##mai


[Gossip] KTMS เล็งบุ๊ครายได้ 2 สาขาใหม่ ไตรมาส 4 นี้

[Gossip] KTMS เล็งบุ๊ครายได้ 2 สาขาใหม่ ไตรมาส 4 นี้

หุ้นวิชั่น - เสิร์ฟข่าวดีต่อเนื่อง สำหรับ บมจ.เคที เมดิคอล เซอร์วิส จำกัด “KTMS” ผู้นำด้านการให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม และระบบผลิตน้ำบริสุทธิ์สำหรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมรวมทั้งการขายและการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์อย่างครบวงจร (One-stop Services) หลังแจ้งงบ 9 เดือนของปี 2567 กำไรสุทธิโต 13.37% (YoY)  แตะ 11.11 ล้านบาท ขณะที่รายได้ 436.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.51% ล่าสุด CEO “กาญจนา พงศ์พัฒนะเดชา” ออกโรงประกาศย้ำข่าวดีเตรียมจ่อรับทรัพย์จากการรับรู้รายได้ไตรมาสสุดท้าย จากการเปิดศูนย์ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม 2 แห่งใหม่ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มั่นใจรายได้รวมปีนี้แตะ 600 ล้านบาท ตามเป้าอย่างแน่นอน ส่วนจะมีแผนขยายศูนย์ฯ ให้บริการเพิ่มเติม เพื่อรองรับผู้ป่วยที่จะเข้ามารักษาอีกกี่แห่ง ผู้บริหารของอุบไว้ก่อน แต่หาก FC ท่านไหนอยากอัปเดต รอฟังข้อมูลแบบเจาะลึกกันแบบสดๆ ในงาน KTMS Opportunity Day วันที่ 3 ธ.ค. 2567 เวลา 13:15 - 14:00 น. ได้เลย ใครเป็น FC ตัวจริงต้องห้ามพลาด!!!!

