#PTT


ปตท. คว้าอันดับ 1 โลกความยั่งยืนจาก S&P Global พร้อมมุ่งมั่นเติบโตยั่งยืนระดับโลก

ปตท. คว้าอันดับ 1 โลกความยั่งยืนจาก S&P Global พร้อมมุ่งมั่นเติบโตยั่งยืนระดับโลก

          หุ้นวิชั่น - วันนี้ (23 ธันวาคม 2567) – ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า ปตท. ได้รับคะแนนการประเมินด้านความยั่งยืน (Corporate Sustainability Assessment : CSA) ณ วันที่ 23 ธันวาคม 2567 เป็นอันดับที่ 1 ของโลก ในกลุ่มอุตสาหกรรม Oil & Gas Upstream & Integrated (OGX) และได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีโลก (World Index) และดัชนีตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market Index) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 13 สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานตามวิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” ดำเนินธุรกิจบนหลักการ “ยั่งยืนอย่างสมดุล” ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีพันธกิจในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศไทย สร้างการเติบโตควบคู่กับการบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก           นอกจากนี้ บริษัทในกลุ่ม ได้แก่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปตท. นํ้ามัน และการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ยังได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิก DJSI อีกด้วย           Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) เป็นดัชนีหลักทรัพย์ของบริษัทชั้นนำระดับสากลกว่า 3,500 บริษัททั่วโลก ที่ผ่านการประเมินความยั่งยืนขององค์กร (Corporate Sustainability Assessment: CSA) และคัดกรองโดย S&P Global ถือเป็นดัชนีที่ใช้ประเมินการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัทที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลจากผู้ลงทุนสถาบันและกองทุนต่าง ๆ ทั่วโลก

PTT-PTTEP ลุยลงทุน5ปี ปักธงพลังงานสะอาด

PTT-PTTEP ลุยลงทุน5ปี ปักธงพลังงานสะอาด

           หุ้นวิชั่น - PTT อัดงบ 54,463 ล้านบาท 5 ปี! เดินหน้าขยายท่อก๊าซ  เสริมแกร่งความมั่นคงพลังงาน ศึกษาและแสวงหาโอกาสในการขยายการลงทุน ด้าน  PTTEP ประกาศแผนลงทุน 5 ปี (2568-2572) วงเงินรวม 1.74 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เน้นขยายธุรกิจพลังงานสะอาด พลังงานลมนอกชายฝั่ง ไฮโดรเจน และเทคโนโลยี CCS มุ่งสู่เป้าหมายปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593            นางสาวภัทรลดา สง่าแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)หรือ PTT รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (“ปตท.”) ขอเรียนให้ทราบว่า คณะกรรมการ ปตท. ในการประชุมครั้งที่ 12/2567 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ได้มีมติอนุมัติงบลงทุน 5 ปี (ปี 2568 - 2572) ของ ปตท. และบริษัทที่ ปตท. ถือหุ้น ร้อยละ 100 วงเงินรวม 54,463 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้            ปตท. มีการลงทุนในธุรกิจหลัก (Core Business) เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานควบคู่กับการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ ปตท. “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” โดยเงินลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ และธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย คิดเป็นสัดส่วนประมาณ ร้อยละ 64 ของงบลงทุน 5 ปี            โครงการหลักที่สำคัญ ได้แก่ โครงการท่อส่งก๊าซฯ บางปะกง – โรงไฟฟ้าพระนครใต้ โรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 7รวมถึงการลงทุนเพื่อแสวงหาโอกาสในการขยายธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศอย่างครบวงจร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน            ขณะเดียวกัน ปตท. ยังมีการลงทุนผ่านบริษัทที่ ปตท. ถือหุ้น ร้อยละ 100 เช่นการลงทุนของบริษัทในกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ การลงทุนในธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย เช่น โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 และ โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3            นอกจากนี้ ปตท. ยังคงศึกษาและแสวงหาโอกาสในการขยายการลงทุนในอนาคต เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันตามวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ของกลุ่ม ปตท.            ด้านนางชนมาศ ศาสนนันทน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานการเงินและการบัญชี บริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ขอแจ้งแผนการดําเนินงานประจําปี 2568 ของ ปตท.สผ. และบริษัทย่อย (ปตท.สผ.) ภายใต้แผนกลยุทธ์ Drive-Decarbonize-Diversify เพื่อขับเคลื่อนและเพิ่มมูลค่าธุรกิจสํารวจและผลิตปิโตรเลียม และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 รวมถึงขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจใหม่เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) โดยจัดสรรงบประมาณประจําปี 2568 รวมทั้งสิ้น 7,819 ล้านดอลลาร์ สรอ. ประกอบด้วยรายจ่ายลงทุน (Capital Expenditure) จํานวน 5,299 ล้านดอลลาร์ สรอ. และรายจ่ายดําเนินงาน (Operating Expenditure) จํานวน 2,520 ล้านดอลลาร์ สรอ.            เป้าหมายการดําเนินงานของบริษัทในปี 2568 ยังคงมุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศไทย ควบคู่ไปกับการสร้างความแข็งแกร่งและขยายการลงทุนในธุรกิจสํารวจและผลิตปิโตรเลียมในต่างประเทศ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยให้ความสําคัญกับแผนงานหลัก ดังนี้ 1.เพิ่มปริมาณการผลิตปิโตรเลียมจากโครงการปัจจุบัน โครงการผลิตหลักที่สําคัญเพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางพลังงานของประเทศไทย ได้แก่ โครงการจี 1/61 (แหล่งเอราวัณ) โครงการจี 2/61 (แหล่งบงกช) โครงการอาทิตย์ โครงการเอส 1 โครงการคอนแทร็ค 4 โครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย โครงการซอติก้า และ โครงการยาดานา ในประเทศเมียนมา ที่มีการนําก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้เข้ามาใช้ในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีโครงการผลิตหลักในต่างประเทศที่สําคัญ เช่น โครงการในประเทศมาเลเซีย โครงการในประเทศโอมาน โดยได้จัดสรรรายจ่ายลงทุนจํานวน 3,676 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพื่อสนับสนุนกิจกรรมดังกล่าว            นอกจากนี้ ยังมีแผนงานสําหรับกิจกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 โดยครอบคลุม Scope 1 (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง) และ Scope 2 (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน) ในธุรกิจสํารวจและผลิตปิโตรเลียมที่ ปตท.สผ. เป็นผู้ดําเนินการ (Operational Control) พร้อมทั้งกําหนดเป้าหมายระหว่างทาง (Interim Target) ในการลดปริมาณความเข้มของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Emission Intensity) จากปีฐาน 2563 ให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 และร้อยละ 50 ภายในปี 2573 และ 2583 ตามลําดับ โดยได้ตั้งงบประมาณสําหรับกิจกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2568 ทั้งสิ้นจํานวน 77 ล้านดอลลาร์ สรอ. 2.เร่งผลักดันโครงการหลักที่อยู่ในระยะพัฒนา (Development Phase) โครงการหลักที่อยู่ในระยะพัฒนา ได้แก่ โครงการสัมปทานกาชา โครงการอาบูดาบี ออฟชอร์ 2 โครงการโมซัมบิก แอเรีย 1 รวมถึงโครงการพัฒนาในประเทศมาเลเซีย เช่น โครงการมาเลเซีย เอสเค405บี โครงการมาเลเซีย เอสเค417 โครงการมาเลเซีย เอสเค438 โดยจัดสรรรายจ่ายลงทุนเป็นจํานวนเงินทั้งสิ้น 1,464 ล้านดอลลาร์ สรอ. 3.เร่งดำเนินการสำรวจในโครงการปัจจุบัน ทั้งโครงการที่อยู่ในระยะสำรวจ โครงการในระยะพัฒนา รวมถึงโครงการที่ดำเนินการผลิตแล้ว เพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว โดยจัดสรรรายจ่ายลงทุนจำนวน 127 ล้านดอลลาร์ สรอ. สำหรับการเจาะหลุมสำรวจและประเมินผลของโครงการในประเทศไทย ประเทศมาเลเซีย และประเทศเมียนมา            ปตท.สผ. ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยได้เริ่มดำเนินการขยายไปสู่ธุรกิจใหม่เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน จึงได้สำรองงบประมาณ 5 ปี (2568-2572) เพิ่มเติมจากงบประมาณข้างต้นอีกจำนวน 1,747 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพื่อรองรับการขยายการลงทุนในธุรกิจ พลังงานลมนอกชายฝั่ง, ธุรกิจดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS as a Service), ธุรกิจเชื้อเพลิงไฮโดรเจน และการลงทุนในธุรกิจและเทคโนโลยีผ่านบริษัทย่อยที่จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินงานในรูปแบบ Corporate Venture Capital (CVC)            ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมขององค์กรในช่วงการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำในอนาคต พร้อมกับการดูแลสังคมและชุมชนโดยรอบพื้นที่ปฏิบัติการของบริษัท เพื่อสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายต่อไป

