หุ้นวิชั่น - JMART ดำเนินธุรกิจภายใต้การดำเนินงานร่วมกันของกลุ่มบริษัทย่อย มี 6 สายธุรกิจหลัก ที่เน้นการประกอบธุรกิจธุรกิจค้าปลีก และการเงินด้วยเทคโนโลยี ภายใต้ปณิธานของการดำเนินงานในแนวคิด “The Power of Synergy” ซึ่งเป็นกลยุทธ์หลักสำคัญที่จะสร้างระบบนิเวศน์ในการดำเนินงาน (Ecosystem)
“วันนี้กลุ่ม JMART กลับมาแล้วอย่างแข็งแกร่งกว่าเดิม ในไตรมาส 3/2567 จะได้เห็นตัวเลขที่ยืนยันความสำเร็จของเรา และตอกย้ำด้วยไตรมาส 4/2567 รวมถึงปีหน้า 2568 จะเป็นปีที่ดีกว่าทุกปีที่ผ่านมา เราจะก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง และยังพร้อมที่จะส่งผ่านธุรกิจไป Gen 2 ที่เข้ามาเสริมศักยภาพอย่างแข็งแกร่ง" นายอดิศักดิ์ประธานกลุ่ม JMART
นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เปิดเผยว่า ตั้งแต่เกิดวิกฤต SINGER เมื่อปีที่แล้ว JMART ได้บันทึกการขาดทุน (Loss) กว่า 400 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทได้เดินหน้าแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 1 ปี และมั่นใจว่าปัญหาเหล่านั้นได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว
นายอดิศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วง 4 ไตรมาสที่ผ่านมา ตั้งแต่ไตรมาส 3/2566 ถึงไตรมาส 2/2567 บริษัทมีกำไรรวมกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งยืนยันได้ว่า บริษัทได้ผ่านวิกฤตและกลับมามีกำไรที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง อีกทั้งมีกำไรที่เพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง ซึ่งเป็นแผนธุรกิจที่บริษัทจะดำเนินการอย่างมั่นคง แม้ว่าที่ผ่านมาจะต้องเผชิญกับปัญหาที่ไม่คาดคิดก็ตาม
ปัจจุบัน บริษัทฯ ยังได้พัฒนา Business Model ใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติม โดยปัญหาจาก SGC และ SINGER ได้รับการแก้ไขแล้ว และบริษัททั้งสองนี้กำลังเติบโตในรูปแบบเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งเชื่อว่าจะเติบโตได้เร็วกว่าที่ทุกคนคาดคิด ในระหว่างนี้บริษัทได้ดำเนินการเพิ่มทุนและมีการเทรดวอร์แรนท์ (Warrant)
[caption id="attachment_5347" align="aligncenter" width="1000"] นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART[/caption]
"สุกี้ตี๋น้อย” ยื่นไฟลิ่งปลายปี68
นายกิติพัฒน์ ชลวุฒิ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการลงทุน บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) (JMART) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการลงทุนใน "สุกี้ตี๋น้อย" ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด ซึ่ง JMART ถือหุ้นในสัดส่วน 30% กระบวนการลงทุนเสร็จสมบูรณ์เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 โดย JMART ได้เข้าซื้อหุ้นจำนวน 352,941 หุ้น คิดเป็น 30% ของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด ด้วยมูลค่าลงทุน 1,200 ล้านบาท
ปัจจุบัน สุกี้ตี๋น้อยมีสาขาทั้งหมด 73 สาขา คาดว่าภายในสิ้นปีนี้เพิ่มเป็น 79 สาขา การขยายสาขายังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องในต่างจังหวัด โดยที่ผ่านมาได้เปิดสาขาเฉลี่ยเดือนละ 2 สาขา นอกจากนี้ บริษัทฯ กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างครัวกลางที่รังสิต คลอง 4 ซึ่งคาดว่าแล้วเสร็จในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปี 2568 ครัวกลางใหม่นี้สามารถรองรับสาขาได้ถึง 200 แห่ง ปัจจุบันครัวกลางตั้งอยู่บริเวณถนนเรียบด่วนรามอินทรา ทำให้การขยายสาขาถูกจำกัด ทั้งนี้ บริษัทฯ มีพนักงานทั้งหมดประมาณ 6,000 ราย
