ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#PTT


20 หุ้นใหญ่ที่ต่างชาติทุบ

20 หุ้นใหญ่ที่ต่างชาติทุบ

          หุ้นวิชั่น - จากข้อมูลสถิติตลาดหุ้นไทยในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ถูกนักลงทุนต่างชาติขายกดหนักมาโดยตลอด  จนกระทั้งหลายบริษัทเริ่มเข้าโครงการซื้อหุ้นคืนกันเป็นทิวแถว             ล่าสุด HMPRO ก็ทนไม่ไหว ประกาศซื้อหุ้นคืนตาม PTT  ด้วยวงเงินจำนวน 7,000 ล้านบาท  ซื้อหุ้นคืนจำนวนไม่เกิน 800 ล้านหุ้น หรือ 6% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด  คิดเป็นราคาเฉลี่ย 8.75 บาทต่อหุ้น มีระยะเวลาซื้อคืนตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 30 กันยายน 2568 และราคาที่ซื้อคืนจะต้องไม่มากกว่า 115% ของราคาปิดของหุ้นเฉลี่ย 5 วันทำการก่อนหน้าการซื้อขาย           ใน 3 ปีที่ผ่านมา SET INDEX ปรับตัวลงทุกปี รวมแล้วลบมา 484 จุด หรือ 29% นั้นคือ ปี 2023 -15% , 2024 -1.1%,2025YTD -15.4% เกิดจากต่างชาติ มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากขึ้น  โดยปัจจัยมีสัดส่วนการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยสูงถึง53.8% ซึ่งส่วนทางกับนักลงทุนรายย่อยที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นน้อยลงเรื่อยๆ โดยปัจจุบันมีสัดส่วนการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเพียง 29.1%           ซึ่งการที่ SET ปรับตัวลงแรงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากการถูกต่างชาติขายสุทธิอย่างหนักหน่วง โดยต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยหนักทุกปี รวม -3.77 แสนล้านบาท สวนทางกับนักลงทุนไทยที่ค่อยๆ เข้ามาสะสมหุ้นถึง 2.65 แสนล้านบาท ทำให้นักลงทุนในประเทศเกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง (ข้อมูล บล.เอเซีย พลัส )           จากประเด็นดังกล่าวทำให้ SET ผันผวนในช่วงที่ผ่านมา และกดดันให้เม็ดเงินส่วนหนึ่งของนักลงทุนไทยออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น ดูจากยอด FCD ของไทย พุ่ง ATH แตะ 2.63 หมื่นล้านเหรียญ (ในยามที่ดอกเบี้ยประเทศอื่นสูงกว่าไทย)           และหากพิจารณาเป็นรายหุ้น จะเห็นได้ว่า มี 20 หุ้นขนาดใหญ่ ที่ถูกต่างชาติขายหนัก ตั้งแต่ปี 2023-ถึงปัจจุบัน ประกอบด้วย 10 หุ้นแรก คือ  DELTA – CPALL- AWC- PTTEP – AOT-CPN-BTS-TISCO-TIDLOR และ TOP  ส่วนอีก 10 หุ้นหลังที่ต่างชาติขายหนัก PTT-SCC-BANPU-PTTGC-LH-HMPRO-SJWD-EA-BDMS และHANA             ทุกวิกฤติย่อมมีโอกาสเสมอ บล.เอเซีย พลัส แนะ กลยุทธ์ให้นักลงทุน หลบความผันผวนกับหุ้นปันผล หลังSET มี DIVIDEND YIELD สูง เป็นอันดับต้นๆ ของโลก จากแรงขายของต่างชาติที่มีมาตลอด 3 ปี กว่า 3.8 แสนล้านบาท ทุบดัชนีหุ้นดิ่งมาเกือบ 500 จุด  จนมี VALUATION ที่ถูกมาก โดยมี PBV 1.13 เท่า มี DIVIDEND YIELD 4.3% ขณะที่ SETHD มี DIVIDEND YIELD สูงถึง 6.6 %           แม้ว่าตลาดหุ้นไทยยังถูกปัจจัย TRADE WAR กดดัน ทำให้ขยับขึ้นยาก ดังนั้นเพื่อหลบความผันผวน  แนะนำทยอยสะสมหุ้น VALUATION ถูก ปันผลสูง SPALI,AP,SCC,PTTEP และหุ้น MEGA TREND ปันผลมีโอกาสค่อยๆสูงขึ้น CPALL,BH,ITCและWHA             มาที่ TOP ล่าสุด บริษัท Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd. และ Saipem Singapore Pte. Ltd. 2 ใน 3 บริษัทร่วมทุนของ Unincorporated Joint Venture (UJV) ได้เริ่มกระบวนการอนุญาโตตุลาการกับ TOP ต่อ Singapore International Arbitration Centre โดย Samsung และ Saipem ได้ฟ้องร้องถึงการใช้สิทธิของ TOP ในการบังคับหลักประกันของ UJV มูลค่า USD 358 ล้าน ตามที่ TOP ได้แจ้ง SET เมื่อวันที่ 24 ม.ค.68           โดยทั้ง 2 บริษัทได้อ้างถึงการใช้สิทธิบังคับหลักประกันดังกล่าวของ TOP เป็นการใช้สิทธิก่อนถึงกำหนดเวลาและเป็นการดำเนินการที่ไม่สมควร อีกทั้งยังได้เรียกร้องค่าเสียหายกับ TOP สำหรับความเสียหายซึ่งยังมิได้มีการระบุรายละเอียด           บล. ดาโอ มุมมองเป็นลบเล็กน้อย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความคืบหน้าในการดำเนินโครงการ Clean Fuel Project (CFP) อย่างไรก็ตาม TOP ได้ยืนยันถึงการปฏิบัติตามข้อบังคับกับ UJV อย่างเคร่งครัด  ทั้งนี้ ต้องรอดูผลการพิจารณาของศาลต่อคดีนี้ต่อไป ถึงจะประเมินได้ว่าจะส่งผลกระทบต่องบการเงินของ TOP หรือไม่ ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายปี2568ที่ 36.00 บาท อิง PBV เป้าหมายที่ 0.47x   การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ข่าวหัวม่วง By ทีมงานหุ้นวิชั่น     

PTT ตัวตึงซื้อหุ้นคืน  2 วัน ทุ่ม 1,281 ลบ. ราคาแกร่ง

PTT ตัวตึงซื้อหุ้นคืน 2 วัน ทุ่ม 1,281 ลบ. ราคาแกร่ง

หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) ราคาหุ้นเริ่มขยับขึ้นมาต่อเนื่อง หลังจากที่มีประกาศซื้อหุ้นคืน โดยวันแรก วันที่ 24 มี.ค.68 ปรับตัวขึ้น 1.57% โดยมีราคาปิดอยู่ที่ 32.25 บาท และในวันที่ 25 มี.ค.68 ปรับตัวขึ้น 0.78% มีราคาปิดอยู่ที่ 32.50 บาท และล่าสุด เช้าวันนี้ (26 มี.ค.68) ราคาหุ้นก็ขยับขึ้นต่อเนื่อง บวก 0.77% มาอยู่ที่ 32.75 บาท ซึ่งเป็นราคาสูงสุด สำหรับ PTT หลังจากได้มีการประกาศซื้อหุ้นคืนเพื่อการบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) ภายในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 16,000 ล้านบาท และจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 470 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 1.65% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด โดยวิธีจับคู่อัตโนมัติผ่านระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯ (Automatic Order Matching : AOM) และมีกำหนดระยะเวลาซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 24 มี.ค.68 ถึงวันที่ 23 ก.ย.68               ทั้งนี้ราคาที่ซื้อคืนจะไม่เกินกว่าราคาปิดของหุ้นเฉลี่ย 5 วันทำการซื้อขายก่อนหน้าวันที่ทำการซื้อขายแต่ละครั้ง บวกด้วยจำนวนร้อยละ 15 ของราคาปิดเฉลี่ยดังกล่าว และเพื่อประกอบการพิจารณาราคาหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ.68 ถึงวันที่ 19 มี.ค.68 เท่ากับ 30.33 บาท/หุ้น วันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา ถือเป็นวันแรกที่ PTT ได้มีการซื้อหุ้นคืน โดยได้รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า มีการซื้อหุ้นคืนจำนวน 18.30 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.06% ของจำนวนหุ้นซื้อคืนต่อจำนวนหุ้นที่ชำระแล้ว โดยซื้อหุ้นที่ราคาสูงสุด 32.25 บาท/หุ้น และราคาต่ำสุด 31.50 บาท/หุ้น ใช้วงเงินในการซื้อคืนรวม 585.05 ล้านบาท และวันที่ 25 มี.ค.68 PTT มีการซื้อหุ้นคืนจำนวน 21.50 ล้านหุ้น โดยซื้อหุ้นที่ราคาสูงสุด 32.50 บาท/หุ้น และราคาต่ำสุด 32.25 บาท/หุ้น ใช้วงเงินในการซื้อคืนรวม 696.08 ล้านบาท ส่งผลให้จำนวนรวมของหุ้นซื้อคืนในโครงการจนถึงปัจจุบัน อยู่ที่ 39.80 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.14% และใช้วงเงินในการซื้อคืนรวมทั้งสิ้น 1,281.13 ล้านบาท

หุ้นไทยไร้ทิศ-รออะไร

หุ้นไทยไร้ทิศ-รออะไร

          หุ้นวิชั่น - การลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังไร้ทิศทาง ขาดปัจจัยบวกเข้ามากระตุ้น ส่วนใหญ่เฝ้ารอดูสถานการณ์มากกว่าเข้าไปซื้อขาย แม้ว่าราคาหุ้นในกระดานจะลงมามากแล้วก็ตาม เพราะนักลงทุนยังมีความกังวล ทั้งปัจจัยการเมือง ที่วันนี้ มาลุ้นผลการลงคะแนนโหวต การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล รอบนี้ต่อตัว นายกรัฐมนตรี ที่คาดว่า น่าจะผ่านไปได้ แต่คงต้องดูแรงกระเพื่อม ต่อเสถียรภาพรัฐบาลต่อไปว่า จะมีมากน้อยแค่ไหน              การเมือง คือ เรื่องผลประโยชน์ ขึ้นอยู่กับว่า ผลประโยชน์นั้น จะอยู่ข้างประชาชนคนเดินดิน หรืออยู่กับกลุ่มผู้มีอำนาจ คงต้องจับตากันต่อไป           PTT ตัวจริงเสียงจริงของหุ้นใหญ่ ที่เริ่มเดินหน้าซื้อหุ้นคืน ไม้แรกซื้อไปแล้ว  18.3 ล้านหุ้น รวมมูลค่าทั้งสิ้น 585 ล้านบาท จากวงเงินที่มีอำนาจซื้อไม่เกิน 1.6 หมื่นล้านบาท หรือ 470 ล้านหุ้น ยังเหลือทุนซื้อหุ้นคืนเต็มหน้าตัก จับตากันยาวๆ ลุยกันต่ออีกไกล           ทั้งนี้ การซื้อหุ้นคืนเมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2568  มีราคาที่ซื้อต่อหุ้นสูงสุดที่  32.25 บาท และราคาต่ำสุดที่ 31.50  บาท           ล่าสุดวานนี้(25 มี.ค. 68)  ราคาหุ้น PTT ยังแข็งแกร่งบวกสวนตลาด โดยมาปิดที่ 32.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือ 0.78% ด้วยมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 1.77 พันล้านบาท   ด้วยพลังของการซื้อหุ้นคืน           ต้องขอขอบคุณ คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ที่มีมติปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ราคาขายปลีกกลุ่มน้ำมันเบนซินและดีเซลลดลง  1 บาทต่อลิตร  โดยแบ่งเป็น 2 ระยะ ครั้งละ  50 สตางค์ต่อลิตร  ครั้งแรกในวันที่ 28 มี.ค.2025 และอีกครั้งในวันที่ 4 เม.ย.2025 เพื่อบรรเทาค่าครองชีพรองรับการกลับภูมิลำเนา การท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์           บล.ดาโอ มีมุมมองว่า การปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลน่าจะส่งผลบวกต่ออุปสงค์การใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันในระยะสั้น สำหรับภาพรวมระยะกลางถึงยาว เชื่อว่าจะมีผลกระทบที่จำกัดเนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ดี เชื่อว่ากลุ่มค้าปลีกน้ำมันน่าจะได้ประโยชน์จากแนวโน้มค่าการตลาด (marketing margin) ที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นหลังจากแตะระดับต่ำในเดือน ม.ค.2568           มองหุ้น OR เชื่อว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาที่ผ่านมาถึง 38% ในรอบ 6 เดือน  ได้สะท้อนปัจจัยเสี่ยงไปมากแล้ว ราคาปัจจุบันจะสะท้อน 2025E PER ที่ไม่แพงที่ 14.7x (ประมาณ -3.3SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PER 5 ปีย้อนหลังของกลุ่มค้าปลีก) อีกทั้งคาดว่า ระดับราคาน้ำมันที่ต่ำในปัจจุบันน่าจะช่วยลดความกดดันจาก regulatory risk ที่เป็นไปได้อีกด้วย เคาะราคาพื้นฐาน 12.50 บาท           ล่าสุด OR ปิดที่ 10.50 บาท ลดลง 0.20 บาท หรือคิดเป็น1.87 % มีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 139 ล้านบาท             ขณะที่ PTG (ถือ/เป้า 8.50 บาท) คงมุมมองเชิงระมัดระวังจากความไม่แน่นอนจากการแทรกแซงจากภาครัฐแม้ผ่อนคลายลง แต่การปรับ marketing margin อาจต้องรอดูใน 2H25E ว่าจะทำให้ภาพรวมทั้งปีกลับมาฟื้นตัวได้หรือไม่           ส่วน BCP (ถือ/เป้า 34.00 บาท) เชื่อว่าบริษัทน่าจะเห็นกำไรที่อ่อนตัวในไตรมาส 1 ปี 2568 เมื่อเทียบกับปีก่อน  ตามแนวโน้มส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) ที่อ่อนตัว อีกทั้ง ประเด็นการเพิ่มทุนของบริษัทอาจจะเป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้นในระยะสั้น           วกมาที่ BGRIM ยังคงเดินหน้าพลังงานสีเขียวข้ามชาติเต็มสูบ ล่าสุดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 14 เมกะวัตต์ในประเทศญี่ปุ่น โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ดังกล่าว ตั้งอยู่ในเขตนิชิชิราคาวะ จังหวัดฟุกุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น           BGRIM มุ่งขยายพอร์ตการลงทุนโครงการพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่องในประเทศญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี สหรัฐอเมริกา ประเทศไทย และในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ยุโรป และตะวันออกกลาง พร้อมหาโอกาสการลงทุนในประเทศที่มีการสนับสนุนจากนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตของ BGRIM           ถ้าพิจารณาราคาหุ้น BGRIM ถือว่าบาดใจนักลงทุนเหลือเกิน เพราะสวนทางกับการขยายงานและความตั้งใจของผู้บริหาร ล่าสุดหุ้นมีพี/อี 18 กว่าเท่า และเชื่อว่า ผู้บริหารมิได้นิ่งนอนใจกับราคาหุ้นที่ดิ่งลงในรอบนี้ การซื้อหุ้นคืน เป็นทางเลือกหนึ่งที่ผู้บริหารกำลังพิจารณาตัดสินใจ ชั่งน้ำหนักด้วยเหตุผล ว่าคุ้มกันหรือไม่ กับการใช้เงินไปซื้อหุ้นคืน หรือว่านำเม็ดเงินดังกล่าวไปลงทุนในกิจการที่มีศักยภาพ           ราคาหุ้น BGRIM ล่าสุดปิดที่ 10.80 บาท ลดลง 0.10 บาท หรือ คิดเป็น 0.92% มีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 120.62 ล้านบาท           ส่องหุ้นคาราบาวแดง หรือ  CBG นักวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป คาดรายได้จากสุราข้าวหอมในไตรมาส 1 ปี2568สดใส ส่วนเบียร์ตะวันแดงยังมีแนวโน้มขยายตัว ด้านยอดขายรวม  อาจอ่อนตัวจากไตรมาสก่อนหน้านี้    ขณะที่ในประเทศ Traditional Trade แตะ 28.1% ทำสถิติสูงสุดใหม่ ต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงหนุน 1Q68 GPM คาดเพิ่มขึ้น 200 bps QoQ และ YoY  คาดยอดขายปี 68 ที่ 24,954 ลบ. +18.1% และกำไรสุทธิ 3,421 ลบ. +20.3% โดยมีแรงหนุนจากต้นทุนที่ลดลงและมาตรการลด ค่าใช้จ่าย เคาะราคาพื้นฐานปีนี้ 79.50 บาท การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ข่าวหัวม่วง By ทีมงานหุ้นวิชั่น     

PTT ตัวจริงซื้อหุ้นคืน เคาะซื้อแล้ว ราคาเท่าไร เช็กดู!

PTT ตัวจริงซื้อหุ้นคืน เคาะซื้อแล้ว ราคาเท่าไร เช็กดู!

          หุ้นวิชั่น- PTT เดินหน้าเคาะซื้อหุ้นคืนไม้แรกแล้ว ประเดิมที่ 18.3 ล้านหุ้น รวมมูลค่าทั้งสิ้น 585.05 ล้านบาท จากวงเงินที่มีอำนาจซื้อไม่เกิน 1.6 หมื่นล้านบาท หรือ 470 ล้านหุ้น ยังเหลือทุนซื้อหุ้นคืนเต็มหน้าตัก จับตากันยาวๆ ลุยกันต่ออีกไกล           นางสาวภัทรลดา สง่าแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน กรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อแทนบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT แจ้งว่า ผลการซื้อหุ้นคืนกรณีเพื่อการบริหารทางการเงิน วันที่ 24 มี.ค. 2568 โดยซื้อหุ้นคืนผ่านตลาดหลักทรัพย์ วันที่ครบกำหนดโครงการ วันที่ 23 ก.ย. 2568 ซึ่งเป็นโครงการซื้อหุ้นคืน ตามที่คณะกรรมการมีมติ เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2568 จำนวนหุ้นซื้อคืนสูงสุดตามโครงการ 470,000,000 หุ้น หรือ 1.65 %ของจำนวนหุ้นที่ชำระแล้ว           ผลการซื้อหุ้นคืน วันที่ 24 มี.ค. 2568 จำนวนหุ้นซื้อคืนทั้งสิ้น 18,300,000 หุ้น ราคาที่ซื้อต่อหุ้นหรือราคาสูงสุด(บาท/หุ้น) ที่ 32.25 และ ราคาต่ำสุด(บาท/หุ้น) ที่ 31.50 มูลค่ารวม 585,050,000.00 บาท           ก่อนหน้านี้ นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ("ตลท.") ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ปตท. ครั้งที่ 3/2568 เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 ได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) ภายในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 16,000 ล้านบาท และจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 470 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 1.65 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด           โดยวิธีจับคู่อัตโนมัติผ่านระบบการซื้อขายของ ตลท. (Automatic Order Matching: AOM) และมีกำหนดระยะเวลาซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2568 ถึงวันที่ 23 กันยายน 2568           ทั้งนี้ ราคาหุ้นที่จะซื้อหุ้นคืนจะไม่เกินราคาปิดของหุ้นเฉลี่ย 5 วันทำการซื้อขายก่อนหน้าวันที่ทำการซื้อขายแต่ละครั้ง บวกด้วย 15% ของราคาปิดเฉลี่ยดังกล่าว และเพื่อประกอบการพิจารณาราคาหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ. 2568 ถึง 19 มี.ค. 2568 เท่ากับ 30.33 บาทต่อหุ้น (ราคาปิดเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วัน)            นายคงกระพันระบุว่า เหตุผลในการซื้อหุ้นคืนครั้งนี้ 1. เพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัทอย่างมีประสิทธิภาพ 2. เพิ่มอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) และ 3. เป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ลงทุน และผู้ถือหุ้นถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ข่าวหัวม่วง by ทีมงาน หุ้นวิชั่น

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

PTT จุดกระแสซื้อหุ้นคืน ลุ้นบิ๊กแคปตัวอื่นเปิดเกม

PTT จุดกระแสซื้อหุ้นคืน ลุ้นบิ๊กแคปตัวอื่นเปิดเกม

           หุ้นวิชั่น - PTT จุดกระแสซื้อหุ้นคืน หลัง PTT จุดกระแสด้วยวงเงิน 1.6 หมื่นล้านบาท โบรกฯ ชี้ Big Cap หุ้น Big Cap หลักๆในกลุ่มพลังงาน ธนาคาร ปิโตรเคมีที่มีโอกาสเห็นการซื้อคืนระยะถัดไป อาทิ SCB, KBANK, KTB , BBL, PTTGC, TOP, BCP หนุนราคาหุ้น-เพิ่มอัตราตอบแทนผู้ถือหุ้น            นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (“ปตท.”) หรือ PTT แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลท.”) ว่า  ที่ประชุมคณะกรรมการ ปตท. ครั้งที่ 3/2568 เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 ได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) ภายในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 16,000 ล้านบาท และจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 470 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 1.65 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดโดยวิธีจับคู่อัตโนมัติผ่านระบบการซื้อขายของ ตลท. (Automatic Order Matching: AOM) และมีกำหนดระยะเวลาซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2568 ถึงวันที่ 23 กันยายน 2568            กรอบราคาซื้อคืน ทั้งนี้ ราคาหุ้นที่จะซื้อหุ้นคืนจะไม่เกินราคาปิดของหุ้นเฉลี่ย 5 วันทำการซื้อขายก่อนหน้าวันที่ทำการซื้อขายแต่ละครั้ง บวกด้วย 15% ของราคาปิดเฉลี่ยดังกล่าว และเพื่อประกอบการพิจารณาราคาหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ. 2568 ถึง 19 มี.ค. 2568 เท่ากับ 30.33 บาทต่อหุ้น (ราคาปิดเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วัน)            เหตุผลซื้อหุ้นคืน  นายคงกระพันระบุว่า เหตุผลในการซื้อหุ้นคืนครั้งนี้ 1. เพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัทอย่างมีประสิทธิภาพ  2. เพิ่มอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE)  และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) และ 3. เป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ลงทุน และผู้ถือหุ้นถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และความสามารถในการทำกำไรของบริษัท            ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุถึง  PTT ว่า ถือเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ในการพยุงราคาหุ้น ผ่านการส่งสัญญาณของ PTT ว่าราคาหุ้นในปัจจุบันต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง และยังสะท้อนความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของบริษัทอีกทั้งยังเป็นการแสดงถึงฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของ PTT ภายใต้เงินสด ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2567 ซึ่งมีอยู่ราว 120,000 ล้านบาท รวมกับกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (CFO) ที่คาดว่าจะได้รับในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ราว 64,000 ล้านบาท ขณะที่มีภาระหนี้สินที่จะถึงกำหนดชำระภายใน 6 เดือนประมาณ 84,000 ล้านบาท            เมื่อ PTT ดำเนินการซื้อหุ้นคืน จำนวนหุ้นในตลาดจะลดลง ส่งผลให้ กำไรต่อหุ้น (EPS) และ เงินปันผลต่อหุ้น (DPS) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น            โครงการซื้อหุ้นคืนถือเป็น Sentiment เชิงบวก ต่อราคาหุ้น ประกอบกับปัจจัยพื้นฐานของ PTT ยังคงแข็งแกร่ง โดยทิศทางกำไรในปี 2568 มีแนวโน้ม ประคองตัวในระดับสูงกว่าปีก่อน (YoY) ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของ PTT ที่สามารถ กระจายความเสี่ยงของพอร์ตธุรกิจ (Diversified Portfolio) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีธุรกิจที่มีกำไรดีขึ้นเข้ามาช่วย ชดเชย (offset) ธุรกิจที่มีกำไรชะลอลงได้ นอกจากนี้ยังมีความโดดเด่นในด้าน เงินปันผล โดยมี Dividend Yield เฉลี่ยต่อปี เกือบ 7% ต่อปี (p.a.)            อีกทั้ง PTT ยังเป็นบริษัทที่มีความแข็งแกร่งทางการเงิน โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำเพียง 0.4 เท่า และมี กระแสเงินสด (Cash Flow) ในระดับสูงในระยะสั้น มีการปรับเพิ่มคำแนะนำหุ้น PTT จาก “Neutral” เป็น “Outperform”            บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า จับตากระแสการซื้อหุ้นซื้อคืนกลับมาคึกคักขึ้น หลัง PTT ประกาศโครงการซื้อหุ้น คืนเพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) วงเงินสูงสุดไม่เกิน 16,000 ลบ. และจำนวนหุ้นซื้อคืน ไม่เกิน 470 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 1.65% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด (implied ราคาหุ้น ซื้อคืนราว 34 บาท/หุ้น) หลังจากนี้ คาดตลาดมีโอกาสเก็งกำไรหุ้น Big Cap ที่มีศักยภาพดำเนินการได้ อิงรายงานกลยุทธ์ “โอกาสลงทุนจากกระแสหุ้นทุนซื้อคืน” ที่ฝ่ายวิจัยออกวันที่ 29 มีนาคม 2525 ซึ่งพบว่า มีหุ้น Big Cap หลักๆในกลุ่มพลังงาน ธนาคาร ปิโตรเคมีที่มีโอกาสเห็นการซื้อคืนระยะถัดไป อาทิ SCB, KBANK, KTB , BBL, PTTGC, TOP, BCP            นอกจาก PTT, TTB ที่ประกาศ โครงการดังกล่าว รวมถึงหุ้นธนาคารส่วนใหญ่ที่ปรับเพิ่มอัตราจ่ายเงินปันผลไปแล้ว รอติดตามหุ้นที่ยังประกาศในส่วน BCP, PTTGC, TOP

