#PR9


PR9 โตเด่นกว่ากลุ่ม แถมฐานทุนแกร่ง เคาะพื้นฐาน 26.45 บ.

PR9 โตเด่นกว่ากลุ่ม แถมฐานทุนแกร่ง เคาะพื้นฐาน 26.45 บ.

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มองแนวโน้ม บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR 9 คาดก าไร 4Q67 แผ่วเล็กน้อย...ทั้งปียังโตเด่นกว่ากลุ่ม ► บริษัท ให้ข้อมูลแนวโน้ม 4Q67 คาดชะลอตัว QoQ ซึ่งถือว่าต่ำกว่าปกติ เนื่องจากในไตรมาส 4 เป็น High Season ของ PR9 ที่จะมีรายได้จากบริการตรวจสุขภาพประจำปีเข้ามา แต่เนื่องจากการระบาดของโรคที่ลดลงเมื่อเทียบไตรมาสก่อน ขณะที่สถานการณ์แข่งขันในกลุ่มโรงพยาบาลรุนแรงขึ้น จากโรงพยาบาลหลายแห่งจัดโปรโมชั่นลดราคา ทำให้รายได้ของ PR9 อ่อนตัวลง QoQ ขณะที่เทียบ YoY คาดยังเห็นการเติบโตจากทั้งคนไข้ไทยและต่างชาติ ► แนวโน้มการเติบโตของคนไข้ต่างชาติเติบโตดีและเร็วกว่าที่คาดไว้ จากข้อมูลล่าสุดใน 3Q67 สัดส่วนรายได้จากต่างชาติเพิ่มเป็น 18% จาก 14% ในปีก่อน โดยมาจากกลุ่มตะวันออกกลางและ CLMV (เมียนมา, กัมพูชา, เวียดนาม) ที่เติบโตดี บริษัทตั้งเป้าหมายสัดส่วนรายได้จากต่างชาติจะเพิ่มเป็น 20% ของรายได้รวมภายในปี 2569 ส่วนประเด็นกลุ่มลูกค้าคูเวตที่หายไปจากการปรับนโยบายการส่งต่อ บริษัทแจงว่าไม่มีข่าวคืบหน้า แต่ได้รับการตอบรับที่ดีจากรัฐบาลคูเวตที่มาสำรวจ ซึ่งบริษัทคาดหวังว่าจะเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลที่รัฐบาลคูเวตเลือก ► ปี 2568 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตแบบ Double Digit จาก 1) การขยาย Capacity มากขึ้น โดยตึก B มีการปรับปรุงศูนย์เลสิก ย้ายออกมาขยายห้องผ่าตัดได้ 3 ห้องและขยายศูนย์เช็กอัพเพิ่มขึ้น 2) กลยุทธ์เจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติมากขึ้น ► แผนการเติบโตใน 3 ปีข้างหน้า (2567-2569) บริษัทเน้นกลยุทธ์ 4 ด้าน 1) Global Standard ยกระดับคุณภาพสู่มาตรฐานสากล 2) World-class hospital ขยายฐานลูกค้าต่างชาติ 3) Efficiency with collaboration ควบคุมต้นทุนและผสานความร่วมมือในองค์กร และ 4) Digital transformation เดินหน้าสู่การเป็นโรงพยาบาลดิจิทัลเต็มรูปแบบ ► แนวโน้ม 4Q67 คาดผลประกอบการอ่อนตัวเล็กน้อย QoQ แต่ยังเติบโต YoY คงประมาณการกำไรปี 2567 ที่ 706 ล้านบาท (+27% YoY) ถือว่าเติบโตได้ดีและ outperform กลุ่ม โดยปัจจัยสนับสนุนมีดังนี้: 1) กลยุทธ์เพิ่มรายได้จากศูนย์เฉพาะทาง เช่น ศูนย์โรคไต, โรคหัวใจ, ศูนย์กระดูกสันหลัง, ศูนย์มะเร็งและข้อเข่าสำหรับผู้สูงอายุ และศูนย์ IVF 2) คาดรายได้จากลูกค้าต่างชาติจะเติบโต Double Digit จากการเปิดประเทศและมาตรการฟรีวีซ่า รวมถึงกลยุทธ์ขยายฐานลูกค้าจาก CLMV, ตะวันออกกลาง และยุโรป โดยเฉพาะกลุ่มตะวันออกกลางที่มีการเซ็นสัญญากับเอเจนซี่ในการส่งต่อผู้ป่วยมา 3) ผลบวกจากการปรับขึ้นค่าบริการทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วย IPD ที่ 10% และ OPD จาก 250 บาทเป็น 350 บาท ตั้งแต่ ก.พ. 2567 4) กลยุทธ์เพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มประกันสุขภาพจากความร่วมมือกับพันธมิตรหลายแห่ง 5) ประสิทธิภาพในการทำกำไรดีขึ้นจากรายได้จากโรคซับซ้อนและศูนย์รักษาเฉพาะทางที่มีอัตรากำไรสูง ► คงคำแนะนำ “Trading” แม้เรายังมีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการปี 2567-2568 ที่คาดเติบโตโดดเด่นกว่ากลุ่ม ด้านสถานการณ์การเงินยังมีความแข็งแกร่งเป็น Net Cash Company ไม่มีภาระหนี้สิน อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น PR9 ปรับเพิ่มขึ้นสะท้อนปัจจัยบวกไปแล้วพอสมควร คงมูลค่าพื้นฐานปี 2568 ที่ 26.45 บาท อิงวิธี DCF โดยใช้ WACC ที่ 7.6% และ Terminal Growth ที่ 3%

