##Hoonvision


TOP ย้ำชัดCFPเดินต่อได้ ปันผลปกติไม่ต้องเพิ่มทุน

TOP ย้ำชัดCFPเดินต่อได้ ปันผลปกติไม่ต้องเพิ่มทุน

          หุ้นวิชั่น - TOP เคลียร์เงินลงทุนเพิ่มในโครงการ CFP มาจากเงินสด รวมทั้งการออกหุ้นกู้และเงินกู้ยืม บริษัทฯ เชื่อมั่นว่ามีแหล่งเงินเพียงพอเดินหน้าโครงการฯ ยันไม่ต้องเพิ่มทุน พร้อมจ่ายปันผลตามผลประกอบการปกติ “บัณฑิต” ย้ำ กระบวนการทำงานยึดหลักสากล โปร่งใส และเป็นธรรม แม้อัตราผลตอบแทน IRR ลดเหลือ 7% แต่ยังสูงกว่าต้นทุน  นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)หรือ TOP เปิดเผยว่า สำหรับงบประมาณลงทุนส่วนเพิ่มของโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project หรือCFP) ประมาณ 63,028 ล้านบาท ที่บริษัทฯ จะใช้ในการดำเนินการก่อสร้าง บริษัทฯ มีแผนจัดหาเงินทุนประกอบด้วย 1. เงินสดคงเหลือและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2025-2027 2.การออกหุ้นกู้ หรือการกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งพิจารณาหาเครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ เช่น การออก ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน รวมถึงการบริหารจัดการทรัพย์สินให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยบริษัทขอยืนยันว่าไม่มีแผนการเพิ่มทุนจากการเพิ่มงบประมาณในการก่อสร้างโครงการในครั้งนี้แต่อย่างใด“บริษัทฯ มั่นใจว่างบประมาณที่ขอเพิ่มเติมเพียงพอต่อการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จ โดยได้ศึกษาและประเมินร่วมกับที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้วยความระมัดระวังว่าสามารถดำเนินโครงการนี้ได้ตามงบประมาณที่วางไว้บริษัทฯ จะบริหารจัดการงบประมาณให้ดีที่สุด อีกทั้งจากการศึกษาและประเมินของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระถึงแม้อัตราผลตอบแทนการลงทุนระดับโครงการในปัจจุบันจะลดลงจากการประเมินในช่วงการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย แต่ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าต้นทุนของกิจการ เมื่อโครงการเสร็จจะทำให้ไทยออยล์มีผลประกอบการทางการเงิน ทั้งในส่วนรายได้ ผลกำไร และฐานะทางการเงินดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นในระยะยาว” นายบัณฑิต กล่าว นายบัณฑิต กล่าวต่อไปอีกว่า การก่อสร้างโครงการฯ ที่ต้องเลื่อนออกไปกว่า 3 ปี เป็นผลมาจากการดำเนินงาน ขั้นตอนที่เหลือเป็นส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเชื่อมต่อระบบของโครงการฯ ที่มีความยุ่งยากและซับซ้อน ดังนั้นก่อนเปิดดำเนินการ จึงต้องทำการทดสอบระบบจนกว่าจะมั่นใจว่าสามารถเปิดดำเนินการได้ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ การก่อสร้างหน่วยกลั่นใหม่ที่ทำหน้าที่เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ โดยเปลี่ยนน้ำมันเตาและยางมะตอยให้เป็น น้ำมันอากาศยานและดีเซลไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนด เนื่องจากปัญหาการหยุดงานของกลุ่มบริษัทรับเหมาช่วงอัน เนื่องมาจากไม่ได้รับค่าจ้างค้างจ่ายจากผู้รับเหมาหลัก UJV ทำให้การดำเนินโครงการต้องสะดุดจนต้องปรับระยะเวลาดำเนินโครงการออกไป อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ บริษัทฯ ได้พยายามหาทางแก้ไขเพื่อให้การดำเนินงานกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุดเพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าต่อไปให้แล้วเสร็จ คาดว่าบริษัทฯ จะสามารถสรุปเวลาให้แน่ชัดขึ้นในปี 2568 นายบัณฑิต กล่าวอีกว่า การเพิ่มเงินงบประมาณก่อสร้างโครงการครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการจ่ายเงินปันผลของบริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมส่วนใหญ่มาจากเงินสดคงเหลือ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และการกู้ยืม ดังนั้นบริษัทฯ ยังคงพิจารณาจ่ายเงินปันผลตามนโยบายจ่ายปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิของงบการเงิน ภายหลังจากการหักทุนสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของ บริษัทฯ และตามกฎหมายได้ นายบัณฑิต กล่าวอีกว่า โครงการนี้เป็นโครงการขนาดใหญ่มีมูลค่าสูง บริษัทฯ ต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบ ในการตรวจรับงานและการจ่ายเงินโครงการฯ ต้องเป็นไปตามหลักสากลและเงื่อนไขในสัญญา มีการตรวจสอบความถูกต้องทั้งในส่วนปริมาณงานและคุณภาพงานจากผู้ที่เกี่ยวข้องทุกส่วน รวมทั้งจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการที่มีความเชี่ยวชาญในงานก่อสร้างเป็นผู้ประเมินและตรวจรับงาน และจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการฯ ให้การดำเนินการเป็นไปตามหลักสากลในการบริหารโครงการขนาดใหญ่ “ขอยืนยันว่าไทยออยล์ยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาลสำหรับการดำเนินธุรกิจกับผู้มีส่วนได้เสียอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีหน่วยตรวจสอบภายในเพื่อให้มั่นใจว่ากระบวนการทำงานต่าง ๆ เป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม” นายบัณฑิต กล่าวทิ้งท้าย ด้าน นางวนิดา บุญภิรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้านการเงินและบัญชี บมจ.ไทยออยล์ (TOP)  เปิดเผยถึง การเพิ่มงบประมาณลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด (CFP) อาจส่งผลให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ปรับลดลงจากที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 12% เหลือ 7% โดยเป็นผลจากการเพิ่มต้นทุนเงินลงทุนและดอกเบี้ย ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้พิจารณาร่วมกับที่ปรึกษาทางการเงินอิสระแล้วว่า แม้อัตราผลตอบแทนจะลดลง แต่ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าต้นทุนของกิจการ ขณะเดียวกัน อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ยังคงได้รับการบริหารให้อยู่ในกรอบที่กำหนดไว้ไม่เกิน 1 เท่า เพื่อรักษาความมั่นคงทางการเงินและเสถียรภาพในระยะยาว การดำเนินการดังกล่าวสะท้อนถึงความรอบคอบของบริษัทฯ ในการบริหารจัดการงบประมาณ และสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ถือหุ้นว่าโครงการ CFP จะส่งผลเชิงบวกต่อผลประกอบการของบริษัทฯ ในอนาคต

ธปท. เตรียมสำรองเงินสด 8 หมื่นล้าน รับความต้องการช่วงปีใหม่

ธปท. เตรียมสำรองเงินสด 8 หมื่นล้าน รับความต้องการช่วงปีใหม่

          หุ้นวิชั่น - นางบุษกร ธีระปัญญาชัย ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายโครงสร้างพื้นฐานและบริการระบบการชำระเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในช่วงสิ้นเดือนธันวาคม 2567 และเทศกาลปีใหม่ 2568 จะเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนมีความต้องการใช้ธนบัตรเพิ่มขึ้นจากช่วงปกติ โดยการสำรวจความต้องการการเบิกจ่ายธนบัตรจากธนาคารพาณิชย์ ซึ่งคำนึงถึงปัจจัยด้านเศรษฐกิจ มาตรการภาครัฐ และแนวโน้มการชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ พบว่า ธนาคารพาณิชย์จะมีความต้องการการเบิกจ่ายธนบัตรจาก ธปท. ในช่วงดังกล่าวประมาณ 80,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า โดย ธปท. ได้เตรียมสำรองธนบัตรชนิดราคาต่าง ๆ ไว้อย่างเพียงพอกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นแล้ว เพื่อให้มั่นใจว่าประชาชนจะได้รับบริการที่สะดวกและทั่วถึง

PIS ลุยเดินสายโรดโชว์ จ.ขอนแก่น เตรียมขาย IPO 140 ล้านหุ้น

PIS ลุยเดินสายโรดโชว์ จ.ขอนแก่น เตรียมขาย IPO 140 ล้านหุ้น

          หุ้นวิชั่น - นางสาวเบญญาภา เฉลิมวัฒน์ (ที่ 2 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายนวัช ทัฬหิกรณ์ (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานการเงินและบัญชี บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) หรือ PIS พร้อมด้วย นายโชษิต เดชวนิชยนุมัติ (ที่ 1จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม อัลฟา แคปปิตอล จำกัด ที่ปรึกษาทางการเงิน และ นายชานนทร์ ปิยสุนทร (ที่ 1 จากขวา) ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ในฐานะแกนนำในการจัดจำหน่ายหุ้น ร่วมนำเสนอข้อมูลรายละเอียดหลักทรัพย์แก่นักลงทุนใน จ.ขอนแก่น โดยมีแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เพื่อเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 140 ล้านหุ้น ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้

Bitcoinขึ้นต่อ 3.15%  คาด BTC, JTS, TTA รับอานิสงส์

Bitcoinขึ้นต่อ 3.15% คาด BTC, JTS, TTA รับอานิสงส์

หุ้นวิชั่น -  ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ราคาบิทคอยยังแรับขึ้นต่อ 3.15% d-d ปิดที่ 106075.03 USD ท าระดับ All time high ประเมินแนวต้านระยะสั้นคือ 107,481 $ และเป้าระยะกลาง คือ 129,687$ แรงหนุนจาก Nasdaq ประกาศว่าจะนำหุ้นของ Microstrategy เข้ารวมในการค านวณดัชนีNasdaq-100 โดยมีผลบังคับใน 23 ธ.ค. มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่ทำธุรกิจเชื่อมโยง Crypto อาทิ BTC, JTS, TTA แนะนำเพีย Trading

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

KSS คาด SET “Rebound” ต้าน 1433 จุด ชู BJC, CRC, KTB

KSS คาด SET “Rebound” ต้าน 1433 จุด ชู BJC, CRC, KTB

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “Rebound” ต้าน 1429/1433 จุด รับ 1415/1411 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งขึ้น ดัชนีS&P500 +0.38% หุ้นเทคฯนำตลาด Broadcom ยังมีโมเมนตัม ขณะที่ปัจจัยมหภาค Flash PMI สหรัฐฯ ธ.ค. 24 ภาคบริการขยายตัว ดีกว่าคาด เร่งขึ้นสู่ 58.5 จุด ชดเชยฝั่งภาคผลิตที่ต่ำกว่าคาด หนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นภาพ Goldilocks to Soft Landing แต่ตลาดน่าจะเริ่มรอสัญญาณช่วงถัดไปโดยเฉพาะมุมมองดอกเบี้ยและเศรษฐกิจจากการประชุม Fed (ไทยทราบผลเช้า 19 ธ.ค.) บ่งชี้จาก US Bond Yield 10 ปีที่ยังแกว่ง 4.4% ขณะที่เอเชียการฟื้นตัวจีนยังค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ความน่าสนใจระยะสั้นที่จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนยังไม่มาก ด้านไทยหลังตลาดปรับตัวลดลง 6 วันติด ส่งผลให้ Current Equity Risk Premium (ERP) แตะ 3.8% > ค่าเฉลี่ย 3.1% ส่วน Forward ERP ขึ้นไป 4.4% > Avg + 1 S.D. (4.05%) น่าจะเริ่มเป็นจุดกลับมาสร้างความน่าสนใจตลาดหุ้นไทย ผสาน ภายในลุ้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม            ประเมิน SET วันนี้ Rebound หุ้นนำ คือ กลุ่ม Domestic ธนาคาร ค้าปลีก กลุ่มที่เป็นเป้า Domestic Long Term Funds อาทิ สื่อสาร วันนี้แนะนำ BJC, CRC, KTB

JMART เดินหน้าวิสัยทัศน์สู่ความยั่งยืน คว้า SET ESG Ratings 2024 ที่ระดับ “A”

JMART เดินหน้าวิสัยทัศน์สู่ความยั่งยืน คว้า SET ESG Ratings 2024 ที่ระดับ “A”

          หุ้นวิชั่น - นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จํากัด (มหาชน) (JMART) ผู้นำในธุรกิจค้าปลีกโทรศัพท์เคลื่อนที่ อุปกรณ์เสริม ธุรกิจการเงินและเทคโนโลยี เปิดเผยว่า บริษัทได้รับผลการประเมินหุ้นยั่งยืน หรือ SET ESG Ratings ประจำปี 2567 จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดให้อยู่ในระดับ “A” สะท้อนความมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจบนหลักธรรมาภิบาล และบริษัทได้ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมตลอดมา ควบคู่การพัฒนาธุรกิจ เดินหน้า Transform องค์กรด้วยการใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อน บนวิสัยทัศน์ด้าน ESG คือ การให้ความสำคัญในด้าน สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) ซึ่งจะเป็นรากฐานการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต และสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนต่อไป

ASW คว้าเรตติ้ง “AA” หุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ปี 2567 พร้อม CGR 5 ดาว ระดับ “ดีเลิศ” 3 ปีซ้อน

ASW คว้าเรตติ้ง “AA” หุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ปี 2567 พร้อม CGR 5 ดาว ระดับ “ดีเลิศ” 3 ปีซ้อน

          หุ้นวิชั่น - บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW ติดอันดับหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ในระดับ “AA” จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม มีความโปร่งใส และบริหารงานตามหลักบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance หรือ ESG) อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ควบคู่กับการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมในทุกกระบวนการของธุรกิจตามแนวคิด “GrowGreen” ตลอดจนสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน            นอกจากนี้ ASW ยังได้รับผลประเมินการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนไทย ประจำปี 2567 (Corporate Governance Report of Thai Listed Companies 2024: CGR) ประจำปี 2567 ในระดับ 5 ดาว “ดีเลิศ” (Excellent CG Scoring) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และอยู่ในกลุ่ม TOP QUARTILE ในกลุ่ม Market Cap. 3,000-9,999 ล้านบาท จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai Institute of Directors หรือ IOD) โดยการสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งพิจารณาจากบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 808 บริษัท

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

CPAXT เปิดเกม “The Happitat” มุมคิด: โอกาสและความท้าทาย

CPAXT เปิดเกม “The Happitat” มุมคิด: โอกาสและความท้าทาย

          หุ้นวิชั่น - วงการโบรกเกอร์ ระบุว่า การลงทุนของ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT ในโครงการ “The Happitat” มิกซ์ยูสระดับพรีเมียมบนทำเลบางนา-ตราด กำลังได้รับความสนใจจากตลาด การเคลื่อนไหวครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของ CPAXT ในการขยายบทบาทสู่ธุรกิจใหม่ ท่ามกลางความท้าทายจากการแข่งขันในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยผู้เล่นรายใหญ่ ทำเลบางนา-ตราดได้รับการยอมรับในฐานะจุดยุทธศาสตร์ที่มีศักยภาพสูง ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การขยายสนามบินสุวรรณภูมิ การก่อสร้างรถไฟฟ้าสายบางนา-สุวรรณภูมิ และสายสีเหลือง ซึ่งเสริมความสะดวกสบายและเพิ่มมูลค่าให้กับพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ตลาดในย่านนี้ก็มีความเข้มข้นสูงจากโครงการของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ   “The Happitat” เป็นหนึ่งในโครงการสำคัญที่ CPAXT ตั้งใจใช้เป็นก้าวแรกสู่ตลาดมิกซ์ยูส ด้วยการออกแบบที่ผสมผสานพื้นที่ค้าปลีก อาคารสำนักงาน และสิ่งอำนวยความสะดวกในรูปแบบที่ตอบโจทย์ทั้งการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตครบวงจร ความเชี่ยวชาญด้านค้าปลีกที่สั่งสมมาของ CPAXT จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง แม้การลงทุนครั้งนี้จะมีความท้าทาย แต่ CPAXT มีโอกาสสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากพันธมิตรและทรัพยากรที่มีอยู่ การทำเลบางนา-ตราดมีศักยภาพสูงในแง่กำลังซื้อของกลุ่มลูกค้าพรีเมียม ทั้งจากชุมชนโดยรอบและโครงการ The Forestias ที่เป็นศูนย์รวมไลฟ์สไตล์ครบวงจรในพื้นที่ “ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง ความสำเร็จของ ‘The Happitat’ จะขึ้นอยู่กับการบริหารโครงการที่รอบคอบ และการปรับตัวของ CPAXT ในการดึงดูดกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย แม้จะเป็นการก้าวเข้าสู่ธุรกิจใหม่ แต่การเริ่มต้นที่ทำเลบางนา-ตราด ถือเป็นก้าวที่มีศักยภาพ” แหล่งข่าววงการโบรกเกอร์   โครงการนี้จึงถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ CPAXT ในการเข้าสู่ธุรกิจมิกซ์ยูส ซึ่งจะต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง และต่อยอดความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในระยะยาว

ซิโน-ไทย คว้างาน 'Bangkok Mall' ศูนย์การค้าใหญ่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ซิโน-ไทย คว้างาน 'Bangkok Mall' ศูนย์การค้าใหญ่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

          หุ้นวิชั่น - วันที่ 12 ธันวาคม 2567 (วันนี้) บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ได้มีพิธีลงนามสัญญาโครงการ แบง ค็อก มอลล์ (Bangkok Mall Project) ระหว่าง บริษัท บางนา ชอปปิ้ง คอมเพล็กซ์ จำกัด กับ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งผู้ร่วมลงนาม บริษัท บางนา ชอปปิ้ง คอมเพล็กซ์ จำกัด โดย คุณศุภลักษณ์ อัมพุช Chairwoman of Executive Committee และคุณเมธินี สุวรรณะบุณย์ Chief Project Development Officer, บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) โดย คุณภาคภูมิ ศรีชำนิ ประธานกรรมการบริษัท และคุณจารุณัฐ จิรรัตน์สถิต กรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วย คุณเกรียงศักดิ์ ตันติพิภพ และคุณเศรณี ชาญวีรกูล ร่วมเป็นสักขีพยาน อีกทั้งคณะผู้บริหารทั้งสององค์กร เข้าร่วมงานฯ ณ ร้าน TRIBE Sky Beach Club at EMSPHERE ชั้น 5 เขตคลองเตย กรุงเทพฯ  โครงการ Bangkok Arena & Bangkok Mall ซึ่งเป็น ศูนย์เอ็นเตอร์เทนเมนต์, โรงภาพยนตร์ และที่จอดรถ โดยอาคารมีทั้งหมด 10 ชั้น และชั้นใต้ดิน 3 ชั้น ในส่วนอาคารสำนักงานมีทั้งหมด 37 ชั้น และชั้นหลังคา สำหรับพื้นที่ก่อสร้างตามขอบเขตของ Stecon 510,336 ตร.ม. ประกอบด้วย อาคารศูนย์การค้า 7 ชั้น อาคารสำนักงาน 37 ชั้น และชั้นใต้ดิน 3 ชั้น ตั้งอยู่บนถนนเทพรัตน แขวงบางนาเหนือ ในเขตพื้นที่บางนา กรุงเทพฯ เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีอุดมสุข และบางนา เป็นศูนย์การค้าแห่งใหม่ระดับ World Class ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงามและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย พลิกโฉมย่านบางนาให้กลายเป็น Landmark สำคัญในย่านตะวันออกของกรุงเทพฯ ส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงดึงดูดองค์กรชั้นนำและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ช่วยให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศ ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้เจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคง และยั่งยืนต่อไป

PSTC ส่งสัญญาณ “ท่อขนส่งน้ำมัน” วอลุ่มพุ่งกระฉูด

PSTC ส่งสัญญาณ “ท่อขนส่งน้ำมัน” วอลุ่มพุ่งกระฉูด

          หุ้นวิชั่น - ช่วงนี้ บมจ.เพาเวอร์ โซลูชั่น เทคโนโลยี (PSTC) พร้อมมากก...ขอบอก  “โครงการท่อขนส่งน้ำมัน” เส้นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท ไทย ไปป์ไลน์ เน็ตเวิร์ค จำกัด (TPN) บริษัทร่วมทุนระหว่าง PSTC และ บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) ที่เปิดให้บริการไปแล้วเมื่อตุลาคมปี 66 และตอนนี้มีลูกค้าจากกลุ่มบริษัทค้าปลีกน้ำมันชั้นนำของประเทศมาต่อคิวใช้บริการกันเพียบ จนช่วงนี้มียอดใช้บริการเพิ่มขึ้นเกินกว่า 2 เท่าตัว แถมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง งานนี้ "ลือชัย สุดสาคร" กรรมการผู้จัดการ ยิ้มแก้มปริ มั่นใจรายได้หลังจากนี้จะค่อยๆ เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กลับเข้าสู่ “โหมดขาขึ้น” แน่นอนคร้า แฟนคลับกอดหุ้นแน่นๆ รู้อย่างนี้แล้วสบายใจหายห่วงได้เลยคร้าาา!!!

abs

Hoonvision

“EE” ชี้แจง ลงทุนสู่ธุรกิจเทคฯ  มุ่งความมั่นคงและการเติบโตระยะยาว

“EE” ชี้แจง ลงทุนสู่ธุรกิจเทคฯ มุ่งความมั่นคงและการเติบโตระยะยาว

          หุ้นวิชั่น - บริษัท อีเทอเนิล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ EE โดย นายอิศรา เรืองสุขอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมกรณีบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงธุรกิจและอำนาจควบคุมต่อกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ วัน 11 ธันวาคม 2567 โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการลงทุนในธุรกิจ Tech ว่าบริษัทฯจะยังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจกัญชงและกัญชาต่อไป แต่ด้วยความผันผวนของนโยบายภาครัฐและภาวะอุตสาหกรรมที่ส่งผลต่อราคาผลผลิตตกต่ำจากสภาวะอุปทานส่วนเกิน บริษัทฯ จึงเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการขยายการลงทุนสู่ธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงเพื่อสร้างความมั่นคงในระยะยาว บริษัทฯ ได้วางแนวทางการขยายสู่ ธุรกิจอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและสารสนเทศ (“ธุรกิจ Tech”) ซึ่งมีโอกาสในการสร้างรายได้และการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในธุรกิจดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วย: 1.         ธุรกิจสื่อเทคโนโลยี (Technology Media) 2.         ธุรกิจให้บริการชำระเงิน (Payment Gateway Solution) 3.         ธุรกิจแพลตฟอร์มตลาดซื้อขาย (Marketplace Platform) บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าธุรกิจ Tech จะสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 12.0 พร้อมศักยภาพการเติบโตที่มั่นคงในอนาคต ทั้งนี้ เพื่อให้การลงทุนในธุรกิจใหม่ดำเนินไปได้ทันต่อสถานการณ์ บริษัทฯ มีแผนระดมทุนผ่าน Private Placement โดยการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด แม้ว่าบริษัทฯ ยังไม่สามารถเปิดเผยชื่อธุรกิจที่อยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนได้ในขณะนี้ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับบริษัทจดทะเบียนแห่งอื่น และอาจส่งผลกระทบต่อการเจรจาธุรกรรม บริษัทฯ คาดว่าจะได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการลงทุนในธุรกิจ Tech ภายในไตรมาส 2–3 ของปี 2568 บริษัทฯ ขอย้ำถึงความตั้งใจที่จะสร้างความมั่นคงและผลตอบแทนอย่างยั่งยืนให้แก่ผู้ถือหุ้น พร้อมมุ่งหน้าสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในอนาคต           เกี่ยวกับบริษัท EE: บริษัท อีเทอเนิล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจกัญชงและกัญชา พร้อมขยายสู่ธุรกิจเทคโนโลยีและสารสนเทศ เพื่อสร้างรายได้และการเติบโตที่มั่นคงในระยะยาว

SET รับจดทะเบียน DR “FPTVN19” เริ่มซื้อขาย 12 ธ.ค. นี้

SET รับจดทะเบียน DR “FPTVN19” เริ่มซื้อขาย 12 ธ.ค. นี้

          หุ้นวิชั่น - ตลาดหลักทรัพย์ฯ รับจดทะเบียน DR “FPTVN19” อ้างอิงหุ้น FPT Corporation บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของเวียดนาม ออกโดย บล. หยวนต้า เริ่มซื้อขาย 12 ธันวาคม นี้            “FPTVN19” เป็นตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Depositary Receipt หรือ DR) ที่อ้างอิงหุ้นบริษัท FPT Corporation ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Stock Exchange: HOSE) เป็นบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของประเทศเวียดนาม ให้บริการ IT Solutions, Digital Transformation, บรอดแบนด์และดิจิทัลคอนเทนต์ โดย DR “FPTVN19” จะเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป DR เป็นตราสารที่ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับสิทธิประโยชน์เสมือนการถือครองหลักทรัพย์ต่างประเทศ ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยเงินบาท ผู้สนใจศึกษารายละเอียด DR “FPTVN19” ได้ที่เว็บไซต์สำนักงาน ก.ล.ต. www.sec.or.th หรือบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์คือ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด https://dr.yuanta.co.th หรือศึกษาผลิตภัณฑ์ DR เพิ่มเติมได้ที่ www.setinvestnow.com

DMT ปี68 รถล้นทางด่วน ลุ้น M82 เข้าเสริมพอร์ต!

DMT ปี68 รถล้นทางด่วน ลุ้น M82 เข้าเสริมพอร์ต!

          หุ้นวิชั่น - DMT คาดปริมาณจราจรปี 68 โต 2-3% แตะ 115,000 คัน/วัน หนุนรายได้จากการปรับขึ้นค่าผ่านทางตามสัญญาสัมปทาน พร้อมเดินหน้าประมูลโครงการ M82 และเร่งขยายธุรกิจใหม่เพิ่มรายได้ Recurring Income ตอกย้ำศักยภาพเติบโตระยะยาว คาดปีหน้าชัดเจน           "ดร.ศักดิ์ดา พรรณไวย" กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) หรือ DMT เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจในปี 2568 โดยคาดการณ์ว่าปริมาณการจราจรจะเติบโต 2-3% หรือเพิ่มขึ้นเป็น 115,000 คันต่อวัน จากปัจจุบันที่มีปริมาณจราจรเฉลี่ยอยู่ที่ 110,000 คันต่อวัน ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการฟื้นตัวของกิจกรรมการเดินทางและการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีการใช้งานสนามบินดอนเมืองมากขึ้น ซึ่งส่งผลบวกต่อปริมาณการจราจรที่เข้ามาใช้บริการทางยกระดับดอนเมือง อีกหนึ่งปัจจัยสนับสนุนรายได้ในปีหน้าคือ การปรับขึ้นอัตราค่าผ่านทางยกระดับฯ ภายใต้เงื่อนไขสัญญาสัมปทาน ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 22 ธันวาคม 2567 เวลา 00.01 น. โดยรายละเอียดการปรับขึ้นมีดังนี้ • ช่วงดินแดง–ดอนเมือง ปรับขึ้น 10 บาท/คัน/เที่ยว • ช่วงดอนเมือง–อนุสรณ์สถาน ปรับขึ้น 5 บาท/คัน/เที่ยว • ช่วงอนุสรณ์สถาน–ดินแดง ปรับขึ้น 15 บาท/คัน/เที่ยว • ช่วงดอนเมือง–ดินแดง ปรับขึ้น 10 บาท/คัน/เที่ยว           การปรับขึ้นค่าผ่านทางดังกล่าวจะช่วยเพิ่มรายได้จากการดำเนินงานให้กับบริษัทในระยะยาว และสนับสนุนการเติบโตของกำไรอย่างมีนัยสำคัญ           รุกงานโครงการ M82 หนุนอนาคต  นอกจากนี้ บริษัทมีแผนเข้าประมูลงานโครงการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) อย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ โครงการ M82 ซึ่งคาดว่าจะได้รับการอนุมัติในปีหน้า DMT มั่นใจในศักยภาพของบริษัทที่จะเข้าร่วมประมูลและคาดหวังว่าจะสามารถคว้าโครงการดังกล่าวได้ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างการเติบโตในระยะยาว และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น เดินหน้าขับเคลื่อน ESG ลดต้นทุนพลังงานกว่า 30%           ในด้านการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน DMT ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนด้าน ESG (Environment, Social, Governance) โดยมุ่งเน้นการใช้พลังงานทดแทนและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการพลังงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด ล่าสุดได้ดำเนินโครงการติดตั้ง Solar Rooftop ระยะที่ 2 ครอบคลุมอาคารด่านเก็บค่าผ่านทางทั้ง 8 ด่าน พร้อมทั้งติดตั้ง อุปกรณ์ประหยัดพลังงานบนโคมไฟถนน 1,540 ต้น เรียบร้อยแล้ว ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 บริษัทจะดำเนินการติดตั้ง Solar Rooftop ระยะที่ 3 ณ อาคารสำนักงานใหญ่ในส่วนพื้นที่ที่ยังไม่ได้ติดตั้ง เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีแผนนำวัสดุลดความร้อน เช่น สีลดโลกร้อน และ ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก (Hydraulic Cement) มาใช้ในการบำรุงรักษาทางยกระดับ ซึ่งจะช่วยลดความร้อนสะสมและประหยัดพลังงานได้มากยิ่งขึ้น           นอกจากนี้ บริษัทได้ติดตั้ง สถานีอัดประจุไฟฟ้า (EV Charging Station) และปรับปรุงศูนย์อำนวยความสะดวก ณ ด่านเก็บค่าผ่านทางดินแดง เพื่อรองรับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน 2567 การดำเนินงานดังกล่าวช่วยให้บริษัทสามารถประหยัดต้นทุนพลังงานได้แล้วกว่า 30% ปั้นธุรกิจใหม่–บริษัทย่อยกำไรเกินเป้า           นอกจากธุรกิจทางยกระดับ บริษัทได้เดินหน้าศึกษาโอกาสในการพัฒนาธุรกิจใหม่ที่เน้นรูปแบบของ “Recurring Income” เพื่อสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปี 2568 จะมีความคืบหน้าให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม           ในส่วนของบริษัทย่อย “บริษัท เอ สยาม อินฟรา จำกัด” ก็สามารถทำกำไรได้สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ และยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อเนื่องในอนาคต โดยบริษัทตั้งเป้าเสริมสร้างรายได้จากทั้งธุรกิจหลักและธุรกิจใหม่ เพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน

IIG อนุมัติเพิ่มทุน 6.17 ล้านหุ้น ขาย PP 'วิวัณณา-สิปปกร'

IIG อนุมัติเพิ่มทุน 6.17 ล้านหุ้น ขาย PP 'วิวัณณา-สิปปกร'

หุ้นวิชั่น- ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายสมชาย เมฆะสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารตามที่ บริษัท ไอ แอนด์ ไอ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ IIG แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2567 เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2567 ให้ทำการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท แบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) จำนวนไม่เกิน 10,872,424 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ครั้งเดียวเต็มจำนวนหรือแต่บางส่วนเป็นคราว ๆ นั้น บริษัทขอแจ้งให้ทราบว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 10/2567 เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2567 ได้มีมติอนุมัติการออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัดตามแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) ครั้งที่ 4 จำนวน 6,172,424 หุ้น ให้แก่ผู้ลงทุนโดยเฉพาะเจาะจง ได้แก่ 1.นางสาววิวัณณา ไพฑูรย์มงคล จำนวน 572,424 หุ้น ในราคา 4.90 บาทต่อหุ้น เป็นเงินไม่เกิน 2,804,877.60 บาท กำหนดวันจองซื้อและชำระค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนระหว่างวันที่ 9-13 ธันวาคม 2567 2.นายสิปปกร ขาวสอาด จำนวน 5,600,000 หุ้น ในราคา 4.90 บาทต่อหุ้น เป็นเงินไม่เกิน 27,440,000 บาท กำหนดวันจองซื้อและชำระค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนระหว่างวันที่ 9-13 ธันวาคม 2567 ซึ่งทั้งสองท่านไม่เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันกับบริษัท ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ. 21/2551 เรื่อง หลักเกณฑ์ในการทำรายการที่เกี่ยวโยงกัน และประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลและการปฏิบัติการของบริษัทจดทะเบียนในรายการที่เกี่ยวโยงกัน พ.ศ. 2546 (“ประกาศรายการที่เกี่ยวโยงกันฯ”) ในราคาหุ้นละ 4.90 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90 ของราคาถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยย้อนหลัง 15 วันทำการติดต่อกัน ก่อนวันที่คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน คือระหว่างวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 ถึงวันที่ 4 ธันวาคม 2567 โดยกำหนดวันจองซื้อและชำระค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนระหว่างวันที่ 9-13 ธันวาคม 2567 รายละเอียดปรากฏตามแบบรายงานการออกและจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate)   นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติมอบหมายให้ประธานเจ้าหน้าที่บริหารหรือบุคคลที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหารมอบหมาย มีอำนาจในการกำหนดเงื่อนไขและรายละเอียด อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าว และมีอำนาจในการเข้าเจรจา ทำความตกลง และลงนามในเอกสารและสัญญาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการออก การจัดสรร การเสนอขาย และการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าว และการลงนามในเอกสารคำขออนุญาต คำขอผ่อนผันต่าง ๆ และหลักฐานที่จำเป็นและเกี่ยวข้อง กับการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการติดต่อ และการยื่นคำขออนุญาตหรือขอผ่อนผัน ยื่นเอกสารและหลักฐานดังกล่าวต่อหน่วยงานราชการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการนำหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ และดำเนินการใดๆ ที่จำเป็นและเกี่ยวข้องกับการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าว เพื่อให้การจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าวสำเร็จลุล่วง

A5 สนับสนุน AYDA Thailand 2024 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2

A5 สนับสนุน AYDA Thailand 2024 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2

          หุ้นวิชั่น - บมจ.แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป จำกัด เดินหน้าสนับสนุนนักออกแบบรุ่นใหม่ ผ่านเวทีการประกวดผ่านเวที “AYDA Thailand 2024" ซึ่งจัดขึ้นโดยบริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ภายใต้แนวคิด “สร้างสรรค์พื้นที่แห่งความสุขที่เข้าใจผู้ใช้งานอย่างแท้จริง”           นายศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ A5 กล่าวถึงการสนับสนุนครั้งนี้ว่า “A5 ให้ความสำคัญกับการศึกษาและการออกแบบ เพราะเราเชื่อว่าทั้งสองสิ่งนี้คือหัวใจสำคัญในการสร้างบ้าน การออกแบบที่ดีต้องไม่เพียงแค่สร้างความสวยงาม แต่ยังต้องตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งาน สร้างความสุขให้กับผู้อยู่อาศัย และสะท้อนถึงวิถีชีวิตที่เปี่ยมคุณค่า นี่คือแนวทางที่เราใช้ในธุรกิจของ A5 เรามุ่งมั่นที่จะสนับสนุนนักออกแบบรุ่นใหม่ให้เติบโตไปด้วยคุณภาพ พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้ก้าวสู่เวทีระดับโลก และที่สำคัญ A5 ยังมองว่านักออกแบบรุ่นใหม่เปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์ต้นกล้าที่ดี ซึ่งเราต้องช่วยดูแล สนับสนุน และปลูกฝังศักยภาพ เพื่อให้เติบโตเป็นกำลังสำคัญในอุตสาหกรรมการออกแบบ และสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพในอนาคต” ในปีนี้ AYDA Thailand 2024 ได้รับการตอบรับจากเยาวชนทั่วประเทศเป็นอย่างดี โดยมีนักศึกษาจากสาขาสถาปัตยกรรมและการออกแบบตกแต่งภายในส่งผลงานเข้าประกวดกว่า 700 ชิ้น ซึ่งผ่านการคัดเลือกจนเหลือ 20 ผลงานสุดท้ายต่อสาขา เพื่อสะท้อนแนวคิดการออกแบบแห่งปี “CONVERGE: GLOCAL DESIGN SOLUTIONS” ที่ผสมผสานแนวคิดท้องถิ่นและระดับโลกเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งในเชิงพื้นที่และการแก้ปัญหาในระดับสากล           ผู้ชนะรางวัล A5 Best Design ประจำปี 2567           ประเภท Architect Design ได้แก่นายชญานนท์ ชิณวงค์ กับผลงาน Grow from the earth…. Return to the earth ได้รับทุนการศึกษามูลค่า 25,000 บาท           ประเภท Interior Design ได้แก่ นางสาววสมน พัฒโนภาษ กับผลงาน คารม คม คราม ได้รับทุนการศึกษามูลค่า 25,000 บาท นายศุภโชค กล่าวเพิ่มเติมว่า “A5 ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนเยาวชนไทยที่มีความสามารถ ผ่านรางวัล A5 Best Design ซึ่งมอบให้กับผลงานที่โดดเด่นในด้านการสร้างสรรค์พื้นที่แห่งความสุขที่เข้าใจผู้ใช้งานจริง เราหวังว่ารางวัลนี้จะเป็นแรงผลักดันให้เหล่านักออกแบบรุ่นใหม่ได้พัฒนาศักยภาพ และสร้างผลงานที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าเพื่อสังคม พร้อมทั้งก้าวสู่เวทีระดับโลกในอนาคต” การสนับสนุน AYDA Thailand 2024 ตอกย้ำจุดยืนของ A5 ในการเป็นผู้นำที่ไม่เพียงสร้างสรรค์โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค แต่ยังสนับสนุนการศึกษาและบุคลากรรุ่นใหม่ในสายงานออกแบบ เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนและเปี่ยมคุณภาพ

กองทรัสต์ IMPACT เผยปลายปีไฮซีซั่นงานอีเวนท์ - Sky Entrance คืบหน้าเกือบ 80%

กองทรัสต์ IMPACT เผยปลายปีไฮซีซั่นงานอีเวนท์ - Sky Entrance คืบหน้าเกือบ 80%

          หุ้นวิชั่น - กองทรัสต์ IMPACT เผยปลายปีอีเวนท์คึกคัก งานใหญ่ Flagship พาเหรดจัดเต็มพื้นที่ ด้านงานคอนเสิร์ตยอดจองล้นไปถึงปีหน้า จึงมั่นใจปีนี้ผลงานส่อแววสดใส ปักธงรายได้เติบโต 20-25% พร้อมกับอัตราการจ่ายเงินปันผลตอบแทนผู้ถือหน่วยเพิ่มขึ้นในระดับเดียวกัน ด้านโครงการ Sky Entrance เชื่อมสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพูมีความคืบหน้างานก่อสร้างไปแล้ว 77% คาดแล้วเสร็จกุมภาพันธ์ปีหน้า หนุนการเดินทางปีหน้าสะดวกสบาย ขยายฐานลูกค้าใหม่ต่อเนื่องในปี 68/69 พร้อมจัดทัพบุกโรดโชว์ลูกค้า โฟกัสตลาดต่างประเทศ           นางสาววันเพ็ญ มุ่งเพียรสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาร์ เอ็ม ไอ จำกัด ผู้จัดการกองทรัสต์ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อิมแพ็ค โกรท (IMPACT GROWTH REIT) ผู้นำศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชีย เปิดเผยถึง ภาพรวมอุตสาหกรรม MICE และการท่องเที่ยวในปลายปีนี้ส่งสัญญาณบวก คึกคักรับไฮซีซั่นการจัดงานอีเวนท์และคอนเสิร์ตในช่วงปลายปี หรือในไตรมาส 3 ปี2567/2568 (ตุลาคม - ธันวาคม) มีการจัดงานใหญ่ต่อเนื่อง อาทิ งาน Motor Expo ครั้งที่ 41, งานบ้านและสวน, DronTech, Thailand Space Week และ Baby & Kids Best Buy ขณะที่ งานคอนเสิร์ตทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศมีคิวบุ๊คกิ้งเข้ามาเต็ม ล้นยาวไปจนถึงปีหน้า ในด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์ ในช่วงที่ผ่านมากองทรัสต์ฯ ได้ดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ให้ทันสมัย เพิ่มประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ลูกค้าในการเข้ามาใช้บริการ เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิม และเพิ่มเติมลูกค้าใหม่ ด้วยมาตรฐาน และการพัฒนาบนหลัก Sustainability โดยจุดที่มีการปรับปรุงแล้วเสร็จ ได้แก่ IMPACT Common Space, Thai Thai Food Court และ Sky Kitchen Premium Food Court นอกจากนี้ โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ในโครงการ Sky Entrance สะพานทางเชื่อมระหว่างสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยายเมืองทองธานีเข้าสู่อาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ ปัจจุบันคืบหน้างานก่อสร้างไปแล้ว 77% คาดแล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 สอดคล้องกับกำหนดการสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย คาดจะเปิดให้บริการภายในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ปีหน้า เพิ่มความสะดวกในการเดินทาง และดึงลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติม ขณะที่แผนการลงทุนในสินทรัพย์ใหม่ อยู่ระหว่างศึกษาและพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อผลตอบแทนสูงสุดต่อผู้ถือหน่วยทรัสต์ อย่างไรก็ดี จากความสำเร็จของผลงานดำเนินงานช่วงครึ่งปีแรกที่ออกมาเติบโต กองทรัสต์ IMPACT จึงมั่นใจภาพรวมสิ้นปีนี้ ในปี 2567/68 (งบปีสิ้นสุด 31 มีนาคม 2568) จะเติบโตราว 20-25% จากปีก่อนมีรายได้รวมประมาณ 1,752 ล้านบาท พร้อมกับนโยบายการจ่ายเงินปันผลตอบแทนผู้ถือหน่วยเพิ่มขึ้นในระดับเดียวกันที่ 20-25% และคาดอัตราการใช้พื้นที่เฉลี่ยรวม (Occupancy Rate) 37-40% ทั้งนี้ กองทรัสต์ IMPACT มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลตอบแทนผู้ถือหน่วยที่ 90% ของกำไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้ว โดยในไตรมาส 1 ปี 2567/68 จ่ายปันผลไปแล้ว 0.22 บาท/หน่วย นับเป็นการจ่ายปันผลสูงสุดของไตรมาส 1 ตั้งแต่จัดตั้งกองทรัสต์ และที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับไตรมาส 2 ปี 2567/2568 ที่ 0.11 บาท/หน่วย กำหนดวันที่จ่ายในวันที่ 13 ธันวาคม 2567 สนับสนุนให้ในงวดครึ่งปีแรก จ่ายปันผลรวมกันอยู่ที่ 0.33 บาท/หน่วย พร้อมประเมินภาพรวมกองทรัสต์ปี 2568/69 ภาพรวมธุรกิจ MICE คาดจะมีการจัดงานกลับมาใกล้เคียงช่วงก่อนโควิด ตามภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศ และการขยายตัวของลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะพื้นที่อิมแพ็ค อารีน่า โดดเด่นในการรองรับการจัดงานขนาดใหญ่ ชูกลุ่ม Entertainment  ทั้งงานคอนเสิร์ต และงานมิวสิคเฟสติวัล เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ งานท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล (Incentive) มีทิศทางที่ดี จากหลากหลายองค์กรทั้งในและต่างประเทศมีการจัดกิจกรรมต่อเนื่อง งานในกลุ่ม Global Conventions อยู่ระหว่างพูดคุยและรอคอนเฟิร์มเพิ่มเติม นอกจากนี้ วางแผนออกงานโรดโชว์และออกงานแสดงสินค้า บุกขยายฐานลูกค้าต่างประเทศเพิ่มเติม โดยเฉพาะตลาดจีนที่มีการเติบโตขึ้นมาก รวมทั้ง โฟกัสกลุ่มใหม่ๆ อาทิ อินเดีย เวียดนาม และ เกาหลี  เป็นต้น สำหรับก่อนหน้านี้ กองทรัสต์ IMPACT รายงานผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน ประจำปี 2567/2568 (เมษายน - กันยายน 2567) มีรายได้รวม 1,058.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.6%  กำไรสุทธิ 559.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.8% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 378.6 ล้านบาท โดยมีอัตราการใช้พื้นที่เฉลี่ยรวม 39.3% และมีอัตราค่าเช่าพื้นที่เฉลี่ยรวม 84 บาทต่อตารางเมตร ลูกค้ามีการกระจายตัว 6 เดือนแรกปีนี้ แบ่งเป็น เอกชน 45% รัฐบาล 28% และต่างชาติ 27% ข้อมูลสรุป ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อิมแพ็ค โกรท : IMPACT ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อิมแพ็ค โกรท หรือ IMPACT ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่จะเข้าลงทุนในกรรมสิทธิ์ ทรัพย์สินประเภทศูนย์แสดงสินค้าและศูนย์การประชุม โดยมี บริษัท อาร์ เอ็ม ไอ จำกัด จะทำหน้าที่เป็นผู้จัดการกองทรัสต์ (REIT Manager) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด ทำหน้าที่เป็นทรัสตี (Trustee) บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบัน IMPACT มีทรัพย์สินที่ลงทุนทั้งหมด 4 แห่ง ได้แก่ ศูนย์การจัดแสดงอิมแพ็ค อารีน่า อาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ (ฮอลล์ 1-3) ศูนย์การประชุมอิมแพ็คฟอรั่ม (ฮอลล์ 4) และศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี (ฮอลล์ 5-12)  ซึ่งทรัพย์สินทั้ง 4 แห่ง ตั้งอยู่ในโครงการอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีพื้นที่รวม 479,761 ตร.ม. และพื้นที่จัดแสดงสุทธิ 122,165 ตร.ม.