ปตท. -GPSC - Solar PPM ติดตั้งไฟฟ้า พลังงานแสงอาทิตย์ ณ วัดสระเกศฯ

ปตท. -GPSC - Solar PPM ติดตั้งไฟฟ้า พลังงานแสงอาทิตย์ ณ วัดสระเกศฯ

เมื่อเร็วๆนี้ - ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) หรือ PTT พร้อมด้วย นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) และนายกฤษณ์ พรพิไลลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โซลาร์ พีพีเอ็ม จำกัด (Solar PPM) ร่วมถวายระบบ Solar Rooftop ขนาด 100 กิโลวัตต์ แด่พระเดชพระคุณพระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร (วัดภูเขาทอง) เพื่อปรับปรุงระบบไฟฟ้าของวัดให้เป็นระบบไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ สำหรับใช้งานภายในอาคารบำเพ็ญกุศล 1-2 และเมรุ โดยสามารถลดค่าไฟฟ้าของวัดได้ถึงร้อยละ 50 ภายใน 1 เดือน นับเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายให้แก่วัดและเป็นการสนับสนุนเพื่อสาธารณประโยชน์ให้แก่วัดและชุมชนในพื้นที่อีกด้วย

เช็กด่วน! PTTแจงเหตุ “ซื้อหุ้นคืน”  ใช้ราคาเฉลี่ยเท่าไร ก่อนตัดสินใจ  

เช็กด่วน! PTTแจงเหตุ “ซื้อหุ้นคืน” ใช้ราคาเฉลี่ยเท่าไร ก่อนตัดสินใจ  

               หุ้นวิชั่น- วิเคราะห์เบื้องหลัง PTT ซื้อหุ้นคืน ที่ประชุมเปิดข้อมูลราคาซื้อขายเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วัน ที่ 30.33 บาทต่อหุ้น เพื่อประกอบการพิจารณาตัดสินใจ ก่อนกำหนดวงเงิน 16,000 ล้าน รวมถึงเหตุผล 3 ข้อ ในการซื้อหุ้นครั้งนี้                 นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ("ปตท.") หรือ PTT แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ("ตลท.") ว่า  ที่ประชุมคณะกรรมการ ปตท. ครั้งที่ 3/2568 เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 ได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) ภายในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 16,000 ล้านบาท และจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 470 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 1.65 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด โดยวิธีจับคู่อัตโนมัติผ่านระบบการซื้อขายของ ตลท. (Automatic Order Matching: AOM) และมีกำหนดระยะเวลาซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2568 ถึงวันที่ 23 กันยายน 2568 กรอบราคาซื้อคืน                ทั้งนี้ ราคาหุ้นที่จะซื้อหุ้นคืนจะไม่เกินราคาปิดของหุ้นเฉลี่ย 5 วันทำการซื้อขายก่อนหน้าวันที่ทำการซื้อขายแต่ละครั้ง บวกด้วย 15% ของราคาปิดเฉลี่ยดังกล่าว และเพื่อประกอบการพิจารณาราคาหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ. 2568 ถึง 19 มี.ค. 2568 เท่ากับ 30.33 บาทต่อหุ้น (ราคาปิดเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วัน) เหตุผลซื้อหุ้นคืน                นายคงกระพันระบุว่า เหตุผลในการซื้อหุ้นคืนครั้งนี้ 1. เพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัทอย่างมีประสิทธิภาพ  2. เพิ่มอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE)  และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) และ 3. เป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ลงทุน และผู้ถือหุ้นถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และความสามารถในการทำกำไรของบริษัท

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

PTT พุ่ง 4.20% ยืน 31 บ. รับ yield เกิน 7%

PTT พุ่ง 4.20% ยืน 31 บ. รับ yield เกิน 7%

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายเบญจพล สุทธิ์วนิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้นของ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) (PTT) ที่ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 31 บาท/หุ้น +4.20% คาดเป็นเรื่องของ Yield เป็นหลัก โดย Bond Yield สหรัฐปรับลดลงจากธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed ลดดอกเบี้ย 2 ครั้งตามคาดการณ์ ส่งผลให้ PTT ที่ราคาหุ้นปรับตัวลงไปต่ำกว่า 30 บาท yield จึงมากกว่า 7%

‘ซีพี แอ็กซ์ตร้า’ x ‘กลุ่ม ปตท.’  เปิดตัว “AXTRA Green Together”

‘ซีพี แอ็กซ์ตร้า’ x ‘กลุ่ม ปตท.’ เปิดตัว “AXTRA Green Together”

           บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT ผู้ดำเนินธุรกิจ “แม็คโคร-โลตัส” ร่วมกับ กลุ่ม ปตท. นำโดย บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  หรือ PTT โดยโครงการบริหารการสร้างประโยชน์ร่วมธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น (Petrochemical and Refining Integrated Synergy Management ; PRISM) เปิดตัวโครงการ “AXTRA Green Together” ขับเคลื่อนการจัดการขยะและส่งเสริมให้คนไทยมีส่วนร่วมในการลดปัญหาขยะพลาสติกอย่างยั่งยืน ตอกย้ำความมุ่งมั่นสู่ผู้นำด้านการจัดการขยะในประเทศไทย โดยจัดตั้งจุดรับขวดพลาสติกใช้แล้ว (PET) ที่แม็คโครและโลตัส ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งจะนำขวดพลาสติก PET เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลและอัพไซคลิ่งด้วยระบบบริหารจัดการแบบครบวงจรผ่าน GC YOUเทิร์น แพลตฟอร์ม เพื่อสร้างคุณค่าเปลี่ยนเป็นเสื้อกีฬา และมอบให้กับเยาวชนในโรงเรียนทั่วไทย โครงการนี้ไม่เพียงช่วยลดปริมาณขยะพลาสติก ยังเป็นการร่วมเฉลิมฉลอง  วันรีไซเคิลโลก พร้อมปลุกจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม สอดคล้องเป้าหมายของ ซีพี แอ็กซ์ตร้า ในการลดขยะสู่หลุมฝังกลบให้เป็นศูนย์ภายในปี 2573 และเป้าหมายของกลุ่ม ปตท. ในการมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission)            นางศิริพร เดชสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบภายใต้หลัก ESG “ที่ ซีพี แอ็กซ์ตร้า เราให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ครอบคลุมทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล โดยหนึ่งในเป้าหมายหลักของเรา คือ การส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ผ่านการลดการทิ้งขยะสู่หลุมฝังกลบ ซึ่งรวมถึงบรรจุภัณฑ์พลาสติก สำหรับโครงการ ‘AXTRA Green Together’ เราตั้งเป้ารวบรวมขวดพลาสติกให้ได้ 1,400,000 ขวด เพื่อนำมาสร้างมูลค่าเพิ่ม และนำกลับมาเป็นเสื้อกีฬา อัพไซเคิล มอบให้กับเยาวชนทั่วประเทศ เราเชื่อว่าความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจะเป็นพลังสำคัญในการลดปริมาณขยะ บรรเทาภาวะโลกร้อน และสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อโลกที่ยั่งยืน”            นางชนัญชิดา วิบูลคณารักษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานกลยุทธ์องค์กร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC กล่าวว่า  “GC มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้ามาสนับสนุนโครงการ “AXTRA Green Together” นับเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือสำคัญในการสร้างจิตสำนึก ส่งเสริมพฤติกรรมคัดแยกขยะอย่างถูกต้อง ช่วยลดปริมาณขยะจากต้นทาง ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) กิจกรรมครั้งนี้ ได้นำ GC YOUเทิร์น ระบบการบริหารจัดการพลาสติกใช้แล้วครบวงจรเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ AXTRA Green Together ในการส่งขวดพลาสติก PET ใช้แล้ว เข้าสู่ระบบรีไซเคิลอย่างถูกวิธี ซึ่งการขนส่งนั้น ได้ความร่วมมือจาก บริษัท เวสท์บาย เดลิเวอรี่ จำกัด (WasteBuy Delivery) ผู้ดำเนินธุรกิจด้าน            โลจิสติกส์จัดการขยะรีไซเคิล หนึ่งในพันธมิตรของ GC YOUเทิร์น เข้ามามีส่วนร่วมในการขนส่งขวดพลาสติก PET ใช้แล้วจากสาขาแม็คโครและโลตัส ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล กลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลมาตรฐานสูงผ่านบริษัท เอ็นวิคโค จำกัด ผู้ผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล rPET และ rHDPE มาตรฐานโลกของ GC” โครงการ AXTRA Green Together สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ ซีพี แอ็กซ์ตร้า ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจ ชุมชน และประชาชนทั่วไป เพื่อร่วมกันดูแลสิ่งแวดล้อมและผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างยั่งยืน ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ง่ายๆ เพียงนำขวดพลาสติก PET ใช้แล้วมาทิ้งที่จุดรับขวดที่แม็คโครและโลตัส ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป [PR News]

วิชั่น “ดร.คงกระพัน” สร้างมูลค่าเพิ่ม PTT

วิชั่น “ดร.คงกระพัน” สร้างมูลค่าเพิ่ม PTT

         PTT มุ่งพัฒนาโครงการ LNG Hub และแสวงหาพันธมิตรในธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นที่มีศักยภาพสูง (TOP-IRPC- PTTGC)  ปัจจุบันมีผู้สนใจร่วมลงทุนหลายราย ซึ่ง PTT ให้ความสำคัญกับการคัดเลือกพันธมิตร ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม และช่วยเสริมศักยภาพในการขยายธุรกิจ ยืนยันว่า PTT คงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ คาดว่า เห็นความก้าวหน้าปี 2568          หุ้นวิชั่น - ถอดรหัสวิชั่น PTT ผ่านมุมมอง “ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง” ผู้กุมบังเหียนสูงสุด  เร่งศึกษาโอกาสลงทุนธุรกิจไฮโดรเจนในต่างประเทศ หวังนำมาต่อยอดในไทย  พร้อมพัฒนา CCS (ดักจับคาร์บอน)  มุ่งเจรจาพันธมิตรหลายรายเสริมแกร่งธุรกิจปิโตรเคมี   โดยอยู่บนฐานของการสร้างมูลค่าเพิ่ม  และ PTT ต้องคงการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่          ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า ปตท.ให้ความสำคัญเรื่องของการสร้างบริษัทมีความแข็งแกร่งแบบยั่งยืน โดยเน้นผลักดันธุรกิจเรื่องไฮโครเจน และเรื่อง CCS (Carbon Capture and Storage)          ปตท.อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนด้านไฮโดรเจนในต่างประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการใช้พลังงานสะอาดของภาคอุตสาหกรรมไทยในอนาคต คาดว่าปริมาณการใช้จะอยู่ในระดับแสนตันต่อปี โดยเน้นแหล่งผลิตที่มีต้นทุนแข่งขันได้ เช่น ประเทศแถบตะวันออกกลางและอินเดีย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตไฮโดรเจนที่สำคัญ          ทั้งนี้ นโยบายภาครัฐกำหนดให้มีการผสมไฮโดรเจนในเชื้อเพลิงอุตสาหกรรมในสัดส่วน 5% ภายในปี 2030 ทำให้ต้องมีการการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับการนำเข้าและจัดเก็บไฮโดรเจนกลายเป็นปัจจัยสำคัญ  ซึ่งในระยะแรกจะอยู่ในรูปแบบของแอมโมเนีย เนื่องจากเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับการขนส่งและจัดเก็บ          ปตท.มองว่า ไฮโดรเจนเป็นพลังงานแห่งอนาคตที่มีบทบาทสำคัญต่อการลดการปล่อยคาร์บอน และจะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality อย่างไรก็ตาม ด้วยต้นทุนการผลิตไฮโดรเจนที่ยังอยู่ในระดับสูง กลุ่มปตท.จึงวางกลยุทธ์เริ่มต้นจากการซื้อขายในตลาดต่างประเทศก่อน หากสามารถจัดหาแหล่งผลิตที่มีต้นทุนแข่งขันได้ ก็จะพิจารณานำเข้าไฮโดรเจนสู่ประเทศไทยผ่านรูปแบบแอมโมเนีย          ในส่วนของการลงทุนโดยตรง กลุ่มปตท.มอบหมายให้ PTTEP เป็นตัวแทนหลักในการขยายการลงทุนด้านไฮโดรเจนในต่างประเทศ พร้อมตั้งเป้าว่าในอนาคต ไฮโดรเจนจะสามารถเข้ามาทดแทนการใช้ก๊าซธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ          ส่วนโอกาสธุรกิจการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์CCS (Carbon Capture and Storage) เป็นโอกาสที่ปตท.ต้องดำเนิน เพราะ เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจอย่างมากในปัจจุบัน โดยเป็นหนึ่งในวิธีการสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งปตท.ดำเนินการควบคู่ไปกับการลดคาร์บอนรูปแบบอื่น อาทิการปลูกป่าเป็นต้น ปัจจุบันประเทศที่ทำCCS และมีความคุ่มค่าที่สุด คือ สหรัฐอเมริกา โดยมีการให้ราคาที่ 85 เหรียญต่อตันคาร์บอน          พร้อมกันนี้ ยังวางแนวทางดำเนินธุรกิจเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน โดย PTTEP ยังคงมุ่งเน้นการดำเนินงานเพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน ขณะที่ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ (Gas) ให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนต่อหน่วยเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ ส่วนธุรกิจ LNG ยังคงแสวงหาโอกาสการเติบโตใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ในด้านธุรกิจธุรกิจไฟฟ้า ให้บริษัท GPSC มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน (Reliability) และขับเคลื่อนกระบวนการลดการปล่อย คาร์บอน (Decarbonization) ให้กับกลุ่ม ปตท. ควบคู่ไป กับการพัฒนา Energy Mix ที่เหมาะสม          สำหรับกลุ่มธุรกิจ Non-Hydrocarbon ปตท.ให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจ EV โดยเน้นเฉพาะธุรกิจสถานีชาร์จ (Charging) โดยจะไม่มีการหาพาร์ทเนอร์เพิ่มเติมในด้านอื่น ๆ ขณะที่ธุรกิจ Logistics & Infrastructure จะดำเนินการเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ Hydrocarbon โดยใช้แนวทาง Asset-Light และร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขัน พร้อมทั้งมีแผนบริหารความเสี่ยง (Derisk) และกำหนด Timeline ที่ชัดเจน ด้านธุรกิจ Life Science ปตท. วางบทบาทเป็น Financial Investor ใช้แนวทาง Self-Funding เพื่อสร้าง Goodwill ให้กับสังคม          ทั้งนี้ หากจัดแผนธุรกิจระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว   PTT อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างธุรกิจ Non-Hydrocarbon เพื่อเพิ่ม Synergy คาดว่า สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากโครงการ DI - Domestic Products Management ได้ประมาณ 3,300 ล้านบาทต่อปี ภายใน 3 ปี (ต่อยอดจากโครงการ P1) รวมถึงการผลักดันโครงการ MissionX - Operational Excellence คาดช่วยเพิ่ม EBITDA ของกลุ่ม PTT  ได้ราว 30,000 ล้านบาท ภายในปี 2027 และเร่งขับเคลื่อน Digital Transformation & Productivity Improvement  จะช่วยเพิ่มมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี ภายในปี 2026 โดยเป็นโครงการที่สามารถดำเนินการได้ทันที          อีกทั้ง ปตท.มุ่งพัฒนาโครงการ LNG Hub และแสวงหาพันธมิตรในธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นที่มีศักยภาพสูง(TOP ,IRPC PTTGC) โดยปัจจุบันมีผู้สนใจร่วมลงทุนหลายราย ซึ่ง ปตท.ให้ความสำคัญกับการคัดเลือกพันธมิตรที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม และช่วยเสริมศักยภาพในการขยายธุรกิจ ยืนยันว่าปตท.ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ คาดว่า เห็นความก้าวหน้าปี 2568

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

ปตท. ผนึก กองทัพอากาศ ติดตั้งโซลาร์บนทุ่นลอยน้ำ

ปตท. ผนึก กองทัพอากาศ ติดตั้งโซลาร์บนทุ่นลอยน้ำ

          หุ้นวิชั่น - วานนี้ (11 มีนาคม 2568) – พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ และดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และความยั่งยืน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนทุ่นลอยน้ำ (Solar Floating) ที่สวนสุขภาพกองทัพอากาศ (ศูนย์กีฬา-สวนเฉลิมพระเกียรติฯ ฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี) โดย ปตท. ได้ออกแบบและติดตั้งระบบโซลาร์บนทุ่นลอยน้ำ ขนาดกำลังการผลิต 999.44 กิโลวัตต์ ในพื้นที่สระน้ำของสวนสุขภาพกองทัพอากาศ สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดโครงการ ได้ประมาณ 19,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และสามารถประหยัดค่าพลังงานไฟฟ้าได้ประมาน 1.08 ล้านบาทต่อปี หรือประมาณ 25.7 ล้านบาท ตลอดอายุสัญญา 25 ปี โดยมีการติดตั้งระบบติดตามและตรวจสอบการผลิตไฟฟ้าแบบ Real time รวมถึงนวัตกรรมกังหันน้ำเติมอากาศพลังงานแสงอาทิตย์ ช่วยเพิ่มออกซิเจนและลดปัญหามลพิษทางน้ำ และ EV Charger สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่างกองทัพอากาศ และ ปตท. ในการพัฒนานวัตกรรมทางด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม และยังเป็นการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าใหม่จากพลังงานหมุนเวียน ตลอดจนสนับสนุนภารกิจของกองทัพอากาศด้านการสร้างความมั่นคงของประเทศเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน [caption id="attachment_43961" align="aligncenter" width="1765"] default[/caption]

PTTศึกษาลงทุนไฮโดรเจน เจรจาพันธมิตรเสริมแกร่ง

PTTศึกษาลงทุนไฮโดรเจน เจรจาพันธมิตรเสริมแกร่ง

             หุ้นวิชั่น - PTT เร่งศึกษาโอกาสลงทุนไฮโดรเจนในต่างประเทศ หวังต่อยอดขยายธุรกิจในไทย  พร้อมพัฒนา CCS ดักจับคาร์บอน ขณะเดียวกันเจรจาพันธมิตรหลายราย เสริมแกร่งธุรกิจปิโตรเคมี ความเห็นความก้าวหน้าในปีนี้               ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า ปตท.ให้ความสำคัญเรื่องของการสร้างบริษัทมีความแข็งแกร่งแบบยั่งยืน โดยจะเน้นผลักดันธุรกิจเรื่องไฮโครเจน และเรื่อง CCS (Carbon Capture and Storage)              ปตท.อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนด้านไฮโดรเจนในต่างประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการใช้พลังงานสะอาดของภาคอุตสาหกรรมไทยในอนาคต คาดว่าปริมาณการใช้จะอยู่ในระดับแสนตันต่อปี โดยเน้นแหล่งผลิตที่มีต้นทุนแข่งขันได้ เช่น ตะวันออกกลางและอินเดีย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตไฮโดรเจนที่สำคัญ              ทั้งนี้ นโยบายภาครัฐกำหนดให้มีการผสมไฮโดรเจนในเชื้อเพลิงอุตสาหกรรมในสัดส่วน 5% ภายในปี 2030 ทำให้ต้องมีการการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับการนำเข้าและจัดเก็บไฮโดรเจนกลายเป็นปัจจัยสำคัญ  ซึ่งในระยะแรกจะอยู่ในรูปแบบของแอมโมเนีย เนื่องจากเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับการขนส่งและจัดเก็บ              ปตท.มองว่า ไฮโดรเจนเป็นพลังงานแห่งอนาคตที่มีบทบาทสำคัญต่อการลดการปล่อยคาร์บอน และจะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality อย่างไรก็ตาม ด้วยต้นทุนการผลิตไฮโดรเจนที่ยังอยู่ในระดับสูง กลุ่มปตท.จึงวางกลยุทธ์เริ่มต้นจากการซื้อขายในตลาดต่างประเทศก่อน หากสามารถจัดหาแหล่งผลิตที่มีต้นทุนแข่งขันได้ ก็จะพิจารณานำเข้าไฮโดรเจนสู่ประเทศไทยผ่านรูปแบบแอมโมเนีย              ในส่วนของการลงทุนโดยตรง กลุ่มปตท.มอบหมายให้ PTTEP เป็นตัวแทนหลักในการขยายการลงทุนด้านไฮโดรเจนในต่างประเทศ พร้อมตั้งเป้าว่าในอนาคต ไฮโดรเจนจะสามารถเข้ามาทดแทนการใช้ก๊าซธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ              ส่วนโอกาสธุรกิจการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์CCS (Carbon Capture and Storage) เป็นโอกาสที่ปตท.ต้องดำเนิน เพราะ เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจอย่างมากในปัจจุบัน โดยเป็นหนึ่งในวิธีการสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งปตท.ดำเนินการควบคู่ไปกับการลดคาร์บอนรูปแบบอื่น อาทิการปลูกป่าเป็นต้น ปัจจุบันประเทศที่ทำCCS และมีความคุ่มค่าที่สุด คือ สหรัฐอเมริกา โดยมีการให้ราคาที่ 85 เหรียญต่อตันคาร์บอน              พร้อมกันนี้ยังวางแนวทางดำเนินธุรกิจเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน โดย PTTEP ยังคงมุ่งเน้นการดำเนินงานเพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน ขณะที่ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ (Gas) ให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนต่อหน่วยเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ ส่วนธุรกิจ LNG ยังคงแสวงหาโอกาสการเติบโตใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง              ในด้านธุรกิจไฟฟ้า บริษัท GPSC และ Mandote มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน (Reliability) และขับเคลื่อนกระบวนการลดการปล่อยคาร์บอน (Decarbonization) ให้กับกลุ่ม ปตท. ควบคู่ไปกับการพัฒนา Energy Mix ที่เหมาะสม              สำหรับกลุ่มธุรกิจ Non-Hydrocarbon ปตท.ให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจ EV โดยเน้นเฉพาะธุรกิจสถานีชาร์จ (Charging) โดยจะไม่มีการหาพาร์ทเนอร์เพิ่มเติมในด้านอื่น ๆ ขณะที่ธุรกิจ Logistics & Infrastructure จะดำเนินการเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ Hydrocarbon โดยใช้แนวทาง Asset-Light และร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขัน พร้อมทั้งมีแผนบริหารความเสี่ยง (Derisk) และกำหนด Timeline ที่ชัดเจน ด้านธุรกิจ Life Science ปตท. วางบทบาทเป็น Financial Investor ใช้แนวทาง Self-Funding เพื่อสร้าง Goodwill ให้กับสังคม              ทั้งนี้หากจัดแผนธุรกิจระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว โดย ปตท.อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างธุรกิจ Non-Hydrocarbon เพื่อเพิ่ม Synergy โดยคาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากโครงการ DI - Domestic Products Management ได้ประมาณ 3,300 ล้านบาทต่อปี ภายใน 3 ปี (ต่อยอดจากโครงการ P1) รวมถึงการผลักดันโครงการ MissionX - Operational Excellence ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่ม EBITDA ของกลุ่ม ปตท. ได้ราว 30,000 ล้านบาท ภายในปี 2027 และเร่งขับเคลื่อน Digital Transformation & Productivity Improvement ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี ภายในปี 2026 โดยเป็นโครงการที่สามารถดำเนินการได้ทันที              อีกทั้ง ปตท.มุ่งพัฒนาโครงการ LNG Hub และแสวงหาพันธมิตรในธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นที่มีศักยภาพสูง(TOP ,IRPC PTTGC) โดยปัจจุบันมีผู้สนใจร่วมลงทุนหลายราย ซึ่ง ปตท.ให้ความสำคัญกับการคัดเลือกพันธมิตรที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม และช่วยเสริมศักยภาพในการขยายธุรกิจ ยืนยันว่าปตท.ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ คาดว่าจะเห็นความก้าวหน้าปี 2568              ขณะที่ราคาหุ้นปตท. ที่ปรับตัวลดลง แต่ในด้านอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) นั้นถือว่าอยู่ในระดับสูง ซึ่งปัจจัยกดดันหลายส่วน อาทิ ราคาน้ำมันดิบที่ลดลงต่ำกว่าระดับ 70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งกระทบต่อภาพรวมอุตสาหกรรมพลังงาน อย่างไรก็ตาม ปตท. ยังคงให้ความสำคัญกับ การบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ และย้ำความมุ่งมั่นในการจ่ายเงินปันผลให้สอดคล้องกับแนวโน้มตลาด พร้อมปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาว

