale จากการใช้บริการลดลงทั้งการทำ IVF และจำนวนการทดสอบตัวอ่อน           ฝ่ายวิเคราะห์ปรับกำไรสุทธิปี 2567-2569 ลง -15% /-14%/-10% ตามลำดับ สะท้อนการใช้บริการแย่กว่าคาดเดิม และปรับ TP25F ลงเหลือ 18 บาท (เดิม 21 บาท) ปรับคำแนะนำเป็น Trading Buy (เดิม Buy) เนื่องจากระยะสั้นมีปัจจัยลบจากแนวโน้มครึ่งปีหลัง 2567 ไม่เด่น แต่คาดปี 2568 กำไรสุทธิ (+15%y-y) กลับมาเติบโตดีขึ้น

[ภาพข่าว] SAFE จับมือ The Chinese University of Hong Kong รักษาภาวะมีบุตรยาก

[ภาพข่าว] SAFE จับมือ The Chinese University of Hong Kong รักษาภาวะมีบุตรยาก

          นพ.วิวัฒน์ กว้างคณานุรักษ์ (ขวา) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาผู้มีบุตรยาก ด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซฟ เฟอร์ทิลิตี้ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (SAFE) เดินทางเยือน The Chinese University of Hong Kong ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อให้ความร่วมมือทางวิชาการกับ  Prof. Richard Choy (ซ้าย) Professor and Deputy Director, Prenatal Genetic Diagnosis Centre, Department of Obstetrics and Gynaecology, The Chinese University of Hong Kong ในด้านการรักษาภาวะมีบุตรยาก (Infertility) ที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์, การฝากไข่ (Egg Freezing) เป็นหนึ่งในวิธีที่จะมาช่วยวางแผนการมีบุตรในอนาคต และเวชพันธุศาสตร์ (Medical Genetics) ตรวจวิเคราะห์โรคทางพันธุกรรม ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้น ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อเร็วๆ นี้

[ภาพข่าว] SAFE มอบเงินสมทบกองทุน “มูลนิธิรามาธิบดีฯ” 1 ล้านบาท

[ภาพข่าว] SAFE มอบเงินสมทบกองทุน “มูลนิธิรามาธิบดีฯ” 1 ล้านบาท

           นพ.วิวัฒน์ กว้างคณานุรักษ์ (ซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซฟ เฟอร์ทิลิตี้ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (SAFE) มอบเงินสมทบทุน จำนวน 1,000,000 บาท ให้กับ “ มูลนิธิรามาธิบดี ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี” รับมอบโดย นพ.ไพโรจน์ บุญคงชื่น (ขวา) ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาทางด้านการแพทย์ ทั้งการผลิตบุคลากร งานวิจัย และช่วยเหลือผู้ป่วยให้มีโอกาสเข้าถึงการรักษาอย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้น ณ สำนักงานคณบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อเร็วๆ นี้

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน