#PTTEP


PTT-PTTEP ลุยลงทุน5ปี ปักธงพลังงานสะอาด

PTT-PTTEP ลุยลงทุน5ปี ปักธงพลังงานสะอาด

           หุ้นวิชั่น - PTT อัดงบ 54,463 ล้านบาท 5 ปี! เดินหน้าขยายท่อก๊าซ  เสริมแกร่งความมั่นคงพลังงาน ศึกษาและแสวงหาโอกาสในการขยายการลงทุน ด้าน  PTTEP ประกาศแผนลงทุน 5 ปี (2568-2572) วงเงินรวม 1.74 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เน้นขยายธุรกิจพลังงานสะอาด พลังงานลมนอกชายฝั่ง ไฮโดรเจน และเทคโนโลยี CCS มุ่งสู่เป้าหมายปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593            นางสาวภัทรลดา สง่าแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)หรือ PTT รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (“ปตท.”) ขอเรียนให้ทราบว่า คณะกรรมการ ปตท. ในการประชุมครั้งที่ 12/2567 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ได้มีมติอนุมัติงบลงทุน 5 ปี (ปี 2568 - 2572) ของ ปตท. และบริษัทที่ ปตท. ถือหุ้น ร้อยละ 100 วงเงินรวม 54,463 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้            ปตท. มีการลงทุนในธุรกิจหลัก (Core Business) เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานควบคู่กับการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ ปตท. “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” โดยเงินลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ และธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย คิดเป็นสัดส่วนประมาณ ร้อยละ 64 ของงบลงทุน 5 ปี            โครงการหลักที่สำคัญ ได้แก่ โครงการท่อส่งก๊าซฯ บางปะกง – โรงไฟฟ้าพระนครใต้ โรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 7รวมถึงการลงทุนเพื่อแสวงหาโอกาสในการขยายธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศอย่างครบวงจร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน            ขณะเดียวกัน ปตท. ยังมีการลงทุนผ่านบริษัทที่ ปตท. ถือหุ้น ร้อยละ 100 เช่นการลงทุนของบริษัทในกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ การลงทุนในธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย เช่น โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 และ โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3            นอกจากนี้ ปตท. ยังคงศึกษาและแสวงหาโอกาสในการขยายการลงทุนในอนาคต เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันตามวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ของกลุ่ม ปตท.            ด้านนางชนมาศ ศาสนนันทน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานการเงินและการบัญชี บริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ขอแจ้งแผนการดําเนินงานประจําปี 2568 ของ ปตท.สผ. และบริษัทย่อย (ปตท.สผ.) ภายใต้แผนกลยุทธ์ Drive-Decarbonize-Diversify เพื่อขับเคลื่อนและเพิ่มมูลค่าธุรกิจสํารวจและผลิตปิโตรเลียม และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 รวมถึงขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจใหม่เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) โดยจัดสรรงบประมาณประจําปี 2568 รวมทั้งสิ้น 7,819 ล้านดอลลาร์ สรอ. ประกอบด้วยรายจ่ายลงทุน (Capital Expenditure) จํานวน 5,299 ล้านดอลลาร์ สรอ. และรายจ่ายดําเนินงาน (Operating Expenditure) จํานวน 2,520 ล้านดอลลาร์ สรอ.            เป้าหมายการดําเนินงานของบริษัทในปี 2568 ยังคงมุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศไทย ควบคู่ไปกับการสร้างความแข็งแกร่งและขยายการลงทุนในธุรกิจสํารวจและผลิตปิโตรเลียมในต่างประเทศ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยให้ความสําคัญกับแผนงานหลัก ดังนี้ 1.เพิ่มปริมาณการผลิตปิโตรเลียมจากโครงการปัจจุบัน โครงการผลิตหลักที่สําคัญเพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางพลังงานของประเทศไทย ได้แก่ โครงการจี 1/61 (แหล่งเอราวัณ) โครงการจี 2/61 (แหล่งบงกช) โครงการอาทิตย์ โครงการเอส 1 โครงการคอนแทร็ค 4 โครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย โครงการซอติก้า และ โครงการยาดานา ในประเทศเมียนมา ที่มีการนําก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้เข้ามาใช้ในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีโครงการผลิตหลักในต่างประเทศที่สําคัญ เช่น โครงการในประเทศมาเลเซีย โครงการในประเทศโอมาน โดยได้จัดสรรรายจ่ายลงทุนจํานวน 3,676 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพื่อสนับสนุนกิจกรรมดังกล่าว            นอกจากนี้ ยังมีแผนงานสําหรับกิจกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 โดยครอบคลุม Scope 1 (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง) และ Scope 2 (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน) ในธุรกิจสํารวจและผลิตปิโตรเลียมที่ ปตท.สผ. เป็นผู้ดําเนินการ (Operational Control) พร้อมทั้งกําหนดเป้าหมายระหว่างทาง (Interim Target) ในการลดปริมาณความเข้มของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Emission Intensity) จากปีฐาน 2563 ให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 และร้อยละ 50 ภายในปี 2573 และ 2583 ตามลําดับ โดยได้ตั้งงบประมาณสําหรับกิจกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2568 ทั้งสิ้นจํานวน 77 ล้านดอลลาร์ สรอ. 2.เร่งผลักดันโครงการหลักที่อยู่ในระยะพัฒนา (Development Phase) โครงการหลักที่อยู่ในระยะพัฒนา ได้แก่ โครงการสัมปทานกาชา โครงการอาบูดาบี ออฟชอร์ 2 โครงการโมซัมบิก แอเรีย 1 รวมถึงโครงการพัฒนาในประเทศมาเลเซีย เช่น โครงการมาเลเซีย เอสเค405บี โครงการมาเลเซีย เอสเค417 โครงการมาเลเซีย เอสเค438 โดยจัดสรรรายจ่ายลงทุนเป็นจํานวนเงินทั้งสิ้น 1,464 ล้านดอลลาร์ สรอ. 3.เร่งดำเนินการสำรวจในโครงการปัจจุบัน ทั้งโครงการที่อยู่ในระยะสำรวจ โครงการในระยะพัฒนา รวมถึงโครงการที่ดำเนินการผลิตแล้ว เพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว โดยจัดสรรรายจ่ายลงทุนจำนวน 127 ล้านดอลลาร์ สรอ. สำหรับการเจาะหลุมสำรวจและประเมินผลของโครงการในประเทศไทย ประเทศมาเลเซีย และประเทศเมียนมา            ปตท.สผ. ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยได้เริ่มดำเนินการขยายไปสู่ธุรกิจใหม่เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน จึงได้สำรองงบประมาณ 5 ปี (2568-2572) เพิ่มเติมจากงบประมาณข้างต้นอีกจำนวน 1,747 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพื่อรองรับการขยายการลงทุนในธุรกิจ พลังงานลมนอกชายฝั่ง, ธุรกิจดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS as a Service), ธุรกิจเชื้อเพลิงไฮโดรเจน และการลงทุนในธุรกิจและเทคโนโลยีผ่านบริษัทย่อยที่จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินงานในรูปแบบ Corporate Venture Capital (CVC)            ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมขององค์กรในช่วงการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำในอนาคต พร้อมกับการดูแลสังคมและชุมชนโดยรอบพื้นที่ปฏิบัติการของบริษัท เพื่อสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายต่อไป