[ภาพข่าว] ปตท. ผนึก เบทาโกร มุ่งนวัตกรรมพลังงาน - ระบบจัดการของเสีย

[ภาพข่าว] ปตท. ผนึก เบทาโกร มุ่งนวัตกรรมพลังงาน - ระบบจัดการของเสีย

          หุ้นวิชั่น - เมื่อเร็ว ๆ นี้ – บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนานวัตกรรมพลังงานและระบบบริหารจัดการของเสียอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนกับ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) (เบทาโกร) โดยมี ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และความยั่งยืน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นายประสงค์ อินทรหนองไผ่ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารกลยุทธ์กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และนายชยธร แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่ กลุ่มงานกลยุทธ์และนวัตกรรม บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนาม เพื่อแสวงหาโอกาสในการต่อยอดนวัตกรรมพลังงานสะอาดด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และดิจิทัล อาทิ การใช้แพลตฟอร์มซื้อขายใบรับรองเครดิตการผลิตพลังงานหมุนเวียนของ ปตท. การพัฒนานวัตกรรมพลังงาน และระบบบริหารจัดการของเสียอุตสาหกรรม อาทิ การนำน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วของเบทาโกร ไปผลิตเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบบำบัดน้ำเสียที่สร้างมูลค่าเพิ่มและเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมไทยเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

ปตท. ย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยหลักธรรมาภิบาล

ปตท. ย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยหลักธรรมาภิบาล

หุ้นวิชั่น - วันนี้ (3 ธันวาคม 2567) – ปตท. ได้กล่าวถึงการเผยแพร่ข่าวผ่านสื่อสังคมออนไลน์พาดพิงผู้บริหารของกลุ่ม ปตท. และมีการเผยแพร่ลิงค์เพื่อให้ดาวน์โหลดหนังสือของ DSI นั้น ตามที่ ปตท. ได้แจ้งสารสนเทศต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไปแล้วเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 ว่าข้อมูลที่ได้มีการเผยแพร่ผ่านสื่อต่าง ๆ มีเนื้อหาที่คลาดเคลื่อนจากความจริง อันส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดในวงกว้าง ทั้งยังส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของ ปตท. บริษัทในกลุ่ม ปตท. ตลอดจนผู้บริหารของกลุ่ม ปตท. นอกจากนี้ การเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวได้ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อราคาหุ้นของกลุ่ม ปตท. สร้างความเสียหายต่อผู้ถือหุ้นโดยรวม ดังนั้นเพื่อรักษาความเชื่อมั่น ตลอดจนเพื่อมิให้มีการกระทำที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อการลงทุนของนักลงทุนจากการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากความจริง ปตท. จึงได้ดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) รวมถึงรายงานต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้มีการตรวจสอบและพิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย ทั้งนี้ ปตท. และบริษัทในกลุ่ม ปตท. ยังคงมุ่งมั่นในการรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ พร้อมทั้งยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาล โดยมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี และดำเนินการอย่างเคร่งครัดภายใต้นโยบายที่ชัดเจน โปร่งใส และตรวจสอบได้ นอกจากนี้ กลุ่ม ปตท. ยังมุ่งเน้นการสร้างประโยชน์สูงสุดให้แก่ประเทศชาติและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างครอบคลุมและเป็นธรรม

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

DSI ชี้ PTT-OR อยู่ในขั้นสืบสวน ยันเอกสารที่เผยแพร่สื่อ ไม่ใช่ของ DSI

DSI ชี้ PTT-OR อยู่ในขั้นสืบสวน ยันเอกสารที่เผยแพร่สื่อ ไม่ใช่ของ DSI

PTT-OR ชี้ ข่าว DSI บิดเบือนความจริง ลุยทางกฎหมายปกป้องชื่อเสียง

PTT-OR ชี้ ข่าว DSI บิดเบือนความจริง ลุยทางกฎหมายปกป้องชื่อเสียง

หุ้นวิชั่น - บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (“ปตท.”) แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า ตามที่มีการเผยแพร่ข่าวผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในลักษณะกล่าวอ้างว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ “สรุปสำนวนเชื่อว่า” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (“ปตท.”) และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (“OR”) (รวมเรียกว่า “ผู้บริหารฯ”) เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีการเผยแพร่ลิงก์จากต่างประเทศเพื่อให้ดาวน์โหลดหนังสือจากกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้น ปตท. ขอเรียนชี้แจงดังนี้ 1. ข่าวดังกล่าวมีที่มาจากการที่มีตัวแทนของกลุ่มบุคคลที่มีเจตนาไม่สุจริต โดยได้เข้ามาถือหุ้นในบริษัทในเครือของ ปตท. เพียง 100 หุ้น เพื่อใช้เป็นฐานในการยื่นฟ้องคดีผู้บริหารฯ ต่อศาล โดยใช้ข้อกล่าวหาที่ปราศจากมูลความจริง และมีเจตนาสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของ ปตท. บริษัทในเครือ ปตท. และผู้บริหารฯ 2. ข่าวดังกล่าวมีเนื้อหาที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง หนังสือของกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้นเป็นเพียงเอกสารที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวนำมาอ้างเป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ปัจจุบัน ศาลยังไม่ได้รับคำฟ้องดังกล่าว และกรมสอบสวนคดีพิเศษยังไม่ได้มีการสรุปสำนวนตามที่มีการกล่าวอ้างในข่าวดังกล่าวแต่อย่างใด 3. ปตท. เชื่อว่าข่าวดังกล่าวเป็นความพยายามของกลุ่มบุคคลที่มีเจตนาไม่สุจริต ซึ่งพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง พร้อมทั้งพยายามกล่าวหาและโจมตีผู้บริหารฯ มาโดยตลอด โดยกลุ่มบุคคลที่มีเจตนาไม่สุจริตดังกล่าวได้ยื่นเรื่องตามที่ปรากฏเป็นข่าวต่อ ปตท. ให้ ปตท. ตรวจสอบในปี 2566 ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบของ ปตท. และคณะกรรมการตรวจสอบของบริษัทจดทะเบียนในเครือ ปตท. ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดอีก 3 แห่ง ได้แก่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) และบริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามข้อกล่าวหาแล้ว ผลการตรวจสอบปรากฏว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวปราศจากมูลความจริง ธุรกรรมที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของการดำเนินธุรกิจตามปกติและเป็นไปเพื่อประโยชน์ของทั้ง OR และบริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) 4. การกระทำของกลุ่มบุคคลที่มีเจตนาไม่สุจริตในการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อสังคมออนไลน์ มีลักษณะเป็นการกระทำที่มีเป้าประสงค์เพื่อบ่อนทำลายชื่อเสียงของ ปตท. กลุ่มบริษัทในเครือของ ปตท. และผู้บริหารฯ ผ่านกลยุทธ์ที่สะท้อนถึงความไม่โปร่งใส และเจตนาแอบแฝง เช่น การเริ่มต้นเผยแพร่หรือแชร์เอกสารผ่านบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่เป็น “บัญชีอวตาร” ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นบัญชีปลอมหรือไม่สามารถระบุตัวตนผู้ใช้ได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังมีการใช้ลิงก์จากต่างประเทศเพื่อให้ดาวน์โหลดหนังสือของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเป็นความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบและการดำเนินการทางกฎหมาย 5. ปตท. อยู่ระหว่างการดำเนินการตามกฎหมายเพื่อปกป้องชื่อเสียงของกลุ่ม ปตท. ขอให้นักลงทุนใช้วิจารณญาณในการพิจารณาข้อมูลข่าวสารที่ได้รับ และหลีกเลี่ยงการเผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลที่อาจบิดเบือนข้อเท็จจริง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด สร้างความเสียหายต่อกลุ่ม ปตท. และส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น โดยสถานการณ์ดังกล่าวอาจเปิดโอกาสให้กลุ่มบุคคลบางกลุ่มแสวงหาผลประโยชน์ในทางที่ไม่เหมาะสม ในขณะที่ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับผลกระทบด้านลบ นักลงทุนจึงควรตรวจสอบและพิจารณาข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือก่อนตัดสินใจดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ท้ายนี้ ปตท. ขอยืนยันในความมุ่งมั่นต่อการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสและมีธรรมาภิบาล และจะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น ขณะ ที่ OR ระบุว่า ตามที่มีการเผยแพร่ข่าวผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในลักษณะกล่าวอ้างว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ “สรุปสำนวนเชื่อว่า” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (“OR”) และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (“ปตท.”) (รวมเรียกว่า “ผู้บริหารฯ”) เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีการเผยแพร่ลิงก์จากต่างประเทศเพื่อให้ดาวน์โหลดหนังสือจากกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้น OR ขอเรียนชี้แจงดังนี้ 1. ข่าวดังกล่าวมีเนื้อหาที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง หนังสือของกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้น เป็นเพียงเอกสารที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวนำมาอ้างเป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ปัจจุบันศาลยังไม่ได้รับคำฟ้องดังกล่าว และกรมสอบสวนคดีพิเศษเองก็ยังไม่ได้มีการสรุปสำนวนตามที่มีการกล่าวอ้างในข่าวดังกล่าวแต่อย่างใด 2. OR เชื่อว่าข่าวดังกล่าวเป็นความพยายามของกลุ่มบุคคลที่มีเจตนาไม่สุจริต ซึ่งพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง พร้อมทั้งพยายามกล่าวหาและโจมตีผู้บริหารฯ มาโดยตลอด โดยกลุ่มบุคคลที่มีเจตนาไม่สุจริตดังกล่าวได้ยื่นเรื่องตามที่ปรากฏเป็นข่าวต่อ OR ให้ตรวจสอบในปี 2566 ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบของ OR และคณะกรรมการตรวจสอบของบริษัทที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ปตท., บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) และบริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GGC) ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามข้อกล่าวหาแล้ว ผลการตรวจสอบปรากฏว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวปราศจากมูลความจริง ธุรกรรมที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของการดำเนินธุรกิจตามปกติ และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของทั้ง OR และ GGC 3. การกระทำของกลุ่มบุคคลที่มีเจตนาไม่สุจริตในการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อสังคมออนไลน์ มีลักษณะเป็นการกระทำที่มีเป้าประสงค์เพื่อบ่อนทำลายชื่อเสียงของผู้บริหารฯ ผ่านกลยุทธ์ที่สะท้อนถึงความไม่โปร่งใสและเจตนาแอบแฝง เช่น การเริ่มต้นเผยแพร่หรือแชร์เอกสารผ่านบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่เป็น “บัญชีอวตาร” ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นบัญชีปลอมหรือไม่สามารถระบุตัวตนผู้ใช้ได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังมีการใช้ลิงก์จากต่างประเทศเพื่อให้ดาวน์โหลดหนังสือของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเป็นความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบและการดำเนินการทางกฎหมาย 4. OR จะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายที่เหมาะสม เพื่อปกป้องสิทธิ ชื่อเสียง และผลประโยชน์ของกิจการ รวมถึงผู้มีส่วนได้เสียของ OR ทั้งนี้ ขอให้นักลงทุนใช้วิจารณญาณในการพิจารณาข่าวสารที่ได้รับ และหลีกเลี่ยงการแชร์ข้อมูลที่บิดเบือนข้อเท็จจริง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและความเสียหายต่อ OR และส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น โดยสถานการณ์ดังกล่าวอาจเปิดโอกาสให้กลุ่มบุคคลบางกลุ่มแสวงหาผลประโยชน์ในทางที่ไม่เหมาะสม ในขณะที่ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับผลกระทบด้านลบ นักลงทุนจึงควรตรวจสอบและพิจารณาข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือก่อนตัดสินใจดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน OR ขอยืนยันในความมุ่งมั่นต่อการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสและมีธรรมาภิบาล และจะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น