[Vision Exclusive] LEOปลุกกระแสส่งออก เล็งพันธมิตรจีนต่อยอด

[Vision Exclusive] LEOปลุกกระแสส่งออก เล็งพันธมิตรจีนต่อยอด

หุ้นวิชั่น - นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยกับ ทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า คาดการณ์ว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนจะส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศดีขึ้น รวมถึงการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการส่งออกและธุรกิจโลจิสติกส์ให้เติบโตมากขึ้น เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ขณะที่สัดส่วนการส่งออกสินค้าไปยังจีนของ LEO ยังคงเป็นตลาดหลักของบริษัท โดยมีสัดส่วนถึง 30% ส่วนสหรัฐอเมริกามีสัดส่วนอยู่ที่ 15-20%             คาดว่าเมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง จะส่งผลให้การสต็อกสินค้าสู่สหรัฐอเมริกามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากคาดว่าอาจมีการปรับขึ้นภาษีการนำเข้าสินค้า ขณะที่การยุติสงครามระหว่างยูเครนและรัสเซียจะช่วยเสริมสร้างบรรยากาศเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ตัวเลข PMI Index และตัวเลขการจับจ่ายใช้สอยมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยบรรเทาความกังวลในระดับโลกและส่งผลให้ความรู้สึกในตลาดเริ่มคลายความวิตกกังวลลง             สำหรับทิศทางปีหน้า หรือปี 2568 ธุรกิจหลักการขนส่งสินค้า หรือ Logistic คาดจะสร้างอัตราการทำกำไร (มาร์จิ้น) ได้ที่ระดับ 15-20% ส่วนแนวโน้มรายได้ขึ้นอยู่กับซัพพลาย ดีมานด์ และ LEO มีแผนจะขยายฐานลูกค้าใหม่ตลอดเวลา จากการส่งออก นำเข้าสินค้า รวมถึงการที่พันธมิตรสนใจเข้ามาร่วมต่อยอดธุรกิจ เพื่อลดต้นทุนการขนส่งสินค้า             ในปี 2568 คาดว่าผลการลงทุนร่วมกับ บริษัท ศรีตรังโลจิสติกส์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขนส่งสินค้าทางรถไฟครอบคลุมทั้งภายในประเทศไทยและผ่านแดนไปยังประเทศมาเลเซีย จะเริ่มเห็นผลชัดเจน โดยบริษัทมีประสบการณ์ในการขนส่งสินค้าทางรถไฟทั่วประเทศมานานกว่า 7 ปี ล่าสุดได้จัดตั้งบริษัทใหม่ชื่อ "บริษัท ศรีตรัง ลีโอ มัลติโมเดิล ลอจิสติกส์ จำกัด" มีทุนจดทะเบียนจำนวน 50 ล้านบาท โดย LEOถือหุ้น 50% และ บริษัท ศรีตรังโลจิสติกส์ จำกัด ถือหุ้น 50% การรับรู้รายได้ผ่านบริษัทร่วมทุนนี้คาดว่าจะช่วยผลักดันมาร์จิ้นให้กับบริษัทได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ แนวโน้มการส่งออกผลไม้และการจับมือกับพันธมิตรในจีน เพื่อนำเข้าสินค้าและส่งออกสินค้าจากไทยไปยังจีน คาดว่าจะมีความชัดเจนในปี 2568 เช่นกัน ธุรกิจนี้คาดว่าจะสร้างรายได้หลายร้อยล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 30% ของรายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่โลจิสติกส์             นายเกตติวิทย์ กล่าวต่อว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรจากจีนเพิ่มเติม เพื่อนำสินค้าจากจีนเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย โดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีจากจีน ซึ่งมีความก้าวหน้ามาก อาทิ รถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) และการพัฒนาอีคอมเมิร์ซ คาดว่าจะเห็นการจับมือกับพันธมิตรจีนเพิ่มเติมเพื่อต่อยอดธุรกิจในปี 2568 ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งและขยายตลาดให้กับบริษัทในอนาคต             สำหรับ 9 เดือนแรกปี 2567 บริษัทมีรายได้แล้วที่ 1,234.15 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 34.22 ล้านบาท บริษัท เชื่อมั่นว่า ตั้งแต่ไตรมาส 4/2567 เป็นต้นไป จะเห็นการเติบโตของรายได้และกำไรขั้นต้นจากการรับรู้รายได้จากหน่วยธุรกิจใหม่ๆ เช่น โครงการ Self-Storage สาขาที่ 3 และ Wine Storage ที่ถนนพระราม 4 โดยรายได้จากธุรกิจ Self-Storage มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส 3/2567 ซึ่งเติบโตถึง 98% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2566 และเมื่อเปรียบเทียบ 9M/2567 กับ 9M/2566 พบว่าเพิ่มขึ้น 68%  รวมถึงโครงการอื่นๆ ที่ได้มีการจัดตั้งในช่วงที่ผ่านมา เช่น การขนส่งทางรางไปยังประเทศจีน-ลาว ของบริษัท LaneXang Express, การขนส่งสินค้าทางรางภายในประเทศของบริษัท Sritrang Leo Multimodal Logistics, การให้บริการโลจิสติกส์และกระจายสินค้า ของบริษัท Advantis Leo และการส่งออกสินค้าจากประเทศไทยไปยังประเทศจีนจากบริษัท Leo Sourcing & Supply Chain ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าโครงการดังกล่าวจะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ไตรมาส 4/2567 เป็นต้นไป และเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ของบริษัทในการเพิ่มรายได้จากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องใน 1-2 ปีข้างหน้า   รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

บจ.mai 9 เดือน กำไรโต 27.2% เกษตร-อาหารทำเงิน

บจ.mai 9 เดือน กำไรโต 27.2% เกษตร-อาหารทำเงิน

หุ้นวิชั่น - นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 213บริษัท คิดเป็น 97% จากทั้งหมด 220 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวด) นำส่งผลการดำเนินงาน โดย 9 เดือน ปี 2567 พบ บจ. รายงานกำไรสุทธิจำนวน 151 บริษัท คิดเป็น 71% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2567 ของ บจ. mai เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มียอดขาย 155,843 ล้านบาท และต้นทุนขาย 115,277 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9% และ 4.2% ตามลำดับ ส่งผลให้มีกำไรขั้นต้น 40,566 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.9% และมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 29,202 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.6% ทำให้มีกำไรจากการดำเนินงาน 11,364 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 6,302 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.0% และ 27.2 % ตามลำดับ และหากพิจารณาถึงความสามารถในการทำกำไร พบว่า บจ. ยังคงความสามารถในการทำกำไรดี โดยมี Gross Profit Margin  Operating Profit Margin และ Net Profit Margin อยู่ที่ระดับ 26.0% 7.3% และ 4% เพิ่มขึ้น 1.1% 1.4% และ 0.6% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ “ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ของ บจ. ใน mai ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรก บจ. ทำผลประกอบการสะสมมาได้ดี หากแต่งวดไตรมาสที่ 3 เริ่มเห็นการเติบโตน้อยลง โดยมียอดขายและกำไรจากการดำเนินงานเติบโตเพียง 3.9% และ 4.9% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม หากพิจารณางวด 9 เดือน ตามรายกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่ายอดขายเติบโตในเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ยกเว้นกลุ่มทรัพยากรที่มียอดขายลดลง โดย 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตทั้งยอดขาย กำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) และกำไรสุทธิ ได้แก่ กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง และกลุ่มบริการ” นายประพันธ์กล่าว ในส่วนของฐานะทางการเงิน บจ. mai มีสินทรัพย์รวม 329,230 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากสิ้นปี มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) อยู่ที่ 0.78 เท่า เท่ากับปี 2566 ปัจจุบันมี บจ.ใน mai 220 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2567) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 322.57 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่ 311,812 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 1,554 ล้านบาทต่อวัน

[Gossip] PLANET พร้อมร่วมโชว์ศักยภาพ ในงาน DronTech Asia 2024

[Gossip] PLANET พร้อมร่วมโชว์ศักยภาพ ในงาน DronTech Asia 2024

          หุ้นวิชั่น - บิ๊กบอส "ประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์" แห่ง บมจ.แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย หรือ PLANET ผู้ให้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลแบบครบวงจร เดินหน้าลุยเต็มสูบ หลังมติบอร์ดล่าสุด เห็นชอบเพิ่มทุน แจกวอแรนท์ผู้ถือหุ้นเดิมเพื่อเสริมสภาพคล่อง และขยายธุรกิจ "ANTI DRONE"  ธุรกิจนี้ ว่ากันว่ากำลังมีอัตราการเติบโตอย่างมาก งานนี้ไม่รอช้า บิ๊กบอส เลยขอนำทัพ เข้าร่วมโชว์เทคโนโลยี อากาศยานไร้คนขับ (Drone) ในงาน "DRONTECH ASIA 2024" ในวันที่ 25 – 27 พฤศจิกายน 2567 ใครอยากรู้ว่าเรื่องนี้ มีดีอย่างไร ไปเจอกันได้ที่ Hall12 บูธ F03 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