ธนาคารไทยพาณิชย์ มุ่ง Net Zero  ร่วม รพ.พระรามเก้าจัดเงินฝากยั่งยืน

ธนาคารไทยพาณิชย์ มุ่ง Net Zero ร่วม รพ.พระรามเก้าจัดเงินฝากยั่งยืน

หุ้นวิชั่น - ธนาคารไทยพาณิชย์ และ โรงพยาบาลพระรามเก้า ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อสนับสนุนธุรกิจที่มุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืน ซึ่งถือเป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกที่เข้าร่วมโครงการ “เงินฝากเพื่อความยั่งยืน” (Sustainability Deposit) เพื่อตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) สะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการสนับสนุนเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050             นายรังสรรค์ องค์สรณะคม รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Corporate Banking 3 ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า เงินฝากเพื่อความยั่งยืน เป็นบัญชีเงินฝากประจำหลากหลายสกุล เช่น เงินไทยบาท, เงินสหรัฐดอลลาร์ และเงินยูโร ซึ่งเป็นหนึ่งฟันเฟืองสำคัญที่ธนาคารจะนำไปสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่มีการลงทุนเพื่อลดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของธนาคารไทยพาณิชย์ในการเป็นผู้นำด้านการให้สินเชื่อเพื่อความยั่งยืนในประเทศไทย ด้วยเป้าหมายสินเชื่อเพื่อความยั่งยืน 1.5 แสนล้านในปี 2025 สอดรับกับพันธกิจในการเป็น Net Zero ในปี 2050 โดยมีความพร้อมในการเป็นพันธมิตรที่สนับสนุนลูกค้าทุกกลุ่มไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน             นพ.เสถียร ภู่ประเสริฐ กรรมการผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการผนึกกำลังเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน โดยโรงพยาบาลพระรามเก้า ได้มุ่งมั่นพัฒนาการให้บริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม บนพื้นฐานของธรรมาภิบาล มีความรับผิดชอบต่อชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อม            โดยการสนับสนุนการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Financing) ในโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในด้านสุขภาพ การเงิน และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดรับกับกรอบนโยบายการในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และมีความรับผิดชอบต่อสังคม สะท้อนให้เห็นว่า นอกจากการมุ่งมั่นยกระดับการให้บริการที่มีประสิทธิภาพแล้ว โรงพยาบาลพระรามเก้ายังมุ่งให้ความสำคัญต่อความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สังคม และสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปด้วย            ความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลพระรามเก้า และ ธนาคารไทยพาณิชย์ ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการผสานพลังระหว่างองค์กรธุรกิจและสถาบันการเงินในการสนับสนุนความยั่งยืนระยะยาวให้กับประเทศไทย โดยโรงพยาบาลจะได้รับข้อมูลรายงานประจำปีเกี่ยวกับโครงการเหล่านี้             ทั้งนี้ โรงพยาบาลพระรามเก้า มุ่งหวังว่าความร่วมมือในครั้งนี้ จะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว ตามแนวทาง ESG คือ สิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และหลักธรรมาภิบาล (Governance) ผ่านกระบวนการดำเนินธุรกิจในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการ ที่ตอบสนองความต้องการของผู้มีส่วนได้เสีย