ปตท. ย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยหลักธรรมาภิบาล

ปตท. ย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยหลักธรรมาภิบาล

หุ้นวิชั่น - วันนี้ (3 ธันวาคม 2567) – ปตท. ได้กล่าวถึงการเผยแพร่ข่าวผ่านสื่อสังคมออนไลน์พาดพิงผู้บริหารของกลุ่ม ปตท. และมีการเผยแพร่ลิงค์เพื่อให้ดาวน์โหลดหนังสือของ DSI นั้น ตามที่ ปตท. ได้แจ้งสารสนเทศต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไปแล้วเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 ว่าข้อมูลที่ได้มีการเผยแพร่ผ่านสื่อต่าง ๆ มีเนื้อหาที่คลาดเคลื่อนจากความจริง อันส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดในวงกว้าง ทั้งยังส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของ ปตท. บริษัทในกลุ่ม ปตท. ตลอดจนผู้บริหารของกลุ่ม ปตท. นอกจากนี้ การเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวได้ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อราคาหุ้นของกลุ่ม ปตท. สร้างความเสียหายต่อผู้ถือหุ้นโดยรวม ดังนั้นเพื่อรักษาความเชื่อมั่น ตลอดจนเพื่อมิให้มีการกระทำที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อการลงทุนของนักลงทุนจากการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากความจริง ปตท. จึงได้ดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) รวมถึงรายงานต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้มีการตรวจสอบและพิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย ทั้งนี้ ปตท. และบริษัทในกลุ่ม ปตท. ยังคงมุ่งมั่นในการรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ พร้อมทั้งยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาล โดยมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี และดำเนินการอย่างเคร่งครัดภายใต้นโยบายที่ชัดเจน โปร่งใส และตรวจสอบได้ นอกจากนี้ กลุ่ม ปตท. ยังมุ่งเน้นการสร้างประโยชน์สูงสุดให้แก่ประเทศชาติและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างครอบคลุมและเป็นธรรม

PRTR จับมือ maiA มุ่งความยั่งยืน ชู Create Everlasting Company

PRTR จับมือ maiA มุ่งความยั่งยืน ชู Create Everlasting Company

          หุ้นวิชั่น - นางสาว ริศรา เจริญพานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีอาร์ทีอาร์ กรุ๊ป จํากัด (มหาชน) หรือ PRTR ได้รับเกียรติเป็นวิทยากรการอบรมหลักสูตร Create Everlasting Company : Sustainability, Succession, and Strategy จัดโดยสมาคมบริษัทจดทะเบียน mai (maiA) ซึ่งเป็นโครงการที่จัดขึ้นเพื่อพัฒนาศักยภาพและทักษะผู้บริหารระดับ C-Suite หรือบุคลากรที่เกี่ยวข้องในด้านความยั่งยืน โดยร่วมเสวนาในหัวข้อ การคัดเลือกผู้สืบทอดตำแหน่งที่มีประสิทธิภาพจากภายในและภายนอกบริษัทฯ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และนำไปสู่ความยั่งยืนขององค์กรในอนาคต พร้อมแชร์มุมมอง PRTR ในฐานะผู้นำ Total HR Solutions ที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล ทั้งการจัดจ้างและสรรหาพนักงานครอบคลุมทุกระดับ รวมทั้งกลุ่มผู้บริหารระดับสูง ด้วยการนำแพลตฟอร์มเข้ามาช่วยยกระดับการบริหารจัดการ มุ่งเน้นถึงความสำคัญของการทรานส์ฟอร์มองค์กรให้เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ พัฒนาบุคลากร Reskill – Upskill บุคลากรให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงและความต้องการขององค์กร เพราะบุคลากรที่ดีเป็นหัวใจสำคัญในการเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กร โดยงานดังกล่าวจัดขึ้น ณ โรงแรม Kimpton Maa-Lai Bangkok และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อเร็วๆ นี้

SSP ส่งซิก Q4/67 เข้าสู่ไฮซีซั่นพลังงานลม ดันผลงานพุ่ง

SSP ส่งซิก Q4/67 เข้าสู่ไฮซีซั่นพลังงานลม ดันผลงานพุ่ง

หุ้นวิชั่น - นายชยุตม์ หลีหเจริญกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานบัญชีและการเงิน, นางสาวลินดา เอนกรัชดาพร ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์และนักลงทุนสัมพันธ์ และนางสาวฐิติรัตน์ พุทธิวงศาสุนทร  ผู้จัดการแผนกนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SSP) นำเสนอข้อมูลในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) โชว์ผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ ในไตรมาส 3/2567 มีรายได้จากการขายไฟฟ้าและบริการ 845.8 ล้านบาท และงวด 9 เดือนของปี 2567 มีรายได้จากการขายไฟฟ้าและบริการ 2,484.9 ล้านบาท ขณะที่แนวโน้มในช่วง Q4/2567 รับปัจจัยบวกเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นพลังงานลมต่อเนื่องถึงยาวไตรมาส Q1/2568 พร้อมปักหมุดเข้าสู่โหมดการเติบโตรอบใหม่ เริ่มทยอย COD โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนต่างๆ ตั้งแต่ปี 2568 ต่อเนื่องยาวไปอีก 5 ปี ทั้งในประเทศและต่างประเทศกว่า 400 MW ดันพอร์ตโตเกิน 2 เท่าตัว ตามแผนกำลังการผลิตแตะ 1 GW ภายในปี 2575  ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้น ณ ห้องประชุม บริษัทฯ เมื่อเร็วๆ นี้

DSI เปิดเวทีเสวนา STARK: ถอดบทเรียน

DSI เปิดเวทีเสวนา STARK: ถอดบทเรียน "แผนประทุษกรรม" สู่วิธีป้องกัน-เยียวยาผู้เสียหายกว่า 14,000 ล้านบาท

          หุ้นวิชั่น -  วันนี้ (2 ธันวาคม 2567) ณ ห้องประชุม 10-09 อาคารกระทรวงยุติธรรม พันตำรวจตรี ยุทธนาแพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษและคณะทำงานศึกษาแผนประทุษกรรมกรณีบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)” ได้จัดงานเสวนาทางวิชาการเรื่อง “แผนประทุษกรรมกรณี บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (STARK)” ขึ้น ซึ่งกรณีดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นมาจากการกระทำความผิดในตลาดทุนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหลายเหตุการณ์ในประเทศไทย ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุนและก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนและสังคมโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้มีพฤติการณ์การตกแต่งบัญชีและใช้งบการเงินอันเป็นเท็จในลักษณะที่มุ่งหวังหลอกลวงนักลงทุนผ่านการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนและเสนอขายหุ้นกู้ โดยการกระทำดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียหายรวมกว่า 4,700 ราย และมีมูลค่าความเสียหายสูงกว่า 14,000 ล้านบาท                     เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนามาตรการป้องกันในเชิงรุกที่ครอบคลุมและทันเหตุการณ์ยิ่งขึ้นรวมถึงเพื่อพัฒนามาตรการเยียวยาผู้เสียหายให้เหมาะสมกับบริบทและรูปแบบสภาพแวดล้อมในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานศึกษาแผนประทุษกรรมกรณี บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (STARK) โดยมีนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา เป็นประธานคณะทำงาน มีผู้แทนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงาน ก.ล.ต. สำนักงานอัยการสูงสุด กรมบังคับคดี สภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ ผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านต่าง ๆ ทั้งทางด้านกฎหมายและด้านตลาดทุน รวมถึงตัวแทนผู้เสียหายจากการลงทุนหุ้นสามัญเป็นคณะทำงาน และมีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการคณะทำงาน โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ (1) เพื่อเป็นกรณีศึกษา โดยมีกรณีศึกษาของบริษัท สตาร์คฯ เป็นศูนย์กลางของการถอดบทเรียน (2) เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายและกรอบการดำเนินงานเพื่อป้องกันและปราบปรามคดีที่มีผลกระทบอย่างรุนแรง ต่อประชาชน เศรษฐกิจ และสังคม และ (3) เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นที่มีประสิทธิภาพในการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของตลาดทุนและตลาดเงินในการสร้างระบบการกำกับดูแลตรวจสอบและแจ้งเตือนล่วงหน้า อันจะยังผลให้ตลาดทุนและตลาดเงินมีเสถียรภาพ ความน่าเชื่อถือ และความโปร่งใสตรวจสอบได้ตามมาตรฐานสากล                       หลังจากคณะทำงานศึกษาแผนประทุษกรรมฯได้มีการประชุมร่วมกันทั้งสิ้น 7 ครั้ง เพื่อยกร่างรายงานศึกษาการถอดบทเรียนแผนประทุษกรรมกรณีดังกล่าว โดยได้เชิญหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงาน ปปง. รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านการตรวจสอบบัญชี มาให้ข้อคิดเห็นในแง่มุมต่างๆ อีกทั้งยังมีการสืบค้นข้อมูลงานวิจัยต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศเพื่อให้ร่างรายงานศึกษาการถอดบทเรียนฯ มีข้อมูลข้อเท็จจริงที่ครบถ้วนในทุกมิติ นำไปสู่การร่างเอกสารรายงานศึกษาการถอดบทเรียน ประกอบด้วย 4 บท ได้แก่ (1) ข้อเท็จจริงและลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ บริษัท สตาร์คฯ เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ด้วยวิธีการ Backdoor Listing จนถึงการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด (2) มาตรการป้องกันที่มีอยู่ในปัจจุบัน ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ และที่ควรมีเพิ่มเติมในอนาคต ซึ่งครอบคลุมในเรื่องของการกำกับดูแลผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำงบการเงิน กรรมการอิสระ การจัดทำลักษณะ/พฤติการณ์ที่มีความเสี่ยงสูงอันอาจนำไปสู่การกระทำความผิด (red flag) และผู้ให้เบาะแส (whistle blower)      (3) มาตรการปราบปรามและแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพในการอำนวยความยุติธรรมของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อลดความซ้ำซ้อนและระยะเวลาในภาพรวมที่ใช้ในการสืบสวนสอบสวน และ (4) มาตรการเยียวยา ซึ่งรวมถึงแนวทางในการติดตามเรียกคืนทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิดเพื่อคืนให้กับผู้เสียหาย ตลอดจนบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่จะช่วยเหลือบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยมีแนวคิดในเรื่องการจัดตั้งกองทุนต่าง ๆ                     การจัดงานเสวนาในวันนี้ ได้รับเกียรติจากท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิด นายพงศ์เทพ  เทพกาญจนา อดีตรองนายกรัฐมนตรี/ประธานคณะทำงาน นายธวัชชัย  พิทยโสภณ รองเลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) เป็นผู้ร่วมเสวนา  โดยมีเนื้อหาประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลักคือ (1) การนำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงที่ได้จากการศึกษา และ (2) การรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ  โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 200 คน ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กร สมาคม สถาบันการศึกษา            กลุ่มผู้เสียหาย และประชาชนทั่วไป ซึ่งเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องหรืออาจเข้าข่ายเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการพัฒนามาตรการป้องกัน มาตรการปราบปราม และมาตรการเยียวยา กรณีการกระทำความผิดในตลาดทุน ซึ่งคณะทำงานฯ จะนำข้อคิดเห็นและข้อสังเกตต่าง ๆ ที่ได้จากงานเสวนาในครั้งนี้ ไปใช้ในการปรับปรุงร่างรายงานศึกษาการถอดบทเรียนฯ เพื่อให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นและจะเปิดเผยต่อสาธารณชนให้ทราบต่อไป

จับตา!หุ้นเข้า SET50 BANPU-SAWAD-COM7-CCET

จับตา!หุ้นเข้า SET50 BANPU-SAWAD-COM7-CCET

          หุ้นวิชั่น -  หุ้นวิชั่น -ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า หุ้นที่คาดการณ์ว่าจะเข้า SET50 รอบครึ่งแรกปี 68 ได้แก่ BANPU, SAWAD, COM7 และ CCET ขณะที่หุ้นที่คาดว่าจะออกจาก SET50 ได้แก่ BCP CENTEL EA TIDLOR โดยเชื่อว่ามูลค่าหลักทรัพย์ที่ไม่ติดอันดับเป็น สาเหตุที่ทำให้หลุดออกจาก SET50   กรณีของ CCET ที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบครึ่งแรกปี 68 นั้น เชื่อว่าจะทำให้เกิดเงินทุนไหลเข้าดัชนี SET50 538.84 ล้านบาท ขณะที่ TIDLOR ที่คาดออกจาก SET50 จะทำให้มีเงินทุนไหลออกจากดัชนี SET50  324.74 ล้านบาท   สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET100 รอบครึ่งแรกปี 68 ได้แก่ CCET, JTS, PR9 และ COCOCO ส่วนหุ้นที่คาดว่า จะออกจาก SET100 ได้แก่ MBK, RBF, TIPH และ TOA โดยสาเหตุที่น่าจะทำให้ MBK และ TOA หลุดออกจาก SET100 เนื่องจาก Turnover ratio 1% ไม่ครบ 9 ใน 12 เดือน ส่วน TIPH ที่คาดออก เพราะมูลค่าซื้อขายไม่ผ่านเกณฑ์ 25% ของค่าเฉลี่ยรวมทั้งตลาด 9 ใน 12 เดือน ขณะที่ RBF คาดออก เพราะมูลค่าหลักทรัพย์ไม่ติดอันดับ ทั้งนี้คาดว่า CCET จะเข้า SET100 จะทำให้เกิดเงินทุนไหลเข้าดัชนี SET100 46.15 ล้านบาท และ MBK จะทำให้มีเงินทุนไหลออกจากดัชนี SET100 19.98 ล้านบาท             โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะประกาศรายชื่อหุ้นเข้าออก SET50 และ SET100 รอบครึ่งแรกปี 68 ในช่วงวันที่ 13 - 18 ธันวาคม 67 นี้ และเริ่มใช้วันที่ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 68   ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า จากข้อมูลหุ้นที่เข้า SET50 ในช่วงเวลา 8 ปีที่ผ่านมา หรือ 16 รอบของการปรับหุ้นเข้าและออกใน SET50 พบว่า หากซื้อหุ้นที่เข้า SET50 ล่วงหน้าก่อนวันเริ่มใช้ SET50 รอบใหม่ 1 เดือน จะให้ ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 3.83% ขณะที่หากซื้อหุ้นที่เข้า SET50 ล่วงหน้าก่อนวันเริ่มใช้ SET50 รอบใหม่ 2 สัปดาห์ ผลตอบแทนเฉลี่ยจะอยู่ที่ 2.15% จากข้อมูลดังกล่าวชี้ว่า ผลตอบแทนเฉลี่ยของการเปลี่ยนแปลงหุ้นใน SET50 นั้น หุ้นที่มีโอกาสเข้า SET50 จะให้ผลตอบแทนเชิงบวก         นอกจากนี้ยังพบว่า หุ้นที่ได้รับการปรับประมาณการเพิ่มขึ้น มีการซื้อขายอยู่ในโซนล่าง และมี Upside สูง เป็นหุ้นที่น่าสนใจ ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI จึงทำการเปรียบเทียบ % Upside to target price ของ Bloomberg consensus กับค่า Z Score 12M FWD PE 5 ปีย้อนหลัง พบว่า หุ้นที่มีการซื้อขายอยู่ในโซนล่าง มี % Upside to target price สูง และมี SETESG Rating ระดับ A ขึ้นไป ได้แก่ COM7 มี Upside 10.6% , BANPU มี Upside 5.7% ขณะที่ค่า Z-Scores 12M FWD PE 5 ปี อยู่ที่ -0.99 และ -0.02 ตามลำดับ             เมื่อเปรียบเทียบ การปรับประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) กับราคาเป้าหมาย (Target price) ย้อนหลัง 1 เดือน จะได้หุ้นที่ถูกปรับประมาณการเพิ่มขึ้น ได้แก่ CCET (EPS ถูกปรับขึ้น 6.5%, Target price ถูกปรับขึ้น 52.9%) และหากเปรียบเทียบการปรับประมาณการกำไรต่อหุ้นกับราคาเป้าหมายย้อนหลัง 6 เดือน จะได้หุ้นที่ถูกปรับประมาณการเพิ่มขึ้น ได้แก่ CCET (EPS  ถูกปรับขึ้น 26.9%, Target price ถูกปรับขึ้น 81.4% และ COM7 (EPS ถูกปรับขึ้น 8.0%, Target price ถูกปรับขึ้น 35.0%)   ขณะที่หุ้นที่มีราคาปรับลงมากที่สุด โดยเปรียบเทียบย้อนหลัง 1 เดือนล่าสุด ได้แก่ BANPU ราคาปรับลง 7.3% และ SAWAD ปรับลง 3.6% และเมื่อพิจารณาข้อมูลการซื้อขายสุทธิของผู้บริหาร ตั้งแต่ต้นปี 67 ถึงปัจจุบัน จะได้หุ้นที่มียอดซื้อขายสุทธิของผู้บริหารมากสุด ได้แก่ SAWAD 323.24 ล้านบาท, CCET 14.45 ล้านบาท และ BANPU 8.54 ล้านบาท

PTTGC พร้อมเสนอขายหุ้นกู้ ดอกเบี้ย 5 ปี 6 เดือนที่ 5.25%

PTTGC พร้อมเสนอขายหุ้นกู้ ดอกเบี้ย 5 ปี 6 เดือนที่ 5.25%

          หุ้นวิชั่น -  บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ผู้นำด้านธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ระดับสากล ของกลุ่ม ปตท. เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5 ปี 6 เดือนแรกที่ 5.25% พร้อมอันดับความน่าเชื่อถือของ GC ที่  AA(tha) แนวโน้ม “มีเสถียรภาพ” และยืนยันความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ที่ระดับ A+(tha) จากบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 นายทิติพงษ์ จุลพรศิริดี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า GC พร้อมเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนด (“หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ”) ที่อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5 ปี 6 เดือนแรกที่ 5.25% ต่อปี หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อนุญาตให้แบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนมีผลใช้บังคับแล้ว โดย GC จะเสนอขายต่อประชาชนเป็นการทั่วไป (Public Offering) ระหว่างวันที่ 4-12 ธันวาคม 2567 ผ่านทางผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 12 ราย ซึ่งทาง GC เชื่อมั่นว่าหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ดังกล่าว จะเป็นทางเลือกการลงทุนที่มั่นคงและให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าให้แก่ผู้ลงทุนรายย่อยในช่วงปลายปีนี้ ที่รอคอยหุ้นกู้ในกลุ่ม ปตท. และเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 ทางบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) ได้ประกาศยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ที่ระดับ A+(tha) ซึ่งคือเป็นการยืนยันความแข็งแกร่งของ GC และความมุ่งมั่นของ GC ในการก้าวสู่การเป็นบริษัทปิโตรเคมีชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Petrochemical Hub in South East Asia) การออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ของ GC ในครั้งนี้ เป็นแผนการเสริมสร้างความยืดหยุ่น ความแข็งแกร่งของโครงสร้างเงินทุน เพื่อรองรับการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต โดยเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ ทาง GC มีแผนที่จะนำไปใช้ชำระหนี้เงินกู้เดิมทั้งในและต่างประเทศ หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ที่ GC เสนอขายในครั้งนี้ ในทางบัญชีจะนับเป็นส่วนของทุน 100% เช่นเดียวกันกับหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ที่เสนอขายโดยบริษัทอื่น และคาดว่าจะได้รับการนับเป็นส่วนของทุน (Equity Credit) 50% จาก Credit Rating ระดับโลกทั้ง 3 ราย ได้แก่ 1) Moody’s Investors Service 2) S&P Global Ratings และ 3) Fitch Ratings Inc. ซึ่งถือว่าเป็น “Big Three” ในการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป สามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท โดยจะเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 4-12 ธันวาคม 2567  ผู้สนใจสามารถติดต่อจองซื้อ หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02-626-7777 ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02-888-8888 กด 869 และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02-165-5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปฯ Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02-111-1111 หรือจองซื้อออนไลน์บนแอปพลิเคชัน Krungthai Next ผ่านระบบ Money Connect by Krungthai ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02-777-6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02-680-4004 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร.1572 บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด โทร. 02-695-5000 บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050 ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 1428 กด #4 (เปิดจองซื้อเฉพาะผู้ลงทุนรายใหญ่เท่านั้น) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-009-8351-56 หมายเหตุ: การจัดสรรหุ้นกู้ดังกล่าวให้อยู่ในดุลยพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ตามแต่จะเห็นสมควร คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th

True รุกดิจิทัล ปลอดภัย ชู “ทรู ไซเบอร์เซฟ ปกป้องภัยไซเบอร์”

True รุกดิจิทัล ปลอดภัย ชู “ทรู ไซเบอร์เซฟ ปกป้องภัยไซเบอร์”

          หุ้นวิชั่น -  ทรู คอร์ปอเรชั่น ตระหนักถึงความรับผิดชอบที่จะสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัยโดยเฉพาะการปกป้องคนไทยจากภัยไซเบอร์ที่ปัจจุบันทวีความซับซ้อนและส่งผลกระทบร้ายแรงต่อชีวิตและทรัพย์สิน  โดยได้ลงทุนพัฒนาระบบและนำเทคโนโลยี AI ขั้นสูงยกระดับภารกิจรักษาความปลอดภัยไซเบอร์   เปิดตัวบริการใหม่ “ทรู ไซเบอร์เซฟ True CyberSafe”  ระบบป้องกันภัยไซเบอร์จากมิจฉาชีพ ทั้งจาก ลิ้งค์แปลกปลอม  SMS หลอกลวง และการกรองสายเรียกเข้า   โดยนำร่องให้บริการระบบปิดกั้นและแจ้งเตือนการเข้าถึงลิ้งก์แปลกปลอม (Web / URL Protection) ทั้งที่เป็น Blacklist จากภาครัฐ และลิ้งก์ที่มีความเสี่ยง รวมเบื้องต้นกว่า 100,000 ลิ้งก์   สำหรับลูกค้ามือถือทรู ดีแทค และเน็ตบ้านทรูออนไลน์ทุกคน ฟรี! ทันที ไม่ต้องลงทะเบียนหรือโหลดแอปเพิ่มเติม  สร้างความมั่นใจให้คนไทยสามารถใช้งานโลกดิจิทัลได้อย่างปลอดภัย พร้อมเตรียมต่อยอดแจ้งเตือน SMS AI Filter และแจ้งเตือนสายเรียกเข้า Call AI Filter ที่จะลดความเสี่ยงทุกมิติจากภัยไซเบอร์ อีกทั้ง ผนึกกำลัง แอสเซนด์ มันนี่ (ทรูมันนี่) เพิ่มความปลอดภัยยิ่งขึ้น สำหรับลูกค้ามือถือทรู ดีแทค เมื่อใช้จ่ายผ่านแอปทรูมันนี่ ด้วยระบบป้องกันการดูดเงิน 3 ชั้น 'TrueMoney 3 x Protection' ตรวจ-จับ-หยุด ธุรกรรมแปลกปลอมที่มั่นใจได้มากกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ทรู คอร์ปอเรชั่น เดินหน้าจับมือภาคีทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ DE  คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือกสทช. สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ สกมช. หรือ NCSA สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  รวมถึง ภาคเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อร่วมกันปกป้องคนไทยจากภัยไซเบอร์อย่างรอบด้าน    “มุ่งสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัย”           นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า  “ทรู คอร์ปอเรชั่น เดินหน้าอย่างมุ่งมั่นในภารกิจสร้างสังคมดิจิทัลที่ ครอบคลุม ปลอดภัย และยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลแบบครบวงจร ทั้งการเป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยี 3G  4G และ 5G เป็นรายแรก การวางโครงข่ายไฟเบอร์ที่ครอบคลุมทั่วประเทศแม้ในพื้นที่ห่างไกล และการสร้างระบบนิเวศน์ดิจิทัลที่แข็งแกร่ง ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดียิ่งขี้นในทุกมิติ เพื่อร่วมทรานส์ฟอร์มประเทศไทยสู่ Digital Economy อย่างเต็มรูปแบบ  ขณะเดียวกัน ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังได้ให้ความสำคัญกับการขับเคลือนสู่สังคมดิจิทัลอย่างมีความรับผิดชอบ    ซึ่งรวมถึง Responsible AI (RAI)  ที่มีการใช้ AI ตามแผนการใช้ปัญญาประดิษฐ์อย่างมีความรับผิดชอบ  และภารกิจดูแลปกป้องประชาชนจากภัยไซเบอร์ ที่กลายเป็นปัญหาสำคัญในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน  โดยล่าสุด ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ลงทุนพัฒนาระบบป้องกันภัยทางไซเบอร์ ที่นำเทคโนโลยี AI ขั้นสูงมาใช้เพื่อดูแลปกป้องลูกค้าทรู ดีแทค ของเราทุกคน ซึ่งเป็นที่มาของการเปิดบริการ “ทรู ไซเบอร์เซฟ ปกป้องภัยไซเบอร์” ในวันนี้ อันเป็นอีกก้าวสำคัญที่แสดงถึงความตั้งใจของทรู คอร์ปอเรชั่นในการรับผิดชอบสังคมดิจิทัล และพร้อมร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้ง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ  หรือ กสทช.  สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) และพันธมิตรเอกชน   เช่น บริษัท แอสเซนต์ มันนี่ จำกัด  รวมถึงอีกหลายองค์กรทั้งในและต่างประเทศ  เพื่อสร้างระบบป้องกันที่แข็งแกร่งและครอบคลุมทุกมิติ  ”   “ยกระดับความปลอดภัยไซเบอร์ เพื่อลูกค้าทรู ดีแทคทุกคน”                นางสุกัณณี เลิศสุขวิบูลย์ หัวหน้าสายงานธุรกิจต่างประเทศและบริการดิจิทัล บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น  ตระหนักถึงปัญหาภัยไซเบอร์ที่สร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา คนไทยสูญเสียจากการถูกหลอกออนไลน์สูงเป็นอันดับ 4 ของโลก และประเทศไทยมีปัญหา การโทรหลอกลวง สูงเป็นอันดับสองในเอเชีย และ SMS หลอกลวงมากที่สุดในเอเชีย ซึ่งส่วนใหญ่มีลิงก์ ที่มาจากเบราว์เซอร์ที่มีความเสี่ยงแนบมาด้วย   ดังนั้น เราจึงได้พัฒนาบริการใหม่ “ทรู ไซเบอร์เซฟ ปกป้องภัยไซเบอร์”  ซึ่งเป็นระบบป้องกันภัยไซเบอร์ที่ทันสมัย โดยทรูได้ลงทุนพัฒนาและนำ AI ขั้นสูงมาใช้เพื่อยกระดับการปกป้องและเพิ่มความปลอดภัยในการใช้บริการโลกออนไลน์ โดยระยะแรกจะให้บริการระบบคัดกรองลิ้งค์แปลกปลอมที่รวบรวมจากพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลกกว่า 100,000 ลิ้งค์ โดยลูกค้าจะได้รับการบล็อก หรือ แจ้งเตือนทันทีหลังจากกดลิ้งก์จาก SMS หรือบราวเซอร์ เพื่อให้ลูกค้าพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนจะตัดสินใจเลือกเข้าหรือไม่เข้าสู่ลิ้งก์ดังกล่าว    โดย เปิดให้ลูกค้ามือถือทรู ดีแทค หรือทรูออนไลน์ ที่เชื่อมต่อเน็ตบ้าน หรือ WiFi ของทรูทุกคน ใช้บริการได้ ฟรี!  ไม่มีค่าใช้จ่าย สามารถใช้ได้ทันที ไม่ต้องลงทะเบียนหรือโหลดแอปเพิ่มเติม” “ทุ่มทุนพัฒนา AI ขั้นสูง กับ True CyberSafe “               ทรู ไซเบอร์เซฟ เป็นระบบป้องกันภัยไซเบอร์ ที่ทรูได้พัฒนานำ AI ขั้นสูงมาใช้เพื่อช่วยในการวิเคราะห์   แบบแผน และพฤติกรรม การใช้ลิงก์/URL , การส่งSMS และ การโทร เพื่อหาความเสี่ยงจากมิจฉาชีพ ผ่านแมชชีนเลิร์นนิ่ง  รวมทั้งช่วยตรวจจับ คัดกรอง ลิ้งก์/URL แปลกปลอม ที่รวบรวมฐานข้อมูล จากความร่วมมือกับภาครัฐ พันธมิตรเอกชน การร้องเรียนจากลูกค้า การวิเคราะห์จาก AI และจากการลงทุนของกลุ่มทรู ซึ่งได้มาจากทั่วโลกกว่า 100,000 ลิ้งก์ในระยะแรก และจะมีการพัฒนาฐานข้อมูลให้ครอบคลุมกลลวงมิจฉาชีพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ทั้งนี้ ระบบทรู ไซเบอร์เซฟ  ยังเป็นไปตามข้อบังคับ PDPA โดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูง เพื่อปกป้องความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า  ซึ่งกระบวนการทำงานของ AI ทั้งหมดนี้ ทำให้ทรูสามารถตรวจพบสิ่งผิดปกติ และแจ้งเตือนภัยออนไลน์ จากมิจฉาชีพ ได้อย่างแม่นยำ รวดเร็ว และสามารถป้องกันภัยไซเบอร์จากมิจฉาชีพได้ใน 4 รูปแบบ คือ 1. ลิ้งค์แปลกปลอม ปกป้องลูกค้ามือถือทรู ดีแทค : บล็อก หรือ แจ้งเตือน  เมื่อมีการเข้าถึงเว็บไซต์ที่อาจเป็นอันตราย หากลูกค้ากดเข้าไป จาก SMS หรือ บราวเซอร์ 2. ลิ้งค์แปลกปลอม ปกป้องลูกค้าเน็ตบ้านทรูออนไลน์ : บล็อก หรือ แจ้งเตือน  เมื่อมีการเข้าถึงเว็บไซต์ที่อาจเป็นอันตราย  บนเว็บบราวเซอร์ 3. SMS AI Filter : โดยจะแจ้งเตือนSMS ที่อาจเป็นมิจฉาชีพ ใช้ AI ในการประมวลพฤติกรรมของมิจฉาชีพ 4. Call AI Filter การกรองสายเรียกเข้า : แจ้งเตือนสายเรียกเข้าที่อาจเป็นมิจฉาชีพ โดยความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและพันธมิตรเอกชน ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการอย่างเต็มระบบทุกรูปแบบราวเดือนมีนาคม 2568 “ผนึกทรูมันนี่ ชูระบบป้องกันการดูดเงิน 3 ชั้น”    นอกเหนือจาก การพัฒนาระบบความปลอดภัยไซเบอร์ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยแล้ว   ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังได้ร่วมกับ แอสเซนต์ มันนี่ มอบการปกป้องการหลอกลวงทางการเงิน ให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น สำหรับลูกค้าทรู ดีแทค เมื่อใช้จ่ายผ่านแอป True Money  ด้วยระบบป้องกันการดูดเงิน 3 ชั้น 'TrueMoney 3 x Protection' ตรวจ-จับ-หยุด ธุรกรรมแปลกปลอมที่มั่นใจได้มากกว่า “ครอบคลุมครบทุกมิติ 360 องศา” ยิ่งไปกว่านั้น ทรู คอร์ปอเรชั่น  ยังได้ร่วมป้องกันภัยไซเบอร์ครอบคลุมการดำเนินการทุกมิติทั้ง 360 องศา   ซึ่งรวมถึงการให้ความร่วมมือกับ  ภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น การปิดเสาสัญญาณบริเวณชายแดนเพื่อป้องกันมิจฉาชีพลักลอบใช้สัญญาณเครือข่ายในการหลอกลวงประชาชน  ดำเนินการตามมาตรการลงทะเบียนซิมอย่างเข้มงวด  พร้อมใช้เทคโนโลยี AI ช่วยวิเคราะห์ประมวลผลตรวจสอบความผิดปกติของการลงทะเบียนซิมและการใช้งานผิดปกติ  รวมทั้งให้ข้อมูลและชี้เบาะแสเพื่อช่วยหน่วยงานภาครัฐในการปราบปรามมิจฉาชีพ อีกทั้งยังเปิดศูนย์ฮอตไลน์ 9777 ให้โทรแจ้งเบอร์โทรและ SMS ต้องสงสัย  พร้อมแจ้งผลภายใน 48 ชม. เพื่อนำไปสู่การจับกุมมิจฉาชีพ    ยิ่งไปกว่านั้น ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังมุ่งเน้นเสริมสร้างความตื่นตัวและตระหนักรู้เท่าทันกลลวงของมิจฉาชีพทางออนไลน์ โดยจัดกิจกรรมเวิร์กชอป เสริมทักษะให้คนไทยรู้ทันโลกออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ทรูปลูกปัญญา อีกด้วย รายละเอียดเพิ่มเติม “ทรู ไซเบอร์เซฟ”  ได้ https://www.true.th/services/true-cyber-safe

ก.ล.ต.ประกาศวันหยุดเพิ่ม

ก.ล.ต.ประกาศวันหยุดเพิ่ม

          ตามที่ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 ให้เพิ่มวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ เพื่อกระตุ้น การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ รวมถึงเป็นการสนับสนุนนโยบายที่จะกำหนดให้ปี 2568 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวและกีฬาของประเทศไทยนั้น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พิจารณาแล้ว จึงกำหนดให้วันที่ 2 มิถุนายน 2568 และวันที่ 11 สิงหาคม 2568 รวมทั้งวันที่ 2 มกราคม 2569 เป็นวันหยุดทำการของบริษัทหลักทรัพย์และ ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรี เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลข้างต้น ซึ่งสอดคล้องกับวันหยุดทำการของสถาบันการเงินและสถาบันการเงินเฉพาะกิจ

PF-GRAND มุ่งลดหนี้ 16,000 ลบ. เล็งพันธมิตรใหม่ต่อยอด

PF-GRAND มุ่งลดหนี้ 16,000 ลบ. เล็งพันธมิตรใหม่ต่อยอด

          หุ้นวิชั่น -  กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค และ แกรนด์ แอสเสทฯ เผยแผนลดหนี้ สร้างความแข็งแกร่งด้านการเงิน ปี 2567 ลดภาระหนี้ลงแล้ว 8,000 ล้านบาท ปี 2568 เดินหน้าลดหนี้ต่อเนื่องอีก 8,000 ล้านบาท ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำสุดในรอบทศวรรษ ลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยได้ถึง 1,000 ล้านบาท พร้อมเร่งสร้างรายได้จากโครงการร่วมทุน เตรียมรับคืนเงินลงทุนจากการร่วมทุน 4,000 ล้านบาทภายใน 2 ปี ด้านทิศทางปี 2568 เล็งร่วมมือพันธมิตรรายใหม่ลงทุนต่อยอดในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์           นายศานิต อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค (PF) และ แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ (GRAND) วางเป้าหมายในการบริหารจัดการโครงสร้างทางการเงินให้แข็งแกร่ง ทั้งการลดภาระหนี้ เพิ่มสภาพคล่อง เร่งสร้างยอดขาย รายได้และกำไรเพิ่มขึ้น ขณะที่ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงเผชิญกับความท้าทาย การเสริมความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงิน เป็นปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืนและสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างเต็มศักยภาพ “กลุ่มบริษัทมีแผนลดภาระหนี้รวม 16,000 ล้านบาท โดยปีนี้สามารถลดภาระหนี้ลงได้แล้ว 8,000 ล้านบาท จากการขายโรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ สุขุมวิท และชำระคืนหุ้นกู้ ภายในปี 2568 ยังตั้งเป้าจะเร่งลดหนี้ลงอย่างต่อเนื่องอีก 8,000 ล้านบาท เป็นของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค 3,000 ล้านบาท และ แกรนด์ แอสเสทฯ 5,000 ล้านบาท ทั้งจากการขายที่ดินและเงินลงทุน ร่วมทุน และการชำระคืนหุ้นกู้ การลดภาระหนี้ลงตามแผนจะทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยได้ถึง 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลดค่าใช้จ่ายและต้นทุนทางการเงินครั้งใหญ่ของกลุ่มบริษัท และยังทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้นจากดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง มีสภาพคล่องทางการเงินสูงขึ้น ที่สำคัญยังจะมีผลให้อัตรา ส่วนหนี้สินต่อทุนของกลุ่มบริษัทลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบทศวรรษ” พร้อมกันนี้ยังจะเร่งสร้างรายได้จากโครงการร่วมทุน ซึ่งกลุ่มบริษัทเริ่มพัฒนาโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรชั้นนำจากต่างประเทศ 3 องค์กร ตั้งแต่ปี 2561 เรื่อยมา และประสบความสำเร็จได้รับการตอบรับอย่างดีในการสร้างความแตกต่างให้กับตลาดที่อยู่อาศัยด้วยมาตรฐานระดับสากล  ในปี 2568–2569 กลุ่มบริษัทยังจะได้รับคืนเงินลงทุนและ Shareholder Loan จากโครงการร่วมทุน เป็นจำนวน 4,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องและกระแสเงินสดให้กับกลุ่มบริษัท ปัจจุบันกลุ่มบริษัทมีการพัฒนาโครงการร่วมทุนทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม คิดเป็นมูลค่าโครงการรวม 27,950 ล้านบาท ทั้งการร่วมทุนกับ “ซูมิโตโม ฟอเรสทรี” ผู้นำในธุรกิจป่าไม้และก่อสร้างบ้านจากประเทศญี่ปุ่น ในโครงการคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” มูลค่า 6,200 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะปิดการขายโครงการได้ในปี 2569 และโครงการบ้านเดี่ยว “เลค ฟอเรสต์ ราชพฤกษ์ตัดใหม่” มูลค่า 4,450 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือกับ “ฮ่องกง แลนด์” บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก ในโครงการ “เลค เลเจ้นด์” บ้านหรูระดับซุเปอร์ลักซ์ชัวรี่ริมทะเลสาบใน 2 ทำเล คือ แจ้งวัฒนะ และ บางนา-สุวรรณภูมิ รวมมูลค่า 13,870 ล้านบาท  มีความร่วมมือกับ “เซกิซุย เคมิคอล” ผู้นำในตลาดรับสร้างบ้านของประเทศญี่ปุ่น พัฒนาบ้านนวัตกรรมที่ก่อสร้างด้วยระบบ       โมดูลาร์ ในโครงการเพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ 5 ทำเล ได้แก่ กรุงเทพกรีฑา รามคำแหง สุขุมวิท รัตนาธิเบศร์ และ แจ้งวัฒนะ มูลค่ารวม 3,430 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถปิดการขายทั้ง 5 ทำเลได้ในกลางปีหน้า สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 2568 กลุ่มบริษัทมีความมั่นใจในศักยภาพและโอกาสในการขยายตัวของธุรกิจ ทั้งจากการเปิดโครงการใหม่ การเพิ่มยอดขายจากกลุ่มโครงการลักซ์ชัวรี่ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด บริษัทยังมีแผนพัฒนาโครงการภายใต้คอนเซ็ปท์ใหม่เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าในเซกเมนต์ระดับบน อีกทั้งยังจะมีความร่วมมือกับพันธมิตรรายใหม่ร่วมลงทุนต่อยอดในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ

“KJL” ได้รับเกียรติเป็นวิทยากร หลักสูตร Create Everlasting Company

“KJL” ได้รับเกียรติเป็นวิทยากร หลักสูตร Create Everlasting Company

                     หุ้นวิชั่น - นายเกษมสันต์ สุจิวโรดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (มหาชน) หรือ KJL ได้รับเกียรติให้เป็นวิทยากรในการอบรมหลักสูตร Create Everlasting Company : Sustainability, Succession, and Strategy หลักสูตรเพื่อพัฒนาศักยภาพและทักษะผู้บริหารระดับ  C-Suite หรือบุคลากรที่เกี่ยวข้องในด้านความยั่งยืน การวางแผนอนาคตในเรื่องผู้สืบทอดตำแหน่งสำคัญของบริษัท และในด้านกลยุทธ์ที่นำไปสู่ความยั่งยืนของบริษัท ภายใต้การเสวนาสู่ความยั่งยืนของธุรกิจในรูปแบบ Panel Discussion โดยมีนายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)  ให้เกียรติเข้าร่วมในงาน ณ โรงแรม Kimpton Maa-Lai Bangkok เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา

CK ตั้งงบซื้อหุ้นคืน 3พันล. ไม่เกิน130ล. หุ้นราคาเฉลี่ย 23 บ.

CK ตั้งงบซื้อหุ้นคืน 3พันล. ไม่เกิน130ล. หุ้นราคาเฉลี่ย 23 บ.

         หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอ ระบุว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน วงเงินไม่เกิน 3 พันล้านบาท และจำนวนหุ้นซื้อคืนไม่เกิน 130 ล้านหุ้น คิดเป็น 7.7% ซึ่งไม่เกิน 10% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัท โดยกำหนดระยะเวลาซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค. 2024-1 มิ.ย. 2025 (ที่มา: SET) มีมุมมองเป็นบวก โดยแผนซื้อหุ้นคืนดังกล่าว imply ราคาซื้อคืนเฉลี่ยที่ 23 บาท/หุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาปัจจุบันราว +26% ทำให้เรามองว่าจะเป็น sentiment เชิงบวกต่อราคาหุ้นได้           สำหรับแนวโน้ม 4Q24E เบื้องต้นคาดการณ์กำไรจะทรงตัว YoY และจะกลับมาอ่อนตัว QoQ เนื่องจากปัจจัยฤดูกาลของ CKP รวมถึงฐานสูงใน 3Q24 ที่หลวงพระบาง พาวเวอร์มีอานิสงส์จากกำไรอัตราแลกเปลี่ยน แต่จะถูกชดเชยบางส่วนจากรายได้ก่อสร้างสูงขึ้นตามการรับรู้ backlog ทั้งนี้คงกำไรปกติปี 2024E/25E ที่ 1.6 พันล้านบาท/2 พันล้านบาท (+12% YoY/+21% YoY) คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 27.50 บาท อิง SOTP

KSS คาด SET รีบาวน์ ลุ้นต้าน 1443 จุด มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหนุน แนะ AOT, GPSC, SAWAD

KSS คาด SET รีบาวน์ ลุ้นต้าน 1443 จุด มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหนุน แนะ AOT, GPSC, SAWAD

                     หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้“Rebound” ต้าน 1438/1443 จุด รับ 1422/1420 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับขึ้น ดัชนีS&P500 +0.56% หนุนจากหุ้นเทคโนโลยีหลังแนวโน้มการกีดกันการขายสินค้าเทคโนโลยีอาจจะไม่เข้มงวดที่เท่าตลาดกังวลก่อนหน้า ผสาน US Bond Yield 10ปีลงต่อ -7 bps มาปิด 4.18% ถ่วง Dollar Index แกว่งตัวบริเวณ 106.1 จุด ยังต่ำกว่าแนวต้านสำคัญ 107.2 จุด ฝั่งเศรษฐกิจจีนส่งสัญญาณฟื้นตัว PMI ภาคผลิตขยาย 2 เดือนติด และสูงสุดใน 7 เดือน ส่วนภายใน Bond Yield ไทยแกว่งตัวลงต่อเนื่องสอดคล้องสหรัฐฯ และความเห็น IMF ที่มองดอกเบี้ยไทยระดับ Neutral Rate ยังต่ำกว่าปัจจุบันได้เล็กน้อย BOT รายงานภาวะเศรษฐกิจ ต.ค. 24 ฟื้นขึ้น m-m คาดมี ความต่อเนื่องจากการทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ นำโดยมาตรการ “ไร่ละพัน” คาด SET วันนี้ Rebound หุ้นนำ คือ หุ้นได้ภาพ Bond Yield ทั้งสหรัฐฯและไทยแกว่งตัวลงต่อเนื่องหนุน (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ High Yield) หุ้นในธีม Entertainment Complex ท่องเที่ยว ภาคบริการ (วันนี้คาดกระแสเด่นขึ้นจาการจัดงาน Entertainment Complex Summit 2-4 ธ.ค.) วันนี้แนะนํา AOT, GPSC, SAWAD 

CCET ขายหุ้นในบริษัทย่อย CCBS มูลค่าเกือบ 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

CCET ขายหุ้นในบริษัทย่อย CCBS มูลค่าเกือบ 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

          หุ้นวิชั่น -  บริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ CCET แจ้งการขายหุ้นในบริษัท Cal-Comp Industria de Semiconductores S.A. (CCBS) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ CCET ถือหุ้นอยู่ 58.03% โดยการขายหุ้นครั้งนี้ได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2567           รายละเอียดธุรกรรม: • ผู้ซื้อ: บริษัท Digitron da Amazonia Industria e Comercio LTDA • มูลค่าธุรกรรม: 5,947,725.02 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 213 ล้านบาท) • ขนาดธุรกรรม: 0.23% ของมูลค่าสินทรัพย์รวม ไตรมาส 3/2567 • ไม่มีความเกี่ยวโยง: ผู้ซื้อไม่ใช่บุคคลที่เกี่ยวโยงกับ CCET • วันที่คาดว่าธุรกรรมเสร็จสิ้น: ไตรมาส 4/2567 ธุรกรรมนี้เป็นไปเพื่อปรับโครงสร้างภายในองค์กรและเพิ่มประสิทธิภาพของกลุ่มบริษัท โดยไม่ได้เข้าข่ายเป็นรายการที่มีนัยสำคัญ หรือรายการที่เกี่ยวโยงกันตามหลักเกณฑ์ของตลาดทุน ทั้งนี้ CCET จะใช้รายได้จากการขายหุ้นเพื่อบริหารจัดการและเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทต่อไป

RJH ปันผลระหว่างกาล 0.20 บ.ต่อหุ้น XD 12 ธ.ค. 67

RJH ปันผลระหว่างกาล 0.20 บ.ต่อหุ้น XD 12 ธ.ค. 67

          หุ้นวิชั่น -  บริษัท โรงพยาบาลราชธานี จำกัด (มหาชน) หรือ RJH แจ้งการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.20 บาทต่อหุ้น กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) : 12 ธ.ค. 2567 และกำหนดวันที่จ่ายปันผล : 27 ธ.ค. 2567

ก.ล.ต. ขอให้พนักงานอัยการฟ้องผู้กระทำความผิด 1 ราย ต่อศาลแพ่ง ราคาหุ้น THE

ก.ล.ต. ขอให้พนักงานอัยการฟ้องผู้กระทำความผิด 1 ราย ต่อศาลแพ่ง ราคาหุ้น THE

หุ้นวิชั่น -  สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้พนักงานอัยการฟ้องนายธีรวัฒน์ แซ่ก๊วย ผู้กระทำความผิด กรณีสร้างราคาหุ้นของบริษัท เดอะ สตีล จำกัด (มหาชน) (THE) เพื่อขอให้กำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่ง รวมทั้งกำหนดระยะเวลาห้ามซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร (แล้วแต่กรณี) ในอัตราสูงสุดตามกฎหมาย           ตามที่คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) ได้มีมติให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับผู้กระทำความผิดในกรณีสร้างราคาหุ้นของ THE โดยกำหนดให้นายธีรวัฒน์ ชำระเงินรวม 18,919,992.95 บาท (ค่าปรับทางแพ่ง และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด) และกำหนดระยะเวลาห้ามซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเป็นระยะเวลา 14 เดือน และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารเป็นระยะเวลา 28 เดือน           ทั้งนี้ เนื่องจากนายธีรวัฒน์ ไม่ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด ซึ่งพิจารณาได้ว่า นายธีรวัฒน์ ไม่ยินยอมที่จะระงับคดีในชั้น ก.ล.ต.ดังนั้น ก.ล.ต. จึงมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีนายธีรวัฒน์ ต่อศาลแพ่ง เพื่อขอให้กำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งทุกมาตรการในอัตราสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติ พร้อมดอกเบี้ย รวมทั้งกำหนดระยะเวลาห้ามซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร           พร้อมกันนี้ ก.ล.ต. ได้นำส่งกรณีดังกล่าวต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ เนื่องจากความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ดังกล่าวเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542           นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการ และโฆษก ก.ล.ต. กล่าวว่า “กรณีนี้ ก.ล.ต. ได้ ดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิดรวม 14 ราย โดยเรียกให้ชำระเงินตามมาตรการลงโทษทางแพ่ง กำหนดระยะเวลาห้ามซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร ซึ่งมีผู้กระทำผิด 13 รายได้ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งแล้วเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ ก.ล.ต. ให้ความสำคัญกับกระบวนการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดทุกกรณี มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้”

BC แกรนด์โอเพนนิ่ง “โคฟ ฮิลล์ (Cove Hill)” ยกระดับไลฟ์สไตล์มอลล์แห่งใหม่

BC แกรนด์โอเพนนิ่ง “โคฟ ฮิลล์ (Cove Hill)” ยกระดับไลฟ์สไตล์มอลล์แห่งใหม่

      บมจ.บูทิค คอร์ปอเรชั่น (BC) จัดงาน Grand Opening เปิดตัวโครงการ โคฟ ฮิลล์ (Cove Hill) ศูนย์การค้าไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้แห่งใหม่ย่านเจริญกรุง ด้วยมูลค่าโครงการ 270 ล้านบาท และเป็นอีกหนึ่งโครงการที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง ด้วยทำเลทองย่านกรุงเก่ามีศักยภาพการเติบโตสูง พัฒนาขึ้นจากแรงบันดาลใจ ในการรวมเสน่ห์ของย่านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เข้ากับความทันสมัย ปักธงเป็นศูนย์รวมพื้นที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ด้วยร้านค้าและพื้นที่จัดกิจกรรมครบครัน ช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทย ทั้งด้านการท่องเที่ยว และการกระจายรายได้สู่ชุมชน             นายปรับ ทักราล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บูทิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BC ผู้นำด้านธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้โมเดลธุรกิจ “สร้าง-ดำเนินการ-ขาย” (Build-Operate-Sale : BOS) กล่าวว่า บริษัทฯ พร้อมยกระดับย่านเจริญกรุง จัดงานเปิดตัวโครงการ โคฟ ฮิลล์ (Cove Hill) สุดยิ่งใหญ่เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 นับเป็นCommunity Lifestyle Mall แห่งล่าสุดของกลุ่มบริษัทบูทิค ที่ได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างมาก ด้วยมูลค่าโครงการอยู่ที่ 270 ล้านบาท บนพื้นที่กว่า 4,000 ตารางเมตร และจำนวน 28 ร้านค้า พร้อมมอบประสบการณ์ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มได้อย่างครอบคลุม ด้วยทำเลใกล้โรงเรียนนานาชาติ และสถานที่ท่องเที่ยว ทำให้ประสบความสำเร็จ มีอัตราการเช่าพื้นที่ร้อยละ 70 และมุ่งหวังในการเป็นศูนย์กลางธุรกิจและการท่องเที่ยวแห่งใหม่ในกรุงเทพฯ ที่มีเอกลักษณ์            โดยโครงการ โคฟ ฮิลล์ (Cove Hill) มีแนวคิดที่ผสมผสานสไตล์นอร์ดิกอันเรียบง่ายและทันสมัยเข้ากับเสน่ห์ทางประวัติศาสตร์ของย่านเจริญกรุง มีการออกแบบเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ด้วยจุดเด่นที่เน้นความสะดวกสบาย การมีส่วนร่วมในกิจกรรม และประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ตอบโจทย์ทุกกลุ่มลูกค้า มีแรงบันดาลใจมาจากความต้องการที่จะรวมเสน่ห์ของย่านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์เข้ากับประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัยและแปลกใหม่เข้าด้วยกัน และย่านเจริญกรุง ถือเป็นทำเลศักยภาพที่มีทั้งนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ สามารถผสมผสานความเก่าแก่ที่เป็นเอกลักษณ์และความทันสมัยได้อย่างน่าสนใจ           อีกทั้ง โดดเด่นด้วยร้านอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) ที่หลากหลาย มีโซนการศึกษา โซนส่งเสริมและดูแลสุขภาพ รวมถึงร้านชื่อดังต่างๆ อาทิ VE/la, Kowloon Diner, JIAN CHA, CHALACHOL BANGKOK, Peninsula Tailors และ Lumilux Clinic เป็นต้น อีกทั้งยังมีพื้นที่สำหรับการถ่ายรูป ทำแอคทิวิตี้ต่างๆ มากมาย นอกจากนี้ ยังจัดพื้นที่สำหรับกิจกรรมที่เน้นการเชื่อมโยงกับชุมชน เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างคนในพื้นที่ มุ่งมั่นสร้างงานให้กับชุมชน สนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่นด้วยการเปิดโอกาสให้ธุรกิจขนาดเล็กในพื้นที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ รวมถึงการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมศิลปะ วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว เช่น ตลาดศิลปะและกิจกรรมสร้างสรรค์ต่างๆ อีกทั้ง เล็งแผนพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วยการจัดอีเวนต์พิเศษ เช่น นิทรรศการศิลปะ เทศกาลอาหาร และกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ ต่อยอดพัฒนาพื้นที่ไฮไลต์ใหม่ๆ เพื่อคงความน่าสนใจในระยะยาว           “โครงการโคฟ ฮิลล์ (Cove Hill) นับเป็นอีกหนึ่งโครงการไฮไลต์ของ BC ในปี 2567 ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในโมเดลธุรกิจ BOS ตั้งแต่การเลือกทำเลที่โดดเด่นใจกลางเมืองบนถนนเจริญกรุง มีอัตราผู้เช่าในระดับสูง อีกทั้งยังสามารถขายเงินลงทุนในโครงการดังกล่าวได้ในสัดส่วน 50% ตั้งแต่ยังไม่เปิดตัว จากความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของโครงการ ซึ่งโครงการนี้ บริษัทฯ หวังเป็นพื้นที่ในการยกระดับชุมชนในย่านเจริญกรุง และหนุนรายได้เติบโตในส่วนของงานดำเนินการ (Operate) อย่างแข็งแกร่งได้ในอนาคต” นายปรับ กล่าวปิดท้าย

DSI ชี้ PTT-OR อยู่ในขั้นสืบสวน ยันเอกสารที่เผยแพร่สื่อ ไม่ใช่ของ DSI

DSI ชี้ PTT-OR อยู่ในขั้นสืบสวน ยันเอกสารที่เผยแพร่สื่อ ไม่ใช่ของ DSI

BGC บุ๊คกำไร 9 เดือน อยู่ที่ 227 ลบ. มั่นใจปีนี้ผลงานตามเป้า

BGC บุ๊คกำไร 9 เดือน อยู่ที่ 227 ลบ. มั่นใจปีนี้ผลงานตามเป้า

          หุ้นวิชั่น -  BGC ประกาศผลงานงวด 9 เดือนแรกปีนี้ ทำกำไรอยู่ที่ 227 ลบ. โต 2% จากงวดเดียวกันของปีก่อน มีรายได้ 10,640 ลบ. ลดลง 1%โดยรายได้จากการขายธุรกิจบรรจุภัณฑ์อื่น เติบโตถึง 20% ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบปรับลดลง การบริหารจัดการต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง พร้อมนำเสนอโซลูชั่นครบวงจร ครอบคลุมการออกแบบ การวิจัย และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า เน้นการสร้างความยั่งยืนในธุรกิจผ่านการออกแบบนวัตกรรมต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ตลาด ลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้า           นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วและบรรจุภัณฑ์อื่นแพคเกจจิ้งรายใหญ่ในไทยและภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทมีกำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 227 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ 223 ล้านบาท เนื่องจากราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลง การรักษาระดับกำไรและการบริหารต้นทุน รวมทั้งการขยายจากการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในกระบวนการผลิต โดยมียอดขายอยู่ที่ 10,640 ล้านบาท ลดลง 1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขาย 10,742 ล้านบาท  เป็นรายได้จากการขายกลุ่มบรรจุภัณฑ์แก้ว 8,642 ล้านบาท ลดลง 485 ล้านบาท หรือ 5% YoY มาจากปริมาณขายสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์โซดาและเครื่องดื่ม กลุ่มผลิตภัณฑ์แอลกอฮอลล์ และ รายได้จากการขายของธุรกิจบรรจุภัณฑ์อื่น จำนวน 2,175 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 363 ล้านบาท หรือ 20% โดยส่วนมากมาจากการขายเข้าซื้อกิจการบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อนในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2566 (BGC เข้าถือหุ้น 75% ในบริษัท ไพร์ม แพ็คเกจจิ้ง จำกัด) และธุรกิจซื้อมาขายไปบรรจุภัณฑ์พลาสติก (Trading)  หนุนรายได้จากการขายของธุรกิจบรรจุภัณฑ์อื่นเพิ่มขึ้น ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2567 รายได้จากการขาย 3,205 ล้านบาท ลดลง 6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยสาเหตุหลักมาจากความต้องการของกลุ่มสินค้าเครื่องดื่มลดลง ส่งผลให้บริษัทมีกำไรส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ 52 ล้านบาท ลดลง 33% YoY  สำหรับแนวโน้มไตรมาสสุดท้ายของปี  บริษัทฯ ได้รับปัจจัยบวกจากราคาวัตถุดิบและพลังงานปรับตัวลดลง โดยแผนธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้ว บริษัทฯ มีการคัดเลือกผลิตบรรจุภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรที่ดี เน้นให้ความสำคัญในการขยายตลาดส่งออก และ การหาลูกค้าใหม่ พร้อมกับการพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าและพฤติกรรมการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เปลี่ยนไปในอนาคต อย่างไรก็ดี ผลประกอบการทั้งปี 2567 บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้เติบโตจากปีก่อน แม้ว่าในปีนี้จะเป็นปีที่ท้าทาย เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าจึงส่งผลกระทบต่อการส่งออกของบริษัท ทำให้ได้รับเงินที่น้อยลง แต่ก็มีปัจจัยบวกจากต้นทุนพลังงานที่ไม่ผันผวนเหมือนช่วงที่ผ่านมา รวมถึงราคาโซดาแอซ ทำให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนการผลิตได้ จึงส่งผลดีต่ออัตรากำไรขั้นต้นอีกด้วย "ปีนี้มองว่าเป็นปีที่มีความท้าทาย จากการที่ค่าเงินบาทแข็งค่า ทำให้ส่งออกของเราได้รับผลกระทบ เพราะได้รับเงินในจำนวนที่ลดลง แต่ยังโชคดีในด้านของราคาพลังงาน และราคาวัตถุดิบอย่างโซดาแอซ ที่ไม่ผันผวน จึงทำให้สามารถบริหารจัดการได้ ตอนนี้เรายังคงเป้าหมายยอดขายที่โตกว่าปีก่อน"  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BGC กล่าว ทั้งนี้ บริษัทยังไม่มีแผนที่จะลงทุนใหม่เพิ่มขึ้น เนื่องจากต้องการที่จะมุ่งผลักดันการเติบโตในบริษัทที่บริษัทเข้าไปลงทุนได้แก่ บริษัท ไพร์ม แพ็คเกจจิ้ง จำกัด หรือ Prime ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์ พลาสติกชนิดอ่อนและม้วนฟิล์ม รวมถึงการที่บริษัทได้ร่วมกับบริษัท บางกอกกล๊าส จำกัดและบริษัท สิงห์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เข้าไปร่วมถือหุ้น 26% ในบริษัท บางกอกแคน แมนนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ซึ่งทำธุรกิจผลิตกระป๋อง เป็นการเพิ่มพอร์ตสินค้าของบริษัท รวมถึงบริษัทได้ศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมได้ ขณะเดียวกันกลุ่มบริษัทได้มีการทำสัญญาในข้อตกลง ที่จะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท บางกอกแคน แมนนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ได้ในอนาคต

