#hoonvision


IPO ปิดแรงสุดแห่งปี! LTS-APO-SEI เกิน100%

IPO ปิดแรงสุดแห่งปี! LTS-APO-SEI เกิน100%

หุ้นวิชั่น – เปิดหุ้น First Trading Day ปี 67 ผลตอบแทนสูง 5 อันดับ ได้แก่ LTS สุดเจ๋ง! ปิดเหนือจองสูงสุด +201.67% รองลงมาคือ APO ปิด +114.14% ต่อด้วย SEI ปิดที่ +103.23% TERA ปิดที่ +60.00% และ BPS ปิดที่ +36.67%           ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบ บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ปี 2567 ทั้งหมด 18 บริษัท ประกอบไปด้วย บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ EURO เข้าจดทะเบียนในวันที่ 14 ก.พ. 2567 บริษัท แนท แอบโซลูท เทคโนโลยีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ NAT เข้าจดทะเบียนในวันที่ 15 ก.พ. 2567 บริษัท เพเนเล่ส์มาติก โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ  PANEL เข้าจดทะเบียนในวันที่ 22 ก.พ. 2567 บริษัท เอเชียนน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) หรือ APO เข้าจดทะเบียนในวันที่ 2 เม.ย. 2567           บริษัท บีพีเอส เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ BPS เข้าจดทะเบียนในวันที่ 3 เม.ย. 2567 บริษัท คิวทีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ QTCG เข้าจดทะเบียนในวันที่ 4 เม.ย. 2567 บริษัท เทอร์ราไบท์ พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ TERA  เข้าจดทะเบียนในวันที่ 24 เม.ย. 2567 บริษัท สโตนวัน จำกัด (มหาชน) หรือ STX เข้าจดทะเบียนในวันที่ 26 เม.ย. 2567 บริษัท ไลท์อัพ โทเทิล โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ LTS เข้าจดทะเบียนในวันที่ 17 พ.ค. 2567           บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ  MAGURO เข้าจดทะเบียนในวันที่ 5 มิ.ย. 2567 บริษัท ชูวิทย์ฟาร์ม (2019) จำกัด (มหาชน) หรือ CFARM เข้าจดทะเบียนในวันที่ 6 มิ.ย. 2567 บริษัท ไนซ์ คอล จำกัด (มหาชน) หรือ NCP เข้าจดทะเบียนในวันที่ 31 ก.ค. 2567 บริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PMC เข้าจดทะเบียนในวันที่ 11 ก.ย. 2567 บริษัท เอสอีไอ เมดิคัล จำกัด (มหาชน) หรือ SEI เข้าจดทะเบียนในวันที่ 24 ก.ย. 2567           บริษัท ไทย ออโต ทูลส์ แอนด์ ดาย จำกัด (มหาชน) หรือ TATG เข้าจดทะเบียนในวันที่ 8 ต.ค. 2567 บริษัท อินเตอร์รอแยล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ IROYAL เข้าจดทะเบียนในวันที่ 5 พ.ย. 2567 บริษัท เอ็ม พี เจ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ MPJ เข้าจดทะเบียนในวันที่ 6 พ.ย. 2567 บริษัท อินสไปร์ ไอวีเอฟ จำกัด (มหาชน) หรือ IVF เข้าจดทะเบียนในวันที่ 11 ธ.ค. 2567 และพบ 11 บริษัทจดทะเบียนวันแรกยืนเหนือจอง ประกอบไปด้วย NAT ปิดเหนือจอง +27.78% หรือปิดที่ 6.90 บาท จากราคาที่ IPO 5.40 บาท APO ปิดเหนือจอง +114.14% หรือปิดที่ 2.12 บาท จากราคาที่ IPO 0.99 บาท BPS ปิดเหนือจอง +36.67% หรือปิดที่ 1.23 บาท จากราคาที่ IPO 0.90 บาท TERA ปิดเหนือจอง +60.00% หรือปิดที่ 2.80 บาท จากราคาที่ IPO 1.75 บาท LTS ปิดเหนือจอง +201.67% หรือปิดที่ 9.05 บาท จากราคาที่ IPO 3.00 บาท MAGURO ปิดเหนือจอง +22.01% หรือปิดที่ 19.40 บาท จากราคาที่ IPO 15.90 บาท           CFARM ปิดเหนือจอง +10.37% หรือปิดที่ 1.49 บาท จากราคาที่ IPO 1.35 บาท NCP ปิดเหนือจอง +1.00% หรือปิดที่ 2.02 บาท จากราคาที่ IPO 2.00 บาท PMC ปิดเหนือจอง +1.65% หรือปิดที่ 1.85 บาท จากราคาที่ IPO 1.82 บาท SEI ปิดเหนือจอง +103.23% หรือปิดที่ 6.30 บาท จากราคาที่ IPO 3.10 บาท TATG ปิดเหนือจอง +23.20% หรือปิดที่ 1.54 บาท จากราคาที่ IPO 1.25 บาท โดยแสดงเป็นตารางและเรียงลำดับผลตอบแทนได้ ดังนี้ ที่มา https://www.settrade.com/th รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

WHA ย้ำศักยภาพนิคมฯ ไทย ลุยกรีนโลจิสติกส์-อุตสาหกรรมใหม่ปี 68

WHA ย้ำศักยภาพนิคมฯ ไทย ลุยกรีนโลจิสติกส์-อุตสาหกรรมใหม่ปี 68

          หุ้นวิชั่น-WHA ย้ำไทยยังเนื้อหอม ชูจุดเด่นโครงสร้างพื้นฐานครบครัน แรงงานฝีมือ และซัพพลายเชนแข็งแกร่ง ดันยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมพุ่งกว่า 2,500 ไร่ในปีนี้ พร้อมลุยพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ อาทิ EV และดาต้าเซ็นเตอร์ เดินหน้าผลักดันกรีนโลจิสติกส์ ยกระดับ ESG รับมือเมกะเทรนด์และดึงดูดนักลงทุนทั่วโลกในปี 2568          นายณัฐพรรษ ตันบุญเอก ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ปิดเผยว่าภาพรวมธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมไทยก็มีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง หากเปรียบเทียบยประเทศไทยและเวียดนามถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงในด้านนิคมอุตสาหกรรม แต่ต่างก็มีจุดเด่นที่ตอบโจทย์ลูกค้าคนละกลุ่ม โดยประเทศไทยมีความได้เปรียบในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นระบบน้ำ ไฟฟ้า ขนส่ง โทรคมนาคม รวมถึงระบบซัพพลายเชนที่แข็งแกร่ง ตลอดจนแรงงานฝีมือ (Skill Labor) ที่ได้รับการยอมรับ อีกทั้งกฎเกณฑ์ทางกฎหมายยังมีความมั่นคงและเสถียรภาพ ในขณะเดียวกัน เวียดนามมีจุดเด่นในเรื่องของแรงงานที่เหมาะสมกับอุตสาหกรรมต้นทุนต่ำ จึงจับกลุ่มลูกค้าต่างกลุ่มกัน อุตสาหกรรมที่ได้รับความนิยมมาลงทึนในไทย ได้แก่ ยานยนต์ สินค้าอุปโภคบริโภค อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งรวมกันคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 70% ของฐานอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ขยายฐานอุตสาหกรรมใหม่: โอกาสการเติบโตในไทย          ทั้งนี้ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ต้อนรับอุตสาหกรรมใหม่ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเหมาะสมและศักยภาพในการรองรับการลงทุนใหม่ๆ ด้านราคาที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมก็ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กลุ่ม WHA Corporation มีการขายที่ดินเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากก่อนช่วงโควิด-19 ที่ขายได้ประมาณ 1,000 ไร่ หรือมีการเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว เพื่อรองรับดีมานด์จากนักลงทุนหลากหลายประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น และยุโรป โครงสร้างธุรกิจ WHA และเป้าหมายการเติบโต          WHA Corporation มีโครงสร้างธุรกิจ 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1. ธุรกิจโลจิสติกส์: ครอบคลุมพื้นที่กว่า 3 ล้านตารางเมตร 2. ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม: ดำเนินงานในนิคมอุตสาหกรรมทั้งหมด 12 แห่ง 3. ธุรกิจน้ำและไฟฟ้า: มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมเกือบ 1,000 เมกะวัตต์ 4. ธุรกิจดิจิทัล: มุ่งเน้นนำ AI มาช่วยลดต้นทุนและเพิ่มโอกาสรายได้ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูล          รายได้ของ WHA แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่ รายได้จากการขาย และรายได้ประจำ โดยสัดส่วนอยู่ที่ 50:50 แต่ในบางช่วงรายได้จากการขายที่ดินอาจสูงขึ้นตามยอดขายที่ดินที่เพิ่มขึ้น ผลประกอบการและทิศทางอนาคต          ผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ธุรกิจโลจิสติกส์มีการเติบโตต่อเนื่อง และยอดขายที่ดินปีนี้มีการปรับเพิ่มขึ้นเป็น 2,500 ไร่ ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตที่แข็งแกร่ง          สำหรับปี 2568 บริษัทคาดการณ์ว่าภาพรวมจะดีต่อเนื่อง พร้อมผลักดันแนวคิดกรีนโลจิสติกส์ (Green Logistics) และยกระดับมาตรฐาน ESG ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก

SC ขายหุ้น SC L1 ให้โตเกียวทาเทโมโนะ ร่วมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์

SC ขายหุ้น SC L1 ให้โตเกียวทาเทโมโนะ ร่วมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์

          หุ้นวิชั่น - บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC Asset เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ขายหุ้นในบริษัท เอสซี แอล1 จำกัด (SC L1) จำนวน 2,450,000 หุ้น รวมมูลค่า 17,150,000 บาท ให้แก่บริษัท โตเกียว ทาเทโมโนะ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ TTT เพื่อร่วมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดยมีรายละเอียดดังนี้: • ชื่อบริษัท: บริษัท เอสซี แอล1 จำกัด (SC L1) • ทุนจดทะเบียน: 50,000,000 บาท (แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 5,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท) • โครงสร้างการถือหุ้น: 1. SC Asset ถือหุ้น 50.99% และบุคคลธรรมดา 0.01% 2. TTT ถือหุ้น 49% วัตถุประสงค์ของการลงทุน           เพื่อร่วมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย โดยความร่วมมือครั้งนี้คาดว่าจะเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของทั้งสองบริษัท และตอบสนองความต้องการของตลาดที่อยู่อาศัยในอนาคต.

ปตท. คว้าอันดับ 1 โลกความยั่งยืนจาก S&P Global พร้อมมุ่งมั่นเติบโตยั่งยืนระดับโลก

ปตท. คว้าอันดับ 1 โลกความยั่งยืนจาก S&P Global พร้อมมุ่งมั่นเติบโตยั่งยืนระดับโลก

          หุ้นวิชั่น - วันนี้ (23 ธันวาคม 2567) – ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า ปตท. ได้รับคะแนนการประเมินด้านความยั่งยืน (Corporate Sustainability Assessment : CSA) ณ วันที่ 23 ธันวาคม 2567 เป็นอันดับที่ 1 ของโลก ในกลุ่มอุตสาหกรรม Oil & Gas Upstream & Integrated (OGX) และได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีโลก (World Index) และดัชนีตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market Index) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 13 สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานตามวิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” ดำเนินธุรกิจบนหลักการ “ยั่งยืนอย่างสมดุล” ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีพันธกิจในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศไทย สร้างการเติบโตควบคู่กับการบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก           นอกจากนี้ บริษัทในกลุ่ม ได้แก่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปตท. นํ้ามัน และการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ยังได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิก DJSI อีกด้วย           Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) เป็นดัชนีหลักทรัพย์ของบริษัทชั้นนำระดับสากลกว่า 3,500 บริษัททั่วโลก ที่ผ่านการประเมินความยั่งยืนขององค์กร (Corporate Sustainability Assessment: CSA) และคัดกรองโดย S&P Global ถือเป็นดัชนีที่ใช้ประเมินการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัทที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลจากผู้ลงทุนสถาบันและกองทุนต่าง ๆ ทั่วโลก

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

ก.ล.ต. กล่าวโทษอดีตประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร TSF กับพวกรวม 6 ราย ต่อ บก.ปอศ. กรณีทุจริต

ก.ล.ต. กล่าวโทษอดีตประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร TSF กับพวกรวม 6 ราย ต่อ บก.ปอศ. กรณีทุจริต

