#OSP


ตลาดเครื่องดื่มบูม หุ้นไหนเด่น เช็กด่วน!

ตลาดเครื่องดื่มบูม หุ้นไหนเด่น เช็กด่วน!

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า ส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศ POSITIVE           ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินส่วนแบ่งการตลาดของ OSP ขยายตัว 0.3ppt mom เป็น 44.8% ในเดือนตุลาคม เนื่องจากยอดขายฟื้นตัวหลังน้ำท่วมลดลง ในทางตรงกันข้าม ส่วนแบ่งตลาดของ CBG ลดลง 0.7ppt mom เหลือ 25.1% ในเดือนตุลาคม แต่ผู้บริหารมั่นใจว่าจะได้ส่วนแบ่งตลาด 26% ในเดือนธันวาคม เนื่องจากเข้าร่วมในแคมเปญ 2 ขวด 18 บาท ในร้านสะดวกซื้อ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2024 ถึงมกราคม 2025 CBG ยังตั้งเป้าจะได้รับส่วนแบ่งตลาดเพิ่ม 3ppt ในปี 2025 เป็น 29% เราคงคำแนะนำ "ซื้อ" สำหรับ CBG (TP THB89) และ OSP (TP THB23) CBG จะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มใน 4Q24           แม้ CBG จะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในเดือนตุลาคม แต่ฝ่ายบริหารระบุว่ายอดขายเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศจะเติบโตได้ดีใน 4Q24 โดยประเมินยอดขายจะเพิ่มขึ้น 37% yoy เป็น 261 ล้านขวดใน 4Q24 เนื่องจากมีราคาขายต่ำสุด (10 บาท เทียบกับของแบรนด์อื่นในตลาดที่ 12 บาท) นอกจากนี้ เนื่องจาก 4Q24 เป็นช่วงที่ดีที่สุดของปี ยอดขายในกัมพูชาน่าจะแข็งแกร่ง (ส่วนแบ่งรายได้ 15%) เมื่อดูต้นทุนราคาอลูมิเนียม (8% ของ COGS) น่าจะค่อนข้างทรงตัว qoq เนื่องจาก CBG ล็อคราคาไว้จนถึง 1Q25 เราประมาณการกำไร 4Q24 แบบระมัดระวังจะเพิ่มขึ้น 1% yoy เป็น 656 ล้านบาท สำหรับ OSP ตลาดในเมียนมายังดีอยู่ใน 4Q24           OSP คาดว่าจะได้รับส่วนแบ่งตลาดภายในประเทศต่อไปในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม นอกจากนี้ยอดขายน่าจะยังคงแข็งแกร่งในเมียนมาร์ (ส่วนแบ่งรายได้ 10%) เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่น เราคาดกำไรหลัก 4Q24F จะเพิ่มขึ้น 30% เป็น 770 ล้านบาท CBG เป็นหุ้นเด่น ความเสี่ยงหลังคือความผันผวนของราคาวัตถุดิบ           CBG ซื้อขายที่ 25x 2025F P/E ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 37x สำหรับ OSP มี Valuation ที่ไม่แพง P/E 19x ปี 2025F หรือ -1.5SD ของค่าเฉลี่ยระยะยาว OSP สมควรที่จะเทรดที่ Valuation ต่ำกว่า CBG เพราะคาดว่า OSP อาจเสียส่วนแบ่งตลาดในระยะยาว เนื่องจากสินค้ามีราคาสูงกว่า แต่นักลงทุนอาจมองว่าหุ้นน่าสนใจหากคาดกำไรเติบโตแข็งแกร่งใน 4Q24 ความเสี่ยงที่สำคัญคือราคาวัตถุดิบมีความผันผวน โดยเฉพาะโซดาแอชและอลูมิเนียม

OSP คะแนนความยั่งยืนพุ่ง ตอกย้ำมุ่ง Carbon Neutral

OSP คะแนนความยั่งยืนพุ่ง ตอกย้ำมุ่ง Carbon Neutral

          บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP คว้าคะแนนความยั่งยืนระดับโลกในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม จากการประเมินด้านความยั่งยืน S&P Global Corporate Sustainability Assessment (CSA) โดย S&P Global องค์กรผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนเกี่ยวกับความยั่งยืน ซึ่งเป็นผู้จัดทำการประเมินความยั่งยืนดัชนี Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI  เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา ด้วยคะแนนรวม 83 คะแนนจาก 100 คะแนน ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 65 คะแนนในปีที่ผ่านมา ตอกย้ำความมุ่งมั่นของโอสถสภาในการดำเนินธุรกิจตามกรอบ ESG โดยให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี           นอกจากนี้ เมื่อต้นปี 2567 โอสถสภายังได้รับรางวัล Sustainability Yearbook 2024 และ เป็นบริษัทเดียวในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มของไทยที่ถูกยกย่องให้เป็น Industry Mover จาก S&P Global ความสำเร็จดังกล่าวเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutral ในปี 2593           คุณวรรณิภา ภักดีบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความสำเร็จนี้ว่า “กลยุทธ์การดำเนินงานของเรามุ่งเน้นการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และการจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั้งในวันนี้และอนาคต การประยุกต์ใช้นวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่ตอกย้ำความเป็นผู้นำของโอสถสภาในด้านความยั่งยืน และเป็นแรงผลักดันในการสร้างอนาคตที่ดีและมั่นคงสำหรับทุกภาคส่วน”           ความสำเร็จในครั้งนี้ยังสะท้อนถึงการดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบแนวคิด “ACT” ซึ่งประกอบด้วย Achievement, Consumer Focus และ Teamwork ที่มุ่งเน้นความสำเร็จในการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และการทำงานเป็นทีม พร้อมให้ความสำคัญกับการพัฒนาชุมชน เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