PR9 ไตรมาส 3/67 กำไร 208.0 ล้านบาท โต 48.5%

PR9 ไตรมาส 3/67 กำไร 208.0 ล้านบาท โต 48.5%

           PR9 มีกำไรไตรมาส 3 ปี 2567 จำนวน 208.0 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 48.5% รายได้เติบโตดี โดยได้แรงหนุนจากกลุ่มผู้รับบริการชาวต่างชาติ โดยเฉพาะตะวันออกกลางและ CLMV โบรกคาดแนวโน้มผล Q4/67 เติบโตต่อ มีแผนเปิดศูนย์การแพทย์แผนจีน PR9 มีศักยภาพการเติบโตสูงจากการขยายฐานผู้ป่วยกลุ่มตะวันออกกลาง            บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9 รายงานผลประกอบการในช่วงไตรมาส 3 โดยไตรมาส 3 ของทุกปี มักจะมีการระบาดของหลายโรคเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเข้าสู่ฤดูฝน นอกจากนี้ในปีนี้การระบาดตามฤดูกาลเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 2 ปี 2567 ซึ่งเร็วกว่าปี 2566 ส่งผลให้มีผู้เข้ารับบริการที่โรงพยาบาลเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งโรงพยาบาลได้ขยายการตลาดไปยังกลุ่มผู้รับบริการชาวตะวันออกกลาง ประกอบกับชื่อเสียงในมาตรฐานการรักษาพยาบาลและการให้บริการที่มีคุณภาพของโรงพยาบาล จึงทำให้มีผู้รับบริการชาวตะวันออกกลางเข้ามารับบริการอย่างต่อเนื่อง เป็นผลให้ในไตรมาส 3 ปี 2567 นี้ การเติบโตหลักของรายได้มาจากกลุ่มผู้รับบริการชาวต่างชาติ ในขณะที่อัตราการเติบโตของผู้รับบริการชาวไทยยังคงอยู่ในระดับที่ดี เมื่อเปรียบเทียบกับสภาวะเศรษฐกิจของไทยที่ยังคงเติบโตในเกณฑ์ต่ำ            ผลประกอบการสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 1,235.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.6 จาก 1,078.2 ล้านบาทในไตรมาส 3 ปี 2566 และมีกำไรสำหรับงวดสามเดือนในไตรมาส 3 ปี 2567 จำนวน 208.0 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรร้อยละ 16.8 จากรายได้รวม ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 48.5 จาก 140.1 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรร้อยละ 13.0 จากรายได้รวมของไตรมาส 3 ปี 2566            ผลประกอบการสำหรับงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 3,414.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.5 จาก 3,061.7 ล้านบาทในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 และมีกำไรสำหรับงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 จำนวน 506.1 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรร้อยละ 14.8 จากรายได้รวม ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 36.9 จาก 369.8 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรร้อยละ 12.1 จากรายได้รวมของงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566            ทั้งนี้ รายได้จากกลุ่มผู้ป่วยนอก (OPD) เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการปรับเพิ่มขึ้นทั้งจากจำนวนผู้รับบริการ (No. of Visits) และรายได้เฉลี่ยของการรักษาต่อครั้ง (OPD revenue per visit) ในส่วนของรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยใน (IPD) เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นทั้งในด้านรายได้เฉลี่ยของการรักษาต่อวันนอน (IPD revenue per patient day) รวมถึงจำนวนวันนอน (Patient days) และระยะเวลาการเข้าพัก (Length of Stay) ที่เพิ่มขึ้น            การเปลี่ยนแปลงของรายได้ทั้ง 2 ส่วน เป็นผลจากการขยายการประชาสัมพันธ์ทั้งในกลุ่มผู้รับบริการชาวไทยและกลุ่มผู้รับบริการชาวต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มตะวันออกกลางและกลุ่ม CLMV รวมถึงการทำการตลาดร่วมกับบริษัทประกันและบริษัทคู่สัญญาต่างๆ            อีกทั้ง คณะกรรมการบริษัท ได้มีการอนุมัติการจ่ายปันผล อัตราการจ่ายปันผลเป็นเงินสด  0.15 บาทต่อหุ้น วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) : 22 พฤศจิกายน 2567 และวันที่จ่ายปันผล : 06 ธันวาคม 2567            บล.เอเชียพลัส ระบุถึง  ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการของ PR9 ในงวด Q4/67 โดย คาดว่าจะเติบโตได้ในระดับ YoY และ QoQ ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากปัจจัยเชิงฤดูกาลที่มักส่งผลให้มีผู้เข้ารับบริการตรวจสุขภาพจำนวนมาก โดยในอดีตเคยมี ผู้ใช้บริการสูงถึง 400-500 คน/วัน นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้บริการในศูนย์ศัลยกรรมความงามและศูนย์เลสิค ควบคู่กับการขยายตัวอย่าง ต่อเนื่องของกลุ่มผู้ป่วยโรคยากซับซ้อนทั้งชาวไทยและต่างชาติ ในด้านการพัฒนา ศักยภาพการให้บริการ PR9 มีแผนเปิดศูนย์การแพทย์แผนจีนภายในงวด Q4/67 ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการขอใบอนุญาตและได้เตรียมความพร้อมด้าน บุคลากรทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง            ขณะเดียวกัน PR9 ได้มีการประชาสัมพันธ์ศูนย์ผ่าตัดหัวใจที่มีจุดเด่นด้านทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสถาบัน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี สะท้อนจากจำนวนผู้เข้ารับการผ่าตัดที่เพิ่มขึ้นในงวด Q3/67 ทั้งนี้การพัฒนาศักยภาพการให้บริการดังกล่าว คาดว่าจะช่วยยกระดับมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยและเป็นโอกาสในการขยายฐานลูกค้าทั้งใน ประเทศและต่างประเทศ            ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยประเมินว่า PR9 มีศักยภาพการเติบโตสูงจากการขยายฐานผู้ป่วยกลุ่มตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีค่ารักษาพยาบาลต่อหัวสูงประกอบกับการมีมาตรฐานการรักษาในระดับสากลและอัตราค่าบริการที่ สมเหตุสมผล คาดว่าจะสามารถดึงดูดผู้ป่วยกลุ่มนี้ให้เข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติให้เพิ่มขึ้นเป็น 19-20% จากปัจจุบันที่ 18% ตามเป้าหมายของบริษัท ประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 28.40 บาท ให้น้ำหนักการลงทุน "Outperform"