          หุ้นวิชั่น - วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม 2567 | ฉบับที่ 281 / 2567 ก.ล.ต. กล่าวโทษอดีตประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทรีซิกตี้ไฟว์ จำกัด (มหาชน) (TSF) กับพวกรวม 6 ราย ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) กรณีกระทำผิดหน้าที่โดยทุจริต เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อตนเองหรือผู้อื่นอันเป็นการเสียหายแก่บริษัท พร้อมทั้งรายงานการดำเนินการต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)           สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับรายงานจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาตในปี 2563 และได้ตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า ในระหว่างปี 2560 - 2561 นายอรัญ อภิจารี ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร TSF* และกรรมการ บริษัท ทีเอสเอฟ เอ็กซ์ตร้า จำกัด (บริษัทย่อย) ในขณะนั้น มีการทุจริตผ่านบริษัทย่อย โดยการทำสัญญาติดตั้งสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์บริเวณตู้โทรศัพท์สาธารณะกับบริษัท จี.ไอ.เอส.พาร์ค (ประเทศไทย) จำกัด (GISP) (สัญญาหลัก) โดยระบุให้บริษัทย่อยจ่ายเงินค่ารับโอนสิทธิ จำนวน 3 ล้านบาท ให้ GISP แต่เงินดังกล่าวถูกโอนกลับไปให้นายอรัญ ต่อมาบริษัทย่อยทำสัญญาเพิ่มเติมจากสัญญาหลัก เพื่อจ่ายเงินค้ำประกัน จำนวน 50 ล้านบาท ให้ GISP แต่เงินดังกล่าวถูกโอนไปให้บริษัท ไลเกอร์ แมเนจเม้นท์ จำกัด (Liger) และโอนต่อไปยังบุคคลอื่นอีกหลายทอดตามคำสั่งของนายอรัญ การกระทำของนายอรัญจึงเป็นการกระทำผิดหน้าที่โดยทุจริต เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อตนเองหรือผู้อื่นอันเป็นการเสียหายแก่ TSF และบริษัทย่อย โดยมี (1) นางสาวมินทร์ฐิตา ปนาวัฒน์ธนยศ (2) นางสาวกาญจนกร เตชะพันธ์ (3) นางสาวโศภชา เจริญสุข (4) GISP และ (5) Liger เป็นผู้ช่วยเหลือสนับสนุน           การกระทำของนายอรัญและพวกเข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 311 มาตรา 313 และมาตรา 281/2 วรรคสอง ประกอบมาตรา 89/7 มาตรา 89/24 และมาตรา 315 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ประกอบมาตรา 83 และมาตรา 86 แห่งประมวลกฎหมายอาญา แล้วแต่กรณี ก.ล.ต. จึงได้กล่าวโทษผู้กระทำความผิดทั้ง 6 ราย ต่อ บก.ปอศ. เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป           พร้อมกันนี้ ก.ล.ต. ได้รายงานการดำเนินการข้างต้นต่อ ปปง. เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป เนื่องจากความผิดดังกล่าว เข้าข่ายเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน           การถูกกล่าวโทษข้างต้นมีผลให้ผู้ถูกกล่าวโทษเข้าข่ายมีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจและไม่สามารถดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนตลอดระยะเวลาที่ถูกกล่าวโทษดำเนินคดี นับตั้งแต่วันที่ ก.ล.ต. มีหนังสือกล่าวโทษบุคคลดังกล่าวต่อ บก.ปอศ.**           ทั้งนี้ ภายหลังการกล่าวโทษของ ก.ล.ต. กระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาต่อไปเป็นการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ และการพิจารณาของศาลยุติธรรม ตามลำดับ โดย ก.ล.ต. จะติดตามความคืบหน้าในการดำเนินคดี และจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ เพื่อสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ในกระบวนการภายหลัง ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษแล้ว หมายเหตุ : * ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัท ทรีซิกตี้ไฟว์ จำกัด (มหาชน) (TSF) จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2566 ** ประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ กจ. 3/2560 เรื่อง การกำหนดลักษณะขาดความน่าไว้วางใจของกรรมการและผู้บริหารของ ลงวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2560

ส่งออกทูน่าปี 68 ฟื้นตัวแรง! คาดมูลค่าส่งออกโต6.2%

ส่งออกทูน่าปี 68 ฟื้นตัวแรง! คาดมูลค่าส่งออกโต6.2%

           แนวโน้มอุตสาหกรรมทูน่าปี 2025 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปี 2024 โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องจะขยายตัวที่ 6.2% YOY สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก            ภาพรวมอุตสาหกรรมทูน่าไทยในปี 2024 ถือว่าเติบโตได้ค่อนข้างดี ในช่วง 10 เดือนแรกที่ผ่านมา มูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของกลุ่มขยายตัว 24.6%YOY เป็นผลจากปริมาณการส่งออกที่เติบโตสูงถึง 35.2%YOY ทั้งนี้คาดว่ามูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องในปีนี้จะสามารถฟื้นกลับไปอยู่สูงกว่าช่วง Pre-COVID ได้อีกครั้ง สอดคล้องกับภาพรวมการบริโภคในตลาดโลกและประเทศคู่ค้าหลักของไทยที่ทยอยฟื้นตัวดีขึ้น อนึ่ง ปริมาณการส่งออกทูน่ากระป๋องที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวได้รับอานิสงส์จากอุปทานปลาทูน่าจับได้ (Tuna catch) ที่เพิ่มขึ้นมากจากผลพวงของภาวะโลกร้อนที่ส่งผลให้อุณหภูมิในมหาสมุทรอุ่นขึ้น (Ocean warming) ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวนอกจากจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลและทำให้มหาสมุทรสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพแล้ว ยังมีผลให้ฝูงปลา ทูน่าย้ายถิ่นฐาน (Tuna migration) หนีคลื่นน้ำอุ่นไปรวมตัวกันในบริเวณใดบริเวณหนึ่งของมหาสมุทรเยอะมากเป็นพิเศษ จึงส่งผลดีต่อการทำประมงในบริเวณนั้น            สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมทูน่าในปี 2025 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากปีนี้ โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องจะขยายตัวที่ 6.2%YOY สอดคล้องกับภาพรวมแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ทยอยฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้ การส่งออกที่ดีขึ้นยังเป็นผลจากการเติบโตของความต้องการบริโภคอาหารฮาลาล สะท้อนได้จากมูลค่าการนำเข้าทูน่ากระป๋องจากประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง (Middle East) ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รวมทั้งอานิสงส์จากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical risks) ที่ยังคงยืดเยื้อและมีแนวโน้มขยายวงกว้างขึ้น ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวมีส่วนทำให้หลาย ๆ ประเทศต้องการสต็อกสินค้าอาหารที่สามารถเก็บไว้บริโภคได้นานโดยเฉพาะอาหารกระป๋องเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย            ในระยะข้างหน้า ความท้าทายหลักที่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมทูน่าต้องให้ความสำคัญและเตรียมพร้อมรับมือ คือมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) ที่มีแนวโน้มเข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาการค้ามนุษย์ การใช้แรงงานทาสและแรงงานผิดกฎหมายในอุตสาหกรรมประมง ซึ่งเป็นประเด็นที่ทางการไทยต้องเร่งแก้ไขเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานขั้นต่ำที่รัฐบาลสหรัฐฯ กำหนด รวมไปถึงการให้ความสำคัญกับมาตรการกำกับดูแลการทำประมงอย่างยั่งยืน (Sustainable fishing) พร้อม ๆ ไปกับการปรับโมเดลธุรกิจและกลยุทธ์การเติบโตให้สอดรับกับเมกะเทรนด์สำคัญของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทรนด์เรื่องอาหารปลอดภัย และ Healthier choice เพื่อตอบโจทย์เทรนด์ใส่ใจสุขภาพของผู้บริโภคยุคใหม่ รวมทั้งการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนเพื่อตอบโจทย์เทรนด์ ESG โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “Carbon-neutral tuna products” ซึ่งเป็นสิ่งที่กำลังถูกพูดถึงมากขึ้นในปัจจุบัน โดยมีเป้าหมายเพื่อลด Carbon footprint ในห่วงโซ่การผลิตทูน่าอย่างครบวงจร เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Carbon neutrality ภายในปี 2050 นอกจากนี้ ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ที่ทันสมัยมาปรับใช้ให้มากขึ้น เพื่อให้สอดรับกับเทรนด์ Digitization และตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการทั้งความทันสมัยและความสะดวกสบาย พร้อม ๆ ไปกับลดการพึ่งพาแรงงานคน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก ที่มา : SCB EIC

MRT ร่วมฉลองเทศกาลปีใหม่  จอดรถฟรี 24 ชม. เปิดให้บริการข้ามปีถึงตี 2

MRT ร่วมฉลองเทศกาลปีใหม่ จอดรถฟรี 24 ชม. เปิดให้บริการข้ามปีถึงตี 2

           การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ร่วมส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2568 ด้วยการขยายเวลาการเปิดให้บริการรถไฟฟ้า MRT ทั้งสายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ำเงิน) และสายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) เปิดให้บริการข้ามปี วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 06.00 น.- 02.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2568 เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารที่เดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่ และส่งเสริมให้ประชาชนเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ            พร้อมกันนี้ ทาง รฟม. ยังได้ยกเว้นค่าบริการที่จอดรถ และขยายเวลาให้บริการอาคารและลานจอดแล้วจร ตั้งแต่เวลา 05.00 น. ของวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ถึงเวลา 01.00 น. ของวันที่ 2 มกราคม 2568  โดยมีรายละเอียดดังนี้ รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน : อาคารจอดแล้วจร 4 แห่ง ได้แก่ สถานีลาดพร้าว สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และสถานีหลักสอง (2 อาคาร) และลานจอดแล้วจร 11 แห่ง ได้แก่ สถานีกำแพงเพชร สถานีรัชดาภิเษก สถานีห้วยขวาง สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย (2 ลาน) สถานีพระราม 9 สถานีเพชรบุรี สถานีสุขุมวิท สถานีศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (2 ลาน) และสถานีสามย่าน รถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง : อาคารจอดแล้วจร 4 แห่ง ได้แก่ สถานีคลองบางไผ่ สถานีสามแยกบางใหญ่ สถานีบางรักน้อยท่าอิฐ และสถานีแยกนนทบุรี 1            โดยผู้โดยสารสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ ศูนย์บริการข้อมูล โทร. 0 2624 5200 หรือตรวจสอบเวลาให้บริการรถไฟฟ้าขบวนสุดท้ายได้ที่สถานีรถไฟฟ้า MRT แอปพลิเคชัน: Bangkok MRT และ  www.bemplc.co.th  รวมทั้งติดตามข่าวสารทาง Facebook (เฟซบุ๊ก) และ X (เอ็กซ์): BEM Bangkok Expressway and Metro

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

GPSC คว้าผู้ผลิต-ขายไฟฟ้า FiT ปี 2565-73 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง

GPSC คว้าผู้ผลิต-ขายไฟฟ้า FiT ปี 2565-73 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง

          หุ้นวิชั่น - นางพรรณพร ศาสนนันทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน  บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) หรือ GPSC แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่าบริษัทย่อยของบริษัทฯ ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ผลิตและขายไฟฟ้าตามโครงการการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565 – 2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ. 2565 (เพิ่มเติม) พ.ศ. 2567 ประเภท พลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน รวมคิดเป็นกำลังการผลิตเสนอขายจำนวน 192.88 เมกะวัตต์ หรือมีกำลังการผลิตคิดตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทฯ เป็นจำนวน 97.19 เมกะวัตต์ โดยมีกำหนดวันจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) รายละเอียดดังนี้: ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นไปตามแผนการขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนของกลุ่มบริษัทฯ และได้มีส่วนร่วมสนับสนุนการดำเนินการโครงการตามแผนพลังงานหมุนเวียนของประเทศ เพื่อบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ได้ตามเป้าหมาย

เมืองไทยประกันชีวิต จับมือ แมกซ์ โซลูชัน มอบความสุขต้อนรับเทศกาลปีใหม่แก่สมาชิก Max Card

เมืองไทยประกันชีวิต จับมือ แมกซ์ โซลูชัน มอบความสุขต้อนรับเทศกาลปีใหม่แก่สมาชิก Max Card