PTTEP รุกแอลจีเรีย! ทุ่มซื้อหุ้น 34% โครงการ Touat

PTTEP รุกแอลจีเรีย! ทุ่มซื้อหุ้น 34% โครงการ Touat

        หุ้นวิชั่น - บริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ขอแจ้งว่า เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 บริษัท PTTEP SG Holding Pte. Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท.สผ. ได้ลงนามในสัญญาซื้อขาย (Sale and Purchase Agreement: SPA) เพื่อเข้าซื้อหุ้นทุนในสัดส่วนร้อยละ 34 ในบริษัท E&E Algeria Touat B.V. จากบริษัท ENGIE International Corporation B.V. (ENGIE) ทั้งนี้ การซื้อขายจะมีผลสมบูรณ์เมื่อบรรลุเงื่อนไขตามที่ระบุไว้ในสัญญาครบถ้วน รวมถึงการได้รับอนุมัติจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง โดยคาดว่าจะมีผลสมบูรณ์ภายในไตรมาส 2 ปี 2568 ซึ่งจะส่งผลให้ ปตท.สผ. ถือสัดส่วนการลงทุนทางอ้อมในโครงการ Touat ที่ร้อยละ 22.1 ทั้งนี้ ผู้ร่วมทุนอื่นในโครงการประกอบด้วยบริษัท Eni Energy Touat Holding B.V. (บริษัทย่อยของ ENI) และบริษัท SONATRACH S.P.A. (บริษัทน้ำมันแห่งชาติของประเทศแอลจีเรีย) ซึ่งถือสัดส่วนร้อยละ 42.9 และ 35 ตามลำดับ โครงการ Touat เป็นโครงการผลิตก๊าซธรรมชาติภายใต้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (Production Sharing Contract: PSC) ตั้งอยู่ในแหล่งปิโตรเลียมบนบก Timimoun ในประเทศแอลจีเรีย โดยมีประมาณการปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติคงเหลือ 1.92 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต และก๊าซธรรมชาติเหลว (Condensate) คงเหลือ 5.4 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ (ณ วันที่ 1 มกราคม 2567) โครงการดังกล่าวได้เข้าสู่ระยะการผลิตแล้วตั้งแต่ปี 2562 และปัจจุบันมีกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติที่ประมาณ 435 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน พร้อมทั้งมีโอกาสในการเพิ่มกำลังการผลิตในอนาคต การเข้าลงทุนดังกล่าวสอดคล้องกับกลยุทธ์ของ ปตท.สผ. ในการขยายการลงทุนในต่างประเทศ โดยประเทศแอลจีเรียเป็นประเทศที่มีศักยภาพปิโตรเลียมสูง รวมถึงมีความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานและตลาดรองรับการส่งออกก๊าซธรรมชาติ อีกทั้งโครงการยังมีความเสี่ยงในระดับต่ำ เนื่องจากอยู่ในระยะผลิตแล้ว เมื่อการซื้อขายมีผลสมบูรณ์ จะสามารถเพิ่มรายได้ ปริมาณการผลิต และปริมาณสำรองปิโตรเลียม ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวให้กับ ปตท.สผ. ได้ทันที เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการเติบโตของบริษัทต่อไป

ปตท.สผ. ได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการระดับ “ดีเลิศ” จาก CGR 2024

ปตท.สผ. ได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการระดับ “ดีเลิศ” จาก CGR 2024

          หุ้นวิชั่น - บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ได้รับการประเมินด้านการกำกับดูแลกิจการในระดับ “ดีเลิศ” (Excellent) หรือ 5 สัญลักษณ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุด ต่อเนื่องเป็นปีที่ 23 และได้รับการจัดอันดับอยู่ใน Top Quartile ของบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าทางการตลาดไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท จากการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียน ประจำปี 2567 (Corporate Governance Report of Thai Listed Companies: CGR 2024) ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ภายใต้การสนับสนุนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การจัดอันดับดังกล่าว สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ ปตท.สผ. ในการพัฒนามาตรฐานการกำกับดูแลกิจการที่ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม

บล.กรุงศรี พลิกขึ้นแรง ต้นน้ำรับอานิสงส์ ชู PTT, PTTEP เด่น

บล.กรุงศรี พลิกขึ้นแรง ต้นน้ำรับอานิสงส์ ชู PTT, PTTEP เด่น

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) มองราคาน้ำมันดิบพลิกขึ้นแรง อิงน้ำมันดิบ Brent +2.91%d-d ปิดที่ USD 73.11/barrel น้ำมันดิบ West Texas +3.19%d-d ปิดที่ USD 69.16/barrel แรงหนุนมาจากข่าว Supply น้ำมันลดลง คือ รายงานการผลิตน้ำมันดิบที่บ่อน้ำมัน Johan Sverdrup ของ Norway ได้หยุดลง ผสานกับล่าสุดความตึงเครียดของงงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนกลับมาอีกครั้ง            โดยรัสเซียได้ทำการโจมตีทางอากาศครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 3 เดือนต่อยูเครน มองระยะสั้นเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