OSP พลิกโฉมบรรจุภัณฑ์ด้วยนวัตกรรม Re-design บรรจุภัณฑ์ใหม่ มุ่งหน้าสู่ความยั่งยืน

OSP พลิกโฉมบรรจุภัณฑ์ด้วยนวัตกรรม Re-design บรรจุภัณฑ์ใหม่ มุ่งหน้าสู่ความยั่งยืน

           หุ้นวิชั่น - รู้หรือไม่ว่าในแต่ละปี มนุษย์เราสร้างขยะพลาสติกจำนวนกว่า 400 ล้านตัน ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศเป็นวงกว้าง บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้นำตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคลำดับต้น ๆ ของประเทศไทย ตระหนักถึงปัญหาและผลกระทบของบรรจุภัณฑ์ที่มีต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างดี โอสถสภาจึงเดินหน้าเต็มกำลังเพื่อลดผลกระทบดังกล่าวให้เหลือน้อยที่สุดผ่านการพัฒนาออกแบบบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน ที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2573 บรรจุภัณฑ์ของโอสถสภาทั้ง 100% ต้องสามารถนำไปรีไซเคิล (Recyclable) หรือ ใช้ซ้ำ (Reuseable) หรือ ย่อยสลาย (Compostable) ได้ และยังคงคุณสมบัติและคุณภาพบรรจุภัณฑ์ได้ดีเช่นเดิม เพื่อไปสู่เป้าหมายดังกล่าว โอสถสภาได้เริ่มต้นภารกิจพลิกโฉมบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ให้เป็นบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน ผ่านการขับเคลื่อนนวัตกรรมในสามแนวทาง ได้แก่ การลดการใช้วัสดุเพื่อผลิตบรรจุภัณฑ์ การลดการใช้พลาสติก และการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อการรีไซเคิล  "ลดวัสดุเพื่อวันที่ดีกว่า" หนึ่งในนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ของโอสถสภาที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ คือการลดการใช้วัสดุเพื่อผลิตบรรจุภัณฑ์และการลดน้ำหนักบรรจุภัณฑ์ โดยในปี 2565 โอสถสภาได้พัฒนานวัตกรรมขวดแก้วรักษ์โลกที่มีน้ำหนักเบาลงถึง 15% หรือประมาณ 20 กรัม โดยเฉพาะขวด “เอ็ม-150” แต่ยังคงความแข็งแรงทนทาน และต่อมาในปี 2566 ได้พัฒนาต่อยอดลดน้ำหนักขวดแก้วในผลิตภัณฑ์โรลออนแบรนด์ “ทเวลฟ์ พลัส” และ “เอ็กซิท” ที่มีน้ำหนักเบาลงราว 6-8% (ขึ้นอยู่กับขนาดขวด) หรือประมาณ 5 กรัม ดังนั้น นวัตกรรมลดน้ำหนักบรรจุภัณฑ์ขวดแก้ว ในส่วนของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและของใช้ส่วนบุคคลของโอสถสภา สามารถลดการใช้วัสดุแก้วได้ถึง 32,822.5 ตันต่อปี จากการลดน้ำหนัก ขวดแก้วและยังช่วยลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากการผลิตและการขนส่งได้อีกด้วย นอกจากนี้ โอสถสภายังมุ่งมั่นลดการใช้วัสดุอะลูมิเนียมในกระป๋องเครื่องดื่ม อาทิ เครื่องดื่ม “ชาร์ค” “คาลพิส แลคโตะ” และ “เอ็ม-150 สปาร์คกลิ้ง” จนนำไปสู่ความสำเร็จในการลดการใช้วัสดุอะลูมิเนียมได้ถึง 341 ตันต่อปี ผ่านความร่วมมือกับคู่ค้า ตลอดจนส่งเสริมการลดการใช้กระดาษที่ใช้ทำกล่องของผลิตภัณฑ์หลายประเภท โดยโครงการนี้ครอบคลุมทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ (NPD) และผลิตภัณฑ์เดิม เช่น “เอ็ม-150” และ “ซี-วิท”จนสามารถลดการใช้วัสดุกระดาษได้มากถึง 715 ตันต่อปีอีกด้วย  "พลิกโฉมใหม่ ไม่ใช่แค่สวย แต่ช่วยโลก" สำหรับการขับเคลื่อนการลดการใช้พลาสติกในบรรจุภัณฑ์ โอสถสภาดำเนินการวิจัยและพัฒนาการออกแบบ บรรรจุภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เดิมและผลิตภัณฑ์ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นขวดผลิตภัณฑ์เบบี้ออยล์ แชมพู ผลิตภัณฑ์อาบน้ำ น้ำยาล้างจาน น้ำยาปรับผ้านุ่ม