          เมืองไทยประกันชีวิต และ แมกซ์ โซลูชัน บริษัทในเครือพีทีจี ผนึกกำลังส่งมอบความสุขและรอยยิ้มในช่วงเทศกาลต้อนรับปีใหม่ 2568 แก่สมาชิก Max Card ทั่วประเทศ ผ่าน “กรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่สุขกายสุขใจ (ไมโครอินชัวรันส์)” อุ่นใจด้วยความคุ้มครองครอบคลุมทั้งด้านชีวิตและค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุ เพียงสมาชิก Max Card  ใช้คะแนน 100 คะแนน แลกรับสิทธิ์ง่าย ๆ ผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน Max Me           นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เมืองไทยประกันชีวิต ได้ร่วมกับ แมกซ์ โซลูชัน ส่งมอบความอุ่นใจให้กับลูกค้าคนสำคัญ ต้อนรับเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2568  ให้เต็มไปด้วยความสุข รอยยิ้ม และความสนุกสนาน  พร้อมยังเป็นการสนับสนุนให้ทุกคนในสังคมสามารถเข้าถึงประกันชีวิตเพื่อการมีหลักประกันที่มั่นคง  สอดรับกับนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ที่ส่งเสริมให้ประชาชนมีหลักประกันความคุ้มครองอุบัติเหตุให้กับตนเองและครอบครัว และเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากระบบการประกันภัยเพื่อบริหารความเสี่ยงจากอุบัติเหตุได้สะดวก เข้าถึงได้ง่าย และรวดเร็วยิ่งขึ้น           ด้าน นายพร้อมศักดิ์  จรัญญากรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แมกซ์ โซลูชัน เซอร์วิส จำกัด  บริษัทในเครือพีทีจี กล่าวว่า  บริษัทยังคงยึดมั่นในพันธกิจที่อยากเห็นคนไทย “อยู่ดีมีสุข” จึงได้เข้าร่วมกิจกรรมรณรงค์ลดอุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องทุกปี สำหรับปีนี้ บริษัท แมกซ์ โซลูชัน ได้ร่วมมือกับ เมืองไทยประกันชีวิต ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ยาวนาน ร่วมส่งมอบความสบายใจและลดความกังวลให้กับสมาชิก Max Card กว่า 23 ล้านราย           โดยสมาชิก Max Card สามารถใช้คะแนนสะสมเพียง 100 คะแนน แลกรับสิทธิ์ "กรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่สุขกายสุขใจ (ไมโครอินชัวรันส์)" ผ่านแอปพลิเคชัน Max Me พร้อมความคุ้มครองนานถึง 30 วันนับจากวันเริ่มต้นความคุ้มครอง ทั้งนี้ จำกัดจำนวนสิทธิ์ 1,000 สิทธิ์ เพื่อให้สมาชิกทุกท่านได้เดินทางอย่างมั่นใจ คลายกังวล และมีความสุขตลอดการเดินทางในช่วงเทศกาลนี้ ทั้งนี้ความคุ้มครอง “กรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่สุขกายสุขใจ (ไมโครอินชัวรันส์)” ที่ลูกค้าจะได้รับ ประกอบด้วย ความคุ้มครองการเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง เนื่องจากอุบัติเหตุ ไม่รวมการถูกฆาตกรรมลอบทำร้ายร่างกาย และ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จำนวนเงินเอาประกันภัย 100,000 บาท ความคุ้มครองการเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จากการถูกฆาตกรรมลอบทำร้ายร่างกาย และ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จำนวนเงินเอาประกันภัย 50,000 บาท ความคุ้มครองการเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง เนื่องจากอุบัติเหตุสาธารณะ จำนวนเงินเอาประกันภัย 100,000 บาท ผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุ ไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการจ้างพยาบาลพิเศษ อุปกรณ์ค้ำยันต่าง ๆ (ยกเว้นไม้ค้ำยัน) รถเข็นผู้ป่วย อวัยวะเทียมภายนอกร่างกายค่ารักษาพยาบาลโดยแพทย์ทางเลือก (Alternative medicine) การฝังเข็ม จำนวนเงินเอาประกันภัยตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 5,000 บาท           โดย “กรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่สุขกายสุขใจ (ไมโครอินชัวรันส์)” มีระยะเวลาคุ้มครอง 30 วัน    นับจากวันเริ่มต้นระยะเวลาเอาประกันภัย ซึ่งผู้ที่จะได้รับสิทธิ์จะต้องถือสัญชาติไทยเท่านั้น และมีอายุตั้งแต่ 15 ปีบริบูรณ์ ถึง 70 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ทำประกันภัย  โดยสมาชิก Max Card ที่สนใจสามารถแลกคะแนนได้ ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2567 – 28 กุมภาพันธ์ 2568 (จำนวนสิทธิ์ 1,000 สิทธิ์) หมายเหตุ :                                 ผู้เอาประกันภัยจะต้องมีอายุตั้งแต่ 15 ปีบริบูรณ์ ถึง 70 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ทำประกันภัย และถือสัญชาติไทยเท่านั้น สมาชิก Max Card ใช้ 100 คะแนน รับสิทธิ์ลงทะเบียนกรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่สุขกายสุขใจ (ไมโครอินชัวรันส์) ผ่านแอปพลิเคชัน Max Me (ไม่จำกัดสิทธิ์ / สมาชิก ซึ่งผู้รับความคุ้มครองต้องไม่ใช่บุคคลเดียวกัน) เริ่มต้นคุ้มครองตั้งแต่วันถัดไปของวันที่ลูกค้าลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ เวลา 01 น. จนถึงวันที่สิ้นสุดความคุ้มครอง 30 วัน เวลา 24.00 น. และไม่มีการต่ออายุอัตโนมัติ เงื่อนไขและความคุ้มครองเป็นไปตามที่ระบุในกรมธรรม์ การพิจารณารับประกันภัยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์การให้ความคุ้มครองโครงการนี้กับสมาชิก Max Card เท่านั้น บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการจัดส่งกรมธรรม์ครั้งนี้ โดยการยืนยันความคุ้มครองผ่านทาง SMS เท่านั้น ลูกค้าสามารถแลกคะแนนได้ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2567 – 28 กุมภาพันธ์ 2568 หรือ มีผู้รับสิทธิ์ครบ 1,000 สิทธิ์ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร PT Call Center 1614 ทุกวัน เวลา 08.00-20.00 น.หรือเมืองไทยประกันชีวิต โทร. 1766 ตลอด 24 ชั่วโมง คำเตือน : ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

เปิดกลยุทธ์การลงทุน หุ้นไทย ส่งท้ายปี | จัดเต็มการลงทุน

เปิดกลยุทธ์การลงทุน หุ้นไทย ส่งท้ายปี | จัดเต็มการลงทุน

https://youtu.be/9sf_98QgaEM เปิดกลยุทธ์การลงทุน หุ้นไทย ส่งท้ายปี | จัดเต็มการลงทุน ติดตามรายการ จัดเต็มการลงทุน ทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 9.00-9.30 น. ทาง ททบ.5

abs

Hoonvision

นิคมอุตสาหกรรมไทย

นิคมอุตสาหกรรมไทย "เนื้อหอม" เป้าหมายกลุ่มทุนข้ามชาติ | จัดเต็มการลงทุน

https://youtu.be/l1OyPUZRz-c นิคมอุตสาหกรรมไทย "เนื้อหอม" เป้าหมายกลุ่มทุนข้ามชาติ | จัดเต็มการลงทุน ติดตามรายการ จัดเต็มการลงทุน ทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 9.00-9.30 น. ทาง ททบ.5