เมืองไทยประกันชีวิต จัดอบรม Care Giver รุ่นที่ 4 สร้างทักษะดูแลผู้สูงอายุเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี

เมืองไทยประกันชีวิต จัดอบรม Care Giver รุ่นที่ 4 สร้างทักษะดูแลผู้สูงอายุเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี

          หุ้นวิชั่น -  เมืองไทยประกันชีวิต จับมือมูลนิธิเมืองไทยยิ้มและกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  ร่วมสร้างสังคมคุณภาพผู้สูงวัย พัฒนาบุคลากรเพื่อดูแลผู้สูงอายุให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมจัดอบรม โครงการ “การอบรมหลักสูตรดูแลผู้สูงอายุ Care Giver  รุ่นที่ 4”  หลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุขั้นเบื้องต้น จำนวน 18 ชั่วโมง เพื่อตอบรับสถานการณ์การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทย           นายสาระ ล่ำซำ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เมืองไทยประกันชีวิต สานต่อโครงการอบรมหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุขั้นเบื้องต้น รุ่นที่ 4            ณ อาคาร CSR ศูนย์การเรียนรู้สรรค์สาระ จังหวัดราชบุรี  โดยในครั้งนี้ได้จัดการอบรมให้แก่บุคลากรในองค์กรที่เกี่ยวข้อง  อาทิ พนักงานดูแลความสะอาด  พนักงานดูแลสวน และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) จำนวน 53 คน เพื่อพัฒนาทักษะและความรู้ในการดูแลผู้สูงอายุในบ้านและชุมชน ซึ่งมีความสำคัญต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยของผู้สูงวัยในสังคมไทยที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ การอบรมครั้งนี้ประกอบด้วยการเรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติรวม 18 ชั่วโมง โดยเนื้อหาหลักสูตรมุ่งเน้นให้ผู้เข้าอบรมได้รับความรู้เข้าใจในหลักการพื้นฐานของการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพใจของผู้สูงอายุ ทั้งนี้หลักสูตรได้รับการรับรองจากกรมกิจการผู้สูงอายุและจัดหาวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้ผู้เข้าร่วมอบรมสามารถเรียนรู้ทักษะที่จำเป็น อาทิ การให้ความรู้และแนะนำอาหารโภชนาการสำหรับผู้สูงอายุที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุแต่ละกลุ่ม รวมถึงการรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะและมีโภชนาการที่ดีต่อผู้สูงอายุ การส่งเสริมความรู้ด้านสุขภาพแบบองค์รวม โดยให้ความรู้เกี่ยวกับรูปแบบวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสมและถูกต้องสำหรับผู้สูงอายุ และการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในผู้สูงอายุและการดูแลสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยและสนับสนุนให้ผู้สูงวัยมีความสุขในวัยเกษียณ การอบรมนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสังคมในภาพรวม เพราะเมื่อมีผู้ที่เข้าใจและมีทักษะในการดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น จะสามารถลดภาระในการดูแลและเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้สูงอายุในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังช่วยส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และการสร้างเครือข่ายผู้ดูแลที่สามารถให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดความเข้มแข็งในชุมชน  โดยผู้เข้าอบรมจะได้รับความรู้และทักษะในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น  ตลอดจนการสร้างให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลอย่างปลอดภัยในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมต่อ      การดำรงชีวิต สำหรับที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้จัดการอบรม หลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุเบื้องต้น จำนวน 18 ชั่วโมง  จำนวน  3 รุ่น   ได้แก่ รุ่นที่ 1 จัดขึ้นในวันที่ 7-8 ตุลาคม 2566 สำหรับผู้บริหาร พนักงาน ของบริษัทฯ         ณ สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ  และรุ่นที่ 2 จัดขึ้นในวันที่ 29-30 พฤศจิกายน 2566 สำหรับประชาชนทั่วไป ณ ศูนย์การเรียนรู้สรรค์สาระ เมืองไทยประกันชีวิต จ.ราชบุรี  และรุ่นที่ 3 จัดขึ้นในวันที่ 3-4 กุมภาพันธ์ 2567 สำหรับสื่อมวลชน เพื่อสร้างความรู้และตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลผู้สูงอายุอย่างถูกวิธีและมีคุณภาพซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้เข้าอบรมอย่างมาก           “บริษัทมุ่งมั่นในการสนับสนุนการดูแลผู้สูงอายุอย่างเต็มความสามารถ ด้วยความเชื่อมั่นว่าความรู้และทักษะที่ผู้เข้าร่วมอบรมได้รับในครั้งนี้ จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัย และสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนและสังคมไทยโดยรวม เราจะเดินหน้าจัดกิจกรรมที่เป็นประโยชน์อย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งต่อคุณค่าและความห่วงใยสู่ทุกครอบครัวไทย”  นายสาระกล่าวสรุป

ธปท.เผย เศรษฐกิจไทยตุลาคม 2567 ฟื้นตัวดี การท่องเที่ยว-บริโภคเอกชนหนุนภาพรวม

ธปท.เผย เศรษฐกิจไทยตุลาคม 2567 ฟื้นตัวดี การท่องเที่ยว-บริโภคเอกชนหนุนภาพรวม

หุ้นวิชั่น -  ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานเศรษฐกิจไทยในเดือนตุลาคม 2567 ปรับตัวดีขึ้น จากรายรับภาคการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องและการบริโภคภาคเอกชนที่ได้รับแรงหนุนจากมาตรการเงินโอน 10,000 บาท อย่างไรก็ตาม ตลาดแรงงานยังเปราะบางในบางภาคส่วน และปัญหาเชิงโครงสร้างยังคงกดดันเศรษฐกิจในระยะยาว เศรษฐกิจไทยในเดือนตุลาคมปรับดีขึ้นจากเดือนก่อน จากรายรับภาคการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ประกอบกับการบริโภคภาคเอกชนปรับดีขึ้น ส่วนหนึ่งได้รับผลดีจากมาตรการเงินโอน 10,000 บาท สอดคล้องกับกิจกรรมในภาคการค้าที่เพิ่มขึ้น ด้านการผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้นตามการส่งออกที่ไม่รวมรถยนต์และอุปสงค์ในประเทศที่ปรับดีขึ้น สำหรับการใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวจากทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุน อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจในบางภาคส่วนยังชะลอตัวจากปัญหาเชิงโครงสร้างและความสามารถในการแข่งขันที่ด้อยลง เสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนตามหมวดพลังงานจากผลของฐานต่ำในปีก่อนที่มีมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ อย่างไรก็ดี หมวดอาหารสดลดลงจากราคาผักตามผลผลิตที่เพิ่มขึ้นหลังปัญหาน้ำท่วมคลี่คลาย สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานทรงตัว โดยหมวดอาหารปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่หมวดที่ไม่ใช่อาหารปรับลดลง ด้านดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลใกล้เคียงเดือนก่อน โดยดุลการค้าเกินดุลลดลงจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ดุลบริการ รายได้ และเงินโอน ขาดดุลลดลง จากการส่งกลับกำไรที่ลดลงหลังเร่งไปในเดือนก่อนหน้า ด้านตลาดแรงงานปรับแย่ลงจากการจ้างงานในภาคบริการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว อาทิ ภาคการค้า และก่อสร้าง สอดคล้องกับสัดส่วนผู้ขอรับสิทธิว่างงานรายใหม่ต่อจำนวนผู้ประกันตนรวมที่ปรับเพิ่มขึ้น           รายละเอียดของภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนตุลาคม 2567 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน มีดังนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ขจัดปัจจัยฤดูกาลแล้วทรงตัวจากเดือนก่อน โดยนักท่องเที่ยวมาเลเซียและจีนชะลอลงส่วนหนึ่งจากปัจจัยในประเทศ ขณะที่นักท่องเที่ยวหลายสัญชาติ อาทิ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และนักท่องเที่ยวระยะยาว (long-haul) โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และเยอรมนี ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้รายรับภาคการท่องเที่ยวที่ขจัดปัจจัยฤดูกาลแล้วเพิ่มขึ้นตามจำนวน นักท่องเที่ยวพำนักในไทยสะสม ที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มยุโรป รวมถึงค่าใช้จ่ายต่อวันที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชนที่ขจัดปัจจัยฤดูกาลแล้วเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนในทุกหมวด ส่วนหนึ่งเป็นผลจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ (เงินโอน 10,000 บาท) โดยการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นใน 1) หมวดสินค้าไม่คงทน จากปริมาณการใช้น้ำมันและยอดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะเครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว และยาสูบ 2) หมวดสินค้าคงทน ตามยอดจดทะเบียนรถจักรยานยนต์และยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคล 3) หมวดสินค้ากึ่งคงทน จากปริมาณการนำเข้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม โดยเฉพาะเสื้อผ้า และ 4) หมวดบริการ จากหมวดโรงแรมและภัตตาคาร สอดคล้องกับจำนวนนักท่องเที่ยวไทยและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐและความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมที่ลดลง ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ขจัดปัจจัยฤดูกาลแล้วเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน โดยเพิ่มขึ้นจากหมวด 1) เคมีภัณฑ์ ตามการผลิตยา 2) เครื่องใช้ไฟฟ้า สอดคล้องกับการส่งออกเครื่องปรับอากาศที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับอุปสงค์เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนเพิ่มขึ้นจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจและการซื้อทดแทนหลังน้ำท่วมคลี่คลาย และ 3) หมวดอาหารและเครื่องดื่ม จากอาหารสัตว์สำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์นม อย่างไรก็ตาม การผลิตลดลงในบางหมวด อาทิ ปิโตรเลียม จากปริมาณสินค้าคงคลังที่อยู่ในระดับสูง และแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน ตามการส่งออกที่ชะลอลง มูลค่าการส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำที่ขจัดปัจจัยฤดูกาลแล้วทรงตัวจากเดือนก่อน โดยเพิ่มขึ้นในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ ตามการส่งออกหม้อแปลงไฟฟ้าไปยังทวีปอเมริกาเหนือ และหมวดอิเล็กทรอนิกส์ ตามการส่งออกฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ไปยังตลาดอาเซียน ขณะที่การส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าเกษตรแปรรูปลดลง หลังปัญหาการขาดแคลนอุปทานของประเทศคู่ค้าคลี่คลายต่อเนื่อง โดยเฉพาะการส่งออกน้ำมันปาล์มและยางไปอินเดีย และน้ำตาลไปกัมพูชา รวมถึงหมวดยานยนต์ลดลงตามการส่งออกรถยนต์นั่งและรถกระบะไปยังตลาดอาเซียนและออสเตรเลีย มูลค่าการนำเข้าสินค้าไม่รวมทองคำที่ขจัดปัจจัยฤดูกาลแล้วเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ในทุกหมวดจาก 1) วัตถุดิบและสินค้าขั้นกลาง ตามปริมาณการนำน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมนำเข้า รวมทั้งการนำเข้าชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าจากไต้หวัน 2) สินค้าอุปโภคและบริโภค ตามการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าและโทรศัพท์มือถือจากจีน รวมถึงผลิตภัณฑ์เภสัชกรรม และ 3) สินค้าทุนไม่รวมเครื่องบิน ตามการนำเข้าเครื่องจักรและเครื่องอุปกรณ์จากญี่ปุ่นและจีน เครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชนที่ขจัดปัจจัยฤดูกาลแล้วเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนในทุกหมวดหลัก โดยการลงทุนด้านเครื่องจักรและอุปกรณ์ปรับเพิ่มขึ้นตาม 1) การนำเข้าสินค้าทุน โดยเฉพาะหมวดเครื่องจักร เครื่องมือที่ใช้ในงานทั่วไป มอเตอร์ไฟฟ้า และเรือ 2) ยอดจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ในประเทศ จากเครื่องจักรและเครื่องมือทั่วไป และ 3) ยอดจดทะเบียนรถยนต์เชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นตามรถแทรกเตอร์ สำหรับการลงทุนด้านการก่อสร้างปรับเพิ่มขึ้นจากยอดจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง ได้แก่ อิฐบล็อก ซีเมนต์ และพื้นสำเร็จรูปคอนกรีต รวมถึงพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างปรับดีขึ้นจากพื้นที่ฯ เพื่อที่อยู่อาศัยและเพื่ออุตสาหกรรมและโรงงาน   การใช้จ่ายภาครัฐที่ไม่รวมเงินโอนขยายตัวเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน จากทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุนของรัฐบาลกลาง โดยรายจ่ายประจำขยายตัวตามการเบิกจ่ายค่าจัดการเรียนการสอนของหน่วยงานด้านการศึกษา และการเบิกจ่ายเงินบำเหน็จ บำนาญ และค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ ด้านรายจ่ายลงทุนขยายตัวสูงจากการเบิกจ่ายโครงการลงทุนของหน่วยงานด้านคมนาคมและด้านการศึกษา สำหรับรายจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจขยายตัวจากการเบิกจ่ายในโครงการด้านการสื่อสารและสาธารณูปโภค ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนตามหมวดพลังงานจากผลของฐานต่ำในปีก่อนที่มีมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ ขณะที่หมวดอาหารสดลดลงจากราคาผักตามผลผลิตที่เพิ่มขึ้นหลังปัญหาน้ำท่วมคลี่คลาย สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานทรงตัว โดยราคาอาหารปรับสูงขึ้น  แต่ราคาของใช้ส่วนตัวปรับลดลง ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลใกล้เคียงกับเดือนก่อน โดยดุลการค้าเกินดุลลดลงจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ดุลบริการ รายได้ และเงินโอน ขาดดุลลดลง จากการส่งกลับกำไรที่ลดลงหลังเร่งไปในเดือนก่อนหน้า ตลาดแรงงานปรับแย่ลงจากการจ้างงานในภาคบริการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว อาทิ ภาคการค้า ยานยนต์ และก่อสร้าง สอดคล้องกับสัดส่วนผู้ขอรับสิทธิว่างงานรายใหม่ต่อจำนวนผู้ประกันตนรวมที่ปรับเพิ่มขึ้น           ด้านการระดมทุนของภาคธุรกิจโดยรวมลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน ตามการระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ พลังงาน และการค้า ขณะที่การระดมทุนผ่านตลาดทุนเพิ่มขึ้นจากธุรกิจขนส่ง รวมถึงการระดมทุนผ่านสินเชื่อภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม และร้านอาหาร สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนตุลาคม 2567 เฉลี่ยอ่อนค่าลงตามความไม่แน่นอนของขนาดการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ รวมทั้งความไม่แน่นอนของการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ที่กำลังจะเกิดขึ้น

TNPสยายปีกสาขาใหม่ ค้าปลีก-ของขวัญดันยอด

TNPสยายปีกสาขาใหม่ ค้าปลีก-ของขวัญดันยอด

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน TNP เล็งสยายปีกสาขาใหม่ 5 แห่ง อัพยอด จากปัจจุบันที่ 49 แห่ง แม่ทัพหญิง “อมร พุฒิพิริยะ” เร่งเครื่องดันผลงานปี 68 โตไม่ต่ำกว่า 10%  ฟากโบรกชี้แรงหนุนไฮซีซั่น กลุ่มค้าปลีกของขวัญพายอดพุ่ง แถมนักท่องเที่ยวไหลเข้าเพียบ เคาะพื้นฐาน 5.45 บาท               ภญ.อมร พุฒิพิริยะ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP เปิดเผยในงาน Opportunity Day บริษัทจดทะเบียนพบปะผู้ลงทุนและนักวิเคราะห์เพื่ออธิบายเกี่ยวกับภาพรวมธุรกิจผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567 รวมถึงแนวโน้มกิจการในอนาคต ว่า แผนการขยายุรกิจปี 2568 บริษัทมีแผนจะขยายสาขาเพิ่มอีก 5 สาขา และรีโนเวทสาขาเก่าให้มีความโมเดิร์น และทันสมัยตอบโจทย์การจำหน่ายสินค้าให้กับลูกค้า ขณะที่แนวโน้มยอดขายในปี 2568 คาดจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% โดยการเติบโตจะมาจากการขายสาขา และยอดขายสาขาเดิม SSSG (Same-Store Sales Growth)             ปัจจุบันบริษัทมีสาขาให้บริการครอบคลุม 3 จังหวัด ประกอบไปด้วย จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ และพะเยา จำนวนสาขาที่ 49 สาขา พื้นที่ให้บริการ 17,400 ตารางเมตร โดยรูปแบบให้บริการจำหน่ายสินค้ามีทั้งค้าผลีก และค้าส่ง รวมถึงการเป็นศูนย์กระจายสินค้าให้กับซัพพลายเออร์ 2 ราย             นอกจากนี้ยังได้จำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ โดยดำเนินธุรกิจมาแล้ว 2-3 ปี สำหรับสาขาทั้งหมด 49 สาขา แบ่งเป็น ค้าปลีก จำนวน 48 สาขา และขายส่ง 1 สาขา และกระจายอยู่ในจังหวัดเชียงราย 29 สาขา เชียงใหม่ 4 สาขา และพะเยา 6 สาขา             สำหรับสินค้าของ TNP แบ่งออกเป็น 5 หมวด ได้แก่ สินค้ากลุ่มอุปโภค บริโภค กลุ่มสินค้าใช้ในบ้าน กลุ่มเครื่องดื่ม กลุ่มสินค้าเด็ก และกลุ่มเครื่องสำอาง และมีซัพพลายเออร์อยู่ 400 ราย สินค้าวางจำหน่ายในสาขามากกว่า 15,000 SKU โดยยอดขายจากทุกหมดวสินค้ามีแนวโน้มการเติบโตทีดี ส่วนสินค้าประเภทกิ๊ปช็อปมีแนวโน้มยอดขายที่ดีเช่นเดียวกัน และมีผลกำไรน่าพอใจ บริษัทอยู่ระหว่างการนำสินค้าเข้ามาจำหน่ายเพิ่มเติม             ส่วนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปี 2568 บริษัทจะทำการตลาด และคัดเลือกสินค้าให้ตรงกับความต้องการผู้บริโภค เพื่อเพิ่มยอดขาย รวมถึงผลักดันยอดขาย SSSG ให้เติบโตเพิ่มขึ้น ซึ่งยังกลยุทธ์ดังกล่าวยังเป็นกลยุทธ์หลักในการดำเนินธุรกิจของ TNP             ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด มองแนวโน้ม TNP 4Q67 จะเติบโตอย่างโดดเด่นหนุน 4 ปัจจัยบวก คือ 1.High Season ช่วงกลุ่มค้าปลีกซึ่งจะได้รับแรงหนุนจากการจับจ่ายใช้สอยในสินค้ากลุ่มของฝากและของขวัญ ,2.การผ่านพ้นของอุทกภัยใหญ่ในพื้นที่ทางภาคเหนือและเงินช่วยเหลือจากทางภาครัฐจะหนุนยอดขายสินค้าในกลุ่มทำความสะอาดให้เพิ่มสูงขึ้น ,3.จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดจะเดินทางท่องเที่ยวในโซนภาคเหนือเพิ่มขึ้น และ 4.การบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพจะหนุนอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทให้ทรงตัวอยู่ในระดับสูงได้          คงคาดกำไรสุทธิ ปี 67 ที่ 180 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.9% YoY ผลจากภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่องจาก ปี 66 ส่งผลให้คาด รายได้จากการขาย เพิ่มขึ้น 7.0% YoY และคาดกำไรสุทธิ ปี 68 ที่ 186 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.4% YoY บนสมมุติฐาน การเติบโตของรายได้จากการขาย เพิ่มขึ้น 3.0% YoY ตามการเปิดสาขาใหม่ พร้อมประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 68 ที่ 5.45 บาท (บนสมมุติฐาน ค่าเฉลี่ย PE ในอดีตที่ 23.40 เท่า)

QTC รับรางวัลเกียรติคุณ Sustainability Disclosure Award 2024

QTC รับรางวัลเกียรติคุณ Sustainability Disclosure Award 2024

หุ้นวิชั่น -  บริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ QTC ผู้ผลิตและจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้าตามคำสั่งซื้อของลูกค้า (Made to Order) ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึงการให้บริการซ่อม บำรุงรักษาหม้อแปลงไฟฟ้า โดยมีนางสาวภคณัฏฐ์ ตั้งตระกูล เลขานุการบริษัท เป็นตัวแทนเข้ารับ “รางวัลการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน หรือ Sustainability Disclosure Award 2024” ซึ่งจัดโดยสถาบันไทยพัฒน์ จากนายวรณัฐ เพียรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์ โดย QTC ดำเนินธุรกิจยึดหลักความยั่งยืนที่ประกอบด้วยสิ่งแวดล้อม สังคมและการกำกับดูแลกิจการ (Environmental, Social, and Governance: ESG) ตามหลักในการวางรากฐานความยั่งยืนและมั่นคง เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับบริษัทฯในระยะยาว ซึ่งรางวัลในครั้งนี้ สะท้อนถึงการให้ความสำคัญต่อผู้มีส่วนได้เสียรอบด้าน ภายใต้การเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนอย่างโปร่งใส สอดรับกับวัตถุประสงค์ที่ส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนและองค์กรธุรกิจที่เป็นสมาชิกของประชาคมการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน (Sustainability Disclosure Community: SDC) โดย QTC เป็นหนึ่งในองค์กรเข้ารับรางวัล จาก 167 ราย แสดงถึงศักยภาพในการขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน

MGTกางแผนM&Aเสริมฐาน-ยอดโต 20%

MGTกางแผนM&Aเสริมฐาน-ยอดโต 20%

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน MGT ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 20% ในปี 68 บอสใหญ่ “วิทยา อินาลา”คงNet Profit Margin ใกล้เคียงปีนี้ บริหารต้นทุนอยู่หมัด เล็งร่วมมือพันธมิตรพัฒนาสินค้าใหม่ เดินเกม M&A เคมีภัณฑ์อาหารเสริมฐาน             ดร.วิทยา อินาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมกาเคม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGT เปิดเผยในงาน Opportunity Day บริษัทจดทะเบียนพบปะผู้ลงทุนและนักวิเคราะห์เพื่ออธิบายเกี่ยวกับภาพรวมธุรกิจผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567 รวมถึงแนวโน้มกิจการในอนาคต ว่า ปี 2568 บริษัท MGT ขออนุมัติจากคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) เพื่อผลักดันยอดขายให้เติบโต 20% จากปี 2567 และมุ่งรักษาอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ให้ใกล้เคียงกับปีนี้ หากพิจารณาจากผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 จะพบว่า MGT มีการเติบโตทั้งในแง่ของกำไรและยอดขาย เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยบริษัทยังคงติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ พร้อมทั้งเตรียมแผนการรับมือและป้องกันความเสี่ยงอย่างรอบคอบ           บริษัทมุ่งมั่นที่จะพัฒนาธุรกิจต่อเนื่อง โดยเฉพาะการตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมทั้งยืนยันในการให้บริการที่มีคุณภาพสูงสุดเพื่อสร้างความไว้วางใจและความมั่นใจให้กับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อเพิ่มโอกาสและผลกำไรอย่างต่อเนื่อง           อย่างไรก็ตาม ปี 2568 อาจเป็นปีที่ท้าทายเนื่องจากสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศ รวมถึงการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ในเดือนมกราคม ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการค้าขายทั่วโลก แต่ MGT ยืนยันว่าจะเตรียมความพร้อมในการดำเนินธุรกิจเพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว           ในการกำหนดกลยุทธ์การเติบโตในปี 2568 บริษัทมีกลยุทธ์หลัก 2 รูปแบบ ได้แก่ การเติบโตแบบ Organic Growth หรือการเติบโตจากภายในโดยไม่พึ่งพาการเข้าซื้อกิจการหรือการขยายธุรกิจผ่านพันธมิตรภายนอก และการเติบโตจากแนวโน้มตลาดใหม่ เช่น การจำหน่ายสินค้าตามนโยบายการลดคาร์บอน ซึ่งเป็นการเติบโตที่สอดคล้องกับเทรนด์ของการลดคาร์บอนฟุตปริ๊นท์และการรักษาความปลอดภัยตามกฎระเบียบในระดับโลก มีสินค้าหลากหลายประเภทเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างครบวงจร โดยในปี 2568 บริษัทเตรียมร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในการพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์การเติบโตของตลาดและเพิ่มความหลากหลายในการให้บริการ ทั้งนี้ บริษัทมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจ และเสริมสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง           ขณะที่การเติบโตแบบ Inorganic Growth ซึ่งหมายถึงการเติบโตที่มาจากการเข้าซื้อกิจการ (M&A) หรือการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ เพื่อขยายขีดความสามารถและเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และบริการ           MGT ตั้งเป้าหมายการขยายธุรกิจผ่านการเข้าซื้อกิจการ (M&A) โดยมุ่งเน้นที่ขนาดธุรกิจหรือรายการที่มีมูลค่าระหว่าง 300-500 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างการเติบโตในระยะยาว ปัจจุบัน MGT มีผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเคมีภัณฑ์ที่ครอบคลุมครบวงจรแล้ว แต่ยังขาดการลงทุนในกลุ่มธุรกิจอาหาร ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตในอนาคตของบริษัท

TQR ชูประกันภัยต่อ Personal Accident and Health-Cyber ดาวเด่น

TQR ชูประกันภัยต่อ Personal Accident and Health-Cyber ดาวเด่น

          หุ้นวิชั่น -  บมจ.ที คิว อาร์ (TQR) ประเมินแนวโน้มผลงานไตรมาส 4/67 ไปได้สวย ชูประกันภัยต่อ Personal Accident and Health-Cyber-D&O-EV ดาวเด่น เดินหน้าพัฒนาประกันภัยต่อรูปแบบใหม่ร่วมกับบริษัทประกันภัยชั้นนำ โดยนำเทคโนโลยีมาประมวลผลข้อมูล วิเคราะห์ความเสี่ยง พร้อมขยายเครือข่ายลูกค้า สร้างพันธมิตรใหม่ ขณะที่ บริษัทร่วมทุน อัลฟ่าเซคฯ และ อาร์สแควร์ฯ ลุยเจรจาลูกค้าใหม่ต่อเนื่อง มั่นใจผลงานปีนี้เติบโตโดดเด่น   นายชนะพันธุ์ พิริยะพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที คิว อาร์ จำกัด (มหาชน) (TQR)  เปิดเผยว่า แนวโน้มผลงานไตรมาส 4/2567 ยังมีทิศทางที่ดี เนื่องจากบริษัทฯ มีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาพัฒนาให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ เช่น การประมวลผลข้อมูล การวิเคราะห์ความเสี่ยง ที่สามารถนำเสนอบริการและเข้าถึงลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจประกันภัยต่อ “เรามั่นใจว่า ในไตรมาส 4 ปีนี้ TQR จะสามารถทำผลงานออกมาได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยต่อร่วมกับบริษัท ทีคิวเอ็ม อัลฟา จำกัด (มหาชน) (TQM) และบริษัทประกันภัยชั้นนำ ทั้ง ประกันภัยต่อสุขภาพและอุบัติเหตุส่วนบุคคล (Personal Accident and Health), ประกันภัยไซเบอร์ (Cyber), ประกันภัยความรับผิดของกรรมการและเจ้าหน้าที่บริหาร (Directors and Officers), ประกันภัยต่อการก่อการร้ายและภัยทางการเมือง (Political Violence), ประกันภัยที่อยู่อาศัย รวมทั้ง ประกันรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเป็นช่วง High Season ที่ผู้บริโภคมีการทำประกัน เพื่อนำไปใช้ในการลดหย่อนภาษี หรือเป็นรอบอายุของการทำประกัน จึงส่งผลต่อการทำประกันภัยต่อของบริษัทประกันภัยเพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยง จึงเชื่อมั่นว่า การดำเนินธุรกิจตามแผนงานที่วางไว้พร้อมกับการปรับกลยุทธ์ให้ทันต่อสถานการณ์ จะส่งผลให้ผลงานในปีนี้เติบโตได้อย่างแน่นอน” นายชนะพันธุ์กล่าว นางยุพเรศ พิริยะพันธุ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที คิว อาร์ จำกัด (มหาชน) (TQR) กล่าวว่า ในส่วนของบริษัทร่วมทุนทั้ง 2 บริษัท ประกอบด้วย “บริษัท อัลฟ่าเซค จำกัด” โดย TQR ถือหุ้นในสัดส่วน 30% เพื่อประกอบธุรกิจประกันภัยไซเบอร์ ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ช่วยลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ มีการนำ AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ โดยการวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อน เพื่อเสนอแนะวิธีการแก้ปัญหาที่แม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น และเป็นก้าวที่สำคัญในการยกระดับคุณภาพและขยายขีดความสามารถของการบริการประกันภัยไซเบอร์ พร้อมกันนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะขยายไปยังกลุ่มลูกค้ารายใหม่ เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมประกันภัยที่มีศักยภาพการเติบโตสูง อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรม Healthcare กลุ่มธุรกิจ Payment และ Merchant ขนาดใหญ่ เป็นต้น ขณะเดียวกัน ธุรกิจให้บริการ (Service) ของบริษัทร่วมทุน “บริษัท อาร์สแควร์ จำกัด” ได้มีการปรับปรุงระบบและบริการ ผ่านการ Upgrade และพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้มีความทันสมัยและสะดวกมากยิ่งขึ้นกับผู้ใช้งาน เพื่อที่จะเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้ให้มั่นคง ปัจจุบันมีลูกค้าใช้บริการแล้วจำนวน 4 ราย และอยู่ระหว่างการเจรจาเพิ่มเติมอีกหลายราย ส่วนแผนการเข้าลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักในรูปแบบ M&A ยังอยู่ระหว่างการเข้าศึกษาความเป็นไปได้ทางธุรกิจ อนึ่ง ภาพรวมผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนปี 2567 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567) บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 77.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 71.32 ล้านบาท และมีรายได้รวมอยู่ที่ 195.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 185.17 ล้านบาท ขณะที่ ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567 มีกำไรสุทธิ 22.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.95% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 19.41 ล้านบาท และมีรายได้รวมอยู่ที่ 59.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.64% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 55.44 ล้านบาท

โบรก แนะหุ้นเด่นรับแผนกลยุทธ์ตลท. 3 ปี  โอกาสโต-ธีม CARBON มาแรง!

โบรก แนะหุ้นเด่นรับแผนกลยุทธ์ตลท. 3 ปี โอกาสโต-ธีม CARBON มาแรง!

หุ้นวิชั่น -  บล.เอเชียพลัส หาหุ้นเด่น รับแผนกลยุทธ์ตลาดหลักทรัพย์ ปี 2568 - 2570 อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์วางแผนยุทธศาสตร์ 3 ปี (2568-2570) เน้น 3 ด้าน คือ 1. มุ่งมั่น เพื่อโอกาสการเติบโต 2. ร่วมพัฒนาเพื่อความทั่วถึง 3. สรรสร้างคนและอนาคต กับ โครงการ FLAGSHIP PROJECT 1. JUMP+ 2. BOND CONNECT 3. CARBON ECOSYSTEM รายละเอียดดังภาพทางด้านล่าง           ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่าเป็นแผนระยะยาวที่ดี อย่าง JUMP+ คาดจะช่วยหนุนหุ้นพื้นฐาน ดีที่ถูกทิ้งไว้ด้านหลัง ได้รับความสนใจและมีมูลค่าเพิ่มได้ ส่วน BOND CONNECT กับ CARBON ECOSYSTEM ช่วยเพิ่มขนาดตลาด และผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย ขึ้น ผนวกกับการหนุนให้เกิดการ CROSS SELLING ที่ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น ฝ่ายวิจัยฯ ทำการศึกษา พบว่า ในดัชนี SET100 มีหุ้นถึง 34 บริษัทที่ PBV< 1 JUMP+ หุ้นใน SET100 มีถึง 34 บริษัท PBV ต่ำ 1 ที่มา: SET, สายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส (ณ 28/11/24)           ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ จึงค้นหาหุ้นเด่น รับแผนกลยุทธ์ตลาดหลักทรัพย์ ปี 68 – 70 คือ หุ้นพื้นฐานดี PBV ถูก ราคาหุ้นในปีนี้ย่อตัวลงมาลึก IRPC,PTTGC, BANPU, TOP, BBL, BCPG, SCC, AP, KKP, QH, BJC, PTT, HANA, SJWD           หุ้นเด่นรับธีม CARBON ECOSYSTEM : STA, THCOM, GUNKUL, TPCH, WHAUP, GPSC, DITTO

BBGI ปิดดีลซื้อหุ้น BBGI-BI ครบ 100%  รองรับดีมานด์กลุ่มบางจาก

BBGI ปิดดีลซื้อหุ้น BBGI-BI ครบ 100% รองรับดีมานด์กลุ่มบางจาก

          หุ้นวิชั่น -  BBGI ปิดดีลซื้อหุ้น BBGI-BI แล้วเสร็จ หนุนถือหุ้นสัดส่วน 100% จากเดิม 70% เพิ่มความคล่องตัวในการบริหารจัดการ Supply Chain Optimization ดันกำลังการผลิตตามสัดส่วนพุ่งทะยานแตะ 1,000,000 ลิตรต่อวัน จากเดิม 700,000 ลิตรต่อวัน รองรับความต้องการของกลุ่มบริษัทบางจากได้อย่างมีประสิทธิภาพ            นายกิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) (BBGI) เปิดเผยถึง ความสำเร็จการเข้าซื้อหุ้นสามัญในบริษัท บีบีจีไอ ไบโอดีเซล จำกัด (BBGI-BI) จากบริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) (UAC) และผู้ถือหุ้นเดิมของ BBGI-BI จำนวน 30% ของทุนจดทะเบียนซึ่งชำระเต็มมูลค่า โดยมีมูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น 370,500,000 บาท ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทฯ ถือหุ้นใน BBGI-BI ในสัดส่วน 70% ของทุนจดทะเบียน ภายหลังเข้าทำธุรกรรมแล้วเสร็จ บริษัทฯ จะถือหุ้น BBGI-BI ในสัดส่วน 100% ของทุนจดทะเบียน การเข้าซื้อหุ้นในครั้งนี้ เป็นไปตามกลยุทธ์ที่สำคัญของบริษัทฯ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของ BBGI ในฐานะผู้นำธุรกิจผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) ชั้นนำของประเทศไทย ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย BBGI-BI จะรองรับความต้องการการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพของกลุ่มบริษัทบางจาก ภายหลังบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ควบรวม บริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) หรือ BSRC ส่งผลให้มีความต้องการเชื้อเพลิงชีวภาพของกลุ่มบริษัทบางจากเพิ่มสูงขึ้น เพิ่มความคล่องตัวในการบริหารจัดการ Supply Chain Optimization ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้ง BBGI-BI เป็นธุรกิจที่ดีและมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นโรงงานผลิตไบโอดีเซลที่มีอัตราการใช้กำลังการผลิตและประสิทธิภาพการผลิตที่ดี สามารถบริหารจัดการวัตถุดิบและควบคุมต้นทุนให้อยู่ในระดับที่แข่งขันได้ สอดคล้องตามความต้องการของตลาด ถือเป็น flagship สำคัญของกลุ่มธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพของ BBGI “บริษัทฯ เล็งเห็นโอกาสในการเพิ่มศักยภาพการจัดหาไบโอดีเซลรองรับความต้องการของกลุ่มบริษัทบางจาก ได้เข้าซื้อหุ้น BBGI-BI เพิ่ม 30% ให้เต็ม 100% ซึ่งปัจจุบัน ทำธุรกรรมแล้วเสร็จ สนับสนุนกำลังการผลิตตามสัดส่วนพุ่งทะยานแตะ 1,000,000 ลิตรต่อวัน จากเดิม 700,000 ลิตรต่อวัน โดย ณ สิ้นกันยายน 2567 มีการใช้อัตรากำลังการผลิตเต็มกำลัง ทำให้ บริษัทฯ ถือหุ้นโรงงานไบโอเอทานอล และ ไบโอดีเซล ครบ 100% ทุกโรงงาน ตอกย้ำผู้นำธุรกิจผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) รายใหญ่ของประเทศ ที่มุ่งสู่ธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูง” นายกิตติพงศ์ กล่าว

RATCH ผลงานติดเครื่องวิ่งต่อ 36.00 บาท

RATCH ผลงานติดเครื่องวิ่งต่อ 36.00 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาด RATCH กำไรมีโอกาสเติบโต YoY ต่อเนื่องไปอีก 2 ไตรมาส **สรุปสาระสำคัญจากการประชุมนักวิเคราะห์** วานนี้ (28 พ.ย.) เราเข้าร่วมประชุมนักวิเคราะห์และมีมุมมองเป็นกลาง โดยมีสาระสำคัญดังนี้: 1) สำหรับโครงการโรงไฟฟ้า RG ที่มีกำหนดหมดอายุสัญญาในช่วงปี 2568-2570 บริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ รวมถึงธุรกิจอื่นในพื้นที่ดังกล่าวเพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ ในระยะยาว (โดยอาจเป็นการพัฒนาโรงไฟฟ้า IPP ใหม่ตามแผน PDP ฉบับใหม่หรือโครงการพลังงานหมุนเวียน รวมถึงการหาพันธมิตรเข้ามาลงทุนในธุรกิจที่เป็น S-Curve เช่น Data Center และการขายไฟฟ้าให้) 2) ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้เกี่ยวกับการเข้าลงทุนในธุรกิจพลังงานอื่นเพิ่มเติม เช่น LNG, ไฮโดรเจนสีเขียว และแอมโมเนียสีเขียว เป็นต้น 3) บริษัทฯ ยังมีแผนในการลงทุนในธุรกิจพลังงานและธุรกิจอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้การปรับขึ้นเงินปันผลรายปีจะยังไม่เกิดขึ้นในระยะสั้น **ปรับกำไรปี 2567-68 ขึ้นหลังส่วนแบ่งกำไรจาก Paiton สูงกว่าคาด** ปรับประมาณการปี 2567-68 ขึ้น 20% และ 15% เป็น 6,849 ล้านบาท (+54% YoY) และ 7,806 ล้านบาท (+14% YoY) ตามลำดับ จากการปรับสมมติฐานส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้า Paiton หน่วยที่ 3, 7 และ 8 (ขนาดรวม 742 MWe) ขึ้นเพื่อสะท้อน EAF ของโรงไฟฟ้าดังกล่าวที่สูงกว่าที่เราประเมินไว้ก่อนหน้า (ปรับขึ้นเป็น 70% จากเดิมที่ 65%, ในช่วง พ.ค. - ก.ย. โรงไฟฟ้า Paiton มี EAF เฉลี่ยอยู่ที่ราว 80%) ทั้งนี้เรา คาดเงินปันผลปี 2567-68 ที่ระดับ 1.60 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend Yield 5.2% **คาดกำไรปกติเติบโต YoY ได้ต่อเนื่องไปอีก 2 ไตรมาส** เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 4Q67 ที่ระดับ 1,400-1,600 ล้านบาท ลดลง QoQ หลังถูกกดดันจากปัจจัยฤดูกาลของโรงไฟฟ้า IPP และการปิดซ่อมบำรุงบางส่วนของโรงไฟฟ้าหงสาและโรงไฟฟ้า Paiton (ปิดซ่อมในช่วงปลาย 4Q67 - ต้น 1Q68) แต่คาดเติบโตเด่น YoY ได้ต่อเนื่องจากฐานที่ต่ำในปีก่อนหลังได้แรงหนุนจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้า Paiton ที่เข้าลงทุนใน 2Q67 และต้นทุนทางการเงินที่คาดลดลงจากการ Refinanced เงินกู้บางส่วนด้วยเงินสดที่ได้รับจากการออก Green Bond (ราว 4.0 พันล้านบาท, อัตราดอกเบี้ย 2.8-3.0%) หากมองไปช่วง 1Q68 คาดกำไรปกติมีโอกาสกลับมาเติบโตได้ทั้ง QoQ และ YoY จากจำนวนวันปิดซ่อมบำรุงของโรงไฟฟ้าหงสาที่ลดลงและค่าใช้จ่าย SG&A ที่ลดลงตามฤดูกาล รวมถึงการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้า Paiton แบบเต็มไตรมาส **ปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2568 ที่ 36.00 บาท/หุ้น... คงคำแนะนำ “ซื้อ”** ผลจากการปรับประมาณการขึ้นและการปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2568 ส่งผลให้ได้ราคาเหมาะสมใหม่ที่ 36.00 บาท/หุ้น มี Upside 16.1% โดยเรามองว่าหุ้นมีโอกาสเคลื่อนไหวได้ดีกว่าตลาดในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้าจาก 1) ผลประกอบการที่คาดเติบโต YoY ได้ต่อเนื่อง และ 2) คาดหุ้นมีโอกาสถูก Re-rating หลังเข้าสู่รอบของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดและกนง. (การปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลให้ Bond Yield ปรับตัวลง และทำให้นักลงทุนหันมาให้ความสนใจกับหุ้นที่มี Dividend Yield สูงมากขึ้น) จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

BCH ลูกค้าต่างชาติฟื้น ปี68กลับมาเด่น ชูเป้า 20.4 บ.

BCH ลูกค้าต่างชาติฟื้น ปี68กลับมาเด่น ชูเป้า 20.4 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาด BCH ปี 2568 โดดเด่น คลายปมประกันสังคม-ลูกค้าคูเวต  สรุปประเด็นสำคัญจากการประชุมนักวิเคราะห์วันที่ 28 พ.ย. 2567 ► บริษัทชี้แจงประเด็นเรื่องการพิจารณาปรับเปลี่ยนระบบเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) สำหรับโรคที่มีค่า Adjusted RW โดยจากเดิม 2 ปีที่ผ่านมา ถูกปรับลดลงเหลือ 7,200 บาทต่อ RW สำหรับงวดปี 2568 บริษัทแจ้งว่าทางคณะกรรมการที่พิจารณาร่วมกับทางประกันสังคมได้อนุมัติแล้ว โดยให้ยึดอัตรา 12,000 บาทต่อ RW ตลอดทั้งปี ซึ่งจะช่วยให้ผลประกอบการของกลุ่มโรงพยาบาลปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น และไม่ต้องกังวลว่าจะถูกปรับลดย้อนหลังอีก แต่สำหรับงวด 4Q67 ยังเป็นอัตราเก่า ซึ่งไม่มีผลย้อนหลัง ซึ่งทำให้ยังต้องรอปรับกับงบประมาณของ สปส.อีกครั้ง ► ประเด็นเรื่องลูกค้าคูเวตที่หายไป จากกรณีที่รัฐบาลปรับนโยบายส่งผู้ป่วยมารักษา โดยการระงับการสนับสนุนส่งต่อผู้ป่วยมายังประเทศไทย คาดว่าจะได้ข้อสรุปต้นปีหน้า บริษัทมั่นใจว่าจะเป็นหนึ่งในสามบริษัทที่ทางรัฐบาลคูเวตเลือก เมื่อพิจารณาจากการที่รัฐบาลมา ตรวจสอบ ส่วนการที่รัฐบาลคูเวตปรับนโยบายจากเดิมมีการส่งรักษาทุกโรคเป็นเฉพาะโรครุนแรง มองว่าไม่กระทบ เพราะทางบริษัทรับรักษาเฉพาะโรคซับซ้อนรุนแรงอยู่แล้ว สำหรับลูกค้าคูเวต ► บริษัทให้เป้าหมายการเติบโตรายได้ปี 2568 เติบโต double-digit (มากกว่า 10%) คาดว่า รายได้จากกลุ่มลูกค้าต่างชาติจะฟื้นตัว จากลูกค้าคูเวตจะกลับมาใช้บริการ คาดว่าสัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 20% จากปีนี้ที่อยู่ที่ 18% ► รพ.แห่งใหม่ที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างดำเนินการเป็นไปตามแผนของบริษัท สำหรับที่อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างจำนวน 2 แห่ง ได้แก่ 1) รพ.เกษมราษฎร์สุวรรณภูมิ 268 เตียง จะเริ่มก่อสร้างภายในปี 2568 และเปิดให้บริการในต้นปี 2570 2) รพ.เกษมราษฎร์ระยอง เริ่มก่อสร้างได้ในปี 2569 และเปิดให้บริการภายในปี 2571 ► วิเคราะห์มีมุมมองเป็นบวกจากการประชุม ประเด็นที่ สปส.พิจารณาปรับอัตราการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลสำหรับโรคที่มีค่า Adjusted RW > 2 ขึ้นมาเป็นอัตราเดิมที่ 12,000 บาทต่อหน่วย หรือ Adj RW คงที่เท่ากันตลอดทั้งปี แม้จะต่ำกว่าที่สมาคม รพ.เอกชนเสนอที่ 15,000 บาท แต่หากการันตีว่าจะไม่ถูกลดเงินลงอีกเหมือนปี 2565-2566 ที่โดนปรับลดลงมาเหลือเพียง 7,200 บาท จะส่งผลดีต่อ รพ.ที่รับประกันสังคมที่ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกปรับลดงบอีก ส่วนงวด 4Q67 ที่อาจต้องบันทึกในอัตราเดิม บริษัทเคยแจ้งแล้ว และเรานับรวมในประมาณการแล้ว ขณะที่ปี 2568 เราประมาณการรายได้ที่ 12,343 ล้านบาท +5% YoY และกำไรปกติที่ 1,632 ล้านบาท เติบโต 9% YoY ซึ่งประมาณการของเราค่อนข้างอนุรักษ์นิยมต่ำกว่าเป้าหมายของบริษัทที่ตั้งไว้ว่าจะเติบโต double-digit ซึ่งเรามองว่ามี Upside Risk ในการปรับประมาณการ ► คงคำแนะนำ "ซื้อ" มองว่าราคาหุ้นปรับลดลงสะท้อนประเด็นข่าวลบไปแล้วพอสมควร ทั้งจากข่าวลูกค้าคูเวตที่หายไปจากการปรับนโยบายรักษาของรัฐบาลคูเวต และประเด็นที่รอประกันสังคมปรับอัตราค่าบริการผู้ประกันตน เราประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2568 ที่ 20.40 บาท อิงวิธี DCF และสมมติฐาน WACC ที่ 7.6% (Ke 8.6%), Terminal growth 3%

[Gossip] BLC มองแนวโน้ม 4Q2567 สดใสเข้าสู่ช่วงไฮซีซัน

[Gossip] BLC มองแนวโน้ม 4Q2567 สดใสเข้าสู่ช่วงไฮซีซัน

         หุ้นวิชั่น - ถือเป็นบริษัทที่ทำผลการดำเนินงานเติบโตทุกไตรมาสมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับ บมจ. บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค หรือ BLC ผู้นำธุรกิจวิจัย พัฒนา ผลิตและจัดจำหน่าย ยาแผนปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพครบวงจรของไทย ล่าสุด ‘ภก.สมชัย พิสพหุธาร’ ประธานเจ้าหน้าที่สายบัญชีและการเงิน ได้นำเสนอข้อมูลใน Opportunity Day โชว์ผลงานงวด 9 เดือน ปี 2567 เติบโตโดดเด่นทั้งรายได้และกำไรสุทธิ ประเมินผลการดำเนินงาน 4Q2567 มีแนวโน้มที่ดี หลังจากเข้าสู่ช่วงไฮซีซัน พร้อมโชว์กลยุทธ์สร้างการเติบโตผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสมุนไพร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเครื่องสำอาง รวมทั้งเดินหน้าขยายตลาดทั้งในประเทศผ่านการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย และขยายตลาดในต่างประเทศ อาทิ ลาว และฮ่องกง เป็นต้น ผสานรวมกับกลยุทธ์การ Re-Brand เพื่อขยายฐานลูกค้า และเพิ่มความหลากหลายของกลุ่มผลิตภัณฑ์ ร่วมกับการเดินหน้าสร้าง Brand Awareness อย่างต่อเนื่อง ด้วยการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เรียกได้ว่าสร้างการเติบโตอย่างไม่มีหยุด งานนี้ผู้ถือหุ้นสบายใจหายห่วง...

จับตาโรงกลั่น SPRC ลุ้นQ4พลิกกำไร-เป้า 8.50 บ.

จับตาโรงกลั่น SPRC ลุ้นQ4พลิกกำไร-เป้า 8.50 บ.