เจาะ “PR9” หลัง Q3 กำไรโต โบรกฯมอง Q4 มีลุ้นไฮซีซั่น

เจาะ “PR9” หลัง Q3 กำไรโต โบรกฯมอง Q4 มีลุ้นไฮซีซั่น

 หุ้นวิชั่น - บล.เอเชียพลัส เจาะหุ้น PR9  ประเมินจากการรายงานกำไรสุทธิงวด Q3/67 อยู่ที่ 208 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49%YOY โดยมี ปัจจัยหนุนจากโรคระบาดตามฤดูกาล และการเพิ่มขึ้นของรายได้ผู้ป่วยต่างชาติ อย่างมีนัยสำคัญจากการขยายฐานผู้ป่วยกลุ่มตะวันออกกลาง รวมถึงอัตรากำไร ที่ปรับตัวดีขึ้นจากการให้บริการผู้ป่วยโรคยากซับซ้อน และควบคุมค่าใช้จ่ายได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ฝ่ายวิจัยมองแนวโน้มผลการดำเนินงานงวด Q4/67 คาดเติบโตต่อเนื่องหนุนจากไฮซีซั่น ที่มีผู้ป่วยเข้ามาใช้บริการตรวจสุขภาพ รวมถึงศูนย์ศัลยกรรมและเลสิคเพิ่มขึ้น ฝ่ายวิจัยประเมินราคาเหมาะสมใหม่ปี 2568 ที่ 28.4 บาท อิงวิธี DCF ให้น้ำหนักการ ลงทุน OUTPERFORM แนวโน้มผลประกอบการ Q4/67 โตต่อเนื่อง ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการของ PR9 ในงวด Q4/67 โดย คาดว่าจะเติบโตได้ในระดับ YoY และ QoQ ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากปัจจัยเชิงฤดูกาลที่มักส่งผลให้มีผู้เข้ารับบริการตรวจสุขภาพจำนวนมาก โดยในอดีตเคยมี ผู้ใช้บริการสูงถึง 400-500 คน/วัน นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้บริการในศูนย์ศัลยกรรมความงามและศูนย์เลสิค ควบคู่กับการขยายตัวอย่าง ต่อเนื่องของกลุ่มผู้ป่วยโรคยากซับซ้อนทั้งชาวไทยและต่างชาติ ในด้านการพัฒนา ศักยภาพการให้บริการ PR9 มีแผนเปิดศูนย์การแพทย์แผนจีนภายในงวด Q4/67 ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการขอใบอนุญาตและได้เตรียมความพร้อมด้าน บุคลากรทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ขณะเดียวกัน PR9 ได้มีการประชาสัมพันธ์ศูนย์ผ่าตัดหัวใจที่มีจุดเด่นด้านทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสถาบัน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี สะท้อนจากจำนวนผู้เข้ารับการผ่าตัดที่เพิ่มขึ้นในงวด Q3/67 ทั้งนี้การพัฒนาศักยภาพการให้บริการดังกล่าว คาดว่าจะช่วยยกระดับมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยและเป็นโอกาสในการขยายฐานลูกค้าทั้งใน ประเทศและต่างประเทศ ฝ่ายวิจัยประเมินราคาเหมาะสมปี 2568 ที่ 28.4 บาท โดยมองจากภาพรวมกำไรสุทธิงวด 9M67 อยู่ที่ 506 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37%YoY คิดเป็น สัดส่วน 79% ของประมาณการกำไรสุทธิทั้งปีฝ่ายวิจัยจึงปรับประมาณการกำไร ปี 2567 และ 2568 เพิ่มขึ้น 7% และ 10.4% ตามลำดับ เพื่อสะท้อนอัตราการทำกำไรที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2567 อยู่ที่ 687 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23%YoY และประมาณการอัตราการเติบโตของกำไรในช่วงปี 2567-2571 เฉลี่ย อยู่ที่ 14% ต่อปี ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยประเมินว่า PR9 มีศักยภาพการเติบโตสูงจากการขยายฐานผู้ป่วยกลุ่มตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีค่ารักษาพยาบาลต่อหัวสูงประกอบกับการมีมาตรฐานการรักษาในระดับสากลและอัตราค่าบริการที่ สมเหตุสมผล คาดว่าจะสามารถดึงดูดผู้ป่วยกลุ่มนี้ให้เข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติให้เพิ่มขึ้นเป็น