PTT ชงแผนปี 68 กลางธ.ค.นี้ เจรจา “Foxconn” แกนหลักอีวี

PTT ชงแผนปี 68 กลางธ.ค.นี้ เจรจา “Foxconn” แกนหลักอีวี

          ปตท. เตรียมเสนอแผนธุรกิจปี 2568 ต่อคณะกรรมการบริษัทกลางเดือนธันวาคมนี้ โดยให้ความสำคัญกับการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) และการขุดสำรวจของ PTTEP พร้อมตั้งที่ปรึกษาการเงินเพื่อเจรจากับพันธมิตรเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น สำหรับโรงงานร่วมทุนกับ Foxconn ได้หยุดดำเนินการชั่วคราว โดยเจรจากับ Foxconn ให้เป็นแกนหลักดำเนินธุรกิจ โดยเน้นการขยายสถานีชาร์จ EV ทั่วประเทศ           ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า สำหรับภาพรวมระยะสั้น ปตท.ต้องเผชิญปัจจัยที่ผันผวนในหลายด้าน แต่บริษัทให้ความสำคัญกับธุรกิจไฮโดรเจนและการจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) อย่างจริงจัง ในปี 2568 บริษัทมีแผนเดินหน้าหลายโครงการ โดยเฉพาะธุรกิจขุดเจาะและสำรวจ (E&P) ซึ่งคาดว่าปริมาณการผลิตและขายจะเติบโตจากปี 2567           นอกจากนี้ ธุรกิจแก๊สธรรมชาติและโรงแยกแก๊สธรรมชาติจะมีอัตราการใช้กำลังการผลิต (Utilization Rate) สูงขึ้นจากปีก่อน สำหรับธุรกิจปิโตรเคมี คาดว่าผลประกอบการจะดีขึ้น เนื่องจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ (Impairment) มีแนวโน้มลดลง ซึ่งบริษัทจะเน้นเพิ่มความสามารถในการทำกำไร ในส่วนของ สูตรราคาก๊าซฯ Single Pool ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทำงานร่วมกับภาครัฐ และคาดว่าจะได้ข้อสรุปในปีหน้า เนื่องจากเป็นประเด็นที่ส่งผลต่อผลประกอบการของปีนี้ด้วย อีกทั้งบริษัทตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลง 8% ในนี้ ส่วนปี 2568 และคาดว่าจะลดลงได้อีกจากการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย           ธุรกิจของ PTTEP มีการขยายหาแหล่งขุดเจาะน้ำมันทั้งในและนอกประเทศเพื่อความมั่นคงทางพลังงาน โดยให้ความสำคัญกับการลดต้นทุน ซึ่งปัจจุบันต้นทุนต่อหน่วยอยู่ที่ประมาณ 20 กว่าดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ สำหรับธุรกิจแก๊สธรรมชาติ ต้นทุนต้องมีการบริหารจัดการเพื่อให้แข่งขันได้ ส่วนธุรกิจ LNG มีบทบาทสำคัญในการจัดหาแหล่งผลิตที่ต้นทุนต่ำ ซึ่งถือเป็นอนาคตสำคัญในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ธุรกิจโรงไฟฟ้าเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ต้องส่งเสริมเรื่องความมั่นคงด้านพลังงาน และรองรับโอกาสใหม่ เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์ ที่เป็นจุดเด่นของประเทศไทย ในธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น มีการเจรจากับพันธมิตรเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง โดยได้แต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินเข้ามาศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่าธุรกิจปิโตรเคมีอยู่ในช่วงขาลง (Downcycle) มากว่าหนึ่งปี แต่ในปี 2568 คาดว่าผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์จะทรงตัว ขณะที่โอเลฟินส์อาจดีขึ้นเล็กน้อยตามดีมานด์และซัพพลาย และปัจจัยเสี่ยง (Downside) จะลดลง หากเศรษฐกิจโลกเติบโต           ธุรกิจ OR มีการขยายบริการอีวีอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งหยุดธุรกิจที่ไม่ทำกำไร และปรับพอร์ตธุรกิจ โดยเน้นการขยายจุดชาร์จอีวีให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และส่งเสริมการใช้แบรนด์เดียวกันทั้งในส่วนของ PTT และ OR ขยายไปยังสถานที่ต่าง ๆ นอกเหนือจากสถานีบริการของ ปตท. ในส่วนของธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ผ่านมาบริษัทได้ร่วมมือกับ Foxconn Group เพื่อจัดตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม โรงงานดังกล่าวได้หยุดดำเนินการชั่วคราว โดยอยู่ระหว่างเจรจากับ ฟ็อกซ์คอนน์ กรุ๊ป เพื่อให้เป็นแกนหลักในการดำเนินธุรกิจต่อ เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญมากกว่า โดยเรื่องของรถยนต์ไฟฟา(อีวี) ต้องมีการพิจารณาให้ดี เพราะที่ผ่านมามีการแข่งขันสูงของราคารถ อย่างรถจีน หรืออย่างรถเทสล่าที่ผ่านมา ก็มีการลดราคาลงไป ดังนั้นต้องเลือกก่อนว่า โครงการไหนสามารถดำเนินการได้ต่อ อย่างลงทุนที่ชาร์จอีวี มองว่าเป็นโอกาสมากกว่า หรือแม้แต่ ไฮโดรเจน ที่ให้ความสำคัญไปถึงเรื่องของการใช้ในอุตสาหกรรม           ธุรกิจ CCS ปตท.จะเดินหน้าโครงการดังกล่าวและเปิดโอกาสให้บริการแก่ลูกค้าภายนอกกลุ่ม ปตท. โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกักเก็บคาร์บอนในหลุมใต้ทะเล รวมถึงการผลักดันให้มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มกักเก็บคาร์บอนได้หลังปี 2030           ด้านธุรกิจสุขภาพภายใต้การดำเนินงานของ อินโนบิก ซึ่งมีการลงทุนในไต้หวัน บริษัทมุ่งเน้นการต่อยอดธุรกิจด้านยา อุปกรณ์การแพทย์ และอาหารเสริม โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในการหาพันธมิตรเข้ามาเสริม ในปีหน้า สำหรับโครงการของCFP ของไทยออยล์ มีการตั้งทีมให้คำแนะนำ โดยช่วยพิจารณาในแง่กฎหมาย ธุรกิจ ทุกเรื่องเพราะเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ โดย TOP มีแผนจะจัดการส่วนนี้ ผลกระทบต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน โดยโรงงาน ของไทยออยล์ มีการเดินหน้าต่อ โดยผู้รับเหมาเป็นแบบนี้จะทำอย่างไรก็ต้องดำเนินการต่อ การแก้ปัญหาก็ต้องแก้ในการดำเนินการให้เสร็จ และทำให้ดีและถูกต้องที่สุด และส่วนของโรงไฟฟ้า ที่ดำเนินการให้โครงการ CFP ก็ต้องผลิตให้โรงกลั่นก็ดำเนินการเสร็จพร้อมกัน           สำหรับแผนธุรกิจปี 2568 จะนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในเดือนธันวาคม 2567 เพื่อกำหนดงบประมาณและแผนการลงทุน โดยคาดว่าจะให้ความสำคัญกับธุรกิจ Upstream อย่าง PTTEP ในการหาแหล่งแก๊สธรรมชาติใหม่ ๆ เพื่อความมั่นคงทางพลังงานต่อไป