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะ SPRC (ซื้อ/ปรับเป้าลงเป็น 8.50 บาท) คาดกลับมามีกำไรสุทธิใน 4Q24E; 2025E crack spread ฟื้นตัว คงคำแนะนำ "ซื้อ" ที่ราคาเป้าหมายใหม่ปีที่ 8.50 บาท (เดิม 9.00 บาท) อิง 2025E PBV เดิมที่ 0.88x (ประมาณ -1.8SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV ย้อนหลัง 5 ปี) เชื่อว่าภาพรวมธุรกิจโรงกลั่นจะฟื้นตัว QoQ ใน 4Q24E ในขณะที่แนวโน้มต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและน้ำมันดิบ (crack spread) น่าจะฟื้นตัว YoY ได้ในปี 2025E โดยมีแรงหนุนหลักๆ จากภาพรวมอุปสงค์การใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปกึ่งหนักกึ่งเบา (middle distillate) ที่สูงขึ้นจากอุปสงค์การท่องเที่ยวที่สูงขึ้นและเศรษฐกิจในเอเชียที่เติบโต   ทั้งนี้ คาดว่า SPRC จะกลับมารายงานกำไรสุทธิได้ใน 4Q24E หลักๆ จากค่าการกลั่นตลาด (market GRM) ที่สูงขึ้นจากแรงหนุนของการดำเนินงานของทุ่นผูกเรือน้ำลึกแบบทุ่นเดี่ยวกลางทะเล (SPM) เต็มไตรมาส, crack spread ที่สูงขึ้นตามแรงหนุนของอุปสงค์ที่สูงขึ้นในช่วงฤดูหนาว และผลขาดทุนจากสต๊อก (stock loss including NRV) ที่เป็นไปได้ที่ลดลง ฝ่ายวิเคราะห์ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E/2025E ลง 15%/2% เป็น 2.5/2.7 พันล้านบาท เทียบกับขาดทุนสุทธิ 1.2 พันล้านบาทในปี 2023 โดยปรับกำไรปี 2024E ลงหลักๆ เพื่อสะท้อนผลขาดทุนจาก stock loss ใน 3Q24 ที่สูงกว่าคาด ในขณะที่ปรับกำไรปี 2025E ลงเนื่องจากผลกระทบเชิงลบจากต้นทุนในการดำเนินงาน (OPEX) และสมมติฐาน stock loss ที่สูงขึ้น มีขนาดใหญ่กว่าผลกระทบเชิงบวกจาก market GRM ที่สูงขึ้นจากการดำเนินงานเต็มปีของ SPM ราคาหุ้นปรับตัวลง 20% และ underperform SET 25% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา สะท้อนแนวโน้ม crack spread ที่อ่อนตัวและผลประกอบการที่น่าผิดหวังใน 3Q24 อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน SPRC ซื้อขายที่ valuation ที่น่าสนใจที่ 2025E PBV 0.70x (ประมาณ -2.5SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV ย้อนหลัง 5 ปี) เชื่อว่าผลประกอบการน่าจะผ่านจุดต่ำสุดของปีไปแล้วใน 3Q24 และคาดว่าบริษัทจะกลับมารายงานกำไรสุทธิได้ใน 4Q24 หนุนโดยอุปสงค์ที่สูงขึ้นในฤดูหนาวของประเทศตะวันตกและ stock loss ที่ต่ำลง

[Vision Exclusive]  TQR ภัยไซเบอร์หนุน-ผนึกพาร์ทเนอร์

[Vision Exclusive] TQR ภัยไซเบอร์หนุน-ผนึกพาร์ทเนอร์

        หุ้นวิชั่น - TQR คาดปี 68 ธุรกิจประกันภัยต่อ โต 10% พร้อมเดินหน้าพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่หนุนคู่ค้า ด้านบอสใหญ่ "ชนะพันธุ์ พิริยะพันธุ์"สั่งลุยประกันภัยไซเบอร์ อีวีบูม             ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายชนะพันธุ์ พิริยะพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที คิว อาร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TQR เปิดเผยว่า ในปี 2568 บริษัทจะมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย Personal Cyber หรือการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะในยุคที่ผู้คนใช้โซเชียลมีเดียอย่างแพร่หลาย ทำให้เสี่ยงต่อการถูกแฮกข้อมูลจากสื่อโซเชียลมีเดีย มือถือ หรือคอมพิวเตอร์ บริษัทได้ร่วมมือกับพันธมิตรในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยดังกล่าว เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด             นอกจากนี้ TQR ยังมองว่า ประกันภัยต่อรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) เป็นอีกหนึ่งโอกาสที่น่าสนใจ แม้ว่าปัญหาหลักในปัจจุบันจะอยู่ที่ราคาของอะไหล่ที่สูง ซึ่งส่งผลให้เบี้ยประกันภัยก็สูงตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าในอนาคตประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าจะมีโอกาสเติบโตตามแนวโน้มการใช้รถยนต์อีวีที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเมื่อผู้ผลิตรถยนต์อีวีจากต่างประเทศหลายค่ายเริ่มย้ายฐานการผลิตมาที่ประเทศไทย ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการผลิตและจำหน่ายรถยนต์อีวีในประเทศให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง             บริษัทคาดว่าแนวโน้มธุรกิจประกันภัยในปี 2568 จะเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มประกันภัยไซเบอร์ ประกันสุขภาพ และประกันความรับผิดของกรรมการและผู้บริหาร สำหรับบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยคาดว่าอัตราการเติบโตในปี 2568 จะอยู่ที่ประมาณ 10% ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างท้าทาย             นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งมั่นพัฒนาแพลตฟอร์มประกันต่างๆ เพื่อช่วยคู่ค้าในการขยายธุรกิจและหาโอกาสในการสร้าง Synergy ใหม่ๆ เพื่อขยายฐานลูกค้าและเสริมสร้างการเติบโตในระยะยาว             นายชนะพันธุ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ลูกค้าที่จะซื้อประกันจริงๆ แบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก คือ องค์กรหรือหน่วยงานที่จำเป็นต้องซื้อ และบุคคลที่เคยใช้ประกันหรือมีประสบการณ์ในอดีต โดยในปี 2568 คาดว่าองค์กรหรือคอร์ปอเรทขนาดใหญ่จะเริ่มตื่นตัวและระมัดระวังมากขึ้นเกี่ยวกับภัยคุกคามไซเบอร์ เช่น การถูกแฮกข้อมูลผ่านลิงก์ในมือถือหรือการโอนเงินออกจากบัญชี ซึ่งทำให้ความต้องการประกันภัยไซเบอร์ทั้งในส่วนของบุคคลและองค์กรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง. รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

พลิกโฉมตลาดทุนไทย! กางแผนยุทธศาสตร์3ปี

พลิกโฉมตลาดทุนไทย! กางแผนยุทธศาสตร์3ปี

หุ้นวิชั่น# ชู 3 โครงการ flagship ในการขับเคลื่อนตลาดทุน ได้แก่  สนับสนุนการเติบโตของบริษัทจดทะเบียน ผ่าน Jump+  เพิ่มโอกาสให้ผู้ลงทุนบุคคลและประชาชนทั่วไปเข้าถึงการลงทุนพันธบัตรรัฐได้ง่ายขึ้น และขยายธุรกิจของผู้ร่วมตลาด ด้วย Bond Connect Platform  พัฒนาระบบนิเวศคาร์บอนผ่านตลาดคาร์บอนเครดิต  ด้วย Carbon Market Platform ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชูแผน 3 ปี (ปี 68-70) สร้างโอกาสเพื่อส่วนรวมในการเข้าถึงการลงทุนและการระดมทุนอย่างเท่าเทียม ทั่วถึง นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เผยแผนยุทธศาสตร์ 3 ปี (2568-2570) ภายใต้แนวคิด “เพื่อส่วนรวมและความเท่าเทียม” (Fair & Inclusive Growth) มุ่งสร้างความแข็งแกร่งเข้าถึงได้ง่ายและสร้างประโยชน์แก่ทุกภาคส่วน พร้อมปรับตัวท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจและตลาดทุนโลก ภายใต้ 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ มุ่งมั่นเพื่อโอกาสการเติบโต (Enable Growth Ambitiously) เพิ่มความน่าสนใจด้านบริษัทจดทะเบียน ริเริ่มโครงการ "Jump+" เพื่อสร้างการเติบโตให้กับตลาดทุนไทย โดยเฉพาะการเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทจดทะเบียน โดยเน้นบริษัทที่มีศักยภาพและมีความมุ่งมั่นในการเพิ่มมูลค่าของบริษัท โดยบริษัทจดทะเบียนสามารถเข้าร่วมตามความสมัครใจ ในขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสนับสนุนให้เกิดพัฒนาการด้านการดำเนินงาน การขับเคลื่อนความยั่งยืนตามหลัก ESG การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล และปัญญาประดิษฐ์ (AI) บริการให้คำปรึกษา และเพิ่มช่องทางสื่อสารกับผู้ลงทุนเพื่อช่วยเพิ่มความน่าสนใจ และการรับรู้ให้แก่ผู้ลงทุน รวมทั้งสิทธิประโยชน์จากทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ หน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานพันธมิตร ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังเตรียมพัฒนาดัชนีใหม่ที่จะช่วยสะท้อนผลการดำเนินงานของบริษัทที่ประสบความสำเร็จจากโครงการ Jump+ และร่วมกับสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) จัดทำบทวิเคราะห์เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจลงทุน สร้างความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่น    ด้วยการนำ AI มาใช้ในงานด้านกำกับบริษัทจดทะเบียน เพื่อติดตาม เฝ้าระวัง ดำเนินมาตรการ และแจ้งเตือนแก่ผู้ลงทุนอย่างทันท่วงที พร้อมขยายองค์ความรู้ด้านบรรษัทภิบาล (corporate governance) สร้างความเข้าใจกลไกตลาดทุนแก่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยจะมีการประเมินประสิทธิผล และทบทวนมาตรการให้สอดคล้องกับบริบทปัจจุบัน ส่งเสริมและขยายการใช้ผลิตภัณฑ์ตลาดทุน นำเสนอข้อมูลและบริการที่ตอบโจทย์รองรับผู้ลงทุนที่หลากหลายและแตกต่าง พร้อมกับพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับการบริหารพอร์ตและการลงทุนทุกสถานการณ์ และขยายเวลาซื้อขายผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมโยงกับต่างประเทศ ควบคู่กับการดึงดูดผู้ลงทุนสถาบันต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน ออสเตรเลีย และตะวันออกกลาง ผ่านการนำเสนอข้อมูล (roadshow) ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ร่วมพัฒนา เพื่อความทั่วถึง (Grow Together & Inclusively) สนับสนุนการทำงานของผู้ร่วมตลาด พัฒนา Bond Connect Platform เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ลงทุนบุคคลเข้าถึงการลงทุนพันธบัตรรัฐบาลในตลาดแรกและตลาดรองได้ง่ายขึ้น โดยผู้ลงทุนบุคคลสามารถจองซื้อพันธบัตรรัฐบาลในตลาดแรกในลักษณะเดียวกับการจองซื้อหุ้น IPO และยังสามารถซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลในตลาดรองผ่าน Platform พร้อมทั้งสามารถนำไปใช้เป็นหลักประกันสำหรับการลงทุนสินทรัพย์ประเภทอื่นได้ มีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งหนึ่งในโครงสร้างดังกล่าว ได้แก่ การพัฒนาระบบชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ใหม่ (SET Clear) กำหนดเริ่มให้บริการในปี 2570 และขยายความร่วมมือในรูปแบบ IT service partnership อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการขยายธุรกิจของตลาดหลักทรัพย์ฯ และผู้ร่วมตลาด ขยายการสื่อสารแก่ผู้ลงทุนและประชาชน เน้นการสื่อสารที่เข้าถึง ทั่วถึง สร้างความเข้าใจในประเด็นที่ผู้ลงทุนควรรู้แบบเข้าใจง่ายและทันการณ์ ผ่านช่องทางใหม่ๆ ด้วยสื่อ และกิจกรรมร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรทุกภาคส่วน พร้อมเตือนประชาชนให้รู้เท่าทันมิจฉาชีพหลอกลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ สรรสร้างคนและอนาคต (Groom People & Our Future) พัฒนาระบบนิเวศเพื่อการเรียนรู้ทางการเงิน สร้างคนรุ่นใหม่ (Next Gen) ประกอบด้วย ผู้ลงทุน ผู้ประกอบวิชาชีพ ภาคการศึกษา และ Influencer ที่มีความรู้ความเข้าใจด้านการเงิน การลงทุน พร้อมทั้งนำเสนอ SET Learn Scape Platform ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มรองรับกระบวนการการเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคลเพื่อพัฒนาบุคลากรบริษัทจดทะเบียน ช่วยสร้างศักยภาพพนักงาน เสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจได้อย่างยั่งยืน ทั้ง 2 โครงการจะร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อนำเสนอเนื้อหาความรู้ให้กลุ่มเป้าหมายมีภูมิคุ้นกันด้านการเงินและการลงทุน สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ low carbon economy ร่วมกับพันธมิตร ด้วยการออกแบบรูปแบบ Carbon Market Platform ที่เหมาะสม เพื่อรองรับการซื้อขายคาร์บอนเครดิตทั้งในตลาดภาคบังคับ (Compliance market) และภาคสมัครใจ (Voluntary market) พัฒนาเครื่องมือในการคำนวณ Carbon Footprint ขององค์กร (SET Carbon) พร้อมสนับสนุนการสร้างหลักสูตรและจัดสอบผู้ทวนสอบ (Verifier) เพื่อส่งเสริมการมุ่งสู่ Low Carbon Economy  และ Net Zero ในปี 2593 เตรียมพร้อมคน ปรับวิถีงาน ตอบโจทย์อนาคต  เสริมสร้างทักษะด้านดิจิทัล โดยเฉพาะ AI แก่พนักงาน เตรียมความพร้อมพัฒนาบุคลากรทุกระดับ ขับเคลื่อนองค์กรสู่อนาคต "ก้าวสู่ทศวรรษที่ 6 ตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยด้วยการมุ่งสร้างโอกาสการเติบโตอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ผ่านนวัตกรรมและบริการที่ตอบโจทย์ทุกภาคส่วน ควบคู่ไปกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนของตลาดทุนและเศรษฐกิจไทย สอดรับกับเป้าหมาย 'To Make the Capital Market Work for Everyone'” นายอัสสเดช กล่าว อัสสเดช กล่าวต่อว่า พร้อมกันนี้ยังมองโอกาสในการดึงดูบริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ รวมไปถึงบริษัทต่างชาติ ซึ่งในสัปดาหน้าจะมีการพูดคุยกับตลาดหุ้นเกาหลีใต้ รวมไปถึงจะมีการพูดคุยกับตุรกีด้วย เพราะตุรกีมี Venture Capital Platform เพื่อให้ผู้ลงทุนพบเห็นได้ง่ายขึ้น ซึ่งว่าจะเป็นการเสริมสร้างตลาดหุ้นด้วย ขณะเดียวกันมีบริษัทเตรียมเข้าตลาดหุ้นแล้วกว่า 33 บริษัท ส่วนประเด็นโอกาสที่จะการปรับรอบระยะเวลางานชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ จากให้สามารถดำเนินการได้ใน 2 วันทำการ (T+2) เป็น (T+1) เป็นเรื่องที่อยู่ระหว่างการศึกษา ปัจจุบันมีประเทศที่ใช้ T+1 แล้วได้แก่สหรัฐอเมริกา อินเดีย แม็กซิโก และในส่วนออสเตรเลียอยู่ระหว่างการศึกษา ส่วนยุโรปก็จะมีการใช้หลังปี 2027 แต่ในฝั่งเอเชียคงต้องมีการศึกษากันก่อน หากจะมีการประกาศใช้คงเป็นหลังยุโรป หรือปี 2027 และต้องสอดคล้องกันในเอเชียด้วย

TEGH มั่นใจโค้งสุดท้ายทะยาน ยางEUDRหนุนยอดขายโต 10%

TEGH มั่นใจโค้งสุดท้ายทะยาน ยางEUDRหนุนยอดขายโต 10%

          หุ้นวิชั่น -  บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์(TEGH )นำโดย “สินีนุช โกกนุทาภรณ์”แม่ทัพหญิง มั่นใจแนวโน้มผลงาน Q4/67 โตกระฉูด รับอานิสงส์ยาง EUDR หนุน ดันยอดขายทั้งปีโตเกิน 10%  ตามนัด ธุรกิจปาล์มปรับตัวดีขึ้น-ธุรกิจไบโอแก๊สบุ๊กรายได้ก้อนโตลูกค้ารายใหญ่ หนุนผลการดำเนินงานเติบโตอย่างยั่งยืนและมีเสถียรภาพ โชว์ Q3/67 กวาดรายได้กว่า  4,705.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.8% กำไรสุทธิ 219.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 443.7% เทียบงวดเดียวกันปีก่อน   นางสาวสินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (TEGH) ผู้ผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ และน้ำมันปาล์มดิบรายใหญ่ในภาคตะวันออก และผู้นำด้านการผลิตพลังงานทดแทนและรับบริหารจัดการกากอินทรีย์แบบครบวงจร ที่นำพลังงานสะอาดมาใช้ในกระบวนการผลิต เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2567 คาดว่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากปริมาณขายยาง EUDR ที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าจะมีข่าวทางการสหภาพยุโรป (EU) จะเลื่อนการบังคับใช้เป็นต้นปี 2569 แต่ลูกค้ายังมีคำสั่งซื้ออยู่ ทำให้ในไตรมาส 3/2567 บริษัทมีสัดส่วนการขายยางมาตรฐาน EUDR ถึง 32% จากปริมาณการขายยางแท่งทั้งหมด หนุนกำไรโตต่อเนื่อง โดยประเมินว่ายอดขายยางแท่งในปี 2567 จะเติบโต 10% เทียบปีที่ผ่านมา บริษัทฯจะเริ่มรับรู้รายได้การขายก๊าซชีวภาพ (ไบโอแก๊ส) จากการที่บริษัท ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ จำกัด (TEBP) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ TEGH ขายให้บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GGC) ปริมาณ 40,000-57,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ส่งตรงทางท่อถึงตัวโรงงาน GGC ในจังหวัดชลบุรี มูลค่า 1,000 ล้านบาท ผูกสัญญา 7 ปี ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 4/2567 และเตรียมเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) ผลิตก๊าซชีวภาพโซน 3 เฟสที่ 2 ในครึ่งหลังของปี 2568 ซึ่งจะทำให้สามารถรับกากอินทรีย์เพิ่มขึ้นอีกวันละ 900 ตัน และผลิตก๊าซชีวภาพได้เพิ่มขึ้นอีกวันละ 90,000 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งมีลูกค้าหลายรายที่ให้ความสนใจเข้ามาเจรจา สำหรับธุรกิจน้ำมันปาล์มดิบ โครงการติดตั้งหม้อต้มไอน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว และหม้อนึ่งต่อเนื่อง (Sterilizer) พร้อมทดสอบระบบในปลายไตรมาส 4/2567 และบริษัทฯ อยู่ระหว่างการขอการรับรองมาตรฐานคาร์บอนและความยั่งยืนระหว่างประเทศ (International Sustainability and Carbon Certification: ISCC) ซึ่งคาดว่าจะได้รับการรับรองภายในปีนี้ นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาผลิตภัณฑ์เกี่ยวเนื่องจากอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มดิบ เช่น Skincare เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์และผลพลอยได้จากกระบวนการผลิต สร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต พร้อมเดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล (Biomass) เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตผลพลอยได้โดยการนำมาผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้ภายในเครือ สามารถช่วยลดต้นทุนได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งบริษัทฯยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นองค์กรที่สร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Sustainable Value Chain) ภายใต้การดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน สอดรับกับวิสัยทัศน์ "พันธมิตรทางธุรกิจระดับโลก ที่สร้างห่วงโซ่คุณค่าที่ยั่งยืน" ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567 งวด 3 เดือน (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567) กลุ่มบริษัทมีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการเพิ่มขึ้น 1,704.02 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 56.8% และมีกำไรสุทธิ 219.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 443.7% เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อน  และในงวด 9 เดือนมีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการเพิ่มขึ้น  2,349.76 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น  25.5% และมีกำไรสุทธิ 383.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 161.9% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน

S&P จัดงาน S&P SWEET HAPPINESS 2025 เฉลิมฉลองส่งท้ายปีอย่างยิ่งใหญ่

S&P จัดงาน S&P SWEET HAPPINESS 2025 เฉลิมฉลองส่งท้ายปีอย่างยิ่งใหญ่

หุ้นวิชั่น -  บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านเค้กและเบเกอรี่ เฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปีอย่างยิ่งใหญ่ จัดงาน “S&P SWEET HAPPINESS 2025” (เอส แอนด์ พี สวีท แฮปปิเนส 2025) ขนทัพสินค้าสุดพิเศษเพื่อต้อนรับเทศกาลแห่งความสุขที่จะมาถึง พร้อมกิจกรรมมากมายภายในงาน พบกับแขกรับเชิญพิเศษ อาทิ คุณแพนเค้ก-เขมนิจ จามิกรณ์ คุณอลิศ-ธนัชศลักษณ์ ฮัดสัน และน้องๆ จากเวที Voize Academy Thailand ที่สลับสับเปลี่ยนกันมาสร้างสีสัน ตลอดทั้ง 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม 2567 นี้ ณ ลาน Cascata ชั้น G ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ครังสิต             คุณภัทรา ศิลาอ่อน ประธานกรรมการ บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “งาน “S&P SWEET HAPPINESS 2025” (เอส แอนด์ พี สวีท แฮปปิเนส 2025) จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลอง เทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปี เพื่อขอบคุณลูกค้าที่ให้การสนับสนุน เอส แอนด์ พี ด้วยดีเสมอมา โดยยกขบวนความอร่อยของสินค้า เอส แอนด์ พี มาไว้ในงาน อาทิ ขนมเค้ก คุกกี้ ขนมอบ เบเกอรี่ เครื่องดื่มบลูคัพ และไอศกรีม พร้อมโปรโมชั่นพิเศษหลากหลายรายการ อาทิ ซื้อเค้กปอนด์ทุกขนาด ลด 20%  ซื้อคุกกี้ 4 กล่องขึ้นไปลด 25% ซื้อ         เบเกอรี่ 4 ชิ้น ฟรี 1 ชิ้น นอกจากนี้ยังมีชุดของขวัญต้อนรับเทศกาลปีใหม่ 2025 เหมาะสำหรับซื้อเป็นของขวัญของฝากในช่วงเทศกาลแห่งความสุขนี้ โดย เอส แอนด์ พี ได้สนับสนุนผลิตภัณฑ์ชุมชน ได้แก่ กระเป๋าผ้าขาวม้า จังหวัดอำนาจเจริญ และจักสานตะกร้าผักตบชวา จากวิสาหกิจชุมชนจังหวัดอ่างทอง เพื่อเป็นการส่งเสริมรายได้ให้แก่คนในชุมชน สำหรับไฮไลท์ในงานพบ S&P Cake Showcase เค้กสวยงามหลากหลายรูปแบบ พร้อมต้นคริสมาสต์ยักษ์ความสูง 3 เมตร ที่ประดับตกแต่งด้วยเค้กและคุกกี้สีสันสดใส ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Sweet Happiness” นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมมากมายในงาน พร้อมโชว์จากศิลปินที่มาร่วมส่งความสุขตลอดทั้ง 4 วัน”           คุณวิทูร ศิลาอ่อน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า “เอส แอนด์ พี เดินทางมาถึงปีที่ 51 ก้าวเข้าสู่ปีที่ 52 ความสำเร็จของ เอส แอนด์ พี ที่เติบโตมาจนถึงวันนี้มาจากความใส่ใจในคุณภาพทั้งผลิตภัณฑ์และการบริการ ทำให้ได้รับความไว้วางใจและความเชื่อมั่นจากลูกค้าที่สนับสนุนร้าน เอส แอนด์ พี มายาวนาน นอกจากนี้ เอส แอนด์ พี ยังมีสินค้าที่หลากหลาย ทั้งอาหาร เค้ก เบเกอรี่ และเครื่องดื่ม เหมาะกับคนทุกวัย ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ กลุ่มครอบครัว และยังมีสินค้าหลายกลุ่ม สำหรับทุกโอกาส รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ทางเลือกสุขภาพ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากยิ่งขึ้น ดังวิสัยทัศน์ เป็นร้านอาหารไทย เค้ก และเบเกอรี่ แบรนด์ที่ส่งมอบสินค้าและบริการที่ตอบสนองความเป็นอยู่ที่ดีของครอบครัวในทุกโอกาส สำหรับงาน “S&P SWEET HAPPINESS 2025” (เอส แอนด์ พี สวีท แฮปปิเนส 2025) จัดขึ้นที่ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ครังสิต ถือเป็นธรรมเนียมทุกปีที่ทาง เอส แอนด์ พี จัดงาน Cake & Cookies Fair เพื่อเป็นสื่อกลางในการส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าและคนที่ท่านรัก รวมถึงนำเสนอผลิตภัณฑ์เพื่อต้อนรับเทศกาลปีใหม่ 2025  ในปีนี้ เอส แอนด์ พี ออกผลิตภัณฑ์คุกกี้คลาสสิคซึ่งเป็นรสชาติยอดนิยม S&P X ANO (อะโนะ) โดยร่วมกับ                คุณเนะ - อโณทัย นิรุตติเมธี นักกราฟิกดีไซน์และนักวาดภาพประกอบแนวสตรีทอาร์ท ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Love the earth” ในสไตล์ของคุณเนะ เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ และผู้ที่ชื่นชอบผลงานลายเส้นที่น่ารัก สนุก สดใส และเป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ภายในงานยังมีผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้าได้เลือกสรรพร้อมโปรโมชั่นพิเศษมากมาย”   กิจกรรมภายในงาน “S&P SWEET HAPPINESS 2025” (เอส แอนด์ สวีท แฮปปิเนส 2025) อาทิ การแสดงชุด Fashion Show Cake Parade กิจกรรม D.I.Y. แต่งหน้าเค้ก สำหรับท่านที่มาร่วมงานจะได้ชิมคุกกี้แสนอร่อยจาก เอส แอนด์ พี นอกจากนี้เมื่อซื้อสินค้าในงานครบทุก 800 บาท รับสิทธิ์ชิงโชคลุ้นรับรางวัลพิเศษ พบกับสินค้า New Year Collection 2025 และสินค้าโปรโมชั่นพิเศษหลากหลายรายการ พร้อมชมการแสดงบนเวทีทุกวัน อาทิ วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน ร่วมพูดคุยกับคุณแพนเค้ก-เขมนิจ จามิกรณ์ พบโชว์พิเศษจาก คุณวิทูร ศิลาอ่อน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) และคุณอลิศ-ธนัชศลักษณ์ ฮัดสัน / วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน - วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พบโชว์พิเศษจากน้องๆ Voize Academy Thailand และกิจกรรมมากมายในงานตลอดทั้งวัน           เอส แอนด์ พี “SWEET HAPPINESS 2025” ขอร่วมเฉลิมฉลองส่งมอบความสุขส่งท้ายปีอย่างยิ่งใหญ่ ให้กับลูกค้าคนพิเศษตลอดช่วงเทศกาลแห่งความสุขนี้ และพร้อมก้าวเข้าสู่ปีที่ 52 เติบโตเคียงข้างสังคมไทยอย่างยั่งยืนต่อไป นอกจากนี้ในช่วงของไตรมาสสามที่ผ่านมามีความท้าทายในแง่ของธุรกิจเป็นอย่างมากรวมถึงมีผู้เล่นกลุ่มสินค้าเดียวกันเข้าตลาดมากขึ้น ตัวบริษัทก็พร้อมที่จะปรับกลยุทธ์เพื่อตอบโจทย์กับลูกค้าให้มากขึ้น ขยายบางกลุ่มเซกเมนต์ที่ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี อย่าง Bakery Studio จากเดิม มี 40 จุดขายจากงวดไตรมาสสามที่ผ่านมาวางเป้าไม่เกินครึ่งปีหน้า 100 จุดขาย พร้อมเดินเกมรุกลุยงัดสินค้าใหม่ใหม่ในปีหน้า

BEM จัดกิจกรรม Art Contest ครั้งที่ 2 ศิลปะของการเดินทาง

BEM จัดกิจกรรม Art Contest ครั้งที่ 2 ศิลปะของการเดินทาง

หุ้นวิชั่น -  บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM จัดประกวด “BEM Art Contest” ครั้งที่ 2 ประจำปี 2567 ภายใต้แนวคิด “ศิลปะของการเดินทาง” ซึ่งเป็นการส่งเสริมและสร้างแรงบันดาลใจ สำหรับเยาวชนและบุคคลทั่วไปที่มีใจรักงานศิลปะ โดยภายในงานได้รับเกียรติจาก นางสาวจิรนันท์ วรจักร ผู้ช่วยผู้ว่าการ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) (แถวบนที่ 5 จากขวา) เป็นประธานมอบรางวัลและประกาศนียบัตรของการประกวดดังกล่าว พร้อมทั้ง ดร.อารยา ปานุราช กรรมการผู้จัดการ บริษัท แบงคอก เมโทร เน็ทเวิร์คส์ จำกัด หรือ BMN (แถวบนที่ 4 จากซ้าย) อาจารย์บันชา ศรีวงศ์ราช ประธานเครือข่ายสีน้ำนานาชาติแห่งประเทศไทย (แถวบนที่ 4 จากขวา) และคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ร่วมมอบรางวัลให้ผู้ที่ชนะการประกวด เมื่อเร็วๆ นี้ ณ ห้อง Art Learning Centre ที่ Metro ART MRT สถานีพหลโยธิน

INSETเปิดตัว“บุญปลูก”  ต่อยอดแอปฯ-ไซเบอร์

INSETเปิดตัว“บุญปลูก” ต่อยอดแอปฯ-ไซเบอร์

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน INSET ถือหุ้น “บริษัท เจริญปลูก จำกัด” 30% ลุยลงทุนพัฒนาแอปพลิเคชัน “บุญปลูก” ศูนย์กลางบริการทางการเกษตรครบวงจร กดปุ่ม Q1/68 หนุนฐานรายได้โตยาว  นายศักดิ์บวร พุกกะณะสุต กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินฟราเซท จำกัด (มหาชน) หรือ INSET เปิดเผยว่า บริษัทได้เข้าลงทุนใน บริษัทเจริญปลูก จำกัด โดยถือหุ้นในสัดส่วน 30% เพื่อพัฒนาแอปพลิเคชันให้บริการบนมาร์เก็ตเพลส ชื่อว่า “บุญปลูก” ศูนย์กลางบริการทางการเกษตรครบจบในแอปเดียว ซึ่งถือเป็นธุรกิจที่ 5 ด้านแอปพลิเคชันและไซเบอร์ซีเคียวริตี้ของบริษัท โดยคาดว่าจะสามารถเปิดตัวเริ่มใช้งานแอปพลิเคชันดังกล่าวภายในปลายไตรมาส 1 ปี 2568 พร้อมกันทั่วประเทศ            สำหรับการพัฒนาแอฟพลิเคชั่นครั้งนี้คาดจะช่วยยกระดับภาคการเกษตรไทยมีความแข็งแกร่งทางด้านธุรกิจ           โดยแอปพลิเคชั่นชื่อ “บุญปลูก” ที่ถูกพัฒนาขึ้นจะเป็นตัวกลางในการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรกับผู้ให้บริการ ทางการเกษตร ที่มีเครื่องมือและเครื่องจักรกลของตนเองได้นำไปใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ส่งเสริมและพัฒนาให้เกษตรกรพร้อมเป็นผู้ให้บริการด้านเกษตรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย สร้างอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรไทย สนับสนุนเกษตรกรผู้ผลิตและผู้ประกอบการสินค้าเกษตรให้เข้มแข็ง สร้างรายได้ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ให้บริการทางการเกษตรแบบครบวงจร เพื่อการกระจายรายได้สู่ชุมชนและท้องถิ่น            คาดจะถึงจุดคุ้มทุน (Break Even) ได้ใน 2-3 ปีข้างหน้า ขณะที่แผนการดำเนินธุรกิจในระดับถัดไป บริษัทจะเดินหน้าเข้าถึงกลุ่มเกษตรกร ดดนจะเดินสายให้ข้อมูลในแต่ละภูมิภาค ภูมิภาคละ 2-3 จังหวัด เพื่อให้สร้างความรู้ ความเข้าใจระบบและการใช้งาน แอปพลิเคชั่น “บุญปลูก”            ปัจจุบัน INSET ดำเนินธุรกิจได้แก่ 1.ธุรกิจก่อสร้าง DATA CENTER 2. ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานโครงข่ายโทรคมนาคมและคมนาคมขนส่ง 3.ธุรกิจงานซ่อมบำรุงและบริการ 4.ธุรกิจซื้อ-ขายอุปกรณ์โทรคมนาคมและอุปกรณ์ IT และ 5.ธุรกิจให้บริการแอปพลิเคชันและไซเบอร์ซีเคียวริตี้             สำหรับทิศทางธุรกิจและในช่วงโค้งสุดท้ายปีนี้ บริษัทคงยังเดินหน้างานประมูลอย่างต่อเนื่องปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมเปิดซองประมูลอีก 1-2 โครงการมูลค่ามากกว่า 1,000 ล้านบาท

OR เสริมความแกร่งธุรกิจ เปิดร้าน found & found สาขาที่ 5

OR เสริมความแกร่งธุรกิจ เปิดร้าน found & found สาขาที่ 5

          หุ้นวิชั่น - นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR พร้อมด้วย นายไกรพิท เปรมมณี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจไลฟ์สไตล์ และนายณัฐพล ชูจิตารมย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออาร์ เฮลท์ แอนด์ เวลเนส จำกัด (ORHW) ร่วมเปิดตัวร้าน found & found สาขาที่ 5 ณ ศูนย์การค้าแพชชั่น ช้อปปิ้งเดสติเนชั่น ระยอง อย่างเป็นทางการ โดยได้รับเกียรติจากผู้บริหารบริษัทในกลุ่ม ปตท. ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ นายคิงก้วย หวง กรรมการผู้บริหารสูงสุดและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท คอนวี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ร่วมแสดงความยินดี found & found สาขาแพชชั่น ระยอง นับเป็นสาขาแรกในภูมิภาค สะท้อนกลยุทธ์การขยายเครือข่ายธุรกิจสู่ภูมิภาค โดยเริ่มด้วยพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของภาคตะวันออก โดยก่อนหน้านี้ได้เปิดให้บริการแล้ว 4 สาขาในกรุงเทพฯ ได้แก่ สาขา EnCo ศูนย์เอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์, สาขา พีทีที สเตชั่น สายไหม 56, สาขา พีทีที สเตชั่น บรมราชชนนี 97, และสาขา OR Space รามคำแหง 129 ซึ่งแสดงถึงวิสัยทัศน์ของ found & found ในการเป็นจุดหมายปลายทางด้านสุขภาพและความงามที่ครบครันสำหรับทุกคน พร้อมตั้งเป้าขยายเครือข่ายให้ครอบคลุม 500 สาขา ตลอดจนเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ให้ถึง 5,000 รายการ ภายในปี 2573

ก.ล.ต.  เปิดรับฟังความเห็น เพื่อส่งเสริมตลาดทุนดิจิทัลและเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลตลาดทุน

ก.ล.ต. เปิดรับฟังความเห็น เพื่อส่งเสริมตลาดทุนดิจิทัลและเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลตลาดทุน

          หุ้นวิชั่น - สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … ร่างพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... ร่างพระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 พ.ศ. ... โดยร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ผ่านการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว สำหรับการเสนอแก้ไขกฎหมายดังกล่าวสามารถแบ่งออกได้เป็น 6 เรื่องสำคัญ ได้แก่   (1) การส่งเสริมตลาดทุนดิจิทัล เช่น การแก้ไขกฎหมายเพื่อรองรับกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดทุนให้ครบถ้วน และการเพิ่มบทบัญญัติเกี่ยวกับผู้ให้บริการที่มีนัยสำคัญต่อตลาดทุน    (2) การกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เช่น การปรับปรุงการกำกับดูแลผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของผู้ประกอบธุรกิจ และการเพิ่มบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลบุคลากรในธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า    (3) การกำกับดูแลตลาดรองและองค์กรที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เช่น การปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อลดข้อจำกัดในการจัดตั้งและการประกอบการ การเพิ่มมาตรการกำกับดูแลให้การกำกับตลาดหลักทรัพย์มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และการเพิ่มบทบัญญัติเกี่ยวกับการลงทุนในหลักทรัพย์ของสมาคมที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักทรัพย์    (4) การระดมทุน การกำกับดูแลสำนักงานสอบบัญชีและผู้ประกอบวิชาชีพที่เกี่ยวเนื่องกับตลาดทุน เช่น การปรับปรุงเกี่ยวกับการออกและเสนอขายตราสารหนี้ การเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ และการกำกับดูแลสำนักงานสอบบัญชีและผู้ประกอบวิชาชีพที่เกี่ยวเนื่องกับตลาดทุน   (5) การเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายและการกำหนดมาตรการลงโทษ เช่น การกำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของ ก.ล.ต. มีอำนาจสอบสวนในความผิดบางประเภทที่มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความเชื่อมั่นต่อระบบตลาดทุนหรือระบบเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งปรับปรุงบทกำหนดโทษ โดยเพิ่มมาตรการปรับเป็นพินัยให้สอดคล้องกับหลักการตามมาตรา 77 แห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565   (6) เรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารองค์กรของ ก.ล.ต.   ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้เผยแพร่เอกสารรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎหมายดังกล่าวไว้ที่เว็บไซต์ ก.ล.ต. https://www.sec.or.th/TH/Pages/PB_Detail.aspx?SECID=1032 ผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้สนใจสามารถแสดงความคิดเห็นได้ที่เว็บไซต์ หรือทาง e-mail: [email protected] [email protected] หรือ [email protected] หรือสามารถเข้าไปให้ความคิดเห็นได้ที่เว็บไซต์ระบบกลางทางกฎหมาย https://www.law.go.th/listeningDetail?survey_id=NDY2NERHQV9MQVdfRlJPTlRFTkQ= จนถึงวันที่ 27 ธันวาคม 2567

WHA  เผยวิสัยทัศน์สู่เส้นทางแห่งความยั่งยืน

WHA เผยวิสัยทัศน์สู่เส้นทางแห่งความยั่งยืน

          หุ้นวิชั่น - WHA Group เปิดบ้านเป็นครั้งแรกต้อนรับพันธมิตรและผู้สนใจในงาน WHA Open House 2024 ภายใต้ธีม "Explore - Discover - Shape the Future" เพื่อมาเดินทางสำรวจ ค้นพบ และร่วมกันสร้างสรรค์อนาคตของอุตสาหกรรมไทยอย่างยั่งยืน ผ่านนวัตกรรมล้ำสมัยจาก 4 กลุ่มธุรกิจหลักของ WHA ได้แก่ โลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม สาธารณูปโภคและพลังงาน และดิจิทัลโซลูชัน พร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ในการทดลองใช้งาน  Mobilix โซลูชันกรีนโลจิสติกส์ครบวงจรรายแรกของไทย ที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในไฮไลท์สำคัญภายในงานนี้  เมื่อวันที่ 20-22 พฤศจิกายน  ที่ผ่านมา ที่ WHA Tower สำนักงานใหญ่ บางนา-ตราด กม. 7 งานนี้ได้รับเกียรติจากผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐ ภาคเอกชน และพันธมิตรทางธุรกิจมากมาย มาร่วมแบ่งปันแนวคิด วิสัยทัศน์และกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความยั่งยืน เริ่มต้นวันแรกด้วยจรีพร   จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กับการบรรยายพิเศษในหัวข้อ “How We're Shaping a Sustainable Future” เผยเส้นทางการเติบโตของ WHA Group  ในการผสานเทคโนโลยีเข้ากับธุรกิจหลักด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อยกระดับการให้บริการที่ครอบคลุมความต้องการของลูกค้ายิ่งขึ้น พร้อมภาพความสำเร็จในวันนี้ ด้วยพื้นที่คลังสินค้ากว่า 3,100,000 ตารางเมตร นิคมอุตสาหกรรมกว่า 78,000 ไร่ พร้อมตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืนผ่านการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ การพัฒนาบุคลากร การสร้างความร่วมมือกับพันธมิตร การดูแลสิ่งแวดล้อม และการสร้างคุณค่าให้กับชุมชน โดยมีเป้าหมายสู่ Net Zero ภายในปี 2029 และขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน ต่อเนื่องมาในวันที่สองเป็นเวทีของ โมบิลิกส์ (Mobilix) และนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอัจฉริยะ เริ่มด้วยการบรรยายหัวข้อ “Mobilix: Driving Sustainable Supply Chains” โดยชัยรินทร์ เนติพีระพงศ์ Managing Director บริษัท โมบิลิกส์ จำกัด ที่มาเจาะลึกถึงโซลูชันกรีนโลจิสติกส์ครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่บริการเช่ารถยนต์ไฟฟ้า สถานีชาร์จ และโมบิลิกส์ซอฟต์แวร์โซลูชัน ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการขนส่ง พร้อมต่อยอดสู่การเสวนา “Pioneering Thailand's fully integrated green logistics solution” ร่วมกับอภิชาติ เพียรเจริญ กรรมการบริษัท King Gen ผู้ประกอบธุรกิจขนส่งสินค้า ซึ่งมาบอกเล่าประสบการณ์จริง และปัจจัยที่หันมาใช้บริการ Mobilix ในธุรกิจ ตลอดจนประสิทธิภาพในการบริหารจัดการระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร และชี้ให้เห็นโอกาสในการเติบโตของEV ในอุตสาหกรรมขนส่งในประเทศไทย ขณะที่ คณิสสร์ ศรีวชิระประภา Chairman of Executive Committee จาก Nexpoint มาร่วมเสริมเกี่ยวกับโอกาสและการเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการ  EV Fleets เพื่อตอบโจทย์ สอดคล้องกับกระแสโลกที่มุ่งสู่ความยั่งยืนและการลดการปล่อยคาร์บอน และเชื่อมั่นว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำหรับระบบนิเวศน์ยานยนต์ไฟฟ้า ตั้งแต่เนิ่นๆ จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และดึงดูดการย้ายฐานการผลิตจากต่างประเทศ ในช่วงถัดมา ปจงวิช พงษ์ศิวาภัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้มาบรรยายในหัวข้อ “Smart Eco-Industrial Estates: Shaping the Future of Industrial Development” เผยวิสัยทัศน์ของ WHA Groupในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอัจฉริยะโดยผสานรวมแนวคิดริเริ่มสีเขียวหลากหลายรูปแบบตามกรอบของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มองหาโซลูชันที่ยั่งยืน ครอบคลุมตั้งแต่ระบบโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค การสื่อสาร การใช้พลังงานและน้ำ จนถึงการจัดการของเสีย ตามด้วยการเสวนา "Driving Smart Eco-Industrial Estates Towards Sustainability: The Role of Government, Private Sector, and Innovation" ร่วมกับบุปผา กวินวศิน รองผู้ว่าการ สายงานพัฒนาที่ยั่งยืน การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมถึงการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพื่อสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืน ตอบโจทย์นักลงทุนที่ใส่ใจ ทั้งมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และหลักธรรมาภิบาล (ESG) ในส่วนของบรรยายพิเศษ นันท์ศิลป์ เจนวารินทร์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ดับบลิวเอชเอ ดิจิทัล จำกัด และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้นำเสนอในหัวข้อ “Powering Innovation and Transformation” โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลเพื่อรับมือกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และการสร้างนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ โดย WHA Group ได้เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปี 2560 และประสบความสำเร็จในการพัฒนาแพลตฟอร์มและโซลูชันต่างๆ เช่น WHAPPY, WHASApp, และโครงการเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมถึงการนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความยั่งยืน ต่อด้วย ณัฐภัทร ธเนศวรกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์ และธุรกิจให้คำปรึกษา RISE  บรรยายในหัวข้อ “Corporate Innovation” โดยได้แบ่งปันแนวคิดและกรณีศึกษาเกี่ยวกับนวัตกรรมองค์กร พร้อมย้ำถึงความสำคัญของการปรับโครงสร้างองค์กร การสร้างแรงจูงใจ และการมองข้ามขอบเขตอุตสาหกรรม เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างครบวงจร ปิดท้ายด้วย ดิสพงศ์ พรชนกนาถ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท ดับบลิวเอชเอ  คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในหัวข้อ “Pioneering Generation” เผยกลยุทธ์ของ WHA ในการพัฒนาบุคลากรให้พร้อมรับมือกับความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และสภาพภูมิอากาศ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะ การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง และการปลูกฝังค่านิยม เช่น ความเคารพ ความไว้วางใจ และการทำงานร่วมกัน เพื่อสร้างทีมงานที่แข็งแกร่งและขับเคลื่อนองค์กรสู่ความสำเร็จ และในวันสุดท้าย เวทีเสวนาได้เจาะลึกถึง 3 ประเด็นสำคัญ เริ่มต้นด้วย “Innovations in Utilities and Renewable Energy: Collaborative Efforts for Sustainable Industrial Development” โดยสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ได้นำเสนอนโยบายและเป้าหมายของบริษัทในการมุ่งสู่ Net Zero ผ่านการใช้บริหารจัดการระบบสาธารณูปโภค พลังงานหมุนเวียน การมองหาโอกาสสำหรับธุรกิจพลังงานทดแทนใหม่   โดยมี อัครินทร์ ประเทืองสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์  พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ร่วมเสริมรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดการสาธารณูปโภคสำหรับภาคอุตสาหกรรม การนำ AI มาใช้ในในการบริหารจัดการสาธารณูปโภคและพลังงาน การคาดการณ์ปริมาณการใช้พลังงาน และการตรวจจับความผิดปกติของระบบพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการสูญเสีย ขณะที่ไพโรจน์ สัตยสัณห์สกุล กรรมการใน กนช. และกรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำภาคอุตสาหกรรม ลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก ได้มาให้มุมมองเกี่ยวกับความท้าทายในการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ EEC และความสำคัญของความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ปิดท้ายด้วย พิเชษฐ์ พรรณเชษฐ์ รักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานสาธารณูปโภค บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ที่มาเผยแนวทางของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในการใช้น้ำอย่างยั่งยืนและเตรียมรับภัยแล้ง เช่น ลดใช้น้ำ หาน้ำจากแหล่งอื่นรวมทั้งการร่วมมือกับ WHAUP ในการนำน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่อย่างระบบ Reclaimed Water เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการน้ำที่ยั่งยืนมากขึ้น ถัดมาเป็นเวที “ESG: Shape the Future with Sustainability Growth and Circularity ” โดย ดร.ธันยพร กริชติทายาวุธ ผู้อำนวยการบริหาร สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (GCNT) ได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของความยั่งยืนที่ธุรกิจต้องใส่ใจ และผลกระทบของกฎระเบียบใหม่ๆ เช่น EU Green Deal ต่อธุรกิจไทย ตามด้วยประสิทธิ์ ไวยาวัจมัย พาร์ทเนอร์และกรรมการ บริษัท อีอาร์เอ็ม-สยาม จำกัด (ERM) ได้เน้นย้ำถึงความคาดหวังของนักลงทุนด้าน ESG และแนะนำกรอบการดำเนินงาน รวมถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น EU Taxonomy และ EPR Law ด้านไกรลักขณ์ อัศวฉัตรโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้อธิบายถึงกลยุทธ์ความยั่งยืนของ WHA ตามแนวคิด "WHA Circular Innovation โดยให้ความสำคัญกับการปรับปรุงกระบวนการทำงาน (Process Improvement) เช่น การปรับเปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียน การนำวัสดุเหลือใช้มาทำให้เกิดประโยชน์  เป็นต้น และการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เช่น ธุรกิจ Reclamation Water  Mobilix  และการสร้างแพลตฟอร์มสำหรับซื้อขายแลกเปลี่ยนขยะวัสดุเหลือใช้ในนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น  และ ณัฐพรรษ ตันบุญเอก ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เสริมว่า WHA ให้ความสำคัญกับการสร้างความสมดุลระหว่างผลประกอบการและความยั่งยืน การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนแนวทางในการการลดคาร์บอน โดยมุ่งเน้นการสร้างมูลค่าระยะยาว และการลงทุนในด้านความยั่งยืนเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และตอบสนองความต้องการของลูกค้า ปิดท้ายด้วยหัวข้อเสวนา “Co-Creating the Future: WHA's Mission for Sustainable Community Development” โดยรักษ์พล กังน้อย ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการนิคมอุตสาหกรรม บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้อธิบายถึงกระบวนการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่คำนึงถึงความยั่งยืนและการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยนุชนาถ กองสูงเนิน ผู้อำนวยการนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด (ระยอง) เสริมถึงบทบาทของ กนอ. ในการสนับสนุนความยั่งยืนในภาคอุตสาหกรรมและชุมชน ผ่านแนวคิดนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ซึ่งครอบคลุม 5 มิติ คือ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรม และกายภาพ ขณะที่ ประทีป จุฬาเลิศ รองผู้อำนวยการสถาบันอาชีวศึกษาภาคตะวันออก ได้นำเสนอมุมมองเกี่ยวกับการพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมใน EEC และความร่วมมือกับ WHA ในโครงการ EEC Model Type A จากนั้น ในด้านของผู้แทนชุมชน พันจ่าเอกมนตรี ม่วงทำ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม อบต. เขาคันทรง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี กล่าวถึงความร่วมมือกับ WHA พัฒนาชุมชนด้านสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม เช่น สนับสนุนวัคซีนไข้หวัดใหญ่ จัดหาเครื่องมือแพทย์ พัฒนา อสม. และใช้นวัตกรรมแจ้งเตือนภัยน้ำท่วม ส่วนวิไลวรรณ พรายเพชร ตัวแทนกลุ่มสัมมาชีพชุมชนบ้านชากมะหาด อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ได้มาบอกเล่าถึงประโยชน์ที่ชุมชนได้รับจาก WHA เช่น การจัดหาผักตบชวาเป็นวัตถุดิบผลิตสินค้า รับซื้อผลิตภัณฑ์จากชุมชน สนับสนุนทุนการศึกษา และพัฒนาหมู่บ้าน สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ WHA ในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน และการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง WHA Open House 2024: Explore – Discover – Shape the Future ไม่ได้เป็นเพียงการเปิดบ้านโชว์ศักยภาพ แต่เป็นการจุดประกายความคิด สร้างแรงบันดาลใจ และเปิดมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับอนาคตของอุตสาหกรรมไทย ที่พร้อมจะก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน ด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน งานนี้จึงเป็นมากกว่า Open House แต่เป็นการร่วมกันสร้างอนาคต “Shape the Future” ที่เราต้องการอย่างแท้จริง

SUN จับมือ Tetra Pak ยกระดับอุตสาหกรรมอาหารไทย ด้วยบรรจุภัณฑ์อนาคต

SUN จับมือ Tetra Pak ยกระดับอุตสาหกรรมอาหารไทย ด้วยบรรจุภัณฑ์อนาคต

          หุ้นวิชั่น - บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) (SUN) ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด (Tetra Pak Thailand ) ผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์และโซลูชันการแปรรูปอาหาร พัฒนานวัตกรรม ข้าวโพดหวานบรรจุกล่อง Tetra Recart บรรจุภัณฑ์รูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งได้รับเกียรติจากผู้บริหารระดับสูงทั้งสองบริษัทเข้าร่วมลงนามสัญญา นำโดย นายองอาจ  กิตติคุณชัย  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SUN และ นางสาวรัตนศิริ ติลกสกุลชัย  กรรมการผู้จัดการ Tetra Pak Thailand เมื่อเร็วๆนี้ ณ บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) นายองอาจ กิตติคุณชัย กล่าวว่า SUN มองเห็นโอกาสขยายตลาดต่างประเทศ ที่ปัจจุบันเริ่มให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงได้ร่วมมือในการพัฒนาข้าวโพดหวานบรรจุกล่อง Tetra Recart ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมอาหารไทยให้ก้าวสู่มาตรฐานระดับโลก ด้วยเป้าหมายเพิ่มรายได้ของ SUN ให้เติบโตขึ้น 10-15% พร้อมขับเคลื่อนแนวทาง ESG (Environment, Social, Governance) อย่างชัดเจน นวัตกรรม Tetra Recart บรรจุภัณฑ์แห่งอนาคตเป็นที่นิยมในตลาดโลก โดยเป็นบรรจุภัณฑ์แบบคาร์บอนต่ำ ผลิตจากกระดาษที่ได้จากป่าปลูกทดแทนซึ่งมีการจัดการอย่างรับผิดชอบ ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อีกทั้งยังสามารถรีไซเคิลได้ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจทั้งคุณภาพและสิ่งแวดล้อม เชื่อว่ากล่องบรรจุภัณฑ์ Tetra Recart จะช่วยสร้างความแตกต่างและเสริมสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ KC ต่อผู้บริโภคทั่วโลก ด้าน นางสาวรัตนศิริ ติลกสกุลชัย กล่าวเสริมว่า Tetra Pak Thailand มีความยินดีที่ได้ร่วมงานกับ SUN ในการพัฒนานวัตกรรมที่ไม่เพียงช่วยเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นต่อความยั่งยืนที่ทั้งสองบริษัทมีร่วมกัน นับเป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารไทยให้สอดคล้องกับมาตรฐานระดับสากลอย่างยั่งยืนต่อไป

BEM มอบกิจกรรมสุดพิเศษให้ครอบครัวส่งท้ายปี

BEM มอบกิจกรรมสุดพิเศษให้ครอบครัวส่งท้ายปี

หุ้นวิชั่น - เทศกาลแห่งความสุขช่วงปลายปี เริ่มต้นขึ้นแล้ว!! บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM มอบกิจกรรมสุดพิเศษในช่วงเทศกาลให้สมาชิกในครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกันกับ Workshop “Family Art” รวมหลากหลายกิจกรรมสุดอาร์ตมาไว้ในเดือนเดียว สนุกไปกับกิจกรรมส่งต่อความสุขไปจนถึงสิ้นปี พร้อมนำผลงานสุดพิเศษไปมอบเป็นของขวัญปีใหม่ได้อีกด้วย โดยรายละเอียดกิจกรรม มีดังนี้ ·      สัปดาห์ที่ 1 วันที่ 3-4 ธันวาคม 67 : ปั้นดินไทย ·      สัปดาห์ที่ 2 วันที่ 11 ธันวาคม 67 : เพ้นท์เสื้อ ·      สัปดาห์ที่ 3 วันที่ 17-18 ธันวาคม 67 : เพ้นท์ถุงผ้า ·      สัปดาห์ที่ 4 วันที่ 24-25 ธันวาคม 67 : เพ้นท์ปกสมุดโน๊ต โดยกิจกรรมจะจัดขึ้นทุกวันอังคารและวันพุธตลอดเดือนธันวาคม เวลา 09.30 – 16.00 น.   ณ ห้อง Art Learning Centre ที่ Metro Art MRT สถานีพหลโยธิน ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมกิจกรรมล่วงหน้าได้ฟรี !! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป (รับจำนวนจำกัด) ผ่านทาง QR Code หรือ https://shorturl.asia/0P2rqสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook (เฟซบุ๊ก) และ X (เอ็กซ์) : BEM Bangkok Expressway and Metro

DUSIT คาดพลิกกำไรรอบ 7 ปี ท่องเที่ยวหนุน แนะ

DUSIT คาดพลิกกำไรรอบ 7 ปี ท่องเที่ยวหนุน แนะ "ซื้อ" ให้เป้า 16 บ.