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

เก็งโผหุ้นเข้า SET50 BANPU, SAWAD, COM7, TCAP

เก็งโผหุ้นเข้า SET50 BANPU, SAWAD, COM7, TCAP

            หุ้นวิชั่น - ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า ได้ประเมินหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 ในรอบครึ่งแรกปี 68 เบื้องต้น ได้แก่ BANPU, SAWAD, COM7, TCAP และหุ้นที่คาดว่าจะออกจาก SET50 ได้แก่ BCP, CENTEL, EA, TIDLOR โดยคาดว่ามูลค่าหลักทรัพย์ที่ไม่ติดอันดับเป็นสาเหตุที่ทำให้หลุดออกจาก SET50 ทั้งนี้ประเมินจากข้อมูล ณ วันที่ 25 ตุลาคม 2567 หากข้อมูลครบ จะคำนวณใหม่อีกครั้ง             สำหรับหุ้นคาดว่าจะเข้า SET100 ในรอบครึ่งแรกปี 68 ได้แก่ JTS, CCET, COCOCO, PR9 ขณะที่คาดว่าหุ้นที่จะออกจาก SET100 ได้แก่ MBK, RBF, TIPH, TOA สาเหตุที่คาดว่า MBK และ TOA จะหลุดออกจาก SET100 เนื่องจาก Turnover ratio 1% ไม่ครบ 9 ใน 12 เดือน ส่วน TIPH จะหลุดจาก SET100 เพราะมูลค่าซื้อขายไม่ผ่านเกณฑ์ 25% ของค่าเฉลี่ยรวมทั้งตลาด 9 ใน 12 เดือน และ RBF ที่หลุด เพราะมูลค่าหลักทรัพย์ไม่ติดอันดับ โดยประเมินจากข้อมูล ณ วันที่ 25 ตุลาคม 2567 หากข้อมูลครบ จะคำนวณใหม่อีกครั้ง             โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) น่าจะประกาศรายชื่อหุ้นเข้าออก SET50 และ SET100 ในรอบ ครึ่งแรกปี 68 ในช่วงวันที่ 13 - 18 ธ.ค.2567 และเริ่มใช้วันที่ 1 ม.ค.- มิ.ย. 2568             ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า จากข้อมูลหุ้นที่เข้า SET50 ในช่วงเวลา 8 ปีที่ผ่านมา หรือ 16 รอบของการปรับหุ้นเข้าและออกใน SET50 พบว่าหากซื้อหุ้นที่เข้า SET50 ล่วงหน้า 1 เดือน ก่อนวันเริ่มใช้ SET50 รอบใหม่ จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 3.83% ขณะที่หากซื้อหุ้นที่เข้า SET50 ล่วงหน้า 2 สัปดาห์ ก่อนวันเริ่มใช้ SET50 รอบใหม่ ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 2.15% ดังนั้น จากข้อมูลดังกล่าวพบว่าผลตอบแทนเฉลี่ยของการเปลี่ยนแปลงหุ้นใน SET50 นั้น หุ้นที่มีโอกาสเข้า SET50 จะให้ผลตอบแทนในเชิงบวก             ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI มองว่า หุ้นที่ได้รับการปรับประมาณการเพิ่มขึ้น อีกทั้งมีการซื้อขายอยู่ในโซนล่าง และมี เปอร์เซ็น upside สูง เป็นหุ้นที่น่าสนใจ โดยเมื่อเปรียบเทียบเปอร์เซ็น upside ของราคาหุ้นต่อราคาเป้าหมายของ Bloomberg consensus กับค่า Z Score ช่วง 12 เดือน FWD PE 5 ปีย้อนหลัง หุ้นที่มีการซื้อขายอยู่ในโซนล่างมีเปอร์เซ็น upside ของราคาหุ้นต่อราคาเป้าหมายของ Bloomberg consensus สูง และมี SETESG Rating ในระดับ A ขึ้นไป ได้แก่ TCAP (7.7%) และ BANPU (0.5%) ในขณะที่ค่า Z-Scores 12 เดือน FWD PE 5 ปีจะอยู่ที่ -0.95 และ 0.003 ตามลำดับ             ขณะที่เมื่อเปรียบเทียบการปรับประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) กับราคาเป้าหมายย้อนหลัง 1 เดือน จะได้หุ้นที่ถูกปรับประมาณการเพิ่มขึ้นได้แก่ COM7 ขณะที่หุ้นที่ราคาลงมามากที่สุด โดยเปรียบเทียบย้อนหลัง 1 เดือนล่าสุดได้แก่ BANPU (-11.3%) และเมื่อพิจารณาข้อมูลการซื้อขายสุทธิของผู้บริหาร ตั้งแต่ต้นปี 2567 ถึงปัจจุบัน จะได้หุ้นที่ มียอดซื้อขายสุทธิของผู้บริหารมากสุด ได้แก่ SAWAD 323.24 ล้านบาท และ BANPU 8.54 ล้าน บาท