THG ปัด “หมอบุญ” ไม่เกี่ยว “จิณณ์ เวลบีอิ้ง ฯ”  พร้อมชี้แจงงบการเงินรวม

THG ปัด “หมอบุญ” ไม่เกี่ยว “จิณณ์ เวลบีอิ้ง ฯ” พร้อมชี้แจงงบการเงินรวม

          หุ้นวิชั่น - นางสาวจินดา อริยพรพงศ์ เลขานุการบริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) หรือ THG ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงบการเงินรวมของบริษัทฯ สำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 และโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ นั้น คณะกรรมการบริษัทฯ ได้ประชุมกันเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 โดยได้พิจารณาข้อสอบถามเพิ่มเติมของตลาดหลักทรัพย์ฯ ดังนี้ 1.การตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตจากการดำเนินงานของบริษัทฯ           ตามงบการเงินรวมของบริษัทฯ สำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 บริษัทฯ ได้ตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตจากการดำเนินงานของบริษัทฯ (“ค่าเผื่อฯ”) รวมทั้งสิ้นจำนวน 336 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 343 เมื่อเทียบกับงบการเงินรวมของบริษัทฯ สำหรับปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 นั้น บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงสาเหตุและรายละเอียดตามกลุ่มลูกหนี้ค่าเผื่อฯ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้           1.1 กลุ่มผู้ป่วย UCEP COVID-19           บริษัทฯ และบริษัทย่อย ได้แก่ บจ. โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง บมจ. โรงพยาบาลราษฎร์ยินดี บจ. ตรังเวชกิจ และ บจ. ธนบุรี เวลบีอิ้ง (“บริษัทย่อยฯ”) มีลูกหนี้กลุ่มผู้ป่วย UCEP COVID-19 ซึ่งรับรู้ค่าเผื่อฯ ในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 จำนวนรวม 284 ล้านบาท           สาเหตุของการรับรู้ค่าเผื่อฯ ในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 จำนวนรวม 284 ล้านบาท นั้นเป็นเพราะที่ผ่านมา บริษัทฯ และบริษัทย่อยฯ ประสบปัญหาเกี่ยวกับการได้รับชำระเงินจากหน่วยงานภาครัฐ ในส่วนของการเบิกจ่ายจากการให้บริการรักษาพยาบาลในช่วงของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยในช่วงปี 2564 – 2566 บริษัทฯ และบริษัทย่อย โดยเฉพาะ บจ. โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง (“THB”) ได้รับรู้รายได้จากการให้บริการผู้ป่วยในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และมีการประมาณการส่วนลดเพื่อสะท้อนจำนวนเงินที่คาดว่าจะได้รับชำระ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลและอัตราที่ได้รับชำระจริงในอดีต โดยใช้อัตราส่วนที่คาดว่าจะได้รับชำระในช่วงระหว่างร้อยละ 29 ถึงร้อยละ 60 ซึ่งกระบวนการดังกล่าวเป็นไปตามหลักความระมัดระวัง และเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีที่รับรองทั่วไป           ในปี 2567 เนื่องจากบริษัทฯ และบริษัทย่อยฯ ได้รับรู้รายได้โดยรับรู้ประมาณการส่วนลดซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลและอัตราส่วนลดที่เกิดขึ้นจริงแล้ว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากลูกหนี้กลุ่มผู้ป่วย UCEP COVID-19 มีสถานะค้างชำระนานเกินกว่า 365 วัน และการชำระหนี้จากหน่วยงานภาครัฐที่ผ่านมาอยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าบริษัทฯ และบริษัทย่อยฯ จะติดตามทวงถามอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเหตุให้บริษัทฯ และบริษัทย่อยฯ ต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงในการไม่ได้รับชำระหนี้เต็มจำนวนในอนาคต           ดังนั้น เพื่อสะท้อนความเสี่ยงทางการเงินอย่างเหมาะสมและระมัดระวัง บริษัทฯ และบริษัทย่อยฯ จึงได้ตั้งค่าเผื่อฯ จำนวนร้อยละ 75 ของมูลหนี้คงเหลือ           อย่างไรก็ตาม หากภายในสิ้นปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทฯ และบริษัทย่อยฯ ยังไม่ได้รับการชำระหนี้ค้างจากหน่วยงานภาครัฐสำหรับลูกหนี้กลุ่มผู้ป่วย UCEP COVID-19 บริษัทฯ และบริษัทย่อยฯ จะพิจารณาตั้งค่าเผื่อฯ เพิ่มเติมเป็นร้อยละ 100 ของมูลหนี้คงเหลือ ซึ่งจะมีมูลค่าประมาณ 81 ล้านบาท การพิจารณาตั้งค่าเผื่อฯ ดังกล่าวสะท้อนถึงการประเมินความเสี่ยงผลขาดทุนด้านเครดิตและเป็นการดำเนินการตามหลักความระมัดระวัง           1.2 ลูกหนี้กลุ่มผู้ป่วยซึ่งรับผิดชอบชำระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลด้วยตนเอง           ในปี 2566 บริษัทย่อยของบริษัทฯ รายบริษัท โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง จำกัด (“THB”) ได้บันทึกบัญชีลูกหนี้คงค้างในกลุ่มลูกหนี้ค่ารักษาพยาบาลเป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้นประมาณ 42 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลทางบัญชีอย่างละเอียดในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 บริษัทฯ ได้พิจารณาแล้วว่ารายการดังกล่าวมีความเสี่ยงสูงที่อาจไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ เพื่อให้การบันทึกบัญชีสะท้อนถึงสภาพการณ์ที่แท้จริงและสอดคล้องกับมาตรฐานการบัญชีที่เกี่ยวข้อง บริษัทฯ จึงได้ตัดสินใจตั้งค่าเผื่อฯ ไว้เต็มจำนวนสำหรับยอดลูกหนี้ดังกล่าว           ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับรายการลูกหนี้ดังกล่าวต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 ในรูปแบบของรายการอันควรสงสัย และได้จัดส่งรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายการดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (“สำนักงาน ก.ล.ต.”) แล้ว           1.3 ลูกหนี้การค้าอื่น และลูกหนี้อื่น           ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 บริษัทย่อยของบริษัทฯ ราย บจ. ตรังเวชกิจ ตั้งค่าเผื่อฯ จำนวน 1 ล้านบาทสำหรับรายการลูกหนี้การค้าอื่น ซึ่งเป็นการตั้งค่าเผื่อฯ เพิ่มเติมสำหรับลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งค้างชำระนานเกินกว่า 180 วัน เพื่อสะท้อนถึงสถานการณ์ด้านเครดิตของลูกหนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลง ในช่วงเวลาเดียวกัน THB ได้ตั้งค่าเผื่อฯ เป็นจำนวนเงิน 10 ล้านบาทสำหรับรายการลูกหนี้อื่น โดยบริษัทฯ พิจารณาแล้วเห็นว่ารายการดังกล่าวมีความเสี่ยงสูงที่จะไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้และถือเป็นรายการอันควรสงสัย           ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการเปิดเผยข้อมูลต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 และจัดส่งรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายการดังกล่าวไปยังสำนักงาน ก.ล.ต. แล้ว           ความเห็นของคณะกรรมการบริษัทฯ เห็นชอบกับการเปิดเผยข้อมูลตามรายละเอียดข้างต้น และมีความเห็นเพิ่มเติมดังนี้ การตั้งค่าเผื่อฯ สำหรับลูกหนี้กลุ่ม COVID-19 เป็นการดำเนินการตามหลักความระมัดระวัง แม้ว่าลูกหนี้จะเป็นหน่วยงานภาครัฐ สำหรับลูกหนี้อื่นนั้น บริษัทฯ ได้ดำเนินการเช่นเดียวกัน และอยู่ระหว่างการดำเนินการทางกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของบริษัทฯ การตั้งค่าเผื่อฯ ไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสภาพคล่องของกลุ่มบริษัทฯ เนื่องจากผลประกอบการจากการดำเนินงานตามปกติ (ไม่รวมการบันทึกบัญชีค่าเผื่อฯ) ไม่ได้ประสบภาวะขาดทุนจากการดำเนินงานแต่อย่างใด           การพิจารณาตั้งค่าเผื่อฯ นั้น บริษัทฯ ได้มีการหารือร่วมกับผู้สอบบัญชีเป็นประจำทุกปี โดยยึดหลักความระมัดระวังที่สอดคล้องกับมาตรฐานการบัญชีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ เป็นกระบวนการที่เป็นไปตามปกติของการดำเนินธุรกิจ หากมีความจำเป็นต้องตั้งค่าเผื่อฯ หรือรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่า บริษัทฯ จะพิจารณาและดำเนินการตามมาตรฐานการบัญชีที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ข้อมูลทางการเงินสะท้อนถึงสถานะและผลการดำเนินงานของบริษัทฯ 2.รายการกับ Bewell Saigon Health Clinic Company Limited           ในปี 2566 บริษัทฯ ได้เข้าทำข้อตกลงร่วมทุนกับ IFF Holdings Joint Stock Company เพื่อจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้ง โดย IFF Holdings Joint Stock Company จะถือหุ้นในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 60 และบริษัทฯ (หรือบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งจากบริษัทฯ) จะถือหุ้นในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 40 (“บริษัทโฮลดิ้ง”) และบริษัทโฮลดิ้งจะถือหุ้นร้อยละ 100 ใน Bewell Saigon Health Clinic Company Limited (“Bewell”) ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นในประเทศเวียดนามเพื่อดำเนินธุรกิจคลินิกตรวจสุขภาพเชิงลึก โดย IFF Holdings Joint Stock Company มิได้เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันของบริษัทฯ แต่อย่างใด           ในปี 2566 และ 2567 บริษัทฯ ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินในรูปแบบเงินให้กู้ยืมแก่ Bewell เพื่อใช้สำหรับการตกแต่งสถานที่ ซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือ และการเช่าพื้นที่สำหรับการตั้งคลินิก ระยะเวลาเงินกู้ไม่เกิน 12 เดือน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี ณ ปัจจุบัน Bewell มีภาระหนี้คงค้างประมาณ 49 ล้านบาท (เทียบเป็นเงินบาทไทย) นอกจากนี้ ผู้ร่วมทุน IFF Holdings Joint Stock Company ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ Bewell เช่นกัน จำนวนประมาณ 12.5 ล้านบาท (เทียบเป็นเงินบาทไทย) พร้อมทั้งสนับสนุนในรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่ทางการเงิน เช่น การจัดหาสถานที่ การบริหารและควบคุมกระบวนการก่อสร้าง ตลอดจนการจัดเตรียมความพร้อมของสถานที่และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง           สำหรับเงินกู้บางส่วนซึ่งบริษัทฯ ได้ให้แก่ Bewell จำนวนประมาณ 12.6 ล้านบาท ซึ่งครบกำหนดชำระแล้วนั้น บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจาแปลงหนี้ดังกล่าวเป็นเงินลงทุนในบริษัทโฮลดิ้ง และ/หรือ Bewell โดยมีกำหนดเป้าหมายในการดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปี 2568           ในส่วนของใบอนุญาตดำเนินการคลินิกของ Bewell นั้น บริษัทฯ คาดการณ์ว่า Bewell จะได้รับใบอนุญาตภายในไตรมาสแรกของปี 2568           ความเห็นของคณะกรรมการบริษัทฯ           คณะกรรมการบริษัทฯ เห็นชอบกับการเปิดเผยข้อมูลตามรายละเอียดข้างต้น และมอบหมายให้ฝ่ายบริหารดำเนินการติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด และรายงานผลให้คณะกรรมการบริษัทฯ ทราบในการประชุมคณะกรรมการคราวถัดไป เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินการเป็นไปตามแผนงานที่กำหนด 3.รายการเกี่ยวกับหนี้ของบริษัทฯ           จากผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ซึ่งไม่เป็นไปตามคาดการณ์ รวมถึงรายการพิเศษที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้บริษัทฯ ไม่สามารถดำรงอัตราส่วนทางการเงินตามที่กำหนดไว้ในสัญญาที่บริษัทฯ ทำไว้กับ Credit Guarantee and Investment Facility, a trust fund of the Asian Development Bank (“CGIF”) ในฐานะผู้ค้ำประกันหนี้ของบริษัทฯ ได้นั้น ไม่มีผลทำให้ผู้ค้ำประกันหนี้สามารถเพิกถอนการค้ำประกันหนี้ได้ และไม่มีผลทำให้บริษัทฯ ตกเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้ตามหนี้แต่อย่างใด ทั้งนี้ ผลจากการไม่สามารถดำรงอัตราส่วนทางการเงินดังกล่าวได้ ทำให้บริษัทฯ มีภาระต้องชำระค่าปรับให้แก่ CGIF ตามข้อกำหนดในสัญญา ซึ่งถือเป็นมาตรฐานปกติของสัญญาประเภทนี้ ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับ CGIF เพื่อขอผ่อนปรนเงื่อนไขบางประการในสัญญา ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะได้รับข้อสรุปดังกล่าวภายในไตรมาสแรกของปี 2568           ความเห็นของคณะกรรมการบริษัทฯ           คณะกรรมการบริษัทฯ เห็นชอบกับการเปิดเผยข้อมูลตามรายละเอียดข้างต้น และมอบหมายให้ฝ่ายบริหารเจรจาผ่อนปรนเงื่อนไขบางประการกับ CGIF เพื่อให้บริษัทฯ ไม่ต้องมีภาระทางการเงินที่เพิ่มขึ้นมากนัก 4.รายการเกี่ยวกับโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้           4.1 สถานะและความคืบหน้าของการขายโครงการ           บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (“ธนบุรี เวลบีอิ้ง”) ยังคงดำเนินการขายโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ตามปกติ ซึ่งโครงการมีจำนวนห้องทั้งหมด 494 ห้อง ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 โครงการมีจำนวนห้องที่ ยังไม่ได้ขายจำนวน 234 ห้อง โดย ธนบุรี เวลบีอิ้ง ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่น การออกบูธประชาสัมพันธ์โครงการ และการนำเสนอโครงการผ่านช่องทางสื่อต่าง ๆ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายและสร้างความรับรู้ในตัวโครงการอย่างสม่ำเสมอ           และในเดือนธันวาคม 2567 ธนบุรี เวลบีอิ้ง เตรียมโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดจำนวน 3 ห้อง อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก ธนบุรี เวลบีอิ้ง ได้รับผลกระทบจากข่าวต่าง ๆ ในทางลบ ทำให้ลูกค้ายกเลิกการซื้อกรรมสิทธิ์ห้องชุดจำนวน 2 ห้อง และขายกรรมสิทธิ์ห้องชุดสำเร็จเพียง 1 ห้อง           4.2 การเปลี่ยนการบันทึกโครงการจากสินทรัพย์หมุนเวียนไปเป็นสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน           รายการซึ่งมีการเปลี่ยนการบันทึกโครงการจากสินทรัพย์หมุนเวียนไปเป็นสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนคือที่ดินที่ ธนบุรี เวลบีอิ้ง ได้จัดสรรไว้สำหรับการพัฒนาโครงการ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ เฟส 2 และ 3 ในอนาคต โดยที่ดินดังกล่าวมีขนาดพื้นที่ 28,469.44 ตร.ว. มูลค่าต้นทุน 840.39 ล้านบาท ซึ่งเดิมจัดอยู่ในประเภทสินทรัพย์หมุนเวียน           อย่างไรก็ตาม หลังจากการประเมินสถานการณ์โดยรอบคอบ บริษัทฯ เห็นว่าโครงการดังกล่าวมีความเป็นไปได้สูงที่จะยังไม่มีการเริ่มต้นก่อสร้างหรือพัฒนาในระยะเวลา 1 ปีข้างหน้า ซึ่งตามมาตรฐานบัญชี หากสินทรัพย์ไม่สามารถสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในระยะเวลาสั้น และมีลักษณะการถือครองเพื่อการพัฒนาในระยะยาว บริษัทฯ จำเป็นต้องปรับปรุงการจัดประเภทของที่ดินดังกล่าวจาก “สินทรัพย์หมุนเวียน” เป็น “สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน” เพื่อให้สะท้อนถึงลักษณะการใช้งานจริง และสอดคล้องกับแนวโน้มในอนาคต           4.3 การขายห้องชุดของโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ให้แก่บริษัทที่เกี่ยวข้องกัน           ณ สิ้นไตรมาส 3 ของปี 2567 ธนบุรี เวลบีอิ้ง มีรายได้รอการรับรู้จำนวน 20 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการขายห้องชุดแบบตกแต่งครบ (Fully Furnished) ให้กับบริษัท ราชธานีพัฒนาการ (2014) จำกัด ซึ่งราคาขายดังกล่าวได้รวมค่าเฟอร์นิเจอร์ไว้ด้วย แต่เนื่องจากการติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ยังไม่แล้วเสร็จ ธนบุรี เวลบีอิ้ง จึงยังไม่สามารถรับรู้รายได้ในส่วนค่าเฟอร์นิเจอร์ตามมาตรฐานบัญชีได้           ต่อมาบริษัทดังกล่าวได้ขอยกเลิกการติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ และ ธนบุรี เวลบีอิ้ง ได้หักกลับลบหนี้ระหว่างรายการค้างรับและรายการค้างจ่าย ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเสร็จสิ้นในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดรายได้รอการรับรู้จำนวน 20 ล้านบาทนี้ ไม่ถือเป็นหนี้สินทางบัญชีอีกต่อไป           ความเห็นคณะกรรมการบริษัทฯ           คณะกรรมการบริษัทฯ เห็นชอบกับการเปิดเผยข้อมูลตามรายละเอียดข้างต้น และมอบหมายให้ฝ่ายบริหารเน้นย้ำให้สาธารณชนรับทราบว่านายแพทย์บุญ วนาสิน ไม่ได้มีส่วนร่วมในการลงทุนในโครงการดังกล่าว โดยโครงการนี้เป็นการลงทุนโดย ธนบุรี เวลบีอิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นเกือบทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นโครงการจนถึงปัจจุบัน           บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าข้อมูลข้างต้นจะช่วยเพิ่มความชัดเจนแก่นักลงทุน ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงยึดมั่นในหลักการบริหารจัดการที่โปร่งใส และมุ่งมั่นสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายอย่างยั่งยืนในระยะยาว