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มอง คงมุมมองบวกต่อ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) คาดหวัง Upside ต่อประมาณการปี 2567-68** ฝ่ายวิเคราะห์เข้าร่วมประชุมนักวิเคราะห์และมีมุมมองเป็นบวก สรุปประเด็นสำคัญดังนี้ ► ผู้บริหารให้แนวโน้มธุรกิจโรงแรมใน 4Q67 เติบโตดี YoY สำหรับโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ (เปิดปลาย 3Q67) ปัจจุบันอัตราการเข้าพัก (Occ. Rate) อยู่ที่ราว 60% และ ADR เฉลี่ยที่ 10,000 บาท/คืน สะท้อนการ Ramp-up ที่ทำได้ดีสำหรับโรงแรมใหม่ ด้านค่าใช้จ่าย Pre-Operating จะรับรู้ใน 4Q67 อีกราว 20 ล้านบาท เพราะค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ถูกรับรู้ไปมากแล้วใน 3Q67 (~80 ล้านบาท) ► ต้นเดือน พ.ย. 67 บริษัทลงนามกับ Strategic Partner “Greenhouse” บริษัทชั้นนำด้านอาหารจากญี่ปุ่นที่เข้าลงทุน 20% ใน Epicure Catering (Dusit Foods ถืออยู่ 70%) ซึ่งสร้างโอกาสการเติบโตในกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศ เช่น โรงพยาบาล และสายการบิน ต่อยอดจากปัจจุบันที่ Epicure Catering ให้บริการในกลุ่มโรงเรียนนานาชาติ ► กลางเดือน พ.ย. 67 บจ. วิมานสุริยา (บริษัทย่อย) ได้ส่งมอบ Bare Shell (โครงสร้างตึก) ของธุรกิจ Retail ให้กับ CPN เพื่อทำการตกแต่งภายใน คาดรายการดังกล่าวจะรับรู้เป็นกำไรในงบ 4Q67 ของ DUSIT ราว 250-300 ล้านบาท (คิดบนสมมติฐานรายได้การโอน Bare Shell ที่ 4,000 ล้านบาท, NPM ที่ 10% และ DUSIT ถือบริษัทย่อย 70%) ► บริษัทคงเป้ารายได้รวมปี 2567 เติบโต 18-20% YoY และ EBITDA Margin ที่ 14-15% ซึ่งใกล้เคียงกับประมาณการของเรา แบ่งตามธุรกิจดังนี้: 1) ธุรกิจโรงแรม: คงเป้าหมายรายได้ +18-20% YoY จากการเติบโตของ RevPar และการกลับมาเปิดให้บริการโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ 2) ธุรกิจการศึกษายังเน้นการควบคุมค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ เพื่อช่วยชดเชยผลขาดทุนช่วงเริ่มต้นของ The Food School 3) ธุรกิจอาหาร: คงเป้ารายได้ +20-25% YoY เติบโตเด่นจากธุรกิจ Catering และร้าน Bakery 4) ธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ: การก่อสร้างส่วนที่เหลือของโครงการ Dusit Central Park (DCP) คืบหน้าตามแผน ตึก Office และ Retail คาดเปิดใน 3Q68 ส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ Residence จะเริ่มปลายปี 2568 ► โครงการ Residence ปัจจุบันขายไปแล้ว 83% คาดภายในสิ้นปี 2567 จะขายได้ตามเป้า 85% และเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ช่วง 4Q68-2Q69 โดยผู้บริหารคาดจะโอนกรรมสิทธิ์ได้ครบทั้งโครงการภายใน 2H69 ซึ่งดีกว่าประมาณการของเราที่คาดว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ภายในปี 2569 ที่ 85% ของทั้งโครงการ ► ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองเป็นบวกหลังการประชุม แม้บริษัทจะคงเป้าการเติบโตของรายได้และแผนการเปิดโครงการ DCP ตามเดิม แต่เราเห็นปัจจัยหนุนเชิงบวกจาก: 1) กำไรจากการโอน Bare Shell ที่สูง +/- 300 ล้านบาท จะช่วยให้ 4Q67 มีโอกาสขาดทุนน้อยกว่าที่เราประเมินไว้ก่อนหน้า เบื้องต้นคาดผลขาดทุนปกติระดับ 50-100 ล้านบาท (เดิมคาด 200 ล้านบาท) 2) ปัจจุบัน Occ. Rate และ ADR ของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ใกล้เคียงกับสมมติฐานทั้งปี 2568 ของเรา แม้เพิ่งเปิดโรงแรม ซึ่งหาก Occ. Rate และ ADR ยังทรงตัวในระดับสูง และปรับตัวขึ้นได้ดีในปีหน้า จะเป็น Upside ต่อประมาณการในระยะถัดไป ฝ่ายวิเคราะห์คงมุมมองบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการปี 2568 คาดพลิกกลับมารายงานกำไรปกติในรอบ 7 ปี คาดกำไรปกติปี 2568-2569 ที่ 520 ล้านบาท และ 1,800 ล้านบาท (+244% YoY) ตามลำดับ การเติบโตหนุนจาก:1) การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว 2) ผลบวกของโครงการ DCP โดยเฉพาะใน 2H68 หลังผ่านช่วง Ramp-up โรงแรมใหม่ การเปิดโครงการ Retail, Office และการเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ Residence ช่วงปลายปี ► คงคำแนะนำ “ซื้อ” และคงราคาเหมาะสม 16.00 บาทต่อหุ้น ปัจจุบันหุ้นซื้อขายบน PER68 ที่ 18 เท่าและ EV/EBITDA68 เพียง 7 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม (ตารางที่ 1) เราประเมินว่าถูกเกินไปเทียบกับการ Turnaround ตลาดควร Re-rate Multiple สะท้อนการฟื้นตัวของผลประกอบการและการรับรู้รายได้รอบใหญ่จาก DCP ในระยะ 12 เดือนจากนี้ ► ความเสี่ยง: นักท่องเที่ยวต่ำกว่าคาด, เศรษฐกิจถดถอยรุนแรง, เปิดโครงการใหม่ล่าช้า, และการแข่งขันด้านราคา

[Vision Exclusive] แฮกเกอร์อาละวาดห้างดัง SECUREระบบไซเบอร์ดีด

[Vision Exclusive] แฮกเกอร์อาละวาดห้างดัง SECUREระบบไซเบอร์ดีด

บิ๊ก "SECURE" มั่นใจตลาด Cybersecurity คึกคัก ชี้ดีมานด์ความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลพุ่ง พร้อมดันผลงานปี 2568 โตต่อ 15% เปิดตัวโปรดักส์ใหม่สร้างรายได้ โบรกมองบวกหุ้น Tech Consult คาด BE8, BBIK โดดรับอานิสงส์           หุ้นวิชั่น – นายนักรบ เนียมนามธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว จำกัด (มหาชน) หรือ SECURE เปิดเผยกับ ทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า จากกรณีแฮกเกอร์รายหนึ่งได้ประกาศขายข้อมูลสมาชิกของ "The1" ซึ่งเป็นโปรแกรมสะสมคะแนนของห้างเซ็นทรัล จำนวน 5.1 ล้านราย โดยตั้งราคาขายข้อมูลทั้งหมดที่ 1.2 หมื่นเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 400 ล้านบาท) ทำให้เกิดความกังวลในเรื่องของความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลในภาคธุรกิจค้าปลีก SECURE บริษัทตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์โซลูชั่นด้านการรักษาความปลอดภัยทางเทคโนโลยีไซเบอร์ (Cybersecurity) เปิดเผยว่าแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวม 839.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91.63 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 12.25 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกันบริษัทมีรายได้จากกำไรเบ็ดเสร็จรวม 69.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.34 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 11.78 สำหรับแนวโน้มการเติบโตในปี 2567 บริษัทคาดว่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 15% ขณะที่ปี 2568 คาดว่าจะเติบโตในระดับใกล้เคียงกับปีนี้ที่ 15% ซึ่งยังคงสูงกว่าอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรม โดย SECURE เตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อรองรับความต้องการในด้านระบบซีเคียวริตี้ในอนาคต ทั้งนี้การเติบโตดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากการที่หลายองค์กรตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาความปลอดภัยในฐานข้อมูลลูกค้า โดยเฉพาะองค์กรที่มีจำนวนสมาชิกหรือผู้ใช้บริการจำนวนมาก เช่น โรงพยาบาลและธุรกิจรีเทล. ส่วนปี 2568 คาดจะเติบโตได้ในระดับใกล้เคียงกับปีนี้ หรือที่ 15% ซึ่งยังเติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรม โดยบริษัทจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อรองรับความต้องการในฝั่งระบบซีเคียวริตี้ ทั้งนี้ หากแยกตามประเภทของผู้ใช้งาน (End user) ของ SECURE สามารถแบ่งได้เป็น 5 กลุ่มผู้ใช้งาน ได้แก่ กลุ่มสถาบันการเงิน (Banking, Financial services and Insurance หรือ BFSI)ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมการธนาคารหลักทรัพย์ และประกันภัย กลุ่มอุตสาหกรรม (Enterprise)ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมการผลิตสินค้า กลุ่มรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ (Government & State enterprise) กลุ่มโทรคมนาคม (Telecom & Internet service provider หรือ ISP)ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กลุ่มอื่นๆ (Others)ซึ่งอยู่ในธุรกิจภาคเอกชนที่เน้นการให้บริการ เช่น โรงภาพยนต์ โรงแรม โรงพยาบาล โรงเรียน สถานพยาบาล และธุรกิจซื้อขายไป (Trading) เป็นต้น บริษัทจะจำหน่ายสินค้าให้แก่ผู้รับเหมารวบรวมระบบและเทคโนโลยี (System integrator: SI) เพื่อนำไปประกอบเป็นโซลูชั่นทางเทคโนโลยีเสนอให้แก่ผู้ใช้งานโดยตรง (End User) ดังกล่าว ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า แฮกเกอร์ประกาศขายข้อมูลสมาชิกห้างดัง (The1 ในส่วนของห้าง Central) จำนวน 5.1 ล้านราย ด้วยมูลค่า 1.2 หมื่นเหรียญฯ มองจิตวิทยาลบต่อหุ้น CRC แต่น่าจะสร้างโอกาสทางบวกต่อหุ้นในกลุ่ม Digital Tech Consult อาทิ BE8, BBIK ที่ในอนาคตองค์กรต่างๆ น่าจะพัฒนาระบบความปลอดภัยข้อมูลให้มีความเข้มงวดมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ดังกล่าว สำหรับ BE8 หรือ บริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด (มหาชน) ที่ปรึกษาด้าน Digital Transformation ให้บริการแบบครบวงจรในด้านการบริหารจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) การวิเคราะห์ข้อมูลและเทคโนโลยีดิจิทัล และเป็นตัวแทนจำหน่ายซอฟต์แวร์ของบริษัทชั้นนำ เช่น Salesforce, Google, MuleSoft, และ Tableau ส่วน BBIK หรือ บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ และการจัดการนวัตกรรมและเทคโนโลยี และธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive]  ROJNA ขึ้นหุ้นใหญ่ PHG  เสริม Synergy ธุรกิจ รพ.

[Vision Exclusive] ROJNA ขึ้นหุ้นใหญ่ PHG เสริม Synergy ธุรกิจ รพ.

หุ้นวิชั่น# ROJNAนั่งแทนหุ้นใหญ่PHGหลังBig Lot 19.36% จากผู้ถือหุ้นเดิม ช่วงราคาซื้อขาย 17.00-17.25 บาทต่อหุ้น ที่ผ่านมีลงทุนอยู่แล้วตั่งแต่ IPO ในราคาจองซื้อหุ้นละ 21.00 บาท จำนวน15 ล้านหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น  315.00 ล้านบาท มองโอกาสในการ Synergy ธุรกิจทั้งสองฝ่าย เนื่องจากโรจนะมีโรงงานยา และโอกาสขยายโรงพยาบาล ฐานลูกค้าเพิ่ม เผยทีมบริหารไม่เปลี่ยนแปลง  พร้อมจับตาการเติบโตที่แข็งแกร่งต่อเนื่องของ PHG ในปีหน้า ส่วนปีนี้ รายได้คาดเติบโต 10% จากปีก่อน           นายรณชิต แย้มสอาด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพทย์รังสิตเฮลท์แคร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ PHG เปิดเผยว่า ล่าสุด ได้มีการรายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ ในเรื่องของสรุปการซื้อขายหุ้นของบริษัท ผ่านระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์บนกระดานรายใหญ่ (Big Lot Bord) ของกลุ่มผู้ถือหุ้น ในวันที่ 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา รวมทั้งสิ้นกว่า 58,077,700 หุ้น คิดเป็น 19.36% ของหุ้นที่ชำระแล้วของบริษัท ส่งผลให้โครงสร้างการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่เปลี่ยน โดย บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) หรือ ROJNA ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ อันดับ 1  มีสัดส่วนหลังทำรายการ เป็น 24.50% ถือหุ้นในจำนวน73,500,000 หุ้น จากเดิม 5.14% ถือหุ้นในจำนวน  15,422,300 หุ้น อันดับสองเป็น นางดวงใจ ตระกูลช่าง มีการขายหุ้นออกไป ลดสัดส่วนลงเหลือ 21,877,300 หุ้น  คิดเป็นสัดส่วน 7.29% นอกจากนี้ นายกมลกฤช ตระกูลช่าง รวมไปถึงนางสาวธนัชภัสสร เศรษฐาตินันท์ และนางสาวฤทัยรัตน์ ตระกูลช่างก็มีการขายหุ้นออกไปทั้งหมด  โดย ROJNA มีการเข้ามาลงทุนใน PHG ตั้งแต่ช่วงที่ IPO แล้ว           การปรับโครงสร้างการถือหุ้นระหว่าง ROJNA และ PHG ไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจปัจจุบัน แต่เป็นการสร้างโอกาสในการเสริมสร้างความร่วมมือทางธุรกิจ (Synergy) เนื่องจาก ROJNA มีธุรกิจด้านยาที่สามารถต่อยอดร่วมกับ PHG ได้ หรือโอกาสที่จะเห็นการขยายโรงพยาบาลใหม่ ขยายฐานลูกค้าใหม่ ร่วมกับโรจนะต่อไป ซึ่งจะมีการเจรจารายละเอียดเพิ่มเติมในอนาคต โดยเหตุผลที่ ROJNA เลือกลงทุนใน PHG เนื่องจากทั้งสองบริษัทมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน โดยเฉพาะกับผู้ร่วมก่อตั้งอย่างคุณกมลกฤช ตระกูลช่าง นอกจากนี้ โรงพยาบาลในเครือ PHG ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง           ส่วนธุรกิจโรงพยาบาลยังคงเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในช่วงไตรมาส 4/2567 อาจชะลอตัวเล็กน้อยจากไตรมาส 3/2567 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ อย่างไรก็ตาม รายได้จากการตรวจสุขภาพ (Check-up) ซึ่งมีจำนวนมากในช่วงปลายปี จะเข้ามาช่วยสนับสนุนให้รายได้รวมของปีนี้เติบโตได้ประมาณ 10% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,160 ล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 โรงพยาบาลมีรายได้แล้ว 1,747 ล้านบาท           สำหรับปีหน้า คาดว่าธุรกิจจะเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในส่วนของประกันสังคมที่คาดว่าจะได้รับโควตาเพิ่มเป็น 170,000 ราย จากปีนี้ที่ 156,000 ราย อีกทั้ง หากสำนักงานประกันสังคมปรับอัตราค่าบริการทางการแพทย์ประเภทผู้ป่วยในด้วยโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (AdjRW ≥ 2) กลับมาเป็นอัตราเดิมที่ 12,000 บาทต่อ AdjRW จะส่งผลให้รายได้จากส่วนนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากรายได้ของโรงพยาบาลกว่า 45% มาจากกลุ่มประกันสังคม           ทั้งนี้ บริษัท แพทย์รังสิตเฮลท์แคร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดให้บริการทางการแพทย์ในรูปแบบโรงพยาบาลทั่วไป(General Hospital) ภายใต้โรงพยาบาลแพทย์รังสิต (“PRH”) โรงพยาบาลแพทย์รังสิต 2 (“PRH2”) และโรงพยาบาลเฉพาะทางแม่และเด็กแพทย์รังสิต (“MCH”) ซึ่งจดทะเบียนภายใต้บริษัท ปทุมรักษ์เวชการจำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ให้บริการในรูปแบบโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านสูตินรีเวชกรรมและกุมารเวชกรรม(เรียกรวมว่า “กลุ่มโรงพยาบาลแพทย์รังสิต”) รวมมีจำนวนเตียงจดทะเบียนทั้งสิ้น 270 เตียง ประกอบด้วยจำนวนเตียงจดทะเบียนของโรงพยาบาลแพทย์รังสิต 155 เตียง โรงพยาบาลแพทย์รังสิต 2 จำนวน 59 เตียงและโรงพยาบาลเฉพาะทางแม่และเด็กแพทย์รังสิต จำนวน 56 เตียง ตามลำดับโรงพยาบาลทั้ง 3 แห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณเดียวกัน โดยให้บริการทั้งกลุ่มลูกค้าทั่วไปและกลุ่มลูกค้าภายใต้โครงการสวัสดิการภาครัฐ           อนึ่งฯ หากย้อนไปดู ROJNA มีการลงทุนในธุรกิจสุขภาพต่อเนื่อง อย่างในปี 2565 มีที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 2/2565 เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565 มีมติอนุมัติให้เข้าซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ไทยยูนิเวสต์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป จำกัด คิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้น 30% ของทุนจดทะเบียนและชำระแล้ว มูลค่ารวม 600 ล้านบาท โดยบริษัทดังกล่าวประกอบธุรกิจหลักคือการลงทุนในบริษัทอื่น (Holding Company) ซึ่งประกอบด้วยบริษัทดังต่อไปนี้: บริษัท แอดวานซ์ ฟาร์มาซูติคอล แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยาและเวชภัณฑ์ บริษัท เนเชอรัล โปรดักท์ ซัพพลาย พลัส จำกัด ดำเนินธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและเวชสำอาง บริษัท เภสัชกรรมนครพัฒนา จำกัด ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยารักษาโรค บริษัท แคปซูลโปรดักส์ จำกัด ดำเนินธุรกิจผลิตแคปซูลเปล่าบรรจุยา บริษัท ไบโอ-อันโนวา จำกัด ดำเนินธุรกิจวิจัยและพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ยา บริษัท เจนไซน์ รีเสิร์ช จำกัด ดำเนินธุรกิจวิจัยและพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ รวมถึง การผลิตเภสัชภัณฑ์และเคมีภัณฑ์ที่ใช้รักษาโรค           และในปี 2566 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 2/2566 เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2566 มีมติอนุมัติให้จองซื้อหุ้นสามัญ ของบริษัท แพทย์รังสิตเฮลท์แคร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบธุรกิจสถานพยาบาล ปัจจุบันมีโรงพยาบาล  3 แห่ง ในราคาจองซื้อหุ้นละ 21.00 บาท จำนวน  15  ล้านหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น  315.00 ล้านบาท ซึ่งจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเดือนกรกฎาคม 2566 การลงทุนในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการลงทุนในระยะยาว และเป็นการขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์ใหม่ อันเนื่องมาจากปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของสังคมไทย อาทิ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การขยายตัวของชุมชนเมือง และกระแสการดูแลสุขภาพที่กำลังอยู่ในความสนใจของคนทั่วโลก อย่างไรก็ดี คาดว่าราคาซื้อขายหุ้น PHG ของ ROJNA อยู่ที่ประมาณ 17.00-17.25 บาทต่อหุ้น นาย มงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงดีลดังกล่าวว่า ปกติแล้ว ROJNAจะมีการกระจายการลงทุนอยู่แล้ว และที่ผ่านมาก็มีการเข้าลงทุนธุรกิจยาอยู่ด้วย ดังนั้นการลงทุนธุรกิจโรงพยาบาลยังมองว่าเป็นความต้องเนื่อง และช่วยเสริมการการเติบโตของรายได้ต่อไป

‘ZEEKR วิภาวดี’ โชว์รูมยานยนต์ไฟฟ้าพรีเมียม-ลักชัวรี่

‘ZEEKR วิภาวดี’ โชว์รูมยานยนต์ไฟฟ้าพรีเมียม-ลักชัวรี่

          หุ้นวิชั่น - บริษัท ซี โมบิลิตี้ พลัส จำกัด ผู้แทนจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าพรีเมียม-ลักชัวรี่ ‘ZEEKR’ (ซีกเกอร์) ที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ จาก ซีกเกอร์ ประเทศไทย ภายใต้ บริษัท นีโอ โมบิลิตี้  เอเชีย จำกัด เชิญชวนสัมผัสโชว์รูมยานยนต์ไฟฟ้าพรีเมียม-ลักชัวรี่ ZEEKR สาขาวิภาวดี กรุงเทพมหานคร ภายใต้แนวคิดการออกแบบ ‘ZEEKR House’ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า พร้อมมอบประสบการณ์ใหม่อย่างเหนือระดับ ธีรวรรณ จิวจินดา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ซี โมบิลิตี้ พลัส จำกัด กล่าวว่า “ZEEKR House วิภาวดี ทำเลที่เชื่อมต่อกับหลากหลายย่าน ได้รับการออกแบบให้เป็นโชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐานครบวงจร โดยเน้นให้ความสำคัญด้านบริการหลังการขาย การดูแลลูกค้า พร้อมศูนย์ฝึกอบรม ภายใต้อาคาร 3 ชั้น ริมถนนวิภาวดี-รังสิต ฝั่งขาเข้า ได้รับการออกแบบอย่างโดดเด่น สามารถมองเห็นได้ในระยะไกล โดยต่อยอดจาก ZEEKR House ศรีนครินทร์ ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ประกอบด้วย พื้นที่จัดแสดงยานยนต์ไฟฟ้าได้ถึง 10 คัน  ติดตั้ง Wall Charger รองรับการส่งมอบยานยนต์ไฟฟ้าพร้อมกันถึง 4 จุด พร้อมพื้นที่สำหรับบริการ ซิกท์ รถเช่า ประเทศไทย, Auto Smart บริการดูแลรักษารถยนต์แบบครบวงจรระดับพรีเมี่ยม, Z Café บริการเครื่องดื่มและขนมแสนอร่อย รวมถึงพื้นที่เลาจน์สบายๆ สำหรับลูกค้า ZEEKR โดยเฉพาะ เรียกว่าเป็นพื้นที่คอมมูนิตี้ ขนาดย่อม ที่เอื้อต่อไลฟ์สไตล์ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ที่มีความสะดวกสบาย ครบ จบในที่เดียว” ++Elegant, Warm และ Dynamic หลอมรวมเป็น ZEEKR House งานออกแบบ ZEEKR House ถูกขับเคลื่อนด้วย 3 แนวคิดหลัก คือ Elegant ความสง่างามเหนือระดับ ถ่ายทอดผ่านรายละเอียดการเลือกใช้วัสดุคุณภาพเปี่ยมด้วยรสนิยม, Warm พัฒนาประสบการณ์ด้านยานยนต์โดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และ Dynamic เน้นให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี และการขับเคลื่อนอย่างมีพลัง สอดคล้องกับการเป็นยานยนต์พลังงานไฟฟ้า ตัวแทนคนรุ่นใหม่ และวิสัยทัศน์แห่งอนาคต ++ ZEEKR แบรนด์ยานยนต์ไฟฟ้าพรีเมียม-ลักชัวรี่ ขับเคลื่อนสู่อนาคต ZEEKR ถือกำเนิดช่วงปี พ.ศ. 2564 เป็นแบรนด์รถยนต์ในเครือ Geely Holding Group ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนรายใหญ่ ส่งขายทั่วโลกกว่า 2.79 ล้านคัน โดยเกือบ 1 ล้านคัน เป็นรถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊ก-อิน ไฮบริด มีพนักงานกว่า 130,000 คน ซึ่งแต่ละตัวอักษรของชื่อ ‘ZEEKR’ ล้วนมีความหมาย โดย ZE คือ Zero (ศูนย์) เป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นไปได้โดยไม่มีที่สิ้นสุด E ตัวถัดมา คือ Evolving the Electric Era (วิวัฒนาการไปสู่ยุคแห่งระบบไฟฟ้า) และ KR คือ Krypton ซึ่งเป็นก๊าซหายากที่จะเปล่งแสงออกมาได้เมื่อโดนไฟฟ้า ++ZEEKR X–Reinventing the Urban SUV คอมแพกต์เอสยูวีหรู สำหรับการเดินทางในเมืองและนอกเมือง รองรับลูกค้าที่ชื่นชอบการผจญภัย และการใช้งานแบบครอบครัวได้อย่างลงตัว สร้างขึ้นบนพื้นฐาน Sustainable Experience Architecture (SEA) ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ออกแบบสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ไฟท้ายแอลอีดี 229 ดวง คาดยาวเต็มความกว้างของฝาท้าย หลังคาเป็นพาโนรามิกซันรูฟ ช่วยสร้างความรู้สึกปลอดโปร่ง และสามารถป้องกันความร้อนและรังสียูวีได้ถึง 99% กลางแดชบอร์ดติดตั้งทัชสกรีนอเนกประสงค์ 14.6 นิ้ว จอแสดงผลหน้าผู้ขับ 8.8 นิ้ว โดยรุ่น Flagship AWD มาพร้อม ‘Augmented Reality-HUD’ ระบบเฮด-อัพ ดิสเพลย์อัจฉริยะแบบพาโนรามาขนาด 24.3 นิ้ว ฉายภาพคมชัดบนกระจกหน้า และระบบเสียงรอบทิศทางจาก ยามาฮ่า 13 ตำแหน่ง นับเป็นยนตรกรรมไฟฟ้าพรีเมียม-ลักชัวรี่ ที่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาการเดินทางรูปแบบใหม่ ในยุคที่สังคมตื่นตัวเรื่องพลังงานสะอาด ZEEKR X Standard RWD มอเตอร์เดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหลัง กำลังสูงสุด 200 kW ชาร์จเต็ม ได้ไกลสุด 440 กิโลเมตร (มาตรฐาน WLTP) ราคา 1,199,000 บาท ZEEKR X Flagship AWD มอเตอร์คู่ (ขับเคลื่อน 4 ล้อ) กำลังรวมสูงสุด 315 kW ชาร์จเต็ม วิ่งได้ไกลสุด 420 กิโลเมตร (มาตรฐาน WLTP) ราคา 1,349,000 บาท ++ZEEKR 009-Every Journey Shines เอ็มพีวีพลังงานไฟฟ้าระดับพรีเมียม-ลักชัวรี่ ผสมผสานความหรูหราระดับเฟิร์สคลาส นวัตกรรมอัจฉริยะ สมรรถนะที่เหนือชั้น และความปลอดภัยขั้นสูงสุด ภายใต้แนวคิด ‘Every Journey Shines’ รูปลักษณ์หรูหราเต็มพิกัด ล้ออัลลอยขอบ 20 นิ้ว ห้องโดยสารติดตั้งเบาะหนัง Nappa พร้อมระบบนวดไฟฟ้า เบาะผู้โดยสารแถวสองแบบ Sofaro First Class Airline Seats พร้อมโหมดการการปรับแบบ Eames Lounge Chair Mode สามารถปรับนอนได้ด้วยการกดปุ่มเดียว ล้ำสมัยด้วยระบบ Augmented Reality-Head Up Display ขนาด 35.95 นิ้ว รวมถึงทัชสกรีน OLED บริเวณเพดานสำหรับผู้โดยสารด้านหลังขนาด 17 นิ้ว ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 8295 ประมวลผลรวดเร็ว พร้อมระบบเสียงรอบทิศทางจากลำโพง YAMAHA 30 ตำแหน่ง ขับเคลื่อนแบบ AWD (all-wheel drive) ผ่านมอเตอร์คู่ กำลังสูงสุด 450 kW หรือ 603 แรงม้า แรงบิด 693 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 4.5 วินาที แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน ขนาด 116 kWh ชาร์จไฟเต็มวิ่งได้ไกลสุด 686 กิโลเมตร (NEDC) เพิ่มสุนทรียภาพในการเดินทางด้วย ระบบช่วงล่างถุงลมประสิทธิภาพสูงพร้อมระบบ CCD Electromagnetic Damping ช่วยลดแรงสะเทือนอย่างมีประสิทธิภาพ ZEEKR 009 ราคา 3,099,000 บาท มาพร้อมประกันภัยชั้นหนึ่ง, การรับประกันตัวรถ 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร การรับประกันมอเตอร์และแบตเตอรี่แรงดันสูง 8 ปีหรือ 180,000 กิโลเมตร บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง และบริการ Mobile Service นาน 5 ปี พิเศษ สำหรับลูกค้า 1,000 ท่านแรก รับฟรี Wallbox จาก ‘VREMT’ พร้อมแพคเกจติดตั้ง มูลค่า 70,000 บาท*

รัฐลดค่าไฟเหลือ 4.15บ. กระทบโรงไฟฟ้าน้อยกว่าคาด

รัฐลดค่าไฟเหลือ 4.15บ. กระทบโรงไฟฟ้าน้อยกว่าคาด

          หุ้นวิชั่น - นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานจะประกาศลดค่าไฟฟ้างวดม.ค.-เม.ย. 2568 จากค่าไฟฟ้าเฉลี่ยในงวดปัจจุบัน (ก.ย.-ธ.ค. 2567) ซึ่งอยู่ที่ 4.18 บาท/หน่วย ลงอีก 3 สตางค์/หน่วย หรือค่าไฟฟ้าจะลดลงเหลือ 4.15 บาท/หน่วย โดยจะมีผลตั้งแต่เดือน ม.ค-เม.ย. 2568 ทั้งนี้เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพและเป็นของขวัญปีใหม่ 2568 ให้กับพี่น้องชาวไทยทุกคน “ผมเพิ่งได้รับแจ้งเบื้องต้นเป็นข่าวดีจากทางสำนักงาน กกพ. ซึ่งจะปรับลดค่าไฟในงวดหน้า (ม.ค.-เม.ย.2568) ลงได้อีก และเหลือเฉลี่ยหน่วยละ 4.15 บาท หลังจากที่ผมได้ขอให้ทุกหน่วยงานได้ไปลองดูว่าจะสามารถลดค่าไฟลงได้อีกหรือไม่ เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพให้พี่ น้องประชาชน ในนามรัฐบาลและกระทรวงพลังงานขอถือโอกาสนี้มอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับทุกท่าน และขอขอบคุณ กกพ.ในฐานะหน่วยงานหลักขอบคุณ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และปตท.ในการร่วมกันกับรัฐบาลช่วยเหลือพี่ น้องประชาชน” นายพีระพันธุ์กล่าว           ภายหลังจากสิ้นสุดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นในการประชุมคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในวันนี้ (27 พ.ย.) ได้มีมติเห็นชอบทบทวนค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) และค่าไฟฟ้าเรียกเก็บงวดเดือนม.ค.-เม.ย. 2568 โดยให้เรียกเก็บลดลงเหลือ 4.15 บาทต่อหน่วย เป็นผลจากการที่ได้มีการทบทวนตัวเลข และประมาณการที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง กกพ.จะได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป           ด้านบล.ดาโอ มีมุมมองเป็นบวกต่อกลุ่มไฟฟ้า (ค่าไฟฟ้าลดลงน้อยกว่าคาด) โดยเฉพาะโรงไฟฟ้า SPP ต่อค่าไฟฟ้างวด ม.ค.-เม.ย. 2025 แม้ค่าไฟฟ้าจะลดลงเล็กน้อยจากปัจจุบันและลดลงจากเคสต่ำสุดในการทำประชาพิจารณ์ที่ 4.18 บาท/หน่วย อย่างไรก็ตามยังเป็นอัตราที่ยัง cover ต้นทุนค่าพลังงาน และมีส่วนต่างเป็นบวกจากการคืนหนี้ EGAT ประเมินโรงไฟฟ้าที่ได้รับ positive sentiment จากประเด็นดังกล่าวตามสัดส่วนลูกค้า IU ซึ่งได้รับประโยชน์คือ GPSC (ซื้อ/เป้า 60.00 บาท), BGRIM (ซื้อ/เป้า 35.00 บาท), GULF (ถือ/เป้า 65.00 บาท)

PRTR โค้งท้ายเด่น Outsource High Season

PRTR โค้งท้ายเด่น Outsource High Season

          หุ้นวิชั่น - PRTR ส่งซิกผลงานโค้งสุดท้ายของปีเด่น ปัจจัยบวกจากธุรกิจ Outsource หนุน เตรียมส่งมอบพนักงานอีก 500 รายเกินเป้า 18,500 ที่ตั้งไว้สำหรับปีนี้ ด้าน Recruitment ฟื้นตัว ขณะที่ ธุรกิจใหม่โตตามแผน รายได้พุ่งเท่าตัวเติบโต เกิน 100% พร้อมคุมต้นทุนเยี่ยม แย้ม PINNO ซอฟต์แวร์ตอบโจทย์การบริหารทรัพยากรบุคคล ได้ลูกค้าใหม่ อยู่ระหว่างดำเนินการขึ้นระบบในช่วง Q4/67 - Q1/68 รวมทั้ง นำพนักงานในกลุ่ม PRTR กว่า 18,500 คน เข้ามาเสริมทัพ สะท้อน PINNO สามารถรองรับผู้ใช้งานในสเกลใหญ่ได้แบบหายห่วง จึงมั่นใจ ผลงานปีนี้ทั้งธุรกิจหลักและธุรกิจใหม่ ผ่านฉลุย เดินหน้าสู่เป้าหมายรายได้ทั้งปีเติบโต 10–15% ตามนัด ส่วนปี 68 ท็อปฟอร์มต่อเนื่อง   นางสาว ริศรา เจริญพานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีอาร์ทีอาร์ กรุ๊ป จํากัด (มหาชน) หรือ PRTR ผู้นำ Total HR Solutions เปิดเผยถึง ภาพรวมธุรกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปี มีแนวโน้มสดใส  คาดจะเติบโตในระดับใกล้เคียงกับช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานทำ All Time High ต่อเนื่องในทุกไตรมาส รายได้เติบโตระดับ 15–16% พร้อมรักษาอัตรากำไรได้ในระดับที่ดี และในไตรมาส 4 ไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดขึ้น สนับสนุนภาพรวมรายได้ปีนี้ PRTR ตั้งเป้าจะเติบโต 10-15% จากปีก่อน คาดทำได้ตามนัด โดยแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2567 ได้รับปัจจัยบวกจากธุรกิจจัดจ้างพนักงาน (Outsource) บริษัทถือเป็น Top 3 ผู้นำในอุตสาหกรรม มีทิศทางที่ดีตามเทรนด์การจัดจ้างพนักงานเพิ่มขึ้น และมีฐานลูกค้าใหม่ๆ เข้ามามากขึ้น ในโค้งสุดท้ายของปีมีพนักงานที่รอเริ่มงานเพิ่มอีกจำนวนประมาณ 500 ราย ทยอยส่งมอบในสิ้นปีนี้ถึงต้นปีหน้า ในกลุ่มพนักงานขาย (PC) ซึ่งเป็นกลุ่มหลักของบริษัทฯ รวมทั้ง กลุ่มออฟฟิศ พนักงานขับรถ และ Customer Service ขณะที่ การกลับมาของธุรกิจบริการสรรหาพนักงาน (Recruitment) คาดว่ามีดีมานด์กลับเข้ามาในการสรรหาบุคลากรในปีหน้า พนักงานกลุ่ม Junior และ Middle Level เติบโตตามแผน มองปีหน้าตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง (Top Executive) จะกลับมาเติบโตได้เช่นกันจากภาพรวมเศรษฐกิจที่มีทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้มองตลาด Recruitment ปีหน้าจะกลับมาฟื้นตัว ด้านธุรกิจใหม่ของ PRTR เริ่มเห็นสัญญาณบวก ในปีนี้ตั้งเป้าธุรกิจใหม่จะสามารถลดสัดส่วนการขาดทุนลง โดยงวด 9 เดือนแรกมีรายได้ที่ 50.4 ล้านบาท เติบโต 101% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยไฮไลท์ในธุรกิจ PINNO ซอฟต์แวร์ตอบโจทย์การบริหารทรัพยากรบุคคล ปัจจุบัน มีโปรเจกต์ใหม่ที่อยู่ระหว่างการขึ้นระบบ (Implementation Process) จำนวนพนักงานประมาณ 4,700 user สนับสนุนไตรมาส 4/2567 ไปจนถึงไตรมาส 1/2568 ทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่อง เสริมความแข็งแกร่งจากปัจจุบันมีผู้ใช้งานในระบบอยู่ที่ประมาณ 18,000 ราย หรือ คิดเป็นลูกค้าเกือบ 30 ราย ซึ่งยังไม่นับรวมโปรเจกต์ของ PRTR ที่อยู่ระหว่างย้ายพนักงานในกลุ่มกว่า 18,500 ราย ไปใช้ซอฟต์แวร์ PINNO ในการบริหารทรัพยากรบุคคลในช่วงต้นปีหน้า ช่วยลดต้นทุน และตอกย้ำความเชื่อมั่น PINNO สามารถรองรับพนักงานในสเกลขนาดใหญ่ได้ โดยคาดปีหน้าธุรกิจ PINNO จะถึงจุดคุ้มทุนสามารถ Break Even ได้ เป็นไฮไลท์ตัวถัดไปจาก “The Blacksmith” ธุรกิจให้บริการฝึกอบรม (Integrated Learning Service) เติบโตในทิศทางที่เราคาดหวังไว้ คาดจะถึงจุดคุ้มทุนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ขณะที่ Nexmove Platform บริษัทฯ ได้พัฒนาแพลตฟอร์มให้บริการลูกค้าในการสรรรหาพนักงานด้วยระบบ AI ล้ำสมัย คาดหวังรายได้เข้ามาและการบริการที่ครบวงจรยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี ภาพรวมธุรกิจในปี 2568 ยังมองเห็นการเติบโตของธุรกิจหลักอย่างต่อเนื่อง จึงตั้งเป้ารายได้เติบโตต่อเนื่องในระดับ 10-15% จากปีก่อน ด้านธุรกิจใหม่ฐานรายได้ในปีนี้ยังเล็กอยู่ ดังนั้นคาดรายได้จาก The Blacksmith  – PINNO – NEXMOVE จะสามารถ Break Event ได้ บนฐานรายได้ที่คาดจะเติบโตจากปีก่อนในระดับ 70-80%         สำหรับความคืบหน้าการแสวงหาโอกาสลงทุนในรูปแบบ M&A ปัจจุบัน ยังอยู่ระหว่างพูดคุยกับพันธมิตรทั้ง 2 ดีล โดยพิจารณาปัจจัยรอบด้านอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ดีลในครั้งนี้เกิดความคุ้มค่าที่สุด และหากเดินหน้าแผนการลงทุนจะไม่กระทบ Equity (ส่วนของผู้ถือหุ้น) ของบริษัท ด้วยเงินสดในมือและการบริหารจัดการ จะสามารถซัพพอร์ตทั้ง 2 ดีลนี้ได้  ทั้งนี้ ภาพรวมความสำเร็จของผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกปี 2567 มีรายได้รวม 5,403.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.1% กำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 170.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.4% จากงวดเดียวกันของปีก่อน PRTR ทำผลงานได้ทะลุเป้า ทั้งในแง่ของกำไรทำสถิติสูงสุดรายไตรมาส (All Time High) และธุรกิจจัดจ้างพนักงาน (Outsource) ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจหลักของ PRTR มีจำนวนพนักงานที่จัดจ้างรวมเท่ากับ 18,531 คน จากเป้าทั้งปีที่วางไว้ 18,500 คน ซึ่งมีสัดส่วนรายได้เป็นธุรกิจหลัก ประมาณ 95.45% อีกทั้ง เป็นธุรกิจที่สร้าง Recurring Income เติบโตจากการเพิ่มขึ้นของพนักงานในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (Consumer Electronics) , กลุ่มธนาคารและประกัน (Banking & Insurance) รวมทั้ง อีคอมเมิร์ซและไอที (E-Commerce & IT) รองลงมาคือธุรกิจบริการสรรหาพนักงาน (Recruitment) มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 3.53% สามารถ สรรหาพนักงานได้ 1,974 ตำแหน่งงาน จากเป้า 2,800 ตำแหน่งงาน แม้ในปีนี้ได้รับผลกระทบจากดีมานด์การสรรหาในกลุ่มผู้บริหารระดับสูงลดลง และกระทบภาพรวมเศรษฐกิจ แต่มองว่า ด้วยจุดแข็งปัจจุบันบริษัทมีฐานข้อมูลผู้สมัครกว่า 600,000 คน และเจ้าหน้าที่สรรหากว่า 150 คน ที่เชี่ยวชาญในการสรรหาพนักงานหลากหลายตำแหน่งงาน ปัจจุบัน PRTR เป็นเบอร์ 1 ในตลาดดังกล่าวนี้ จะสนับสนุนโอกาสในปีหน้า

SGC สินเชื่อ Locked phone ทะลุ 2,000 ลบ. ขายหุ้นกู้9, 11-12 ธ.ค. ดอกเบี้ย 7.00 - 7.25%

SGC สินเชื่อ Locked phone ทะลุ 2,000 ลบ. ขายหุ้นกู้9, 11-12 ธ.ค. ดอกเบี้ย 7.00 - 7.25%

          หุ้นวิชั่น - SGC ฉลองยอดสินเชื่อ Locked phone เติบโตทะลุ 2,000 ล้านบาท จับมือ Strategic Partner แบรนด์มือถือชั้นนำร่วมจุดพลุความสำเร็จการขยายตลาด และคาดแนวโน้ม Q4/67 ยังมีแนวโน้มทำจุดสูงสุดของปีรับไฮซีซั่นสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ทยอยเปิดตัว และจะเดินหน้าอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องในปี 68 ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างออกหุ้นกู้ครั้งแรก อัตราดอกเบี้ย 7.00 - 7.25% ต่อปี ชูบัญชีลูกหนี้มีคุณภาพสูง เตรียมเสนอขาย 9, 11-12 ธ.ค. นี้ ผ่าน 8 สถาบันการเงินชั้นนำ หนุนการเติบโตในอนาคต           นายอโณทัย ศรีเตียเพ็ชร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC เปิดเผยถึง ภาพรวมการเติบโตของธุรกิจสินเชื่อ Locked phone ภายใต้โครงการ SG Finance+ ขยายตัวโดดเด่นล่าสุด ฉลองยอดปล่อยสินเชื่อทำได้ทะลุ 2,000 ล้านบาทเรียบร้อยแล้ว ภายใต้สัญญาทั้งหมดกว่า 246,000 สัญญา ผ่านเครือข่ายร้านค้าพันธมิตรกว่า 5,257 แห่ง ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ ด้วยความร่วมมือกับ Strategic Partner 5 แบรนด์มือชั้นนำร่วมขยายตลาดไปด้วยกัน ได้แก่ OPPO - VIVO – XIAOMI – realme – Infinix และอยู่ระหว่างพูดคุยกับพาร์ทเนอร์รายใหม่อีก 2-3 แบรนด์เข้ามาเสริมทัพการขยายตลาดสินเชื่อสมาร์ทโฟนในปีหน้า พร้อมประเมินแนวโน้มปลายปี ธุรกิจ Locked phone พอร์ตโตไม่หยุด รับไฮซีซั่นธุรกิจมือถือ แบรนด์พาเหรดเปิดตัวสินค้าใหม่ต่อเนื่อง โดย SG Finance + เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยสนับสนุนให้แบรนด์ขายสินค้าได้ง่ายขึ้น ภายใต้การพิจารณาการปล่อยสินเชื่อที่รัดกุม อีกทั้ง การสนับสนุนจากภาครัฐบาล ผ่านโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่เริ่มแจกให้กับกลุ่มเปราะบางในช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับอานิสงส์ ทำให้ภาพรวมกำลังซื้อของลูกค้าดีขึ้น ยอดปล่อยสินเชื่อมีทิศทางที่ดีขึ้น  “ภาพรวมธุรกิจสินเชื่อ Locked phone มีการเติบโตอย่างมาก ปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 9% ของพอร์ตสินเชื่อทั้งหมด หลังจากเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทฯ Nationwide นำสินเชื่อ Locked phone ลุยขยายตลาดผ่านร้านค้าพันธมิตรทั่วประเทศ ซึ่งได้รับการตอบรับและมีผลงานเติบโตก้าวกระโดด จากยอดปล่อยสินเชื่อ 277 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ขึ้นไปแตะระดับ 1,427 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน คิดเป็นการเติบโตสูงถึง 315% ในช่วง 3 เดือน และมีคุณภาพการเก็บเงินอยู่ในระดับที่ดีตามคาดหวังไว้ เฉลี่ยประมาณ 96-97% ของการปล่อย และมี  NPL อยู่ที่ระดับต่ำมาก เพียง 0.3% สะท้อนธุรกิจนี้เราสามารถสเกลได้ สร้างการเติบโตภายใต้ความเสี่ยงที่ต่ำ และในเดือนพฤศจิกายน เราจุดพลุการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นแตะระดับ 2,000 ล้านบาท พร้อมด้วยเหล่าพาร์ทเนอร์แบรนด์มือถือ และพันธมิตรร้านค้าที่เติบโตเกินกว่าเป้าหมายที่วางไว้”  นายอโณทัย กล่าว ทั้งนี้ SGC อยู่ระหว่างออกและเสนอขายหุ้นกู้ระยะยาวชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทมีหลักประกัน โดยหุ้นกู้มีอายุ 2 ปี และอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วง [7.00-7.25]% ต่อปี ทั้งนี้ ผู้ออกหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับเครดิตเรทติ้ง อยู่ที่ 'BB+' แนวโน้ม 'คงที่' จากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2567 โดยการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ถือเป็นการออกครั้งแรกของบริษัท ซึ่งแสดงถึงความพร้อมและความเชื่อมั่นในตลาดทุน และหุ้นกู้ดังกล่าวจะมีการชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ โดยคาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ 9, 11-12 ธันวาคม 2567 สำหรับผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้  SGC สามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท ผ่าน 8 สถาบันการเงินซึ่งเป็นผู้จัดการการจำหน่ายหุ้นกู้ ดังนี้ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด  บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ พาย จํากัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน)

MAGURO-AUเสิร์ฟกำไรล้นเต็มคำ

MAGURO-AUเสิร์ฟกำไรล้นเต็มคำ

หุ้นอาหารไซส์มินิ เสิร์ฟกำไรแน่น MAGURO กวาดกำไร 9 เดือน 62.4 ล้านบาท เร่งขยายสาขาทำเงิน ล่าสุดเปิดแบรนด์ใหม่ “CouCou” อัพยอด ฟาก AU ปั๊มเงินเข้าพอร์ตแล้ว 210 ล้านบาท โบรกคาดนักท่องเที่ยวหนุนยอดขนมหวาน ชูพิกัด12.10 บาท          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) อุตสาหกรรมอาหาร ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/2567 เติบโตดี โดย บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO บริษัทมีกำไรสุทธิ 29.3 ล้านบาท เติบโต 54.2% ขณะที่ 9 เดือนแรกปี 2567 มีกำไรสุทธิ 62.4 ล้านบาท เติบโต 6.2% ทั้งนี้ MAGURO มีรายได้รวม ในไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ 355.7 ล้านบาท เติบโต 33.2% และ 9 เดือนแรกปี 2567 ทำได้ 973.7 ล้านบาท เติบโต 26.8%          กําไรสุทธิของบริษัทสําหรับ 9 เดือนของปี 2567 ได้รวมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (One-time expenses) จํานวน 7.1 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการนําบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หากไม่นับรว, ค่าใช้จ่ายนี้ บริษัทจะมีกําไรสุทธิสําหรับ 9 เดือนของปี 2567 อยู่ที่ 68.0ล้านบาท หรืออัตรากําไรสุทธิ7.0% (บนสมมติฐานอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล 20%)          MAGURO ได้เปิดตัวโครงการ The Flavorhood ตั้งอยู่บนประดิษฐ์มนูธรรม บนพื้นที่ 2 ไร่ ที่ประกอบไปด้วย 3 ร้านอาหารในเครือ MAGURO ที่มีการตกแต่งผสมผสานระหว่างความร่วมสมัย แต่ยังคง กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น รวมถึงสวนในโครงการที่มีทั้งรูปแบบ Japanese Garden และ Modern Tropical Garden          ล่าสุด MAGURO เปิดตัวแบรนด์ล่าสุด  ลำดับที่ 5 “CouCou” (คุคูว์) ร้านอาหารรูปแบบ All-Day Dining สไตล์ตะวันตก ณ The Flavorhood ประดิษฐ์มนูธรรม เจาะกลุ่มลูกค้าผู้ที่ชื่นชอบการรับประทานอาหารแบบ All-Day Dining ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับ ปีใหม่ เป็นแบรนด์สุดท้ายของปีนี้ ปัจจุบัน MAGURO Group มีร้านอาหารในเครือ รวมทั้งหมด 35 ร้านจาก 3 แบรนด์ คือ 1.) MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิสไตล์ระดับพรีเมียม 18 ร้าน 2.) SSAMTHING TOGETHER ร้านปิ้งย่างสไตล์เกาหลี วัตถุดิบพรีเมียม 6 ร้าน 3.) HITORI SHABU ร้านชาบูและสุกียากี้ หม้อเดี่ยวสไตล์คันไซ 11 ร้าน รวมถึงรูปแบบ Specialty เรื่อง Suki ภายใต้ชื่อแบรนด์ HITORI SUKIYAKI ร้านสุกียากี้คันไซแบบดั้งเดิมใน รูปแบบ Authentic Japanese Sukiyaki Course ในรูปแบบ Stand Alone ซึ่งเปิดสาขาแรกที่เอกมัย 12 ไป เมื่อกลางเดือน กรกฎาคมที่ผ่านมา ขณะที่ บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU ไตรมาส 3/2567  มีรายได้ที่ 428 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนที่ 338 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% และ 9 เดือนแรกปี 2567 มีรายได้ 1,144 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน 900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27%  กำไรสุทธิไตรมาส 3/2567 ทำได้ 83 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน 54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% ส่วน 9 เดือนแรกปี 2567 มีกำไรสุทธิ 210 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน 131 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60% โดยมีสาขา ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 ที่ 61 สาขา เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนที่ 59 สาขา ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ AU โดยมีราคาเป้าหมายที่ 11.50 บาท โดย AU รายงานการเติบโตของกำไรที่ +55% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน และ +15% จากไตรมาสก่อนหน้า ในไตรมาส 3/2567 เป็นจำนวน 81 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าการประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์ 10% คาดว่ากำไรในไตรมาส 4/2567 จะเติบโตทั้งจากช่วงเดียวกันกับปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า จากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ การเปิดร้านค้าเพิ่มเติมอีก 3 สาขาทำให้เครือข่ายขยายตัวเป็น 66 สาขา และยอดขายที่แข็งแกร่งในร้านสะดวกซื้อและช่องทางอื่นๆ นอกจากนี้ในไตรมาส 4/2564 AU มีความชัดเจนในด้านกำไรที่แข็งแกร่งซึ่งได้รับการสนับสนุนจากการวางตำแหน่งแบรนด์ที่มั่นคง การขยายช่องทางการขาย และการมีส่วนร่วมที่เพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวซึ่งคิดเป็น 30% ของรายได้กลุ่ม คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 11.50 บาท ส่วน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินทิศทางธุรกิจของ AUว่า AU รายงานกำไรในไตรมาส 3/2567 ที่ 83 ล้านบาท (+54% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน และ +15% จากไตรมาสก่อนหน้า) ซึ่งเป็นสถิติกำไรสูงสุดรายไตรมาส โดยที่กำไรสูงกว่าประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์และ consensus ถึง 11% และ 8% ตามลำดับ ขณะที่ กำไรสุทธิใน 9 เดือนแรกปี 2567 คิดเป็น 80% ของประมาณการกำไรทั้งปีของฝ่ายวิเคราะห์ที่ 262 ล้านบาท ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงให้คำแนะนำ “ซื้อ” โดยประเมินราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 12.10 บาท (อิงจาก PER ที่ 32x หรือ – 0.75SD) โดยที่ฝ่ายวิเคราะห์มองว่ากำไรของ AU ในไตรมาส 4/2567 น่าจะคงมีโมเมนตัมบวก ซึ่งทำให้มี upside ต่อประมาณการกำไรปี 2567 ขณะที่ ปัจจัยบวกต่าง ๆในไตรมาส 4/2567 ประกอบด้วย การเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 1-2 แห่งภายในประเทศ จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นซึ่งจะช่วยหนุนยอดขายร้านขายขนมหวานและการเปิดสาขาใหม่ในกัมพูชาในเดือนตุลาคมซึ่งได้ผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า