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

พีทีที สเตชั่น ขานรับนโยบายใหม่  ปรับสัดส่วนการผสมน้ำมันดีเซล จาก B7 เป็น B5

พีทีที สเตชั่น ขานรับนโยบายใหม่ ปรับสัดส่วนการผสมน้ำมันดีเซล จาก B7 เป็น B5

          พีทีที สเตชั่น ขานรับนโยบายใหม่ ปรับสัดส่วนการผสมน้ำมันดีเซล จาก B7 เป็น B5 พร้อมส่งมอบน้ำมันคุณภาพสู่ผู้บริโภค เริ่ม 21 พฤศจิกายน นี้           บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) ประกาศพร้อมปรับสัดส่วนการผสม ไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา จากสูตร B7 เป็น B5 ตามมติของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบและปริมาณสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ภายในประเทศ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตไบโอดีเซล โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2567เป็นต้นไป           นายพิมาน พูลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน OR เปิดเผยว่า "พีทีที สเตชั่น พร้อมปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเต็มที่ในการปรับสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ทั้ง เอ็กซ์ตร้า เซฟ ดีเซล (Xtra Save Diesel) และซูเปอร์ พาวเวอร์ ดีเซล (Super Power Diesel) เป็นสูตร B5 ที่มีไบโอดีเซลผสมในปริมาณไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5 และไม่เกินร้อยละ 7 โดยปริมาตร ซึ่งสามารถใช้ได้กับรถดีเซลทุกประเภท ทุกรุ่น ทุกปี โดยการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ ไม่เพียงแต่สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐ แต่ยังสะท้อนวิสัยทัศน์ในการสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนของ OR ที่มุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างการดูแลสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ โดยนอกจากจะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนแล้ว ยังเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมการใช้พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการส่งเสริมใช้ทรัพยากรท้องถิ่นอย่างยั่งยืนอีกด้วย”           นอกจากนี้ พีทีที สเตชั่น ยังคงมุ่งมั่นในการส่งมอบน้ำมันที่มีคุณภาพ และผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเพื่อตอบสนองทุกความต้องการของผู้ใช้รถอย่างครบวงจร ทั้งน้ำมันดีเซลเกรดมาตรฐาน เอ็กซ์ตร้า เซฟ (Xtra Save) ที่เพิ่มสารเพิ่มพลังเครื่องยนต์มากถึง 1.5 เท่า และน้ำมันดีเซลเกรดพรีเมียม ซูเปอร์ พาวเวอร์ (Super Power) ที่มอบประสิทธิภาพสูงสุด โดยผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลรายละเอียดโปรโมชันเพิ่มเติมได้ที่ https://www.pttor.com/th/news/promotion และติดตามโปรโมชันและกิจกรรมอื่น ๆ ได้ที่ Facebook Fanpage: PTT Station หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 1365 Contact Center

บล.กรุงศรี พลิกขึ้นแรง ต้นน้ำรับอานิสงส์ ชู PTT, PTTEP เด่น

บล.กรุงศรี พลิกขึ้นแรง ต้นน้ำรับอานิสงส์ ชู PTT, PTTEP เด่น

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) มองราคาน้ำมันดิบพลิกขึ้นแรง อิงน้ำมันดิบ Brent +2.91%d-d ปิดที่ USD 73.11/barrel น้ำมันดิบ West Texas +3.19%d-d ปิดที่ USD 69.16/barrel แรงหนุนมาจากข่าว Supply น้ำมันลดลง คือ รายงานการผลิตน้ำมันดิบที่บ่อน้ำมัน Johan Sverdrup ของ Norway ได้หยุดลง ผสานกับล่าสุดความตึงเครียดของงงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนกลับมาอีกครั้ง            โดยรัสเซียได้ทำการโจมตีทางอากาศครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 3 เดือนต่อยูเครน มองระยะสั้นเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP

PTT ไตรมาส 3/67 มีกำไร 16,324 ล้านบาท

PTT ไตรมาส 3/67 มีกำไร 16,324 ล้านบาท

           ปตท. และบริษัทย่อยรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 ที่ 16,324 ล้านบาท ลดลง 47.8% จากปีก่อนหน้า โดย EBITDA ลดลง 51.6% สาเหตุหลักมาจากขาดทุนสต็อกน้ำมันและต้นทุนขายที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจก๊าซฯ สำหรับไตรมาส 4/67 คาดการณ์เศรษฐกิจโลกขยายตัวต่อเนื่อง หนุนโดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในประเทศเศรษฐกิจหลัก ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้ดีจากการท่องเที่ยวและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ            บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)หรือ PTT รายงานผลการดำเนินงานของ ปตท. และบริษัทย่อยในไตรมาส 3 ปี 2567 (3Q2567) ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) จำนวน 68,892 ล้านบาท ลดลง 73,400 ล้านบาท หรือร้อยละ 51.6 จากไตรมาส 3 ปี 2566 (3Q2566) ซึ่งอยู่ที่ 142,292 ล้านบาท สาเหตุการลดลง EBITDA กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น:            ธุรกิจการกลั่นมีผลการดำเนินงานลดลงจากผลขาดทุนสต็อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้น โดยใน 3Q2567 มีผลขาดทุนสต็อกน้ำมันประมาณ 20,000 ล้านบาท ขณะที่ใน 3Q2566 มีกำไรประมาณ 20,000 ล้านบาท กำไรขั้นต้นจากการกลั่น (Market GRM) ลดลงจาก 11.3 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลใน 3Q2566 เป็น 2.9 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลใน 3Q2567 โดยหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปกับน้ำมันดิบที่ปรับลดลง กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี:            ผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นตามส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ:            ผลการดำเนินงานลดลงจากการรับรู้ผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง (Mark-to-market) ของสินค้าระหว่างการขนส่ง กลุ่มธุรกิจน้ำมันและการค้าปลีก:            ผลการดำเนินงานลดลงตามกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรและปริมาณขายเฉลี่ยที่ลดลง กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติ:            ผลการดำเนินงานลดลงในธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ จากต้นทุนขายที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการเริ่มใช้นโยบาย Single Pool ในการคำนวณราคาก๊าซฯ และปริมาณขายที่ลดลง แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้น            ผลการดำเนินงานของบริษัท PTTLNG ลดลง เนื่องจากการลดสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการ LNG Receiving Terminal แห่งที่ 2 (LMPT2) กำไรสุทธิ:            กำไรสุทธิของ ปตท. และบริษัทย่อยใน 3Q2567 อยู่ที่ 16,324 ล้านบาท ลดลง 14,973 ล้านบาท หรือร้อยละ 47.8 จากกำไรสุทธิ 31,297 ล้านบาทใน 3Q2566 สาเหตุการลดลงของกำไรสุทธิ: EBITDA ลดลงตามที่กล่าวข้างต้น รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำ (Non-recurring Items) ใน 3Q2567 เป็นขาดทุนประมาณ 9,500 ล้านบาท            ส่วนแบ่งผลขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของบริษัท PTT Asahi Chemical (PTTAC) ประมาณ 4,300 ล้านบาท            ผลขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ในกลุ่มบริษัท Vencorex ของบริษัท PTT Global Chemical (GC) ประมาณ 3,800 ล้านบาท            ขณะที่ใน 3Q2566 มีการรับรู้ Non-recurring Items เป็นกำไรประมาณ 40 ล้านบาท            แม้ว่ากำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและกำไรจากตราสารอนุพันธ์จะเพิ่มขึ้น รวมถึงภาษีเงินได้ลดลง แต่ผลกระทบจากปัจจัยข้างต้นทำให้กำไรสุทธิของ ปตท. และบริษัทย่อยลดลงในไตรมาสนี้ เศรษฐกิจโลกในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 (4Q2567)            เศรษฐกิจโลกในไตรมาส 4 ปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งจากภาวะการเงินที่ผ่อนคลายขึ้นในประเทศเศรษฐกิจหลัก เช่น สหรัฐฯ ยูโรโซน และจีน ตามผลสะสมของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายชัดเจนมากขึ้น ประกอบกับตลาดแรงงานที่ยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งช่วยหนุนการฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน            นอกจากนี้ ยังมีแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน เพื่อลดผลกระทบจากวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่คลี่คลาย อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามความไม่แน่นอนทางการเมืองจากการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ รวมถึงมาตรการกีดกันทางการค้าในหลายประเทศ และสงครามในตะวันออกกลางที่อาจรุนแรงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก            ตามรายงานของ S&P Global ณ เดือนตุลาคม 2567 ความต้องการใช้น้ำมันของโลกในปี 2567 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.0 MMBD ไปอยู่ที่ระดับ 104.6 MMBD ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง            ในขณะเดียวกัน ตลาดยังคงจับตามองนโยบายควบคุมการผลิตจากกลุ่ม OPEC+ ซึ่งจะสิ้นสุดการลดกำลังการผลิตในเดือนธันวาคม 2567 อย่างไรก็ตาม อุปทานจากกลุ่ม Non-OPEC+ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น คาดว่าราคาน้ำมันดิบในปี 2567 จะเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 75 - 85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และค่าการกลั่นอ้างอิงสิงคโปร์คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 4.2 - 5.2 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีใน 4Q2567 มีแนวโน้มปรับตัวลดลง โดยมีปัจจัยกดดันจากอุปทานในตลาดที่เพิ่มขึ้นจากกำลังการผลิตใหม่ในจีน และโรงปิโตรเคมีที่จะกลับมาดำเนินการหลังการซ่อมบำรุง ราคากลุ่มผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์: คาดว่าราคา HDPE และ PP จะเคลื่อนไหวในกรอบ 933-1,033 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน และ 952-1,052 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ตามลำดับ โดยปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า ราคากลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์: คาดว่าราคา BZ และ PX จะเฉลี่ยที่ 900 – 1,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน และ 876 – 976 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ตามลำดับ แม้ราคาน้ำมันแนฟทาจะปรับเพิ่มขึ้น ราคาโพรเพน (Propane): คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 580 – 680 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ในอินเดียช่วงเทศกาลดิวาลีและการเข้าสู่ฤดูหนาว เศรษฐกิจไทยใน 4Q2567            เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะขยายตัวเร่งขึ้นจากแรงขับเคลื่อนของภาคการท่องเที่ยวในช่วงฤดูท่องเที่ยว การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของการค้าโลก และการใช้จ่ายภาครัฐจากงบประมาณประจำปี            นอกจากนี้ การบริโภคภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นจากมาตรการแจกเงินสด 10,000 บาทแก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้พิการ แม้การลงทุนภาคเอกชนจะยังคงอ่อนแอจากภาคการผลิตและตลาดอสังหาริมทรัพย์            อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง มาตรการตอบโต้ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ – จีน และอุทกภัยจากปรากฏการณ์ลานีญา

