#PMC


PMC ชี้รายได้ปี 68 โตโดดเด่น รับขยายกำลังผลิตเพิ่ม

PMC ชี้รายได้ปี 68 โตโดดเด่น รับขยายกำลังผลิตเพิ่ม

          หุ้นวิชั่น - “บมจ.พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ หรือ PMC”  ส่งซิกแนวโน้ม Q4  ทิศทางเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 3 ที่ผ่านมา จากการบริโภคในประเทศที่ขยายตัว สนับสนุนเป้ารายได้ปีนี้เติบโตเลข 2 หลัก พร้อมมุ่งสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายสติ๊กเกอร์เปล่าในภูมิภาคอาเซียน หลังระดมเงินไอพีโอเพิ่มกำลังการผลิต เป็น 185 ล้านตารางเมตร/ปี เผยรายได้ปี 2568 จะเติบโตโดดเด่น หลังสายการผลิตใหม่เริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงต้นไตรมาส 1/2568  เดินหน้าแผน 3 ปีข้างหน้า สยายปีกมีศูนย์กระจายสินค้าครบ 5 แห่ง ครอบคลุมภูมิภาคอาเซียน           นายเอก สุวัฒนพิมพ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PMC ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สติ๊กเกอร์หรือฉลากกาวรายใหญ่ของประเทศ เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 4/2567 ช่วงโค้งสุดท้ายของปี เชื่อว่ามีทิศทางที่ดีเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 3 ที่ผ่านมา สนับสนุนเป้ารายได้ปีนี้เติบโตเลข 2 หลัก โดยคาดว่าผลประกอบการทั้งปี 2567 จะกลับมาเติบโตใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด พร้อมมุ่งสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายสติ๊กเกอร์เปล่าในภูมิภาคอาเซียน หลังนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในตลาด mai ในช่วงปลายไตรมาส 3/2567 ที่ผ่านมา ไปขยายกำลังการผลิตสติ๊กเกอร์จาก 75 ล้านตารางเมตรต่อปี เพิ่มเป็น 185 ล้านตารางเมตรต่อปี หวังเพิ่มยอดขายเติบโตเท่าตัว จากการใช้เครื่องจักรที่มีความทันสมัย ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง ปัจจุบันสายการผลิตใหม่อยู่ระหว่างการทดสอบการเดินเครื่องจักร คาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงต้นไตรมาส 1/68           “แนวโน้มธุรกิจไตรมาส 4/2567 เชื่อว่ามีทิศทางการเติบโตที่ดี จากการบริโภคในประเทศที่ขยายตัวขึ้นตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และสถานการณ์ทางการเมืองที่มีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมอุปโภคบริโภคถือเป็นลูกค้าหลักของบริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งขยายฐานลูกค้าต่างประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตเพิ่มเติม เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย จากการเน้นสินค้าอัตรากำไรสูง  คาดว่าผลประกอบการปีนี้จะมีการเติบโตที่ดี จากการที่บริษัทมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง เช่น สติ๊กเกอร์ฟิล์มและสติ๊กเกอร์ชนิดพิเศษ” นายเอก กล่าว           อย่างไรก็ตาม บริษัทประเมินว่ารายได้ของบริษัทจะขยายตัวขึ้นในปี 2568 หลังสายการผลิตใหม่เริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงต้นไตรมาส 1/2568 โดยเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพการเติบโตของ PMC ที่โดดเด่นในอุตสาหกรรมการผลิตและจำหน่ายสติ๊กเกอร์เปล่า  จากประสบการณ์ความเชี่ยวชาญที่ยาวนานกว่า 20 ปี และความสัมพันธ์อันดีทั้งกับคู่ค้าและพันธมิตร ทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง  โดยบริษัทดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสติ๊กเกอร์เปล่า ซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นน้ำสำหรับการผลิตฉลากสินค้าและฉลากบรรจุภัณฑ์ อีกทั้งยังสามารถต่อยอดการใช้งานได้ในอีกหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น สติ๊กเกอร์บาร์โค้ด (Barcode) สติ๊กเกอร์ติดกระเป๋าเดินทาง (Luggage Tag) และฝาบิดบรรจุภัณฑ์ (Sealing Sticker) เป็นต้น           นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีจุดแข็งด้านการวิจัยและพัฒนา ความรู้ทางด้านเทคนิค และความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ รวมถึงข้อได้เปรียบของฐานการจัดจำหน่ายที่ตั้งอยู่ในทำเลที่เหมาะสมต่อการกระจายสินค้าในภูมิภาคดังกล่าว ต่อยอดการเติบโตเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำของธุรกิจนี้ในภูมิภาคอาเซียนต่อไป           โดยในช่วง 3 ปีข้างหน้า ( 2568-2570) บริษัทตั้งเป้าที่จะมีศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Centers) ครบ 5 แห่ง ครอบคลุมประเทศที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ ประเทศไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม เพื่อขยายฐานลูกค้าและสร้างความสามารถในการเข้าถึงลูกค้ารายใหญ่ในภูมิภาค [PR NEW]

PMC โชว์ฟอร์ม 9เดือน ทะยาน 434.1%

PMC โชว์ฟอร์ม 9เดือน ทะยาน 434.1%

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PMC รายได้รวมอยู่ที่ 235.85 ล้านบำท โดยมีรายได้จากการขายรวมอยู่ที่ 224.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.8% จากไตรมาส 2/2567 แต่เพิ่มขึ้น 9.6% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยเพิ่มขึ้นจากรายได้จากการขายทั้งในและต่างประเทศ ที่เติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 13.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.7% จากไตรมาสก่อน และ เพิ่มขึ้น 125.8% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนอันเนื่องมาจาก ไตรมาส 3/2566 ยังคงได้รับผลกระทบจาก Cost Factor ต่าง ๆ ที่พร้อมใจกันขึ้น            ส่วน 9 เดือนแรกปี 2567 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 670.36 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขายรวมอยู่ที่ 656.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.0% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากรายได้จากการขายทั้งในและต่างประเทศที่เติบโตขึ้นและ และมีกำไรสุทธิรวม 37.37 ล้านบาท เติบโต 434.1%