PTTEP เดินหน้าลงทุนโครงการ CCS Hub เร่งกักเก็บคาร์บอน-ขยายธุรกิจพลังงานสะอาด

PTTEP เดินหน้าลงทุนโครงการ CCS Hub เร่งกักเก็บคาร์บอน-ขยายธุรกิจพลังงานสะอาด

            ปตท.สผ. เผยแผนการลงทุนเชิงรุกในโครงการ Carbon Capture and Storage (CCS Hub) เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงพลังงานและลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อย่างยั่งยืน พร้อมวางแผนตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายในปี 2568 ควบคู่กับการขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียน พร้อมคงปริมาณขายทั้งปีที่ 5.01 แสนบาร์เรล/วัน ราคาน้ำมันดิบอยู่ที่บริเวณ 75-85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล             นายเสริมศักดิ์ สัจจะวรรณกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผยว่า ภารกิจของ ปตท.สผ. คือการส่งเสริมความมั่นคงของพลังงานในประเทศและการลงทุนไปยังต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นการลงทุนในโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage: CCS) โดยเฉพาะแหล่งอาทิตย์ ซึ่งคาดว่าจะมีการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายในปี 2568 และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในช่วงปี 2027 รวมถึงการดำเนินโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการเติบโตในธุรกิจใหม่ (Diversify) เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในการเปลี่ยนแปลงการใช้พลังงาน พร้อมทั้งแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน และเร่งสร้างการเติบโตให้กับบริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด (ARV)             นางสาวอารดา วิชญวาณิช ผู้จัดการแผนกนักลงทุนสัมพันธ์ PTTEP เปิดเผยถึงโครงการ Carbon Capture and Storage: CCS Hub โดยจะมีการทำงานร่วมกันทั้งกลุ่ม ปตท. โดยลูกค้ากลุ่มแรกคือเครือ ปตท. ซึ่ง ปตท. แม่ จะเป็นผู้ลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และทำงานร่วมกับรัฐบาลในการผลักดันกฎระเบียบหรือกฎหมายรองรับ ส่วนบริษัทในเครือที่ปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) จากกระบวนการทำงานของตนเอง เช่น GPSC, TOP, GC, IRPC และ PTT จะนับเป็นผู้ผลิตต้นน้ำ สำหรับ PTTEP จะรับหน้าที่เป็นปลายน้ำในการรับผิดชอบการลงทุนพัฒนา offshore storage facility ในอ่าวไทย โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านการขุดสำรวจและการจัดเก็บเพื่อสนับสนุนการกักเก็บคาร์บอนอย่างมีประสิทธิภาพ             สำหรับภาพรวมปริมาณขายปิโตรเลียมทั้งปี 2567 คาดว่าเฉลี่ยอยู่ที่ 501,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน จากปีก่อนที่ 462,007 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน โดยมีการเติบโตขึ้น 40,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน จากการเพิ่มกำลังการผลิตของโครงการจี 1/61 (เอราวัณ) สู่ระดับ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2567 ซึ่งเร็วกว่าแผนงาน รวมถึงปริมาณขายตามสัดส่วนการร่วมทุนที่เพิ่มขึ้นของโครงการยาดานาหลังจากผู้ร่วมทุนยุติการลงทุน             สำหรับราคาก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทนั้นมีโครงสร้างราคาส่วนหนึ่งผูกกับราคาน้ำมันย้อนหลัง 6 – 24 เดือน บริษัทคาดว่าราคาขายก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยสำหรับปี 2567 จะอยู่ที่ประมาณ 5.9 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อนหน้า ส่วนต้นทุนต่อหน่วย (Unit Cost) คาดว่าจะอยู่ที่ 29-30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยคาดว่าไตรมาส 4/2567 จะลดลงจากไตรมาส 3/2567 รวมถึงคาดว่ากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เฉลี่ยจะอยู่ที่ 70-75%             ส่วนแนวโน้มไตรมาส 4/2567 คาดว่าปริมาณขายปิโตรเลียมจะอยู่ที่ระดับ 520,000-530,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากงวดไตรมาส 3/2567 ที่อยู่ระดับ 475,078 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน โดยในไตรมาส 4 ปี 2567 อุปสงค์และอุปทานอยู่ในระดับสมดุล โดยมีความกังวลด้านเศรษฐกิจ การควบคุมการผลิตของกลุ่ม OPEC+ และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางเป็นปัจจัยสำคัญ ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบดูไบเคลื่อนไหวในกรอบราคา 75 - 85 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล แนวโน้มเศรษฐกิจประเทศจีนฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด ส่งผลให้มีการปรับลดคาดการณ์ความต้องการน้ำมันดิบปีนี้ลงเหลือ 900,000 บาร์เรลต่อวัน จากเดิมที่ 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่ด้านอุปทานแนวโน้มน้ำมันมีความตึงตัวมากขึ้น และยังมีปัจจัยอื่นทั้งการเลือกตั้งของสหรัฐและความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง             สำหรับแผนธุรกิจปี 2568 อยู่ระหว่างการวางแผน โดยคาดว่าจะสามารถให้ข้อมูลรายละเอียดได้ในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2567 นี้ โดยเบื้องต้นบริษัทจะพยายามรักษาการผลิตทั้งในไทย เมียนมาร์ มาเลเซีย รวมไปถึงตะวันออกกลาง และเร่งรัดการพัฒนา ซึ่งจะใช้เงินลงทุนพอสมควร โดยในแต่ละปีวางเป้าหมายการลงทุนไว้ที่ประมาณ 6,000-7,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี

KSS ชี้น้ำมันดิบพุ่งแรง OPEC เลื่อนเพิ่มกำลังผลิต มองบอกต่อ PTT, PTTEP

KSS ชี้น้ำมันดิบพุ่งแรง OPEC เลื่อนเพิ่มกำลังผลิต มองบอกต่อ PTT, PTTEP

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) น้ำมันดิบปรับขึ้นแรง และปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 อิง Brent +2.74%d-d ปิดที่ USD 75.1/barrel, น้ำมันดิบ West Texas +2.85%d-d ปิดที่ USD 71.4/barrel           แรงหนุนระยะสั้นมาจากกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน OPEC+ ประกาศเลื่อนการเพิ่มการผลิตน้ำมันที่วางแผนไว้ในเดือน ธ.ค.ออกไป 1 เดือน โดยรวมที่ตลาดคาด โดยรวมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ PTT, PTTEP

PTTEP เผย9 เดือนแรก 2567 แตะ 247,119 ลบ. ส่งรายได้รัฐกว่า 43,300 ลบ.

PTTEP เผย9 เดือนแรก 2567 แตะ 247,119 ลบ. ส่งรายได้รัฐกว่า 43,300 ลบ.

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ, 28 ตุลาคม 2567 – ปตท.สผ. เผยผลการการดำเนินงานรอบ 9 เดือน ปี 2567 การขับเคลื่อนองค์กรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลมีความก้าวหน้าขึ้นมาก ซึ่งจะช่วยขยายขีดความสามารถด้านต่าง ๆ ของบริษัททั้งปัจจุบันและอนาคต สำหรับ 9 เดือนแรกนี้ บริษัทสามารถนำส่งรายได้จากการดำเนินธุรกิจให้กับรัฐประมาณ 43,300 ล้านบาท เพื่อการพัฒนาประเทศ           นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า ในไตรมาส 3 นี้ บริษัทมีความคืบหน้าในการดำเนินงานโครงการในต่างประเทศ โดยโครงการอาบูดาบี ออฟชอร์ 2 ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้รับการอนุมัติแผนพัฒนาโครงการจากหน่วยงานรัฐบาลของอาบูดาบีแล้ว โดยคาดว่าจะตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (FID) ได้ในปี 2568 เพื่อเพิ่มปริมาณสำรองปิโตรเลียมและอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติให้บริษัทในอนาคต           ส่วนด้านการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนองค์กรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital-Driven Organization) ซึ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาและการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานด้านต่าง ๆ รวมทั้ง ช่วยลดระยะเวลาและลดค่าใช้จ่าย โดยในช่วงที่ผ่านมา ปตท.สผ. ได้พัฒนาโครงการ DigitalX ขึ้น ซึ่งเป็นการพัฒนาและประยุกต์ใช้โครงการนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Solutions) เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานอย่างครบวงจร เช่น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning ที่ช่วยวิเคราะห์และประมวลข้อมูลทั่วทั้งห่วงโซ่ธุรกิจของ ปตท.สผ. ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ เช่น ช่วยการเจาะหลุมปิโตรเลียม กระบวนการผลิต การบริหารจัดหาจัดส่งวัสดุอุปกรณ์ โดยมีการเชื่อมฐานข้อมูล (Data Foundation) ที่เชื่อถือได้ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และมีระบบบริหารจัดการทรัพยากร (ERP System) ที่ทันสมัย ภายใต้มาตรการความปลอดภัยเชิงรุก           นอกจากนี้ ปตท.สผ. กำลังพัฒนาและทดสอบเทคโนโลยี หุ่นยนต์และอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานที่แท่นผลิตปิโตรเลียมนอกชายฝั่ง ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถและความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ลดความเสี่ยง ลดระยะเวลาในการทำงาน เช่น โดรนสำหรับขนส่งอุปกรณ์ และเวชภัณฑ์ที่จำเป็น (Delivery Drone) ระหว่างแท่นผลิตในอ่าวไทย ซึ่งช่วยให้การเคลื่อนย้ายเครื่องมือ อุปกรณ์การผลิต และอื่น ๆ สามารถดำเนินการได้อย่างสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และโดรนสำหรับตรวจสอบสภาพภายนอกของแท่นผลิตและตรวจการ (Inspection Drone) เพื่อยืดอายุการใช้งานของโครงสร้างแท่นผลิตรวมถึงป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที           นายมนตรี กล่าวว่า “ในช่วงที่ผ่านมา ปตท.