FPI ปักหมุดรายได้ปี 67 พุ่งแตะ 2.6 พันลบ. ออลไทม์ไฮ

FPI ปักหมุดรายได้ปี 67 พุ่งแตะ 2.6 พันลบ. ออลไทม์ไฮ

          หุ้นวิชั่น – "สมพล  ธนาดำรงศักดิ์" บิ๊กบอส บมจ.ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ (FPI) มั่นใจรายได้ปี 67 ทะยานแตะ 2.6 พันล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ตามนัด! อานิสงส์ยอดขาย 2 บริษัทย่อยในแดนภารตะพุ่ง ตุน Backlog แน่นกว่า 1,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากประเทศอินเดีย เผย 9 เดือนกวาดรายได้ 1,903.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.6% กำไรสุทธิ 167.1 ล้านบาท มั่นใจไตรมาส 4 /67 สดใส เดินหน้ากลยุทธ์เพิ่มกำลังการผลิต-ขยายฐานลูกค้าใหม่ ทั้งในและต่างประเทศ อัพยอดขาย นายสมพล  ธนาดำรงศักดิ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) (FPI) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯในงวด 9 เดือนปี 2567 มีรายได้รวม 1,903.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 85.1 ล้านบาท หรือ 4.6% และมีกำไรสุทธิ 167.1 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการเปิดดำเนินการของบริษัทย่อยในประเทศไทย ซึ่งช่วยเพิ่มกำลังการผลิตและขยายฐานลูกค้า ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2567 มีกำไรสุทธิ 7.3 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 112.9 ล้านบาท เนื่องจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน หากไม่นับขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง 171.1 ล้านบาท และกำไรจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของเครื่องมืออนุพันธ์จำนวน 66 ล้านบาท บริษัทฯจะมีกำไรประมาณ 112.4 ล้านบาท อีกทั้งยังคงมั่นใจในศักยภาพการเติบโตในระยะยาว และกำลังดำเนินการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และขยายสู่ตลาดใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง สำหรับการดำเนินงานของ 2 บริษัทย่อยในประเทศอินเดีย ในไตรมาส 3/2567 บริษัท เอฟพีไอ ออโต้ พาร์ท อินเดีย มียอดขายสูงถึง 116 ล้านรูปี เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายฐานลูกค้าใหม่ และการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้คาดการณ์รายได้ตลอดทั้งปีจะแตะระดับ 600 ล้านรูปี ส่วนบริษัท อาร์บีเอส พลาสติก อินโนเวชั่น จำกัด ได้เริ่มดำเนินการปรับปรุงระบบการจัดการภายในทั้งหมด รวมถึงระบบ ERP ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2567 ส่งผลให้ยอดขายในเดือนกรกฎาคมแทบเป็นศูนย์ อย่างไรก็ตาม บริษัทสามารถฟื้นตัวและทำยอดขายได้รวม 24.9 ล้านบาทในไตรมาสนี้ แม้ว่าจะยังขาดทุนสุทธิ 2.96 ล้านบาท เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงระบบที่สูง สำหรับแผนการในอนาคต บริษัทตั้งเป้ายอดขายครึ่งปีหลังของปี 2567 ที่ 60 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขายทั้งปี 2568 ที่ 200 ล้านบาท โดยเชื่อมั่นว่าการปรับปรุงระบบครั้งนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการบริหารจัดการ ส่งผลให้บริษัทเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว "แนวโน้มผลงานในไตรมาส 4 คาดว่าจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เพราะธุรกิจอินเดียมีแนวโน้มเติบโตโดดเด่น และบริษัทฯจะมียอดขายจากย่อยที่เปิดใหม่เข้ามาสนับสนุน ทำให้มั่นใจว่าแนวโน้มรายได้ปี 2567 จะแตะที่ระดับ 2,600 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยปัจจุบันมีออเดอร์สินค้าในมือ (Backlog) ประมาณ 1,000  ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นออเดอร์อินเดีย ส่วนที่เหลือเป็นออเดอร์ในไทย" นายสมพล กล่าวในที่สุด

TPLAS ร่วมต่อต้านคอร์รัปชัน

TPLAS ร่วมต่อต้านคอร์รัปชัน

หุ้นวิชั่น – นายภูษณ ธีระรุจินนท์ (ซ้าย) เลขานุการ คณะกรรมการตรวจสอบทุจริตและคอร์รัปชัน บริษัท ไทยอุตสาหกรรมพลาสติก (1994) จำกัด (มหาชน) หรือ TPLAS เป็นตัวแทนรับมอบใบประกาศนียบัตรรับรองการเป็นสมาชิกแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย ภายในงาน “CAC Certification Ceremony 2/2024  NAVIGATING ESG:THE POWER OF INTEGRITY” ตอกย้ำจุดยืนขององค์กรในความมุ่งมั่นเรื่องการต่อต้านการคอร์รัปชันและให้การสนับสนุนแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันทุกรูปแบบ เพื่อสร้างความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นการยึดมั่นต่อการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดี โดยงานดังกล่าวจัดขึ้น ณ โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้