เก็ง Easy E-Receipt ชู TNP-SPVI-JUBILE

เก็ง Easy E-Receipt ชู TNP-SPVI-JUBILE

          หุ้นวิชั่น -  จับตา Easy E-Receipt ชง ครม. สัปดาห์นี้ ฟากโบรก "วิลาสินี บุญมาสูงทรง" ชี้ค้าปลีก ออนไลน์ รีเทลรับอานิสงส์ ชู TNP เด่น ส่งซิกโค้งท้ายโตแรง รับไอซีซั่น เล็งปรับเพิ่มประมาณการกำไรทั้งปี 67 จากเดิมที่ 177 ลบ. พร้อมคัดหุ้น SPVI , JUBILE เด้งรับมาตรการ            ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน Easy E-Receipt รมช.คลัง ชง ครม. สัปดาห์นี้ออกมาตรการ Easy E-Receipt ลดหย่อนภาษี 5 หมื่น เริ่ม 15 ม.ค. – 28 ก.พ. 25 เพิ่มสิทธิใช้จ่ายการท่องเที่ยว คาดเงินหมุนเวียนในระบบ 7หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ในวงเงิน 50,000 บาทนั้น แบ่งการใช้จ่ายเป็น 2 ส่วน ได้แก่ การใช้สำหรับสินค้าอุปโภคและบริโภค วงเงิน 30,000 บาท และเพิ่มเติมสามารถในแพ็คเกจการท่องเที่ยวได้เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเดินทาง การใช้จ่ายการท่องเที่ยว เช่น แพ็คเกจทัวร์และการจองโรงโรม เป็นต้น การใช้จ่ายผ่านกลุ่มวิสาหกิจชุมชุน และโอท็อป วงเงิน 20,000 บาท เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในกลุ่มเอสเอ็มอีและชุมชน เพื่อให้ชุมชนมีความเข็งแข็งขึ้น           นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นชั่น ว่า หากมาตรการ Easy E-Receipt ลดหย่อนภาษี 5 หมื่น เดินหน้าตามแผน โครงการดังกล่าวน่าจะเริ่มต้นปี 2568 หรือ ราวๆ วันที่ 15 ม.ค. – 28 ก.พ. 67           สำหรับกลุ่มธุรกิจที่คาดจะได้รับอานิสงส์จากมาตรการ Easy E-Receipt คือ ธุรกิจค้าปลีก-ออนไลน์ และรีเทล โดยหุ้นที่ขจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) และคาดได้รับอานิสงส์ ได้แก่ บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP ซึ่งประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่รวมอาหารสดภายใต้ชื่อ "ธนพิริยะ"           บริษัท เอส พี วี ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SPVI ผู้ประกอบธุรกิจตัวแทนจำหน่าย (Reseller) ผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้า Apple ทั้งคอมพิวเตอร์ ผลิตภัณฑ์ประเภท iOS และอุปกรณ์เสริมต่างๆ           และ บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JUBILE ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกเครื่องประดับเพชรและเพชรกะรัต           ฝ่ายวิเคราะห์ แนะ "ซื้อ" ราคาเหมาะสม 5 บาท "กำไร 3Q67 ดีกว่าคาด 9% ส่วน 4Q67 เติบโตต่อ YoY QoQ" งวด 3Q67 มีกำไร 47 ลบ. +41%YoY +12%QoQ (ดีกว่าที่เราคาด 9%) ส่วนรายได้อยู่ที่ 730 ลบ. +12%YoY +3%QoQ (ดีกว่าที่เราคาด 2%) เติบโตแม้เป็น Low Season ที่เป็นฤดูฝน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากสถานการณ์น้ำท่วมภาคเหนือ ทำให้มีการเร่งกักตุนสินค้าจำเป็นมากขึ้น ประกอบกับได้อานิสงส์จากมาตรการแจกเงินสด 10,000 บาท ตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ก.ย. สะท้อน SSSG ที่เติบโต 1.8% รวมทั้งมีการขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้นอีก 2 สาขาสู่ทั้งหมด 47 สาขา (+5 สาขา YoY +2 สาขา QoQ) ทั้งนี้ 9M67 มีกำไร 135 ลบ. +25%YoY คิดเป็น 76% ของประมาณการทั้งปี 67 เดิมที่ 177 ลบ. +10%YoY           ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองบวกต่อกำไร 3Q67 ออกมาดีกว่าที่คาด ส่วน 4Q67 คาดเติบโตต่อเนื่อง YoY QoQ จาก 3 ประเด็น คือ 1) เข้าสู่ High Season 2) ได้อานิสงส์จากมาตรการแจกเงินสด 10,000 บาท ที่กลุ่มผู้มีสิทธิ์เพิ่งได้รับเมื่อช่วงปลาย 3Q67 รวมทั้งรอบเก็บตกในช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.  และ 3) ขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้นอีก 2 สาขา สู่ ณ สิ้นปี 67 ทั้งหมด 49 สาขา ทั้งนี้ฝ่ายวิเคราะห์เตรียมปรับเพิ่มประมาณการกำไรทั้งปี 67 จากเดิมที่ 177 ลบ. +10% YoY แนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสม 5 บาท รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

CPAXT ยันลงทุน The Happitat เพียงโครงการเดียว

CPAXT ยันลงทุน The Happitat เพียงโครงการเดียว

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.กรุงศรี เผย CPAXT ชี้แจงข้อมูลเพิ่มย้ำเข้าลงทุนโครงการ The Happitat เพียงโครงการเดียวไม่ ลงทุนในโครงการอื่นๆ ใน The Forestias ย้ำการเข้าลงทุนเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลและเกณฑ์ของตลาดฯ ราคาเข้าลงทุนใช้วิธี Income Approach ซึ่งต่ำกว่าวิธี Cost Approach เฉลี่ยที่ 1.2 หมื่นล้านบาทจึงมองเป็นราคาเข้าลงทุนที่สมเหตุสมผล แต่พร้อมน้อมรับ ข้อคิดเห็น, คำแนะนำ และความห่วงใยจากทุกภาคส่วน

[ภาพข่าว] ADVICE ขึ้นแท่นเข้าคำนวณดัชนี sSET ปี 68

[ภาพข่าว] ADVICE ขึ้นแท่นเข้าคำนวณดัชนี sSET ปี 68

          นายณัฏฐ์ ณัฐนิธิการัชต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) หรือ ADVICE เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 20 บริษัทฯ ที่เข้าคำนวณในดัชนี sSET รอบครึ่งปีแรกของปี 2568 (1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2568) ซึ่งสะท้อนถึงหุ้น ADVICE ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทุกกลุ่มทั้งในและต่างประเทศ โดยมีสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free-Float) และมีจำนวนหุ้นซื้อขายเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด สอดรับกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ ที่แข็งแกร่ง และมีศักยภาพเติบโตสูง           ทั้งนี้ ADVICE มีแผนการดำเนินงานเพื่อสร้างการเติบโตที่ชัดเจน โดยในปี 2568 รายได้กลุ่มมือถือเติบโตเด่นจากทั้งกลุ่ม Apple และ Andriod จำนวนสาขา Standalone Apple ในต่างจังหวัด ตั้งเป้าไว้ที่ 8 สาขา ณ สิ้นปี 2567 และมีเป้าหมายเพิ่ม 30 สาขา ณ สิ้นปี 2568 เทียบกับ ณ สิ้น Q3/67 ที่มีเพียง 3 สาขา ทั้งนี้ การขยายสาขา Apple จะเป็นปัจจัยหลักหนุนการเติบโตของรายได้กลุ่มมือถือในปี 2568 ซึ่งมีศักยภาพเติบโตสูง มีอัตราการทำกำไรที่ดีให้แก่บริษัทฯ สะท้อนผ่านผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งตามเป้าหมายที่ได้วางแผนไว้ ตอกย้ำการดำเนินธุรกิจโดยมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้น และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

[ภาพข่าว] MMM ต้อนรับคณะผู้บริหาร “ก.ล.ต.- ตลท.” รับฟังข้อมูลธุรกิจ

[ภาพข่าว] MMM ต้อนรับคณะผู้บริหาร “ก.ล.ต.- ตลท.” รับฟังข้อมูลธุรกิจ

          นายประเสริฐ หวังรัตนปราณี ประธานกรรมการ (แถวแรก กลางขวา) นางสาวณิชา โรจน์วัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (แถวแรก ที่ 4 จากขวา) พร้อมคณะกรรมการ และคณะผู้บริหาร บริษัท เอ็มเอ็มเอ็ม แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MMM หนึ่งในผู้นำตัวแทนการขายอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้การให้บริการที่ปรึกษาด้านการขายและการตลาดแก่ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาฯ และซื้อขายอสังหาฯ ร่วมด้วย นางสาวเดือนพรรณ ลีลาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ (แถวสอง ที่ 4 จากขวา) บริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ให้การต้อนรับคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คณะผู้บริหารจากตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ และ ตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVEx) ในโอกาสเข้าเยี่ยมชมกิจการ และร่วมรับฟังข้อมูลธุรกิจ ตามแผนเสนอขาย หุ้นไอพีโอ 64.20 ล้านหุ้น เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ณ โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ รัชดา  

[ภาพข่าว] BTG คว้า 2 รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น ปี67

[ภาพข่าว] BTG คว้า 2 รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น ปี67

            กรุงเทพฯ – 23 ธันวาคม 2567 – “บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน)” หรือ BTG บริษัทอาหารครบวงจรชั้นนำของไทย คว้า 2 รางวัล อุตสาหกรรมดีเด่น ประจำปี 2567 ประเภทการเพิ่มผลผลิต โดยกระทรวงอุตสาหกรรม สะท้อนการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้วยแนวอุตสาหกรรมวิถีใหม่ มุ่งสู่ความสำเร็จใน 4 มิติคือ 1.ความสำเร็จทางธุรกิจ 2.การดูแลสังคมโดยรอบโรงงานอุตสาหกรรม 3.การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมที่ตอบโจทย์ไทย-ประชาคมโลก และ4.การกระจายรายได้ให้กับประชาชนเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น               เกณฑ์ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับการดำเนินงานทางธุรกิจของเบทาโกร ภายใต้หลัก ESG (Environmental, Social, Governance) สะท้อนถึงการเป็นบริษัทอาหารครบวงจรชั้นนำของไทย มุ่งมั่นเพิ่มคุณค่าชีวิตทุกคนด้วยอาหารที่ดีกว่า เพื่อชีวิตที่ยั่งยืน             โดยมีนายถวิล ทองทศ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักการผลิตเนื้อสัตว์แปรรูปสัตว์ปีกและอาหารปรุงสุก และนายธันว์ บุญมา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักการผลิตเนื้อสัตว์แปรรูปสุกร เป็นตัวแทน บริษัท บี. ฟู้ดส์ โปรดักส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จ.ลพบุรี และ บริษัทเบทาโกรอุตสาหกรรม จำกัด เข้ารับรางวัลจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติ สร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ประกอบการที่พัฒนานวัตกรรมสร้างสรรค์ที่เป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมและชุมชนโดยรวมของประเทศ

SCG ผนึก Serendix   ขยายศักยภาพ “SCG 3D Printing Mortar”

SCG ผนึก Serendix  ขยายศักยภาพ “SCG 3D Printing Mortar”