ปตท. ร่วมส่งเสริมความรู้ด้านพลังงานแก่ผู้บริหาร สปป.ลาว

ปตท. ร่วมส่งเสริมความรู้ด้านพลังงานแก่ผู้บริหาร สปป.ลาว

          หุ้นวิชั่น - เมื่อเร็ว ๆ นี้ – ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธานพิธีเปิดการอบรมหลักสูตร Energy Training Executive Program สำหรับผู้บริหารด้านพลังงานจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) นำโดย Mr. Malaithong Kommasith รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากกระทรวงพลังงานและ ปตท. เข้าร่วมพิธีเปิด โดยมี ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ให้เกียรติบรรยายพิเศษในมุมมองด้านพลังงาน (Energy Perspective) เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจด้านพลังงาน และบทบาทสำคัญของกลุ่ม ปตท. ในการพัฒนาความมั่นคงด้านพลังงานระหว่างประเทศ

abs

ออกแบบและติดตั้งระบบเครือข่ายและระบบสื่อสารอย่างครบวงจร

กลุ่ม ปตท. ผนึกพันธมิตรนำเข้าอีเทน เสริมศักยภาพธุรกิจปิโตรเคมี สร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืน

กลุ่ม ปตท. ผนึกพันธมิตรนำเข้าอีเทน เสริมศักยภาพธุรกิจปิโตรเคมี สร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืน

          เมื่อเร็วๆ นี้ - บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ลงนามข้อตกลงจ้างเรือขนส่งอีเทนขนาดใหญ่ (Very Large Ethane Carriers : VLECs) กับ MISC Berhad ผู้นำด้านการขนส่งก๊าซเหลวระดับโลก และลงนามข้อตกลงใช้เรือ VLECs ในการขนส่งอีเทนกับ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) โดยมี นายจตุรงค์ วรวิทย์สุรวัฒนา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ปตท. (ที่ 2 จากซ้าย) Mr. Zahid Osman, President and Group Chief Executive Officer, MISC Berhad (ซ้าย) นายทศพร บุณยพิพัฒน์ ผู้จัดการใหญ่ GC (ที่ 3 จากขวา) ร่วมลงนาม โดยมีนายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GC (ที่ 3 จากซ้าย) เป็นประธานในพิธี           ซึ่งเรือ VLECs นี้จะเป็นหนึ่งในเรือที่ขับเคลื่อนด้วยระบบเชื้อเพลิงคู่ (Dual Fuel) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก สามารถใช้น้ำมันและอีเทนเป็นเชื้อเพลิง เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดย ปตท. ใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการค้าและการขนส่งระหว่างประเทศ ตลอดจนมีพันธมิตรทางการค้าที่เข้มแข็ง เพื่อจัดหาเรือนำเข้าอีเทนให้กับ GC เสริมสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี การดำเนินงานนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการรุกตลาดขนส่งอีเทน ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อกลุ่ม ปตท.           ทั้งนี้ GC ลงนามข้อตกลงการจัดหาอีเทนระยะยาวกับบริษัทในเครือของ Enterprise Products Partners L.P. ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายอีเทนชั้นนำของสหรัฐอเมริกา เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงวัตถุดิบปิโตรเคมีในระยะยาว เพิ่มความสามารถในการแข่งขันและประสิทธิภาพด้านต้นทุน เสริมสร้างการเติบโตในระยะยาวอย่างยั่งยืน

PTT ยอดขายดีกว่าปีก่อน เริ่มคุยพันธมิตรต่างชาติ

PTT ยอดขายดีกว่าปีก่อน เริ่มคุยพันธมิตรต่างชาติ

          หุ้นวิชั่น - PTT เริ่มคุยพันธมิตรต่างชาติ ร่วมถือหุ้น PTTGC-TOP-IRPC เสริมแกร่ง พร้อมปีนี้คาดว่ายอดขายมากกว่าปีก่อน ดีมานด์สูงขึ้น วางงบลงทุน 5 ปี ราว 54,000 ล้านบาท ใช้ลงทุนธุรกิจก๊าซธรรมชาติและเสริมสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก           นายธนพล ประภาพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยถึงการกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับลดสัดส่วนการถือหุ้นใน PTTGC, TOP และ IRPC เพื่อปรับปรุงพอร์ตโฟลิโอของธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลายให้สอดคล้องกับทิศทางของตลาด และเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทเรือธง โดยขณะนี้ยังอยู่ในระยะเริ่มต้นของการพูดคุยกับพันธมิตรต่างชาติ หากมีความชัดเจนเพิ่มเติม บริษัทฯ จะชี้แจงให้ทราบต่อไป ส่วนยอดขายปีนี้คาดว่าจะเพิ่มจากปี 2567 โดยปริมาณการขายจะขยายตัวตามภาวะเศรษฐกิจ (GDP) ที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าปีนี้ GDP ของประเทศไทยจะขยายตัวประมาณ 2.9% ขณะที่ปริมาณคาดว่าจะสูงขึ้นจากความต้องการใช้ในประเทศทั้งในส่วนของก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน รวมถึงธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมก็คาดว่าปริมาณการขายจะเพิ่มขึ้นจากโครงการแหล่งผลิต G1/61 (แหล่งเอราวัณ) แต่ในส่วนของราคาขายนั้น มองว่ายังคงต้องติดตามปัจจัยภายนอกหลายๆด้าน อาทิ นโยบายของประเทศสหรัฐฯ,ปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนว่าจะคลี่คลายไปทางใด,การเจรจาหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส รวมถึงแผนการเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นแรงกดดันด้านราคาขายและส่งผลต่อรายได้ของบริษัท           ด้านงบลงทุน 5 ปีข้างหน้า (ปี 68-72) อยู่ที่ 54,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่แบ่งเป็นเงินลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติและเสริมสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่อส่งก๊าซ,โรงแยกก๊าซฯต่างๆ เป็นต้น รวมถึงธุรกิจการค้าระหว่างประเทศและธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลายที่ โดยมีโครงการหลัก ได้แก่ ท่อส่งก๊าซฯบางประกง,โรงไฟฟ้าพระนครใต้,โรงแยกก๊าซฯ 7 รวมถึงการลงทุนเพื่อแสวงหาโอกาสในธุรกิจการค้าระหว่างประเทศแบบครบวงจร

OR มุ่งรักษามาตรฐาน พีทีที สเตชั่น เข้าร่วมโครงการ

OR มุ่งรักษามาตรฐาน พีทีที สเตชั่น เข้าร่วมโครงการ "หัวจ่ายเชื้อเพลิงมาตรฐาน"

          หุ้นวิชั่น - พีทีที สเตชั่น ทุกสถานีทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการ "หัวจ่ายเชื้อเพลิงมาตรฐาน" ของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นโครงการเสริมจากมาตรการทางกฎหมาย ผ่านการรับรองระดับสีเงิน 105 สถานี ถือเป็น แบรนด์สถานีบริการที่ได้รับการรับรองระดับสีเงินจำนวนมากที่สุด และมี พีทีที สเตชั่น ที่ผ่านการรับรองหัวจ่ายมาตรฐานแล้ว 2,167 สถานี ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการและรออนุมัติ พิสูจน์ความมุ่งมั่นในการส่งมอบสินค้าและบริการที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานสูงสุดให้กับผู้บริโภค           นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า โครงการ “หัวจ่ายเชื้อเพลิงมาตรฐาน” เป็นการประสานความร่วมมือระหว่าง กรมการค้าภายใน ร่วมกับ บริษัทผู้ค้าน้ำมันทั้ง 10 บริษัท โดยให้สถานีที่เข้าร่วมโครงการฯ จะต้องส่งรายงานผลการทดสอบน้ำมันของตน ให้กับกรมการค้าภายใน เดือนละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 6 เดือน  และหลังจากนั้นให้ส่งรายงานผลการทดสอบน้ำมันให้กรมเดือนละครั้ง ทุกเดือน หากสถานีใดดำเนินการได้ถูกต้อง   ครบถ้วน จะได้การยกระดับป้ายสัญลักษณ์เป็นสีเงิน (Silver) และหากปฏิบัติตามเงื่อนไขถูกต้องจนครบ 2 ปี จะได้รับการยกระดับป้ายสัญลักษณ์เป็นสีทอง (Gold) ตามลำดับ เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนที่ใช้บริการจากสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศว่าจะได้ปริมาณถูกต้องครบถ้วนอย่างแน่นอน ปัจจุบันนี้มีสถานีที่สมัครและเข้าร่วมโครงการแล้วจำนวน 6,793 สถานี และได้รับการอนุมัติเข้าร่วมโครงการแล้วจำนวน 5,788 สถานี และมีสถานีที่ได้รับป้ายสีเงินแล้วทั้งสิ้น 211 สถานี           หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR กล่าวว่า การเข้าร่วม "โครงการหัวจ่ายเชื้อเพลิงมาตรฐาน” ของกรมการค้าภายใน สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินงานและความตั้งใจของ OR ที่ให้ความสำคัญกับการรักษามาตรฐานการให้บริการของ พีทีที สเตชั่น มาอย่างต่อเนื่องให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น และเป็นตัวอย่างที่สำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความมุ่งมั่นของ OR ในการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุด และตอกย้ำความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคว่าจะได้รับปริมาณน้ำมันเป็นไปตามมาตรฐานทุกหัวจ่ายตามที่กรมการค้าภายในกำหนด โดยปัจจุบัน สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ทุกแห่งทั่วประเทศจำนวน 2,340 สถานี ได้สมัครเข้าร่วมโครงการครบถ้วนทั้งหมด 100% แล้ว โดยมีสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ที่ได้รับการอนุมัติให้ผ่านการรับรองแล้ว 2,167 สถานี ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการและรออนุมัติ และยังมีสถานีบริการพีทีที สเตชั่น ที่ได้รับการรับรองระดับสีเงิน ซึ่งเป็นสถานีบริการที่รักษามาตรฐานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 6 เดือน จำนวน 105 แห่ง จากจำนวนสถานีบริการทุกแบรนด์ที่ได้รับการรับรองระดับเงินทั้งหมดทั่วประเทศ จำนวน 211 แห่ง ซึ่งถือเป็นแบรนด์สถานีบริการน้ำมันที่ได้รับมาตรฐานในระดับนี้จำนวนมากที่สุดในประเทศ และอยู่ระหว่างการการมุ่งสู่การรับรองระดับสูงสุดคือระดับสีทองที่ต้องรักษามาตรฐานต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปี อีกด้วย           ทั้งนี้ OR มีหน่วยงานตรวจสอบมาตรฐานการให้บริการของสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ทั่วประเทศ (Mobile Unit) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าผู้บริโภคจะได้รับทั้งสินค้าและบริการที่ได้มาตรฐานสูงสุด และที่ผ่านมา OR ปฏิบัติตามมาตรฐานที่กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์กำหนดอย่างเคร่งครัด โดยตรวจสอบหัวจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น และนำส่งรายงานการตรวจสอบให้กองชั่งตวงวัด กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เป็นประจำทุกเดือน และหากพบว่ามีค่าที่ไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดจะปิดการจำหน่ายหัวจ่ายนั้น ๆ ทันที     และประสานงานแจ้งเจ้าหน้าที่ชั่งตวงวัด เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบ และให้คำรับรองมาตรวัดปริมาตรน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ก่อนที่จะเปิดจำหน่ายอีกครั้ง [PR News]

abs

Hoonvision

PTT ขึ้นชั้นเบอร์1 ยั่งยืนสูงสุดในโลก

PTT ขึ้นชั้นเบอร์1 ยั่งยืนสูงสุดในโลก

          ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) หรือ PTT เปิดเผยว่า ปตท. ได้รับการประเมินด้านความยั่งยืนอันดับสูงสุดของโลก (Top1%) ของกลุ่มอุตสาหกรรม Oil & Gas Upstream & Integrated (OGX) ในรายงานประจำปี “The Sustainability Yearbook 2025” จากการประเมินของ S&P Global Corporate Sustainability Assessment (CSA) ประจำปี 2024 โดย ปตท. ได้คะแนนเป็นอันดับ 1 มีคะแนนรวม 81 คะแนน (จาก 100 คะแนน) จาก 101 บริษัททั่วโลกที่เข้ารับการประเมินในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าว โดยมีคะแนนโดดเด่นใน 2 มิติ คือ มิติด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) ที่มีการปรับกลยุทธ์การลงทุนมุ่งสู่พลังงานสะอาด และมิติด้านสังคม (Social) ในการพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะสอดคล้องกับทิศทางขององค์กร           นอกจากนี้ บริษัทใน กลุ่ม ปตท. ยังได้รับการประเมินด้านความยั่งยืนอันดับสูงสุด Top1% อีก 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ในกลุ่มอุตสาหกรรม Chemicals และ บริษัท ปตท. นํ้ามันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ในกลุ่มอุตสาหกรรม Retailing รวมทั้ง บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ได้รับการประเมินอยู่ใน Top5% ในกลุ่มอุตสาหกรรม Oil & Gas Refining & Marketing ทั้งนี้ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ยังได้รับการคัดเลือกให้มีรายชื่อใน Sustainability Yearbook 2025 อีกด้วย           Sustainability Yearbook เป็นรายงานประจำปีของบริษัท S&P Global ที่รวบรวมรายชื่อบริษัท ชั้นนำ 780 บริษัททั่วโลกที่มีคะแนนการประเมินด้านความยั่งยืน S&P Global CSA ที่ดีตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากลจากผู้ลงทุนสถาบันและกองทุนต่าง ๆ ทั่วโลก โดยในปี 2024 มีผู้เข้ารับการประเมิน 7,690 บริษัท จาก 62 อุตสาหกรรมทั่วโลก           “การได้รับจัดอันดับในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ ปตท. ในการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ พร้อมกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก บนหลักการยั่งยืนอย่างสมดุลในทุกมิติ ตามวิสัยทัศน์ ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” ดร.คงกระพัน กล่าว

6 การเปลี่ยนแปลงสำคัญ PTT  มีอะไรบ้าง เช็กดูได้เลย

6 การเปลี่ยนแปลงสำคัญ PTT มีอะไรบ้าง เช็กดูได้เลย

          หุ้นวิชั่น – เกาะติด 6 เหตุการณ์แรก ปี 2568 ที่มาของจุดเริ่มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของ PTT และบริษัทในเครือ ในอนาคต 2 มกราคม 2568 PTT: คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติเปลี่ยนชื่อบริษัทย่อย Aztiq II HoldCo Limited เป็น Innobic Hong Kong Holding Co Limited Aztiq II BidCo Limited เป็น Innobic Hong Kong Biddingco Limited ทั้งสองบริษัทเป็นบริษัทย่อยที่ ปตท. ถือหุ้นร้อยละ 100 ผ่านบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด PTTEP: แจ้งปิดบริษัทย่อย PTTEP Australia Timor Sea Pty Ltd มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายในการบริหาร 7 มกราคม 2568 PTT: ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของ Horizon Plus อนุมัติการปรับโครงสร้างการถือหุ้น ลดทุนจดทะเบียนประมาณ 5,100 ล้านบาท สัดส่วนการถือหุ้นใหม่: Arun Plus ร้อยละ 40 และ Lin Yin ร้อยละ 60 ทุนจดทะเบียนคงเหลือประมาณ 5,400 ล้านบาท คาดว่าแล้วเสร็จภายในมิถุนายน 2568 24 มกราคม 2568 TOP: ชี้แจงการบังคับหลักประกันโครงการ CFP  มูลค่าประมาณ 12,339 ล้านบาท (358 ล้านเหรียญสหรัฐ) ภายใต้สัญญา EPC Contract กับ The Consortium of PSS Netherlands B.V. และพันธมิตร 3 กุมภาพันธ์ 2568 PTT: อนุมัติปิดบริษัท PTT International Holdings Limited (PTTIH) คาดว่าแล้วเสร็จภายในปี 2569 สอดคล้องกับนโยบายยุติการลงทุนในธุรกิจถ่านหิน 6 กุมภาพันธ์ 2568 PTT: อนุมัติเปลี่ยนชื่อบริษัท Alvogen Emerging Markets Holdings Limited เป็น Innobic Asia Investment Holding Limited คาดว่าแล้วเสร็จภายในกุมภาพันธ์ 2568

PTT ปีนี้ลุย 2.5 หมื่นล. มองหาพันธมิตรเสริม

PTT ปีนี้ลุย 2.5 หมื่นล. มองหาพันธมิตรเสริม

           หุ้นวิชั่น - PTT ปรับแผนลงทุน 5 ปี ทุ่ม 55,000 ล้าน ส่วนปีนี้ งบลงทุน 25,000 ล้านบาทในปี 2568 มุ่งขยายโรงแยกก๊าซและท่อส่งก๊าซ พร้อมเดินหน้าปรับโครงสร้างธุรกิจ เน้นเพิ่มมูลค่าธุรกิจ Non-Hydrocarbon และนำเทคโนโลยีช่วยลดต้นทุน ขณะเดียวกันจับตาผลกระทบจากนโยบาย Trump 2.0 และแนวโน้มพลังงานสะอาด ด้านผลประกอบการปี 2567 คาดใกล้เคียงปีก่อน พร้อมย้ำไม่มีแผนควบรวมธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น แต่หาพันธมิตรเข้ามาเสริมแกร่ง            ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจปี 2568 บริษัทได้วางงบลงทุนในช่วง 5 ปีข้างหน้า (2568-2572) ไว้ที่ 55,000 ล้านบาท โดยในปี 2568 จะใช้งบลงทุน 25,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นที่ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ เช่น การขยายโรงแยกก๊าซและท่อส่งก๊าซ รวมถึงการขยายกลุ่มธุรกิจเทรดดิ้ง ขณะที่ปีนี้ยังไม่มีแผนลงทุนในธุรกิจใหม่ โดยปรับแนวทางเน้นการลงทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ใช้เทคโนโลยีเข้ามาเสริม หรือต่อยอดจากธุรกิจเดิมที่ใช้เงินลงทุนต่ำแต่ให้ผลตอบแทนที่แน่นอน พร้อมย้ำว่า การลงทุนที่สูงไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าบริษัทจะมีกำไรเพิ่มขึ้นเสมอไป            ปตท. ยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และ ระยะยาว ควบคู่ไปกับการลดคาร์บอน (Decarbonization) โดยในธุรกิจสำรวจและผลิต (Upstream) คาดว่าปริมาณขายเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนยังคงอยู่ในระดับเดิม ด้านธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย (Downstream) คาดว่ามาร์จิ้นอาจปรับตัวดีขึ้น แต่กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นอาจได้รับผลกระทบจากแผนปิดซ่อมบำรุงของ TOP ส่วนธุรกิจไฟฟ้าคาดว่าจะฟื้นตัวตามความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศที่เพิ่มขึ้น            สำหรับเป้าหมายสำคัญของปีนี้ บริษัทตั้งเป้าสร้าง EBITDA ส่วนเพิ่มของกำไรปกติของกลุ่ม PTT ภายในปี 2570 ประมาณ 30,000 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าปรับโครงสร้างธุรกิจที่ไม่ใช่ไฮโดรคาร์บอน (Non-Hydrocarbon) เพิ่มมูลค่าจากโครงการ P1 ประมาณ 3,300 ล้านบาทต่อปีภายใน 3 ปี และนำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการดำเนินธุรกิจเพื่อลดต้นทุน รวมถึงดึงพันธมิตรเข้ามาร่วมลงทุนในธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น ขณะเดียวกันยังมีแผนดำเนินโครงการ CCS และไฮโดรเจนในระยะยาว            สำหรับปัจจัยที่ต้องจับตาในปี 2568 ปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลต่อธุรกิจ เช่น นโยบาย Trump 2.0 ที่อาจส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงคาร์บอน (Recarbonization) และเพิ่มมาตรการกีดกันทางการค้า ขณะที่นโยบายพลังงานของภาครัฐ เช่น การเปิดเสรีก๊าซธรรมชาติ (Single Pool, TPA) เป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย ส่วนปัจจัยภายในประกอบด้วยการบริหารจัดการผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และการบริหารความผันผวนทางการเงิน            สำหรับผลการดำเนินงานปี 2567 ถือว่าทำได้ใกล้เคียงกับปีก่อน โดยธุรกิจสำรวจและผลิตสามารถชดเชยแรงกดดันด้านราคาของธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลายได้ แม้จะได้รับผลกระทบจากนโยบายรัฐ อย่างไรก็ตาม บริษัทสามารถบริหารต้นทุนได้ดี ลดความผันผวนของผลประกอบการ และรับรู้กำไรพิเศษจากการทำ Bond Buy Back            ในส่วนของการลงทุนระยะยาว ปตท. เดินหน้าปรับโครงสร้างโรงกลั่นให้สอดคล้องกับมาตรฐานยูโร 5 และขยายการลงทุนด้านเชื้อเพลิงชีวภาพ (SAF) ผ่าน PTTGC รวมถึงขยายธุรกิจไฟฟ้าในต่างประเทศ โดยเฉพาะอินเดียผ่าน GPSC พร้อมมองหาโอกาสลงทุนใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านพลังงาน และขยายโครงสร้างพื้นฐานสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ผ่าน OR            ทั้งนี้ ปตท. ยืนยันว่าไม่มีแผนควบรวมธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นภายในกลุ่ม แต่กำลังเจรจากับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อเข้ามาร่วมลงทุน โดยมีเงื่อนไขว่ากลุ่ม PTT จะต้องคงสัดส่วนการถือหุ้นใหญ่ไว้ เพื่อรักษาความแข็งแกร่งของธุรกิจในระยะยาว