Gossip / FVC เคาะปันผลระหว่างกาล 0.01 บาท จ่อ XD  28 พ.ย. นี้

Gossip / FVC เคาะปันผลระหว่างกาล 0.01 บาท จ่อ XD 28 พ.ย. นี้

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวทันหุ้นรายงาน หลังประกาศงบงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 ออกมาแบบสวยๆ สำหรับหุ้น บมจ.ฟิลเตอร์ วิชั่น (FVC) โชว์กำไรแตะ 18.73 ล้านบาท โต 8.83% พร้อมกวาดรายได้จากการจำหน่ายสินค้าและบริการ 774.41  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.61% แบบฉลุย ล่าสุดบอร์ดไฟเขียวอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.01 บาท ฉะนั้นนักลงทุนเตรียมดักเก็บหุ้น FVC เข้าพอร์ต ก่อนที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD  วันที่ 28 พ.ย. นี้ เพื่อรอรับเงินปันผลเข้ากระเป๋า วันที่ 12 ธ.ค.2567 กันแบบปังๆ ได้เลย เรียกว่าเป็นการเสิร์ฟข่าวดีทิ้งท้ายก่อนสิ้นปีจริงๆ แค่นั้นยังไม่พอ บิ๊กบอส “ดร.วิจิตร เตชะเกษม” แอบกระซิบมาอีกว่า ไตรมาส 4/67 นี้ FVC ฟอร์มดีไม่มีตก เพราะตอนนี้กำลังเร่งขยายฐานลูกค้าใหม่ เพื่อต่อยอดลูกค้าเดิม ของทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจการให้บริการ สู่การปั้นรายได้ทั้งปีแตะ 1,000 ล้านบาทตามแผนที่วางไว้  เรียกว่าสร้างผลงานแบบเติบโตต่อเนื่อง มิหนำซ้ำยังดูแล ผู้ถือหุ้นเป็นอย่างดีขนาดนี้  เหล่าแฟนคลับจะไม่เคาะซื้อ FVC เข้าพอร์ตได้ยังไง

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

MCA 9 เดือนรายได้โต 46.17% บอร์ดไฟเขียวลงทุน “บริษัท เอ็ม ดีไซน์ แอนด์ โปรดักชั่น”

MCA 9 เดือนรายได้โต 46.17% บอร์ดไฟเขียวลงทุน “บริษัท เอ็ม ดีไซน์ แอนด์ โปรดักชั่น”