ไปจนถึงหีบห่อบรรจุภัณฑ์ของลูกอม แบรนด์ “โบตัน” และ “โอเล่” จนสามารถลดการใช้วัสดุพลาสติกลงไปได้ถึง 91.1 ตันต่อปี โดยหนึ่งในความสำเร็จล่าสุดที่น่าภาคภูมิใจของ โอสถสภาคือ การปรับบรรจุภัณฑ์ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ “เบบี้มายด์” ในปี 2566 มาเป็นขวด PET แบบใส ที่นอกจากจะช่วยยกภาพลักษณ์ของบรรจุภัณฑ์ให้ดูสวยงามและพรีเมียมขึ้นแล้ว ยังนำไปสู่การยกเลิกการใช้บรรจุภัณฑ์ขวด PVC และ เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้โอสถสภาสามารถยุติการใช้พลาสติก PVC ในการผลิตบรรจุภัณฑ์ไปแล้วถึง 90% ในปี 2567 โดยบริษัทฯ จะพัฒนานวัตกรรมลดการใช้พลาสติกต่อไป เพื่อไปสู่เป้าหมายในการยุติการใช้พลาสติก PVC ในบรรจุภัณฑ์ของโอสถสภา 100% ภายในปี 2568  "ผลักดันสู่การรีไซเคิลครบวงจร" ด้วยความมุ่งมั่นพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนในทุกมิติตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ อีกหนึ่งโจทย์สำคัญในการพัฒนา บรรจุภัณฑ์คือต้องเป็นมิตรต่อการนำไปรีไซเคิลด้วย ถึงจะสามารถช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ในระยะยาว โอสถสภาจึงได้ดำเนินการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำไปรีไซเคิลต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ โอสถสภาได้ริเริ่มโครงการจากขวดแก้วสู่ขวดแก้ว (Bottle to Bottle) รับขยะรีไซเคิลจากชุมชนและเครือข่ายพันธมิตร โดยเฉพาะขวดแก้ว เพื่อกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล โดยตลอดระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการฯ สามารถนำขวดแก้วกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้แล้วกว่า 118 ตัน ช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ ได้กว่า 33,057.92 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และยังผลักดันการใช้วัสดุรีไซเคิล เป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการผลิตบรรจุภัณฑ์ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการผลิตขวดแก้วรักษ์โลก ซึ่งช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ นอกจากนี้ ยังได้ผสานความร่วมมือกับพันธมิตรในโครงการต่างๆ ที่ส่งเสริมการนำขยะบรรจุภัณฑ์กลับเข้าสู่การ รีไซเคิลได้อย่างครบวงจร อาทิ โครงการ Aluminum Loop CAN นำส่งคืนกระป๋องเครื่องดื่มที่ใช้แล้วกลับคืนสู่กระบวนการ รีไซเคิลแบบครบวงจร ในรูปแบบที่โปร่งใสและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ เพื่อส่งเสริมแนวทางการเก็บกลับกระป๋องอลูมิเนียมใช้แล้วมาผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มกระป๋องอลูมิเนียมใบใหม่อีกครั้ง โครงการพลาสติกคืนชีพ นำเศษซากพลาสติกมาหลอมเป็นเม็ดพลาสติก PCR เพื่อผลิตเป็นเม็ดพลาสติกใหม่และนำไปใช้เป็นฟิล์มสำหรับห่อผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มของโอสถสภา ในฐานะผู้ผลิตเครื่องดื่มและสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีวิสัยทัศน์ในการเป็น “พลังเพื่อเสริมสร้างชีวิต” ให้แก่สังคมอย่างยั่งยืน การรักษาสิ่งแวดล้อมจึงไม่ใช่เพียงแค่หน้าที่ แต่เป็นพันธกิจที่ต้องทำอย่างจริงจัง โอสถสภาจึงมุ่งมั่นลดการใช้พลาสติก ลดการใช้ทรัพยากร และมองหาทางเลือกใหม่ๆ ในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก เพราะธุรกิจต้องดูแลโลกไปพร้อมกัน จึงจะสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนโดยแท้จริง