4 โบรกแนะซื้อ PTT ปันผลสูงกว่าคาด

4 โบรกแนะซื้อ PTT ปันผลสูงกว่าคาด

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กสิกรไทย ระบุ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) รายงานกำไรไตรมาส 4/2567 ต่ำกว่าประมาณการของฝ่ายวิจัย           โดย PTT แจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่า กำไรสุทธิของบริษัทในไตรมาส 4/2567 อยู่ที่ 9.3 พันล้านบาท (กำไรต่อหุ้น (EPS): 0.33 บาท) ลดลง 72% YoY และ 43% QoQ กำไรต่ำกว่าคาดการณ์ของเราที่ 8% หรือ 780 ล้านบาท และต่ำกว่าประมาณการของตลาดที่ 27% สาเหตุหลักมาจาก 1. การรับรู้ค่าใช้จ่ายพิเศษที่ไม่ได้คาดการณ์ไวจากการจ่ายค่าชดเชยส่วนแบ่งกำไรให้กับพันธมิตรของ PTTGM (ธุรกิจยา) จำนวน 2.2 พันล้านบาท และ 2. กำไรที่ต่ำกว่าคาดจาก PTTGC และ IRPC แต่ปัจจัยลบเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้รับการชดเชยจาก 3. กำไรที่แข็งแกร่งกว่าคาดจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ (+2.0 พันล้านบาท QoQ) แม้ว่าปริมาณขายจะลดลง 4% QoQ ก็ตาม ทั้งนี้ กำไรสุทธิปี 2567 อยู่ที่ 9.01 หมื่นล้านบาท ลดลง 20% YoY           คาดกำไรไตรมาส 1/2568 ปรับตัวขึ้น QoQ  โดยคาดว่ากำไรของ PTTGC ในไตรมาส 1/2568 จะเติบโต QoQ เนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกี่ยวข้องกับ PTTGC, PTTGM และบริษัทอื่นๆ รวมมูลค่า 5.1 พันล้านบาท รวมทั้งกำไรจากสต็อกน้ำมันที่สูงขึ้นของธุรกิจโรงกลั่นและบริษัทปิโตรเคมี นอกจากนี้ ราคาโพรเพน LPG และน้ำมันเตาที่สูงขึ้นจะทำให้อัตรากำไรของ GSP เพิ่มขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม ความต้องการการใช้งานก๊าซธรรมชาติคาดว่าจะยังคงทรงตัว QoQ เนื่องจากความต้องการผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานที่ใช้ก๊าซธรรมชาติยังคงต่อเนื่อง           จ่ายเงินปันผลครั้งหลังของปี 2567 ที่ 1.30 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 4.1% สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 0.95 บาท/หุ้น เมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลที่ 0.80 บาท/หุ้น เงินปันผลปี 2567 จะอยู่ที่ 2.10 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 5% YoY และคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 67% กำหนดวันที่เครื่องหมาย XD ในวันที่ 6 มี.ค. และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 29 เม.ย.           คงคำแนะนำ "ซื้อ" แต่ปรับลดราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ลงเล็กน้อยเป็น 35.80 บาท หลังอัปเดตกำไรไตรมาส 4/2567 และสมมติฐานเงินปันผลที่สูงขึ้น ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ตามวิธีรวมส่วนธุรกิจ (SOTP) ของลดลงเล็กน้อยจาก 36.10 บาทเป็น 35.80 บาท แต่ด้วย TSR ที่ 20% เราจึงคงคำแนะนำ "ซื้อ" สำหรับ PTT           บล.กรุงศรี ระบุ PTT รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/2567 ที่ 9,312 ล้านบาท (-72% y-y, -43% q-q) หากตัดรายการพิเศษ fx loss, ขาดทุนอนุพันธ์ และค่าใช้จ่าย provision/ด้อยค่าฯ ของบริษัทลูกออก กำไรปกติ 20,084 ล้านบาท (+57% y-y, +40% q-q) สูงกว่าคาด 8% จากรายได้อื่น และส่วนแบ่งกำไรฯ ที่สูงกว่าคาด การฟื้นตัว y-y, q-q มาจากฝั่งของบริษัทลูกโรงกลั่นและปิโตรเคมี รวมถึง OR ที่ไม่ได้มี stock loss ก้อนใหญ่ มาฉุด Vs. -8.5 พันล้านบาท ไตรมาส 4/2566 และ -1.8 หมื่นล้านบาท ไตรมาส 3/2567 โดย q-q มีอีกแรงหนุนจากค่าการกลั่นที่ฟื้นตัวตามปัจจัยฤดูกาล กลบธุรกิจก๊าซฯ ของ PTT ที่ลดลง y-y จากผลกระทบของ single pool ฉุดอัตรากำไรของโรงแยกก๊าซฯ (GSP) และลด q-q เพราะธุรกิจจัดหาฯ (S&M) ที่ปริมาณขายลดลงตามความต้องการของกลุ่มโรงไฟฟ้า (ฤดูกาล) และราคาขายให้ลูกค้าอุตสาหกรรมลดลง           คาดกำไรปกติ 2568 ราว 9.9 หมื่นล้านบาท 1. ธุรกิจก๊าซฯ ฝั่ง GSP ผลกระทบของ single pool ลด y-y หลังปรับราคาขายกับ PTTGC และปริมาณแยกก๊าซฯ เพิ่มขึ้นราว 0.3 mta 2. stock loss ลดลง และ 3. ธุรกิจปิโตรเคมีอัตรากำไรฟื้นตัวจากกำลังการผลิตใหม่ทั่วโลกที่เข้ามาน้อยลง ชดเชยธุรกิจสำรวจฯ (ของ PTTEP) ที่อัตรากำไรลดลงตามราคาน้ำมันดิบที่ supply ออกมาเพิ่มขึ้น คำแนะนำ Neutral ที่ TP25F = 32.50 บาท/หุ้น มองปี 2568 catalyst จำกัด จากกำไรที่เพียงทรงตัว y-y การฟื้นของธุรกิจก๊าซฯ เพียงชดเชยกำไรที่ลดลงของบริษัทลูกอย่าง PTTEP จาก supply น้ำมันดิบที่ตึงตัวน้อยลงฉุดอัตรากำไร คาดกำไรปกติ 2568-2569 โตเฉลี่ยเพียง 2% CAGR ในขณะที่บริษัทยังเผชิญกับความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ ทั้งนี้บริษัทประกาศปันผล 2H67 ราว 1.3 บาท/หุ้น คิดเป็น yield ราว 4% ขึ้น XD วันที่ 6 มี.ค.2568           บล.หยวนต้า ระบุ ประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 4/2567 อยู่ที่ 9.3 พันล้านบาท (-43% QoQ และ -72% YoY) ใกล้เคียงกับที่เราและตลาดส่วนใหญ่ประเมินไว้ รายการพิเศษที่สำคัญ ได้แก่ ตั้งสำรองค่าใช้จ่ายของ PTTGC (Vencorex และ PTTAC) ตามสัดส่วนถือหุ้น 2.2 พันล้านบาท, ค่าใช้จ่ายตอบแทนส่วนแบ่งกำไรของ PTTGM 2.2 พันล้านบาท, ขาดทุน FX 4.7 พันล้านบาท, ขาดทุน Hedging 4.8 พันล้านบาท, กำไรสต็อกน้ำมันตามสัดส่วนถือหุ้น 540 ล้านบาท กำไรปกติที่ทำได้ 2.3 หมื่นล้านบาท (+233% QoQ, +85% YoY) เทียบกับไตรมาส 4/2566 แม้ผลประกอบการธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกปรับตัวดีขึ้น YoY จากทั้งปริมาณขายและอัตรากำไรต่อลิตร และธุรกิจการกลั่นและปิโตรเคมี (P&R) มีขาดทุนสต็อกน้ำมันลดลง อย่างไรก็ตาม ภาพรวมกำไรสุทธิลดลง YoY กดดันจาก 1. Margin ผลิตภัณฑ์หลักของธุรกิจ P&R อ่อนแอลงทั้งค่าการกลั่นและ Spread ปิโตรเคมี 2. ธุรกิจสำรวจและผลิต (E&P) ได้รับผลกระทบจากราคาขาย ASP ลดลงสวนทางค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 3. ธุรกิจก๊าซ โดยเฉพาะโรงแยกก๊าซถูกกดดันจากการเริ่มใช้นโยบาย Single Pool ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น และการลดสัดส่วนถือหุ้น LNG Terminal 2 เหลือ 50% ตั้งแต่ปลายเดือนเม.ย. 2567 4. ขาดทุน FX และ Hedging เพิ่มขึ้น 5. รับรู้ค่าใช้จ่ายพิเศษของ PTTGC (Vencorex PTTAC) และ PTTGM ส่วนเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2567 แม้ว่าธุรกิจ P&R และธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกจะปรับตัวดีขึ้น QoQ ตามทิศทางค่าการกลั่น, กำไรสต็อกน้ำมัน (vs ขาดทุนสต็อกน้ำมันในไตรมาส 3/2567), อัตรากำไรต่อลิตรสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาพรวมกำไรสุทธิลดลง QoQ กดดันจากขาดทุน FX และค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียวของ PTTGC และ PTTGM           ทั้งปี 2567 กำไรสุทธิทำได้ 9 หมื่นล้านบาท -20% YoY มีเพียงธุรกิจ E&P ที่สามารถเติบโตจากปริมาณขาย ขณะที่ธุรกิจก๊าซอ่อนแอลงจากผลกระทบนโยบาย Single Pool, ธุรกิจ P&R ถูกกดดันจากค่าการกลั่นและขาดทุนสต็อกน้ำมัน, ธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกมีปริมาณขายและอัตรากำไรลดลง ประกาศจ่ายเงินปันผลงวด 2H67 ที่ 1.30 บาท/หุ้น คิดเป็น Yield 4.1% (สูงกว่าที่เราคาดไว้ที่ 0.90 บาท/หุ้น) ขึ้น XD 6 มี.ค. จ่ายเงิน 29 เม.ย. แนวโน้มไตรมาส 1/2568 ลดลง YoY แต่คาดว่าจะสามารถฟื้นตัว QoQ เพราะขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนจำนวนมากไม่เกิดขึ้น (1QTD เงินบาทพลิกเป็นแข็งค่า), ค่าใช้จ่ายลดลงตามฤดูกาล, ค่าใช้จ่ายพิเศษของบริษัทลูกลดลง ซึ่งน่าจะเพียงพอชดเชยผลกระทบจากการชะลอตัวของค่าการกลั่น, ต้นทุนน้ำมันสูงขึ้น, Spread ปิโตรเคมีอยู่ระดับต่ำ ปี 2568 คาดผลประกอบการจะสามารถรักษาเสถียรภาพ เติบโตเล็กน้อย คงประมาณการกำไรสุทธิที่ 9.3 หมื่นล้านบาท (+3% YoY) หนุนจากปริมาณขายของธุรกิจต้นน้ำ, ธุรกิจก๊าซ, ธุรกิจค้าปลีก รวมทั้งการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่าย           คงคำแนะนำ TRADING ราคาเหมาะสม 35.00 บาท มองว่า PTT จะเป็นแหล่งพักเงินที่ดีช่วงตลาดหุ้นผันผวน เพราะโครงสร้างธุรกิจบูรณาการครบวงจร ช่วยให้ผลประกอบการผันผวนน้อยกว่าคู่แข่ง ฐานะการเงินแข็งแกร่ง (Net IBD/E 0.4 เท่า) นอกจากนี้ คาดหุ้นจะตอบรับเชิงบวกและ Outperform ตลาดได้ในช่วง 1 เดือนข้างหน้า หนุนจากการประกาศจ่ายเงินปันผลงวด 2H67 สูงกว่าคาด รอขึ้น XD วันที่ 6 มี.ค.           บล.ทรีนีตี้ ระบุ PTT รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/2567 ที่ 9.3 พันล้านบาท (-72% YoY, -43% QoQ) ต่ำกว่าที่ตลาดคาด โดยไตรมาสนี้มีผลจาก Fx loss และ Hedging loss รวมแล้วกว่า 5 พันล้านบาท ในขณะที่ไตรมาส 3/2567 มีกำไรจาก Fx และ Hedging gain 2 พันล้านบาท พิจารณากำไรปกติที่บริษัทรายงานจะอยู่ที่ประมาณ 1.9 หมื่นล้านบาท โดยธุรกิจกระบวนการกลั่นและปิโตรเคมีปรับตัวขึ้น รวมถึงธุรกิจน้ำมันและการค้าปลีก Gross Margin ต่อค่าน้ำมันปรับตัวขึ้น สำหรับธุรกิจก๊าซธรรมชาติและ Trading ไตรมาสนี้มี EBITDA อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท ลดลง 20% QoQ ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 2,000 ล้านบาท ลดลง 15% QoQ ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจนี้มาจากธุรกิจจัดหาก๊าซฯ ที่มีปริมาณขายลดลงจาก 700 MMSCFD เป็น 600 MMSCFD (-15%) เนื่องจากอุปสงค์จากภาคโรงไฟฟ้าลดลงในช่วงฤดูหนาว ส่งผลให้รายได้และกำไรขั้นต้นลดลง แม้ว่าธุรกิจระบบท่อส่งก๊าซฯ จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปริมาณการจองใช้ท่อส่งก๊าซ แต่ก็ได้รับแรงกดดันจากต้นทุนซ่อมบำรุงที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจโรงแยกก๊าซธรรมชาติ มีรายได้ลดลง YoY เนื่องจากราคาขายเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์ เช่น Propane และ LPG ลดลงตามตลาดปิโตรเคมีโลก อย่างไรก็ตาม EBITDA ปรับตัวขึ้นจากต้นทุนก๊าซฯ ที่ลดลงตามราคา Pool Gas ขณะที่ธุรกิจ NGV (ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์) แม้ว่าปริมาณขายจะทรงตัว แต่ได้รับผลดีจากต้นทุนที่ลดลง ทำให้ขาดทุนลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน           คงคำแนะนำ “ซื้อ” เก็งกำไร แต่ปรับราคาลงเป็น 35 บาทอิง SOTP หรือเทียบเท่า PBV ที่ 1.2 เท่า จากที่มีการปรับลดราคาเป้าหมายของบริษัทในกลุ่มมาก่อนหน้า

PTT ปันผลอีก 1.30 บาทต่อหุ้น ขึ้น XD วันที่ 6 มี.ค นี้

PTT ปันผลอีก 1.30 บาทต่อหุ้น ขึ้น XD วันที่ 6 มี.ค นี้

           หุ้นวิชั่น - PTT ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)PTT อนุมัติอัตราการจ่ายปันผลเป็นเงินสด 1.30 บาทต่อหุ้น วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) 06 มีนาคม 2568 และ วันที่จ่ายปันผล 29 เมษายน 2568            อนุมัติการจัดสรรกําไรสุทธิ และการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 2.10 บาท จำนวน 28,562,996,250 หุ้น รวมเป็นจำนวน 59,983 ล้านบาท ซึ่งเมื่อหักเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.80 บาท ซึ่งคิดเป็นจำนวนเงิน 22,851 ล้านบาท คงเหลือเงินปันผลที่จะจ่ายสำหรับผลประกอบการครึ่งหลังของปี 2567อีกในอัตราหุ้นละ 1.30 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 37,132 ล้านบาท

PTT กำไร 9หมื่นล้าน มุ่งเพิ่มมูลค่าพลังงาน

PTT กำไร 9หมื่นล้าน มุ่งเพิ่มมูลค่าพลังงาน

         หุ้นวิชั่น - PTT รายงานกำไรสุทธิปี 2567 ที่ 90,072 ล้านบาท ท่ามกลางความท้าทายจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ตาม EBITDA ยังทรงตัวที่ 396,234 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านธุรกิจพลังงานและความยั่งยืน          นางสาวภัทรลดา สง่าแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT รายงานผลประกอบการ ในไตรมาส 4 ปี 2567 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและ ค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) จำนวน 93,291 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,321 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.0จากไตรมาส 4 ปี 2566 ที่จำนวน 87,970 ล้านบาท โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจน้ำมันและการค้าปลีกมีผลการดำเนินงาน ดีขึ้นตามกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรของน้ำมันเบนซินและปริมาณขายภาพรวมที่ปรับเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นมีผลการดำเนินงานดีขึ้น โดยธุรกิจการกลั่นมีผลการดำเนินงานดีขึ้นจากกำไรสต๊อกน้ำมันสุทธิกับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของ สินค้าคงเหลือเพิ่มขึ้น ซึ่ง ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรใน 4Q2567 ประมาณ 1,000 ล้านบาท ขณะที่ใน 4Q2566 มีขาดทุนประมาณ 12,000 ล้านบาท แม้ว่ากำไรขั้นต้นจากการกลั่น (Market GRM) และปริมาณขายปรับลดลง ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีมีผลการดำเนินงานลดลงเล็กน้อยตามส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลง แม้ว่าปริมาณขายปรับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีผลการดำเนินงานลดลงจากราคาขายเฉลี่ยที่ลดลงและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานลดลงโดยหลักจากธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ จากต้นทุนขายที่เพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากมีการเริ่มใช้นโยบาย Single Pool ในการคำนวณราคาก๊าซฯ ในปีนี้ แม้ว่าปริมาณขายและราคาขายเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยในกลุ่มธุรกิจก๊าซฯ ปรับลดลง โดยหลักจาก บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด (PTTLNG) เนื่องจาก มีการลดสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการ LNG Receiving Terminal แห่งที่ 2 (LMPT2) เป็นร้อยละ 50.0 เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2567          ขณะที่ธุรกิจระบบท่อส่งก๊าซฯ มีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นตามปริมาณการจองใช้ท่อส่งก๊าซฯ ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งธุรกิจก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) และธุรกิจจัดหาและค้าส่งก๊าซฯ มีผลการดำเนินงานดีขึ้นจากต้นทุนค่าเนื้อก๊าซฯ ที่ปรับลดลงตามราคา Pool Gas กำไรสุทธิของ ปตท. และบริษัทย่อยใน ไตรมาส4/67 มีจำนวน 9,311 ล้านบาท ลดลง 23,454 ล้านบาท หรือร้อยละ 71.6 จากกำไรสุทธิ จำนวน 32,765 ล้านบาท ใน 402566 จากขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนและตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้น แม้ว่า EBITDA เพิ่มขึ้นตามกล่าวข้างต้น ประกอบกับใน 402567 มีการรับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำ (Non-recurring Items) สุทธิภาษีตามสัดส่วนของ ปตท. เป็นขาดทุนประมาณ 5,100 ล้านบาท โดยหลักจากค่าใช้จ่ายตอบแทนส่วนแบ่งกำไรสำหรับบริหารการลงทุนและสร้างมูลค่าเพิ่มของ ปตท. โกลบอล แมนเนจเม้นท์ จำกัด (PTTGM) ประมาณ 2,200 ล้านบาท และประมาณการหนี้สินจาก ค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตของกลุ่มบริษัท Vencorex และ บริษัท พีทีที่ อาซาฮี เคมิคอล จำกัด (PTTAC) ของบริษัท พี่ที่ที่โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC) ประมาณ 2,200 ล้านบาท ขณะที่ใน 402566 มีการรับรู้รายการ Non-recurring Items สุทธิภาษีตามสัดส่วนของ ปตท. เป็นกำไรประมาณ 100 ล้านบาท โดยหลักจากการขายสัดส่วนการลงทุนในโครงการเอซี/อาร์แอล 7 (Cash-Maple) ของบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปีโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP)          ใน 4Q 2567 ปตท. และบริษัทย่อยมี EBITDA จำนวน 93,291 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24,399 ล้านบาท หรือร้อยละ 35.4จากในไตรมาส 3 ปี 2567 ที่จำนวน 68,892 ล้านบาท โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น โดยธุรกิจการกลั่นมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น จากกำไรสต๊อกน้ำมันสุทธิกับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือเพิ่มขึ้น ซึ่งใน 4Q2567 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรประมาณ 1,000 ล้านบาท ขณะที่ใน 3Q2567 มีผลขาดทุนประมาณ 20,000 ล้านบาท นอกจากนี้ Market GRM เพิ่มขึ้น จากส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปส่วนใหญ่กับน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้น แม้ว่าปริมาณขายลดลง ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีปรับตัวลดลงจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบปรับลดลง นอกจากนี้กลุ่มธุรกิจน้ำมันและการค้าปลีกปรับเพิ่มขึ้นจากกำไร ขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรของน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซินปรับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจใหม่และความยั่งยืนปรับลดลง โดยหลักจากกำไรขั้นต้นของ PTTGM ลดลงจากธุรกิจยา ตามยอดการสั่งซื้อยา Lenalidomide ที่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน กำไรสุทธิของ ปตท. และบริษัทย่อยใน 4Q2567 มีจำนวน 9,311 ล้านบาท ลดลง 7,013 ล้านบาท หรือร้อยละ 43.0 จากกำไรสุทธิจำนวน 16,324 ล้านบาทใน 302567 โดยหลักจากขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้น แม้ว่า EBITDA เพิ่มขึ้นตามกล่าวข้างต้น ประกอบกับใน 4Q2567 มีการรับรู้รายการ Non-recurring Items สุทธิภาษีตามสัดส่วนของ ปตท. เป็นขาดทุนประมาณ 5,100 ล้านบาท โดยหลักจากค่าใช้จ่ายตอบแทนส่วนแบ่งกำไรสำหรับบริหารการลงทุนและสร้างมูลค่าเพิ่มของ PTTGM ประมาณ 2,200 ล้านบาท และประมาณการหนี้สินจากค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตของกลุ่มบริษัท Vencorex และ PTTAC ของ GC ประมาณ 2,200 ล้านบาท ขณะที่ใน 302567 มีการรับรู้รายการ Non-recurring Items สุทธิภาษีตามสัดส่วนของปตท. เป็นขาดทุนประมาณ 9,500 ล้านบาท โดยหลักจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของกลุ่มบริษัท Vencorex และ PTTAC ของ GC          ในปี 2567 ปตท. และบริษัทย่อยมี EBITDA จำนวน 396,234 ล้านบาท ลดลง 30,661 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.2จากปี 2566 ที่จำนวน 426,895 ล้านบาท โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น โดยธุรกิจการกลั่นมีผลการดำเนินงานลดลง จาก Market GRM ที่ลดลง ประกอบกับมีผลขาดทุนสต๊อกน้ำมันสุทธิกับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือเพิ่มขึ้น ซึ่งในปี 2567 ปตท. และบริษัทย่อยมีผลขาดทุนประมาณ 13,000 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2566 เป็นขาดทุนประมาณ 2,000 ล้านบาทอย่างไรก็ตาม ธุรกิจปีโรเคมีมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นตามส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ และปริมาณขายที่ปรับตัวสูงขึ้นกลุ่มธุรกิจก๊าซฯ มีผลการดำเนินงานลดลงจากธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ จากต้นทุนขายที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการเริ่มใช้นโยบาย Single Pool แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยและปริมาณขายปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจจัดหาและค้าส่งก๊าซฯ รวมถึงธุรกิจ NGV มีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากต้นทุนค่าเนื้อก๊าซฯ ปรับลดลงตามราคา Pool Gas รวมทั้งธุรกิจระบบท่อส่งก๊าซฯ มีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเช่นกันจากปริมาณการจองใช้ท่อส่งก๊าซฯ ที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการของลูกค้า กลุ่มธุรกิจน้ำมันและการค้าปลีกมีผลการดำเนินงานลดลงจากกำไร ขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรและปริมาณขายเฉลี่ยที่ลดลงโดยหลักจากน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซิน          อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นตามรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นตามที่กล่าวข้างต้น แม้ว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเนื่องจากค่าใช้จ่ายจากกิจกรรมซ่อมบำรุงเพิ่มขึ้น ในปี 2567 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 90,072 ล้านบาทลดลง 21,952 ล้านบาท หรือร้อยละ 19.6 จากปี 2566 ที่จำนวน 112,024 ล้านบาท โดยหลักจาก EBITDA ที่ลดลงตามกล่าว ข้างต้น ประกอบกับค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้น และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลง อีกทั้งในปี 2567 มีการรับรู้รายการ Non-recurring Items สุทธิภาษีตามสัดส่วนของ ปตท. เป็นขาดทุนประมาณ 4,500 ล้านบาท โดยหลักจากการด้อยค่าและประมาณการค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตของกลุ่มบริษัท Vencorex และ PTTAC ของ GC ประมาณ 10,500 ล้านบาทขณะที่ในปี 2566 มีการรับรู้รายการ Non-recuring Items สุทธิภาษีตามสัดส่วนของ ปตท. เป็นกำไรประมาณ 300 ล้านบาทโดยหลักจากการขายสัดส่วนการลงทุนในโครงการ Cash-Maple ของ PTTEP

[ภาพข่าว] กลุ่ม ปตท. เดินหน้าสู่ Net Zero ศึกษาการใช้ CCUS และไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำ

[ภาพข่าว] กลุ่ม ปตท. เดินหน้าสู่ Net Zero ศึกษาการใช้ CCUS และไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำ

          วานนี้ (19 กุมภาพันธ์ 2568) ผู้บริหารกลุ่ม ปตท. นำโดย ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงโครงการศึกษาความเป็นไปได้การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture Utilization and Storage: CCUS) และบันทึกข้อตกลงการพัฒนาธุรกิจและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำของกลุ่ม ปตท. เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ครอบคลุมการศึกษาโครงสร้างต้นทุนที่เหมาะสม ความคุ้มค่าเชิงเศรษฐศาสตร์ และความสามารถในการแข่งขันของกลุ่ม ปตท. ตอกย้ำพันธกิจของ กลุ่ม ปตท. ในการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความยั่งยืนในระดับสากล โดยมีผู้บริหารระดับสูงกลุ่ม ปตท. ร่วมลงนาม ประกอบด้วยบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)

PTT Station & Café Amazon คว้ารางวัล World Branding Awards 8 ปีซ้อน!