          หุ้นวิชั่น - บมจ.มาร์เก็ต คอนเน็กชั่นส์ เอเชีย “MCA” โชว์รายได้ไตรมาส 9 เดือนแรกแตะ 471.91      ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.17% และมีกำไรสุทธิ 16.15 ล้านบาท ล่าสุดบอร์ดไฟเขียวเข้าลงทุนธุรกิจเกี่ยวกับโรงงาน Printing และ Production ภายใต้บริษัท ยูเอ็ม ดีไซน์ แอนด์ โปรดักชั่น โดยถือหุ้น 50% หวัง ต่อยอดธุรกิจสู่การเป็นผู้นำธุรกิจด้านแผนกลยุทธ์ทางการตลาดและการจัดกิจกรรมส่งเสริมทางการตลาดแบบ One-stop Service Marketing ครบทุกมิติ พร้อมส่งซิกปี 68 โกยรายได้จากบริษัทร่วมทุนเข้ากระเป๋า 30 ล้านบาท           นายภักดี เหล่างาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาร์เก็ต คอนเน็กชั่นส์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ MCA  เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานสำหรับงวด 9 เดือนแรกปี 2567 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 471.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.17% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และมีกำไรสุทธิ 16.15 ล้านบาท ขณะที่กำไรขั้นต้น 83.32 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9.76% ทั้งนี้ สาเหตุที่บริษัทฯ มีรายได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากรายได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ควบคู่กับการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ           โดยงวด 9 เดือน บริษัทฯ รายได้เพิ่มขึ้นจากกลุ่มให้บริการ ได้แก่ รายได้จากบริการจัดกิจกรรมทางการตลาดและดิจิทัล 119.90 ล้านบาท เติบโตขึ้นร้อยละ 2.91 จากกลุ่มบริการOutsoucing Coodinate , รายได้จากบริการพนักงานแนะนำสินค้า 116.93 ล้านบาท โตขึ้นร้อยละ 28.66 จากการเติบโตในกลุ่มบริการ Outsoucing PG ,รายได้จากบริการจัดเรียงสินค้า 184.47 ล้านบาท โตขึ้นร้อย 89.51 เนื่องจากบริษัทฯ มีการขยายขอบเขตพื้นที่ให้บริการเพิ่มขึ้นและการเติบโตในกลุ่มบริการ Outsoucing Merchandiser, รายได้จากการเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้า 40.80 ล้านบาท โตขึ้นร้อยละ 644.53 เนื่องจากบริษัทฯ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนผู้จัดจำหน่ายทั่วประเทศในช่องทาง Traditional Trade ช่วงเดือนสิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาพรวมของรายได้ในงวด 9 เดือนเติบโตเพิ่มสูงขึ้น           นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน ซึ่งจะมีสถานะ เป็นบริษัทย่อย จำนวน 1 บริษัท ภายใต้ชื่อบริษัท ยูเอ็ม ดีไซน์ แอนด์ โปรดักชั่น จำกัด (UM Design and Production Co., Ltd.) ด้วยทุนจดทะเบียน 3 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 30,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท โดย MCA เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 50% และ บริษัท ยู โปรดักชั่น จำกัด ถือ 50% ของทุนจดทะเบียน สำหรับวัตถุประสงค์ที่เข้าลงทุนในบริษัทดังกล่าว เพื่อดำเนินธุรกิจให้บริการด้านสิ่งพิมพ์แบบครบวงจร ทั้งออกแบบ การผลิต งานสิ่งพิมพ์ และสื่อโฆษณาทุกชนิด           อย่างไรก็ตามแผนการลงทุนครั้งนี้เป็นการต่อยอดธุรกิจสู่การเป็นผู้นำธุรกิจด้านแผนกลยุทธ์ทางการตลาดและการจัดกิจกรรมส่งเสริมทางการตลาดแบบ One-stop Service Marketing ที่ตอบโจทย์ทุกกิจกรรมการตลาดให้กลุ่มลูกค้าได้ครบทุกมิติ โดยจะส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจของ MCA ในปีหน้ามีความครบวงจรมากขึ้น

“MAGURO” งบ Q3/67 ทำสถิติสูงสุดกำไรโต 54% เล็งเปิด 2 แบรนด์ใหม่ อาโอกิ ทงคัตสึจากญี่ปุ่น และร้านสไตล์ All Day Dining

“MAGURO” งบ Q3/67 ทำสถิติสูงสุดกำไรโต 54% เล็งเปิด 2 แบรนด์ใหม่ อาโอกิ ทงคัตสึจากญี่ปุ่น และร้านสไตล์ All Day Dining