abs

Hoonvision

GGC สานต่อนโยบายกลุ่ม ปตท จับมือพันธมิตรส่งเสริมความยั่งยืนอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน

GGC สานต่อนโยบายกลุ่ม ปตท จับมือพันธมิตรส่งเสริมความยั่งยืนอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน

          บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC จับมือองค์กรเจรจาระหว่างประเทศว่าด้วยปาล์มน้ำมันยั่งยืน Roundtable on Sustainable Palm Oil (RSPO) และ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ประจำประเทศไทย พร้อมกลุ่มเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน และโรงสกัดปาล์มน้ำมัน ผลักดันขยายความร่วมมือยกระดับการผลิตปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืนตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานของประเทศไทย เพื่อเป้าหมายให้เกษตรกรขายผลิตภัณฑ์ปาล์มน้ำมันได้ราคาที่ดีอย่างยั่งยืน           นายกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC เปิดเผยว่า GGC ได้ดำเนินการส่งเสริมเกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกปาล์มน้ำมันของประเทศไทยมากกว่า 1,000 ราย ให้ดำเนินการตามมาตรฐานและได้รับการรับรอง Roundtable on Sustainable Palm Oil (RSPO) ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ผ่านการดำเนินโครงการการผลิตปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืน Sustainable Palm oil production and procurement (SPOPP)  จากความสำเร็จของโครงการดังกล่าวเกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรในระยะยาว คือ เกษตรกรมีผลผลิตปาล์มน้ำมันที่เพิ่มขึ้น มีต้นทุนในการปลูกปาล์มที่ต่ำลง และสามารถสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นให้แก่เกษตรกร โดย GGC ได้สานต่อความสำเร็จของโครงการดังกล่าวสู่โครงการการผลิตปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืนเพื่อลดผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ Sustainable Palm Oil Production and Procurement Project for Climate Mitigation and Adaptation (SPOPP CLIMA)  เพื่อเป็นต้นแบบให้กับเกษตรกรรายย่อยผลิตปาล์มน้ำมันในการจัดการสวนปาล์มแบบคาร์บอนต่ำของประเทศไทย           จากการสนับสนุนเกษตรกรให้ปลูกปาล์มอย่างยั่งยืน นับเป็นต้นทางที่สำคัญที่ GGC ได้สร้างความมั่นคงทั้งเรื่องการปลูกปาล์มรวมถึงความมั่นคงทางการเงินให้กับเกษตรกรในระยะยาว และ GGC มีความมุ่งมั่นในการสานต่อนโยบายในการสนับสนุนการซื้อ-ขายปาล์มน้ำมันของกลุ่ม ปตท. เพื่อสนับสนุนนโยบายภาครัฐ ที่ต้องการส่งเสริมให้เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันสามารถขายผลผลิตได้ไม่ต่ำกว่าราคาประกาศของราชการ ความสำเร็จที่ผ่านมารวมถึงนโยบายดังกล่าวทำให้ GGC เล็งเห็นถึงความสำคัญและดำเนินการสร้างความร่วมมือกันทั้งห่วงโซ่อุปทาน ช่วยเกษตรกรในด้านราคาอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งโรงสกัดน้ำมันปาล์ม GGC และบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เพื่อร่วมกันดำเนินโครงการการจัดซื้อปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืน (Palm Oil Sustainable Procurement) โดยโครงการดังกล่าวจะยึดหลักการซื้อขายที่เป็นธรรมตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน เพื่อส่งผลประโยชน์ไปยังเกษตรกรทุกรายได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่ดีขึ้น เพราะสามารถขายผลผลิตได้ราคาที่ดีและเป็นธรรม เราร่วมผลักดันเพื่อให้การรับซื้อผลปาล์มในมูลค่าที่สูงขึ้น ทั้งในส่วนของเกษตรกรที่ยังไม่ได้รับการรับรองมาตรฐาน RSPO เรารับซื้อตามราคาประกาศของกรมการค้าภายใน  และในส่วนของเกษตรกรที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน RSPO นอกจากจะได้รับราคาตามประกาศฯ แล้ว ยังได้ราคาพรีเมี่ยมจากมาตรฐาน RSPO เพิ่มขึ้นด้วย  ซึ่งโครงจัดซื้อน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืนนี้จะส่งผลให้ทุกกลุ่มที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานปาล์มน้ำมันของประเทศไทยสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน           วันนี้เรามีพันธมิตรทั้งภาคเอกชน ภาครัฐ และภาคประชาชน ไม่ว่าจะเป็น เครือข่ายวิสาหกิจชุมชน    ผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน โรงสกัดปาล์มน้ำมัน GGC OR กรมวิชาการเกษตร GIZ  และ RSPO ที่พร้อมร่วมกันผลักดันและสนับสนุนให้เกิดความยั่งยืนในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน เพื่อส่งผ่านความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มทุกรายของประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน [PR News]

[ภาพข่าว] ปตท. คว้าคะแนน CGR ระดับ “ดีเลิศ” ต่อเนื่อง 16 ​ปีซ้อน

[ภาพข่าว] ปตท. คว้าคะแนน CGR ระดับ “ดีเลิศ” ต่อเนื่อง 16 ​ปีซ้อน

          บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้รับผลการประเมินการกำกับดูแลกิจการในระดับดีเลิศ (Excellent CG Scoring) หรือ 5 ตราสัญลักษณ์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 16 และติดหนึ่งใน TOP QUARTILE ของบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าทางการตลาดไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท ในโครงการสำรวจการกำกับการดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียน (Corporate Governance Report of Thai Listed Companies: CGR) ประจำปี 2567 จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ภายใต้การสนับสนุนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)           นับเป็นอีกหนึ่งปีของความภาคภูมิใจ ที่ ปตท. ได้รับการประเมินในระดับดีเลิศ ที่ได้สะท้อนถึงมาตรฐานและการยึดมั่นในหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้ พร้อมคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายอย่างสมดุล รวมถึงครอบคลุมในด้าน ESG (Environmental, Social and Governance) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ขององค์กร ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน

โบรกคาดกำไร PTT Q4 ฟื้น คง Neutral ที่ 38.5

โบรกคาดกำไร PTT Q4 ฟื้น คง Neutral ที่ 38.5

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) มอง Negative ต่อแนวโน้มกำไรสุทธิ 3Q24F ของ PTT คาดราว 16,800 ลบ. (-46% y-y, -53% q-q) แย่ลง y-y, q-q ถูก stock loss ก้อนใหญ่ของฝั่งโรงกลั่นและปิโตรเคมี กลบการฟื้นตัว (q-q) ของธุรกิจก๊าซฯ ที่ไม่ต้องแบกภาระ single pool ย้อนหลังเหมือน 2Q24 เราคาด 4Q24F จะกลับมาฟื้น y-y, q-q (ฐานต่ำ) หลัง stock loss ของบริษัทลูกน้อยลง คงคำแนะนำ Neutral ที่ TP25F = 38.5 แนะนำถือรับปันผล กำไรปกติทรงตัวอยู่ในระดับสูง 3Q24F ลด y-y, q-q single pool ยังฉุด และมี stock loss ก้อนใหญ่ของบริษัทลูก           คาดกำไรสุทธิ 3Q24F ราว 16,800 ลบ. (-46% y-y, -53% q-q) หากตัดรายการพิเศษ fx gain, ด้อยค่าเงินลงทุนของฝั่งบริษัทลูก และอื่นๆ ออก กำไรปกติราว 16,400 ลบ. (-62% y-y, -43% q-q) ลด y-y, q-q เพราะ i) stock loss ก้อนใหญ่ของบริษัทลูก รวมราว -18,327 ลบ. Vs. 3Q23 +11,829 ลบ. และ 2Q24 +4,038 ลบ. ราคาน้ำมันดิบผันผวนลงจากความกังวลเศรษฐกิจโลก ii) อัตรากำไรที่ลดลงของธุรกิจบริษัทลูกอย่าง PTTEP ที่มีการปิดซ่อมแหล่งในประเทศ, ราคาน้ำมันดิบลดลง และมีค่าซ่อมแซมเพิ่มขึ้น และ iii) ธุรกิจก๊าซฯ เฉพาะ y-y ลดลง จากผลกระทบ single pool gas ส่งให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น ฉุดอัตรากำไรของโรงแยกก๊าซฯ (GSP) 4Q24F ฟื้น q-q ตามบริษัทลูก (ฐานต่ำ) ทั้งนี้การเจรจากับ GC อาจคืบหน้า           คาดกำไรปกติ 4Q24F ฟื้น y-y เพราะบริษัทลูก stock loss น้อยลง (Vs. 4Q23 -8,470 ลบ.) ชดเชยอัตรากำไรที่ลดลงของธุรกิจก๊าซฯ ในฝั่ง GSP ที่ต้นทุนเพิ่มจากผลกระทบ single pool และธุรกิจ E&P ของ PTTEP และโรงกลั่นฯ ที่ supply น้ำมันตึงตัวน้อยลง ฉุดทั้งราคาน้ำมันดิบและค่าการกลั่น ส่วนฟื้น q-q เพราะได้ demand น้ำมันในช่วงฤดูหนาว และการท่องเที่ยวฟื้นตัว ส่งให้ราคาน้ำมันดิบไม่ผันผวน stock loss ลดลง รวมถึงค่าการกลั่นและค่าการตลาดฟื้นตัว หนุนกำไรของบริษัทลูกอย่างกลุ่มโรงกลั่นและสถานีบริการฯ ทั้งนี้ PTT อยู่ระหว่างเจรจาปรับสูตรราคาขายกับ PTTGC (ร่วมกันแบกรับ) เพื่อสะท้อนผลกระทบ single pool บางส่วน หากเสร็จทันใน 4Q24F จะส่งให้ธุรกิจก๊าซฯ ฟื้น q-q จากต้นทุนที่ลดลง คำแนะนำ           คง TP25F = 38.5 บาท/หุ้น และคำแนะนำ Neutral (เราอยู่ระหว่างปรับลดประมาณการตามบริษัทลูกหลังงบฯ) แม้มีปัจจัยบวก i) ไม่มีค่า shortfall ก้อนที่ 2 ราว 4,700 ลบ. มาฉุดใน 2H24 และ ii) อาจบรรลุการเจรจาปรับราคาขายกับ PTTGC ภายใน 4Q24F (Vs. เราคาดต้น 2025F) แต่เป็นเพียง upside risk ระยะสั้น ไม่ได้เปลี่ยนภาพการเติบโตของกำไรปกติเฉลี่ย 2024-26F ที่ทรงตัว (ธุรกิจฟื้นจากฐานต่ำ) ถือรับปันผล มีหลายธุรกิจกระจายความเสี่ยง กำไรไม่ผันผวนเท่าบริษัทลูก

KSS ชี้น้ำมันดิบพุ่งแรง OPEC เลื่อนเพิ่มกำลังผลิต มองบอกต่อ PTT, PTTEP

KSS ชี้น้ำมันดิบพุ่งแรง OPEC เลื่อนเพิ่มกำลังผลิต มองบอกต่อ PTT, PTTEP

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) น้ำมันดิบปรับขึ้นแรง และปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 อิง Brent +2.74%d-d ปิดที่ USD 75.1/barrel, น้ำมันดิบ West Texas +2.85%d-d ปิดที่ USD 71.4/barrel           แรงหนุนระยะสั้นมาจากกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน OPEC+ ประกาศเลื่อนการเพิ่มการผลิตน้ำมันที่วางแผนไว้ในเดือน ธ.ค.ออกไป 1 เดือน โดยรวมที่ตลาดคาด โดยรวมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ PTT, PTTEP

ปตท. คว้ารางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จด้านความยั่งยืน และด้านนวัตกรรม จากเวที SET Awards 2024

ปตท. คว้ารางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จด้านความยั่งยืน และด้านนวัตกรรม จากเวที SET Awards 2024

          วันนี้ (30 ตุลาคม 2567) – ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า ปตท. ได้รับรางวัล SET Awards ประจำปี 2024 ที่จัดขึ้นโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับวารสารการเงินธนาคาร รวม 2 รางวัล ประกอบด้วย รางวัลเกียรติยศ แห่งความสำเร็จด้านความยั่งยืน (Sustainability Awards of Honor) และรางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จด้านนวัตกรรม (SET Awards of Honor) สะท้อนเจตนารมณ์ของ ปตท. ที่ให้ความสำคัญกับการบริหารธุรกิจแบบยั่งยืนในทุกมิติ การลงทุนต้องเกิดประโยชน์ทั้งกับองค์กรและประเทศ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้ทุกภาคส่วน และ สร้างพลังร่วมภายในกลุ่ม ปตท. ภายใต้วิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” นับเป็นปีที่ 4 ของ ปตท. ที่ได้รับรางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จด้านความยั่งยืน (Sustainability Awards of Honor) ซึ่งเป็นผลจากความมุ่งมั่นจากการดำเนินงานจนได้รับรางวัล Best Sustainability Awards อย่างต่อเนื่อง           โดย ปตท. ยึดมั่นพันธกิจหลักในการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน พร้อมบูรณาการความยั่งยืนเข้าสู่ธุรกิจ เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี พ.ศ. 2593 หรือ ค.ศ. 2050 ด้วยการผสานการบริหารจัดการทั้งกลุ่ม ปตท. ผ่านแนวทางการดำเนินงาน C3 ได้แก่ Climate Resilience Business ปรับ Portfolio และพิจารณาการปล่อยคาร์บอน (Carbon Emission) ควบคู่กับการเติบโตทางธุรกิจ Carbon-Conscious Asset ปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ใช้พลังงานสะอาด เช่น ไฮโดรเจน การนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในกระบวนการผลิต รวมทั้งการนำคาร์บอนไดออกไซด์แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ (Carbon Capture and Utilization: CCU) เป็นต้น Coalition, Co-Creation, and Collective Efforts for All ประสานความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเป็นแกนหลักของประเทศในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีในการลดก๊าซเรือนกระจก โดยใช้เทคโนโลยีการดักจับและการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage: CCS) รวมถึงเพิ่มการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยวิธีทางธรรมชาติ ผ่านการปลูกและบำรุงรักษาป่า สำหรับรางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จด้านนวัตกรรม (SET Awards of Honor) ปตท. ได้รับจากการคว้ารางวัล Best Innovative Company Awards 4 ปีติดต่อกัน ได้แก่ ปี 2021 ได้รับรางวัลจากผลงานการพัฒนานวัตกรรมวัสดุปิดแผลไบโอเซลลูโลสคอมพอสิต Innaqua ปี 2022 ได้รับจากนวัตกรรม PTT EV Charger and Charging Platform ปี 2023 ได้รับจากผลงานตัวเร่งปฏิกิริยา PTT SCR และในปีนี้เป็นผลงานการพัฒนา “นวัตกรรมเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนไมโครสเกล หรือ PTT MicroHX” ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในนิคมอุตสาหกรรมด้วยการนำเอาพลังงานเหลือทิ้งในรูปแบบความร้อนหรือความเย็น หมุนเวียนกลับมาใช้ในกระบวนการ (Energy Recovery) ให้เกิดประโยชน์ สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและการปลดปล่อยคาร์บอนได้อย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมต่อสังคมและชุมชน ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันทั้งในระดับอุตสาหกรรมและระดับประเทศ อีกทั้งยังเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรแล้วจำนวนกว่า 40 สิทธิบัตร ใน 9 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมัน จีน เกาหลี ญี่ปุ่น มาเลเซีย เมียนมา และอินเดีย  ซึ่งในปัจจุบันมีการติดตั้งใช้งานเชิงพาณิชย์ที่โรงงานผลิตถุงมือยาง จังหวัดชลบุรี และบริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด (PTTLNG) เพื่อใช้ในโครงการ LNG Terminal 1 ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ปัจจุบันอยู่ระหว่างต่อยอดเชิงพาณิชย์ไปยังกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมทั้งในและนอกกลุ่ม ปตท. อีกด้วย           “ปตท. ขอขอบคุณนักวิเคราะห์ นักลงทุน ผู้ถือหุ้น และผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพและความสามารถในการดำเนินธุรกิจ ส่งผลให้ ปตท. ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในวันนี้ ซึ่งนับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งขององค์กรในฐานะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดย ปตท. พร้อมดำเนินธุรกิจด้านพลังงานและธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างครบวงจรภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี และดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างสมดุล เพื่อร่วมกันสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป” ดร.คงกระพัน กล่าว