PTT Station & Café Amazon คว้ารางวัล World Branding Awards 8 ปีซ้อน!

           หุ้นวิชั่น - PTT Station และ Café Amazon ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR สร้างประวัติศาสตร์คว้ารางวัล World Branding Awards 2024-2025 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8     ในฐานะแบรนด์แห่งปี (Brand of the Year) สะท้อนความสำเร็จของแบรนด์ไทยบนเวทีระดับโลก โดย PTT Station ได้รับรางวัลในหมวด Petrol/Gas Stations และ Café Amazon ได้รับรางวัลในหมวด Retailer – Coffee ซึ่งทั้งสองเป็นแบรนด์ไทยเพียงแบรนด์เดียวที่ได้รับรางวัลในแต่ละหมวดหมู่            ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) เปิดเผยว่า รางวัลนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อ PTT Station และ Café Amazon เรามุ่งมั่นพัฒนาและยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภคทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตควบคู่ไปกับการสร้างคุณค่าให้กับลูกค้า สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “Empowering All toward Inclusive Growth” หรือ “เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโต ร่วมกัน”           ตลอดเวลาที่ผ่านมา PTT Station เป็นผู้นำสถานีบริการน้ำมันที่ผู้บริโภคไว้วางใจด้วยส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 และมาตรฐานคุณภาพน้ำมันระดับสากลที่ผ่านการคัดสรรสารเติมแต่งจากบริษัทชั้นนำระดับโลก พร้อมตอกย้ำความเชื่อมั่นด้วยการควบคุมคุณภาพน้ำมันในทุกขั้นตอน ตั้งแต่น้ำมันออกจากโรงกลั่นจนถึงมือผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในคุณภาพระดับสากลและมาตรฐานเดียวกันใน PTT Station ทุกสาขาทั่วประเทศ พร้อมนำเสนอสินค้าและบริการที่ครบครันภายในสถานีบริการ เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค และเป็นพื้นที่ดูแลผู้คน ชุมชน และสิ่งแวดล้อมให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน ขณะที่ Café Amazon แบรนด์กาแฟที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในประเทศไทย ด้วยยอดขายที่สูงที่สุดในตลาดกว่า 400 ล้านแก้วต่อปี พร้อมสร้างประสบการณ์การบริโภคที่ครบวงจรและตอบโจทย์วิถีชีวิตของผู้บริโภคได้อย่างรอบด้าน จากแนวคิด “กาแฟที่แฟร์กับคนทั้งโลก” โดยให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งแฟร์กับสิ่งแวดล้อม ผ่านการคัดสรรวัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติ แฟร์กับผู้ขาดโอกาส ผ่านการสนับสนุนเกษตรกรและการจ้างงานผู้ด้อยโอกาส และแฟร์กับผู้บริโภค ด้วยเครื่องดื่มคุณภาพ         สำหรับ World Branding Awards จัดขึ้นโดย World Branding Forum องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรระดับโลก ซึ่งพิจารณารางวัลจาก การประเมินคุณค่าของแบรนด์ (Brand Valuation) การได้รับการยอมรับจากสาธารณชน ผ่านการโหวตออนไลน์ (Public Online Voting) และการวิจัยผู้บริโภคในตลาดนั้น ๆ (Consumer Market Research) โดย PTT Station และ Café Amazon เป็นแบรนด์ไทยเพียงแบรนด์เดียว ที่ได้รับรางวัลในหมวดของตน สะท้อนถึงการเป็นแบรนด์ที่ได้รับความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคทั่วโลก [PR News]

PTTปันผลสม่ำเสมอ โบรกชี้พื้นฐาน35บ.

PTTปันผลสม่ำเสมอ โบรกชี้พื้นฐาน35บ.

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. หยวนต้า คาด 4Q24 บรรทัดสุดท้ายถูกฉุดด้วยขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน คาด 4Q24 กำไรสุทธิจะทำได้ 8.7 พันล้านบาท (-46% QoQ, -73% YoY) โดยเมื่อเทียบกับ 3Q24 แม้ผลประกอบการของบริษัทลูกจะปรับตัวดีขึ้นทุกธุรกิจ หนุนจากการฟื้นตัวของค่าการกลั่น, อุปสงค์น้ำมันในประเทศเพิ่มขึ้นช่วงเทศกาลท่องเที่ยว, ไม่มีผลขาดทุนสต็อกน้ำมัน (vs ขาดทุนสต็อกราว 1 หมื่นล้านบาท ใน 3Q24), รายการด้อยค่าสินทรัพย์ของบริษัทในเครือลดลงมาก           อย่างไรก็ตาม ภาพรวมผลประกอบการ 4Q24 ไม่เด่น เพราะคาดว่าธุรกิจก๊าซที่ PTT ดำเนินงานเองจะประคองตัว – ลดลงเล็กน้อย QoQ เนื่องจากปัจจัยบวกจากการลดลงของต้นทุนก๊าซ (อุปทานก๊าซในอ่าวไทยฟื้นตัวหลังผ่านช่วงปิดซ่อมบำรุงใน 3Q24 ทำให้ปริมาณนำเข้า LNG ที่ราคาแพงลดลง) และอัตราใช้กำลังผลิตของโรงแยกก๊าซ (GSP) ที่สูงขึ้นเพราะไม่มีการปิดซ่อมบำรุง (vs หยุดซ่อม GSP #1, #5, #6 ใน 3Q24) จะถูกชดเชยด้วย 1. การปรับตัวลงของ ASP ตามโครงสร้างราคาขายก๊าซอ้างอิงราคาน้ำมันเตา และปิโตรเคมี 2. ยอดขายก๊าซปรับตัวลง QoQ สาเหตุหลักจากอุปสงค์ภาคผลิตไฟฟ้าลดลงตามปัจจัยฤดูกาล และการปิดซ่อมบำรุงของลูกค้าภาคอุตสาหกรรม 3. ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน และป้องกันความเสี่ยงสุทธิราว 8.5 พันล้านบาท แนวโน้มผลประกอบการ 1Q25 ฟื้นตัว           นับตั้งแต่ต้นปี 2025 อุณหภูมิในประเทศไทยอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ความต้องการใช้ก๊าซ 1Q25 จากภาคผลิตไฟฟ้ายังไม่เร่งตัวขึ้นมาก ขณะที่อัตรากำไรของธุรกิจการกลั่น – ปิโตรเคมีของบริษัทลูกจะได้รับแรงกดดันจากการชะลอตัวของค่าการกลั่น, ต้นทุนน้ำมันสูงขึ้น, Spread ปิโตรเคมีอยู่ระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม เราคาดผลประกอบการของ PTT จะฟื้นตัว QoQ จากฐานต่ำ เพราะขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนจำนวนมากไม่เกิดขึ้น (1QTD เงินบาทพลิกเป็นแข็งค่า), ค่าใช้จ่ายลดลงตามปัจจัยฤดูกาล, ค่าใช้จ่ายพิเศษของบริษัทลูกลดลง ประเมินกำไรปี 2025 ยังสามารถรักษาระดับได้ดีแม้ทิศทางราคาพลังงานชะลอตัว           แนวโน้ม 4Q24 ที่อาจทำได้น้อยกว่ามุมมองก่อนหน้า เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2024-2025 ลง 10-16% เป็น 9.0 หมื่นล้านบาท (-20% YoY) และ 9.3 หมื่นล้านบาท (+3% YoY) โดยแม้ราคาน้ำมันดิบปี 2025 มีแนวโน้มลดลง YoY เป็น US$75/bbl (vs US$80/bbl ในปี 2024) แต่เราประเมินว่าผลประกอบการปี 2025 ยังมีเสถียรภาพรักษาระดับได้ดี เติบโตเล็กน้อย YoY หนุนจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจต้นน้ำ, ธุรกิจก๊าซ, ธุรกิจค้าปลีก รวมทั้งการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพ และลดค่าใช้จ่าย โดดเด่นด้านความมั่นคง เงินปันผลสม่ำเสมอ           จากการปรับประมาณการข้างต้น และสะท้อนการปรับปรุงมูลค่าพื้นฐานของบริษัทลูกในช่วงที่ผ่านมา เราประเมินราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2025 ใหม่ที่ 35.00 บาท (SOTP) คงคำแนะนำ TRADING มองว่าหุ้นจะเป็นแหล่งพักเงินที่ดีช่วงตลาดหุ้นผันผวน เพราะมีจุดเด่นจากโครงสร้างธุรกิจบูรณาการครบวงจร ช่วยให้ผลประกอบการมั่นคง ผันผวนน้อยกว่าคู่แข่ง ฐานะการเงินแข็งแกร่ง (Net IBD/E 0.4 เท่า) และสามารถจ่ายเงินปันผลได้สม่ำเสมอ คาดเงินปันผลงวด 2H24 ที่ 0.90 บาท/หุ้น คิดเป็น Yield 3.0% (ประกาศผลประกอบการวันที่ 20 ก.พ.)

ปตท.จับมือกทม. จัดจุดเช็คอิน “มหัศจรรย์เปรมประชาวนารักษ์”   เพื่อความสุขทุกคน 

ปตท.จับมือกทม. จัดจุดเช็คอิน “มหัศจรรย์เปรมประชาวนารักษ์”  เพื่อความสุขทุกคน 

           หุ้นวิชั่น - ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) นางวันทนีย์ วัฒนะ ปลัดกรุงเทพมหานคร และ นายเชาวลิต เมธยะประภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัท ครอบครัวขนส่ง (2002) จำกัด ร่วมเปิดงาน “มหัศจรรย์เปรมประชาวนารักษ์” จัดเต็มกิจกรรมตลอด 3 วัน ระหว่างวันที่ 7 – 9 ก.พ. เวลา 15.00 – 20.00 น. บนพื้นที่ “สวนเปรมประชาวนารักษ์” สวนสาธารณะแห่งใหม่ ณ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร พร้อมเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. 2568 เป็นต้นไป            ดร.คงกระพัน เปิดเผยว่า สวนเปรมประชาวนารักษ์ ถูกออกแบบให้เป็นสวนใจกลางเมือง มีเส้นทางสัญจรที่เชื่อมต่อระบบล้อ (ถนนวิภาวดีรังสิต) ราง (สถานีรถไฟฟ้าสายสีแดง-ทุ่งสองห้อง) เรือ (คลองเปรมประชากร) และทางอากาศ เพื่อประชาชนได้ใช้ประโยชน์ สัมผัสธรรมชาติ พร้อมกับศึกษาโครงการพระราชดำริตามพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสายน้ำ คูคลอง สิ่งแวดล้อมเมือง และคุณภาพชีวิตประชาชน ผ่านอาคารนิทรรศการชลวิถีธีรพัฒน์ ซึ่งในวันนี้ ปตท. ร่วมกับกรุงเทพมหานครและบริษัทครอบครัวขนส่ง จัดงาน “มหัศจรรย์เปรมประชาวนารักษ์” เพื่อเปิดให้ประชาชนได้สัมผัสบรรยากาศพื้นที่สีเขียวแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานครแห่งนี้อย่างเป็นทางการ            โดยกิจกรรมหลากหลายภายในงาน ประกอบด้วย การล่องเรือในคลองเปรมประชากร เส้นทางสวนเปรมประชาวนารักษ์ ถึงสะพานรัชวิภา ระยะทางไป-กลับประมาณ 7 กิโลเมตร ชมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “ชลวิถีธีรพัฒน์” บอกเล่าเรื่องราวของโครงการพระราชดำริตามพระบรมราโชบายในการสืบสาน รักษา ต่อยอด ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มุ่งเน้นโครงการฯ การพัฒนาแหล่งน้ำต่าง ๆ ทั่วประเทศ ไหว้ขอพรศาลเจ้าแม่ทับทิม และไหว้เสริมสิริมงคล ณ โรงเจ ซึ่งปัจจุบัน ปตท. ได้จัดสรรพื้นที่ส่วนหนึ่งของสวนฯ บริเวณติดคลองเปรมประชากร จัดสร้างเป็นอาคารในรูปแบบที่ทันสมัย เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชน เพลิดเพลินกับบทเพลงในสวนโดยศิลปินน้อง ๆ มัธยมและมหาวิทยาลัย การแสดงน้ำพุประกอบแสง สี เสียง บทเพลง "พระราชาผู้ปิดทองหลังพระ" การแสดงละครเพลง “สายนทีแห่งราชัน เดอะ มิวสิคัล” พร้อม 3D Mapping บนต้นไทร ครั้งแรกในประเทศไทย ละครเพลงสื่อสารชีวิตริมสายน้ำที่ดีขึ้นจากพระมหากรุณาธิคุณ โดยความร่วมมือของศิลปินระดับชาติ ร่วมกับ วงดนตรี รอยัล แบงค์คอก ซิมโฟนี ออร์เคสตร้า (Royal Bangkok Symphony Orchestra: RBSO) และนักแสดง นักเต้นกว่า 73 ชีวิต พร้อมด้วยมัลติมีเดียพิเศษ 3D Mapping เต็มรูปแบบ นอกจากนี้ยังมีเวิร์กชอปงานศิลปะโดยศิลปินที่มีชื่อเสียง คิดส์โซนสำหรับเด็กและขบวนพาเหรดนำโดยพี่ก๊อดจิ ตลอด 3 วัน รวมทั้งโซนอาหารภายในงาน สัมผัสร้านดัง Street food ระดับมิชลิน ร้านดาราหรือเชฟชื่อดัง และร้านค้าจากชุมชน ร้านสินค้า OTOP จากเขตจตุจักร เขตบางซื่อ เขตหลักสี่ และเขตดอนเมือง            อนึ่ง สวนเปรมประชาวนารักษ์ จัดสร้างขึ้นโดยความร่วมมือของ ปตท. ร่วมกับหน่วยราชการในพระองค์ พร้อมภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ รับสนองพระราชปณิธาน ร่วมกันพัฒนาโครงการคลองเปรมประชากร ให้มีความมั่นคง มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และร่วมพัฒนาพื้นที่ถนนกำแพงเพชร 6 แนวขนานคลองเปรมประชากร เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร ด้วยการจัดสรรพื้นที่จำนวน 10 ไร่ ซึ่งจากเดิมเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่า นำมาออกแบบจัดสร้างเป็นสวนสาธารณะภายใต้แนวคิด “สืบสาน รักษา ต่อยอด” โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานชื่อสวนแห่งนี้ว่า “เปรมประชาวนารักษ์” และเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดสวนเปรมประชาวนารักษ์ พร้อมกับทรงปลูกต้นประดู่ป่า จำนวน 1 ต้น ซึ่งเพาะเมล็ดจากต้นประดู่ป่าที่ทรงปลูกต้นที่ 100 ล้าน ณ แปลงปลูกป่า FPT 49 ในโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ 1 ล้านไร่ ของ ปตท. ณ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงปลูกต้นพิกุล จำนวน 1 ต้น เพื่อเป็นสิริมงคล เสริมส่งความร่มเย็นในพื้นที่            สวนเปรมประชาวนารักษ์ จึงถือเป็นแลนด์มาร์กสีเขียวแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร เป็นสวนสาธารณะเพื่อประชาชนได้ใช้ประโยชน์ สมกับที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานสวนสาธารณะแห่งนี้ ให้เป็นพื้นที่สำหรับประชาชนได้มาพักผ่อนหย่อนใจ ใช้เป็นพื้นที่สันทนาการ เชื่อมโยงวิถีชุมชนโดยรอบ โดยภายหลังจากงาน “มหัศจรรย์เปรมประชาวนารักษ์” จะเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ ซึ่ง สวนเปรมประชาวนารักษ์ จะเปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 5.00 - 20.00 น.

PTT ปิดบริษัทย่อย PTTIH ตามแผนยุติลงทุนธุรกิจฐานที่ตั้ง – ไม่กระทบการดำเนินงาน

PTT ปิดบริษัทย่อย PTTIH ตามแผนยุติลงทุนธุรกิจฐานที่ตั้ง – ไม่กระทบการดำเนินงาน

          บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (“ปตท.”) ขอเรียนให้ทราบว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท ปตท. โกลบอล แมนเนจเม้นท์ จำกัด (“PTTGM”) ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ได้มีมติอนุมัติให้ดำเนินการปิดบริษัท PTT International Holdings Limited (“PTTIH”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ ปตท. ถือหุ้นผ่าน PTTGM ในสัดส่วน 100% โดยคาดว่าจะดำเนินการจดทะเบียนเลิกกิจการแล้วเสร็จภายในปี 2569           ทั้งนี้ การปิดบริษัท PTTIH สอดคล้องกับนโยบายของ ปตท. ในการยุติการลงทุนในธุรกิจฐานที่ตั้ง (station-based business) รวมถึง ปัจจุบันไม่มีบริษัทหรือโครงการลงทุนใด ๆ อยู่ภายใต้การถือหุ้นของ PTTIH ดังนั้น การปิดบริษัทดังกล่าว จะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของ ปตท.           รายการดังกล่าว ไม่ใช่รายการที่เกี่ยวโยงกัน และ ขนาดของรายการไม่เข้าข่ายที่จะต้องรายงานสารสนเทศตามหลักเกณฑ์การได้มาและจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียน แต่เป็นการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งเงินลงทุนในบริษัทอื่น ซึ่งส่งผลให้บริษัทนั้นสิ้นสภาพหรือสิ้นสภาพการเป็นบริษัทย่อยของบริษัทจดทะเบียนหรือของบริษัทย่อยนั้น ๆ ส่งผลให้ PTTIH สิ้นสภาพการเป็นบริษัทย่อยของ ปตท.

ราคาน้ำมันดิบปิดบวกต่อ หนุนหุ้นพลังงาน เน้น PTTEP-PTT

ราคาน้ำมันดิบปิดบวกต่อ หนุนหุ้นพลังงาน เน้น PTTEP-PTT

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) น้ำมันดิบ Brent +2.7%d-d ปิดที่ USD 82.5 /barrel. น้ำมันดิบ West Texas + 3.28%d-d ปิดที่ USD 80.0/barrel แรงหนุนจาก ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า และอุปทานน้ำมันที่จะหายไปหลังสหรัฐคว่ำบาตรรัสเซียล่าสุด และล่าสุด EIA รายงานคลังน้ำมันดิบสำรองของประเทศลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2022 หลังส่งออกเพิ่มขึ้นและนำเข้าน้อยลง มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ เน้น PTTEP, PTT

กลุ่ม ปตท. ร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

กลุ่ม ปตท. ร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

          หุ้นวิชั่น - วันนี้ (14 ม.ค. 2568) – ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท.  พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและพนักงาน กลุ่ม ปตท. ร่วมจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีสมมงคล พระชนมายุ 26,469 วัน เท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระปฐมบรมกษัตริยาธิราชแห่งพระราชวงศ์จักรี โดยประกอบด้วยพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาถวายพระราชกุศล พิธีถวายพระพรชัยมงคล ถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติถวายพระพร อีกทั้งคณะผู้บริหารและพนักงานร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ แสดงความจงรักภักดีโดยพร้อมเพรียงกัน ณ อาคาร ปตท. สำนักงานใหญ่

PTT กำไร Q4 ฟื้นชัด  มีปันผล 2 บาท ค้ำ

PTT กำไร Q4 ฟื้นชัด มีปันผล 2 บาท ค้ำ

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์  ระบุ  PTT กำไร 3Q67 1.6 หมื่นล้านบาท ลดลงทั้ง QoQ, YoY จากบริษัทลูกในกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมีเป็นหลัก โดยกำไรจากธุรกิจก๊าซเพิ่มขึ้น QoQ จากฐานต่ำในไตรมาสก่อนที่มีการปรับต้นทุน Single Pool ย้อนหลัง           คาดกำไรปกติ 4Q67F กลับมาเพิ่มขึ้นตามค่าการกลั่นเพิ่มขึ้น กำไรของ OR เพิ่มขึ้นตามปริมาณขายน้ำมัน และธุรกิจ Trading ตามการฟื้นตัวจากฐานต่ำ           การมีฐานธุรกิจที่กว้างขวางจะช่วยรักษาเสถียรภาพของกำไรได้ดี ทำให้คาดว่าจะรักษาการจ่ายเงินปันผล 2 บ./หุ้น D/P 6.3% แม้ว่าราคาน้ำมันดิบจะลดลง           แนวรับ=31/31.5 แนวต้าน=33/33.75           PTT | ซื้อ | TP=37 บ.