สผ. ได้พัฒนาและนำนวัตกรรม เทคโนโลยี หุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ เข้ามาประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานด้านต่าง ๆ เช่น โครงการ DigitalX หุ่นยนต์ที่ปฏิบัติงานใต้ทะเล และเทคโนโลยีอื่น ๆ ผ่านบริษัทในเครือ และ ปตท.สผ. เอง การพัฒนาดังกล่าว ดำเนินการควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพบุคลากร โดยการเรียนรู้ ถ่ายทอดความรู้ ประยุกต์ใช้ ทดลอง และต่อยอด ตามแนวทางการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ เพื่อขยายขีดความสามารถและประสิทธิภาพในการดำเนินงานทั้งด้านการสำรวจและการพัฒนาแหล่งพลังงานในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นอีกส่วนสำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้กับองค์กรและประเทศ”           จากการให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในการดำเนินงาน ส่งผลให้ ปตท.สผ. ได้รับรางวัลจากสถาบันหรือองค์กรต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เช่น รางวัล Thailand Technology Excellence Awards for AI – Oil & Gas จากนิตยสาร Asian Business Review จากผลงาน “AI Innovation ภายใต้โครงการ Digital Transformation" ซึ่งเป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ และ Machine Learning รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2567 ด้านองค์กรนวัตกรรม ประเภทองค์กรวิสาหกิจขนาดใหญ่ จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับรางวัลด้านอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ได้แก่ รางวัลบริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี 2567 จากการประกาศรางวัล Money & Banking 2024 และรางวัล Best CEO และ Best IR ในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานและสาธารณูปโภค จากเวที IAA Awards for Listed Companies 2024 และรางวัล Sustainability Award 2024 ประเภท “Sustainability Initiative of the Year” จากโครงการ Ocean for Life จาก Business Intelligence Group ซึ่งเป็นองค์กรอิสระจากสหรัฐอเมริกาที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล           สำหรับผลประกอบการในรอบ 9 เดือนของปี 2567 ปตท.สผ. มีรายได้รวม 247,119 ล้านบาท (เทียบเท่า 6,912 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (สรอ.)) โดยมีปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากอัตราการผลิตปิโตรเลียมของโครงการ G1/61 ที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ในขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 47.11 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ จากการปรับตัวลดลงของราคาก๊าซธรรมชาติ จึงส่งผลให้รอบ 9 เดือนของปีนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิ 60,517 ล้านบาท (เทียบเท่า 1,688 ล้านดอลลาร์ สรอ.)           นำส่งรายได้ให้กับรัฐ กว่า 43,300 ล้านบาท เพื่อการพัฒนาประเทศ           ในรอบ 9 เดือนของปี 2567 ปตท.สผ. ได้นำส่งรายได้ให้กับรัฐในรูปของภาษีเงินได้ ค่าภาคหลวง และส่วนแบ่งผลประโยชน์อื่น ๆ จำนวนกว่า 43,300 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ เช่น การพัฒนาชุมชน การศึกษา และการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น นอกจากนี้ ส่วนแบ่งผลผลิตปิโตรเลียมจากโครงการ G1/61 และ G2/61 ภายใต้สัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) ยังเป็นรายได้อีกส่วนหนึ่งที่รัฐได้รับโดยตรงจากการผลิตปิโตรเลียมของบริษัท เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศอีกด้วย -------------------------------------------

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

จับตา SET ลุ้นฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน - แนะเก็บ PTTEP, BBL เป็นหุ้นเด่น

จับตา SET ลุ้นฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน - แนะเก็บ PTTEP, BBL เป็นหุ้นเด่น