[ภาพข่าว] กลุ่ม ปตท. เร่งฟื้นฟู บรรเทาทุกข์ผู้ประสบอุทกภัยเชียงใหม่

[ภาพข่าว] กลุ่ม ปตท. เร่งฟื้นฟู บรรเทาทุกข์ผู้ประสบอุทกภัยเชียงใหม่

           ชมรม PTT Group SEALs พร้อมด้วยตัวแทนจากชมรมพลังไทยใจอาสา ปตท. และโออาร์ ลงพื้นที่เร่งช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยทำการเคลื่อนย้ายสิ่งกีดขวางและสิ่งของภายในบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหาย พร้อมทั้งฟื้นฟูและทำความสะอาดพื้นที่ประสบภัย นอกจากนี้ ยังได้มอบถุงยังชีพจำนวนกว่า 560 ถุง ให้กับชุมชนรอบสถานประกอบการคลังน้ำมันเชียงใหม่ รวมทั้งอุปกรณ์ทำความสะอาด เช่น เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง ไม้ดันน้ำ น้ำยาทำความสะอาด แปรงขัด และถุงขยะ เพื่อให้ชุมชนสามารถทำความสะอาดเพิ่มเติมได้ด้วยตนเอง ปัจจุบันระดับน้ำในพื้นที่ส่วนใหญ่ลดลงเกือบทั้งหมด เหลือเพียงบางพื้นที่ที่ยังมีน้ำท่วมขังเล็กน้อย โดย กลุ่ม ปตท. ยังคงเดินหน้าฟื้นฟูและช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง เพื่อฟื้นคืนสภาพความเป็นอยู่ที่ดีแก่ประชาชน

บล.กรุงศรี มอง SET 1481 จุด PTT, CPALL, IVL เด่น

บล.กรุงศรี มอง SET 1481 จุด PTT, CPALL, IVL เด่น

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “Sideways/Up” ต้าน 1475/1481 จุด รับ 1460/1455 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แกว่งแคบ S&P500-0.21% หลังรายงานเงินเฟ้อ CPI สูงกว่าคาดเล็กน้อบ +2.4%y-y, 0.2%m-m แต่ลดลงจากเดือนก่อน ขณะที่ยอดผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกเร่ง +14.7%w-w แย่กว่าคาด ส่วนหนึ่งเป็นผลจากพายุเฮอริเคน ทำให้ภาพวงจรดอกเบี้ยขาลง และ US Soft Landing ยังเป็นบวกสินทรัพย์เสี่ยงโลก ฝั่งเอเชีย จีนรอติดตามมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมกระทรวงการคลังแถลง 12 ต.ค. และสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ปลายเดือน           ฝ่ายวิเคราะห์มองจะช่วยเปิด Upside เศรษฐกิจประเทศในภูมิภาค ภายใน 16 ต.ค. ติดตามประชุม กนง. Real Yield ที่เป็นบวก 14 เดือน เชิงกลยุทธ์เรามีโอกาสเห็นท่าทีDovish ขึ้น แม้น่าจะยังคงดอกเบี้ย ผสาน เม็ดเงินนักลงทุนสถาบันซื้อต่อเนื่อง 8 วัน ต่างชาติสลับซื้อพันธบัตร 2 วัน และ ต่างชาติ Long TFEX 6 วันติด มองหนุน SET หุ้นกลุ่มน้ำมัน (น้ำมัน +3.5% ความกังวลตะวันออกกลางที่กลับมา+พายุเข้าสหรัฐ+รัฐเตรียมเจรจาพื้นที่ ทับซ้อนทะเล) กลุ่มดอกเบี้ยขาลงหนุน (ค้าปลีก เช่าซื้อ หนี้สูง High Yield โรงไฟฟ้า) หุ้น China Plays วันนี้แนะ PTT, CPALL, IVL เด่น

PTT แจ้งยกเลิกกิจการ OPTEC

PTT แจ้งยกเลิกกิจการ OPTEC

          หุ้นวิชั่น - นางสาวพรรณนลิน มหาวงศ์ธิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของ บริษัท พีทีที แอนด์ ทีจีอีเอส ออปเทค จํากัด (OPTEC) ครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 ได้มีมติอนุมัติให้เลิกกิจการของ OPTEC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ปตท.ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 51 ผ่าน บริษัท สยาม แมนเนจเม้นท์ โฮลดิ้งจํากัด (SMH) (บริษัทย่อย ซึ ง ปตท. ถือหุ้นร้อยละ 100) ร่วมกับบริษัท Tokyo Gas Engineering Solutions Corporation(TGES) (บริษัทย่อย ซึ่ง Tokyo Gas Co., Ltd.ถือหุ้นร้อยละ 100) ที่ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 49           โดยได้ดําเนินการจดทะเบียนเลิกกิจการแล้วเสร็จ เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 ทั้งนี้ การเลิกกิจการ ของ OPTEC เป็นไปตามนโยบายของ ปตท.ในการปรับโครงสร้างการดําเนินธุรกิจ และไม่ส่งผลกระทบต่อการดําเนินงานของ ปตท. รายการดังกล่าวไม่ใช่รายการที่เกี่ยวโยงกันและขนาดของรายการไม่เข้าข่ายที่จะต้องรายงานสารสนเทศตามหลักเกณฑ์การได้มาและจําหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียน แต่เป็ นการได้มาหรือจําหน่ายไปซึ่งเงินลงทุนในบริษัทอื่น ซึ่งเป็นผลให้บริษัทอื่นนั้นมีสภาพหรือสิ้นสภาพ ในการเป็นบริษัทย่อยของบริษัทจดทะเบียนหรือของบริษัทย่อยนั้น ส่งผลให้ OPTEC สิ้นสภาพการเป็นบริษัทย่อยของ ปตท.

[PR News] กลุ่ม ปตท. ตอกย้ำทิศทาง 'ความยั่งยืนอย่างสมดุล' ในงาน Sustainability Expo 2024

[PR News] กลุ่ม ปตท. ตอกย้ำทิศทาง 'ความยั่งยืนอย่างสมดุล' ในงาน Sustainability Expo 2024

          ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกลุ่ม ปตท. ร่วมพิธีเปิดงาน Sustainability Expo มหกรรมด้านความยั่งยืน ครั้งที่ 5  จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 กันยายน – 6 ตุลาคม 2567 ณ  ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร           ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง กล่าวว่า “ปตท. ในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติ มุ่งดำเนินธุรกิจบนหลักการ “ความยั่งยืนอย่างสมดุล” ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี ภายใต้วิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน”  พร้อมเป็นผู้นำขับเคลื่อน ส่งเสริมแนวคิด สร้างแรงบันดาลใจ ให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญของการ ‘รวมพลังกันลงมือทำ’ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญต่อทุกชีวิตและสิ่งแวดล้อม ทำให้โลกใบนี้ดีขึ้นและยั่งยืน”           การจัดงานในครั้งนี้ กลุ่ม ปตท. ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง (Co-founder) ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร ได้จัดแสดงทิศทางและกลยุทธ์ของกลุ่ม ปตท. โดยนอกจากพันธกิจหลักในการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศแล้ว ปตท. ยังมุ่งบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี พ.ศ. 2593 หรือ ค.ศ. 2050 โดยมีการผสานการบริหารจัดการทั้งกลุ่ม ปตท. ผ่านแนวทาง C3 ได้แก่           Climate Resilience Business การปรับ Portfolio พิจารณาเรื่องการปลดปล่อยคาร์บอน (Carbon Emission) ควบคู่กับการเติบโตทางธุรกิจ           Carbon-Conscious Asset การปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ใช้พลังงานสะอาด อาทิ Hydrogen การนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในกระบวนการผลิต รวมทั้งการนำคาร์บอนไดออกไซด์แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ (Carbon Capture and Utilization: CCU)           Coalition, Co-Creation, and Collective Efforts for All ประสานความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเป็นแกนหลักของประเทศในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีในการลดก๊าซเรือนกระจก โดยใช้เทคโนโลยีการดักจับและการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage: CCS) รวมถึงการเพิ่มการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยวิธีทางธรรมชาติ ผ่านการปลูกและบำรุงรักษาป่า           อีกทั้งเป็นโอกาสให้เกิดเป็นธุรกิจใหม่ด้านการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Carbon Capture and Storage (CCS) และ ธุรกิจไฮโดรเจน (Hydrogen) ด้วย           นอกจากนี้ ภายในงาน กลุ่ม ปตท. ยังจัดกิจกรรมให้ผู้เยี่ยมชมงานได้ร่วมสนุกและสัมผัสประสบการณ์จริง อาทิ การโชว์เคสเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์จากบริษัทในกลุ่ม ปตท. อย่าง CCS บูธถ่ายรูปกิจกรรมรักษ์โลกของชาว GEN S คนเจนใหม่หัวใจยั่งยืน ตู้คีบตุ๊กตาก๊อดจิ (Godji) ลุ้นรับตุ๊กตา Godji Energy Hero limited edition เฉพาะงานนี้ อีกด้วย           อนึ่ง Sustainability Expo (SX 2024) มหกรรมด้านความยั่งยืน ถือเป็นมหกรรมความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก” (Sufficiency for Sustainability) ที่ตลอด 10 วันของการจัดงาน จะชวนทุกคนมาร่วมแลกเปลี่ยน เรียนรู้ จากผู้เชี่ยวชาญทั้งในประเทศ และต่างประเทศ อัพเดทเทรนด์ ไอเดีย เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงต้นแบบในการพัฒนาเมือง ชุนชนที่ยั่งยืน ผ่านการบรรยาย  เสวนา เวิร์กชอป นิทรรศการ ศิลปะ ตลอดจนอาหารแห่งอนาคต