    หุ้นวิชั่น - “MAGURO” ผู้นำร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นและเกาหลีระดับพรีเมียม-แมส เปิดงบโชว์ผลงานไตรมาส 3/2567 ทำสถิติสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท กวาดรายได้ 355.7 ล้านบาท พุ่ง 33% Y-o-Y และ 11% Q-o-Q และกำไรสุทธิทำสถิติแรงไม่แพ้กัน 29 ล้านบาท โต 127% Q-o-Q และ 54% Y-o-Y ขณะที่ในช่วง 9 เดือนแรก บริษัทฯกวาด รายได้ 974 ล้านบาท โต 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังขยายร้านเกินเป้าเป็น 13 ร้าน รวมเป็น 32 ร้าน พร้อมเตรียมต้อนรับแบรนด์น้องใหม่อาโอกิทงคัตสึจากญี่ปุ่นปลายปีนี้ พร้อมจ่อเปิดร้านอาหารรูปแบบใหม่รับ อานิสงส์ดีมานด์พุ่ง ด้าน “เอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง” ซีอีโอ เผยบริษัทฯ เดินตามหลักปรัชญา “Give More” ให้มากกว่าที่ขอ มั่นใจรายได้ปีนี้เติบโตตามเป้า 30% คุณเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เปิดเผยว่า “ผลการดำเนินงานของ MAGURO ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้รายได้รวมอยู่ที่ 355.7 ล้านบาท เติบโต 33% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ และ ขณะที่งบ 9 เดือนแรกของปี 2567 มีรายได้รวมที่ 976 ลบ. ขยายตัว 27% มากกว่ารายได้รวมใน 9 เดือนแรกของ ปีก่อน โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากสาขาที่เปิดใหม่ 7 สาขา ด้านกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้อยู่ที่ 29 ล้านบาท เติบโต 127% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปีก่อน และกำไรสุทธิ 9 เดือนแรก เติบโต 6.2% เป็น 62 ล้านบาท โดยการ เติบโตดังกล่าว บริษัทฯได้รับอานิสงส์จากแผนการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องตามแผนที่วางไว้แต่เดิมอยู่แล้ว เพื่อ พัฒนาศักยภาพร้านอาหารให้ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าอย่างดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าเดิม หรือ กลุ่มลูกค้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาใช้บริการ ด้วยคอนเซ็ปต์ ‘Give More Culture’ หรือ ‘การให้มากกว่าที่ขอ’ ที่เราใช้ ในการบริหารธุรกิจมาโดยตลอด” โดยตั้งแต่เริ่มต้นปี 2567 บริษัทฯ ได้เดินหน้าขยายร้านอาหารเพิ่มแล้ว 11 ร้าน (ครึ่งปีแรกเปิด 2 ร้าน) และ มั่นใจว่าจะสามารถเปิดสาขาได้มากกว่าเป้ารวมที่ตั้งไว้เป็น 13 ร้าน เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าระดับ พรีเมียม และพรีเมียม-แมส ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้สิ้นปีนี้ Maguro จะมีเครือข่ายทั้งหมด 38 สาขา ภายใต้ 5 แบรนด์ คุณจักรกฤติ สายสมบูรณ์ กรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง MAGURO กล่าวว่า “นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเตรียมเปิดบริการร้าน อาโอกิ ทงคัตสึ (Aoki Tonkatsu) ร้านอาหารหมูทอดระดับพรีเมียมยอดนิยมจากญี่ปุ่น ในเดือนธันวาคมนี้ ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิร์ลอีกด้วย ซึ่งคาดว่าจะได้รับการต้อนรับจากอบอุ่นจากทั้งกลุ่มลูกค้าเดิม สมาชิกของมากุโระและลูกค้าใหม่ที่ชอบทานทงคัตสึ นอกจากนี้ในเดือนหน้า MAGURO จะเปิดร้านอาหารรูปแบบ ใหม่สไตล์ All-Day Dining ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในกลุ่มลูกค้าพรีเมียม และ พรีเมียม-แมส ที่โครงการ The Flavorhood เพื่อรองรับความต้องการจากลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด MAGURO ได้เปิดตัวโครงการ The Flavorhood ตั้งอยู่บนประดิษฐ์มนูธรรม บนพื้นที่ 2 ไร่ ที่ประกอบไปด้วย 3 ร้านอาหารในเครือ MAGURO ที่มีการตกแต่งผสมผสานระหว่างความร่วมสมัย แต่ยังคง กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น รวมถึงสวนในโครงการที่มีทั้งรูปแบบ Japanese Garden และ Modern Tropical Garden อีกทั้งยังมีความตั้งใจให้โครงการนี้เป็นการต่อยอดแนวทางด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีแผน การติดตั้งจุดชาร์จ EV Charger และ Solar Roof ภายในโครงการ รวมถึงจุดรีไซเคิลขยะพลาสติก และการแยกขยะ อย่างเป็นระบบอีกด้วย ปัจจุบัน MAGURO Group มีร้านอาหารในเครือ รวมทั้งหมด 35 ร้านจาก 3 แบรนด์ คือ 1.) MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิสไตล์ระดับพรีเมียม 18 ร้าน 2.) SSAMTHING TOGETHER ร้านปิ้งย่างสไตล์เกาหลี วัตถุดิบพรีเมียม 6 ร้าน 3.) HITORI SHABU ร้านชาบูและสุกียากี้ หม้อเดี่ยวสไตล์คันไซ 11 ร้าน รวมถึงรูปแบบ Specialty เรื่อง Suki ภายใต้ชื่อแบรนด์ HITORI SUKIYAKI ร้านสุกียากี้คันไซแบบดั้งเดิมใน รูปแบบ Authentic Japanese Sukiyaki Course ในรูปแบบ Stand Alone ซึ่งเปิดสาขาแรกที่เอกมัย 12 ไป เมื่อกลางเดือน กรกฎาคมที่ผ่านมา นอกจากนี้ MAGURO ยังมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งจากจำนวนสมาชิกที่อยู่ในระบบ (Membership Program) มากกว่า 210,000 ราย จากการที่บริษัทฯ ใช้ระบบ CRM (Customer Relation Management) ในการรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมลูกค้ามาวิเคราะห์เพื่อนำเสนอโปรโมชั่น และกิจกรรมส่งเสริมการขายให้แก่ลูกค้า ได้อย่างตรงจุด ทำให้ทั้งลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ได้รับประสบการณ์ที่ดีตามแบบฉบับวัฒนธรรม “Give More” ของ MAGURO “เรามีฐานลูกค้าสมาชิกที่เหนียวแน่นถึง 210,000 ราย เพราะฉะนั้น จากฐานที่แข็งแกร่งนี้รวมกับระบบ CRM ของ MAGURO ทำให้เราสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า และส่งมอบประสบการณ์ที่ดี ตามแบบฉบับ วัฒนธรรม Give More ของ MAGURO ได้ อย่างเช่น การร่วมมือกับพันธมิตรแบรนด์ต่างๆในหลากหลายรูปแบบ เช่น เชฟ Black จาก Blackish เชฟ ชินจาก Noname Noodle หรือ เชฟ แรนดี้จาก Fillet Omakase และล่าสุด เป็นการร่วมมือกับแบรนด์ไอศครีม Guss Dam Good ที่พัฒนามาเป็นเมนูที่ชื่อว่า Give Good Things ไอศกรีม รสมันหวานญี่ปุ่นครีมบูเล่ ที่เพิ่งเปิดตัวไปกับ The Flavorhood” คุณจักรกฤติ กล่าวเสริม สำหรับภาพรวมทั้งปีนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่าจาก ครึ่งปีหลังนี้ การขยายสาขา เพิ่มแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาเพื่อให้ ครอบคลุมลูกค้าทุกเซ็กเม้นท์ รวมถึงการใช้ระบบ CRM วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าตอบโจทย์ความต้องการ ซึ่งคาด ว่ากลยุทธ์การดำเนินงานดังกล่าวที่วางไว้ จะช่วยผลักดันรายได้ตลอดทั้งปี 2567 ขยายตัวต่อเนื่อง และทำให้รายได้ เติบโตตามที่คาดไว้ที่ประมาณ 30% จากปี 2566

live-sticky
LIVE