มูลนิธิโอสถสภา บรรลุเป้าหมายมอบอาชีพให้คนพิการ 165 คน

มูลนิธิโอสถสภา บรรลุเป้าหมายมอบอาชีพให้คนพิการ 165 คน

            หุ้นวิชั่น - มูลนิธิโอสถสภาร่วมโอสถสภา ตอกย้ำแนวทาง “ให้เบ็ดดีกว่าให้ปลา” ต่อยอดโครงการมูลนิธิโอสถสภามอบโอกาส สร้างอาชีพ ปี 2 เดินหน้าจัดอบรมพัฒนาศักยภาพคนพิการ และส่งมอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่คนพิการ นอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนด คุณเสรี โอสถานุเคราะห์ ประธานมูลนิธิโอสถสภา กล่าวว่า โครงการมูลนิธิโอสถสภามอบโอกาส สร้างอาชีพ นี้เป็นหนึ่งในพันธกิจของมูลนิธิโอสถสภาและบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ในการเป็น ‘พลังเพื่อเสริมสร้างชีวิต’ ให้แก่คนพิการ ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางในสังคม โดยในปีนี้โครงการมูลนิธิโอสถสภามอบโอกาส สร้างอาชีพ จัดขึ้นเป็นปี 2 ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายภาครัฐที่สำคัญ ได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ภายใต้การทำงานกับสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ใน 4 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสาคร นนทบุรี สระบุรี และพระนครศรีอยุธยา รวมทั้งภาคีเครือข่ายท้องถิ่น อาทิ สาธารณสุขจังหวัด และหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อส่งมอบอาชีพให้คนพิการ ผ่านการให้ความรู้ ฝึกทักษะการทำงาน และมอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่คนพิการ ภายใต้แนวคิด “ให้เบ็ดดีกว่าให้ปลา” สำหรับปี 2567 นี้ มูลนิธิโอสถสภาได้สร้างโอกาส มอบอาชีพแก่คนพิการ รวม 165 คน เกินจากเป้าหมายที่วางไว้ 150 คน และสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับครอบครัวของคนพิการ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ไม่น้อยกว่า 660 คน โดยการสนับสนุนอาชีพในปีนี้ จะเน้นใน 2 อาชีพหลัก ได้แก่ อาชีพขายลูกชิ้นทอดกินดี และอาชีพงานสานเส้นพลาสติกรีไซเคิล ซึ่งเป็น 2 อาชีพที่สร้างยอดขายได้ตั้งแต่ 6,000 ถึง 18,000 บาทต่อเดือน จากการติดตามถอดบทเรียนเคสคนพิการที่ได้รับสิทธิ์ในปี 2566 ที่ผ่านมา จำนวน 150 คน ใน 3 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ขอนแก่น และสระบุรี ทั้งนี้ยังพบว่าปัจจุบันคนพิการที่ได้รับอาชีพ ยังคงประกอบอาชีพที่ได้รับอยู่ถึง 80% และคนพิการเห็นว่าการมีอาชีพช่วยส่งเสริมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 84% รวมถึงสามารถต่อยอดอาชีพได้อย่างน่าสนใจ จึงเป็นที่มาของการพัฒนาโมเดลอาชีพงานขายลูกชิ้นกินดีและงานสานเส้นพลาสติกรีไซเคิลในปีนี้ มูลนิธิโอสถสภา ยังคงมุ่งมั่นสานปณิธานในการทำงานเพื่อช่วยเหลือคนพิการ โดยร่วมกับภาคีเครือข่ายในการเรียนรู้ ติดตาม ถอดบทเรียน เพื่อพัฒนาความช่วยเหลือคนพิการให้มีอาชีพ มีรายได้ ตลอดจนเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง และมีพลังเพื่อก้าวต่อไป [PR NEWS]