ปตท. มอบรางวัลประกวดศิลปกรรม “พลังที่ส่งต่อ” ครั้งที่ 39  ส่งเสริมเวทีแห่งโอกาสด้านศิลปะ

ปตท. มอบรางวัลประกวดศิลปกรรม “พลังที่ส่งต่อ” ครั้งที่ 39 ส่งเสริมเวทีแห่งโอกาสด้านศิลปะ

          ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวดศิลปกรรม ปตท. ครั้งที่ 39 ประจำปี 2567 ในหัวข้อ “พลังที่ส่งต่อ” รวม 24 รางวัล และรางวัลประติมากรรมสื่อผสมจากวัสดุเหลือใช้ “ชลวิถี นทีพัฒน์” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 จำนวน 3 รางวัล เพื่อส่งต่อพลังใจให้กับศิลปินที่รังสรรค์ผลงาน ให้เติบโตเป็นบุคลากรชั้นนำในวงการศิลปะ           ดร.คงกระพัน กล่าวว่า ตลอด 39 ปีที่ผ่านมา ปตท. ร่วมกับมหาวิทยาลัยศิลปากร สนับสนุนเวทีแห่งโอกาสในการสร้างศิลปินรุ่นใหม่ผ่านโครงการประกวดศิลปกรรม เพื่อให้เยาวชนรวมถึงกลุ่มคนรักศิลปะได้สร้างสรรค์ผลงานทั้งประเภทจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ และทัศนศิลป์อื่น ๆ ซึ่งในปีนี้ได้กำหนดหัวข้อการประกวดคือ “พลังที่ส่งต่อ” เพื่อให้ศิลปินได้ถ่ายทอดผลงานที่จะสร้างกำลังใจและพลังให้กับคนไทยในการขับเคลื่อนประเทศและในปีนี้เป็นปีแรกที่เปิดรับผลงานประเภทดิจิทัลอาร์ต 2 มิติ โดยมีผู้ส่งผลงานเข้าประกวดทุกประเภทรวมทั้งสิ้น 1,126 ชิ้น จากศิลปิน 1,065 คน แบ่งเป็นรางวัลยอดเยี่ยม (PTT Art Grand Prize Award) และรางวัลดีเด่น (PTT Art Winner Awards) รวม 24 ผลงาน           นอกจากนี้ ปตท. ยังได้จัดการประกวดประติมากรรมสื่อผสมจากวัสดุเหลือใช้ 3 มิติ ภายใต้หัวข้อ “ชลวิถี นทีพัฒน์” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ที่ทรงสืบสาน รักษาและต่อยอด พระราชทานโครงการพัฒนาแหล่งน้ำแก่ราษฎร พัฒนาสายน้ำหลากหลายสายให้กลับคืนมาใช้ประโยชน์ได้อีกครั้ง เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีศิลปินร่วมส่งผลงาน 81 ราย รวมจำนวนผลงานแบบเดี่ยวและกลุ่ม 41 ชิ้น โดยได้คัดเลือกผู้ชนะจำนวน 3 รางวัล           การประกวดศิลปกรรม ปตท. นับเป็นหนึ่งใน Soft Power ที่ผ่านทัศนคติและการตัดสินจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของวงการศิลปะไทย ทั้งยังได้ร่วมพัฒนาวงการศิลปกรรมร่วมสมัยของประเทศ ด้วยการเผยแพร่ผลงานการประกวดต่อสาธารณชน เพื่อกระตุ้นให้เกิดความตระหนัก เข้าใจถึงความสำคัญในการร่วมสืบสาน และจรรโลงสังคมไทยให้มีวัฒนธรรมที่ดีงามและยั่งยืน โดย ปตท. ยังเชื่อมั่นว่าศิลปะจะช่วยพัฒนาศักยภาพของเยาวชนให้มีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อก้าวเป็นพลังไทยรุ่นใหม่ที่มีคุณค่าต่อสังคม           ทั้งนี้ ปตท. ขอเชิญชวนร่วมชื่นชมและให้กำลังใจ ผลงานของศิลปินที่ได้รังสรรค์ผ่านนิทรรศการ “พลังที่ส่งต่อ” ได้ที่ PTT Art Gallery ณ บ้านเจ้าพระยา ถ.พระอาทิตย์ กรุงเทพมหานคร ตลอดเดือนตุลาคม 2567 โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าชม

ปตท.-KBANK-ออร์บิกซ์ เทค ออกหุ้นกู้ Q-Bond ครั้งแรกในไทย ชูนวัตกรรมบล็อกเชน

ปตท.-KBANK-ออร์บิกซ์ เทค ออกหุ้นกู้ Q-Bond ครั้งแรกในไทย ชูนวัตกรรมบล็อกเชน

          ปตท. ผนึก กสิกรไทย - ออร์บิกซ์ เทค ออกหุ้นกู้ Q-Bond ครั้งแรกในไทย ชูนวัตกรรมบริหารจัดการหุ้นกู้ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน           วันนี้ (24 กันยายน 2567) – นางสาวพรรณนลิน มหาวงศ์ธิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (กลาง) พร้อมด้วย ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย (ซ้าย) และ นายญาณวิทย์ รักษ์ศรี กรรรมการผู้จัดการ บริษัท ออร์บิกซ์ เทคโนโลยี แอนด์ อินโนเวชั่น จำกัด (ออร์บิกซ์ เทค) (ขวา) ประกาศความสำเร็จจากการที่ ปตท. ออกและเสนอขายหุ้นกู้ Q-Bond รุ่นอายุ 1 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.38% มูลค่าการเสนอขายรวม 500 ล้านบาท โดยมีธนาคารกสิกรไทยเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย นายทะเบียน และผู้ลงทุน และมีออร์บิกซ์ เทค เป็นผู้พัฒนาและดูแลระบบแอปพลิเคชัน ภายใต้โครงการ Q-Bond (Bond data on Quarix chain) โดยเป็นการนำ Quarix Blockchain มาใช้ประกอบการทำธุรกรรมตราสารหนี้เป็นครั้งแรกของประเทศไทย ทั้งการจัดเก็บข้อมูล การคำนวณมูลค่าการจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นของตราสารหนี้ที่ผู้ลงทุนจะได้รับในวันครบกำหนดไถ่ถอน ผ่านระบบงาน Q-Bond ตลอดจนมีการนำเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Q-money) ใน Quarix Blockchain มาใช้ชำระมูลค่าตราสารหนี้ จ่ายคืนดอกเบี้ยและเงินต้น ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและขั้นตอนในการทำธุรกรรม รวมถึงทำให้การจัดเก็บข้อมูลมีความถูกต้อง ครบถ้วน รวดเร็ว และโปร่งใส นับเป็นความสำเร็จในการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินภายใต้กรอบ Regulatory Sandbox ของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่สะท้อนภาพการเป็นผู้นำในตลาดทุนของ ปตท. และเป็นก้าวสำคัญที่ภาคธุรกิจและภาคการเงินจับมือเป็นฟันเฟืองหลักในการพัฒนาตลาดทุนไทยให้เดินหน้าสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างทัดเทียมระดับสากลต่อไป

ดร.คงกระพัน ซีอีโอ ปตท. คว้ารางวัลสุดยอดผู้บริหารองค์กรแห่งปี 2024

ดร.คงกระพัน ซีอีโอ ปตท. คว้ารางวัลสุดยอดผู้บริหารองค์กรแห่งปี 2024

          วันนี้ (19 กันยายน 2567) - ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รับรางวัลเกียรติยศ “สุดยอดผู้บริหารองค์กรแห่งปี 2024” จากกองบรรณาธิการเดลินิวส์ ในงาน “DAILYNEWS TOP CEO OF THE YEAR 2024” เนื่องในวาระเดลินิวส์ครบรอบ 60 ปี โดยการมอบรางวัลดังกล่าว เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติผู้บริหารสูงสุดขององค์กรที่มีผลงานเด่นชัดในการบริหารธุรกิจ ซึ่ง ดร.คงกระพัน ผลักดันการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม ปตท. ภายใต้วิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” หรือ “TOGETHER FOR SUSTAINABLE THAILAND, SUSTAINABLE WORLD” เร่งสร้างความแข็งแรงและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในธุรกิจ โดยยึดมั่นภารกิจสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ให้เป็นที่ยอมรับและมีมาตรฐานระดับสากล สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทุกภาคส่วน พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ควบคู่กับการมุ่งบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ สู่การเติบโตขององค์กรในระดับโลกอย่างยั่งยืน           ทั้งนี้ ในงานดังกล่าวมีการมอบรางวัลรวม 25 รางวัล ให้กับผู้บริหารระดับสูงทั้งภาคเอกชน ภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ ที่ประกอบกิจการอุตสาหกรรมและกิจการบริการ ซึ่งทุกรางวัลผ่านการพิจารณาอย่างรอบด้าน อาทิ ความเป็นผู้นำ วิสัยทัศน์และความสามารถในการบริหารองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน การดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม เพื่อถ่ายทอดความรู้และกลยุทธ์ของผู้บริหารองค์กรที่ประสบความสำเร็จ และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้บริหารรุ่นใหม่ ซึ่งล้วนแต่เป็นรากฐานที่สำคัญของการพัฒนาประเทศไทยต่อไป