HARN โปรเจ็กต์ดาต้าเซ็นเตอร์จ่อ

HARN โปรเจ็กต์ดาต้าเซ็นเตอร์จ่อ

         HARN ส่อง Outlook ช่วงเหลือปี 67 ส่งซิกธุรกิจสดใส จับตาบิ๊กโปรเจ็กต์ดาต้าเซ็นเตอร์ สบช่องขายอุปกรณ์ดับเพลิง ขอรักษามาร์จิ้น 30% เดินหน้าบริหารต้นทุนเต็มสูบ เล็งตลาดใหม่อัพยอด ปักธง Market Cap. ชน 5 พันล้านบาท          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายธรรมนูญ ตรีเพ็ชร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท หาญ เอ็นจิเนียริ่ง โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ HARN เปิดเผยในงาน Opportunity Day บริษัทจดทะเบียนพบปะผู้ลงทุนและนักวิเคราะห์เพื่ออธิบายเกี่ยวกับภาพรวมธุรกิจผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567 รวมถึงแนวโน้มกิจการในอนาคต ว่า Outlook ในช่วงเหลือปี 2567 คาดจะดีกว่า 2 ไตรมาสแรกของปี 2567 จากงาน Backlog ในงานอุปกรณ์ดับเพลิง หรือ Fire Protection และ Installation ปัจจุบันมีแนวโน้มดีขึ้น อีกทั้งโปรเจ็กต์ต่างๆเริ่มทยอยออกมา และบริษัทอยู่ระหว่างการนำเสนองานต่อผู้เกี่ยวข้อง          อีกทั้งการลงทุนขนาดใหญ่ อย่าง ดาต้าเซ็นเตอร์ที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย มีโอกาสที่ HARN จะจัดจำหน่ายสินค้าอุปกรณ์ดับเพลิงในกลุ่มธุรกิจนี้อีกด้วย รวมถึงการขยายการจำหน่ายอุปกรณ์ดับเพลิงไปกลุ่มอุตสาหกรรมสถานีไฟฟ้าย่อย          บริษัทมองทิศทางการเติบโตในปี 2568 กลุ่มธุรกิจของ HARN ยังมีแนวโน้มการเติบโต แม้เศรษฐกิจในประเทศถดถอย แต่ในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 เริ่มเห็นผลการเติบโตที่ดีขึ้น อีกทั้งบริษัทอยู่ระหว่างมองหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ เพื่อเสริมรายได้ให้กับธุรกิจ          สำหรับคู่แข่งในตลาดปัจจุบันมีมากขึ้น แต่บริษัทกำลังมองหาวิธีการใหม่ๆ ที่จะเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท และรักษาอัตราการทำกำไร (มาร์จิ้น) โดยที่ผ่านมาบริษัทได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงต้นปี 2567 ซึ่งค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่า ทำให้บริษัทมีต้นทุนสูงจากการนำเข้าสินค้า และบริษัทได้ปรับราคาขายให้สอดคล้องกับอัตราแลกเปลี่ยน และบริษัทจะพยายามบริหารอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ให้ได้ 30% โดยการบริหารต้นทุนและหาตลาดใหม่ๆ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท          บริษัทมีเป้าหมายในการเติบโตระยะยาว 5 ปี โดยการเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ หรือ Market Cap. จาก 1,350 ล้านบาท เป็น 5,000 ล้านบาท และจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ รักษาความพึงพอใจของลูกค้าไม่ต่ำกว่า 90% และความพึงพอใจของพนักงานมากกว่า 85%          HARN ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการกำกับกิจการที่ดี บริษัทได้กำหนดกลยุทธ์เพื่อบรรลุเป้าหมายโดยจะเพิ่มรายได้จากสินค้าใหม่และรายได้ปัจจุบันในตลาดใหม่ และพัฒนาสินค้าดิจิทัลโซลูชันส์จากฐานความรู้และประสบการณ์ในอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและสนับสนุนเป้าหมายความยั่งยืนของลูกค้า บริษัทจะสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาในด้านการพิมพ์สามมิติชีวภาพ การพิมพ์สามมิตทางการแพทย์และนำผลลัพธ์มาต่อยอดธุรกิจ รวมถึงแสวงหาธุรกิจใหม่ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพของบริษัทและลงทุนในบริษัทอื่นที่มีศักยภาพ          สำหรับ 9 เดือนแรกปี 2567 มีรายได้ที่ 900.90 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 68.05 ล้านบาท

TGE สุดยอด! เดินหน้าขยายลงทุนโรงไฟฟ้า

TGE สุดยอด! เดินหน้าขยายลงทุนโรงไฟฟ้า

  หุ้นวิชั่น - บมจ.ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่ (TGE) เดินหน้าขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ตามแผน ตั้งเป้ากำลังการผลิตพุ่งแตะ 100 เมกะวัตต์ ภายในปี 71 หนุนผลการดำเนินงานเติบโตอย่างยั่งยืนและมีเสถียรภาพ โชว์ 9 เดือน กำไรสุทธิ 199.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.1% สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังบุ๊กรายได้บริหารจัดการโรงไฟฟ้าไบโอแก๊ส มั่นใจผลงานทั้งปี All Time Highพร้อมรุกตลาดคาร์บอนเครดิต อัพรายได้           นายสืบตระกูล บินเทพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (TGE) ผู้นำด้านอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปี 2567 กลุ่มบริษัทยังคงมองหาโอกาสในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและมีเสถียรภาพให้กับ TGE ผ่านการขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน เพื่อไปสู่เป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งเป็น 200 เมกะวัตต์ ภายในปี 2575           นอกจากนี้ แนวโน้มความต้องการคาร์บอนเครดิตในตลาดที่เพิ่มมากขึ้น อาจสร้างรายได้ให้กับกลุ่มบริษัทในระยะยาว  ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2567 กลุ่มบริษัทมีรายได้การดำเนินงานรวม  256.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.0 ล้านบาท หรือ 11.8% โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากรายได้จากการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าไบโอแก๊ส ซึ่งเริ่มรับรู้ในไตรมาส 1/2567 และมีกำไรสุทธิ 71.0 ล้านบาท ส่วนในงวด 9 เดือนปี 2567 มีรายได้จากการดำเนินงานรวม 752.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.9  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.6% และมีกำไรสุทธิ 199.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.0 ล้านบาท หรือ 3.1%  เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน "รายได้และกำไรในงวด 9 เดือนของปี 2567 ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และสร้างสถิติสูงสุดใหม่ ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการรับรู้รายได้จากการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าไบโอแก๊ส กำลังการผลิตติดตั้งรวม 7 เมกะวัตต์ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 มีระยะเวลาสัญญา 5 ปี เข้ามาเสริมรายได้จากธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้าจากชีวมวล" นายสืบตระกูล กล่าว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TGE กล่าวอีกว่า ในปี 2567 กลุ่มบริษัทได้เตรียมงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะชุมชนเฟส 1 จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชนในพื้นที่ 1.จังหวัดสระแก้ว 2.จังหวัดชุมพร 3.จังหวัดราชบุรี และ 4.จังหวัดชัยนาท คาดพร้อมทยอยจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในปี 2569 เป็นต้นไป ปัจจุบัน TGE มีโรงไฟฟ้าจากชีวมวลกำลังการผลิตรวม 29.7 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย 3 โครงการภายใต้การดำเนินงานของ 3 บริษัท ได้แก่ TGE TPG และ TBP ซึ่งจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ตามสัญญา PPA รวม 26.3 เมกะวัตต์ ล่าสุดโครงการบริหารจัดการขยะชุมชนแบบครบวงจรของเทศบาลตำบลท่าจีน อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร (โครงการ TES TCN) มีขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 9.9 เมกะวัตต์ และปริมาณพลังไฟฟ้าที่เสนอขาย (PPA) 8.0 เมกะวัตต์ ได้เซ็น PPA ในต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา  โดย คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างต้นปี 2568 และจะ COD ภายในปลายปี 2569

SYNEX ประเมิน Q4 แนวโน้มดี รับสินค้าใหม่เปิดตัว บุกตลาดเกมต่อเนื่อง

SYNEX ประเมิน Q4 แนวโน้มดี รับสินค้าใหม่เปิดตัว บุกตลาดเกมต่อเนื่อง

      หุ้นวิชั่น - นางสาวสุธิดา มงคลสุธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX ดิสทริบิวเตอร์ผู้นำด้านไอทีอีโคซิสเต็ม พร้อมด้วยทีมผู้บริหาร จัดงานประชุมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ (Analyst Meeting) ประจำไตรมาส 3 ปี 67 ซินเน็คฯ สามารถรักษาการทำรายได้และกำไรได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ มีรายได้จากการขายและบริการ 10,762 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.9% กำไรสุทธิอยู่ที่ 169 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% หนุนรายได้ 9 เดือนปีนี้อยู่ที่ 30,336 ล้านบาท โต 12.3% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 480 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากกลยุทธ์ขยายตลาดรับเทรนด์เทคโนโลยี รวมถึงการขยายชาแนลการขายที่เข้าถึงลูกค้ามากขึ้น ซึ่งภาพรวมรายได้ในไตรมาสนี้ โดดเด่นในกลุ่มสินค้าคอมมูนิเคชั่น ที่โตแรงจากการเปิดตัว iPhone16 ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่รองรับ AI รวมถึงสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นๆ อาทิ แบรนด์ HONOR อีกทั้งยังเจาะกลุ่มนาฬิกาอัจฉริยะ (Smart Watch) จากแบรนด์ Huawei ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น รวมถึงการโฟกัสกลุ่มสินค้าที่มีอัตราการเติบโต บวกกับการจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เดินหน้ารักษาฐานรายได้ดีและกำไรได้ดี           พร้อมประเมินแนวโน้มไตรมาส 4/67 เดินหน้าพุ่งชนเป้าหมาย 40,000 ล้านบาท รับสินค้ากลุ่มคอมมูนิเคชั่น จ่อคิวเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง บวกกับการบุกตลาดเกมมิ่งอย่างเข้มข้น มุ่งมั่นขยายพอร์ตสินค้า Gaming Ecosystem อย่างครบวงจร โดยไฮไลท์หลักกับการเปิดตัว Nintendo Authorized Store by Synnex แห่งแรกในประเทศไทย ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปักหมุดเป็น Tourist Destination ของประเทศไทย ด้วยสินค้ามากกว่า 300 รายการ ที่จะโดนใจสาวก Nintendo ให้เข้ามาช้อปปิ้งได้อย่างจุใจแน่นอน คาดหนุนรายได้ของแอคเซสเซอรี่และสินค้าที่เกี่ยวข้องในกลุ่มเกมมิ่งพุ่งแรง ตอกย้ำศักยภาพการเติบโตของซินเน็คฯ ในฐานะ No.1 ผู้นำเข้า จัดจำหน่ายและบริการไอทีครบวงจรในประเทศไทย ภายใต้สัญลักษณ์ Trusted By Synnex

SSP บริษัทพลังงานหมุนเวียนชั้นนำแห่งเอเซีย

SSP บริษัทพลังงานหมุนเวียนชั้นนำแห่งเอเซีย

SNPS โรดโชว์ห้องค้า บล.ฟินันเซีย ไซรัส

SNPS โรดโชว์ห้องค้า บล.ฟินันเซีย ไซรัส

          หุ้นวิชั่น - บริษัท สเปเชี่ยลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SNPS นำโดย รศ.ดร.พรรณวิภา กฤษฎาพงษ์ ประธานกรรมการบริหาร ดร.ธีรญา กฤษฎาพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนายอชิตเดช อาชาไพโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีและการเงิน พร้อมด้วยนายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนร่วมนำเสนอข้อมูลรายละเอียดการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 105 ล้านหุ้น และแผนนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ให้กับเจ้าหน้าที่การตลาด โดยมีนายกัณฑรา ลดาวัลย์ ณ อยุธยา กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ให้การต้อนรับ ณ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน)

“พีระพันธุ์” ลดค่าไฟงวดม.ค.-เม.ย.68 เหลือ 4.15 บาท มอบของขวัญปีใหม่ให้คนไทย

“พีระพันธุ์” ลดค่าไฟงวดม.ค.-เม.ย.68 เหลือ 4.15 บาท มอบของขวัญปีใหม่ให้คนไทย

          หุ้นวิชั่น - นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานจะประกาศลดค่าไฟฟ้างวดม.ค.-เม.ย. 2568 จากค่าไฟฟ้าเฉลี่ยในงวดปัจจุบัน (ก.ย.-ธ.ค. 2567) ซึ่งอยู่ที่ 4.18 บาท/หน่วย ลงอีก 3 สตางค์/หน่วย หรือค่าไฟฟ้าจะลดลงเหลือ 4.15 บาท/หน่วย โดยจะมีผลตั้งแต่เดือน ม.ค-เม.ย. 2568 ทั้งนี้เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพและเป็นของขวัญปีใหม่ 2568 ให้กับพี่น้องชาวไทยทุกคน “ผมเพิ่งได้รับแจ้งเบื้องต้นเป็นข่าวดีจากทางสำนักงาน กกพ. ซึ่งจะปรับลดค่าไฟในงวดหน้า (ม.ค.-เม.ย.2568) ลงได้อีก และเหลือเฉลี่ยหน่วยละ 4.15 บาท หลังจากที่ผมได้ขอให้ทุกหน่วยงานได้ไปลองดูว่าจะสามารถลดค่าไฟลงได้อีกหรือไม่ เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพให้พี่ น้องประชาชน ในนามรัฐบาลและกระทรวงพลังงานขอถือโอกาสนี้มอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับทุกท่าน และขอขอบคุณ กกพ.ในฐานะหน่วยงานหลักขอบคุณ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และปตท.ในการร่วมกันกับรัฐบาลช่วยเหลือพี่ น้องประชาชน” นายพีระพันธุ์กล่าว ภายหลังจากสิ้นสุดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นในการประชุมคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในวันนี้ (27 พ.ย.) ได้มีมติเห็นชอบทบทวนค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) และค่าไฟฟ้าเรียกเก็บงวดเดือนม.ค.-เม.ย. 2568 โดยให้เรียกเก็บลดลงเหลือ 4.15 บาทต่อหน่วย เป็นผลจากการที่ได้มีการทบทวนตัวเลข และประมาณการที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง กกพ.จะได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป

RML เปิดโรงแรมใกล้ไอคอนสยาม กระแสการท่องเที่ยวบูม

RML เปิดโรงแรมใกล้ไอคอนสยาม กระแสการท่องเที่ยวบูม

          หุ้นวิชั่น - RML หรือ บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) มุ่งสร้างรายได้ระยะยาว ลุยขยายพอร์ตธุรกิจ ล่าสุดเปิดตัวโครงการใหม่ ‘โรงแรม รีว่า ไวบ์’ (Riva Vibe Hotel) โรงแรมสุดชิค ใกล้ไอคอนสยาม เพียง 5 นาที มูลค่าโครงการประมาณ 300 ล้านบาท ความสูง 4 ชั้น  ห้องพักทั้งหมด 59 ห้อง ออกแบบภายใต้คอนเซปต์ ‘Stay Hype, Feel The Vibe’ สถานที่ที่ไม่ใช่เพียงแค่ที่พัก แต่เป็นจุดนัดพบของนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลก ชููไฮไลท์ Riva Vibe Commons พื้นที่ส่วนกลางที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์หลากหลาย ประกอบด้วยโซน Morning Vibe พื้นที่อาหารเช้าที่พร้อมเติมเต็มความสดชื่นในทุกวัน, Games Corner โซนเกมสำหรับผ่อนคลาย,  Wash & Dry โซนซักผ้าพร้อมพื้นที่พักผ่อน,  Collab’s Room พื้นที่ประชุมความคิดสร้างสรรค์ และ Vibe Fitness พื้นที่ออกกำลังกาย กำหนดเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ 4 ธ.ค.2567 พิเศษช่วงเปิดตัวจัดโปรฯ ราคาเริ่มต้นเพียง 2,499 บาทต่อคืน (รวมอาหารเช้า)             นายกรณ์ ณรงค์เดช กรรมการและประธานคณะกรรมการบริหาร RML กล่าวว่า “RML ได้ปรับ       กลยุทธ์ธุรกิจเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ด้วยการขยายพอร์ตโฟลิโอและเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในโครงการที่สามารถสร้างรายได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน เพื่อให้บริษัทฯ เติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว การขยายฐานการลงทุนครั้งนี้ได้มุ่งสู่ธุรกิจโรงแรม ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตสูงตามการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยเฉพาะในปีนี้ที่การท่องเที่ยวมีการขยายตัวอย่างมาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยมากถึง 35-36 ล้านคน ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกที่ชัดเจนต่อธุรกิจนี้ อีกทั้งข้อมูลจากการวิจัยของไนท์แฟรงค์ยังระบุว่าอัตราการเข้าพัก โรงแรม (Occupancy Rate) ในกรุงเทพฯ ช่วงครึ่งปีแรก 2567 เพิ่มขึ้น 4.8% เป็น 74% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยนักท่องเที่ยวจากจีนยังคงครองสัดส่วนการเข้าพักสูงสุด ตามด้วยมาเลเซียและยุโรป ด้วยเหตุนี้บริษัทฯ จึงเล็งเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจและได้เปิดตัว ‘โรงแรม รีว่า ไวบ์’ ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพ ห่างจากไอคอนสยามเพียง 5 นาที และจากเอเชียทีคเพียง 10 นาที นอกจากนี้ยังอยู่ใกล้ท่าเรือสาทร (ตากสิน) และสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสกรุงธนบุรี รายล้อมด้วยร้านอาหาร ศูนย์ไลฟ์สไตล์ บริษัทมั่นใจว่าโรงแรมแห่งนี้จะตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่มองหาที่พักที่มีเอกลักษณ์และคุณภาพสูงได้อย่างสมบูรณ์แบบ” ‘โรงแรม รีว่า ไวบ์’ ออกแบบภายใต้คอนเซปต์ ‘Stay Hype, Feel The Vibe’ เน้นให้ผู้เข้าพักได้สัมผัสประสบการณ์ทั้งการใช้ชีวิต การทำงาน และการพักผ่อนอย่างลงตัว โลโก้ของโรงแรมใช้สีเขียวและสีแดงที่สะท้อนถึงความสนุกสนานและความมีชีวิตชีวา ส่วนการตกแต่งภายในได้รับแรงบันดาลใจจากเสน่ห์ของย่านเจริญนคร ผู้ที่ก้าวเข้าสู่ล็อบบี้จะรู้สึกราวกับได้สำรวจสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าตื่นตาตื่นใจในกรุงเทพฯ ทำให้โรงแรมแห่งนี้เป็นทางเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่มองหาประสบการณ์ที่ไม่ซ้ำใคร ทุกพื้นที่ของโรงแรมได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถัน เพื่อสร้างบรรยากาศที่สดใสและเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้เข้าพักที่รักการทำกิจกรรม ชื่นชอบการใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสัน และการพบปะผู้คนใหม่ๆ  ไฮไลท์สำคัญคือพื้นที่ส่วนกลาง Riva Vibe Commons บนชั้น 2 ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ให้ผู้เข้าพักได้ผ่อนคลาย เชื่อมต่อ และสนุกสนาน โดยพื้นที่นี้ประกอบด้วย: ·    Morning Vibe: เติมความสดใสให้เช้าวันใหม่ด้วยอาหารเช้าแบบบริการตนเองที่จัดสรรมาอย่างลงตัว เพลิดเพลินกับนมสดคุณภาพ ซีเรียลหลากชนิด ผลไม้สดตามฤดูกาล และน้ำผลไม้ที่จัดเก็บในโหลแก้วอย่างสวยงาม พร้อมลิ้มรสกาแฟหอมกรุ่นจากเครื่องชงกาแฟทันสมัย สำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวก ยังมีแก้วแบบ Takeaway ให้บริการ ·    Games Corner: พื้นที่แห่งความสนุกสนานที่ออกแบบมาเพื่อการผ่อนคลายและสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้เข้าพักคนอื่นๆ ผ่านเกมหลากหลายที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน ที่นี่จึงเป็นจุดนัดพบที่สมบูรณ์แบบสำหรับการสังสรรค์และพักผ่อนในบรรยากาศที่เป็นกันเองและเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ·    Wash & Dry: โซนซักผ้าที่เปลี่ยนการทำความสะอาดเสื้อผ้าให้เป็นกิจกรรมที่สนุก ผู้เข้าพักสามารถใช้เวลาระหว่างรอเครื่องซักผ้าพูดคุยและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเพื่อนร่วมเดินทาง เพิ่มความเพลิดเพลินในระหว่างการเข้าพัก ·      Collab’s Room: ห้องประชุมที่ออกแบบมาเพื่อรองรับนักเดินทางที่ต้องการพื้นที่ส่วนตัวสำหรับการประชุมหรือระดมความคิด  ·    Vibe Fitness: พื้นที่ออกกำลังกายที่ครบครันและทันสมัย ออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การดูแลสุขภาพที่ลงตัว ให้คงความกระฉับกระเฉงและสดชื่นตลอดการเข้าพัก   สำหรับใครที่กำลังมองหาที่พักที่มอบประสบการณ์ใหม่และไม่เหมือนใคร ‘โรงแรมรีว่า ไวบ์’ พร้อมตอบโจทย์ความต้องการอย่างเต็มที่ กำหนดเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 ธันวาคม 2567 พร้อม                โปรโมชั่นพิเศษช่วงเปิดตัว ด้วยราคาสุดคุ้มเริ่มต้นเพียง 2,499 บาทสุทธิต่อคืน รวมอาหารเช้า โปรโมชั่นนี้สำหรับการจองตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน ถึง 15 ธันวาคม 2567 และเข้าพักระหว่างวันที่ 3 ธันวาคม 2567 ถึง 31 มกราคม 2568 เท่านั้น

SCB รุก “โซลาร์รูฟท็อป”    จับมือ โกดังไฟฟ้าดอทคอม - หัวเว่ย

SCB รุก “โซลาร์รูฟท็อป” จับมือ โกดังไฟฟ้าดอทคอม - หัวเว่ย

          หุ้นวิชั่น - ธนาคารไทยพาณิชย์ มุ่งมั่นสร้างสรรค์วิถีชีวิต “อยู่ อย่าง ยั่งยืน” ให้คนไทย นำความแข็งแกร่งช่องทาง SCB EASY เชื่อมโอกาสทางธุรกิจกับพันธมิตร มอบความยั่งยืนถึงทุกหลังคาบ้าน จับมือ โกดังไฟฟ้าดอทคอม แพลตฟอร์มอุปกรณ์ไฟฟ้าและโซลาร์ออนไลน์ภายใต้ GUNKUL นำเสนอโซลูชัน “โซลาร์รูฟท็อป” แพ็คเกจติดตั้งโซลาร์เซลล์สำหรับที่อยู่อาศัย ชูจุดเด่นด้วยทางเลือกแผงโซลาร์เซลล์คุณภาพสูง มาพร้อมกับอุปกรณ์ Huawei Solar Inverter และบริการติดตั้งครบวงจรจาก GUNKUL เพิ่มโอกาสการเข้าถึงพลังงานสะอาดสำหรับลูกค้าทุกครัวเรือนได้ง่ายๆ แล้ววันนี้ผ่านแอป SCB EASY พิเศษด้วยโปรแกรมการผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิต SCB และ CardX ดอกเบี้ย 0% 10 เดือน หวังเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านวิถีชีวิตคนไทยสู่ไลฟ์สไตล์ Net Zero โดยมี ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน ธนาคารไทยพาณิชย์ นางสาวปิติพร พนาภัทร์ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Digital Business ธนาคารไทยพาณิชย์ นางสาวนฤชล ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจพลังงานและกลยุทธ์การลงทุน บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) และ นายโลแกน ยู กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจพลังงานดิจิทัล บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมประกาศความร่วมมือ           ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ธนาคารมีความมุ่งมั่นในการเป็น True partner ให้กับลูกค้าตลอดเส้นทางการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการสนับสนุนด้านการเงินยั่งยืน (Sustainable Finance) ที่ครบถ้วนให้กับลูกค้าทุกกลุ่ม พร้อมนำศักยภาพทางเทคโนโลยีของธนาคารเข้าขับเคลื่อนความยั่งยืนทุกมิติ นอกจากนี้ ธนาคารยังจะร่วมมือกับองค์กรพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญด้านต่างๆ สนับสนุนโครงการความยั่งยืนให้กับลูกค้าของเรา ทั้งนี้ เทรนด์การเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดในชีวิตประจำวันกำลังเป็นที่ได้รับความสนใจจากประชาชนทั่วไป ธนาคารจึงต้องการสนับสนุนกลุ่มลูกค้ารายย่อยให้สามารถเข้าถึงทางเลือกการใช้งานพลังงานสะอาดได้อย่างสะดวกสบาย และถือเป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินชีวิตประจำวันเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนอีกด้วย จึงได้ร่วมมือกับ กันกุลโกดังไฟฟ้า และ หัวเว่ย เทคโนโลยี่ นำเสนอผลิตภัณฑ์ชุดโซลาร์เซลล์สำหรับที่อยู่อาศัย “โซลาร์รูฟท็อป” ผ่านแอป SCB EASY เพื่อเชิญชวนให้คนไทยร่วมกันขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ สอดคล้องกับเป้าหมายของธนาคารที่มุ่งเป็นธนาคารชั้นนำด้านความยั่งยืน และเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันเป้าหมาย Net Zero 2050”           ธนาคารไทยพาณิชย์มุ่งมั่นที่จะนำศักยภาพทางด้านผู้นำดิจิทัลแบงก์สร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าทุกความต้องการ ตามกลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch ด้วยการใช้ความสามารถทางด้านเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นตัวกลางเชื่อมโยงลูกค้าไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน ด้วยความแข็งแกร่งของแอป SCB EASY ที่ปัจจุบันครอบคลุมผู้ใช้งานกว่า 18 ล้านราย จึงเป็นช่องทางที่มีศักยภาพในการนำเสนอทางเลือกผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อความยั่งยืนให้กับประชาชนทั่วไป ความร่วมมือในครั้งนี้ จึงเป็นการสะท้อนความมุ่งมั่นของธนาคารที่จะเป็นพันธมิตรยั่งยืนให้กับลูกค้าทุกกลุ่ม กลุ่มประชาชนทั่วไปมากขึ้น ช่วยประหยัดค่าไฟ สามารถแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม และลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเห็นผล             นางสาวนฤชล ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจพลังงานและกลยุทธ์การลงทุน บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การผนึกกำลังร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์ในครั้งนี้ ทาง GUNKUL เชื่อว่าจะสามารถสร้างการเติบโตให้กับตลาดพลังงานสะอาดเนื่องด้วยบทบาทของภาคธนาคารที่เชื่อมโยงกับประชาชนทั่วประเทศผ่านแอป SCB EASY ทางโกดังไฟฟ้าดอทคอมได้คัดสรรโซลูชั่นในการประหยัดค่าไฟพร้อมกับตอบโจทย์เรื่องสิ่งแวดล้อมสำหรับกลุ่มลูกค้าครอบคลุมระดับบ้านเรือนไปจนถึงออฟฟิศขนาดเล็กหรือค่าไฟเริ่มต้นที่ 2,500 บาทต่อเดือน จนถึงค่าไฟที่ประมาณ 10,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ภายใต้แนวคิด ‘Add Energy to Cart’ ทาง GUNKUL ให้ความสำคัญเสมอมากับอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานและบริการที่มีคุณภาพ ซึ่งนำมาสู่การพัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซโกดังไฟฟ้าดอทคอมที่มีจุดเด่นด้านตัวเลือกสินค้าจากแบรนด์ชั้นนำในราคาจับต้องได้และประสบการณ์ช้อปปิ้งที่สะดวกสบายเพื่อเพิ่มทางเลือกแก่ผู้ใช้พลังงานในทุกบทบาท ซึ่งทางแพลตฟอร์มก็ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากหัวเว่ยซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดด้านอุปกรณ์ระบบผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ โดยทั้งหมดนี้นอกเหนือจากจะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านทางด้านพลังงาน โซลาร์รูฟท็อปยังสามารถเป็นโอกาสในอนาคตที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้า อาทิ คาร์บอนเครดิต และยกระดับศักยภาพทางการแข่งขันให้กับประเทศต่อไป           นายโลแกน ยู กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจพลังงานดิจิทัล บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “หัวเว่ยมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการสร้างอนาคตพลังงานสะอาด เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนและคุณภาพชีวิตของคนไทยในทุกภาคส่วน เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือในครั้งนี้ เพื่อให้คนไทยได้มีโอกาสเข้าถึงพลังงานสะอาดที่ได้จากการเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น ในการร่วมมือครั้งนี้ เรามีเป้าหมายที่จะผลักดันการใช้งานระบบโซลาร์เซลล์ในประเทศไทย เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงพลังงานสะอาดได้อย่างง่ายดาย ด้วยการใช้งานผ่านแอป SCB EASY จากทางธนาคารไทยพาณิชย์ พร้อมรับการดูแลจากบริษัทชั้นนำอย่าง กันกุล โกดังไฟฟ้าแพลตฟอร์ม ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้มั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยของระบบพลังงานที่เราได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ระบบโซลาร์รูฟท็อปของหัวเว่ย นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้การใช้งานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มีประสิทธิภาพ ใช้งานง่าย และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เจ้าของบ้านได้มากขึ้น พลังงานที่ได้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน และเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสู่การประหยัดค่าไฟฟ้า ลดปัญหาค่าไฟแพงในปัจจุบัน คืนทุนเร็วในระยะ 5-7 ปี และหากไฟเหลือ สามารถทำกำไรจากการขายไฟฟ้าคืนอย่างน้อยอีก 20-25 ปี” ในแพ็คเกจ “โซลาร์รูฟท็อป” ที่นำเสนอบนแอป SCB EASY นั้น เป็นชุดอุปกรณ์เพื่อการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์คุณภาพสูงจาก Gunkul และหัวเว่ย ประกอบด้วย 1)   แผงโซลาร์เซลล์ (Solar panel) โกดังไฟฟ้าดอทคอมมุ่งเน้นในการส่งมอบแผงโซลาร์เซลล์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้า และมีความปลอดภัย อายุการใช้งานกว่า 25 ปี ทนทานแข็งแรงจากแบรนด์ชั้นนำ Tier 1 ที่ได้รับการยอมรับโดยผู้ติดตั้งและบริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลก โดยนำเสนอตัวเลือกกำลังผลิตที่หลากหลายตอบโจทย์หน้างานหลังคาทุกรูปแบบ นอกจากนั้นทางแพลตฟอร์มยังมีบริการขนส่งที่ช่วยดูแลให้สินค้าไปถึงมือผู้รับในคุณภาพที่ดีที่สุด 2)   อุปกรณ์แปลงไฟ (Huawei Solar Inverter) อุปกรณ์แปลงไฟในระบบโซลาร์เซลล์ของหัวเว่ย ได้รับการออกแบบให้มีความทนทานและประสิทธิภาพสูง ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย สามารถตรวจสอบการทำงานผ่านแอปพลิเคชัน ช่วยให้ผู้ใช้งานทราบสถานะการทำงานของระบบ รวมถึงดูข้อมูลการประหยัดพลังงานได้ทุกที่ทุกเวลา มีความปลอดภัยสูง มีกำลังไฟหลากหลายเหมาะสมตามความต้องการของแต่ละครัวเรือน 3)         แบตเตอรี่เก็บไฟฟ้า (Huawei Solar Battery) แบตเตอรี่ของหัวเว่ยยังมีระบบความปลอดภัยสูงถึง 5 ขั้น อาทิเช่น เซลล์แบตเตอรี่ชั้นนำ ระบบการป้องกันภายในตัวแบตเตอรี่ และ IP66 ที่กันน้ำกันฝน และสามารถใช้งานได้ยาวนานกว่า 15 ปี โดยมีระบบการบริหารจัดการอัจฉริยะที่สามารถนำพลังงานสะอาดไปใช้ในบ้านเรือนและชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Car) ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย 4)   อุปกรณ์เพิ่มประสิทธิภาพ (Huawei Optimizer) ที่ช่วยออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพลังงาน แม้ในสภาพที่มีเงาหรือฝุ่น นอกจากนี้ยังมีระบบความปลอดภัยขั้นสูงและการติดตามการทำงานแบบเรียลไทม์ผ่านแอป ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา พร้อมยืดอายุการใช้งานของระบบ 5)   บริการติดตั้งและบริการหลังการขาย "โซลาร์รูปท็อป" ทุกชุดที่ซื้อผ่าน SCB EASY จะได้รับบริการโดย ทีมงานผู้เชี่ยวชาญ วิศวกร และ ช่างมากประสบการณ์ภายใต้การกำกับดูแลจาก Gunkul พร้อมการรับประกัน การติดตั้ง 1 ปี  ล้างแผง 1 ครั้ง  และรับประกันสินค้าสูงสุด 30 ปี และบริการหลังการขายและให้คำปรึกษาโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ 6)         ผ่อนสบาย 0% พิเศษด้วยโปรแกรมการผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิต SCB และ CardX ดอกเบี้ย 0% 10 เดือน*

[Vision Exclusive]  KWMเกษตรเต้นรัว-แจกเงินไร่ละ1พัน

[Vision Exclusive] KWMเกษตรเต้นรัว-แจกเงินไร่ละ1พัน

        หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายเอกพันธ์ วนโกสุม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เค.ดับบลิว.เม็ททัล เวิร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ KWM เปิดเผยกับทีมข่าว หุ้นวิชั่น ว่า ทิศทางธุรกิจเกษตรในปี2568 คาดว่าจะเติบโตขึ้นจากปี 2567 โดยเฉพาะในด้านสินค้าส่งออก ซึ่งจะได้รับผลกระทบที่ดีโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงในตลาดโลก เช่น การปรับขึ้นภาษีสินค้าเกษตรจากจีนที่คาดว่าจะสูงถึง 60% ทำให้สินค้าจากจีนจะส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาลดลง และส่งผลให้ผู้ประกอบการในประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศไทยมีโอกาสขยายตลาดได้มากขึ้น เนื่องจากประเทศไทยมีฐานการผลิตที่แข็งแกร่งและสามารถส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาได้           สำหรับบริษัท KWM การจำหน่ายสินค้าส่วนใหญ่เป็นการผลิตให้กับ บริษัท สยามคูโบต้า คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 75% และผ่านแบรนด์ Pegasus ในบริษัท อัดเลอร์เทค จำกัด อีก 25% โดยในส่วนของอัดเลอร์เทค มีการจำหน่ายสินค้าภายในประเทศ 20% และส่งออกต่างประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อมอีก 5%           บริษัทมองว่าตลาดสหรัฐอเมริกามีดีมานด์ใช้อุปกรณ์การเกษตรจำนวนมาก ขณะที่ตลาดยุโรปมีความต้องการใช้อุปกรณ์การเกษตรอยู่ที่ประมาณ 7-8 ล้านใบต่อปี ซึ่งเป็นโอกาสที่สำคัญสำหรับการขยายตลาดของบริษัท ปัจจุบัน KWM ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ทางการเกษตรได้ประมาณ 4 แสนใบต่อปี และยังมีช่องทางการจำหน่ายสินค้าในตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรปอีกมาก ซึ่งคาดว่าจะช่วยผลักดันการเติบโตและเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในอนาคต           ในส่วนของการสนับสนุนจากภาครัฐ ล่าสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยืนยันมตินบข. ที่เตรียมจ่ายเงินช่วยเหลือให้กับชาวนา โดยจะจ่ายเงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท ครอบคลุมชาวนา 4.68 ล้านครัวเรือน รวมวงเงิน 3.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นภาคการเกษตรในประเทศไทยและสร้างบรรยากาศที่คึกคักในปี 2568           บริษัท KWM ได้พัฒนาสินค้าใหม่อย่างเครื่องตัดหญ้าและใบโรตารี ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มยอดขายที่ดีขึ้น ขณะที่แบรนด์สินค้าที่ KWM ผลิตและจำหน่ายเอง อย่าง "Pegasus" ก็ได้รับการยอมรับในคุณภาพสินค้า และอยู่ในช่วงของการเติบโตที่สำคัญ           นอกจากนี้ KWM ยังได้ออกแบบสินค้าใบจักรที่ช่วยตัดอ้อยเพื่อลดมลภาวะ โดยไม่จำเป็นต้องเผาอ้อยก่อนที่จะปลูกอ้อยชุดใหม่ ซึ่งเป็นการลดปัญหามลพิษ PM2.5 ในพื้นที่การเกษตร สินค้ากลุ่มนี้นอกจากจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังคาดว่าจะส่งผลดีต่อผลผลิตที่มีคุณภาพสูงขึ้นในปีนี้ เนื่องจากปริมาณน้ำฝนที่มากขึ้น อีกทั้งยังมีกลุ่มพืชสมุนไพรที่มีการส่งออกไปยังต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีขึ้น โดยคาดว่าการเติบโตในตลาดต่างประเทศจะช่วยผลักดันการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต           นายเอกพันธ์ กล่าวต่อว่า บริษัทคาดว่าในปี 2568 การผลิตและจำหน่ายสินค้าภายใต้การร่วมมือกับบริษัท สยามคูโบต้า คอร์ปอเรชั่น จำกัด จะทรงตัว ขณะที่การผลิตและจำหน่ายสินค้าผ่านบริษัท อัดเลอร์เทค จำกัด คาดว่าจะเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีอัตราการเติบโตประมาณ 20-30% จากการขยายตลาดใหม่เพิ่มเติม           เพื่อสนับสนุนการเติบโตในกลุ่ม B2C บริษัทใช้แพลตฟอร์ม Sales Force ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการขายจาก B2B มาเพื่อเข้าถึงลูกค้าโดยตรง การจำหน่ายสินค้ากลุ่ม B2C คาดว่าจะช่วยเพิ่มอัตราการทำกำไรของบริษัทได้มากขึ้น เนื่องจาก Gross Profit Margin ของสินค้ากลุ่ม B2C อยู่ในระดับสูง

[Vision Exclusive] SPVI ควงมือถือเข้าชิง  กระตุ้นเศรษฐกิจปีใหม่

[Vision Exclusive] SPVI ควงมือถือเข้าชิง กระตุ้นเศรษฐกิจปีใหม่

          หุ้นวิชั่น - สมาคมค้าปลีกไทยเรียกร้องรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ลุ้น ช้อปดีมีคืน" และ "Easy E-Receipt" หวนคืนบัลลังก์ จับตาหุ้นจิ๋ว SPVI เข้าชิงสินค้ากระตุ้นเศรษฐกิจ ลุ้น CRC , COM7 , TNP รับอานิสงส์           ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด (GBS) เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่สมาคมผู้ค้าปลีกไทยเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เช่น โครงการ "ช้อปดีมีคืน" และ "Easy E-Receipt" จำเป็นต้องติดตามว่ามาตรการเหล่านี้จะสามารถดำเนินการได้สำเร็จและจะมีผลกระทบในช่วงเวลาใด อาจจะเป็นช่วงปลายปี 2567 หรือช่วงต้นปี 2568 อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการแจกเงินดิจิตอล 10,000 บาท เฟส 2 ให้แก่กลุ่มผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ในขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสำหรับกลุ่มคนที่มีรายได้หรือมีเงินนั้น ภาครัฐกำลังพิจารณามาตรการเพิ่มเติม เช่น "ช้อปดีมีคืน" และ "Easy E-Receipt" ซึ่งอาจจะมีการปรับเปลี่ยนในอนาคต หากมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากทั้งสองโครงการดังกล่าว คาดว่ากลุ่มบริษัทและสินค้าที่จะได้รับอานิสงส์ ได้แก่ อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องมือสื่อสาร เช่น โทรศัพท์มือถือ โดยหุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลางที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้ ได้แก่ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC และบริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 ส่วนหุ้นขนาดกลางและเล็กที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) คาดว่าจะได้รับผลดีจากมาตรการนี้ ได้แก่ บริษัท เอส พี วี ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SPVI และบริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP อนึ่ง CRC ประกอบธุรกิจ ประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งท่มีรูปแบบที่หลากหลาย (Multi-Format and Multi-Category Platform) โดยผ่านการถือหุ้นในบริษัทย่อยและบริษัทร่วม COM 7 ประกอบธุรกิจหลักในการค้าปลีกสินค้าไอที ประเภทคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะคอมพิวเตอร์แบบพกพา สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และอุปกรณ์เสริมที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเป็นผู้ให้บริการศูนย์ซ่อมแซ่มสินค้าแอปเปิ้ล (iCare) SPVI ประกอบธุรกิจหลักเป็นหนึ่งในตัวแทนจำหน่าย (Reseller) ผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้า Apple ทั้งคอมพิวเตอร์ ผลิตภัณฑ์ประเภท iOS และอุปกรณ์เสริมต่างๆ รวมทั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าอื่นๆ ที่สามารถนำมาใช้กับผลิตภัณฑ์ Apple เป็นหลัก เพื่อที่จะรองรับความต้องการของลูกค้าได้ครบวงจร นอกจากนี้ บริษัทยังได้ขยายธุรกิจการบริการให้แก่ลูกค้า โดยมีศูนย์บริการสำหรับสินค้าภายใต้ตราผลิตภัณฑ์ Apple ในนาม iCenter TNP ประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่รวมอาหารสดภายใต้ชื่อ "ธนพิริยะ" ปัจจุบันมีสาขารวมทั้งสิ้น 45 สาขา แบ่งออกเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ต 44 สาขา และศูนย์ค้าส่ง 1 สาขา

OR ได้รับเครื่องหมายรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ Café Amazon ตอกย้ำการเป็นผู้นำธุรกิจสีเขียว

OR ได้รับเครื่องหมายรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ Café Amazon ตอกย้ำการเป็นผู้นำธุรกิจสีเขียว

  หุ้นวิชั่น - Café Amazon ได้รับการรับรองด้านสิ่งแวดล้อมระดับประเทศทั้ง CFP และ CFR จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) สำหรับผลิตภัณฑ์กว่า 12 รายการ ตอกย้ำความสำเร็จในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามแนวคิด OR SDG นายรองเพชร บุญช่วยดี รองผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. มอบเครื่องหมายรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint Product: CFP) และเครื่องหมายรับรองลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint Reduction: CFR) ให้แก่ นางสาววรรณวิสาข์ สู่ศุภอรรถ ผู้จัดการฝ่ายบริหารความยั่งยืนและคุณภาพ ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม และนางวิไล บุญเจริญชัย ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์และการตลาดคาเฟ่อเมซอน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ณ ห้องประชุม Ownership Centerศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ อาคารบี ชั้น 1   การได้รับการรับรองครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ OR ในการดำเนินการตามแนวคิด OR SDG โดยเฉพาะด้าน G – GREEN โอกาสเพื่อสังคมสะอาด ที่มุ่งผลักดันให้ธุรกิจทุกประเภทของ OR เป็นธุรกิจสีเขียว โดยผลิตภัณฑ์ Café Amazon ที่ได้รับการรับรอง CFP ครอบคลุมทั้งเครื่องดื่ม Iced Black Coffee กาแฟคั่วเต็มเมล็ด กาแฟดริปและดริปแต่งกลิ่น และกาแฟแคปซูลและแคปซูลแต่งกลิ่น รวมทั้งสิ้น 12 รายการ นอกจากนี้ ยังมี 3 ผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าร้อยละ 2 จากปีฐานตามเกณฑ์การพิจารณาเครื่องหมาย CFR จนได้รับเครื่องหมายดังกล่าว ได้แก่ Café Amazon Drip Coffee Signature, Café Amazon Coffee Capsule Amazon Signature และ Café Amazon Coffee Capsule Amazon Selected ซึ่งทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์นี้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 13 % สำหรับกาแฟดริปและมากกว่า 30% สำหรับกาแฟแคปซูลตามลำดับ   การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ครั้งนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่าง OR และสถาบันนวัตกรรม ปตท. ในการรวบรวมข้อมูลตั้งแต่การปลูกกาแฟ การขนส่ง การผลิตจากกลุ่มโรงงานภายในศูนย์ธุรกิจไลฟ์สไตล์คาเฟ่ อเมซอน หรือ OASYS จนผลิตภัณฑ์ถึงมือลูกค้า รวมถึงการจัดการของเสียที่เกิดขึ้นหลังการบริโภค ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนี้ได้ผ่านการทวนสอบโดยผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์   ทั้งนี้ เครื่องหมายรับรอง CFP และ CFR  สะท้อนวิสัยทัศน์ของ OR ในการเป็นผู้นำด้านธุรกิจสีเขียวที่ยั่งยืน พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม  พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ประกอบการรายอื่น หันมาใส่ใจการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับสังคมไทย

ก.ล.ต. กล่าวโทษ 29 ราย ต่อ DSI กรณีปั่นหุ้น DPAINT

ก.ล.ต. กล่าวโทษ 29 ราย ต่อ DSI กรณีปั่นหุ้น DPAINT

          หุ้นวิชั่น - ก.ล.ต. กล่าวโทษผู้กระทำความผิดรวม 29 ราย ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กรณีสร้างราคาและ/หรือปริมาณการซื้อขายหุ้นบริษัท สีเดลต้า จำกัด (มหาชน) (DPAINT) พร้อมทั้งรายงานการดำเนินการต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)  สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในปี 2565 และดำเนินการตรวจสอบเพิ่มเติม พบพยานหลักฐานที่ทำเชื่อได้ว่ากลุ่มบุคคลรวม 29 ราย ได้แก่ (1) นางละออ ตั้งคารวคุณ (2) นางวิไล ตั้งคารวคุณ (3) น.ส.พัทธ์ธีรา หอมวิไล (4) น.ส.นิชานันท์ จีรไชยวรโชติ (เดิมชื่อ น.ส.จิระวรรณ ไชยพงศ์ผาติ) (5) นายนำพล ไชยพงศ์ผาติ (6) นายธนกฤต เลิศผาติ (7) นายวิวัฒน์ เลิศผาติ (8) นายณัฐภณ นิธิธนัตกุล (9) นายพัฒนะ นิธิธนัตกุล (10) น.ส.กนกพัฒน์ โชคธนมณี (11) นางรุ่งทิพย์ มณีวรรณ์ (12) นายปวิช ชัยธรรมกร (13) น.ส.พิมพ์ณดา วิทยาอมรโรจน์ (14) นายวินิจ มณีนวล (15) น.ส.ฐิติพร วังไพฑูรย์ (16) นายนพดล ศรีสุวรรณ (17) นายปทาน (เดิมชื่อ ประสิทธิ์) ศรีสุวรรณ (18) นายอนุวัฒน์ แซ่ตั้ง (19) นายกฤษกรณ์ รัมย์ไธสง (20) นายพงษ์พันธ์ ปานะพิมพ์ (21) น.ส.สุนันท์ สาลีพันธ์ (22) นายภาณุภณ วรพาณี (23) น.ส.สิริพิชชา มณีวรรณ์ (24) นายวงศภัค นิธิธนัตกุล (25) น.ส.สโรชา นาคบำรุง (26) นายตฤณ ถิรธนโภคิน (27) นายประสิทธิ์ ศิริเยาว์วรรณ (28) นายสมเกียรติ อินทสระ และ (29) นายสุรัตน์ อาศิรวาท ได้ร่วมกันสร้างราคาและ/หรือปริมาณการซื้อขายหุ้น DPAINT ในวันที่ 28 ตุลาคม 2564 ซึ่งเป็นวันแรกของการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมีพฤติกรรมการซื้อขายอย่างต่อเนื่อง ทั้งในช่วงก่อนเปิดตลาดภาคเช้าและในระหว่างวัน เช่น ส่งคำสั่งเสนอซื้อและ/หรือเสนอขายในปริมาณมากหลายระดับราคา รวมถึงผลักดันราคาหุ้น DPAINT ให้ปรับตัวสูงขึ้น เป็นต้น ส่งผลให้หุ้น DPAINT เปิดทำการซื้อขายที่ราคา 22.50 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของวัน หรือคิดเป็นร้อยละ 200 ของราคาที่เสนอขายต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับราคาหรือปริมาณการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ และมุ่งหมายให้ราคาหรือปริมาณการซื้อหรือขายหุ้น DPAINT ผิดไปจากสภาพปกติของตลาด อันเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 244/3 (1) และ (2) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ) ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งมีระวางโทษตามมาตรา 296 มาตรา 296/1 และมาตรา 296/2 แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ก.ล.ต. จึงได้กล่าวโทษผู้กระทำผิดทั้ง 29 รายต่อ DSI เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป พร้อมกันนี้ ก.ล.ต. ได้รายงานการดำเนินการตามข้างต้นต่อ ปปง. เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป เนื่องจากความผิดดังกล่าวเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งเข้าข่ายเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน  ทั้งนี้ ภายหลังการกล่าวโทษของ ก.ล.ต. กระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาต่อไปเป็นการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ และการพิจารณาของศาลยุติธรรม ตามลำดับ โดย ก.ล.ต. จะติดตามความคืบหน้าในการดำเนินคดี และจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ เพื่อสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ในกระบวนการภายหลัง ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษแล้ว

ตลาดหลักทรัพย์ฯ และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย สนับสนุนกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี

ตลาดหลักทรัพย์ฯ และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย สนับสนุนกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี

          หุ้นวิชั่น - นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานรับมอบเงินบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดเชียงราย จำนวน 1,000,000 บาท จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ซึ่งบริจาคผ่านกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย โดยมีนายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมด้วยผู้บริหารจากสมาคมบริษัทจัดการลงทุน สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย ซึ่งเป็นผู้แทนจากสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ร่วมมอบ ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

ธนาคารพาณิชย์ Q3/67 ยังแกร่ง!  NPLเพิ่มเล็กน้อยกำไรดีขึ้นจากปีก่อน

ธนาคารพาณิชย์ Q3/67 ยังแกร่ง! NPLเพิ่มเล็กน้อยกำไรดีขึ้นจากปีก่อน

หุ้นวิชั่น - ระบบธนาคารพาณิชย์ยังมั่นคง ไตรมาส 3/67 NPL อยู่ที่ 2.97% เพิ่มขึ้นจากฐานสินเชื่อที่ลดลง แม้สินเชื่อโดยรวมชะลอ ขณะที่กำไรสุทธิเพิ่มจากปีที่แล้ว แต่ลดลง QoQ ตามฤดูกาล พร้อมจับตาความเสี่ยง SME และครัวเรือนภาระหนี้สูง  สรุปภาพรวมธนาคารพาณิชย์ ไตรมาส 3 ปี 2567           ธนาคารแห่งประเทศไทย รายงาน ระบบธนาคารพาณิชย์มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ โดยมีเงินกองทุน เงินสำรอง และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง โดยสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมเครือ) ไตรมาส 3 ปี 2567 หดตัวที่ร้อยละ 2.0 จากระยะเดียวกันปีก่อน โดยหลักจากการชำระคืนหนี้ที่อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะการจ่ายคืนหนี้ของภาครัฐและธุรกิจขนาดใหญ่ แม้การให้สินเชื่อใหม่ยังมีต่อเนื่องในธุรกิจขนาดใหญ่ในภาคบริการ อสังหาริมทรัพย์ พาณิชย์ และสินเชื่ออุปโภคบริโภคประเภทสินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อที่อยู่อาศัย แต่มีแนวโน้มชะลอลง ขณะที่สินเชื่อในภาคธุรกิจที่เผชิญปัญหาความสามารถในการแข่งขันยังคงหดตัว โดยเฉพาะในกลุ่มปิโตรเคมี อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์           ทั้งนี้ ยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ (non-performing loan: NPL หรือ stage 3) ไตรมาส 3 ปี 2567 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 553.4 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมที่ร้อยละ 2.97 (ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลของฐานสินเชื่อที่ปรับลดลง) จากทั้งสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่ออุปโภคบริโภค โดยธนาคารพาณิชย์ยังบริหารจัดการคุณภาพหนี้และให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง สำหรับสัดส่วนสินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม (significant increase in credit risk: SICR หรือ stage 2) อยู่ที่ร้อยละ 6.86 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน จากสินเชื่อธุรกิจ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากการจัดชั้นเชิงคุณภาพของ ธพ. โดยธุรกิจยังสามารถชำระคืนหนี้ได้ตามเงื่อนไขสัญญา และสินเชื่อที่อยู่อาศัย สำหรับผลการดำเนินงาน           ไตรมาส 3 ปี 2567 ปรับดีขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของกำไรจากการวัดมูลค่าตราสารทางการเงิน ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง ทั้งนี้ หากเทียบไตรมาสก่อน กำไรสุทธิปรับลดลง โดยหลักจาก การลดลงของรายได้เงินปันผลตามปัจจัยฤดูกาล แม้ค่าใช้จ่ายสำรองปรับลดลง อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจ SMEs และครัวเรือนบางกลุ่ม ที่รายได้ฟื้นตัวไม่เต็มที่และมีภาระหนี้สูง รวมถึงธุรกิจในกลุ่มที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างและความสามารถในการแข่งขันที่ปรับลดลง ซึ่งจะส่งผลให้ NPL ยังมีแนวโน้มทยอยปรับเพิ่มขึ้น แต่ยังอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้และไม่เกิดการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด (NPL cliff) โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP  ไตรมาส 2 ปี 2567 ปรับลดลงจากไตรมาสก่อน จากสินเชื่อภาคครัวเรือนที่ขยายตัวชะลอลงสอดคล้องกับกระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ (debt deleveraging) ขณะที่ภาคธุรกิจมีสัดส่วนหนี้สินต่อ GDP ปรับลดลงตามการหดตัวของสินเชื่อและตราสารหนี้ ด้านความสามารถในการทำกำไรโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะในภาคการผลิต

7 โบรกการันตี!NER ไตรมาส4/67งบสดใส

7 โบรกการันตี!NER ไตรมาส4/67งบสดใส

      หุ้นวิชั่น - บล.ดาโอ (ประเทศไทย) กำไรปกติ 3Q24 ต่ำกว่าคาด จากต้นทุนยางเฉลี่ยสูงขึ้นกดดัน GPM เราคงคำแนะน้า "ถือ" แต่ปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 5.50 บาท (เดิม 5.70 บาท) อิง 2025E PER 6x(5-yr average) ตามการปรับประมาณการลง รวมถึงปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2025E NER รายงานกำไรปกติ 3Q24 (ไม่รวมกำไร Fx) ที่ 221 ล้านบาท (-35% YoY.-55% QoQ) ต่ำกว่าเราประเมินที่ 390ล้านบาท กำไรปกติที่ปรับตัวลงสาเหตุหลักจาก 1) GPM อยู่ที่เพียง 8.3% ลดลงจาก 3Q23 ที่ 10.9%และ 2024 ที่ 12.4%เป็นผลจากต้นทุนยางโดยรวมสูงขึ้น ซึ่งบริษัทบันทึกโดยวิธีถัวเฉลี่ย ขณะที่ราคาขาย ซึ่งเกิดจากการขายล่วงหน้าใน 5 เดือนก่อนหน้า ยัปรับตัวขึ้นได้ไม่มาก และ 2) SG&A สูงขึ้นจากค่าขนส่งและค่ากองทุนสงเคราะห์สวนยางตามการส่งออกมากขึ้น เราปรับกำไรปกติปี 2024E/25E ลง -15%/-10% เป็น 1.5 พันล้านบาท/1.7 พันล้านบาท (-5%YOY/+16% YoY) โดยหลักเพื่อสะท้อนการปรับสมมติฐาน GPM ลง สำหรับ 4Q24E เบื้องต้นคาดการณ์กำไรปกติจะซะลอ YoY จากปริมาณขายลดลงจากฐานสูง แต่มีโอกาสฟื้นตัว QoQ ตามปัจจัยฤดูกาล ราคาหุ้น underperform SET -7% ใน 1 เดือน ตามทิศทางราคายางที่ปรับตัวลง ทั้งนี้เราแนะนำเพียง"ถือ" จากผลการดำเนินงาน 2H24E กลับมาชะลอ HoH ขณะที่ล่าสุดราคายาง RSSS3 ของไทยปรับตัวลง -17% MoM หลังการเลื่อนใช้กฎหมาย EUDR และอุปทานสูงขึ้น นอกจากนี้การขยายกำลังการผลิตจากโรงงานใหม่ในโกตติวัวร์และไทย คาดจะเริ่มได้เร็วสุดในปี 2026E           บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ แม้ ไตรมาส 4/2567 คาดกำไรปกติดีขึ้น QoQ เพราะจะมีส่งบอบยางที่เลือนจาก ไตรมาส 3/2567 ราว 5 พันตัน และคาดราคาขายยางเฉลี่ยสูงขึ้น QoQ หลังเริ่มใช้ราคายางช่วง 2Q-3Q67 ซึ่งปรับขึ้นแรง หนุนให้คาดอัตรากำไรขั้นต้นจะปรัวดีขึ้น แต่อย่างไรก็ดี ไตรมาส 4/2567 คาดกำไรปกติจะอ่อนตัว YoY หลังมีความเสี่ยงปริมาณขายยางจะลดลงและอัตรากำไรขั้นต้นจะอ่อนตัวจากมีต้นทุนเฉลี่ยยางสูงขึ้น อีกทั้งกำไรปกติ 9M67 คิดเป็นเพียง 68% ของประมาณการทั้งปีซึ่งดำเกินไป เราจึงขอปรับลดประมาณการ โดยภายใต้ประมาณการใหม่คาดปี 2567 NER มีกำไรปกติ 1.595 aบ. ทรงตัว YoY แต่จะกลับมาโต 8%YoY ในปี 2568 จากราคายางที่ทรงตัวสูงจากอุปทานจำกัดและมีแผนเผนเพิ่มลูกค้าใหม่ เราประเมินราคาเป้าหมายปี 2568 ที่หันละ 5.00 บาท (EPS อิงจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นจากใช้สิทธิแปลงสภาพ NER-W2 ซึ่งมี 308 ล้านหน่วย และกำหนดให้ใช้สิทธิเท่ากัน 4 ครั้งในเวลา 2 ปี พร้อมอิงค่าเฉลี่ย PER ที่ 6.0 เท่าเช่นเดิม) ซึ่งใกล้เคียงกับราคาหุ้นปัจจุบัน อย่างไรก็ดี NER มีจุดเด่นที่จ่ายเงินปันผลสูง โดยคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปีนี้นี้ห้นละ 0.36 บาท คิดเป็น Div. Yield ปีละ7.2% ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงคงแนะนำ "Neutra!" เพื่อรับเงินปันผล ความเสี่ยงสำคัญ คือ ความผันผวนของราคายายางพารา, การถดถอยของเศรษฐกิจโลกและจีน,ภาวะภัยแล้งจากปรากฎการณ์เอลนีโญอาจกระทบผลผลิต, การแข็งค่าของเงินบาท ส่วนความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือ การแปรรูปยางอาจก่จก่อให้เกิดมลภาวะทางอากาศและเกิดน้ำเสียได้ (E)อย่างไรก็ดี บริษัทบริหารจัดการกระบวนการผลิตอย่างเป็นระบบ และมีการติดตามผลต่อเนื่อง           บล.กรุงศรี กำไรสุทธิ 3024 ต่ำกว่าที่เราและตลาดคาด เรามีมุมมอง "Negative" ต่อกำไรสุทธิ 3Q24 ของ NER ที่ 361 ลบ. (+16%y-y,-25%g-q) ต่ำกว่าที่เราและตลาดคาด -6%/-8% ตามลำดับ โดยหากไม่รวม FXgain และ hedging gain จะมีกำไรปกติที่ 221 ลบ. (-35%y-y, -55%q-q) เพราะGPM ต่ำกว่าคาด ในขณะที่ยอดขายและ SG&A/sales ใกล้เคียงคาด สำหรับโมเมนตั้ม 4Q24F คาดกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น y-v. g-q จากปริมาณการขายและราคาขายเพิ่มขึ้น q-q ตามร่าคา SICOM ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนในสินค้าคงเหลือมีแนวโน้มคงที่ จึงคาด GPM เพิ่มขึ้น g-q อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของบริษัทค่อนข้างท้าทายเมื่อเทียบกับผลการดำเนินงาน 9M24 จึงมีโอกาสปรับประมาณการหลังได้รับข้อมูลเพิ่มจากการประชุมนักวิเคราะห์ คงคำแนะนำ Trading buy TP25F ที่ 5.85 บ.           บล.หยวนต้า แย่กว่าคาดทุกบรรทัด แต่ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว เราคาดกำไร 4067 มีโอกาสทำระดับสูงสุดใหม่ที่ราว 650 ลบ.+/ เนื่องจาก ASP ที่สูงขึ้นสอดคล้องกับต้นทุนที่สูงขึ้นมากกว่าต้นทุนและ ASP ใน 3Q67 ทำให้เราคาดว่า GPM ใน4Q67 จะกลับมาที่เลขสองหลักได้ นอกจากนี้ปริมาณขายบางส่วนส่งมอบล่าช้ากว่าแผนมาจากใน 3067 และบริษัทยังคงเป้าปริมาณขายที่ 4.4 แสนต้นในปีนี้ ทำให้ 4067 จะมีปริมาณส่งมอบถึง 1.3 แสนตัน สูงที่สุดของปี หากกำไร 4Q67 ใกล้เคียงกับที่เราประเมินจะส่งผลให้กำไรปกติปี 2567 อยู่ที่ 1,839 ลบ. จะต่ำกว่าประมาณการกำไรทั้งปี 2567 ปัจจุจุบันของเราราว 7% แต่เรายังคงประมาณการกำไรปี 2568 เนื่องจากยังคงมุมมองเชิงบวกต่อราคายาง และปี 2568 จะมีสัดส่วนรายได้จากยาง EUDR ในระดับที่มีนัยสำคัญมากขึ้น หนุนทั้งรายได้และ GPM เรายังคงคาดการณ์เงินปันผลช่วง 2H67 ที่ 0.38 บาท/หุ้น เนื่องจากในแง่ของกำไรสุทธิซึ่งใช้พิจารณาในการจ่ายเงินปันผลของบริษัทยังใกล้เคียงเราคาด คงราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ที่ 7.30 บาท ปัจจุบันซื้อขายที่ PER68 ต่ำเพียง 5.0 เท่า และคงคำแนะนำ ซื้อ เชิงกลยุทธ์คาดว่าตลาดจะตอบรับเชิงลบในช่วงแรกจากกำไรปกติที่ต่ำกว่าคาดมาก แต่เป็นจุดต่ำสุดของปี ราคาหุ้นไม่แพง มีปันผลสูง และ 4067 มีโอกาส New high จึงน่าสนใจสะสมที่แนวรับ 4.80 บาท และ 4.72 บาท ตามลำดับ           บล.บัวหลวง แนวโน้ม 4Q24 จะกลับมาสดใสที่สุดของปีนี้ NER รายงานกำไรสุทธิ 2Q24 ที่ 361 ล้านบาท โต 15% YoY ซึ่งเป็นผลจากราคาขายเพิ่มขึ้น 25% YOY แม้ปริมาณการขายลดลง 12% YoY (ผลผลิตยางออกน้อยลงจากภาวะภัยแล้ง) โดยราคาขายเฉลี่ยเพิ่มมาอยู่ที่ 63 บาท ต่อก.ก. อย่างไรก็ดี บริษัทฯ บันทึกต้นทุนยางที่สูงขึ้นเข้ามา ขณะที่ราคาขายได้มีการกำหนดล่วงหน้าซึ่งเป็นราคาที่อยู่ในโซนต่ำใน 1H24 ส่งผลต่ออัตรากำไรขั้นต้นลดลงเป็น8.3% ใน 3Q24 จาก 10.9% ใน 3Q23 สำหรับแนวโน้ม 4Q24 ข้อมูลจากผู้บริหารในงานพบปะนักวิเคราะห์ มีมุมมองเป็นบวก จากทั้งราคาขายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ใกล้ๆ 70 บาท ต่อ กก. และปริมาณการขายที่คาดการณ์ที่ 130K ตัน หรือเพิ่มทั้ง YOY และ QoQ จะทำให้ผลการดำเนินงานแข็งแกร่ง ซึ่งเราคาดว่าจะเป็นกำไรที่ดีที่สุดของปีนี้           บล.พาย 3Q24 ต้นทุนขึ้นกดดันกำไรขั้นต้น เรายังคงแนะนำ "ซื้อ" เพราะมีปัจจัยบวกจากแนวโน้มปริมาณขายในช่วง 4Q24 ที่คาดว่าจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี จากการได้รับผลดีจากราคายางที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือน ก.ย. เป็นต้นมา ขณะที่แนวโน้มในปื 25 NER ตั้งเป้ายอดขายที่ระดับ 500,000 ตัน(+14%YoY) รวมถึงราคาขายมีโอกาสเห็นระดับ 70 บาท/กก. ซึ่งจะหนุนให้ผลประกอบการเติบโต่อได้โดยเบื้องต้นเราคาดกำไรสุทธิปี25 ที่ระดับ 2,005 ล้านบาท (+6%YoY นับเฉพาะกำไรปกติ) ส่วนผลประกอบการงวด 3Q24 มีกำไรปกติ 221 ล้านบาท (-35%YoY,-55%QoQ) ได้รับผลกระทบจากราคายางพาราที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงกลางไตรมาสทำให้เป็นปัจจัยกดดันกำไรขั้นต้นให้ลดลงเหลือเพียง 8% จาก 10.9% ใน 3Q23 และ 12.4% ใน 2Q24           บล. ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ประเมินแนวโน้มกำไร 4Q24 จะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น โดยมีปัจจัยหนุนจากการรับรู้ราคาขาย ที่สอดคล้องกับต้นทุนมากชึ้น เนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้น จะถูกรับรู้ในงวด 3Q24 ไปแล้ว ทำให้ใน 4Q24 จะกลับมาเป็นขาที่จะเห็นผลบวกจากราคาขายที่สูงขึ้นแล้ว ประกอบกับ ปริมาณการขายคาดฟื้นตัวแรง พลิกกลับมาที่ราว 1.2-1.3 แสนตันได้ คาดกำไรปกติ 4Q24 จะกลับมาเติบโตได้ดีขึ้นทั้ง qoq และ yoy NER รายงานกำไรปกติงวด 3Q24 ที่ 221 ล้านบาท ลดลง 35% yoy และ 55% qoq ปัจจัยกดดันหลักมาจาก gross margin งวด 3Q24 ที่ 8.3% ลดลงจาก 12.4% และ 10.9% ในงวด 2Q24 และ 3Q23 ตามลำดับ โดย gross margin ที่หดตัวแรงมาจากต้นทุนเฉลี่ยที่ปรับตัวสูงขึ้น ในงวด 3Q24 แต่ต้นทุนในส่วนนี้ จะเป็นส่วนที่ผลิตเก็บไว้ขายในงวด 4Q24 ทำให้เกิดความไม่สอดคล้องในการรับรู้ต้นทุน VS ราคาขายในงวด 3Q24 กดดัน gross margin ปรับตัวลดลงแรงระยะสั้น

ส่งออกไทย ต.ค. เกินคาด  มั่นใจสิ้นปีโต 4% กว่า 3แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

ส่งออกไทย ต.ค. เกินคาด มั่นใจสิ้นปีโต 4% กว่า 3แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

          หุ้นวิชั่น - พาณิชย์รายงานตัวเลข ส่งออกไทย ต.ค. ทะยานสูงสุดในรอบ 19 เดือน โต 14.6% หนุนโดยสินค้าเทคโนโลยี-อาหาร มูลค่ารวมกว่า 27,222 ล้านดอลลาร์ แนวโน้มส่งออกไตรมาส 4 แกร่ง คาดทั้งปีแตะเป้า 300,000 ล้านดอลลาร์ เติบโต 4% ท่ามกลางปัจจัยหนุนและความท้าทายรอบด้าน แต่คาดปีหน้า 2568 โตต่อเนื่อง   นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) แถลงข่าวภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนตุลาคม และ 10 เดือนแรกของปี 2567 การส่งออกของไทยในเดือนตุลาคม 2567 มีมูลค่า 27,222.1 ล้านเหรียญสหรัฐ (896,735 ล้านบาท) ขยายตัวร้อยละ 14.6 หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวที่ร้อยละ 10.7 ทำมูลค่าสูงสุด ในรอบ 19 เดือน โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญจากการส่งออกสินค้ากลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ที่เติบโตในระดับสูง สอดรับกับกระแสการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลที่เติบโตอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ หลายประเทศยังมีการเร่งนำเข้าเครื่องจักรสำหรับการผลิต และวัตถุดิบที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม ซึ่งนอกจากจะรองรับการฟื้นตัวของภาคการผลิตแล้ว ยังเป็นการเตรียมความพร้อมเชิงกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านการค้าระหว่างประเทศที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยบวกจากการขยายตัวของ ความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารในตลาดโลก และสถานการณ์เงินเฟ้อในตลาดส่งออกหลักที่เริ่มคลี่คลาย ส่งผลให้ กำลังซื้อในตลาดเหล่านั้นปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ การส่งออกไทย 10 เดือนแรกของปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 4.9 และ เมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวร้อยละ 4.8           มูลค่าการค้ารวม มูลค่าการค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนตุลาคม 2567 การส่งออก มีมูลค่า 27,222.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 14.6 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 28,016.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 15.9 ดุลการค้า ขาดดุล 794.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ภาพรวม 10 เดือนแรกของปี 2567 การส่งออก มีมูลค่า 250,398.0 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 4.9 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 257,149.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 6.6 ดุลการค้า 10 เดือนแรกของปี 2567 ขาดดุล 6,751.2 ล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่าการค้าในรูปเงินบาท เดือนตุลาคม 2567 การส่งออก มีมูลค่า 896,735 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 5.8 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 934,700 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 7.1 ดุลการค้า ขาดดุล 37,965 ล้านบาท ภาพรวม 10 เดือนแรกของปี 2567 การส่งออก มีมูลค่า 8,854,630 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 8.3 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 9,199,289 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 9.9 ดุลการค้า 10 เดือนแรก ของปี 2567 ขาดดุล 344,659 ล้านบาท           การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 7.2 (YoY) ขยายตัวต่อเนื่อง 4 เดือน โดยสินค้าเกษตร ขยายตัวร้อยละ 6.8 และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 7.6 โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ข้าว ขยายตัวร้อยละ 10.1 ขยายตัวต่อเนื่อง 5 เดือน (ขยายตัวในตลาดแอฟริกาใต้  สหรัฐฯ ฟิลิปปินส์ อิรัก และแคเมอรูน) ยางพารา ขยายตัวร้อยละ 32.6 ขยายตัวต่อเนื่อง 12 เดือน (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สหรัฐฯ มาเลเซีย เกาหลีใต้ และอินเดีย) ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 12.4 กลับมาขยายตัวหลังจากหดตัวในเดือนก่อนหน้า (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร มาเลเซีย เนเธอร์แลนด์ และสิงคโปร์) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 26.7 ขยายตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย แคนาดา และอียิปต์) อาหารสัตว์เลี้ยง ขยายตัวร้อยละ 18.2 ขยายตัวต่อเนื่อง 13 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ออสเตรเลีย อิตาลี ฟิลิปปินส์ และไต้หวัน ) และผลไม้กระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 28.0 ขยายตัวต่อเนื่อง 13 เดือน (ขยายตัวในสหรัฐฯ จีน ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และแคนาดา) ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง หดตัวร้อยละ 3.3 หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (หดตัวในตลาดจีน สหรัฐฯ ฮ่องกง สิงคโปร์ และอินเดีย แต่ขยายตัวในตลาดอินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม เกาหลีใต้ และเมียนมา) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง หดตัวร้อยละ 30.6 หดตัวต่อเนื่อง 12 เดือน (หดตัวในตลาดจีน ไต้หวัน มาเลเซีย อินเดีย และแคนาดา แต่ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สหรัฐฯ เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย) น้ำตาลทราย หดตัว ร้อยละ 12.8 หดตัวต่อเนื่อง 10 เดือน (หดตัวในตลาดไต้หวัน สิงคโปร์ เกาหลีใต้ เมียนมา และจีน แต่ขยายตัว ในตลาดกัมพูชา ฟิลิปปินส์ ลาว เวียดนาม และมาเลเซีย) และไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ หดตัวร้อยละ 46.2 กลับมาหดตัวในรอบ 6 เดือน (หดตัวในตลาดอินเดีย เมียนมา มาเลเซีย เกาหลีใต้ และฟิลิปปินส์ แต่ขยายตัวในตลาดเวียดนาม จีน กัมพูชา ญี่ปุ่น และลาว) ทั้งนี้ 10 เดือนแรกของปี 2567 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 5.6           การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 18.7 (YoY) ขยายตัวต่อเนื่อง 7 เดือน โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 77.5 ขยายตัวต่อเนื่อง 7 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี และสิงคโปร์) ผลิตภัณฑ์ยาง ขยายตัวร้อยละ 27.2 ขยายตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และมาเลเซีย) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 43.0 ขยายตัวต่อเนื่อง 8 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น อินเดีย และจีน) เคมีภัณฑ์ ขยายตัวร้อยละ 18.7 ขยายตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน อินเดีย อินโดนีเซีย สหรัฐฯ และมาเลเซีย) เม็ดพลาสติก ขยายตัวร้อยละ 4.8 กลับมาขยายตัวในรอบ 3 เดือน (ขยายตัวในตลาดอินเดีย ญี่ปุ่น เวียดนาม มาเลเซีย และสหรัฐฯ) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ขยายตัวร้อยละ 2.2 กลับมาขยายตัวในรอบ 6 เดือน (ขยายตัวในตลาดอินเดีย จีน ออสเตรเลีย เวียดนาม และกัมพูชา) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 44.9 ขยายตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ออสเตรเลีย อินเดีย เวียดนาม และญี่ปุ่น) หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 23.1 กลับมาขยายตัวหลังจากหดตัวในเดือนก่อนหน้า (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เม็กซิโก ไต้หวัน สาธารณรัฐเช็ก และมาเลเซีย) ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 16.8 หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (หดตัวในตลาดออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น ซาอุดีอาระเบีย และมาเลเซีย แต่ขยายตัวในตลาดเวียดนาม สหรัฐฯ อาร์เจนตินา บราซิล และอิรัก) อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์และไดโอด หดตัวร้อยละ 34.7 หดตัวต่อเนื่อง 8 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน ไต้หวัน เวียดนาม และมาเก๊า แต่ขยายตัวในตลาดฮ่องกง อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์) ทั้งนี้ 10 เดือนแรกของปี 2567 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 5.2           ตลาดส่งออกสำคัญ             การส่งออกไปตลาดสำคัญส่วนใหญ่ขยายตัวได้ดี สอดคล้องกับสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะตลาดจีน และญี่ปุ่นที่กลับมาขยายตัว เช่นเดียวกับตลาดสหรัฐฯ CLMV สหภาพยุโรป และสหราชอาณาจักร ที่ขยายตัวสูงต่อเนื่อง ทั้งนี้ ภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่าง ๆ สรุปได้ดังนี้ (1) ตลาดหลัก ขยายตัวร้อยละ 16.3 โดยขยายตัวต่อเนื่องในตลาดสหรัฐฯ ร้อยละ 25.3 สหภาพยุโรป (27) ร้อยละ 22.1 และ CLMV ร้อยละ 27.9 กลับมาขยายตัวในตลาดจีน ร้อยละ 8.5 ญี่ปุ่น ร้อยละ 7.0 และอาเซียน (5) ร้อยละ 6.8 (2) ตลาดรอง ขยายตัวร้อยละ 2.4 โดยขยายตัว ในตลาดเอเชียใต้ ร้อยละ 12.8 ตะวันออกกลาง ร้อยละ 1.9 ลาตินอเมริกา ร้อยละ 31.5 สหราชอาณาจักร ร้อยละ 58.1 และรัสเซียและกลุ่ม CIS ร้อยละ 3.0 ในตลาดขณะที่ตลาดทวีปออสเตรเลีย และแอฟริกา หดตัวร้อยละ 14.0 และร้อยละ 3.1 ตามลำดับ (3) ตลาดอื่น ๆ ขยายตัวร้อยละ 118.9             ตลาดสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 25.3 (ขยายตัวต่อเนื่อง 13 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ และเครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ และส่วนประกอบ เป็นต้น ทั้งนี้ 10 เดือนแรกของปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 13.8 ตลาดจีน กลับมาขยายตัวร้อยละ 8.5 สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง เม็ดพลาสติก และผลิตภัณฑ์ มันสำปะหลัง เป็นต้น ทั้งนี้ 10 เดือนแรกของปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 0.8 ตลาดญี่ปุ่น ขยายตัวร้อยละ 7.0 (กลับมาขยายตัวในรอบ 9 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น ไก่แปรรูป เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ และแผงวงจรไฟฟ้า เป็นต้น ทั้งนี้ 10 เดือนแรกของปี 2567 หดตัวร้อยละ 5.9 ตลาดสหภาพยุโรป (27) ขยายตัวร้อยละ 22.1 (ขยายตัวต่อเนื่อง 5 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น สินค้าสำคัญ ที่หดตัว เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ และแผงวงจรไฟฟ้า เป็นต้น ทั้งนี้ 10 เดือนแรกของปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 9.3 ตลาดอาเซียน (5) กลับมาขยายตัวร้อยละ 6.8 สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป และแผงวงจรไฟฟ้า เป็นต้น ทั้งนี้ 10 เดือนแรกของปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 0.4 ตลาด CLMV ขยายตัวร้อยละ 27.9 (ขยายตัวต่อเนื่อง 10 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น น้ำมันสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์พลาสติก และผ้าผืน เป็นต้น ทั้งนี้ 10 เดือนแรกของปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 11.0 ตลาดเอเชียใต้ กลับมาขยายตัวร้อยละ 12.8 สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ เป็นต้น ทั้งนี้ 10 เดือนแรกของปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 9.5 ตลาดทวีปออสเตรเลีย กลับมาหดตัวร้อยละ 14.0 สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ และตู้เย็น ตู้แช่แข็งและส่วนประกอบ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเม็ดพลาสติก เป็นต้น ทั้งนี้ 10 เดือนแรกของปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 4.1 ตลาดตะวันออกกลาง ขยายตัวร้อยละ 1.9 (ขยายตัวต่อเนื่อง 3 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ อัญมณีและเครื่องประดับ และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เป็นต้น สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ตู้เย็น ตู้แช่แข็งและส่วนประกอบ และเม็ดพลาสติก เป็นต้น ทั้งนี้ 10 เดือนแรกของปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 3.2 ตลาดแอฟริกา หดตัวร้อยละ 3.1 (กลับมาหดตัวในรอบ 3 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น ข้าว เครื่องยนต์สันดาปภายใน และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เป็นต้น ทั้งนี้ 10 เดือนแรกของปี 2567 หดตัวร้อยละ 1.5 ตลาดลาตินอเมริกา ขยายตัวร้อยละ 31.5 (ขยายตัวต่อเนื่อง 7 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า และหม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์พลาสติก และเครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ และส่วนประกอบ เป็นต้น ทั้งนี้ 10 เดือนแรกของปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 13.8 ตลาดรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS กลับมาขยายตัวร้อยละ 3.0 สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ อากาศยาน ยานอวกาศ และส่วนประกอบ และอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น ทั้งนี้ 10 เดือนแรกของปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 5.8 ตลาดสหราชอาณาจักร ขยายตัวร้อยละ 58.1 (ขยายตัวต่อเนื่อง 4 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ไก่แปรรูป และอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่หดตัว เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และแผงวงจรไฟฟ้า เป็นต้น ทั้งนี้ 10 เดือนแรกของปี 2567 หดตัวร้อยละ 0.7 แนวโน้มการส่งออกในระยะถัดไป แนวโน้มการส่งออกในปี 2567 กระทรวงพาณิชย์คาดว่า การส่งออกในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 จะเติบโต อย่างแข็งแกร่ง ส่งผลให้อัตราการขยายตัวของการส่งออกทั้งปี 2567 บรรลุเกินกว่าเป้าหมายในการทำงาน (working target) ตามที่ได้ตั้งไว้ โดยประมาณการว่าส่งออกทั้งปี 2567 จะเติบโต 4% หรือมีมูลค่ากว่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  โดยมีปัจจัยบวกที่สำคัญจากการฟื้นตัวภาคอุตสาหกรรมของคู่ค้า การใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น การเติบโตของการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารไทย โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลและฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี ประกอบกับต้นทุนโลจิสติกส์ที่เอื้ออำนวยจากการปรับลดลงของค่าระวางเรือ อย่างไรก็ดี การส่งออกของไทยยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ในอนาคต ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน สถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงดำเนินอยู่ รวมถึงผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนนโยบายการส่งออกข้าวของอินเดียที่อาจส่งผลต่อการส่งออกข้าวไทย ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จำเป็นต้องเฝ้าติดตามและวิเคราะห์ปัจจัยเหล่านี้อย่างใกล้ชิด เพื่อหาแนวทางรับมือที่เหมาะสมต่อสถานการณ์ต่อไป บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ทางฝ่ายมีมุมมองเชิงบวกต่อตัวเลขการส่งออก ตามการส่งออกที่ขยายตัวเร่งตัวขึ้น ซึ่งจะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไทยใน ไตรมาส 4/2567 โดยมองเป็น Sentiment ทางบวกต่อ SET Index โดยเฉพาะหุ้นที่อยู่ในกลุ่มสินค้าที่ขยายตัวได้ดี ดังนี้ 1) สินค้าเกษตรที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ ยางพารา (+12 เดือนต่อเนื่อง) ข้าว (+5 เดือนต่อเนื่อง) ไก่สดแช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป (กลับมาขยายตัวหลักจากหดตัวเมื่อเดือนก่อนหน้า) 2) สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ ผลไม้กระป๋องและแปรรูป (+13เดือนต่อเนื่อง) อาหารสัตว์เลี้ยง (+13 เดือนต่อเนื่อง) และอาหารทะแลกระป๋องและแปรรูป (+4 เดือนต่อเนื่อง) 3) สินค้าอุตสาหกรรมที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (+7 เดือนต่อเนื่อง) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ (+4 เดือนต่อเนื่อง) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ (+8 เดือนต่อเนื่อง) ผลิตภัณฑ์ยาง (+4 เดือนต่อเนื่อง) หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ (กลับมาขยายตัวหลักจากหดตัวเมื่อเดือนก่อนหน้า) เคมีภัณฑ์ (+4 เดือนต่อเนื่อง) เม็ดพลาสติก (กลับมาขยายตัวในรอบ 3 เดือน) และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ (กลับมาขยายตัวในรอบ 3 เดือน) โดยมองหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ CCET, CPF, DELTA, HANA, HTECH, ITC, IVL, PTTGC, STA, STGT, TFG ในทางกลับกัน ทางฝ่ายมอง SET Index มีแนวโน้มตอบรับปัจจัยบวกจากการขยายตัวของการส่งออกอย่างจำกัด ท่ามกลางการนำเข้าเดือนต.ค.67 ที่ขยายตัวอย่างเร่งตัวขึ้น และเป็นการขยายตัวอย่างเร่งตัวขึ้นในเกือบทุกหมวดสินค้า ซึ่งอาจเป็นสัญญาญบ่งชี้ถึงสินค้าจีนที่ยังเข้าหลั่งไหลเข้าสู่ไทย สะท้อนจากข้อมูลใน 9M67 ที่บ่งชี้ว่าไทยนำเข้าจากจีนขยายตัว 11.06% y-y และเป็นการขยายตัวเกือบทุกหมวดสินค้า (ยกเว้น สินค้าเชื้อเพลิง และยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง) ซึ่งจะเป็นแรงกดดันต่อผู้ประกอบการ (โดยเฉพาะ MSME ซึ่งมีความสามารถในการแข่งขันต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจขนาดใหญ่) ที่ต้องแข่งขันกับสินค้าราคานำเข้าจากจีน ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ต้น-ปลายน้ำ รวมถึงคาดเป็นแรงกดดันทางอ้อมต่อการบริโภคภาคเอกชน

CEO MASTER คว้า 2 รางวัลแห่งความภาคภูมิใจ

CEO MASTER คว้า 2 รางวัลแห่งความภาคภูมิใจ

          หุ้นวิชั่น - นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ (คุณดาว-ลภัสรดา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER ผู้ประกอบกิจการโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช ผู้นำอันดับต้นของอุตสาหกรรมด้านความงามในไทยและเอเชีย พร้อมจะก้าวเป็น Regional Company เข้าร่วมพิธีอันทรงเกียรติ            รับ 2 รางวัลแห่งความความภาคภูมิใจ บุคคลต้นแบบที่ทรงคุณค่า นำโดย รางวัลเชิดชูเกียรติ        “นักวิชาชีพสตรีดีเด่น หอการค้าไทย ประจำปี 2567” โดย CEO MASTER ถือเป็น 1 ใน 17 คน ที่รับการคัดเลือกจากทั่วประเทศมากกว่า 50 คน ซึ่งรางวัลนี้ จัดขึ้นเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติสตรีนักธุรกิจ นักธุรกิจสตรีดีเด่น นักวิชาชีพสตรีดีเด่น และนักธุรกิจสตรีรุ่นใหม่ ที่ประสบความสำเร็จด้านธุรกิจ และการดำเนินชีวิต       เป็นแบบอย่างแก่สตรี พร้อมทั้งส่งเสริมบทบาทสตรี ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ซึ่งถือว่า   เป็นรางวัลแห่งความภาคภูมิใจอย่างยิ่งในฐานะผู้บริหารธุรกิจ สำหรับ โครงการนักธุรกิจสตรีดีเด่น นักธุรกิจสตรีรุ่นใหม่ และนักวิชาชีพสตรีดีเด่น หอการค้าไทย ประจำปี 2567 เป็นโครงการที่จัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 12 ทั้งนี้ งานจัดขึ้นในวันที่  23 พฤศจิกายน 2567 นอกจากนี้ คุณดาว -ลภัสรดา ยังเข้ารับรางวัลทรงคุณค่า “รางวัลศิษย์เก่าดีเด่น คณะบริหารธุรกิจ สาขาการบัญชี  ประจำปีการศึกษา 2566” จัดโดย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ร่วมกับ สมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี  ในฐานะที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและสร้างการเติบโตให้กับองค์กร โดยให้เห็นถึงศักยภาพ และความสามารถการเป็นผู้บริหารยุคใหม่แถวหน้าของประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง และมีผลงานให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 12 ปี MASTER ได้ยืนหยัดบนเส้นทางอุตสาหกรรมศัลยกรรมความงามและนำพาโรงพยาบาลมาสเตอร์พีชเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นรายแรก ซึ่งท่ามกลางความท้าทายและความผันผวน ทั้งนี้ งานจัดขึ้นในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567 ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี

กูรูหุ้นเชียร์

กูรูหุ้นเชียร์"ซื้อ" EKH เคาะเป้าราคา 9.90 บ.ต่อหุ้น

          หุ้นวิชั่น -  บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” หุ้น บมจ.เอกชัยการแพทย์ (EKH) คาดผลงาน Q4/67 ยังมีทิศทางเติบโตได้ต่อเนื่อง รวมทั้งสถานะทางการเงินแข็งแกร่ง ไม่มีภาระหนี้สิน คงมูลค่าพื้นฐานปี 2567 ที่ 9.90 บาทต่อหุ้น  ขณะที่บล. โกลเบล็ก ประเมินอนาคต EKH มีแรงหนุนเพียบจากการเปิดรพ.คูน วัฒนแพทย์ อ่าวนาง รวมถึงเปิดอาคาร C โรงพยาบาลเอกชัย และรพ.ด้านสุขภาพจิตและจิตเวช  คาดกำไรปกติปี 67 เท่ากับ 296 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน  ปัจจุบันหุ้นซื้อขายที่ PE 15.9 เท่าต่ำกว่ากลุ่มโรงพยาบาลที่ราว 20 เท่า แนะนำ  ซื้อ บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เผยแพร่บทวิเคราะห์  บริษัท เอกชัยการแพทย์ จำกัด (มหาชน) (EKH)  โดยประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2567 ยังคงเติบโตต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  ซึ่งมองว่าการที่ EKH เพิ่มเอเจนซี่รายใหม่อีก 1 รายในปี 2567 ส่งผลบวกต่อธุรกิจ IVF ฝ่ายวิจัยคงประมาณการกำไรปีนี้เติบโต 9% เทียบจากปีก่อน และมีมุมมองเป็นบวกต่อแผนขยายธุรกิจต่อเนื่องในปี 2568-2569 ที่ช่วยเพิ่ม Capacity ช่วยลดปัญหาอัตราการใช้บริการที่หนาแน่นและรอลุ้นแผนดีล M&A ที่คาดว่าจะเกิดในช่วงไตรมาสที่ 4/2567-1/2568 ฝ่ายวิจัยมองราคาหุ้นปรับลดลงสะท้อนผลประกอบการที่ชะลอตัวในไตรมาส 2/2567 ที่ผ่านมาไปแล้ว ซึ่งแนวโน้มครึ่งหลังปี 2567-2568 ยังเห็นการเติบโตด้านสถานะทางการเงินของ EKH แข็งแกร่ง ไม่มีภาระหนี้สิน เบื้องต้นฝ่ายวิจัยคงมูลค่าพื้นฐานปี 2567 ที่ 9.90 บาทต่อหุ้น ด้านบริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด มีมุมเป็นบวกต่อกำไรไตรมาส 3/2567 ของ EKH ที่เติบโตดีกว่าที่ตลาดคาด แต่มองเป็นกลางช่วงไตรมาส 4/2567 และปี 2568 เนื่องจาก Capacity รองรับผู้ป่วยในปัจจุบันใกล้เต็ม แต่คาดว่ายังสามารถเติบโตได้จากการเติบโตของผู้ป่วยนอก (OPD)  รวมทั้งศูนย์บริการผู้มีบุตรยาก EKI-IVF  ที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง และมีการใช้ Agency ในการช่วยหาลูกค้าเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะได้เห็นการเติบโตรอบใหม่ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2569 เป็นต้นไป  จากการเปิดให้บริการโรงพยาบาลพร้อมกัน 3 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลคูน วัฒนแพทย์ อ่าวนาง  2. อาคาร C ของโรงพยาบาลเอกชัย และโรงพยาบาลด้านสุขภาพจิตและจิตเวช  โดยรวมคาดจะใช้เวลา Break even มีกำไรประมาณ 1 ปี เนื่องจากเป็นตลาดที่มีดีมานด์รองรับอยู่แล้ว ทั้งนี้ Bloomberg Consensur คาดกำไรปกติปี 2567 ประมาณ 296 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน  (งวด 9 เดือน คิดเป็น 73%) และราคาเหมาะสม 7.30 บาท มี Upside 11% โดยปัจจุบันซื้อขายที่ PE 15.9 เท่า ถูกกว่ากลุ่มที่ราว 20 เท่า แนะนำ  "ซื้อ" นายแพทย์อำนาจ เอื้ออารีมิตร กรรมการและผู้อำนวยการโรงพยาบาล บริษัท เอกชัยการแพทย์ จำกัด (มหาชน) (EKH) กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจของ EKH ต่อจากนี้ไปเชื่อว่าจะเติบโตต่อเนื่อง จากการเพิ่มขึ้นของผู้เข้ารับบริการที่โรงพยาบาลเอกชัย สมุทรสาคร ทั้งในส่วนของผู้ป่วยนอก (OPD)  และผู้ป่วยใน (IPD) รวมถึงการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้เข้ารับบริการศูนย์ผู้มีบุตรยาก EKI-IVF พระราม 9 โดยเฉพาะผู้เข้ารับบริการชาวจีนและการเพิ่มขึ้นของผู้เข้ารับบริการที่โรงพยาบาลคูน ทำให้บริษัทฯ มั่นใจแนวโน้มรายได้ปีนี้จะเติบโตตามเป้าไม่ต่ำกว่า 10% เมื่อเทียบปีที่ผ่านมา  และยังคงมองหาโอกาสที่จะขยายการให้บริการด้านสุขภาพใหม่ๆ รวมถึงลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพในพื้นที่อื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อรองรับความต้องการที่ยังมีอยู่อีกมาก และเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ในอนาคต

กพช. เคาะอัตราใหม่

กพช. เคาะอัตราใหม่ "กองทุนอนุรักษ์พลังงาน" เริ่ม 1 ธ.ค. นี้

  หุ้นวิชั่น - กพช. เห็นชอบกำหนดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้เป็นก๊าซหุงต้มหรือก๊าซไฮโดรคาร์บอนเหลว พ.ศ. 2567 วันนี้ (26 พฤศจิกายน 2567) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งมี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ที่ประชุมได้พิจารณาการกำหนดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร และน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร และก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้เป็นก๊าซหุงต้มหรือก๊าซไฮโดรคาร์บอนเหลว พ.ศ. 2567 เนื่องจาก ประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร และน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร พ.ศ. 2564 เดิมจะครบกำหนดในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 นี้ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบ อัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร และน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร ในอัตรา 0.0500 บาทต่อลิตร และก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้เป็น ก๊าซหุงต้มหรือก๊าซไฮโดรคาร์บอนเหลว ในอัตรา 0.0000 บาทต่อกิโลกรัม โดยเริ่มใช้ 1 ธันวาคม 2567  เป็นต้นไป ทั้งนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร และน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักรและก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้เป็นก๊าซหุงต้มหรือก๊าซไฮโดรคาร์บอนเหลว  พ.ศ. .... และมอบหมายให้ สนพ. นำเสนอประธานกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติลงนามต่อไป    นายพีระพันธุ์ กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบข้อเสนอที่ให้กระทรวงพลังงานเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขอทบทวนมติ ครม. เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 ที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2544 (ครั้งที่ 87) เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2544 ในประเด็นเรื่องการปรับองค์กรในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม จาก “ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 เป็นต้นไป ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลัก รับผิดชอบดูแลงานด้านการกำหนดนโยบายและมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมแทนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และรับไปดำเนินการจัดทำคำขอรับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยให้ยุติการนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังประสานงานกับสำนักงบประมาณในการจัดสรรงบประมาณตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 เป็นต้นไป” เป็น “ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลัก รับผิดชอบดูแลงานด้านการกำหนดนโยบายและมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม และให้หน่วยงานที่มีความประสงค์ขอรับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมดำเนินการจัดทำคำขอรับการจัดสรรงบประมาณโดยตรงตั้งแต่ปีงบประมาณ  พ.ศ. 2569 เป็นต้นไป” นอกจากนี้ ที่ประชุม ยังได้มีการพิจารณาให้ความเห็นชอบ ร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 3 ฉบับ (3 ผลิตภัณฑ์) ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ เครื่องอัดอากาศแบบเกลียว และกระจก และมอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน นำร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 3 ฉบับ  (3 ผลิตภัณฑ์) เสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจร่างต่อไป

SCB ชูยิลด์ปันผล 9.6-10.3% โบรกเคาะเป้า130บาท

SCB ชูยิลด์ปันผล 9.6-10.3% โบรกเคาะเป้า130บาท

หุ้นวิชั่น - ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล(ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ โดยเชื่อว่า SCB จะระมัดระวังกับการกำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 68 เนื่องจากนักเศรษฐศาสตร์ของ CGSI คาดการณ์ว่า GDP จะขยายตัวเพียง 3% และปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงจะยังฉุดยอดสินเชื่อใหม่ของธุรกิจสินเชื่อรายย่อย อย่างไรก็ตาม มองว่า SCB น่าจะลดค่าใช้จ่ายปีละ 2 พันล้านบาทหลังขายเงินลงทุนในบริษัทเพอร์เพิล เวนเจอร์ส ณ สิ้นไตรมาส 3/67 ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกหนุนการเติบโตของกำไรปี 68 ขณะที่ SCB กล่าวระหว่างประชุมนักวิเคราะห์ว่า จะยังให้ความสำคัญกับการปรับปรุงคุณภาพสินเชื่อรายย่อย ซึ่งจะทำให้อัตราการสำรองหนี้สูญลดลงในปี 68-69 ในงวด 9 เดือนแรกของปี 67 SCB ใช้เกณฑ์ที่เข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลแบบไม่มีหลักประกันของบริษัท คาร์ด เอกซ์ (CardX, Not listed) ส่งผลให้พอร์ตสินเชื่อของ CardX ในไตรมาส 3/67 ลดลง 15.1% yoy และลดลง 14.3% จากสิ้นปี 66 ซึ่งช่วยยืนยันมุมมองของฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ที่เชื่อว่าการขยายธุรกิจสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกันในขณะที่หนี้ครัวเรือนสูง มีความเสี่ยงสูงเกินไป   อย่างไรก็ตาม SCB ยังเดินหน้าขยายพอร์ตสินเชื่อจำนำทะเบียนรถที่อยู่ภายใต้บริษัทออโต้ เอกซ์(AutoX, Not listed) ทำให้สินเชื่อกลุ่มนี้ในไตรมาส 3/67 เติบโตสูงถึง 97.3% yoy และเพิ่มขึ้น 53.4% จากสิ้นปี 66 นอกจากนี้ ยังขยายสินเชื่อดิจิทัลที่อยู่ภายใต้บริษัทอื่นในเครือ ทั้งนี้สินเชื่อดิจิทัลมีสัดส่วน 1.2% ของยอดสินเชื่อรวมในไตรมาส 3/67 ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ปรับประมาณการ EPS ในปี 67-69 ขึ้น 1.8-10.8% เพราะคาดว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) ของ SCB จะเพิ่มขึ้น 5-21bp เป็น 3.98-4.03% ขณะที่ปรับสมมติฐานอัตราการสำรองหนี้สูญลงมาอยู่ที่ 178- 188bp ในปี 67-69 เนื่องจาก SCB เพิ่มความเข้มงวดเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อและตัดหนี้สูญอย่างต่อเนื่องช่วง ไตรมาส 4/66-ไตรมาส 3/67 นอกจากนี้ ยังปรับลดอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จาก 42.1-42.3% เป็น 40.6- 41.1% ในปี 68-69 สะท้อนการขายเงินลงทุนในบริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส ซึ่งจะส่งผลดีสุทธิในรูปของค่าใช้จ่ายการดำเนินงานที่ลดลง ดังนั้น หากอิงตามประมาณการใหม่ SCB จะมี ROE เพิ่มขึ้น จาก 8.9% ในปี 67 เป็น 9.4-9.9% ในปี 68-69 ขณะที่ยังคาดว่า SCB จะมีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูงที่ 80% ในปี 67-69 ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ปรับราคาเป้าหมายของ SCB เป็น 130 บาท จาก 111 บาท ซึ่งจะเท่ากับ P/BV 0.88 เท่าในปี 68 ทั้งนี้เป้า P/BV เพิ่มสูงขึ้นหลังจากปรับเพิ่มประมาณการกำไรในปี 68-69 นอกจากนี้ยังปรับเพิ่มคำแนะนำจาก “ถือ” เป็น “ซื้อ” เพราะมองว่า EPS น่าจะเติบโตดีในอัตรา 7.3-7.4% ในปี 68-69 และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลยังน่าสนใจที่ 9.6-10.3% ต่อปี อย่างไรก็ตาม SCB จะมี downside risk หาก NPL พุ่งสูงขึ้นจากสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย, สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลแบบไม่มีหลักประกัน รวมถึงการที่รายได้ค่าธรรมเนียมต่ำกว่าคาด ส่วนปัจจัยบวกคือความสำ เร็จของมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่มุ่งเป้าไปยังกลุ่มสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย, สินเชื่อรถ และมาตรการลดค่าใช้จ่ายของ SCB

ปตท.สผ. ได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการระดับ “ดีเลิศ” จาก CGR 2024

ปตท.สผ. ได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการระดับ “ดีเลิศ” จาก CGR 2024

          หุ้นวิชั่น - บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ได้รับการประเมินด้านการกำกับดูแลกิจการในระดับ “ดีเลิศ” (Excellent) หรือ 5 สัญลักษณ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุด ต่อเนื่องเป็นปีที่ 23 และได้รับการจัดอันดับอยู่ใน Top Quartile ของบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าทางการตลาดไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท จากการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียน ประจำปี 2567 (Corporate Governance Report of Thai Listed Companies: CGR 2024) ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ภายใต้การสนับสนุนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การจัดอันดับดังกล่าว สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ ปตท.สผ. ในการพัฒนามาตรฐานการกำกับดูแลกิจการที่ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม

ธนาคารไทยพาณิชย์ มุ่ง Net Zero  ร่วม รพ.พระรามเก้าจัดเงินฝากยั่งยืน

ธนาคารไทยพาณิชย์ มุ่ง Net Zero ร่วม รพ.พระรามเก้าจัดเงินฝากยั่งยืน

หุ้นวิชั่น - ธนาคารไทยพาณิชย์ และ โรงพยาบาลพระรามเก้า ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อสนับสนุนธุรกิจที่มุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืน ซึ่งถือเป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกที่เข้าร่วมโครงการ “เงินฝากเพื่อความยั่งยืน” (Sustainability Deposit) เพื่อตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) สะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการสนับสนุนเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050             นายรังสรรค์ องค์สรณะคม รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Corporate Banking 3 ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า เงินฝากเพื่อความยั่งยืน เป็นบัญชีเงินฝากประจำหลากหลายสกุล เช่น เงินไทยบาท, เงินสหรัฐดอลลาร์ และเงินยูโร ซึ่งเป็นหนึ่งฟันเฟืองสำคัญที่ธนาคารจะนำไปสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่มีการลงทุนเพื่อลดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของธนาคารไทยพาณิชย์ในการเป็นผู้นำด้านการให้สินเชื่อเพื่อความยั่งยืนในประเทศไทย ด้วยเป้าหมายสินเชื่อเพื่อความยั่งยืน 1.5 แสนล้านในปี 2025 สอดรับกับพันธกิจในการเป็น Net Zero ในปี 2050 โดยมีความพร้อมในการเป็นพันธมิตรที่สนับสนุนลูกค้าทุกกลุ่มไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน             นพ.เสถียร ภู่ประเสริฐ กรรมการผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการผนึกกำลังเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน โดยโรงพยาบาลพระรามเก้า ได้มุ่งมั่นพัฒนาการให้บริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม บนพื้นฐานของธรรมาภิบาล มีความรับผิดชอบต่อชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อม            โดยการสนับสนุนการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Financing) ในโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในด้านสุขภาพ การเงิน และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดรับกับกรอบนโยบายการในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และมีความรับผิดชอบต่อสังคม สะท้อนให้เห็นว่า นอกจากการมุ่งมั่นยกระดับการให้บริการที่มีประสิทธิภาพแล้ว โรงพยาบาลพระรามเก้ายังมุ่งให้ความสำคัญต่อความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สังคม และสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปด้วย            ความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลพระรามเก้า และ ธนาคารไทยพาณิชย์ ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการผสานพลังระหว่างองค์กรธุรกิจและสถาบันการเงินในการสนับสนุนความยั่งยืนระยะยาวให้กับประเทศไทย โดยโรงพยาบาลจะได้รับข้อมูลรายงานประจำปีเกี่ยวกับโครงการเหล่านี้             ทั้งนี้ โรงพยาบาลพระรามเก้า มุ่งหวังว่าความร่วมมือในครั้งนี้ จะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว ตามแนวทาง ESG คือ สิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และหลักธรรมาภิบาล (Governance) ผ่านกระบวนการดำเนินธุรกิจในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการ ที่ตอบสนองความต้องการของผู้มีส่วนได้เสีย

WICE เปิดตัวโครงการ “Swap & Shop ของดีมือ 2

WICE เปิดตัวโครงการ “Swap & Shop ของดีมือ 2

        หุ้นวิชั่น - ดร.อารยา คงสุนทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE พร้อมผู้บริหารและพนักงาน ร่วมเปิดตัวโครงการ Swap & Shop ของดีมือ 2 เปิดฟลอร์ รอแลก-ซื้อ ซึ่งเป็นพื้นที่ตลาดนัดมือ 2 ที่เปิดโอกาสให้ในพนักงานในองค์กรให้นำของไม่ใช้แล้ว สภาพดี นำมาซื้อขาย แลกเปลี่ยนกัน โดยกิจกรรมตลาดนัดมือ 2 นี้จะถูกจัดขึ้นเป็นประจำทุกเดือน ซึ่งนอกจากการนำของมาแลกเปลี่ยนแล้ว บริษัทยังเปิดรับบริจาคของใช้สภาพดี เพื่อนำไปบริจาคต่อให้แก่ชุมชนอีกด้วย สำหรับกิจกรรม Swap & Shop จัดขึ้นตามแนวคิด Circular Economy ที่ต้องการผลักดันให้การใช้ทรัพยากรเกิดประโยชน์สูงสุด ลดขยะ และส่งเสริมให้เกิดการหมุนเวียนของสินค้า รวมถึงได้นำกระบวนการ 3R ได้แก่ Reuse, Recovery และ Repair ซึ่งเป็นแนวทางในการก่อให้เกิด Circular Economy เข้ามาปรับใช้ โดยกิจกรรม Swap & Shop นอกจากจะลดขยะและประหยัดทรัพยากรแล้ว ยังเป็นการสร้างนิสัยให้กับพนักงานให้หันมาใส่ใจและรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

SM กาง 4 กลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจโค้งสุดท้าย

SM กาง 4 กลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจโค้งสุดท้าย

          หุ้นวิชั่น - “บมจ.สตาร์ มันนี่ (SM) ราชาเงินผ่อนภาคตะวันออก ชู 4 กลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจช่วงโค้งสุดท้ายปีนี้หวังเติบโตอย่างมั่นคง  พร้อมลุย! จัดโปรโมชั่น-หาพันธมิตรเพิ่ม-เน้นสินค้าไฮมาร์จิ้น ทั้งโทรศัพท์มือถือ และเครื่องใช้ไฟฟ้า พร้อมรุกธุรกิจเช่าซื้อเต็มพิกัด มั่นใจรายได้ปีนี้โต 15% ตามแผน\ นายชูศักดิ์ วิวัฒน์วงศ์เกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตาร์ มันนี่ จำกัด (มหาชน) (SM) ผู้นำในการให้บริการสินเชื่อรายย่อยแบบมีหลักประกัน และไม่มีหลักประกัน รวมถึงจำหน่ายสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และติดตั้งโซลาร์เซลล์ทั้งในรูปแบบขายเงินสดและขายผ่อน เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าออกโปรโมชั่นพิเศษต่อเนื่องในทุกสาขา โดยในช่วงโค้งสุดท้ายปี 2567 เตรียมขนทัพสินค้า รวมถึงผลิตภัณฑ์สินเชื่อ และประกันภัยไปร่วมออกบูธในงาน Expo ของจังหวัดระยอง พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ ซึ่งคาดว่าจะช่วยดึงดูดและเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น ขณะเดียวกันจะเดินหน้าร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ เพื่อเพิ่มช่องทางการขายและบริการ รวมทั้งเพิ่มสินค้าใหม่ สร้างความหลากหลายตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภค ล่าสุดได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกับ บริษัท อิเรเดี๊ยน โซล่า จำกัด โดยจะทำหน้าที่ให้บริการนายหน้าและปล่อยสินเชื่อติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์แถบภาคตะวันออก นอกจากนี้ ยังคงมุ่งเน้นขยายพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า และโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากเป็นสินค้าไฮมาร์จิ้น โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา โทรศัพท์มือถือ จัดเป็นสินค้าเรือธง (Flagship) ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังได้ปรับอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อเพิ่มขึ้นแต่ยังคำนึงถึงความเหมาะสมของความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า           “จากภายใต้ 4 กลยุทธ์ ประกอบด้วย จัดโปรโมชั่น เพื่อกระตุ้นยอดขาย ลุยขยายพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อ เน้นสินค้าไฮมาร์จิ้นโดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ รวมถึงหาพันธมิตรใหม่ๆ คาดจะช่วยส่งเสริมให้ภาพรวมรายได้ทั้งปีนี้ยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 15%” นายชูศักดิ์ กล่าวในที่สุด

PCE จัด “Analyst Meeting Q3/2024”  โชว์ศักยภาพผู้นำธุรกิจน้ำมันปาล์มครบวงจร

PCE จัด “Analyst Meeting Q3/2024” โชว์ศักยภาพผู้นำธุรกิจน้ำมันปาล์มครบวงจร

หุ้นวิชั่น - นายพรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล รองกรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (PCE) ผู้นำอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มแบบครบวงจรที่มีความพร้อมการจัดการระบบซัพพลายเชน ร่วมให้ข้อมูลแก่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ในงาน Analyst Meeting ไตรมาส 3 ปี 2567 โดยผลการดำเนินงานใน 9 เดือนปี 2567 กวาดรายได้กว่า 2.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.3%  กำไรสุทธิ 400.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86.7% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน สูงกว่ากำไรรวมทั้งปี 2566 อยู่ที่ระดับ 310.73 ล้านบาท จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ น้ำมันเมล็ดในปาล์มกึ่งบริสุทธิ์(RBDPKO) นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์หลัก เช่น น้ำมันปาล์มดิบกึ่งบริสุทธิ์ (RBDPO) น้ำมันปาล์มดิบ (CPO) และน้ำมันเมล็ดในปาล์ม (CPKO) ยังมีปริมาณการจำหน่ายเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้น ณ ห้อง function room บล.เมย์แบงก์ เมื่อเร็วๆ นี้

[Gossip] KTMS เล็งบุ๊ครายได้ 2 สาขาใหม่ ไตรมาส 4 นี้

[Gossip] KTMS เล็งบุ๊ครายได้ 2 สาขาใหม่ ไตรมาส 4 นี้

หุ้นวิชั่น - เสิร์ฟข่าวดีต่อเนื่อง สำหรับ บมจ.เคที เมดิคอล เซอร์วิส จำกัด “KTMS” ผู้นำด้านการให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม และระบบผลิตน้ำบริสุทธิ์สำหรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมรวมทั้งการขายและการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์อย่างครบวงจร (One-stop Services) หลังแจ้งงบ 9 เดือนของปี 2567 กำไรสุทธิโต 13.37% (YoY)  แตะ 11.11 ล้านบาท ขณะที่รายได้ 436.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.51% ล่าสุด CEO “กาญจนา พงศ์พัฒนะเดชา” ออกโรงประกาศย้ำข่าวดีเตรียมจ่อรับทรัพย์จากการรับรู้รายได้ไตรมาสสุดท้าย จากการเปิดศูนย์ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม 2 แห่งใหม่ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มั่นใจรายได้รวมปีนี้แตะ 600 ล้านบาท ตามเป้าอย่างแน่นอน ส่วนจะมีแผนขยายศูนย์ฯ ให้บริการเพิ่มเติม เพื่อรองรับผู้ป่วยที่จะเข้ามารักษาอีกกี่แห่ง ผู้บริหารของอุบไว้ก่อน แต่หาก FC ท่านไหนอยากอัปเดต รอฟังข้อมูลแบบเจาะลึกกันแบบสดๆ ในงาน KTMS Opportunity Day วันที่ 3 ธ.ค. 2567 เวลา 13:15 - 14:00 น. ได้เลย ใครเป็น FC ตัวจริงต้องห้ามพลาด!!!!