ปตท. คว้าอันดับ 1 โลกความยั่งยืนจาก S&P Global พร้อมมุ่งมั่นเติบโตยั่งยืนระดับโลก

ปตท. คว้าอันดับ 1 โลกความยั่งยืนจาก S&P Global พร้อมมุ่งมั่นเติบโตยั่งยืนระดับโลก

          หุ้นวิชั่น - วันนี้ (23 ธันวาคม 2567) – ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า ปตท. ได้รับคะแนนการประเมินด้านความยั่งยืน (Corporate Sustainability Assessment : CSA) ณ วันที่ 23 ธันวาคม 2567 เป็นอันดับที่ 1 ของโลก ในกลุ่มอุตสาหกรรม Oil & Gas Upstream & Integrated (OGX) และได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีโลก (World Index) และดัชนีตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market Index) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 13 สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานตามวิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” ดำเนินธุรกิจบนหลักการ “ยั่งยืนอย่างสมดุล” ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีพันธกิจในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศไทย สร้างการเติบโตควบคู่กับการบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก           นอกจากนี้ บริษัทในกลุ่ม ได้แก่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปตท. นํ้ามัน และการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ยังได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิก DJSI อีกด้วย           Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) เป็นดัชนีหลักทรัพย์ของบริษัทชั้นนำระดับสากลกว่า 3,500 บริษัททั่วโลก ที่ผ่านการประเมินความยั่งยืนขององค์กร (Corporate Sustainability Assessment: CSA) และคัดกรองโดย S&P Global ถือเป็นดัชนีที่ใช้ประเมินการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัทที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลจากผู้ลงทุนสถาบันและกองทุนต่าง ๆ ทั่วโลก

PTT-PTTEP ลุยลงทุน5ปี ปักธงพลังงานสะอาด

PTT-PTTEP ลุยลงทุน5ปี ปักธงพลังงานสะอาด

           หุ้นวิชั่น - PTT อัดงบ 54,463 ล้านบาท 5 ปี! เดินหน้าขยายท่อก๊าซ  เสริมแกร่งความมั่นคงพลังงาน ศึกษาและแสวงหาโอกาสในการขยายการลงทุน ด้าน  PTTEP ประกาศแผนลงทุน 5 ปี (2568-2572) วงเงินรวม 1.74 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เน้นขยายธุรกิจพลังงานสะอาด พลังงานลมนอกชายฝั่ง ไฮโดรเจน และเทคโนโลยี CCS มุ่งสู่เป้าหมายปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593            นางสาวภัทรลดา สง่าแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)หรือ PTT รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (“ปตท.”) ขอเรียนให้ทราบว่า คณะกรรมการ ปตท. ในการประชุมครั้งที่ 12/2567 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ได้มีมติอนุมัติงบลงทุน 5 ปี (ปี 2568 - 2572) ของ ปตท. และบริษัทที่ ปตท. ถือหุ้น ร้อยละ 100 วงเงินรวม 54,463 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้            ปตท. มีการลงทุนในธุรกิจหลัก (Core Business) เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานควบคู่กับการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ ปตท. “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” โดยเงินลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ และธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย คิดเป็นสัดส่วนประมาณ ร้อยละ 64 ของงบลงทุน 5 ปี            โครงการหลักที่สำคัญ ได้แก่ โครงการท่อส่งก๊าซฯ บางปะกง – โรงไฟฟ้าพระนครใต้ โรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 7รวมถึงการลงทุนเพื่อแสวงหาโอกาสในการขยายธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศอย่างครบวงจร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน            ขณะเดียวกัน ปตท. ยังมีการลงทุนผ่านบริษัทที่ ปตท. ถือหุ้น ร้อยละ 100 เช่นการลงทุนของบริษัทในกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ การลงทุนในธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย เช่น โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 และ โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3            นอกจากนี้ ปตท. ยังคงศึกษาและแสวงหาโอกาสในการขยายการลงทุนในอนาคต เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันตามวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ของกลุ่ม ปตท.            ด้านนางชนมาศ ศาสนนันทน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานการเงินและการบัญชี บริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ขอแจ้งแผนการดําเนินงานประจําปี 2568 ของ ปตท.สผ. และบริษัทย่อย (ปตท.สผ.) ภายใต้แผนกลยุทธ์ Drive-Decarbonize-Diversify เพื่อขับเคลื่อนและเพิ่มมูลค่าธุรกิจสํารวจและผลิตปิโตรเลียม และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 รวมถึงขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจใหม่เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) โดยจัดสรรงบประมาณประจําปี 2568 รวมทั้งสิ้น 7,819 ล้านดอลลาร์ สรอ. ประกอบด้วยรายจ่ายลงทุน (Capital Expenditure) จํานวน 5,299 ล้านดอลลาร์ สรอ. และรายจ่ายดําเนินงาน (Operating Expenditure) จํานวน 2,520 ล้านดอลลาร์ สรอ.            เป้าหมายการดําเนินงานของบริษัทในปี 2568 ยังคงมุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศไทย ควบคู่ไปกับการสร้างความแข็งแกร่งและขยายการลงทุนในธุรกิจสํารวจและผลิตปิโตรเลียมในต่างประเทศ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยให้ความสําคัญกับแผนงานหลัก ดังนี้ 1.เพิ่มปริมาณการผลิตปิโตรเลียมจากโครงการปัจจุบัน โครงการผลิตหลักที่สําคัญเพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางพลังงานของประเทศไทย ได้แก่ โครงการจี 1/61 (แหล่งเอราวัณ) โครงการจี 2/61 (แหล่งบงกช) โครงการอาทิตย์ โครงการเอส 1 โครงการคอนแทร็ค 4 โครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย โครงการซอติก้า และ โครงการยาดานา ในประเทศเมียนมา ที่มีการนําก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้เข้ามาใช้ในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีโครงการผลิตหลักในต่างประเทศที่สําคัญ เช่น โครงการในประเทศมาเลเซีย โครงการในประเทศโอมาน โดยได้จัดสรรรายจ่ายลงทุนจํานวน 3,676 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพื่อสนับสนุนกิจกรรมดังกล่าว            นอกจากนี้ ยังมีแผนงานสําหรับกิจกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 โดยครอบคลุม Scope 1 (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง) และ Scope 2 (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน) ในธุรกิจสํารวจและผลิตปิโตรเลียมที่ ปตท.สผ. เป็นผู้ดําเนินการ (Operational Control) พร้อมทั้งกําหนดเป้าหมายระหว่างทาง (Interim Target) ในการลดปริมาณความเข้มของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Emission Intensity) จากปีฐาน 2563 ให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 และร้อยละ 50 ภายในปี 2573 และ 2583 ตามลําดับ โดยได้ตั้งงบประมาณสําหรับกิจกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2568 ทั้งสิ้นจํานวน 77 ล้านดอลลาร์ สรอ. 2.เร่งผลักดันโครงการหลักที่อยู่ในระยะพัฒนา (Development Phase) โครงการหลักที่อยู่ในระยะพัฒนา ได้แก่ โครงการสัมปทานกาชา โครงการอาบูดาบี ออฟชอร์ 2 โครงการโมซัมบิก แอเรีย 1 รวมถึงโครงการพัฒนาในประเทศมาเลเซีย เช่น โครงการมาเลเซีย เอสเค405บี โครงการมาเลเซีย เอสเค417 โครงการมาเลเซีย เอสเค438 โดยจัดสรรรายจ่ายลงทุนเป็นจํานวนเงินทั้งสิ้น 1,464 ล้านดอลลาร์ สรอ. 3.เร่งดำเนินการสำรวจในโครงการปัจจุบัน ทั้งโครงการที่อยู่ในระยะสำรวจ โครงการในระยะพัฒนา รวมถึงโครงการที่ดำเนินการผลิตแล้ว เพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว โดยจัดสรรรายจ่ายลงทุนจำนวน 127 ล้านดอลลาร์ สรอ. สำหรับการเจาะหลุมสำรวจและประเมินผลของโครงการในประเทศไทย ประเทศมาเลเซีย และประเทศเมียนมา            ปตท.สผ. ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยได้เริ่มดำเนินการขยายไปสู่ธุรกิจใหม่เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน จึงได้สำรองงบประมาณ 5 ปี (2568-2572) เพิ่มเติมจากงบประมาณข้างต้นอีกจำนวน 1,747 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพื่อรองรับการขยายการลงทุนในธุรกิจ พลังงานลมนอกชายฝั่ง, ธุรกิจดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS as a Service), ธุรกิจเชื้อเพลิงไฮโดรเจน และการลงทุนในธุรกิจและเทคโนโลยีผ่านบริษัทย่อยที่จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินงานในรูปแบบ Corporate Venture Capital (CVC)            ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมขององค์กรในช่วงการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำในอนาคต พร้อมกับการดูแลสังคมและชุมชนโดยรอบพื้นที่ปฏิบัติการของบริษัท เพื่อสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายต่อไป

[ภาพข่าว] ปตท. ผนึก เบทาโกร มุ่งนวัตกรรมพลังงาน - ระบบจัดการของเสีย

[ภาพข่าว] ปตท. ผนึก เบทาโกร มุ่งนวัตกรรมพลังงาน - ระบบจัดการของเสีย

          หุ้นวิชั่น - เมื่อเร็ว ๆ นี้ – บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนานวัตกรรมพลังงานและระบบบริหารจัดการของเสียอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนกับ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) (เบทาโกร) โดยมี ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และความยั่งยืน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นายประสงค์ อินทรหนองไผ่ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารกลยุทธ์กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และนายชยธร แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่ กลุ่มงานกลยุทธ์และนวัตกรรม บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนาม เพื่อแสวงหาโอกาสในการต่อยอดนวัตกรรมพลังงานสะอาดด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และดิจิทัล อาทิ การใช้แพลตฟอร์มซื้อขายใบรับรองเครดิตการผลิตพลังงานหมุนเวียนของ ปตท. การพัฒนานวัตกรรมพลังงาน และระบบบริหารจัดการของเสียอุตสาหกรรม อาทิ การนำน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วของเบทาโกร ไปผลิตเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบบำบัดน้ำเสียที่สร้างมูลค่าเพิ่มและเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมไทยเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

ปตท. ย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยหลักธรรมาภิบาล

ปตท. ย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยหลักธรรมาภิบาล

หุ้นวิชั่น - วันนี้ (3 ธันวาคม 2567) – ปตท. ได้กล่าวถึงการเผยแพร่ข่าวผ่านสื่อสังคมออนไลน์พาดพิงผู้บริหารของกลุ่ม ปตท. และมีการเผยแพร่ลิงค์เพื่อให้ดาวน์โหลดหนังสือของ DSI นั้น ตามที่ ปตท. ได้แจ้งสารสนเทศต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไปแล้วเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 ว่าข้อมูลที่ได้มีการเผยแพร่ผ่านสื่อต่าง ๆ มีเนื้อหาที่คลาดเคลื่อนจากความจริง อันส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดในวงกว้าง ทั้งยังส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของ ปตท. บริษัทในกลุ่ม ปตท. ตลอดจนผู้บริหารของกลุ่ม ปตท. นอกจากนี้ การเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวได้ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อราคาหุ้นของกลุ่ม ปตท. สร้างความเสียหายต่อผู้ถือหุ้นโดยรวม ดังนั้นเพื่อรักษาความเชื่อมั่น ตลอดจนเพื่อมิให้มีการกระทำที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อการลงทุนของนักลงทุนจากการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากความจริง ปตท. จึงได้ดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) รวมถึงรายงานต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้มีการตรวจสอบและพิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย ทั้งนี้ ปตท. และบริษัทในกลุ่ม ปตท. ยังคงมุ่งมั่นในการรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ พร้อมทั้งยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาล โดยมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี และดำเนินการอย่างเคร่งครัดภายใต้นโยบายที่ชัดเจน โปร่งใส และตรวจสอบได้ นอกจากนี้ กลุ่ม ปตท. ยังมุ่งเน้นการสร้างประโยชน์สูงสุดให้แก่ประเทศชาติและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างครอบคลุมและเป็นธรรม

DSI ชี้ PTT-OR อยู่ในขั้นสืบสวน ยันเอกสารที่เผยแพร่สื่อ ไม่ใช่ของ DSI

DSI ชี้ PTT-OR อยู่ในขั้นสืบสวน ยันเอกสารที่เผยแพร่สื่อ ไม่ใช่ของ DSI

PTT-OR ชี้ ข่าว DSI บิดเบือนความจริง ลุยทางกฎหมายปกป้องชื่อเสียง

PTT-OR ชี้ ข่าว DSI บิดเบือนความจริง ลุยทางกฎหมายปกป้องชื่อเสียง

หุ้นวิชั่น - บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (“ปตท.”) แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า ตามที่มีการเผยแพร่ข่าวผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในลักษณะกล่าวอ้างว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ “สรุปสำนวนเชื่อว่า” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (“ปตท.”) และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (“OR”) (รวมเรียกว่า “ผู้บริหารฯ”) เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีการเผยแพร่ลิงก์จากต่างประเทศเพื่อให้ดาวน์โหลดหนังสือจากกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้น ปตท. ขอเรียนชี้แจงดังนี้ 1. ข่าวดังกล่าวมีที่มาจากการที่มีตัวแทนของกลุ่มบุคคลที่มีเจตนาไม่สุจริต โดยได้เข้ามาถือหุ้นในบริษัทในเครือของ ปตท. เพียง 100 หุ้น เพื่อใช้เป็นฐานในการยื่นฟ้องคดีผู้บริหารฯ ต่อศาล โดยใช้ข้อกล่าวหาที่ปราศจากมูลความจริง และมีเจตนาสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของ ปตท. บริษัทในเครือ ปตท. และผู้บริหารฯ 2. ข่าวดังกล่าวมีเนื้อหาที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง หนังสือของกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้นเป็นเพียงเอกสารที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวนำมาอ้างเป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ปัจจุบัน ศาลยังไม่ได้รับคำฟ้องดังกล่าว และกรมสอบสวนคดีพิเศษยังไม่ได้มีการสรุปสำนวนตามที่มีการกล่าวอ้างในข่าวดังกล่าวแต่อย่างใด 3. ปตท. เชื่อว่าข่าวดังกล่าวเป็นความพยายามของกลุ่มบุคคลที่มีเจตนาไม่สุจริต ซึ่งพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง พร้อมทั้งพยายามกล่าวหาและโจมตีผู้บริหารฯ มาโดยตลอด โดยกลุ่มบุคคลที่มีเจตนาไม่สุจริตดังกล่าวได้ยื่นเรื่องตามที่ปรากฏเป็นข่าวต่อ ปตท. ให้ ปตท. ตรวจสอบในปี 2566 ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบของ ปตท. และคณะกรรมการตรวจสอบของบริษัทจดทะเบียนในเครือ ปตท. ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดอีก 3 แห่ง ได้แก่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) และบริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามข้อกล่าวหาแล้ว ผลการตรวจสอบปรากฏว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวปราศจากมูลความจริง ธุรกรรมที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของการดำเนินธุรกิจตามปกติและเป็นไปเพื่อประโยชน์ของทั้ง OR และบริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) 4. การกระทำของกลุ่มบุคคลที่มีเจตนาไม่สุจริตในการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อสังคมออนไลน์ มีลักษณะเป็นการกระทำที่มีเป้าประสงค์เพื่อบ่อนทำลายชื่อเสียงของ ปตท. กลุ่มบริษัทในเครือของ ปตท. และผู้บริหารฯ ผ่านกลยุทธ์ที่สะท้อนถึงความไม่โปร่งใส และเจตนาแอบแฝง เช่น การเริ่มต้นเผยแพร่หรือแชร์เอกสารผ่านบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่เป็น “บัญชีอวตาร” ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นบัญชีปลอมหรือไม่สามารถระบุตัวตนผู้ใช้ได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังมีการใช้ลิงก์จากต่างประเทศเพื่อให้ดาวน์โหลดหนังสือของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเป็นความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบและการดำเนินการทางกฎหมาย 5. ปตท. อยู่ระหว่างการดำเนินการตามกฎหมายเพื่อปกป้องชื่อเสียงของกลุ่ม ปตท. ขอให้นักลงทุนใช้วิจารณญาณในการพิจารณาข้อมูลข่าวสารที่ได้รับ และหลีกเลี่ยงการเผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลที่อาจบิดเบือนข้อเท็จจริง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด สร้างความเสียหายต่อกลุ่ม ปตท. และส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น โดยสถานการณ์ดังกล่าวอาจเปิดโอกาสให้กลุ่มบุคคลบางกลุ่มแสวงหาผลประโยชน์ในทางที่ไม่เหมาะสม ในขณะที่ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับผลกระทบด้านลบ นักลงทุนจึงควรตรวจสอบและพิจารณาข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือก่อนตัดสินใจดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ท้ายนี้ ปตท. ขอยืนยันในความมุ่งมั่นต่อการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสและมีธรรมาภิบาล และจะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น ขณะ ที่ OR ระบุว่า ตามที่มีการเผยแพร่ข่าวผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในลักษณะกล่าวอ้างว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ “สรุปสำนวนเชื่อว่า” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (“OR”) และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (“ปตท.”) (รวมเรียกว่า “ผู้บริหารฯ”) เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีการเผยแพร่ลิงก์จากต่างประเทศเพื่อให้ดาวน์โหลดหนังสือจากกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้น OR ขอเรียนชี้แจงดังนี้ 1. ข่าวดังกล่าวมีเนื้อหาที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง หนังสือของกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้น เป็นเพียงเอกสารที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวนำมาอ้างเป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ปัจจุบันศาลยังไม่ได้รับคำฟ้องดังกล่าว และกรมสอบสวนคดีพิเศษเองก็ยังไม่ได้มีการสรุปสำนวนตามที่มีการกล่าวอ้างในข่าวดังกล่าวแต่อย่างใด 2. OR เชื่อว่าข่าวดังกล่าวเป็นความพยายามของกลุ่มบุคคลที่มีเจตนาไม่สุจริต ซึ่งพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง พร้อมทั้งพยายามกล่าวหาและโจมตีผู้บริหารฯ มาโดยตลอด โดยกลุ่มบุคคลที่มีเจตนาไม่สุจริตดังกล่าวได้ยื่นเรื่องตามที่ปรากฏเป็นข่าวต่อ OR ให้ตรวจสอบในปี 2566 ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบของ OR และคณะกรรมการตรวจสอบของบริษัทที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ปตท., บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) และบริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GGC) ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามข้อกล่าวหาแล้ว ผลการตรวจสอบปรากฏว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวปราศจากมูลความจริง ธุรกรรมที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของการดำเนินธุรกิจตามปกติ และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของทั้ง OR และ GGC 3. การกระทำของกลุ่มบุคคลที่มีเจตนาไม่สุจริตในการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อสังคมออนไลน์ มีลักษณะเป็นการกระทำที่มีเป้าประสงค์เพื่อบ่อนทำลายชื่อเสียงของผู้บริหารฯ ผ่านกลยุทธ์ที่สะท้อนถึงความไม่โปร่งใสและเจตนาแอบแฝง เช่น การเริ่มต้นเผยแพร่หรือแชร์เอกสารผ่านบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่เป็น “บัญชีอวตาร” ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นบัญชีปลอมหรือไม่สามารถระบุตัวตนผู้ใช้ได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังมีการใช้ลิงก์จากต่างประเทศเพื่อให้ดาวน์โหลดหนังสือของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเป็นความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบและการดำเนินการทางกฎหมาย 4. OR จะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายที่เหมาะสม เพื่อปกป้องสิทธิ ชื่อเสียง และผลประโยชน์ของกิจการ รวมถึงผู้มีส่วนได้เสียของ OR ทั้งนี้ ขอให้นักลงทุนใช้วิจารณญาณในการพิจารณาข่าวสารที่ได้รับ และหลีกเลี่ยงการแชร์ข้อมูลที่บิดเบือนข้อเท็จจริง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและความเสียหายต่อ OR และส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น โดยสถานการณ์ดังกล่าวอาจเปิดโอกาสให้กลุ่มบุคคลบางกลุ่มแสวงหาผลประโยชน์ในทางที่ไม่เหมาะสม ในขณะที่ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับผลกระทบด้านลบ นักลงทุนจึงควรตรวจสอบและพิจารณาข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือก่อนตัดสินใจดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน OR ขอยืนยันในความมุ่งมั่นต่อการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสและมีธรรมาภิบาล และจะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น

PTT ชงแผนปี 68 กลางธ.ค.นี้ เจรจา “Foxconn” แกนหลักอีวี

PTT ชงแผนปี 68 กลางธ.ค.นี้ เจรจา “Foxconn” แกนหลักอีวี

          ปตท. เตรียมเสนอแผนธุรกิจปี 2568 ต่อคณะกรรมการบริษัทกลางเดือนธันวาคมนี้ โดยให้ความสำคัญกับการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) และการขุดสำรวจของ PTTEP พร้อมตั้งที่ปรึกษาการเงินเพื่อเจรจากับพันธมิตรเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น สำหรับโรงงานร่วมทุนกับ Foxconn ได้หยุดดำเนินการชั่วคราว โดยเจรจากับ Foxconn ให้เป็นแกนหลักดำเนินธุรกิจ โดยเน้นการขยายสถานีชาร์จ EV ทั่วประเทศ           ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า สำหรับภาพรวมระยะสั้น ปตท.ต้องเผชิญปัจจัยที่ผันผวนในหลายด้าน แต่บริษัทให้ความสำคัญกับธุรกิจไฮโดรเจนและการจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) อย่างจริงจัง ในปี 2568 บริษัทมีแผนเดินหน้าหลายโครงการ โดยเฉพาะธุรกิจขุดเจาะและสำรวจ (E&P) ซึ่งคาดว่าปริมาณการผลิตและขายจะเติบโตจากปี 2567           นอกจากนี้ ธุรกิจแก๊สธรรมชาติและโรงแยกแก๊สธรรมชาติจะมีอัตราการใช้กำลังการผลิต (Utilization Rate) สูงขึ้นจากปีก่อน สำหรับธุรกิจปิโตรเคมี คาดว่าผลประกอบการจะดีขึ้น เนื่องจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ (Impairment) มีแนวโน้มลดลง ซึ่งบริษัทจะเน้นเพิ่มความสามารถในการทำกำไร ในส่วนของ สูตรราคาก๊าซฯ Single Pool ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทำงานร่วมกับภาครัฐ และคาดว่าจะได้ข้อสรุปในปีหน้า เนื่องจากเป็นประเด็นที่ส่งผลต่อผลประกอบการของปีนี้ด้วย อีกทั้งบริษัทตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลง 8% ในนี้ ส่วนปี 2568 และคาดว่าจะลดลงได้อีกจากการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย           ธุรกิจของ PTTEP มีการขยายหาแหล่งขุดเจาะน้ำมันทั้งในและนอกประเทศเพื่อความมั่นคงทางพลังงาน โดยให้ความสำคัญกับการลดต้นทุน ซึ่งปัจจุบันต้นทุนต่อหน่วยอยู่ที่ประมาณ 20 กว่าดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ สำหรับธุรกิจแก๊สธรรมชาติ ต้นทุนต้องมีการบริหารจัดการเพื่อให้แข่งขันได้ ส่วนธุรกิจ LNG มีบทบาทสำคัญในการจัดหาแหล่งผลิตที่ต้นทุนต่ำ ซึ่งถือเป็นอนาคตสำคัญในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ธุรกิจโรงไฟฟ้าเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ต้องส่งเสริมเรื่องความมั่นคงด้านพลังงาน และรองรับโอกาสใหม่ เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์ ที่เป็นจุดเด่นของประเทศไทย ในธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น มีการเจรจากับพันธมิตรเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง โดยได้แต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินเข้ามาศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่าธุรกิจปิโตรเคมีอยู่ในช่วงขาลง (Downcycle) มากว่าหนึ่งปี แต่ในปี 2568 คาดว่าผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์จะทรงตัว ขณะที่โอเลฟินส์อาจดีขึ้นเล็กน้อยตามดีมานด์และซัพพลาย และปัจจัยเสี่ยง (Downside) จะลดลง หากเศรษฐกิจโลกเติบโต           ธุรกิจ OR มีการขยายบริการอีวีอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งหยุดธุรกิจที่ไม่ทำกำไร และปรับพอร์ตธุรกิจ โดยเน้นการขยายจุดชาร์จอีวีให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และส่งเสริมการใช้แบรนด์เดียวกันทั้งในส่วนของ PTT และ OR ขยายไปยังสถานที่ต่าง ๆ นอกเหนือจากสถานีบริการของ ปตท. ในส่วนของธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ผ่านมาบริษัทได้ร่วมมือกับ Foxconn Group เพื่อจัดตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม โรงงานดังกล่าวได้หยุดดำเนินการชั่วคราว โดยอยู่ระหว่างเจรจากับ ฟ็อกซ์คอนน์ กรุ๊ป เพื่อให้เป็นแกนหลักในการดำเนินธุรกิจต่อ เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญมากกว่า โดยเรื่องของรถยนต์ไฟฟา(อีวี) ต้องมีการพิจารณาให้ดี เพราะที่ผ่านมามีการแข่งขันสูงของราคารถ อย่างรถจีน หรืออย่างรถเทสล่าที่ผ่านมา ก็มีการลดราคาลงไป ดังนั้นต้องเลือกก่อนว่า โครงการไหนสามารถดำเนินการได้ต่อ อย่างลงทุนที่ชาร์จอีวี มองว่าเป็นโอกาสมากกว่า หรือแม้แต่ ไฮโดรเจน ที่ให้ความสำคัญไปถึงเรื่องของการใช้ในอุตสาหกรรม           ธุรกิจ CCS ปตท.จะเดินหน้าโครงการดังกล่าวและเปิดโอกาสให้บริการแก่ลูกค้าภายนอกกลุ่ม ปตท. โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกักเก็บคาร์บอนในหลุมใต้ทะเล รวมถึงการผลักดันให้มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มกักเก็บคาร์บอนได้หลังปี 2030           ด้านธุรกิจสุขภาพภายใต้การดำเนินงานของ อินโนบิก ซึ่งมีการลงทุนในไต้หวัน บริษัทมุ่งเน้นการต่อยอดธุรกิจด้านยา อุปกรณ์การแพทย์ และอาหารเสริม โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในการหาพันธมิตรเข้ามาเสริม ในปีหน้า สำหรับโครงการของCFP ของไทยออยล์ มีการตั้งทีมให้คำแนะนำ โดยช่วยพิจารณาในแง่กฎหมาย ธุรกิจ ทุกเรื่องเพราะเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ โดย TOP มีแผนจะจัดการส่วนนี้ ผลกระทบต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน โดยโรงงาน ของไทยออยล์ มีการเดินหน้าต่อ โดยผู้รับเหมาเป็นแบบนี้จะทำอย่างไรก็ต้องดำเนินการต่อ การแก้ปัญหาก็ต้องแก้ในการดำเนินการให้เสร็จ และทำให้ดีและถูกต้องที่สุด และส่วนของโรงไฟฟ้า ที่ดำเนินการให้โครงการ CFP ก็ต้องผลิตให้โรงกลั่นก็ดำเนินการเสร็จพร้อมกัน           สำหรับแผนธุรกิจปี 2568 จะนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในเดือนธันวาคม 2567 เพื่อกำหนดงบประมาณและแผนการลงทุน โดยคาดว่าจะให้ความสำคัญกับธุรกิจ Upstream อย่าง PTTEP ในการหาแหล่งแก๊สธรรมชาติใหม่ ๆ เพื่อความมั่นคงทางพลังงานต่อไป