          บริษัท ผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด ในเครือ SCG นำโดย นางสาวกัลยา วรุณโณ Green Solution and New Business Marketing Director และ Mr. Hiroyasu KOMA, CEO of Serendix หนึ่งใน Startup เครือข่ายผู้ประกอบการ 3D Printing ประยุกต์ใช้สร้างบ้านรายแรกจากประเทศญี่ปุ่น ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อขยายศักยภาพ SCG 3D Printing Mortar เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติด้วยปูนมอร์ตาร์รับการเติบโตของอุตสาหกรรมก่อสร้างทั่วโลก           สำหรับความร่วมมือครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาและส่งเสริมเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติด้วยปูนมอร์ตาร์ (SCG 3D Printing Mortar) พร้อมทั้งการวางแผนการดำเนินงานตั้งแต่การกำหนดทิศทางเชิงยุทธศาสตร์ การพัฒนารูปแบบธุรกิจ การขยายตลาด รวมถึงการผลักดันใช้ในโครงการต่างๆ ได้หลากหลายประเภทการใช้งาน ด้วยการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจร่วมกันที่แข็งแกร่งที่จะช่วยขยายโอกาส และความสามารถการทำตลาดของเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติปูนมอร์ตาร์ให้เหมาะสมกับรูปแบบการก่อสร้างสำหรับการใช้งานของแต่ละประเทศ           SCG 3D Printing Mortar ได้รับการพัฒนาเพื่อตอบโจทย์การก่อสร้างยุคใหม่ ที่มีคุณสมบัติโดดเด่นด้านคุณภาพ ความแข็งแรงทนทาน รองรับการสร้างชิ้นงานที่มีความซับซ้อน ตั้งแต่การออกแบบเส้นสายความโค้งไปจนถึง การก่อสร้างอาคารหลายชั้น ลดข้อผิดพลาดในการทำงาน สามารถควบคุมการต้นทุนการก่อสร้าง รวมถึงลดการใช้ทรัพยากรและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อันเป็นหนึ่งในแนวทาง “SCG Inclusive Green Growth” ที่ใช้นวัตกรรมกรีนต่อยอดร่วมกับพันธมิตร ตอบโจทย์ในด้านความรวดเร็ว ความแม่นยำ และความคุ้มค่า โดยการเป็นพันธมิตรครั้งนี้ไม่เพียงมุ่งเน้นที่การขยายตัวของงานก่อสร้างเท่านั้น แต่ยังเป็นการปรับตัวต่อความต้องการของตลาดยุคใหม่ที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ลดผลกระทบต่อการใช้ทรัพยากร และมุ่งสู่ความยั่งยืนในการดำเนินงาน ทางธุรกิจต่อไป [PR News]

[ภาพข่าว] DRT ‘ตราเพชร’ ได้รับรองมาตรฐาน ISO 3 ฉบับ

[ภาพข่าว] DRT ‘ตราเพชร’ ได้รับรองมาตรฐาน ISO 3 ฉบับ

          นายสาธิต สุดบรรทัด (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT รับมอบประกาศนียบัตรรับรองมาตรฐาน ISO 3 ฉบับ ได้แก่ ISO 9001:2015 ระบบการบริหารคุณภาพ (Quality Management System : QMS), ISO 14001:2015 ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม (Environmental Management System : EMS) และ ISO 45001:2018 ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (Occupational health and safety Management System : OH&SMS) จาก นายเติมยศ เมนะรัตน์ (ที่ 4 จากซ้าย) Business Development Manager บริษัท บีเอสไอ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด โดยการรับรองมาตรฐานดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า บริษัทฯ มีการจัดการด้านคุณภาพอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง ให้ความสำคัญกับสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน รวมถึงมีการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดีและมุ่งมั่นในการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นแก่ลูกค้า พนักงาน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียว่าบริษัทฯ มีการจัดการที่มีประสิทธิภาพและมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืน

MOSHI มั่นใจ Q4 SSSG พุ่ง 20% คอลเลกชันคอลแลปหนุน

MOSHI มั่นใจ Q4 SSSG พุ่ง 20% คอลเลกชันคอลแลปหนุน

          ‘บมจ. โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น’ หรือ MOSHI ผู้นำในธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์รายใหญ่ของประเทศไทย ประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการออกคอลเลกชัน Collaboration Project ร่วมกับศิลปินและบุคคลที่มีชื่อเสียง ตลอดทั้งปี 2567 ส่งท้ายปี 67 ด้วยคอลเลกชันสุดพิเศษ Jukka and Friend ดันรายได้เติบโตทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ 20% สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมของสินค้าและกลยุทธ์ทางการตลาดที่ประสบความสำเร็จ เดินหน้านำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ในปีนี้กว่า 15,000 SKUs มากที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา แย้มผลงานไตรมาส 4 ทุบสถิติทำ SSSG (QTD) พุ่งทะยานกว่า 20%           นายสง่า บุญสงเคราะห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MOSHI เปิดเผยว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจค้าปลีกที่มุ่งสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีการออกแบบเป็นเลิศและโดดเด่นด้วยความน่ารัก ประณีต คุณภาพดี ในราคาที่ผู้บริโภคสามารถจับต้องได้ เพื่อส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าในทุกๆ วัน ด้วยการนำเสนอสินค้าไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายครอบคลุมทั้งของใช้ในบ้าน ตุ๊กตา เครื่องเขียน เครื่องแต่งกาย กระเป๋า แฟชั่น อุปกรณ์เสริมความงาม เครื่องสำอาง อุปกรณ์ IT ของเล่น ขนม อุปกรณ์สัตว์เลี้ยง และหมวดอื่นๆ ที่นำเสนอสินค้าที่กำลังเป็นที่นิยมตามความต้องการของผู้บริโภค บริษัทฯ มีความโดดเด่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของตลาด มีความคล่องตัวในการปรับตัวตามเทรนด์ พร้อมทั้งมีศักยภาพทางการตลาดที่โดดเด่น ส่งผลให้สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุม           ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดำเนินชีวิตของผู้บริโภค เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด โดยตลอดทั้งปี MOSHI ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 15,000 รายการ (SKUs) ถือว่ามากที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา นับเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายทั้งในด้านรูปแบบและการออกแบบ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเพื่อให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ อีกทั้ง บริษัทฯ ยังได้พัฒนา Collection Collaboration Project ออกผลิตภัณฑ์ K-POP Merchandise คาแรกเตอร์ NCT Dream คอลเลกชัน Moshi x NCT DREAM DREAM( )SCAPE และ คาแรกเตอร์ TEN ในคอลเลกชัน “Moshi Moshi x TEN & CANELE” ซึ่งช่วยสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับกลุ่มลูกค้าและเชื่อมโยงกลุ่มเป้าหมายให้ได้รู้สึกใกล้ชิดกับไอดอลที่ตัวเองชื่นชอบมากยิ่งขึ้น           นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ร่วมทำ Collaboration กับ Designer ชาวไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยได้ร่วมกับ ศิลปินครีเอเตอร์แบรนด์ 'Butterclub' (บัตเตอร์คลับ) และ ศิลปินครีเอเตอร์แบรนด์ Fluffy Omelet (ฟลัฟ ฟี่ ออม เล็ต) และได้ทำจัดทำคอลเลกชันสุดพิเศษลาย Hello Kitty ครบรอบ 50 ปี และลายสุดพิเศษของกลุ่มตัวละครซานริโอ้ จัดจำหน่ายเฉพาะในงานนิทรรศการ Hello Kitty Exhibition Celebration of Friendship and Sario Characters the Funtastic Exhibition ณ House of Illumination เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 7 ซึ่งดำเนินการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับพันธมิตร โดยการลงทุนครั้งนี้ ถือเป็นการศึกษาโอกาสทางธุรกิจใหม่และสามารถขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มคนวัยทำงานที่เป็นแฟนคลับ Hello Kitty ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีศักยภาพ พร้อมกันนี้ ยังได้มีวางจำหน่ายสินค้ากล่องสุ่มลิขสิทธิ์และอาร์ตทอยส์จำนวนมาก เพื่อรองรับความต้องการของตลาด Blind Box และ Model Toys ที่เป็นเทรนด์มาแรงมากในปีนี้           ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MOSHI กล่าวเพิ่มว่า ในช่วงส่งท้ายปี 2567 บริษัทฯ ได้เปิดตัวคอลเลกชันใหม่ Jukka and Friends ต้าวน้อนจระเข้และแก๊งเพื่อนสุดน่ารัก ซึ่งจะยกขบวนความคิ้วท์มาที่ร้าน Moshi Moshi โดยมีครบทั้ง หมอนรองคอ, ผ้าห่ม, กิ๊บ, พวงกุญแจ, พรม และอีกเพียบ! ราคาเริ่มต้นเพียง 39 บาทเท่านั้น เริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป สามารถติดตามรายละเอียดข้อมูลสาขาร้าน Moshi Moshi ที่ร่วมรายการได้ที่ Facebook Fanpage Moshi Moshi: https://www.facebook.com/moshimoshi.jp และ ช่องทางออนไลน์ Shopee: https://shopee.co.th/moshimoshi_officialshop           อย่างไรก็ตาม คอลเลกชันทั้งหมดที่ได้ออกในปีนี้ จะช่วยเพิ่มทางเลือกให้แก่ลูกค้าและสามารถกระตุ้นยอดขาย ผลักดันผลการดำเนินงานในปี 2567 ให้เติบโตได้เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 20% ขณะเดียวกันอัตราการเติบโตดังกล่าว ยังมาจากการที่ MOSHI มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและความยืดหยุ่น โดยนำเสนอสินค้าไลฟ์สไตล์คุณภาพดีในราคาที่เข้าถึงได้ ประกอบกับมีการขยายสาขาให้ครอบคลุมกว่า 60 จังหวัด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ส่งผลดีต่อเติบโตของยอดขายจากร้านสาขาใหม่และสาขาเดิม โดยเฉพาะการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (SSSG) ในไตรมาส 4/67 ที่มีแนวโน้มเติบโตโดดเด่น โดยเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 20% (QTD) อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ พร้อมเดินหน้ายกระดับประสบการณ์ลูกค้า การเพิ่มการรับรู้แบรนด์ผ่านกิจกรรมการตลาด การปรับปรุงประสิทธิภาพต้นทุน การปรับสัดส่วนผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับความเป็นเลิศในห่วงโซ่อุปทานและความสามารถทางการตลาดที่แข็งแกร่ง เพื่อรักษาผลการดำเนินงานที่สม่ำเสมอและความสามารถในการแข่งขันในตลาด ขณะเดียวกัน ยังได้รับแรงสนับสนุนจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ทั้งการกลับมาของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศ ส่งผลดีต่อกำลังซื้อให้ฟื้นตัวตามไปด้วย [PR News]

BGRIM ครองตำแหน่งเรตติ้งสูงสุด SET ESG Rating ระดับ AAA

BGRIM ครองตำแหน่งเรตติ้งสูงสุด SET ESG Rating ระดับ AAA

          หุ้นวิชั่น - บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ยังคงเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในตลาดทุนไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยการติดอันดับสูงสุด AAA ในการประเมิน "SET ESG Ratings" ประจำปี 2567 และอยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืนต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี (Doing Business with Compassion) โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่ บี.กริม ยึดถือมาตลอด 146 ปี ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  “ความสำเร็จในครั้งนี้ถือเป็นเครื่องยืนยันถึงวิสัยทัศน์ของบริษัทที่มุ่งสร้างพลังให้กับสังคมโลกด้วยความโอบอ้อมอารี (Empowering the World Compassionately) เพื่อสร้างคุณค่าให้กับสังคม พร้อมเติบโตเคียงคู่ไปกับประเทศไทยและภูมิภาค ผ่านการบริหารจัดการอย่างยั่งยืนครอบคลุมมิติเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม ภายใต้หลักบรรษัทภิบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนการเรียนรู้แก่เยาวชนในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) ผ่านโครงการ B.Grimm School Camp โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยแห่งประเทศไทย และโครงการอาชีวศึกษาทวิภาคี ซึ่งได้สร้างโอกาสให้เยาชนรวมกว่า 178,794 คน ในการเข้าถึงองค์ความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ นอกจากนี้โครงการ Save the Tigers ยังเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ บี.กริม เพาเวอร์ในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและฟื้นฟูระบบนิเวศ สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ” ในปีนี้ บี.กริม เพาเวอร์ เป็นหนึ่งใน 56 บริษัทที่ได้รับการจัดอันดับสูงสุด AAA จากทั้งหมด 228 บริษัทจดทะเบียนที่ผ่านเกณฑ์การประเมิน SET ESG Ratings โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผลประเมินนี้เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ลงทุนใช้ควบคู่กับข้อมูลอื่น ๆ ในการวิเคราะห์ความเสี่ยงและโอกาสการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งในขณะเดียวกันปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) ยังคงมีบทบาทเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในการส่งเสริมศักยภาพในการเติบโตขององค์กร ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของการลงทุนอย่างยั่งยืน (Sustainable Investment) ที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ตลอดปีที่ผ่านมา บี.กริม เพาเวอร์ ได้รับการยอมรับในระดับประเทศและระดับสากลผ่านการจัดอันดับและรางวัลด้านความยั่งยืนจากองค์กรและหน่วยงานชั้นนำด้านความยั่งยืนทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ อาทิการจัดอันดับใน S&P Global Sustainability Yearbook 2023 ด้วยคะแนน Top 10% ของกลุ่มบริษัทผู้นำระดับโลก การได้รับอันดับความน่าเชื่อถือระดับ BBB จาก MSCI ESG Rating            นอกจากนี้ยังเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืน “FTSE4Good Index Series” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 และได้รับรางวัล Sustainability Disclosure Awards จากสถาบันไทยพัฒน์ ติดต่อกันเป็นปีที่ ตลอดจนได้รับการประเมินโครงการ CGR ในระดับดีเลิศ โดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ติดต่อกันเป็นปีที่ 5  ด้วยปรัชญาและความมุ่งมั่นการดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี บี.กริม เพาเวอร์ พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายการเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon Emissions) ภายในปี พ.ศ. 2593 เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับโลกและคนรุ่นหลังต่อไป