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

OSP พ้นจุดต่ำสุด จับตาโค้งท้ายโตแรง เป้า 28 บ.

OSP พ้นจุดต่ำสุด จับตาโค้งท้ายโตแรง เป้า 28 บ.

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” OSP ราคาเป้าหมาย 28 บาท ส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มชูกำลังของ OSP เดือน ต.ค. ในเชิงมูลค่ากลับมาฟื้นเป็น 45% จาก 44.8% ในเดือน ก.ย. โตได้ทั้งช่องทาง traditional และ modern trade ส่วนหนึ่งเพราะน้ำท่วมคลี่คลาย มูลค่าตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในไทยเดือน ต.ค. ยังโตต่อ +4% m-m, +12% y-y โดย OSP สามารถแย่งส่วนแบ่งกลับมาได้เล็กน้อย กลยุทธ์จะเน้นออกสินค้าหมายใหม่และสร้างตลาดด้วยสินค้าที่มีราคาสูงกว่า 10-12 บาท ส่วน 10 บาทยังมีขายเป็นทางเลือกให้ลูกค้าและเพื่อรองรับการแข่งขัน มองผ่านจุดต่ำสุดใน 3Q24 ไปแล้ว คาดกำไร 4Q24 จะกลับมาโต q-q และ y-y คาดกำไรปี 2025 จะกลับมาโตแรง +74% y-y แนวรับ 20.70-20.50//20 บาท แนวต้าน 21.50//22 บาท

บล.ดาโอ แนะซื้อ OSP เป้า 26 บ. รัฐกระตุ้นดีมานด์ ไฮซีซั่นหนุน

บล.ดาโอ แนะซื้อ OSP เป้า 26 บ. รัฐกระตุ้นดีมานด์ ไฮซีซั่นหนุน

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คงคำแนะนำ “ซื้อ” OSP และคงราคาเป้าหมายที่ 26.00 บาท อิง 2024E Core PER 25.0x ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองเป็นกลางจากการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ (18 พ.ย.2024) โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้ 1) แนวโน้ม 4Q24E ผู้บริหารคาดรายได้ฟื้นตัวจาก high season และออกสินค้าใหม่ทั้งเครื่องดื่มและ personal care, รายได้ domestic beverage โต YoY และ QoQ, มี gain จากการขายโรงแก้วในพม่าที่ 130 ล้านบาท, SG&A to sales ใกล้เคียง 9M24, 2) บริษัทยังคงเป้าปี 2024E โดยรายได้รวมเติบโต mid-single digit YoY, GPM > 250 bps ใกล้เคียงเราคาด 3) ปี 2025E บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ขยายตัว high single digit YoY, GPM ทรงตัว YoY ทั้งนี้ บริษัทมีการล็อคราคา raw materials ล่วงหน้าถึง 1H25E จากประเด็นข้างต้น           ฝ่ายวิเคราะห์คาดกำไร 4Q24E จะขยายตัว YoY, QoQ หนุนโดยรายได้ทั้งในและต่างประเทศจะเพิ่มขึ้น YoY, QoQ จากปัจจัยฤดูกาล, รัฐาลออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายและมี pent up demand จาก 3Q24 ที่ น้ำท่วมละ GPM ขยายตัว จาก volume การผลิตที่เพิ่มขึ้น และ international Business ขยายตัว ฝ่ายวิเคะราห์คงประมาณการกำไรปกติที่ 3,129 ล้านบาท (+44% YoY)           และปี 2025E ที่ 3,287 ล้านบาท (+5% YoY) จากรายได้ขยายตัว ราคาหุ้น underperform SET -10% ใน 1 เดือนที่ผ่านมา ปัจจุบันเทรดอยู่ที่ 2024E Core PER20.3x น่าสนใจ ยังไม่สะท้อนกำไรปกติปี 2024E ที่เติบโตโดดเด่น +44% YoY