พีทีที สเตชั่น ขานรับนโยบายใหม่  ปรับสัดส่วนการผสมน้ำมันดีเซล จาก B7 เป็น B5

พีทีที สเตชั่น ขานรับนโยบายใหม่ ปรับสัดส่วนการผสมน้ำมันดีเซล จาก B7 เป็น B5

          พีทีที สเตชั่น ขานรับนโยบายใหม่ ปรับสัดส่วนการผสมน้ำมันดีเซล จาก B7 เป็น B5 พร้อมส่งมอบน้ำมันคุณภาพสู่ผู้บริโภค เริ่ม 21 พฤศจิกายน นี้           บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) ประกาศพร้อมปรับสัดส่วนการผสม ไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา จากสูตร B7 เป็น B5 ตามมติของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบและปริมาณสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ภายในประเทศ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตไบโอดีเซล โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2567เป็นต้นไป           นายพิมาน พูลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน OR เปิดเผยว่า "พีทีที สเตชั่น พร้อมปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเต็มที่ในการปรับสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ทั้ง เอ็กซ์ตร้า เซฟ ดีเซล (Xtra Save Diesel) และซูเปอร์ พาวเวอร์ ดีเซล (Super Power Diesel) เป็นสูตร B5 ที่มีไบโอดีเซลผสมในปริมาณไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5 และไม่เกินร้อยละ 7 โดยปริมาตร ซึ่งสามารถใช้ได้กับรถดีเซลทุกประเภท ทุกรุ่น ทุกปี โดยการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ ไม่เพียงแต่สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐ แต่ยังสะท้อนวิสัยทัศน์ในการสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนของ OR ที่มุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างการดูแลสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ โดยนอกจากจะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนแล้ว ยังเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมการใช้พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการส่งเสริมใช้ทรัพยากรท้องถิ่นอย่างยั่งยืนอีกด้วย”           นอกจากนี้ พีทีที สเตชั่น ยังคงมุ่งมั่นในการส่งมอบน้ำมันที่มีคุณภาพ และผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเพื่อตอบสนองทุกความต้องการของผู้ใช้รถอย่างครบวงจร ทั้งน้ำมันดีเซลเกรดมาตรฐาน เอ็กซ์ตร้า เซฟ (Xtra Save) ที่เพิ่มสารเพิ่มพลังเครื่องยนต์มากถึง 1.5 เท่า และน้ำมันดีเซลเกรดพรีเมียม ซูเปอร์ พาวเวอร์ (Super Power) ที่มอบประสิทธิภาพสูงสุด โดยผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลรายละเอียดโปรโมชันเพิ่มเติมได้ที่ https://www.pttor.com/th/news/promotion และติดตามโปรโมชันและกิจกรรมอื่น ๆ ได้ที่ Facebook Fanpage: PTT Station หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 1365 Contact Center

บล.กรุงศรี พลิกขึ้นแรง ต้นน้ำรับอานิสงส์ ชู PTT, PTTEP เด่น

บล.กรุงศรี พลิกขึ้นแรง ต้นน้ำรับอานิสงส์ ชู PTT, PTTEP เด่น

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) มองราคาน้ำมันดิบพลิกขึ้นแรง อิงน้ำมันดิบ Brent +2.91%d-d ปิดที่ USD 73.11/barrel น้ำมันดิบ West Texas +3.19%d-d ปิดที่ USD 69.16/barrel แรงหนุนมาจากข่าว Supply น้ำมันลดลง คือ รายงานการผลิตน้ำมันดิบที่บ่อน้ำมัน Johan Sverdrup ของ Norway ได้หยุดลง ผสานกับล่าสุดความตึงเครียดของงงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนกลับมาอีกครั้ง            โดยรัสเซียได้ทำการโจมตีทางอากาศครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 3 เดือนต่อยูเครน มองระยะสั้นเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP

PTT ไตรมาส 3/67 มีกำไร 16,324 ล้านบาท

PTT ไตรมาส 3/67 มีกำไร 16,324 ล้านบาท

           ปตท. และบริษัทย่อยรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 ที่ 16,324 ล้านบาท ลดลง 47.8% จากปีก่อนหน้า โดย EBITDA ลดลง 51.6% สาเหตุหลักมาจากขาดทุนสต็อกน้ำมันและต้นทุนขายที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจก๊าซฯ สำหรับไตรมาส 4/67 คาดการณ์เศรษฐกิจโลกขยายตัวต่อเนื่อง หนุนโดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในประเทศเศรษฐกิจหลัก ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้ดีจากการท่องเที่ยวและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ            บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)หรือ PTT รายงานผลการดำเนินงานของ ปตท. และบริษัทย่อยในไตรมาส 3 ปี 2567 (3Q2567) ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) จำนวน 68,892 ล้านบาท ลดลง 73,400 ล้านบาท หรือร้อยละ 51.6 จากไตรมาส 3 ปี 2566 (3Q2566) ซึ่งอยู่ที่ 142,292 ล้านบาท สาเหตุการลดลง EBITDA กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น:            ธุรกิจการกลั่นมีผลการดำเนินงานลดลงจากผลขาดทุนสต็อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้น โดยใน 3Q2567 มีผลขาดทุนสต็อกน้ำมันประมาณ 20,000 ล้านบาท ขณะที่ใน 3Q2566 มีกำไรประมาณ 20,000 ล้านบาท กำไรขั้นต้นจากการกลั่น (Market GRM) ลดลงจาก 11.3 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลใน 3Q2566 เป็น 2.9 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลใน 3Q2567 โดยหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปกับน้ำมันดิบที่ปรับลดลง กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี:            ผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นตามส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ:            ผลการดำเนินงานลดลงจากการรับรู้ผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง (Mark-to-market) ของสินค้าระหว่างการขนส่ง กลุ่มธุรกิจน้ำมันและการค้าปลีก:            ผลการดำเนินงานลดลงตามกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรและปริมาณขายเฉลี่ยที่ลดลง กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติ:            ผลการดำเนินงานลดลงในธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ จากต้นทุนขายที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการเริ่มใช้นโยบาย Single Pool ในการคำนวณราคาก๊าซฯ และปริมาณขายที่ลดลง แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้น            ผลการดำเนินงานของบริษัท PTTLNG ลดลง เนื่องจากการลดสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการ LNG Receiving Terminal แห่งที่ 2 (LMPT2) กำไรสุทธิ:            กำไรสุทธิของ ปตท. และบริษัทย่อยใน 3Q2567 อยู่ที่ 16,324 ล้านบาท ลดลง 14,973 ล้านบาท หรือร้อยละ 47.8 จากกำไรสุทธิ 31,297 ล้านบาทใน 3Q2566 สาเหตุการลดลงของกำไรสุทธิ: EBITDA ลดลงตามที่กล่าวข้างต้น รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำ (Non-recurring Items) ใน 3Q2567 เป็นขาดทุนประมาณ 9,500 ล้านบาท            ส่วนแบ่งผลขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของบริษัท PTT Asahi Chemical (PTTAC) ประมาณ 4,300 ล้านบาท            ผลขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ในกลุ่มบริษัท Vencorex ของบริษัท PTT Global Chemical (GC) ประมาณ 3,800 ล้านบาท            ขณะที่ใน 3Q2566 มีการรับรู้ Non-recurring Items เป็นกำไรประมาณ 40 ล้านบาท            แม้ว่ากำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและกำไรจากตราสารอนุพันธ์จะเพิ่มขึ้น รวมถึงภาษีเงินได้ลดลง แต่ผลกระทบจากปัจจัยข้างต้นทำให้กำไรสุทธิของ ปตท. และบริษัทย่อยลดลงในไตรมาสนี้ เศรษฐกิจโลกในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 (4Q2567)            เศรษฐกิจโลกในไตรมาส 4 ปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งจากภาวะการเงินที่ผ่อนคลายขึ้นในประเทศเศรษฐกิจหลัก เช่น สหรัฐฯ ยูโรโซน และจีน ตามผลสะสมของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายชัดเจนมากขึ้น ประกอบกับตลาดแรงงานที่ยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งช่วยหนุนการฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน            นอกจากนี้ ยังมีแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน เพื่อลดผลกระทบจากวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่คลี่คลาย อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามความไม่แน่นอนทางการเมืองจากการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ รวมถึงมาตรการกีดกันทางการค้าในหลายประเทศ และสงครามในตะวันออกกลางที่อาจรุนแรงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก            ตามรายงานของ S&P Global ณ เดือนตุลาคม 2567 ความต้องการใช้น้ำมันของโลกในปี 2567 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.0 MMBD ไปอยู่ที่ระดับ 104.6 MMBD ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง            ในขณะเดียวกัน ตลาดยังคงจับตามองนโยบายควบคุมการผลิตจากกลุ่ม OPEC+ ซึ่งจะสิ้นสุดการลดกำลังการผลิตในเดือนธันวาคม 2567 อย่างไรก็ตาม อุปทานจากกลุ่ม Non-OPEC+ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น คาดว่าราคาน้ำมันดิบในปี 2567 จะเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 75 - 85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และค่าการกลั่นอ้างอิงสิงคโปร์คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 4.2 - 5.2 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีใน 4Q2567 มีแนวโน้มปรับตัวลดลง โดยมีปัจจัยกดดันจากอุปทานในตลาดที่เพิ่มขึ้นจากกำลังการผลิตใหม่ในจีน และโรงปิโตรเคมีที่จะกลับมาดำเนินการหลังการซ่อมบำรุง ราคากลุ่มผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์: คาดว่าราคา HDPE และ PP จะเคลื่อนไหวในกรอบ 933-1,033 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน และ 952-1,052 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ตามลำดับ โดยปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า ราคากลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์: คาดว่าราคา BZ และ PX จะเฉลี่ยที่ 900 – 1,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน และ 876 – 976 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ตามลำดับ แม้ราคาน้ำมันแนฟทาจะปรับเพิ่มขึ้น ราคาโพรเพน (Propane): คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 580 – 680 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ในอินเดียช่วงเทศกาลดิวาลีและการเข้าสู่ฤดูหนาว เศรษฐกิจไทยใน 4Q2567            เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะขยายตัวเร่งขึ้นจากแรงขับเคลื่อนของภาคการท่องเที่ยวในช่วงฤดูท่องเที่ยว การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของการค้าโลก และการใช้จ่ายภาครัฐจากงบประมาณประจำปี            นอกจากนี้ การบริโภคภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นจากมาตรการแจกเงินสด 10,000 บาทแก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้พิการ แม้การลงทุนภาคเอกชนจะยังคงอ่อนแอจากภาคการผลิตและตลาดอสังหาริมทรัพย์            อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง มาตรการตอบโต้ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ – จีน และอุทกภัยจากปรากฏการณ์ลานีญา

GGC สานต่อนโยบายกลุ่ม ปตท จับมือพันธมิตรส่งเสริมความยั่งยืนอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน

GGC สานต่อนโยบายกลุ่ม ปตท จับมือพันธมิตรส่งเสริมความยั่งยืนอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน

          บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC จับมือองค์กรเจรจาระหว่างประเทศว่าด้วยปาล์มน้ำมันยั่งยืน Roundtable on Sustainable Palm Oil (RSPO) และ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ประจำประเทศไทย พร้อมกลุ่มเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน และโรงสกัดปาล์มน้ำมัน ผลักดันขยายความร่วมมือยกระดับการผลิตปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืนตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานของประเทศไทย เพื่อเป้าหมายให้เกษตรกรขายผลิตภัณฑ์ปาล์มน้ำมันได้ราคาที่ดีอย่างยั่งยืน           นายกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC เปิดเผยว่า GGC ได้ดำเนินการส่งเสริมเกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกปาล์มน้ำมันของประเทศไทยมากกว่า 1,000 ราย ให้ดำเนินการตามมาตรฐานและได้รับการรับรอง Roundtable on Sustainable Palm Oil (RSPO) ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ผ่านการดำเนินโครงการการผลิตปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืน Sustainable Palm oil production and procurement (SPOPP)  จากความสำเร็จของโครงการดังกล่าวเกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรในระยะยาว คือ เกษตรกรมีผลผลิตปาล์มน้ำมันที่เพิ่มขึ้น มีต้นทุนในการปลูกปาล์มที่ต่ำลง และสามารถสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นให้แก่เกษตรกร โดย GGC ได้สานต่อความสำเร็จของโครงการดังกล่าวสู่โครงการการผลิตปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืนเพื่อลดผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ Sustainable Palm Oil Production and Procurement Project for Climate Mitigation and Adaptation (SPOPP CLIMA)  เพื่อเป็นต้นแบบให้กับเกษตรกรรายย่อยผลิตปาล์มน้ำมันในการจัดการสวนปาล์มแบบคาร์บอนต่ำของประเทศไทย           จากการสนับสนุนเกษตรกรให้ปลูกปาล์มอย่างยั่งยืน นับเป็นต้นทางที่สำคัญที่ GGC ได้สร้างความมั่นคงทั้งเรื่องการปลูกปาล์มรวมถึงความมั่นคงทางการเงินให้กับเกษตรกรในระยะยาว และ GGC มีความมุ่งมั่นในการสานต่อนโยบายในการสนับสนุนการซื้อ-ขายปาล์มน้ำมันของกลุ่ม ปตท. เพื่อสนับสนุนนโยบายภาครัฐ ที่ต้องการส่งเสริมให้เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันสามารถขายผลผลิตได้ไม่ต่ำกว่าราคาประกาศของราชการ ความสำเร็จที่ผ่านมารวมถึงนโยบายดังกล่าวทำให้ GGC เล็งเห็นถึงความสำคัญและดำเนินการสร้างความร่วมมือกันทั้งห่วงโซ่อุปทาน ช่วยเกษตรกรในด้านราคาอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งโรงสกัดน้ำมันปาล์ม GGC และบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เพื่อร่วมกันดำเนินโครงการการจัดซื้อปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืน (Palm Oil Sustainable Procurement) โดยโครงการดังกล่าวจะยึดหลักการซื้อขายที่เป็นธรรมตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน เพื่อส่งผลประโยชน์ไปยังเกษตรกรทุกรายได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่ดีขึ้น เพราะสามารถขายผลผลิตได้ราคาที่ดีและเป็นธรรม เราร่วมผลักดันเพื่อให้การรับซื้อผลปาล์มในมูลค่าที่สูงขึ้น ทั้งในส่วนของเกษตรกรที่ยังไม่ได้รับการรับรองมาตรฐาน RSPO เรารับซื้อตามราคาประกาศของกรมการค้าภายใน  และในส่วนของเกษตรกรที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน RSPO นอกจากจะได้รับราคาตามประกาศฯ แล้ว ยังได้ราคาพรีเมี่ยมจากมาตรฐาน RSPO เพิ่มขึ้นด้วย  ซึ่งโครงจัดซื้อน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืนนี้จะส่งผลให้ทุกกลุ่มที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานปาล์มน้ำมันของประเทศไทยสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน           วันนี้เรามีพันธมิตรทั้งภาคเอกชน ภาครัฐ และภาคประชาชน ไม่ว่าจะเป็น เครือข่ายวิสาหกิจชุมชน    ผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน โรงสกัดปาล์มน้ำมัน GGC OR กรมวิชาการเกษตร GIZ  และ RSPO ที่พร้อมร่วมกันผลักดันและสนับสนุนให้เกิดความยั่งยืนในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน เพื่อส่งผ่านความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มทุกรายของประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน [PR News]

[ภาพข่าว] ปตท. คว้าคะแนน CGR ระดับ “ดีเลิศ” ต่อเนื่อง 16 ​ปีซ้อน

[ภาพข่าว] ปตท. คว้าคะแนน CGR ระดับ “ดีเลิศ” ต่อเนื่อง 16 ​ปีซ้อน

          บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้รับผลการประเมินการกำกับดูแลกิจการในระดับดีเลิศ (Excellent CG Scoring) หรือ 5 ตราสัญลักษณ์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 16 และติดหนึ่งใน TOP QUARTILE ของบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าทางการตลาดไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท ในโครงการสำรวจการกำกับการดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียน (Corporate Governance Report of Thai Listed Companies: CGR) ประจำปี 2567 จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ภายใต้การสนับสนุนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)           นับเป็นอีกหนึ่งปีของความภาคภูมิใจ ที่ ปตท. ได้รับการประเมินในระดับดีเลิศ ที่ได้สะท้อนถึงมาตรฐานและการยึดมั่นในหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้ พร้อมคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายอย่างสมดุล รวมถึงครอบคลุมในด้าน ESG (Environmental, Social and Governance) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ขององค์กร ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน

โบรกคาดกำไร PTT Q4 ฟื้น คง Neutral ที่ 38.5

โบรกคาดกำไร PTT Q4 ฟื้น คง Neutral ที่ 38.5

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) มอง Negative ต่อแนวโน้มกำไรสุทธิ 3Q24F ของ PTT คาดราว 16,800 ลบ. (-46% y-y, -53% q-q) แย่ลง y-y, q-q ถูก stock loss ก้อนใหญ่ของฝั่งโรงกลั่นและปิโตรเคมี กลบการฟื้นตัว (q-q) ของธุรกิจก๊าซฯ ที่ไม่ต้องแบกภาระ single pool ย้อนหลังเหมือน 2Q24 เราคาด 4Q24F จะกลับมาฟื้น y-y, q-q (ฐานต่ำ) หลัง stock loss ของบริษัทลูกน้อยลง คงคำแนะนำ Neutral ที่ TP25F = 38.5 แนะนำถือรับปันผล กำไรปกติทรงตัวอยู่ในระดับสูง 3Q24F ลด y-y, q-q single pool ยังฉุด และมี stock loss ก้อนใหญ่ของบริษัทลูก           คาดกำไรสุทธิ 3Q24F ราว 16,800 ลบ. (-46% y-y, -53% q-q) หากตัดรายการพิเศษ fx gain, ด้อยค่าเงินลงทุนของฝั่งบริษัทลูก และอื่นๆ ออก กำไรปกติราว 16,400 ลบ. (-62% y-y, -43% q-q) ลด y-y, q-q เพราะ i) stock loss ก้อนใหญ่ของบริษัทลูก รวมราว -18,327 ลบ. Vs. 3Q23 +11,829 ลบ. และ 2Q24 +4,038 ลบ. ราคาน้ำมันดิบผันผวนลงจากความกังวลเศรษฐกิจโลก ii) อัตรากำไรที่ลดลงของธุรกิจบริษัทลูกอย่าง PTTEP ที่มีการปิดซ่อมแหล่งในประเทศ, ราคาน้ำมันดิบลดลง และมีค่าซ่อมแซมเพิ่มขึ้น และ iii) ธุรกิจก๊าซฯ เฉพาะ y-y ลดลง จากผลกระทบ single pool gas ส่งให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น ฉุดอัตรากำไรของโรงแยกก๊าซฯ (GSP) 4Q24F ฟื้น q-q ตามบริษัทลูก (ฐานต่ำ) ทั้งนี้การเจรจากับ GC อาจคืบหน้า           คาดกำไรปกติ 4Q24F ฟื้น y-y เพราะบริษัทลูก stock loss น้อยลง (Vs. 4Q23 -8,470 ลบ.) ชดเชยอัตรากำไรที่ลดลงของธุรกิจก๊าซฯ ในฝั่ง GSP ที่ต้นทุนเพิ่มจากผลกระทบ single pool และธุรกิจ E&P ของ PTTEP และโรงกลั่นฯ ที่ supply น้ำมันตึงตัวน้อยลง ฉุดทั้งราคาน้ำมันดิบและค่าการกลั่น ส่วนฟื้น q-q เพราะได้ demand น้ำมันในช่วงฤดูหนาว และการท่องเที่ยวฟื้นตัว ส่งให้ราคาน้ำมันดิบไม่ผันผวน stock loss ลดลง รวมถึงค่าการกลั่นและค่าการตลาดฟื้นตัว หนุนกำไรของบริษัทลูกอย่างกลุ่มโรงกลั่นและสถานีบริการฯ ทั้งนี้ PTT อยู่ระหว่างเจรจาปรับสูตรราคาขายกับ PTTGC (ร่วมกันแบกรับ) เพื่อสะท้อนผลกระทบ single pool บางส่วน หากเสร็จทันใน 4Q24F จะส่งให้ธุรกิจก๊าซฯ ฟื้น q-q จากต้นทุนที่ลดลง คำแนะนำ           คง TP25F = 38.5 บาท/หุ้น และคำแนะนำ Neutral (เราอยู่ระหว่างปรับลดประมาณการตามบริษัทลูกหลังงบฯ) แม้มีปัจจัยบวก i) ไม่มีค่า shortfall ก้อนที่ 2 ราว 4,700 ลบ. มาฉุดใน 2H24 และ ii) อาจบรรลุการเจรจาปรับราคาขายกับ PTTGC ภายใน 4Q24F (Vs. เราคาดต้น 2025F) แต่เป็นเพียง upside risk ระยะสั้น ไม่ได้เปลี่ยนภาพการเติบโตของกำไรปกติเฉลี่ย 2024-26F ที่ทรงตัว (ธุรกิจฟื้นจากฐานต่ำ) ถือรับปันผล มีหลายธุรกิจกระจายความเสี่ยง กำไรไม่ผันผวนเท่าบริษัทลูก

KSS ชี้น้ำมันดิบพุ่งแรง OPEC เลื่อนเพิ่มกำลังผลิต มองบอกต่อ PTT, PTTEP

KSS ชี้น้ำมันดิบพุ่งแรง OPEC เลื่อนเพิ่มกำลังผลิต มองบอกต่อ PTT, PTTEP

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) น้ำมันดิบปรับขึ้นแรง และปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 อิง Brent +2.74%d-d ปิดที่ USD 75.1/barrel, น้ำมันดิบ West Texas +2.85%d-d ปิดที่ USD 71.4/barrel           แรงหนุนระยะสั้นมาจากกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน OPEC+ ประกาศเลื่อนการเพิ่มการผลิตน้ำมันที่วางแผนไว้ในเดือน ธ.ค.ออกไป 1 เดือน โดยรวมที่ตลาดคาด โดยรวมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ PTT, PTTEP