“ทรู คอร์ปอเรชั่น” เตรียมเปิดจองซื้อหุ้นกู้ชุดใหม่รับปีมะเส็ง ชูดอกเบี้ย [3.15 – 4.00]% ต่อปี

“ทรู คอร์ปอเรชั่น” เตรียมเปิดจองซื้อหุ้นกู้ชุดใหม่รับปีมะเส็ง ชูดอกเบี้ย [3.15 – 4.00]% ต่อปี

         หุ้นวิชั่น - บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน ด้วยคะแนน DJSI 2023 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป จำนวน 4 ชุด อายุหุ้นกู้ตั้งแต่ 3 ปี ถึง 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง [3.15 – 4.00]% ต่อปี   ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากทริสเรทติ้ง สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น ในธุรกิจโทรคมนาคม และธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัล คาดเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 6-7 และ 10 กุมภาพันธ์ 2568 ผ่าน 7 สถาบันการเงินชั้นนำได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ซีไอเอ็มบี ยูโอบี บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส รวมถึงการขายผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet โดยมีธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้และผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น มุ่งสู่การเป็นบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทยอย่างยั่งยืน สะท้อนผ่านผลประกอบการไตรมาส 3/2567 โดยมีกำไรสุทธิ (หลังรายการปรับปรุง) 3.1 พันล้านบาท และ EBITDA ที่เติบโตต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 7 ติดต่อกัน ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของรายได้ธุรกิจหลักและการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ โดยเรามุ่งเน้นการลงทุนในโซลูชัน ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ล้ำสมัย เพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานขององค์กร พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศผ่านการขยายโครงข่าย 5G อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีผู้ใช้บริการ 5G จำนวน 12.4 ล้านราย เพิ่มขึ้น 5.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ความโดดเด่นของทรู คอร์ปอเรชั่นยังสะท้อนผ่านการได้รับการจัดอันดับล่าสุด ในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI 2023) โดยได้คะแนนรวมเป็นที่ 1 สูงสุดของโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคม  ด้วยการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และด้วยนวัตกรรมและวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ บริษัทฯ ได้รับความเชื่อมั่นอย่างสูงจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ สะท้อนผ่านราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 120% นับตั้งแต่ต้นปี 2567 จนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อเทียบกับดัชนี SET ที่เพิ่มขึ้นเพียง 1%" บริษัทฯ และหุ้นกู้ที่เสนอขายได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2567 ซึ่งสะท้อนถึงสถานะผู้นำทางการตลาด (market position) ในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ เสริมทัพด้วยโครงข่ายทั่วประเทศ ชุดคลื่นความถี่ที่ครอบคลุม และชื่อแบรนด์ที่ผู้บริโภคคุ้นเคย  อีกทั้งปัจจัยบวกจากประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการควบรวม รวมถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่คาดว่าน่าจะปรับตัวดีขึ้นในอนาคตอีกด้วย ทางด้านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED ปรับลดอัตราดอกเบี้ยถึง 3 ครั้ง โดยครั้งแรกในช่วงเดือนกันยายนมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 4.75-5.00% ครั้งที่ 2 ช่วงเดือนพฤศจิกายน FED ประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่  4.50-4.75% และล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา FED เองก็ทำตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ด้วยการประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงเหลือ  4.25-4.50% ซึ่งตลาดยังคาดการณ์อีกว่า ในอนาคต FED น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก  ส่วนในประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเช่นกัน โดยในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 2.25% และอาจมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอีก จึงเป็นจังหวะที่ดีสำหรับนักลงทุนในการสะสมหุ้นกู้ในช่วงต้นปี เพื่อล็อคผลตอบแทนไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะนักลงทุนที่นิยมลงทุนในหุ้นกู้ที่มีคุณภาพสูง และด้วยอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” ของทรู น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน” หุ้นกู้ครั้งนี้จะเสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) โดยมีอายุหุ้นกู้ระหว่าง 3 ปี ถึง 10 ปี เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนทุกกลุ่ม ตอบโจทย์ทั้งนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว วัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้เพื่อชำระคืนหนี้จากการออกตราสารหนี้ โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ และคาดว่าจะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 6-7 และวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท ซึ่งบริษัทฯ หวังว่าหุ้นกู้ที่เสนอขายในครั้งนี้จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา โดยหุ้นกู้ทั้ง 4 ชุดที่เสนอขาย มีรายละเอียดดังนี้ หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.15 – 3.35]% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.50 – 3.70]% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.70 – 3.85]% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.85 – 4.00]% ต่อปี ซึ่งเฉพาะรุ่นอายุ 10 ปี ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดได้ตั้งแต่หุ้นกู้ครบปีที่ 5 เป็นต้นไป ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยที่แน่นอนบริษัทฯ จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง โดยบริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th หรือ สอบถามรายละเอียดที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 7 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02 888 8888 กด 869 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 777 6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 626 7777 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน แอป CIMB Thai Digital Banking ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 285 1555 บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02 680 4004 บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02 165 5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปฯ Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) สำหรับผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet สามารถศึกษาเพิ่มเติมถึงรายละเอียด ขั้นตอน และวิธีการสมัคร TrueMoney Wallet Application และวิธีการจองซื้อ ได้ที่เว็บไซต์ www.truemoney.com หรือติดต่อขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด โทร. 1240 กด 6

BLESS x ShooShoke รณรงค์กำจัดขยะ (Food Waste) ด้วยระบบ Zero Waste

BLESS x ShooShoke รณรงค์กำจัดขยะ (Food Waste) ด้วยระบบ Zero Waste

            หุ้นวิชั่น - บริษัท เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (BLESS  ASSET GROUP) หรือ BLESS ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างบ้านคุณภาพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ไปพร้อมกับการสร้างสังคมคุณภาพ และโลกที่ยั่งยืน ภายใต้นิยาม “ใช้ชีวิต..ให้สุขยิ่งกว่า Live your Blessed Life” ตามเจตนารมย์ของแบรนด์ “บ้านสุข บ้าน BLESS” ที่ให้ความสำคัญกับ Waste Management ส่งเสริมการจัดการขยะอย่างมีความรับผิดชอบ ครอบคลุมตั้งแต่ที่อยู่อาศัย พื้นที่ส่วนกลาง ไซต์งานก่อสร้าง และออฟฟิศของบริษัทฯ เพื่อนำขยะรีไซเคิล กลับมาหมุนเวียนใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และลดปริมาณขยะที่จะนำไปสู่การฝังกลบ (Landfill) ให้ได้มากที่สุด

น้ำมันดิบ NYMEX ปิดบวก 69.46 ดอลลาร์/บาร์เ

น้ำมันดิบ NYMEX ปิดบวก 69.46 ดอลลาร์/บาร์เ

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 8 เซนต์ หรือ 0.12% ปิดที่ 69.46 ดอลลาร์/บาร์เรล ปิดบวกเล็กน้อยในวันศุกร์ (20 ธ.ค.) ขณะที่นักลงทุนประเมินแนวโน้มอุปสงค์ของจีนและการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลังสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อต่ำกว่าคาด ในขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 69.70 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ 0.35%

กะทิไทย... สินค้าที่กำลังเฉิดฉายในเวทีโลก

กะทิไทย... สินค้าที่กำลังเฉิดฉายในเวทีโลก

          หุ้นวิชั่น - การส่งออกกะทิไทยขยายตัวต่อเนื่อง จากการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารโลก สนค. แนะผู้ประกอบการให้ความสำคัญในกระบวนการผลิตมะพร้าวตามมาตรฐานสากลและที่คู่ค้ากำหนด เพื่อคว้าโอกาสเพิ่มการส่งออกไปตลาดโลกมากขึ้น นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้ติดตามสถานการณ์การค้าสินค้ามะพร้าวและผลิตภัณฑ์แปรรูป โดยปี 2566 ไทยมีผลผลิตมะพร้าว 0.94 ล้านตัน ขณะที่มีความต้องการใช้ ประมาณ 1.14 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.35 จากปี 2565) ความต้องการใช้ ของไทยแบ่งเป็น การบริโภคในประเทศ ร้อยละ 38 และการใช้เพื่อส่งออกร้อยละ 62 ในปี 2566 ไทยส่งออกกะทิ เป็นมูลค่า 353.54 ล้านเหรียญสหรัฐ (12,208 ล้านบาท) สำหรับ 10 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค. – ต.ค.) ไทยส่งออกกะทิไปยัง 131 ประเทศทั่วโลก เป็นมูลค่า 341.11 ล้านเหรียญสหรัฐ (12,064 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.85 จากปีก่อนหน้า ส่วนใหญ่ไทยส่งออกกะทิสำเร็จรูป (มีสัดส่วนถึงร้อยละ 93.13) กะทิสำเร็จรูปเป็นสินค้าศักยภาพและมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 42.26 และ 18.12 ในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ นอกจากนี้ กะทิสำเร็จรูปอินทรีย์ แม้ยังมีสัดส่วนการส่งออกน้อย แต่เป็นสินค้าที่น่าจับตามอง โดยในปี 2567 ไทยส่งออกกะทิสำเร็จรูปอินทรีย์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 36.83 โดยมีตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา (สัดส่วนร้อยละ 70.50) เนเธอร์แลนด์ (สัดส่วนร้อยละ 10.43) และสวิตเซอร์แลนด์ (สัดส่วนร้อยละ 6.21) การส่งออกกะทิของไทยแต่ละกลุ่ม สรุปได้ดังนี้ (1) กะทิสำเร็จรูป ปี 2566 ส่งออกมูลค่า 326.55 ล้านเหรียญสหรัฐ (11,277 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 42.26 และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ส่งออกมูลค่า 317.68 ล้านเหรียญสหรัฐ (11,235 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.12 มีสัดส่วนร้อยละ 93.13 ของมูลค่าการส่งออกกะทิทั้งหมดของไทย (2) กะทิผง ปี 2566 ส่งออกมูลค่า 8.78 ล้านเหรียญสหรัฐ (303 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.33 และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ส่งออกมูลค่า 7.58 ล้านเหรียญสหรัฐ (267 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.93 มีสัดส่วนร้อยละ 2.22 ของมูลค่าการส่งออกกะทิทั้งหมดของไทย (3) กะทิสำเร็จรูปอินทรีย์ ปี 2566 ส่งออกมูลค่า 4.78 ล้านเหรียญสหรัฐ (165 ล้านบาท) ลดลงร้อยละ 20.07 และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 การส่งออกกลับมาขยายตัว โดยมีมูลค่า 5.35 ล้านเหรียญสหรัฐ (189 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 36.83 มีสัดส่วนร้อยละ 1.57 ของมูลค่าการส่งออกกะทิทั้งหมดของไทย (4) กะทิแช่แข็ง ปี 2566 ส่งออกมูลค่า 1.75 ล้านเหรียญสหรัฐ (60.42 ล้านบาท) ลดลงร้อยละ 98.63 และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ส่งออกมูลค่า 0.45 ล้านเหรียญสหรัฐ (16.09 ล้านบาท) ลดลง ร้อยละ 72.56 มีสัดส่วนร้อยละ 0.13 ของมูลค่าการส่งออกกะทิทั้งหมดของไทย (5) กะทิอื่น ๆ ปี 2566 ส่งออกมูลค่า 11.68 ล้านเหรียญสหรัฐ (403 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.51 และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ส่งออกมูลค่า 10.06 ล้านเหรียญสหรัฐ (357 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น ร้อยละ 1.51 มีสัดส่วนร้อยละ 2.95 ของมูลค่าการส่งออกกะทิทั้งหมดของไทย ทั้งนี้ ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค. – ต.ค.) ไทยส่งออกกะทิขยายตัวในตลาดคู่ค้าสำคัญ อาทิ สหรัฐอเมริกา ขยายตัวร้อยละ 24.21 (สัดส่วนการส่งออกร้อยละ 38.73) ออสเตรเลีย ขยายตัวร้อยละ 9.08 (สัดส่วนการส่งออกร้อยละ 7.53) แคนาดา ขยายตัวร้อยละ 22.92 (สัดส่วนการส่งออกร้อยละ 6.41) สหราชอาณาจักร ขยายตัวร้อยละ 3.49 (สัดส่วนการส่งออกร้อยละ 6.34) และเนเธอร์แลนด์ ขยายตัวร้อยละ 37.49 (สัดส่วนการส่งออกร้อยละ 3.53) การส่งออกกะทิที่เพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารทั่วโลก ข้อมูลจาก The Business Research Company ระบุว่า ตลาดอาหารและเครื่องดื่มโลก ในปี 2567 มีอัตราการเติบโตร้อยละ 6.4 และคาดว่าปี 2571 จะมีอัตราการเติบโตร้อยละ 5.9 นอกจากนี้ กะทิยังมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์หากบริโภค ในปริมาณที่เหมาะสม อาทิ กรดไขมันอิ่มตัวสายกลาง (MCTs) ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงาน และกรดลอริก (Lauric Acid) ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันและให้พลังงานแก่ร่างกาย อีกทั้งยังเป็นผลิตภัณฑ์จากพืชที่ไม่มีกลูโคสหรือแล็กโทส จึงเหมาะสำหรับการใช้ทดแทนผลิตภัณฑ์จากนมบางชนิด ที่ผ่านมา ภาครัฐโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่งเสริมการปลูกและผลิตมะพร้าวให้มีคุณภาพและมาตรฐานที่ทั่วโลกยอมรับ อาทิ การปลูกมะพร้าวพันธุ์ใหม่ที่มีต้นเตี้ยทดแทนสวนมะพร้าวเดิม ทำให้เก็บเกี่ยวง่ายและมีอายุการเก็บเกี่ยวยาวนานกว่า รวมถึงมีโครงการนำร่อง GAP-Monkey Free Plus (GAP-MFP) เพื่อรับรองแปลงผลิตมะพร้าวปลอดภัยและการเก็บมะพร้าวที่ไม่ได้ใช้ลิง ตลอดจนส่งเสริมให้เกษตรกรขอรับมาตรฐานดังกล่าว ควบคู่ไปกับการพัฒนาเครื่องมือเก็บมะพร้าวอีกด้วย นายพูนพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า เนื่องจากไม่มีพิกัดศุลกากรระดับสากลสำหรับสินค้ากะทิ ทำให้ ไม่สามารถเปรียบเทียบข้อมูลการค้ากะทิของโลกได้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยหลายรายเป็นผู้ส่งออกกะทิรายสำคัญของโลก ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมของไทยยังมีความต้องการนำเข้ามะพร้าว สำหรับแปรรูปเป็นกะทิเพื่อส่งออก แสดงถึงศักยภาพของผู้ประกอบการไทยในการแปรรูปและส่งออกผลิตภัณฑ์กะทิ นอกจากนี้ หากทุกภาคส่วนให้ความสำคัญ ในกระบวนการผลิตมะพร้าว ตั้งแต่การปลูก การเก็บ และการแปรรูป ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและสอดรับกับ ความต้องการของประเทศคู่ค้า รวมทั้งเพิ่มเติมประเด็นความรับผิดชอบต่อสังคมสิ่งแวดล้อม และการมีสวัสดิการแรงงานที่ดี ก็จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและผลักดันให้ไทยคว้าโอกาสการส่งออกไปยังตลาดโลกได้เพิ่มขึ้น