นักลงทุนคอแห้ง! หุ้นเครื่องดื่มไตรมาส 3 เสิร์ฟกำไรแบบจัดเต็ม

นักลงทุนคอแห้ง! หุ้นเครื่องดื่มไตรมาส 3 เสิร์ฟกำไรแบบจัดเต็ม

อุตสาหกรรมเครื่องดื่ม สำหรับไตรมาส 3/2567 บริษัท มาลีกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือMALEE รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567  บริษัท และบริษัทย่อยมีผลกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นใหญ่ในไตรมาส 3/2567 เท่ากับ 61 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 3/2566 ที่มีผลกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นใหญ่ 9 ล้านบาท ผลการดำเนินงานเติบโต 551% YoY เป็นผลมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น 6% YoY จากกลยุทธ์ที่เน้นการเติบโตของสินค้าภายใต้แบรนด์ Malee ที่เป็น Focus SKU มีการยกเลิกขายสินค้าบางรายการ มีการปรับเพิ่มราคาสินค้าบางกลุ่มสินค้า และในกลุ่มลูกค้า CMG (Contract Manufacturing) ที่เป็นผลิตภัณฑ์ตามสัญญาและรับจ้างผลิต ตลอดจนความมีประสิทธิภาพในการควบคุมต้นทุนขายที่ดีขึ้น บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน)หรือSSC  รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567    กำไรสุทธิของบริษัท เท่ากับ 404 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 156 ล้านบาท หรือคิดเป็น 63.1% จากผลกำไรสุทธิ 248 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของยอดขายและการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทมีผลกำไรต่อหุ้นเป็นจำนวน 1.52 บาท เพิ่มขึ้น 0.59 บาทต่อหุ้น เมื่อเทียบกับผลกำไรต่อหุ้น 0.93 บาทในงวดเดียวกันของปีก่อน บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือCBG รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567 กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทฯ เท่ากับ 741 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +40% YoY สะท้อนยอดขายที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนที่ปรับตัวลดลง การควบคุมค่าใช้จ่าย มีรายได้จากการขายรวมเท่ากับ 5,098 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +8% YoY โดยในจำนวนนี้เป็นรายได้จากการดำเนินการผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนเองจำนวน 3,020 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +8% YoY จากยอดขายเครื่องดื่มบำรุงกำลังคาราบาวแดงในประเทศที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากส่วนแบ่งทางการตลาดที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลจากการที่บริษัทฯ ยังคงดำเนินกลยุทธ์หลักคงราคาขายปลีกที่ 10 บาท รวมถึงการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การกระจายสินค้าให้มีเครือข่ายที่กว้างขวางและครอบคลุมมากขึ้นผ่านคู่ค้ารายย่อยระดับอำเภอและระดับตำบล เพื่อขยายช่องทางการจัดจำหน่าย บริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน)หรือ TACC รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567  บริษัท มีกำไรสุทธิในไตรมาส 3 และสำหรับงวด 9 เดือน ปี 2567 จำนวน 66.31 และ 205.68 ล้านบาท ตามลำดับ เพิ่มขึ้น 6.42 และ 36.95 ล้านบาท (คิดเป็น 10.73% และ 21.90%) จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 59.89 และ 168.73 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 13.89% และ 14.16% ของรายได้ของไตรมาส 3 ปี 2567 และ 2566 (ลดลง 0.27%) และคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 14.45% และ 13.55% ของรายได้สำหรับงวด 9 เดือน ปี 2567 และ 2566 (เพิ่มขึ้น 0.90%)  กลุ่มบริษัทฯ คาดว่ารายได้ทั้งปี 2567 จะเติบโตร้อยละ 10 จากปีก่อน จากกลยุทธ์การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าหลัก เพิ่มฐานลูกค้าใหม่ นำเสนอสินค้าใหม่จับเทรนด์ผู้บริโภครักสุขภาพ บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน)หรือCOCOCO รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567  สำหรับไตรมาสที่ 3 ปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 172.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.57 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 12.81% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่ลดลง 54.84 ล้านบาท หรือคิดเป็นการลดลง 24.14% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากปัจจัยภายนอกจากสถานการณ์ความผันผวนของตลาดการเงินโลกจากความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศและแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอนยังคงมีผลกระทบต่อตลาดเงินและค่าเงินบาทในระยะสั้น ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศมีความผันผวน ส่งผลให้การรับรู้กำไรสุทธิลดลง สำหรับงวด 9 เดือนปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 603.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 252.45 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 72% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยเป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการของตลาด บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือ ICHI รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567  กำไรสุทธิของบริษัทฯ ในไตรมา 13/2567 และ โตรมาร 3/2566 เท่ากับ 357.3 ล้านบาท และ 328.0 ล้านบาทหรือ คิดเป็นอัตราทำไรสุทธิของรายได้จากการขาย เท่ากับ 16.7% และ 15.8% ตามลำดับ กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 20.3 ล้านบาท หรือเท่ากับ 6.9% สำหรับทำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 เท่ากับ 1.099.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 16.7% กำไร สุทธิเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่เท่ากับ 805.3 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 13.6%ของรายได้จากการขาย กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 294.6 ล้านบาทหรือเท่ากับ 36.6% บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน)หรือSAPPE รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567 รายงานผลประกอบการ กำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ในไตรมาส 3/2567 เท่ากับ 300.3 ล้านบาท หรือคิดเป็น 19.2% ต่อรายได้จากการขาย ลดลง 5.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันกับปีก่อนหน้าที่ 319.1 ล้านบาทบริษัทฯ มีรายได้จากการขายในไตรมาสนี้เท่ากับ 1,566.2 ล้านบาท ลดลง 6.0% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมาจากการลดลงของรายได้จากการขายตลาดต่างประเทศเป็นหลัก ภายในปี 2567 บริษัทฯ ยังคงมีแผนการออกสินค้าใหม่ทั้งหมดมากกว่า 20 รายการ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะส่งผลให้รายได้จากการขายเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน)หรือSSC  รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567    กำไรสุทธิของบริษัท เท่ากับ 404 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 156 ล้านบาท หรือคิดเป็น 63.1% จากผลกำไรสุทธิ 248 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของยอดขายและการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทมีผลกำไรต่อหุ้นเป็นจำนวน 1.52 บาท เพิ่มขึ้น 0.59 บาทต่อหุ้น เมื่อเทียบกับผลกำไรต่อหุ้น 0.93 บาทในงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากเหตุผลที่อธิบายข้างต้น บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน)หรือHTC รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567   บริษัทฯ มีกำไรสุทธิแสดงไว้ในงบการเงินรวมเป็นจำนวนเท่ากับ 129.2 ล้านบาท ลดลง 3.6% YoY และลดลง 18.7% QoQ จากปริมาณการขายที่ลดลงจากสภาวะอากาศเย็นและน้ำท่วม และต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 6.9% ลดลง 0.3 จุดเปอร์เซ็นต์ YoY และ QoQ บริษัทฯ คาดการณ์ว่าสภาวะตลาดเครื่องดื่มพร้อมดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ในภาคใต้จะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 4/2567 จากสภาวะการท่องเที่ยวปลายปีที่ปรับตัวดีขึ้น และสภาวะอากาศที่เข้าสู่ฤดูหนาว อีกทั้งจะเริ่มได้รับผลบวกจากการปรับราคาในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเต็มทั้งไตรมาส 4/2567 บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP มีการรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567  บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) รายงานผลขาดทุนสุทธิสำหรับไตรมาส 3 ปี 2567 ที่ 361 ล้านบาท ลดลง 156.3% จากปีก่อน (YoY) และลดลง 159.8% จากไตรมาสก่อน (QoQ) เนื่องจากมีการบันทึกผลขาดทุนสุทธิจากการจำหน่ายเงินลงทุนในธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายขวดแก้วในประเทศเมียนมาตามแผนยุทธศาสตร์การลงทุนตามที่ได้ส่งข่าวแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไปเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2567 และการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน รวมเป็นจำนวน 1,033 ล้านบาท ซึ่งหากไม่รวมรายการพิเศษดังกล่าว บริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงานปกติที่ 672 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.5% YoY และลดลง 27.2% Qo