ในเดือนพฤศจิกายนปี 2567 นี้ จะมีการเปิดสาขาใหม่ที่จังหวัดขอนแก่นและมหาสารคาม โดยตลาดในต่างจังหวัดได้รับการตอบรับที่ดีมาก และมีมาร์จิ้นที่สูง ซึ่งเป็นผลมาจากค่าเช่าที่ต่ำ ค่าไฟฟ้าและค่าแรงไม่สูง แต่ยังคงรักษามาตรฐานราคาอยู่ที่ 276 บาทต่อหัว รวมทุกอย่างแล้ว ส่งผลให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพและสามารถลดต้นทุนได้
เมื่อมีการขยายสาขามากขึ้น ถือได้ว่า "สุกี้ตี๋น้อย" เป็นบริษัทที่สร้างกระแสเงินสด (Cash Cow Company) ได้อย่างดีเยี่ยม โดยที่ผ่านมา JMART ได้รับเงินปันผลแล้วกว่า 450 ล้านบาท จากการลงทุน 1,200ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีมาก สำหรับงวด 6 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับส่วนแบ่งกำไรจาก "สุกี้ตี๋น้อย" เป็นจำนวน 183 ล้านบาท
ในปี 2568 บริษัทฯ มีแผนจะขยายสาขาอย่างเชิงรุก (Aggressive) มากขึ้น โดยตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่มากกว่า 2 สาขาต่อเดือน นอกจากนี้ ยังมีแผนเปิดร้าน "Teenoi BBQ" โดยสาขาแรกจะตั้งอยู่ที่เรียบด่วน และคาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือนตุลาคมนี้
ส่วนแผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีแผนจะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ได้ในช่วงปลายปี 2568 และเข้าตลาดหุ้นไม่เกินไตรมาส 2 ปี 2569 โดยใช้งบการเงินระหว่างปี 2566-2568 เพื่อประกอบการยื่นไฟลิ่ง ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
รายได้และกำไรสุกี้ตี๋น้อยย้อนหลัง และทิศทางสิ้นปี 2567
ปี 2562 รายได้ 499 ล้านบาท กำไร 15 ล้านบาท
ปี 2563 รายได้ 1,223 ล้านบาท กำไร 140 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้ 1,572 ล้านบาท กำไร 148 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ 3,976 ล้านบาท กำไร 591 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 5,244 ล้านบาท กำไร 913 ล้านบาท
ปี 2567 คาดว่าจะมีกำไรมากกว่า 1,200 ล้านบาท
VEGA Creator เข้าตลาดหุ้นใน 3 ปี
บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) (JMART) ประกาศดีลร่วมทุนกับ บริษัท เวก้าครีเอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ VEGA Creator โดยเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 30% ด้วยมูลค่าลงทุนที่ 42 ล้านบาท เพื่อขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ "New Jaymart" มุ่งสู่รูปแบบการขายที่แตกต่างและเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มใหม่ สร้างโอกาสทางการตลาดภายใต้ระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่เน้นการสร้างและรวบรวมครีเอเตอร์ผู้เชี่ยวชาญด้านการขายสินค้าความร่วมมือนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเติบโตด้านยอดขาย โดยมีแผนที่จะนำครีเอเตอร์เข้ามาช่วยฝึกสอนพนักงานของร้านเจมาร์ท เพื่อพัฒนาทักษะการขายทั้งออนไลน์และผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น เฟซบุ๊ก นอกเหนือจากการขายในหน้าร้านปกติ
JMART คาดว่า VEGA Creator จะกลายเป็นบริษัทที่มีศักยภาพในการทำกำไรได้ในปีนี้ และมีแผนนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในระยะเวลา 3 ปี ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการซื้อขายสินค้า (GMV) ของ VEGA Creator จะสามารถแตะระดับ 1,200 ล้านบาทในปีนี้ หลังจากเพิ่งเปิดดำเนินการในปีที่ผ่านมา ระดับ P/E อยู่ราว 10%
รายงานโดย : ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการข่าว สำนักข่าว Hoonvision