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ระบุว่า แม้ SET ได้รับ sentiment ลบ หลัง bond yield สหรัฐปรับขึ้น จากที่ตลาดคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยเพียง 0.25% ในเดือนพ.ย. อย่างไรก็ตาม ลุ้นจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมเป็นปัจจัยหนุนตลาด ทำให้ยังมองแนวรับบริเวณ 1435-1440 จุดยังรองรับได้ และมีโอกาสฟื้นตัวได้ต่อ โดยมีแนวต้านถัดไปที่ 1460 และ 1470 จุดตามลำดับ สำหรับหุ้นเด่นวันนี้           PTTEP: มองว่าราคาน้ำมันที่แข็งแกร่งในระยะสั้นจะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้น อีกทั้งราคาหุ้นยังคงปรับขึ้นช้ากว่าราคาน้ำมัน และเป็นหุ้นที่เป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากกรณีกังวลความไม่สงบในตะวันออกกลาง ขณะที่ผลการดำเนินงานและงบดุลของบริษัทยังแข็งแกร่ง โดยในปี 2567 คาดมีกำไรปกติ 8.27 หมื่นล้านบาท เติบโต 5% YoY ทั้งนี้แนะนำราคาเข้าซื้อวันนี้ไม่เกิน 137.50 บาท           BBL: เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มธนาคาร เนื่องจาก Valuation ในแง่ PBV/ROE น่าสนใจที่สุด และความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่น ๆ ขณะที่คาดว่าในไตรมาส 3/2567 กำไรปกติจะเติบโต 5% YoY และ 1% QoQ โดยมีแรงหนุนจากการตั้งสำรอง (Credit Cost) ที่ลดลง รวมทั้งสินเชื่อและรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (non-NII) เช่น กำไรจากเครื่องมือทางการเงินยังมีการเติบโต

SET มีแรงกดดัน จับตาแนวรับ 1445-1470 จุด มอง PTTEP และ GULF เด่น

SET มีแรงกดดัน จับตาแนวรับ 1445-1470 จุด มอง PTTEP และ GULF เด่น

          หุ้นวิชั่น- คาด SET ได้รับ sentiment ลบ จากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง หลังอิหร่านโจมตีอิสราเอล ทําให้มองกรอบบนยังถูกจํากัดที่แนวต้าน 1470 จุด อย่างไรก็ตาม คาดเม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์ช่วยประคองดัชนี ทําให้มองกรอบล่างบริเวณแนวรับ 1445-1450 จุด ยังรองรับได้ ทั้งนี้ คาดดัชนีจะ เคลื่อนไหวระหว่างกรอบ 1445-1470 จุด หุ้นเด่นวันนี้ PTTEP: มองราคาน้ำมันที่แข็งแกร่งในระยะสั้นจะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้น อีกทั้งราคาหุ้นยังคงปรับขึ้นช้ากว่าราคาน้ำมัน และเป็นหุ้นที่เป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากกรณีกังวลความไม่สงบในตะวันออกกลาง ขณะที่ผลการดำเนินงานและงบดุลของบริษัทยังแข็งแกร่ง โดยปี 2567 คาดมีกำไรปกติ 8.27 หมื่นล้านบาท เติบโต 5% YoY ทั้งนี้ แนะนำราคาเข้าซื้อวันนี้ไม่เกิน 132.50 บาท GULF: ครึ่งหลังปี 2567 คาดกำไรปกติจะเติบโตแกร่งจากกำลังผลิตใหม่ที่เข้ามาเพิ่ม อาทิ โรงไฟฟ้า IPP ใหม่ GDP หน่วยที่ 4 (662.5 MW) และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หลายโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนา อีกทั้งยังมองบวกต่อดีลควบรวมระหว่าง GULF และ INTUCH นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยที่เข้าสู่ขาลง และ Valuation น่าสนใจ โดยซื้อขายที่ PER ปี 2567 ที่ 33 เท่า (-1.0 SD) ที่มา:บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด

โผหุ้นรับกระตุ้นศก.จีน

โผหุ้นรับกระตุ้นศก.จีน

          หุ้นวิชั่น รายงานว่า บล. DAOL เผยว่า จีนเปิดตัวมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ หลังเศรษฐกิจชะลอตัว เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2024 ธนาคารประชาชนจีน (PBOC) ได้ประกาศใช้มาตรการกระตุ้นทางการเงินและมาตรการสนับสนุนตลาดอสังหาริมทรัพย์ครงั้ ใหญ่ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่กา ลังเผชิญกับแรงกดดันจากภาวะเงินฝืด และมีความเสี่ยงที่จะไม่บรรลุเป้าหมายการเติบโตในปีนี้ โดย PBOC ประกาศปรับลดปริมาณการตงั้ เงินสา รองไว้ที่อัตราที่ต่า ที่สุดตงั้ แต่ปี 2020 และปรับลดอัตราดอกเบ้ยี นโยบาย ซึ่งถือเป็นครงั้ แรกในรอบทศวรรษที่มาตรการทงั้ สองถูกปรับลดในวันเดียวกัน นอกจากนี้ผู้ว่าการธนาคารกลางยังประกาศมาตรการสนับสนุนตลาดอสังหาริมทรัพย์ของประเทศ โดยมีรายละเอียดมาตรการของ PBOC ไว้ดังนี้ ปรับลดอัตราดอกเบี้ย Reverse Repo Rate ระยะ 7 วัน ลงจาก 1.7% เป็น 1.5% ปรับลดอัตราส่วนการตั้ง เงินสำรอง (Reserve Require Ratio) ลง 0.50% ปล่อยสภาพคล่องจำนวน 1 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 142 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ปรับลดอัตราดอกเบ้ยี ระยะกลาง (Medium-Term Lending Facility) ลง 0.3% ปรับลดอัตราเงินดาวน์ขนั้ ต่า สา หรับผ้ซู ื้อบ้านหลังที่ 2 ลงจาก 25% เป็น 15%           การผ่อนคลายนโยบายการเงินในครั้ง นี้มากกว่าทนีั่กเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาด และมีโอกาสในการผ่อนคลายเพิ่มเติมในไตรมาสต่อๆ ไป หลังจากที่ Fed ปรับลดอัตราดอกเบ้ยี ลงมามากกว่าคาด DAOL มองเป็น sentiment เชิงบวกระยะสั้นต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจจีน เช่น กลุ่มปิโตรเคมีและแพ็กเกจจิ้ง, พลังงานต้นน้ำ , โลจิสติกส์, ยางพารา และส่งออกอาหารไปจีน กลุ่มปิโตรเคมีและแพ็คเกจจิ้ง (PTTGC, IVL, IRPC, SCC, SCGP) เนื่องจากอา นาจในการซื้อของผู้บริโภคที่สูงขึ้นเสริมให้มีการอุปโภคบริโภคภายในประเทศสูงขึ้น ทงั้ นี้ เราเชื่อว่า SCGP จะได้ประโยชน์มากที่สุด เนื่องจากมีรายได้โดยตรงจากส่งออกไปจีน พลังงานต้นนา้ (PTTEP, BANPU) เนื่องจากอา นาจในการซื้อของผู้บริโภคที่สูงขึ้นจะส่งผลบวกต่อความต้องการใช้พลังงานต้นนา้ ทงั้ นี้ เราเชื่อว่า PTTEP จะได้ประโยชน์มากที่สุดจากการที่จีนเป็นผู้นา เข้าน้ำมันดิบรายใหญ่ของโลก โลจิสติกส์ (RCL, PSL, WICE, LEO, SJWD) เนื่องจากจะส่งผลบวกต่อกิจกรรมการขนส่งดีขึ้น จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว โดย RCL และ PSL จะได้ประโยชน์มากกว่าจากอัตราค่าระวางเรือที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ยางพารา (STA, TEGH, NER) เนื่องจากจีนเป็นตลาดส่งออกยางสา คัญของไทย โดยเฉพาะยางแท่ง ซึ่งตลาดจีนคิดเป็นสัดส่วนราว 40-50% ของส่งออกยางแท่งรวม ทงั้ น้เี ราคาด STA จะได้ประโยชน์มากสุด เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้จากจีนสูงถึง 50% ส่งออกอาหารไปจีน (TKN, COCOCO, PLUS) เนื่องจากจีนเป็นตลาดส่งออกใหญ่ของผู้ประกอบการหลายราย โดย COCOCO มีสัดส่วนรายได้จากจีนประมาณ 28% ของรายได้รวม ส่วน PLUS มีสัดส่วนมากกว่า 20% ขณะที่ TKN มีสัดส่วนรายได้จากจีนที่ 22-24% ของรายได้รวม Top picks เราเลือก SCGP, PTTEP, NER, COCOCO

abs

Hoonvision