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

OSP กำไร Q3 672 ลบ. เพิ่มขึ้น 20% พร้อมเดินเครื่องออกสินค้าใหม่

OSP กำไร Q3 672 ลบ. เพิ่มขึ้น 20% พร้อมเดินเครื่องออกสินค้าใหม่

         หุ้นวิชั่น -  ‘บมจ. โอสถสภา (OSP)’ รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567 ทำรายได้จากการขาย 6,043 ล้านบาท อ่อนตัวตามฤดูกาลและผลกระทบน้ำท่วม และกำไรปกติ 672 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน โดยมีการรับรู้ผลกระทบจากการปรับโครงสร้างผ่านการจำหน่ายเงินลงทุนในธุรกิจผลิตและจำหน่ายขวดแก้วในเมียนมาร์ ทำให้รายงานขาดทุนสุทธิ 361 ล้านบาท มองแนวโน้มไตรมาส 4/2567 ฟื้นตัว พร้อมเดินหน้าขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ มุ่งขยายฐานผู้บริโภคกลุ่มใหม่ เร่งเครื่องออกสินค้านวัตกรรมใหม่เพื่อผู้บริโภค ผลักดันการเติบโตทุกเซกเมนต์           นางสาวรติพร ราษฎร์เจริญ Group Chief Financial Officer  บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567 (กรกฎาคม-กันยายน) บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 6,043 ล้านบาท ชะลอตัว 3.7% จากปีก่อน (YoY) และ 17.7% จากไตรมาสก่อน (QoQ) เนื่องจากปัจจัยด้านฤดูกาล (Low Season) และผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยในภาคเหนือและภาคอีสาน ส่งผลต่อกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในต่างประเทศเติบโต 22.3% YoY จากยอดขายในเมียนมาร์และลาวที่แข็งแกร่ง รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง 8.5% YoY จากสินค้านวัตกรรมสินค้าใหม่ ๆ ตอบโจทย์แนวโน้มผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงและขยายเข้าสู่ฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ มากขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากไตรมาสที่ผ่าน บริษัทฯ บันทึกตัดจำหน่ายหนี้สูญและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายเงินลงทุนใน MGE Group ซึ่งเป็นธุรกิจผลิตและจำหน่ายขวดแก้วในเมียนมาร์ตามแผนยุทธศาสตร์การลงทุนในเมียนมาร์ และการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ส่งผลให้เกิดเป็นผลขาดทุนสุทธิจากการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ 1,033 ล้านบาท ซึ่งหากไม่รวมรายการพิเศษนี้ บริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงานปกติ (Core Business) ที่ 672 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% สะท้อนศักยภาพและความแข็งแกร่งของธุรกิจที่ยังคงเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ 36.1% ขยายตัวจากปีก่อนจากราคาต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานที่ลดลง ประกอบกับการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและจัดจำหน่ายให้เหมาะสมสอดคล้อง  โดยผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม-กันยายน) มีรายได้จากการขาย 20,648 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  5.7% YoY และมีผลกำไรสุทธิ 1,071 ล้านบาท ลดลง 45.6% YoY อย่างไรก็ตาม หากไม่รวมผลขาดทุนสุทธิจากการปรับโครงสร้างทางธุรกิจจำนวน 1,352 ล้านบาท บริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงานปกติ (Core Business) ที่ 2,423 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.5% YoY จากการที่โอสถสภาได้เดินหน้าขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ เพื่อขยายฐานผู้บริโภคไปยังกลุ่มใหม่ ๆ ที่มีอัตราการเติบโตสูง ผ่านการออกนวัตกรรมสินค้าใหม่เพื่อผู้บริโภค อาทิ แบรนด์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ภายใต้ชื่อ “เบบี้ มายด์ แอนด์ บียอนด์” ที่ขยายพอร์ตโฟลิโอเจาะกลุ่มทุกคนในครอบครัว โดยการผสานนวัตกรรม “พรีไบโอติก” ที่เป็นอาหารผิวจากธรรมชาติ เพื่อตอบรับเทรนด์สุขภาพ  ตอกย้ำผู้นำเบอร์ 1 ของตลาดรวมสบู่และแป้งเด็กของเบบี้มายด์ ขณะที่ผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “ทเวลฟ์พลัส” และ “เอ็กซิท” ได้ออกนวัตกรรมใหม่ ๆ สู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ช่วยผลักดันการเติบโตของทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้านแบรนด์ “ซี-วิท” ไม่หยุดพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อคนไทย เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “C-Vitt วิตามินซี 1,000 มิลลิกรัม” เพิ่มวิตามินซีเป็น 1,000 mg. ต่อขวด ให้คุณประโยชน์ตอบรับความต้องการดูแลสุขภาพที่มากขึ้น พร้อมกับความอร่อย ดื่มง่าย ดื่มได้ทุกวัน และออกรสชาติใหม่ “เสาวรส” ที่รสชาติอร่อย หอม เปรี้ยวอมหวาน โดนใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ นอกจากนี้ยังออก “เปปทีน กู๊ดไนท์” เพื่อตอบรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ที่เผชิญกับความเครียดในแต่ละวัน ต้องการความผ่อนคลายและคุณภาพการนอนหลับที่ดี โดยพอร์ตเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์ของโอสถสภาสามารถครองอันดับหนึ่งได้อย่างแข็งแกร่ง ด้วยส่วนแบ่งการตลาดในปีนี้ที่ 44.8% โดยผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเปปทีนมีส่วนแบ่งการตลาด 5.5% เพิ่มขึ้น 1.0% YoY และผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแบรนด์ “ซี-วิท” มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดที่ 74.0% ในกลุ่มเครื่องดื่มวิตามินซี เติบโต 5.3% YoY สำหรับไตรมาส 4 โอสถสภามุ่งหน้าสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจหลัก โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล หลังจากประสบความสำเร็จจากการบริหารกลยุทธ์ ไอดอลมาร์เก็ตติ้ง (Idol Marketing) ด้วยพรีเซนเตอร์ “พี่จอง-คัลแลน” โดยล่าสุด “มิโซซ่า” ตอบรับกระแสเรียกร้องให้แฟนคลับได้ใจฟูกันอีกครั้ง กับกระป๋องลิมิเต็ดเอดิชั่นลาย “พี่จอง-คัลแลน” ทั้งยังตอกย้ำความเป็นผู้นำเทรนด์การตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยการประกาศจับมือกับอินฟลูเอนเซอร์สุดฮอตแห่งปี คว้าตัว “น้องเนย Butterbear”  มาร่วมเป็นพรีเซนเตอร์ของสองแบรนด์ดัง ทั้ง “เบบี้มายด์” และ “คาลพิส แลคโตะ”  ที่เริ่มทยอยออกแคมเปญพิเศษ ร่วมสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์พร้อมฮีลใจมัมหมีอย่างต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี  ทั้งนี้ แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2567 คาดว่าจะสามารถสร้างการเติบโตได้ดีจากอัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มขยายตัวจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นและธุรกิจต่างประเทศที่เติบโตได้ดี ประกอบกับการฟื้นตัวของการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ รวมถึงอุปสงค์ของผู้บริโภคที่กลับมาเพิ่มขึ้นภายหลังจากสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลาย สอดรับกับการที่บริษัทฯ มีการพัฒนานวัตกรรมและออกผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงจัดกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ ที่ช่วยสร้างความตื่นเต้นและกระตุ้นตลาดในช่วงโค้งสุดท้าย โดยโอสถสภาตั้งเป้าการเติบโตรายได้ไม่ต่ำกว่า 5% จากปีก่อน และเดินหน้าบริหารจัดการต้นทุน ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและการดูแลสังคม เพื่อมุ่งสู่การเป็นพลังเพื่อเสริมสร้างชีวิตให้แก่ผู้บริโภคและผู้มีส่วนได้เสียตลอดห่วงโซ่คุณค่า