ปตท. คว้ารางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จด้านความยั่งยืน และด้านนวัตกรรม จากเวที SET Awards 2024

ปตท. คว้ารางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จด้านความยั่งยืน และด้านนวัตกรรม จากเวที SET Awards 2024

          วันนี้ (30 ตุลาคม 2567) – ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า ปตท. ได้รับรางวัล SET Awards ประจำปี 2024 ที่จัดขึ้นโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับวารสารการเงินธนาคาร รวม 2 รางวัล ประกอบด้วย รางวัลเกียรติยศ แห่งความสำเร็จด้านความยั่งยืน (Sustainability Awards of Honor) และรางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จด้านนวัตกรรม (SET Awards of Honor) สะท้อนเจตนารมณ์ของ ปตท. ที่ให้ความสำคัญกับการบริหารธุรกิจแบบยั่งยืนในทุกมิติ การลงทุนต้องเกิดประโยชน์ทั้งกับองค์กรและประเทศ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้ทุกภาคส่วน และ สร้างพลังร่วมภายในกลุ่ม ปตท. ภายใต้วิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” นับเป็นปีที่ 4 ของ ปตท. ที่ได้รับรางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จด้านความยั่งยืน (Sustainability Awards of Honor) ซึ่งเป็นผลจากความมุ่งมั่นจากการดำเนินงานจนได้รับรางวัล Best Sustainability Awards อย่างต่อเนื่อง           โดย ปตท. ยึดมั่นพันธกิจหลักในการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน พร้อมบูรณาการความยั่งยืนเข้าสู่ธุรกิจ เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี พ.ศ. 2593 หรือ ค.ศ. 2050 ด้วยการผสานการบริหารจัดการทั้งกลุ่ม ปตท. ผ่านแนวทางการดำเนินงาน C3 ได้แก่ Climate Resilience Business ปรับ Portfolio และพิจารณาการปล่อยคาร์บอน (Carbon Emission) ควบคู่กับการเติบโตทางธุรกิจ Carbon-Conscious Asset ปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ใช้พลังงานสะอาด เช่น ไฮโดรเจน การนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในกระบวนการผลิต รวมทั้งการนำคาร์บอนไดออกไซด์แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ (Carbon Capture and Utilization: CCU) เป็นต้น Coalition, Co-Creation, and Collective Efforts for All ประสานความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเป็นแกนหลักของประเทศในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีในการลดก๊าซเรือนกระจก โดยใช้เทคโนโลยีการดักจับและการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage: CCS) รวมถึงเพิ่มการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยวิธีทางธรรมชาติ ผ่านการปลูกและบำรุงรักษาป่า สำหรับรางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จด้านนวัตกรรม (SET Awards of Honor) ปตท. ได้รับจากการคว้ารางวัล Best Innovative Company Awards 4 ปีติดต่อกัน ได้แก่ ปี 2021 ได้รับรางวัลจากผลงานการพัฒนานวัตกรรมวัสดุปิดแผลไบโอเซลลูโลสคอมพอสิต Innaqua ปี 2022 ได้รับจากนวัตกรรม PTT EV Charger and Charging Platform ปี 2023 ได้รับจากผลงานตัวเร่งปฏิกิริยา PTT SCR และในปีนี้เป็นผลงานการพัฒนา “นวัตกรรมเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนไมโครสเกล หรือ PTT MicroHX” ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในนิคมอุตสาหกรรมด้วยการนำเอาพลังงานเหลือทิ้งในรูปแบบความร้อนหรือความเย็น หมุนเวียนกลับมาใช้ในกระบวนการ (Energy Recovery) ให้เกิดประโยชน์ สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและการปลดปล่อยคาร์บอนได้อย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมต่อสังคมและชุมชน ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันทั้งในระดับอุตสาหกรรมและระดับประเทศ อีกทั้งยังเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรแล้วจำนวนกว่า 40 สิทธิบัตร ใน 9 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมัน จีน เกาหลี ญี่ปุ่น มาเลเซีย เมียนมา และอินเดีย  ซึ่งในปัจจุบันมีการติดตั้งใช้งานเชิงพาณิชย์ที่โรงงานผลิตถุงมือยาง จังหวัดชลบุรี และบริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด (PTTLNG) เพื่อใช้ในโครงการ LNG Terminal 1 ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ปัจจุบันอยู่ระหว่างต่อยอดเชิงพาณิชย์ไปยังกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมทั้งในและนอกกลุ่ม ปตท. อีกด้วย           “ปตท. ขอขอบคุณนักวิเคราะห์ นักลงทุน ผู้ถือหุ้น และผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพและความสามารถในการดำเนินธุรกิจ ส่งผลให้ ปตท. ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในวันนี้ ซึ่งนับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งขององค์กรในฐานะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดย ปตท. พร้อมดำเนินธุรกิจด้านพลังงานและธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างครบวงจรภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี และดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างสมดุล เพื่อร่วมกันสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป” ดร.คงกระพัน กล่าว

[ภาพข่าว] กลุ่ม ปตท. เร่งฟื้นฟู บรรเทาทุกข์ผู้ประสบอุทกภัยเชียงใหม่

[ภาพข่าว] กลุ่ม ปตท. เร่งฟื้นฟู บรรเทาทุกข์ผู้ประสบอุทกภัยเชียงใหม่

           ชมรม PTT Group SEALs พร้อมด้วยตัวแทนจากชมรมพลังไทยใจอาสา ปตท. และโออาร์ ลงพื้นที่เร่งช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยทำการเคลื่อนย้ายสิ่งกีดขวางและสิ่งของภายในบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหาย พร้อมทั้งฟื้นฟูและทำความสะอาดพื้นที่ประสบภัย นอกจากนี้ ยังได้มอบถุงยังชีพจำนวนกว่า 560 ถุง ให้กับชุมชนรอบสถานประกอบการคลังน้ำมันเชียงใหม่ รวมทั้งอุปกรณ์ทำความสะอาด เช่น เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง ไม้ดันน้ำ น้ำยาทำความสะอาด แปรงขัด และถุงขยะ เพื่อให้ชุมชนสามารถทำความสะอาดเพิ่มเติมได้ด้วยตนเอง ปัจจุบันระดับน้ำในพื้นที่ส่วนใหญ่ลดลงเกือบทั้งหมด เหลือเพียงบางพื้นที่ที่ยังมีน้ำท่วมขังเล็กน้อย โดย กลุ่ม ปตท. ยังคงเดินหน้าฟื้นฟูและช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง เพื่อฟื้นคืนสภาพความเป็นอยู่ที่ดีแก่ประชาชน

บล.กรุงศรี มอง SET 1481 จุด PTT, CPALL, IVL เด่น

บล.กรุงศรี มอง SET 1481 จุด PTT, CPALL, IVL เด่น

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “Sideways/Up” ต้าน 1475/1481 จุด รับ 1460/1455 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แกว่งแคบ S&P500-0.21% หลังรายงานเงินเฟ้อ CPI สูงกว่าคาดเล็กน้อบ +2.4%y-y, 0.2%m-m แต่ลดลงจากเดือนก่อน ขณะที่ยอดผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกเร่ง +14.7%w-w แย่กว่าคาด ส่วนหนึ่งเป็นผลจากพายุเฮอริเคน ทำให้ภาพวงจรดอกเบี้ยขาลง และ US Soft Landing ยังเป็นบวกสินทรัพย์เสี่ยงโลก ฝั่งเอเชีย จีนรอติดตามมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมกระทรวงการคลังแถลง 12 ต.ค. และสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ปลายเดือน           ฝ่ายวิเคราะห์มองจะช่วยเปิด Upside เศรษฐกิจประเทศในภูมิภาค ภายใน 16 ต.ค. ติดตามประชุม กนง. Real Yield ที่เป็นบวก 14 เดือน เชิงกลยุทธ์เรามีโอกาสเห็นท่าทีDovish ขึ้น แม้น่าจะยังคงดอกเบี้ย ผสาน เม็ดเงินนักลงทุนสถาบันซื้อต่อเนื่อง 8 วัน ต่างชาติสลับซื้อพันธบัตร 2 วัน และ ต่างชาติ Long TFEX 6 วันติด มองหนุน SET หุ้นกลุ่มน้ำมัน (น้ำมัน +3.5% ความกังวลตะวันออกกลางที่กลับมา+พายุเข้าสหรัฐ+รัฐเตรียมเจรจาพื้นที่ ทับซ้อนทะเล) กลุ่มดอกเบี้ยขาลงหนุน (ค้าปลีก เช่าซื้อ หนี้สูง High Yield โรงไฟฟ้า) หุ้น China Plays วันนี้แนะ PTT, CPALL, IVL เด่น

PTT แจ้งยกเลิกกิจการ OPTEC

PTT แจ้งยกเลิกกิจการ OPTEC

          หุ้นวิชั่น - นางสาวพรรณนลิน มหาวงศ์ธิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของ บริษัท พีทีที แอนด์ ทีจีอีเอส ออปเทค จํากัด (OPTEC) ครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 ได้มีมติอนุมัติให้เลิกกิจการของ OPTEC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ปตท.ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 51 ผ่าน บริษัท สยาม แมนเนจเม้นท์ โฮลดิ้งจํากัด (SMH) (บริษัทย่อย ซึ ง ปตท. ถือหุ้นร้อยละ 100) ร่วมกับบริษัท Tokyo Gas Engineering Solutions Corporation(TGES) (บริษัทย่อย ซึ่ง Tokyo Gas Co., Ltd.ถือหุ้นร้อยละ 100) ที่ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 49           โดยได้ดําเนินการจดทะเบียนเลิกกิจการแล้วเสร็จ เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 ทั้งนี้ การเลิกกิจการ ของ OPTEC เป็นไปตามนโยบายของ ปตท.ในการปรับโครงสร้างการดําเนินธุรกิจ และไม่ส่งผลกระทบต่อการดําเนินงานของ ปตท. รายการดังกล่าวไม่ใช่รายการที่เกี่ยวโยงกันและขนาดของรายการไม่เข้าข่ายที่จะต้องรายงานสารสนเทศตามหลักเกณฑ์การได้มาและจําหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียน แต่เป็ นการได้มาหรือจําหน่ายไปซึ่งเงินลงทุนในบริษัทอื่น ซึ่งเป็นผลให้บริษัทอื่นนั้นมีสภาพหรือสิ้นสภาพ ในการเป็นบริษัทย่อยของบริษัทจดทะเบียนหรือของบริษัทย่อยนั้น ส่งผลให้ OPTEC สิ้นสภาพการเป็นบริษัทย่อยของ ปตท.

[PR News] กลุ่ม ปตท. ตอกย้ำทิศทาง 'ความยั่งยืนอย่างสมดุล' ในงาน Sustainability Expo 2024

[PR News] กลุ่ม ปตท. ตอกย้ำทิศทาง 'ความยั่งยืนอย่างสมดุล' ในงาน Sustainability Expo 2024

          ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกลุ่ม ปตท. ร่วมพิธีเปิดงาน Sustainability Expo มหกรรมด้านความยั่งยืน ครั้งที่ 5  จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 กันยายน – 6 ตุลาคม 2567 ณ  ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร           ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง กล่าวว่า “ปตท. ในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติ มุ่งดำเนินธุรกิจบนหลักการ “ความยั่งยืนอย่างสมดุล” ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี ภายใต้วิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน”  พร้อมเป็นผู้นำขับเคลื่อน ส่งเสริมแนวคิด สร้างแรงบันดาลใจ ให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญของการ ‘รวมพลังกันลงมือทำ’ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญต่อทุกชีวิตและสิ่งแวดล้อม ทำให้โลกใบนี้ดีขึ้นและยั่งยืน”           การจัดงานในครั้งนี้ กลุ่ม ปตท. ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง (Co-founder) ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร ได้จัดแสดงทิศทางและกลยุทธ์ของกลุ่ม ปตท. โดยนอกจากพันธกิจหลักในการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศแล้ว ปตท. ยังมุ่งบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี พ.ศ. 2593 หรือ ค.ศ. 2050 โดยมีการผสานการบริหารจัดการทั้งกลุ่ม ปตท. ผ่านแนวทาง C3 ได้แก่           Climate Resilience Business การปรับ Portfolio พิจารณาเรื่องการปลดปล่อยคาร์บอน (Carbon Emission) ควบคู่กับการเติบโตทางธุรกิจ           Carbon-Conscious Asset การปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ใช้พลังงานสะอาด อาทิ Hydrogen การนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในกระบวนการผลิต รวมทั้งการนำคาร์บอนไดออกไซด์แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ (Carbon Capture and Utilization: CCU)           Coalition, Co-Creation, and Collective Efforts for All ประสานความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเป็นแกนหลักของประเทศในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีในการลดก๊าซเรือนกระจก โดยใช้เทคโนโลยีการดักจับและการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage: CCS) รวมถึงการเพิ่มการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยวิธีทางธรรมชาติ ผ่านการปลูกและบำรุงรักษาป่า           อีกทั้งเป็นโอกาสให้เกิดเป็นธุรกิจใหม่ด้านการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Carbon Capture and Storage (CCS) และ ธุรกิจไฮโดรเจน (Hydrogen) ด้วย           นอกจากนี้ ภายในงาน กลุ่ม ปตท. ยังจัดกิจกรรมให้ผู้เยี่ยมชมงานได้ร่วมสนุกและสัมผัสประสบการณ์จริง อาทิ การโชว์เคสเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์จากบริษัทในกลุ่ม ปตท. อย่าง CCS บูธถ่ายรูปกิจกรรมรักษ์โลกของชาว GEN S คนเจนใหม่หัวใจยั่งยืน ตู้คีบตุ๊กตาก๊อดจิ (Godji) ลุ้นรับตุ๊กตา Godji Energy Hero limited edition เฉพาะงานนี้ อีกด้วย           อนึ่ง Sustainability Expo (SX 2024) มหกรรมด้านความยั่งยืน ถือเป็นมหกรรมความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก” (Sufficiency for Sustainability) ที่ตลอด 10 วันของการจัดงาน จะชวนทุกคนมาร่วมแลกเปลี่ยน เรียนรู้ จากผู้เชี่ยวชาญทั้งในประเทศ และต่างประเทศ อัพเดทเทรนด์ ไอเดีย เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงต้นแบบในการพัฒนาเมือง ชุนชนที่ยั่งยืน ผ่านการบรรยาย  เสวนา เวิร์กชอป นิทรรศการ ศิลปะ ตลอดจนอาหารแห่งอนาคต

ปตท. มอบรางวัลประกวดศิลปกรรม “พลังที่ส่งต่อ” ครั้งที่ 39  ส่งเสริมเวทีแห่งโอกาสด้านศิลปะ

ปตท. มอบรางวัลประกวดศิลปกรรม “พลังที่ส่งต่อ” ครั้งที่ 39 ส่งเสริมเวทีแห่งโอกาสด้านศิลปะ

          ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวดศิลปกรรม ปตท. ครั้งที่ 39 ประจำปี 2567 ในหัวข้อ “พลังที่ส่งต่อ” รวม 24 รางวัล และรางวัลประติมากรรมสื่อผสมจากวัสดุเหลือใช้ “ชลวิถี นทีพัฒน์” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 จำนวน 3 รางวัล เพื่อส่งต่อพลังใจให้กับศิลปินที่รังสรรค์ผลงาน ให้เติบโตเป็นบุคลากรชั้นนำในวงการศิลปะ           ดร.คงกระพัน กล่าวว่า ตลอด 39 ปีที่ผ่านมา ปตท. ร่วมกับมหาวิทยาลัยศิลปากร สนับสนุนเวทีแห่งโอกาสในการสร้างศิลปินรุ่นใหม่ผ่านโครงการประกวดศิลปกรรม เพื่อให้เยาวชนรวมถึงกลุ่มคนรักศิลปะได้สร้างสรรค์ผลงานทั้งประเภทจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ และทัศนศิลป์อื่น ๆ ซึ่งในปีนี้ได้กำหนดหัวข้อการประกวดคือ “พลังที่ส่งต่อ” เพื่อให้ศิลปินได้ถ่ายทอดผลงานที่จะสร้างกำลังใจและพลังให้กับคนไทยในการขับเคลื่อนประเทศและในปีนี้เป็นปีแรกที่เปิดรับผลงานประเภทดิจิทัลอาร์ต 2 มิติ โดยมีผู้ส่งผลงานเข้าประกวดทุกประเภทรวมทั้งสิ้น 1,126 ชิ้น จากศิลปิน 1,065 คน แบ่งเป็นรางวัลยอดเยี่ยม (PTT Art Grand Prize Award) และรางวัลดีเด่น (PTT Art Winner Awards) รวม 24 ผลงาน           นอกจากนี้ ปตท. ยังได้จัดการประกวดประติมากรรมสื่อผสมจากวัสดุเหลือใช้ 3 มิติ ภายใต้หัวข้อ “ชลวิถี นทีพัฒน์” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ที่ทรงสืบสาน รักษาและต่อยอด พระราชทานโครงการพัฒนาแหล่งน้ำแก่ราษฎร พัฒนาสายน้ำหลากหลายสายให้กลับคืนมาใช้ประโยชน์ได้อีกครั้ง เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีศิลปินร่วมส่งผลงาน 81 ราย รวมจำนวนผลงานแบบเดี่ยวและกลุ่ม 41 ชิ้น โดยได้คัดเลือกผู้ชนะจำนวน 3 รางวัล           การประกวดศิลปกรรม ปตท. นับเป็นหนึ่งใน Soft Power ที่ผ่านทัศนคติและการตัดสินจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของวงการศิลปะไทย ทั้งยังได้ร่วมพัฒนาวงการศิลปกรรมร่วมสมัยของประเทศ ด้วยการเผยแพร่ผลงานการประกวดต่อสาธารณชน เพื่อกระตุ้นให้เกิดความตระหนัก เข้าใจถึงความสำคัญในการร่วมสืบสาน และจรรโลงสังคมไทยให้มีวัฒนธรรมที่ดีงามและยั่งยืน โดย ปตท. ยังเชื่อมั่นว่าศิลปะจะช่วยพัฒนาศักยภาพของเยาวชนให้มีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อก้าวเป็นพลังไทยรุ่นใหม่ที่มีคุณค่าต่อสังคม           ทั้งนี้ ปตท. ขอเชิญชวนร่วมชื่นชมและให้กำลังใจ ผลงานของศิลปินที่ได้รังสรรค์ผ่านนิทรรศการ “พลังที่ส่งต่อ” ได้ที่ PTT Art Gallery ณ บ้านเจ้าพระยา ถ.พระอาทิตย์ กรุงเทพมหานคร ตลอดเดือนตุลาคม 2567 โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าชม

ปตท.-KBANK-ออร์บิกซ์ เทค ออกหุ้นกู้ Q-Bond ครั้งแรกในไทย ชูนวัตกรรมบล็อกเชน

ปตท.-KBANK-ออร์บิกซ์ เทค ออกหุ้นกู้ Q-Bond ครั้งแรกในไทย ชูนวัตกรรมบล็อกเชน

          ปตท. ผนึก กสิกรไทย - ออร์บิกซ์ เทค ออกหุ้นกู้ Q-Bond ครั้งแรกในไทย ชูนวัตกรรมบริหารจัดการหุ้นกู้ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน           วันนี้ (24 กันยายน 2567) – นางสาวพรรณนลิน มหาวงศ์ธิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (กลาง) พร้อมด้วย ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย (ซ้าย) และ นายญาณวิทย์ รักษ์ศรี กรรรมการผู้จัดการ บริษัท ออร์บิกซ์ เทคโนโลยี แอนด์ อินโนเวชั่น จำกัด (ออร์บิกซ์ เทค) (ขวา) ประกาศความสำเร็จจากการที่ ปตท. ออกและเสนอขายหุ้นกู้ Q-Bond รุ่นอายุ 1 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.38% มูลค่าการเสนอขายรวม 500 ล้านบาท โดยมีธนาคารกสิกรไทยเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย นายทะเบียน และผู้ลงทุน และมีออร์บิกซ์ เทค เป็นผู้พัฒนาและดูแลระบบแอปพลิเคชัน ภายใต้โครงการ Q-Bond (Bond data on Quarix chain) โดยเป็นการนำ Quarix Blockchain มาใช้ประกอบการทำธุรกรรมตราสารหนี้เป็นครั้งแรกของประเทศไทย ทั้งการจัดเก็บข้อมูล การคำนวณมูลค่าการจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นของตราสารหนี้ที่ผู้ลงทุนจะได้รับในวันครบกำหนดไถ่ถอน ผ่านระบบงาน Q-Bond ตลอดจนมีการนำเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Q-money) ใน Quarix Blockchain มาใช้ชำระมูลค่าตราสารหนี้ จ่ายคืนดอกเบี้ยและเงินต้น ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและขั้นตอนในการทำธุรกรรม รวมถึงทำให้การจัดเก็บข้อมูลมีความถูกต้อง ครบถ้วน รวดเร็ว และโปร่งใส นับเป็นความสำเร็จในการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินภายใต้กรอบ Regulatory Sandbox ของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่สะท้อนภาพการเป็นผู้นำในตลาดทุนของ ปตท. และเป็นก้าวสำคัญที่ภาคธุรกิจและภาคการเงินจับมือเป็นฟันเฟืองหลักในการพัฒนาตลาดทุนไทยให้เดินหน้าสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างทัดเทียมระดับสากลต่อไป

ดร.คงกระพัน ซีอีโอ ปตท. คว้ารางวัลสุดยอดผู้บริหารองค์กรแห่งปี 2024

ดร.คงกระพัน ซีอีโอ ปตท. คว้ารางวัลสุดยอดผู้บริหารองค์กรแห่งปี 2024

          วันนี้ (19 กันยายน 2567) - ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รับรางวัลเกียรติยศ “สุดยอดผู้บริหารองค์กรแห่งปี 2024” จากกองบรรณาธิการเดลินิวส์ ในงาน “DAILYNEWS TOP CEO OF THE YEAR 2024” เนื่องในวาระเดลินิวส์ครบรอบ 60 ปี โดยการมอบรางวัลดังกล่าว เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติผู้บริหารสูงสุดขององค์กรที่มีผลงานเด่นชัดในการบริหารธุรกิจ ซึ่ง ดร.คงกระพัน ผลักดันการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม ปตท. ภายใต้วิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” หรือ “TOGETHER FOR SUSTAINABLE THAILAND, SUSTAINABLE WORLD” เร่งสร้างความแข็งแรงและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในธุรกิจ โดยยึดมั่นภารกิจสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ให้เป็นที่ยอมรับและมีมาตรฐานระดับสากล สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทุกภาคส่วน พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ควบคู่กับการมุ่งบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ สู่การเติบโตขององค์กรในระดับโลกอย่างยั่งยืน           ทั้งนี้ ในงานดังกล่าวมีการมอบรางวัลรวม 25 รางวัล ให้กับผู้บริหารระดับสูงทั้งภาคเอกชน ภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ ที่ประกอบกิจการอุตสาหกรรมและกิจการบริการ ซึ่งทุกรางวัลผ่านการพิจารณาอย่างรอบด้าน อาทิ ความเป็นผู้นำ วิสัยทัศน์และความสามารถในการบริหารองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน การดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม เพื่อถ่ายทอดความรู้และกลยุทธ์ของผู้บริหารองค์กรที่ประสบความสำเร็จ และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้บริหารรุ่นใหม่ ซึ่งล้วนแต่เป็นรากฐานที่สำคัญของการพัฒนาประเทศไทยต่อไป

พฤอา
242526272812345678910111213141516171819202122232425262728293031123456