บจ.mai 9 เดือน กำไรโต 27.2% เกษตร-อาหารทำเงิน

บจ.mai 9 เดือน กำไรโต 27.2% เกษตร-อาหารทำเงิน

หุ้นวิชั่น - นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 213บริษัท คิดเป็น 97% จากทั้งหมด 220 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวด) นำส่งผลการดำเนินงาน โดย 9 เดือน ปี 2567 พบ บจ. รายงานกำไรสุทธิจำนวน 151 บริษัท คิดเป็น 71% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2567 ของ บจ. mai เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มียอดขาย 155,843 ล้านบาท และต้นทุนขาย 115,277 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9% และ 4.2% ตามลำดับ ส่งผลให้มีกำไรขั้นต้น 40,566 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.9% และมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 29,202 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.6% ทำให้มีกำไรจากการดำเนินงาน 11,364 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 6,302 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.0% และ 27.2 % ตามลำดับ และหากพิจารณาถึงความสามารถในการทำกำไร พบว่า บจ. ยังคงความสามารถในการทำกำไรดี โดยมี Gross Profit Margin  Operating Profit Margin และ Net Profit Margin อยู่ที่ระดับ 26.0% 7.3% และ 4% เพิ่มขึ้น 1.1% 1.4% และ 0.6% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ “ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ของ บจ. ใน mai ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรก บจ. ทำผลประกอบการสะสมมาได้ดี หากแต่งวดไตรมาสที่ 3 เริ่มเห็นการเติบโตน้อยลง โดยมียอดขายและกำไรจากการดำเนินงานเติบโตเพียง 3.9% และ 4.9% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม หากพิจารณางวด 9 เดือน ตามรายกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่ายอดขายเติบโตในเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ยกเว้นกลุ่มทรัพยากรที่มียอดขายลดลง โดย 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตทั้งยอดขาย กำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) และกำไรสุทธิ ได้แก่ กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง และกลุ่มบริการ” นายประพันธ์กล่าว ในส่วนของฐานะทางการเงิน บจ. mai มีสินทรัพย์รวม 329,230 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากสิ้นปี มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) อยู่ที่ 0.78 เท่า เท่ากับปี 2566 ปัจจุบันมี บจ.ใน mai 220 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2567) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 322.57 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่ 311,812 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 1,554 ล้านบาทต่อวัน

บจ. งวด 9 ด. ได้ดีธุรกิจท่องเที่ยว  ผลประกอบการน้ำมันกดกำไร

บจ. งวด 9 ด. ได้ดีธุรกิจท่องเที่ยว ผลประกอบการน้ำมันกดกำไร

หุ้นวิชั่น - นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) 810 บริษัท คิดเป็น 98.8% จากทั้งหมด 820 บริษัท (รวม SET และ mai ที่มีกำหนดส่งงบการเงิน ณ สิ้นงวด 30 กันยายน 2567 และไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และงบการเงินไม่ตรงรอบปีปฎิทิน) นำส่งผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2567 พบว่ามี บจ. รายงานกำไรสุทธิ 617 บริษัท คิดเป็น 76.2% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด    ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2567 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บจ. ใน SET มียอดขาย 13,174,607 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.8% ขณะที่ต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 8.8% และ 10.0% ตามลำดับ ทำให้ บจ. มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) 1,206,922 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 686,492 ล้านบาท ลดลง 2.1% และ 5.4% ตามลำดับ ทั้งนี้  หากพิจารณาในกลุ่มธุรกิจทั่วไป (ไม่รวมหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์) บจ. จะมียอดขาย กำไรจากการดำเนินงานหลัก และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 11.0% 13.2% และ 8.4% ตามลำดับ สำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ 30 กันยายน 2567 บจ. ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ratio (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ 1.54 เท่า ลดลงจาก 1.60 เท่า “การท่องเที่ยวที่ดีขึ้นกว่าปีก่อนหน้า ส่งผลบวกให้ บจ. ไทยที่ทำธุรกิจด้านการบริการและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวมีผลประกอบการดีขึ้น เช่น หมวดอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค โรงแรม การบิน พื้นที่เช่า ค้าปลีก โรงพยาบาล และโทรคมนาคม อีกทั้งธุรกิจการเงิน ยังเติบโตได้ดีจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันและส่วนต่างค่าการกลั่นปรับลดลงในไตรมาส 3 ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและปิโตรเคมีได้รับผลกระทบ และส่งผลให้ผลประกอบการในงวด 9 เดือนแรก แม้รายได้ยังเติบโต แต่มีกำไรสุทธิลดลง” นายอัสสเดชกล่าว ด้านผลการดำเนินงานของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) งวด 9 เดือนแรกปี 2567 เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ยังคงเติบโต โดยมียอดขายรวม 155,843 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9% ขณะที่ บจ. ควบคุมต้นทุนการผลิต และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้ดี ส่งผลให้มีกำไรจากการดำเนินงาน 11,364 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 6,302 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.0% และ 27.2% ตามลำดับ

CAZ ประมูลงาน 1.3 หมื่นล. ส่งซิกธุรกิจสดใส

CAZ ประมูลงาน 1.3 หมื่นล. ส่งซิกธุรกิจสดใส

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นาย ซุง ซิก ฮอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี เอ แซด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ CAZ เปิดเผยว่า ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 บริษัท CAZ มี Backlog รวม 2,041.89 ล้านบาท แบ่งเป็น โปรเจ็กต์ EPC จำนวน 370.01 ล้านบาท คิดเป็น 18.12% โปรเจ็กต์ SMP / E&I จำนวน 1,356.59 ล้านบาท คิดเป็น 66.44% โปรเจ็กต์ Civil จำนวน 300.59 ล้านบาท คิดเป็น 14.72% และโปรเจ็กต์ Fab & Others จำนวน 14.70 ล้านบาท คิดเป็น 0.72% โดยคาดว่า Backlog ที่มีอยู่จะทยอยรับรู้รายได้ราว 40% ในไตรมาส 4/2567 และที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปีถัดไป นอกจากนี้ บริษัทยังมีโปรเจ็กต์ในระหว่างการประมูล (Bidding) รวมมูลค่า 13,978 ล้านบาท โดยโปรเจ็กต์ในกลุ่ม Gas ได้รับการ Awarded งานมาแล้ว 978 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังมีโปรเจ็กต์ในกลุ่ม VARIOUS, Gas และ Petrochemical รวมมูลค่า 13,000 ล้านบาท หากสามารถชนะประมูลตามแผน จะเริ่มรับรู้รายได้จากโปรเจ็กต์เหล่านี้ตั้งแต่กลางปี 2568 เป็นต้นไป สำหรับแนวโน้มธุรกิจ บริษัทมีโปรเจ็กต์ใหม่เข้ามา คาดจะสนับสนุนอัตราการทำกำไร (มาร์จิ้น) ไตรมาส 4/2567 ดีกว่าไตรมาส 3 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามบริษัทมองทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2568 จะดีกว่าปีนี้ จากโปรเจ็กต์งานใหม่ รวมถึงการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายให้สอดคล้องกับต้นทุน และผลักดันมาร์จิ้นให้เติบโตสูงขึ้น          อนึ่ง 9 เดือนแรกปี 2567 มีรายได้แล้ว 2,791.90 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 107.53 ล้านบาท

L&E ส่งซิก Q4 โตต่อเนื่อง  ชนะประมูลงานโคม LED 60,000 ชุด

L&E ส่งซิก Q4 โตต่อเนื่อง ชนะประมูลงานโคม LED 60,000 ชุด

หุ้นวิชั่น - L&E เผยโค้งสุดท้ายของปีโตกว่า Q3/67 และโมเมนตัมการเติบโตต่อเนื่องไปจนถึงปี 68 ปัจจัยสนับสนุนจากการทยอยรับรู้รายได้งานในมือ และล่าสุดคว้างานใหม่โคมไฟถนน LED 60,000 ชุด จากการไฟฟ้านครหลวง นอกจากนี้ โอกาสได้งานบัญชีนวัตกรรมจากภาครัฐ ควบคู่บุกช่องทางจัดจำหน่าย และการพัฒนาสินค้านวัตกรรมมากขึ้น รวมทั้ง LEM & LES ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ L&E เริ่มทยอยกลับมาผลิตสินค้าจำนวนมากเพื่อส่งออกไปตลาดสหรัฐอเมริกา โดยเน้นปรับปรุงเครื่องจักรลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และเพิ่มช่องทางการขาย ชูความแข็งแกร่งรับมือสถานการณ์ตลาดโลกผันผวน นายอนันต์ กิตติวิทยากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ L&E ผู้นำธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายโคมไฟฟ้า รวมทั้งอุปกรณ์แสงสว่างรายใหญ่ของประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจโค้งสุดท้ายของปีสัญญาณดี จากครึ่งปีแรกได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่ทิศทางไตรมาส 3 เริ่มปรับตัวดีขึ้น และมีโมเมนตัมที่ดีมาถึงไตรมาส 4/67 จากปัจจุบันงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 1,300 ล้านบาท เตรียมทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 60% และในปีหน้า 40% อย่างไรก็ดี บริษัทยังคงติดตามงานโครงการมิกซ์ยูสใหญ่ๆ 2-3 โครงการที่อยู่ใน Backlog แล้ว อยู่ระหว่างดำเนินการอย่างใกล้ชิด เพื่อส่งมอบงานให้แล้วเสร็จทันภายในปีนี้ หรือเลื่อนไปรับรู้ในช่วงต้นปี 68 ทำให้ภาพรวมรายได้ทั้งปีมองว่ายังทรงตัว แต่คาดว่ากำไรสุทธิปรับตัวดีขึ้นจากปีที่แล้ว นอกจากนี้ ล่าสุด L&E ชนะงานประมูลงานโคมไฟถนน LED 60,000 ชุด จากการไฟฟ้านครหลวงฯ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งคาดการณ์รับรู้รายได้ 30% ในปี 67 ส่วนที่เหลือ 70% ในปี 68 อีกทั้ง บริษัทฯ มีโอกาสคว้างานใหม่ต่อเนื่อง อาทิ งานบัญชีนวัตกรรมจากภาครัฐ รวมทั้ง งานโครงการภาคเอกชนที่มีการเดินหน้าโปรเจ็กต์ใหม่ ควบคู่ให้ความสำคัญในการเพิ่มช่องทางจัดจำหน่าย และการพัฒนาสินค้านวัตกรรมมากขึ้น ขณะที่ บริษัท แอล แอนด์ อี แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด หรือ LEM และ บริษัท แอล แอนด์ อี โซลิดสเตท จำกัด หรือ LES ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ L&E เริ่มทยอยกลับมาผลิตสินค้าจำนวนมากเพื่อส่งออกไปตลาดสหรัฐอเมริกา สนับสนุนผลการดำเนินงานในช่วงโค้งสุดท้ายของปี และที่สำคัญที่สุดคือ การที่โรงงาน LEM & LES ลดต้นทุนต่อเนื่อง มีการเพิ่มกำลังผลิตเครื่องจักรหลักที่สำคัญ จะเห็นผลได้ในปีหน้าอย่างเป็นนัยสำคัญ เนื่องจากการปรับปรุงทำให้เพิ่มศักยภาพการผลิตสินค้า OEM & ODM ให้แก่ลูกค้ารายใหญ่ที่มีอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ โคม panel ดาว์ไลท์ ไฮเบย์ ไฟถนน  เป็นต้น เพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้แก่บริษัท ทั้งราคา และคุณภาพที่ลูกค้าเชื่อมั่น บริการดี รวดเร็ว ตรงตามความคาดหวังของลูกค้า นอกจากนี้มีการลงทุนในเครื่องจักรใหม่เพื่อผลิตสินค้าที่มียอดสั่งซื้อสูงเพื่อทดแทนการนำเข้า  เช่น ไฟเส้น LED Strip Lights, อุปกรณ์ควบคุม LED ให้เป็น Smart Lighting  เป็นต้น นายอนันต์ กล่าวเพิ่มเติมถึง การเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์โลกในปัจจุบัน จากการที่ L&E มี จุดแข็งเป็น Lighting Solution Provider ในงานโครงการ เรามีความพร้อมเป็นอย่างมาก แม้ในสถานการณ์โลกผันผวน ทั้งปัจจัยกระทบเรื่องสงคราม และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดยบริษัทฯ มีความแข็งแกร่งในด้านการผลิต รวมทั้ง ประสบการณ์ที่มีก่อนหน้านี้ ในการผลิตสินค้าเป็นจำนวนมากเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ จะทำให้ L&E ได้เปรียบกว่าคู่แข่งขัน เรามองว่าเป็นโอกาสมากกว่าภัยคุกคาม รวมทั้ง เพิ่มช่องทางจำหน่ายใหม่ๆ เช่น ช่องทางการขายผ่านออนไลน์ เป็น Platform เชื่อมต่อระหว่างลูกค้ากับ L&E นอกจากนี้ การมุ่งเน้นสินค้านวัตกรรมที่แตกต่าง ตอบสนองความต้องการลูกค้าและไลฟ์สไตล์ ยุค 5G  ซึ่งตอนนี้ L&E มีสินค้าที่เป็น IoT+AI ตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่ และยังคงรักษาโมเมนตัมการเติบโตธุรกิจที่เกี่ยวกับสินค้า IoT ในด้านแสงสว่าง และระบบควบคุมแสงสว่างอาคาร จากประสบการณ์งานโครงการที่ L&E สั่งสมมาในงานโครงการใหญ่ ๆ เช่น โครงการ One Bangkok, Park Silom, Bytedance HQ, Data Center KTB, อาคารจอดรถ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เป็นต้น ทำให้เกิดการพัฒนาสินค้าโคมไฟอัจฉริยะรูปแบบใหม่ง่ายต่อการออกแบบและติดตั้ง ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทดสอบฟังก์ชั่นก่อนใช้งาน และมีธุรกิจใหม่คือ Entertainment  Lighting สนับสนุนงานอีเวนท์ขนาดใหญ่ครบวงจร ทัดเทียมมาตรฐานงานต่างประเทศ อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ยังพร้อมเดินหน้าตอบสนองกับเป้าหมายของภาครัฐในการพัฒนาเมืองใหญ่ มุ่งสู่ Smart City ขับเคลื่อนองค์กรเติบโตอย่างมั่นคง ยั่งยืน ดำเนินธุรกิจตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และเที่ยงตรง

MAGURO ลุย

MAGURO ลุย "CouCou" เจาะ All-Day Dining

หุ้นวิชั่น - MAGURO Group เตรียมสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการอาหาร ด้วยการเปิดตัวแบรนด์แบรนด์ที่ 5 "CouCou" (คุคูว์) ร้านอาหารรูปแบบ All-Day Dining สไตล์ตะวันตก ณ The Flavorhood ประดิษฐ์มนูธรรม ต้อนรับปีใหม่ 2568 เจาะกลุ่มลูกค้าผู้ที่ชื่นชอบการรับประทานอาหารแบบ All-Day Dining พร้อมเปิดให้บริการแบบ Soft Opening 25 ธันวาคมนี้ ภายในโครงการ Stand Alone แห่งใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ตั้งอยู่เคียงคู่กับร้านดังในเครืออย่าง MAGURO และ HITORI SHABU           คุณเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการอาหาร ด้วยการเปิดตัวแบรนด์ล่าสุด  ลำดับที่ 5 "CouCou" (คุคูว์) ร้านอาหารรูปแบบ All-Day Dining สไตล์ตะวันตก ณ The Flavorhood ประดิษฐ์มนูธรรม เจาะกลุ่มลูกค้าผู้ที่ชื่นชอบการรับประทานอาหารแบบ All-Day Dining ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับ ปีใหม่ เป็นแบรนด์สุดท้ายของปีนี้ โดยในการสร้างแบรนด์ใหม่ครั้งนี้ MAGURO Group ยังคงยึดมั่นในแนวทางภายใต้แนวคิด "Give More" พร้อม มอบประสบการณ์การรับประทานอาหารที่เหนือความคาดหมาย กับการให้มากกว่าสิ่งที่ลูกค้าคาดหวังอยู่เสมอ ด้วยการคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพเยี่ยมจากแหล่งที่ดีที่สุด พร้อมสร้างความประทับใจในทุกมื้ออาหาร ตั้งแต่เช้า จรดค่ำ ด้วยการสื่อสารผ่านชื่อร้าน "CouCou" ที่หมายถึง "สวัสดี" ในภาษาฝรั่งเศส สะท้อนความเป็นกันเอง และอบอุ่นเสมือนการทักทายระหว่างเพื่อนสนิท “สำหรับแบรนด์น้องใหม่ CouCou เป็นแบรนด์สุดท้ายของปีนี้ของ MAGURO Group เพื่อเจาะกลุ่มผูัที่ชื่นชอบ รับประทานอาหารแบบ All-Day Dining ตั้งแต่มื้อเช้า กลางวัน และเย็น อาหารสไตล์ตะวันตก ซึ่งเปิดตัวเพื่อ ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ที่มาพร้อมบรรยากาศการต้อนรับที่อบอุ่นและมีชีวิตชีวา ตั้งแต่ก้าวแรกที่ลูกค้าเข้าร้าน ไปจนถึงการส่งมอบเมนูสุดพิเศษ ทำให้ทุกมื้อของ CouCou ไม่ใช่เพียงการรับประทานอาหาร แต่คือ Special Moment & Memorable Experience ที่ลูกค้าจะได้สัมผัสอย่างแท้จริง” คุณเอกฤกษ์ กล่าว ด้าน คุณจักรกฤติ สายสมบูรณ์ กรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง MAGURO กล่าวว่า การเปิดตัว CouCou ครั้งนี้ นับว่าเป็นการเขย่าวงการอาหารที่นอกจากจะเป็นรูปแบบ All-Day Dining สไตล์ตะวันตกแล้ว ยังตั้งอยู่บน ถนนประดิษฐ์มนูธรรม บนพื้นที่ 2 ไร่ ที่ประกอบไปด้วยอีก 2 ร้านอาหารในเครือ MAGURO ทั้งร้าน MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิสไตล์ระดับพรีเมียม และ ร้าน HITORI SHABU ร้านชาบูและสุกียากี้ หม้อเดี่ยว สไตล์คันไซ โดยในพื้นที่มีการตกแต่งผสมผสานระหว่างความร่วมสมัยแต่ยังคงกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น รวมถึงสวน ในโครงการ ที่มีทั้งรูปแบบ Japanese Garden และ Modern Tropical Garden อีกทั้งยังมีความตั้งใจให้โครงการนี้เป็นการ ต่อยอดแนวทางด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีแผนการติดตั้งจุดชาร์จ EV Charger และ Solar Roof ภายในโครงการ รวมถึงจุดรีไซเคิลขยะพลาสติก และการแยกขยะ อย่างเป็น ระบบอีกด้วย โดยไฮไลต์สำคัญของ CouCou คือความหลากหลายของเมนูอาหารเช้าที่เต็มไปด้วยตัวเลือกมากมาย นำด้วยเมนู อาหารเช้าสุดคลาสสิก 2 สัญชาติ อย่าง American และ Full English Breakfast อีกทั้งจุดเด่นในเรื่อง Specialty Coffee กว่า 20 เมนู จากเมล็ดกาแฟคุณภาพพรีเมียม ส่วนมื้อกลางวัน พาสต้า Homemade เส้นสดหลากหลาย รูปแบบพร้อมเสิร์ฟสำหรับผู้ที่ชื่นชอบพาสต้า นอกจากนี้ CouCou ยังเน้นเรื่องกระบวนการทำอาหารเป็นอย่างมาก เลือกใช้ปรัชญา Give More ที่ Beyond จาก All- Day dining ปกติทั่วไป โดยเลือกใช้เครื่องมือหนักอย่างเตาย่างถ่านถึงสองชนิด คือ Charcoal Oven และ Argentine Parrila Grill เพื่อเพิ่มมิติทั้งรสชาติและกลิ่นของเมนูไปอีกขั้น ด้วยการนำวัตถุดิบหลายชนิดมาย่างด้วยถ่าน เช่น เมนูไส้กรอก รวมไปถึงเมนูมื้อเย็น ประเภท Grill และ สเต็กด้วย รวมถึงยังมีเมนูสุขภาพ รูปแบบ Organic Salad หลากหลายเมนู และมื้อเย็นจะเป็นอาหารยุโรปสไตล์ Casual Dining อาทิ Fillet Mignon, Beef Bourguignon พร้อมขนมหวาน สุดพิเศษ เช่น Burnt Cheesecake, Carrot Cake, Tiramisu ทั้งนี้ CouCou มาพร้อมบรรยากาศและการตกแต่งที่ทันสมัย สีสันแปลกใหม่ ด้วยการใช้สี Brick (สีอิฐ) เป็นส่วน ประกอบหลักที่เข้ากับงานศิลปะแบบ Modern Illustration ที่ประดับอยู่ทั่วร้าน ให้บรรยากาศแบบร้าน Brunch ในยุโรปอย่างแท้จริง อีกทั้งยังมีพื้นที่ Outdoor ซึ่งเป็นพื้นที่ Pet Friendly ให้ลูกค้าสามารถนำสัตว์เลี้ยงมาด้วยได้ ในช่วงแรกของการ Soft Opening จะเปิดให้บริการในรูปแบบอาหารเช้าและอาหารกลางวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 น. – 18.00 น. และเมื่อถึงช่วง Grand Opening จะเพิ่มบริการอาหารในรูปแบบ Dinner โดยจะขยายเวลาให้บริการ จนถึง 22.00 น. โดยสามารถสำรองที่นั่งได้ที่ โทร. 096-945-2491 ณ The Flavorhood ประดิษฐ์มนูธรรม https://g.co/kgs/pai1tD3 ปัจจุบัน MAGURO Group มีร้านอาหารในเครือ รวมทั้งหมด 35 ร้านจาก 3 แบรนด์ คือ 1.) MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิสไตล์ระดับพรีเมียม 18 ร้าน 2.) SSAMTHING TOGETHER ร้านปิ้งย่างสไตล์เกาหลี วัตถุดิบพรีเมียม 6 ร้าน 3.) HITORI SHABU ร้านชาบูและสุกียากี้ หม้อเดี่ยวสไตล์คันไซ 10 ร้าน และร้าน HITORI SUKIYAKI ร้านสุกียากี้คันไซแบบดั้งเดิมในรูปแบบ Authentic Japanese Sukiyaki Course ในรูปแบบ Stand Alone ซึ่งเปิดสาขาแรกที่เอกมัย 12 สำหรับแบรนด์ใหม่ อีก 2 แบรนด์ภายในสิ้นปีประกอบด้วย TONKATSU AOKI ร้านหมูทอดทงคัตสึร้านดัง จากประเทศญี่ปุ่นซึ่งเปิดเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. เป็นสาขาแรก ณ เซ็นทรัล เวิลด์ ชั้น 3 และ CouCou ร้านอาหารรูปแบบ All-Day Dining สไตล์ตะวันตก ณ The Flavorhood ประดิษฐ์มนูธรรม ที่กำลังจะเปิดในวันที่ 25 ธ.ค. นี้

SEAFCO สายสีส้มจ่อ ปูทางรายได้2พันล้าน

SEAFCO สายสีส้มจ่อ ปูทางรายได้2พันล้าน

หุ้นวิชั่น - SEAFCO เตรียมรับงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนต่อขยาย มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท คาด Backlog ปี 2568 พุ่งแตะ 1,500 ล้านบาท มั่นใจทิศทางธุรกิจก่อสร้างฟื้นตัว รับแรงหนุนโครงการรัฐ-เอกชน พร้อมตั้งเป้ารายได้ปีหน้าแตะ 2,000 ล้านบาท!           ดร.ณรงค์ ทัศนนิพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สำหรับคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนต่อขยาย โดยคาดว่าจะได้รับงานเพิ่มเติม 4-8 สถานี มูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างรอเอกสารการจ้างงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากได้รับเอกสารแล้ว คาดว่าจะเริ่มดำเนินการโครงการได้ในไตรมาส 1/2568 สำหรับทิศทางงานในมือ (Backlog) ในปี 2568 บริษัทคาดการณ์ว่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ปัจจุบันมี Backlog คงเหลืออยู่ประมาณ 300 ล้านบาท และเมื่อรวมกับงานใหม่จากโครงการรถไฟฟ้าสีส้มที่จะได้รับ คาดว่า Backlog จะเพิ่มขึ้นเป็น 1,400-1,500 พันล้านบาท ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของบริษัทในปี 2568 ประเมินมองทิศทางธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในปี 2568 จะได้รับแรงสนับสนุนจากโครงการของภาครัฐและงานโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้ผู้รับเหมามีงานต่อเนื่องในปีหน้า ส่วนงานจากภาคเอกชนยังต้องติดตามสถานการณ์ว่าจะมีโครงการใหม่ ๆ หรือการกลับมาลงทุนในเมกะโปรเจ็กต์อีกครั้งหรือไม่ ด้านภาพรวมการแข่งขันในธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ฝั่งดีมานด์เริ่มปรับตัวดีขึ้น  แต่ยังกว่าฝั่งต่ำกว่าซัพพลาย โดยส่วนใหญ่จะเป็นงานจากภาคเอกชนขนาดกลางและขนาดเล็ก สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนต่อขยาย ขณะนี้ภาครัฐเริ่มผลักดันโครงการ ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นตลาดก่อสร้างให้ฟื้นตัวขึ้นบ้างในอนาคต สำหรับทิศทางรายได้ของบริษัทในปี 2568 มีโอกาสที่จะเติบโตขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 2,000 ล้านบาท จากปริมาณโครงการภาครัฐที่มีการขับเคลื่อน และการประเมินยอด Backlog ที่จะมีเข้ามาในปีหน้า บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุถึง SEAFCO ว่า ระยะสั้น หุ้นถูกกดดันจากงบ 3Q24 ที่อ่อนแอ อย่างไรก็ดี มี Catalyst ที่รออยู่ข้างหน้า ได้แก่ การลุ้นรับงานรถไฟฟ้าสายสีส้มจาก CK ซึ่งคาดว่าจะทยอยประกาศ Sub-contract งานฐานรากของแต่ละสถานีตั้งแต่สิ้นปีนี้ ก่อนเริ่มงานในต้นปี 2025 เพื่อหนุนการเติม Backlog โดยบริษัทตั้งเป้ารับงาน 5 สถานี (จากทั้งหมด 11 สถานี) มูลค่ารวม 1.5 พันล้านบาท (เทียบกับ Backlog ปัจจุบันที่ 700-800 ล้านบาท) ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของกำไรในปี 2025 โดยเฉพาะใน 2Q-3Q25  แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 3 บาท

สำนักงาน กกพ. จับมือ 4 หน่วยงาน กระชับพื้นที่ ผู้ป่วยติดเตียงต้องไม่ถูกตัดไฟ

สำนักงาน กกพ. จับมือ 4 หน่วยงาน กระชับพื้นที่ ผู้ป่วยติดเตียงต้องไม่ถูกตัดไฟ

          หุ้นวิชั่น - นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีและเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่อง การบูรณาการเพื่อการคุ้มครองผู้ใช้พลังงานที่เป็นผู้ป่วย ซึ่งมีความจําเป็นที่จะต้องใช้ไฟฟ้าในการเดินเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อการรักษาพยาบาล เพื่อวางกรอบความร่วมมือในการบูรณาการทำงานคุ้มครองสิทธิผู้ใช้พลังงานเชิงรุก ให้ผู้ใช้พลังงานที่มีผู้ป่วยที่อยู่ในความดูแลได้รับการยกเว้นการงดจ่ายไฟฟ้าในทุกกรณี นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ความร่วมมือในการบูรณาการการทำงานเพื่อให้ความคุ้มครองต่อชีวิต และทรัพย์สินกับพี่น้องประชาชนในฐานะผู้ใช้พลังงานเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ที่รัฐบาลและกระทรวงพลังงาน ให้ความสำคัญ ซึ่งจะต้องทำควบคู่กันกับความพยายามที่จะลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้กับประชาชน และการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานด้านพลังงาน เพื่อให้การบริการด้านไฟฟ้าให้ประชาชนคนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ “การให้บริการด้านพลังงานเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ประชาชนผู้ใช้พลังงานต้องได้รับเท่าเทียมกันทุกคนอย่างเป็นธรรม แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ การให้ความคุ้มครองสิทธิในการดูแลความปลอดภัยต่อชีวิต และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน และขอเน้นย้ำเรื่องผู้ป่วยที่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ไฟฟ้าในการเดินเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อการรักษาพยาบาลจะต้องไม่ถูกงดจ่ายไฟฟ้าทุกกรณี เพื่อให้อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วย กลุ่มนี้เป็นศูนย์” นายพีระพันธุ์ กล่าว ดร. พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงาน กกพ. กล่าวว่า การบูรณาการความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจระหว่าง 4 หน่วยงาน จะเป็นการทำงานเชิงรุกร่วมกัน โดยมีเป้าหมายร่วมกันเพื่อลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตของผู้ป่วยจากการถูกงดจ่ายไฟฟ้าทุกคนในทุกกรณี ผ่านความร่วมมือในการพัฒนาฐานข้อมูลของผู้ป่วยที่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ไฟฟ้าในการเดินเครื่องมือทางการแพทย์ในพื้นที่ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่และเป็นปัจจุบัน การร่วมกันรณรงค์สร้างการรับรู้ สร้างองค์ความรู้ความเข้าใจถึงสิทธิที่ผู้ป่วยได้รับความคุ้มครองจากการถูกงดจ่ายไฟฟ้า การอำนวยความสะดวกในการเพิ่มช่องทางการติดต่อสื่อสาร ประสานงานให้กับผู้ใช้พลังงานในหลากหลายช่องทางให้ได้รับสิทธิอย่างทั่วถึง ผ่านช่องทางที่สะดวกและใกล้ชิดพี่น้องประชาชน ได้แก่ หน่วยงานสังกัดกระทรวงสาธารณสุข เครือข่ายอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) คณะกรรมการผู้ใช้พลังงานประจำเขต (คพข.) และเครือข่าย สำนักงาน กกพ. ประจำเขตพื้นที่ รวมถึงสำนักงานที่ทำการการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายในพื้นที่ทั่วประเทศ “สาเหตุหลักๆ ที่เราพบปัญหา คือ ผู้ใช้พลังงานที่มีผู้ป่วยอยู่ในความดูแลไม่ได้แจ้งข้อมูลกับทางการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายในพื้นที่ ทำให้การไฟฟ้าฯ ขาดข้อมูลและนำไปสู่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดหลังจากการงดจ่ายไฟฟ้า ดังนั้นจึงจำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันประสานข้อมูลเพื่อให้เป็นปัจจุบันและครอบคลุมทุกพื้นที่ จึงเป็นที่มาของความร่วมมือที่เกิดขึ้น” ดร.พูลพัฒน์ กล่าว นพ. วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เชื่อมั่นว่าด้วยประสิทธิภาพและศักยภาพเครือข่ายของกระทรวงสาธารณสุขที่เข้มแข็งกระจายอยู่ทุกพื้นที่ลงลึกและครอบคลุมถึงระดับตำบลพร้อมด้วยเครือข่าย อสม. รวมทั้งการมีฐานข้อมูลผู้ป่วยในพื้นที่จะเป็นกลไกสำคัญที่สามารถเข้ามาประสานและทำให้การให้ความคุ้มครองสิทธิผู้ป่วย รวมไปถึงการพัฒนาฐานข้อมูลผู้ป่วยให้เป็นปัจจุบันเพื่อลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตของผู้ป่วยให้ดียิ่งขึ้น “กระทรวงสาธารณสุขยินดีอย่างยิ่ง พร้อมที่จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ในการผลักดันและ ลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ไฟฟ้าในการเดินเครื่องมือทางการแพทย์ การสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และความร่วมมือกับทุกหน่วยงาน และทุกภาคส่วน จะนำมาซึ่งความยั่งยืนของระบบสาธารณสุขของประเทศด้วย” นพ. วีรวุฒิ กล่าว นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง กล่าวว่า MEA ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบด้านระบบจำหน่ายไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ พร้อมตอบสนองต่อนโยบายรัฐบาล ในการยกเว้นการงดจ่ายไฟฟ้าได้ในกรณีที่ผู้ใช้ไฟฟ้า หรือผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีบุคคลอยู่ในความดูแล หรือมีผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้า ในการเดินเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อการรักษาพยาบาล ซึ่งนโยบายดังกล่าว MEA ดำเนินการตามประกาศของ สำนักงาน กกพ. มาอย่างต่อเนื่อง โดยการลงนามบันทึกความเข้าใจในครั้งนี้ถือเป็นก้าวที่สำคัญในการดูแลผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าเพื่อเดินเครื่องมือทางการแพทย์ โดยเปลี่ยนเป็นการทำงานเชิงรุกผ่านการบูรณาการข้อมูลร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยให้ MEA สามารถเข้าถึง และดูแลผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนดูแลระบบจำหน่ายไฟฟ้า เพื่อให้กลุ่มผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าในการเดินเครื่องมือทางการแพทย์ได้รับพลังงานไฟฟ้าอย่างเพียงพอ และ ต่อเนื่อง ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพผู้ป่วย การไฟฟ้านครหลวงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งและขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่ให้ความร่วมมือกันในครั้งนี้ และยืนยันว่าการไฟฟ้านครหลวงจะเดินหน้าอย่างเต็มที่ในการพัฒนาบริการไฟฟ้า ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยที่ต้องพึ่งพาไฟฟ้าเพื่อการรักษาพยาบาล นายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กล่าวว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ PEA ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีความจำเป็น ที่จะต้องใช้ไฟฟ้าในการเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อการรักษาพยาบาล ซึ่งการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ประชาชนทุกคน รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างทันท่วงที เพื่อการช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีความต้องการพิเศษเหล่านี้ โดยมุ่งมั่นที่จะยกระดับการให้บริการไฟฟ้าโดยนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ ด้วยระบบ GIS และฐานข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ ห่างไกลได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ PEA ยังวางแผนการจัดเตรียมเจ้าหน้าที่ในแต่ละพื้นที่ให้พร้อมให้บริการแก่ประชาชนที่มีความต้องการใช้งานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะผู้ป่วยที่ใช้เครื่องมือทางการแพทย์ การให้ความร่วมมือในครั้งนี้ จึงถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างระบบในการบูรณาการข้อมูลในภาพรวมทั้งประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่จะสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้ป่วยในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างระบบการบริหารจัดการไฟฟ้า  เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถใช้พลังงานไฟฟ้าในทุกพื้นที่ได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย และยั่งยืน

OR หนุนพัฒนาเยาวชน  ชู OR Seeding the Future ASEAN Camp

OR หนุนพัฒนาเยาวชน ชู OR Seeding the Future ASEAN Camp

หุ้นวิชั่น - นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR พร้อมด้วย นายรชา อุทัยจันทร์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านธุรกิจต่างประเทศ OR ร่วมเปิดโครงการค่ายเยาวชน “OR Seeding the Future ASEAN Camp 2024” ผ่านแนวคิด "Z-Leads: Business Game Changer" ณ ห้องประชุม Multiverse ชั้น 10 อาคารซี ศูนย์เอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์           นายดิษทัต กล่าวว่า OR ได้จัดโครงการค่ายเยาวชนเป็นปีที่ 8 เพื่อเปิดโอกาสให้นิสิต นักศึกษา ระดับอุดมศึกษา จากกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนที่ OR ได้เข้าไปดำเนินธุรกิจอยู่ ได้แก่ ไทย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา ลาว และเมียนมา ทั้งที่กำลังศึกษาในมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและในประเทศของตน จำนวน 50 ราย โดยผ่านการคัดเลือกจากผลงานสื่อวีดีโอแสดงวิสัยทัศน์ตามหัวข้อที่กำหนดพร้อมแนะนำตนเอง เพื่อสนองตามนโยบายและทิศทางกลยุทธ์ของ OR ในการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายในการเป็นแบรนด์ชั้นนำระดับโลก (Global Brand) ซึ่งเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการนี้ จะได้รับความรู้ และประสบการณ์ระดับนานาชาติ ผ่านการสร้างเครือข่ายเยาวชนในภูมิภาคอาเซียน ตลอดจนเป็นการสร้างโอกาสในการคัดสรรบุคลากรเพื่อเข้าร่วมงานกับบริษัทในเครือของ OR ที่ดำเนินการอยู่ในภูมิภาคอาเซียน และพัฒนาไปสู่เครือข่ายทรัพยากรบุคคลในกลุ่มประเทศสมาชิก AEC จากกลุ่มเยาวชนสมาชิกค่ายที่มีศักยภาพ ซึ่งถือเป็นการพัฒนาศักยภาพเยาวชนเพื่อช่วยพัฒนาประเทศในอนาคต นอกจากนี้ กลุ่มเยาวชนจะได้มีโอกาสทัศนศึกษาดูงานการดำเนินธุรกิจของ OR และกลุ่ม ปตท. ในประเทศไทย รวมถึงได้ร่วมฝึกงานกับ OR และบริษัทในเครือที่อยู่ในประเทศนั้นๆ เพื่อได้เรียนรู้ประสบการณ์การทำงานจากสถานการณ์จริง ซึ่งจะช่วยให้เยาวชนได้พัฒนาทักษะทางการคิด ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ศักยภาพในด้านต่าง ๆ ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมระหว่างประเทศ รวมถึงการสร้างเครือข่ายเยาวชนที่แน่นแฟ้นในหมู่เยาวชนในประเทศอาเซียน โครงการ OR Seeding the Future ASEAN Camp ไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาศักยภาพเยาวชนอาเซียน แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนในประเทศที่ OR ดำเนินธุรกิจอยู่ ผ่านการสร้างความเข้าใจในธุรกิจและวัฒนธรรมองค์กรที่มุ่งเน้นการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน ซึ่งสะท้อนผ่านวิสัยทัศน์ "Empowering All toward Inclusive Growth" หรือ "เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโตร่วมกัน " โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความผูกพันระหว่างแบรนด์ OR กับคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาคในอนาคต

อุตสาหกรรมยานยนต์สั่นคลอน! ลดเป้าผลิตปี 2567 ลงอีก 2 แสนคัน

อุตสาหกรรมยานยนต์สั่นคลอน! ลดเป้าผลิตปี 2567 ลงอีก 2 แสนคัน

         หุ้นวิชั่น - ส.อ.ท.  เผยปรับเป้าผลิตรถยนต์ปี 2567 จาก 1,700,000 คันเป็น 1,500,000 คัน ลดลง 200,000 คัน โดยปรับการผลิตขายในประเทศลดลงจาก 550,000 คันเป็น 450,000 คัน และการผลิตเพื่อส่งออกลดลงจาก 1,150,000 คัน เป็น 1,050,000 คัน เดือนตุลาคม 2567 ขาย 37,691 คัน ลดลง 36.06% ส่งออก 84,334 คัน ลดลง 20.23% ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 688 คัน เพิ่มขึ้น 34,300% ส่วนการขายรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) 3,717 คัน ลดลง 49.73% นักวิเคราห์มอง ติดตามการผลิตไตรมาส 4 และยอดจองในงาน Motor Expo อย่างใกล้ชิด อาจพลิกเกมระยะสั้น           นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์  ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่าตัวเลขประมาณการการผลิตรถยนต์ของสมาชิกกลุ่มฯ ในปี พ.ศ. 2567 (ใหม่) ปรับเป้าผลิตรถยนต์ปี 2567 จาก 1,700,000 คันเป็น 1,500,000 คัน ลดลง 200,000 คัน โดยปรับการผลิตขายในประเทศลดลงจาก 550,000 คันเป็น 450,000 คัน และการผลิตเพื่อส่งออกลดลงจาก 1,150,000 คัน เป็น 1,050,000 คัน โดยจำนวนการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของประเทศ ในเดือนตุลาคม 2567 ดังต่อไปนี้ในส่วนการผลิตจำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนตุลาคม 2567 มีทั้งสิ้น 118,842 คัน ลดลงจากเดือนตุลาคม 2566 ร้อยละ 25.13 และลดลงจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 2.81 เพราะผลิตเพื่อส่งออกลดลงร้อยละ 7.00 และผลิตเพื่อขายในประเทศลดลงร้อยละ 51.70 จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม - ตุลาคม 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,246,868 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม - ตุลาคม 2566 ร้อยละ 19.28           ผลิตเพื่อส่งออก  เดือนตุลาคม 2567 ผลิตได้ 87,741 คัน เท่ากับร้อยละ 73.83 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนตุลาคม 2566 ร้อยละ 7.00 ส่วนเดือนมกราคม - ตุลาคม 2567 ผลิตเพื่อส่งออกได้ 861,916 คัน เท่ากับร้อยละ 69.13 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากปี 2566 ระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 4.69 ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ  เดือนตุลาคม 2567 ผลิตได้ 31,101 คัน เท่ากับร้อยละ 26.17 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนตุลาคม 2566 ร้อยละ 51.70 และเดือนมกราคม - ตุลาคม 2567 ผลิตได้ 384,952 คัน เท่ากับร้อยละ 30.87 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม – ตุลาคม 2566 ร้อยละ 39.89           ยอดขาย ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนตุลาคม 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 37,691 คัน ลดลงจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 36.08 ต่ำสุดในรอบ 54 เดือนนับตั้งแต่ยกเลิกล๊อคดาวน์จากการระบาดโรคหวัด 19 เดือนพฤษภาคม 2563 จากการเข้มงวดในการให้กู้ซื้อรถยนต์ของสถาบันการเงินเป็นหลัก ส่งผลให้จำนวนบัญชีผู้กู้ซื้อรถยนต์ในไตรมาสสามมี 6,365,571 บัญชีลดลงจากไตรมาสสอง 75,377 บัญชีเท่ากับร้อยละ 1.2 และลดลงจากไตรมาสสามปี 2566 จำนวน 199,655 บัญชีหรือร้อยละ 3.0 จำนวนเงินหนี้รถยนต์ไตรมาสสาม 2,465,204 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสสองร้อยละ 2.8 และลดลงร้อยละ 5.8 จากไตรมาสสามปี 2566 รถบรรทุกลดลงจากเศรษฐกิจของประเทศที่ยังอ่อนแอเติบโตในอัตราต่ำและหนี้ครัวเรือนสูง ดัชนีภาคอุตสาหกรรมขยายตัวต่ำที่ร้อยละ 0.1 ในไตรมาสสาม  โดยรถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 3,717 คัน เท่ากับร้อยละ 9.86 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 49.73           การส่งออก รถยนต์สำเร็จรูป เดือนตุลาคม 2567 ส่งออกได้ 84,334 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้วร้อยละ 5.08 แต่ลดลงจากเดือนตุลาคม 2566 ร้อยละ 20.23 ส่งออกลดลงเพราะฐานสูงในเดือนเดียวกันของปี 2566 ที่ส่งออกถึง 105,726 คัน ส่งผลให้ส่งออกลดลงทุกตลาด ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษคือตลาดออสเตรเลีย ตะวันออกกลางและยุโรปที่สงครามอิสราเอลกับฮามาสขยายมากขึ้น อาจจะส่งผลกระทบการส่งออกไปยังตลาดดังกล่าวน้อยลง อีกความขัดแย้งที่ต้องติดตามแบบไม่กระพริบตาที่จะกระทบเศรษฐกิจโลกคือสงครามยูเครนกับรัสเซียที่อาจขยายไปประเทศอื่นซึ่งกระทบการส่งออกรถยนต์และสินค้าอื่นๆ           ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท BEV เดือนตุลาคม 2567 เดือนตุลาคม 2567 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 6,651 คัน ลดลงจากเดือนตุลาคมปีที่แล้วร้อยละ 32.19  โดยเดือนมกราคม - ตุลาคม 2567 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน      82,304 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม - ตุลาคมปีที่แล้วร้อยละ 6.12           ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท HEV เดือนตุลาคม 2567  เดือนตุลาคม 2567 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 8,622 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนตุลาคมปีที่แล้วร้อยละ 30.36           ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV มีจำนวนทั้งสิ้น 213,173 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 94.70           ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV มีจำนวนทั้งสิ้น 455,364 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 37.67 บริษัท หลักทรัพย์พาย จำกัด (มหาชน) ระบุถึง ยานยนต์ว่า ส.อ.ท.รายงานตัวเลขยานยนต์ ประจำเดือนตุลาคม 567 ยังคงไม่เห็นสัญญาณการปรับตัวเพิ่มแต่อย่างใด โดยเทียบกับปีก่อน ลดลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะยอดขายในประเทศ ที่ได้รับแรงกดดันจากปัญหาน้ำท่วมภาคเหนือในช่วงต้นปี และการชะลอตัวของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า ส่วนเทียบกับเดือนกันยายน มีเพียงการส่งออกที่เพิ่มขึ้นได้เล็กน้อย  ขณะที่ยอดขายในประเทศและการผลิตรวมลดลงเล็กน้อย ส่วนปริมาณการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) มีจำนวน 668 คัน ลดลง 54%MoM คิดเป็นสัดส่วน 1.4% ของยอดการผลิตรถยนต์นั่ง รวมแล้วในช่วง 10M24 มีการผลิตรถยนต์ 1,246,686 คัน (-19%YoY) คิดเป็นสัดส่วน 73% ของเป้าการผลิตรถยนต์ทั้งปีที่สภาอุตสาหกรรมตั้งไว้ที่ 1.7 ล้านคัน ทำให้ทางสภาอุตสาหกรรมมีการปรับเป้าการผลิตลงอีกครั้งเหลือเพียง 1.5 ล้านคัน ใกล้เคียงกับที่เคยประเมินไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ ทั้งนี้จาก ตัวเลขที่ออกมาดูไม่ดีขณะที่ปัจจัยบวกยังไม่ชัดเจน ดังนั้นระยะสั้นเราจึงคงน้ำหนักการลงทุนลงที่ "น้อยกว่าตลาด" เท่าเดิม สำหรับการผลิตรถยนต์ EV กลับมาลดลงอีกครั้งแสดงให้เห็นถึงการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น คำแนะนำการลงทุนหากการผลิตเป็นไปตามเป้าที่สภาอุตสาหกรรมคาดไว้ จะทำให้ตัวเลขในช่วงไตรมาส 4/2567 อยู่ที่ระดับ 371,000 คัน สูงกว่า ไตรมาส 3/2567  จึงมีโอกาสที่ผลประกอบการของกลุ่มยานยนต์จะเพิ่มขึ้นได้ (ส่วนเทียบกับปีก่อนคาดว่าจะลดลงมาก) ทั้งนี้ยังมีความเสี่ยงจากเป้าการผลิตที่สภาอุตาหกรรมคาดไว้ เพราะเดือนธันวาคมมีวันหยุดค่อนข้างมาก ดังนั้น ระยะสั้นจึงคงน้ำหนักการลงทุนที่ "น้อยกว่าตลาด" เหมือนเดิมจนกว่าจะเห็นสัญญาณฟื้นตัวของอุตสาหกรรม ทั้งนี้ในช่วงต้นเดือน ธ.ค.จะมีการจัดงาน Motor Expo อาจจะเป็นแรงหนุนราคาหุ้นในระยะสั้นๆได้ ถ้ายอดจองออกมาดี (ปี 23 มียอดจองกว่า 53,000 คัน)