บล.ดาโอวิเคราะห์ OSP โรงงานพม่ากดกำไรแค่ไหน

บล.ดาโอวิเคราะห์ OSP โรงงานพม่ากดกำไรแค่ไหน

          หุ้นวิชั่น -บล. ดาโอ คงคำแนะนำ “ซื้อ” OSP แต่ปรับเป้าลงเป็น 26.00 บาท อิง 2024E Core PER 25.5x (เดิมที่ 28.00 บาท อิง 2024E Core PER 26.0x)           ประเมินกำไรปกติ 3Q24E ที่ 627 ล้านบาท (+12% YoY, -32% QoQ) และขาดทุนสุทธิที่ -373 ล้านบาท พลิกจากกำไรสุทธิใน 3Q23 ที่ 642 ล้านบาท และ 604 ล้านบาทใน 2Q24 จากผลขาดทุนจากการขายโรงขวดแก้วในเมียนมาร์ที่ -1,000 ล้านบาท มากกว่าที่เราคาดการณ์เดิมจาก FX loss ที่เพิ่มขึ้น           ทั้งนี้ กำไรปกติโต YoY จาก 1) รายได้ -4% YoY โดยรายได้ domestic beverage -13% YoY จากผลกระทบน้ำท่วมที่ภาคเหนือและอีสานซึ่งสถานการณ์รุนแรงกว่าปีที่แล้ว ส่งผลให้ยอดขาย traditional trade ปรับตัวลดลง แต่มีรายได้ international business +29% YoY มาช่วยชดเชย และ 2) GPM ที่ขยายตัว YoY จากสัดส่วนรายได้ International Business ซึ่ง high margin ปรับตัวเพิ่มขึ้น YoY ด้านกำไรที่ลดลง QoQ หนุน 1) รายได้รวมปรับตัวลดลง -18% QoQ จาก energy drink market share ที่ลดลงและ international business ที่ลดลงจาก low season, 2) GPM ปรับตัวลดลง จากรายได้ international business ลดลง และ 3) equity income ปรับตัวลดลงเนื่องจากออก NPD ใหม่ C-Vitt ที่มี Vitamin C 1000 mg และมีการทำการตลาดเพิ่ม เราปรับประมาณการกำไรปกติปี 2024E-25E ลง -4% และ -1% ตามลำดับสะท้อนรายได้ domestic beverage ที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด เราประเมินกำไรปกติที่ 3,063 ล้านบาท (+40% YoY)           สำหรับปี 2025E เราประเมินกำไรปกติที่ 3,287 ล้านบาท (+7% YoY) จากรายได้ขยายตัว ราคาหุ้น underperform SET -13% ใน 1 เดือนที่ผ่านมา ปัจจุบันเทรดอยู่ที่ 2024E Core PER20.7x น่าสนใจ ยังไม่สะท้อนกำไรปกติปี 2024E ที่เติบโตโดดเด่น +40% YoY

ดิจิทัลหมื่นบาทมาแล้ว มีหุ้นอะไรได้ประโยชน์?

ดิจิทัลหมื่นบาทมาแล้ว มีหุ้นอะไรได้ประโยชน์?

          หุ้นวิชั่น - บล. DAOL เผยคาดใช้จ่ายกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคมากสุดหลังเริ่มแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท           วานนี้ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เริ่มจ่ายเงินให้กับผู้มีสิทธิรับเงิน 10,000 บาท ตามโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล โดยมีการเริ่มทยอยโอนเงินเข้าบัญชีพร้อมเพย์และบัญชีธนาคารที่แจ้งไว้ให้กับผู้มีสิทธิ์ และจะดำเนินการต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 30 ก.ย. นี้ รวม 6 วัน จำนวน 14.5 ล้านราย หรือคิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 145,000 ล้านบาท จากการสำรวจความคิดเห็นประชาชน พบว่าประชาชนส่วนใหญ่จะนำเงินไปใช้เพื่อการบริโภคและอุปโภคในชีวิตประจำวัน อาทิ ของใช้ในบ้าน, สินค้าเพื่อการศึกษา, สินค้าเพื่อการเกษตร, สินค้าไอที โทรศัพท์มือถือ DAOL: คงน้ำหนักการลงทุนกลุ่ม Commerce เป็น "มากกว่าตลาด"           โครงการแจกเงิน 10,000 บาทจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม โดยคาดว่าจะส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ซึ่งจะช่วยหนุนและเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่ม Commerce โดยตรง เรายังมองเป็นบวกต่อกลุ่ม Commerce ว่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมได้ โดยจะเป็นประโยชน์ทางอ้อมต่อการบริโภคโดยรวมของกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งมีสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคสูง           ฝ่ายวิเคราะห์ ชอบ CPAXT (ซื้อ/เป้า 36.00 บาท), CPALL (ซื้อ/เป้า 84.00 บาท) และ CRC (ซื้อ/เป้า 40.00 บาท) ตามลำดับ จากการคาดการณ์การใช้จ่ายจะอยู่ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นหลัก           รองมาเป็นกลุ่ม Home Improvement HMPRO (ซื้อ/เป้า 15.00 บาท), GLOBAL (ถือ/เป้า 16.00 บาท) และ DOHOME (ถือ/เป้า 11.00 บาท) จากจำนวนสาขาที่มีในพื้นที่ที่มีผู้ได้รับสิทธิ์มากที่สุด ตามลำดับ หุ้นอื่นๆ ที่ได้ประโยชน์           และยังชอบกลุ่มผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคโดยตรง คือ NEO (ซื้อ/เป้า 64.00 บาท) มีสัดส่วนรายได้จากสินค้าอุปโภค 100%, OSP (ซื้อ/เป้า 28.00 บาท) มีสัดส่วนรายได้สินค้าอุปโภคที่ 9% ของรายได้รวม และ SFLEX (ซื้อ/เป้า 4.80 บาท) ได้ประโยชน์ต่อเนื่องจากยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีการใช้ flexible packaging เพิ่มขึ้น, CBG (ซื้อ/เป้า 88.00 บาท) กลุ่มเปราะบางเป็นลูกค้าหลักของเครื่องดื่มชูกำลังแบรนด์คาราบาวแดง คาดช่วยหนุนรายได้เครื่องดื่มชูกำลังในประเทศใน 4Q24E โตต่อ YoY, QoQ

abs

Hoonvision