PIS โรดโชว์หาดใหญ่ นักลงทุนต้อนรับคึกคัก

PIS โรดโชว์หาดใหญ่ นักลงทุนต้อนรับคึกคัก

                  หุ้นวิชั่น - นางสาวเบญญาภา เฉลิมวัฒน์ (ที่ 2 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายนวัช ทัฬหิกรณ์ (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานการเงินและบัญชี บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) (PIS) พร้อมด้วย นายโชษิต เดชวนิชยนุมัติ (ที่ 1 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม อัลฟา แคปปิตอล จำกัด ที่ปรึกษาทางการเงิน และนายชานนทร์ ปิยสุนทร (ที่ 1 จากซ้าย) ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ในฐานะแกนนำในการจัดจำหน่ายหุ้น ร่วมนำเสนอข้อมูลบริษัทฯ พร้อมโชว์ศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจให้กับนักลงทุนที่ อ.หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยนักลงทุนที่เข้าร่วมรับฟังข้อมูลให้ความสนใจอย่างคึกคัก ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้น ณ โรงแรมคริสตัล หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เมื่อเร็วๆ นี้

“มูลนิธิตลาดหลักทรัพย์ฯ สนับสนุนการช่วยเหลือผู้ป่วย และอุปกรณ์ทางการแพทย์”

“มูลนิธิตลาดหลักทรัพย์ฯ สนับสนุนการช่วยเหลือผู้ป่วย และอุปกรณ์ทางการแพทย์”

         หุ้นวิชั่น - ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ และ นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและเลขานุการ มูลนิธิตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มอบการสนับสนุนศูนย์โปรตอนสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เพื่อการรักษามะเร็งด้วยอนุภาคโปรตอน เอื้อให้ผู้ป่วยทุกคนได้รับการรักษาที่ดีที่สุดและเข้าถึงง่ายที่สุด   โดยมี รองศาสตราจารย์นายแพทย์ฉันชาย สิทธิพันธุ์ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย รับมอบ มูลนิธิตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งสานพลังความร่วมมือกับองค์กรภาคีทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับคนไทย

ผู้บริหาร LEO ลุยเก็บหุ้นเข้าพอร์ต

ผู้บริหาร LEO ลุยเก็บหุ้นเข้าพอร์ต

หุ้นวิชั่น - แม้ปีนี้ตลาดหุ้นไทยผันผวน... แต่สำหรับบมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) หุ้นผู้ให้บริการขนส่ง โลจิสติกส์ครบวงจรชั้นนำของเมืองไทย ขอบอก!ไร้กังวล เพราะผู้บริหารคนเก่ง “เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์” ทยอยเก็บหุ้นเข้าพอร์ต ตอกย้ำความเชื่อมั่นธุรกิจ  พร้อมเพิ่งออกข่าวว่า ปีนี้จะได้เห็นผลงานกลุ่มธุรกิจใหม่อย่าง LEO Sourcing and Supply Chain,  LaneXang Express และSritrang LEO Multimodal Logistics มั่นใจรายได้โตแรงงงง!...ควบคู่กับการเดินหน้าต่อยอดธุรกิจ Non-freight และ Non-Logistics ช่วยสร้างรายได้เพิ่มจากการขายทุเรียนไปยังประเทศจีน รวมทั้งจากการขนส่งทางรถไฟทั้งภายในประเทศ และระหว่างประเทศไทย-จีน  ตลอดจนธุรกิจ Self Storage ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง  ... สัญญาณดีขนาดนี้ผลงานสดใสแน่นอนคร้าา!!

TPS ยิ้ม! รัฐดันไทยศูนย์กลางบล็อกเชน

TPS ยิ้ม! รัฐดันไทยศูนย์กลางบล็อกเชน

         หุ้นวิชั่น - สำหรับบมจ.เดอะแพรคทิเคิลโซลูชั่น (TPS) สัญญาณดีส่งท้ายปี 67 เมื่อภาครัฐเตรียมผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีบล็อกเชนระดับโลก เพราะ มีธุรกิจไซเบอร์ซีเคียวริตี้ (Cyber Security) และบล็อกเชน (Blockchain) ที่กำลังไปได้สวย รวมทั้งตอนนี้ มี Backlog แน่นกว่า 1,931.50 ล้านบาท แถมด้วย ออเดอร์ใหม่เข้ามาแบบรัวๆ ฟากซีอีโอสุดขยัน “บุญสม กิจเกษตรสถาพร” พร้อมลุยประมูลงานใหญ่ มาร์จิ้นสูง ชนิดไปต่อไม่รอใคร! เพื่อเป้าหมายการเป็น Tech Company  อย่างครบวงจร ส่งมอบผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย...อย่างนี้ ไม่ต้องให้เดา ผลงานปีนี้เข้าเป้าแบบชิลๆ ไปเลยคร้า!!

ท่องเที่ยวคึกคัก โบรกชอบ AOT AWC BJC CPALL

ท่องเที่ยวคึกคัก โบรกชอบ AOT AWC BJC CPALL

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ข้อมูลจากสeนักงานตรวจคนเข้าเมือง พบว่า นักท่องเที่ยวช่วงปลายปีเร่งขึ้น 19 ธ.ค. อยู่ที่ 1.25 แสนคน vs ช่วง 1-15 ธ.ค. 24 เฉลี่ยอยู่ที่ 1.05 แสนคน ขณะที่หนุน YTD (1 ม.ค. -19 ธ.ค. 24) อยู่ที่ 33.96 ล้านคน หากช่วงที่เหลือของปียังอยู่ในโมเมนตัมดังกล่าว นักท่องเที่ยวทั้งปีคาดอยู่ในกรอบตลาดประเมิน 35.5-36 ล้านคน ประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้นท่องเที่ยว หุ้นอิงภาคบริการ อาทิ AOT AWC BJC CPALL

“BKA” จ่อระดมทุน IPO 60 ล้านหุ้น รับดีมานด์บ้านมือสองฟื้น

“BKA” จ่อระดมทุน IPO 60 ล้านหุ้น รับดีมานด์บ้านมือสองฟื้น

        หุ้นวิชั่น -  บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป หรือ BKA หนึ่งในผู้นำธุรกิจบ้านมือสองตกแต่งใหม่ ประกาศเดินเกมรุกธุรกิจบ้านมือสองตกแต่งใหม่ พร้อมอยู่ รับดีมานด์ตลาดบ้านมือสองคึก จ่อระดมทุนในตลาดเอ็ม เอ ไอ เสนอขาย IPO 60 ล้านหุ้น เล็งสร้างโอกาสการต่อยอดทางธุรกิจ และ สยายปีก สู่แพลตฟอร์ม “Prop Tech” ดึงนวัตกรรม AI และ Virtual Reality มาสร้างมิติใหม่ในการดูบ้านเสมือนจริงทางออนไลน์            นายพชร ธนวงศ์เกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BKA เปิดเผยว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจให้บริการปรับปรุงบ้านมือสองเพื่อขาย (ธุรกิจบ้านแต่ง “Flipping”) ซึ่งเป็นการฝากขายบ้านมือสองพร้อมกับการปรับปรุงซ่อมแซมก่อนขาย ให้มีสภาพใหม่ พร้อมอยู่อาศัย ด้วยการออกแบบที่สวยงาม งานซ่อมแซมที่มีคุณภาพ พร้อมรับประกันผลงานและให้บริการหลังการขาย รวมทั้งดำเนินธุรกิจนายหน้าซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์ หรือการรับฝากขายบ้านมือสอง (ธุรกิจบ้านฝาก) และ ธุรกิจซื้อบ้านมือสองมาปรับปรุงเพื่อขาย (ธุรกิจบ้านตัด) โดยมุ่งหวังที่จะเป็นตัวกลางในการให้บริการ แก้ปัญหา ของผู้ที่อยากขายบ้าน แต่ไม่มีเวลา ไม่มีความรู้ประสบการณ์ในการเตรียมบ้านให้มีความพร้อม ในขณะเดียวกันต้องการช่วย ผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยในทำเลที่ดี ด้วยงบประมาณที่เหมาะสม  เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตของธุรกิจซื้อขายบ้านมือสองในประเทศไทย บริษัทฯ จึงพร้อมขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ ”เป็นผู้นำในธุรกิจบริการ ซื้อขายบ้านมือสอง และทรัพย์สินรอการขายของสถาบันการเงิน (NPA) ตกแต่งใหม่ ในประเทศไทย” โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสามารถให้บริการ การซื้อขายบ้านมือสอง และ บริการรีโนเวทบ้าน ให้มีคุณภาพดี มีมาตรฐาน ครอบคลุมในประเทศไทย ภายใต้การดำเนินงานที่เป็นเลิศ การบริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม และความพึงพอใจให้กับทั้งลูกค้า คู่ค้า และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย “สำหรับลักษณะการดำเนิน 3 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย  1. ธุรกิจบ้านแต่ง ในวงการบ้านมือสองเรียกว่า “Flipping” เจ้าของบ้านมือสองจะทำสัญญาฝากขายบ้านกับบริษัทฯ โดยยินยอมให้บริษัทฯ ทำการปรับปรุงบ้าน โดยบริษัทฯ จะวางเงินประกันการปฏิบัติตามสัญญาให้แก่เจ้าของบ้านก่อนเข้าปรับปรุงบ้าน และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงทั้งหมด เมื่อบริษัทฯ ขายบ้านได้ เจ้าของบ้านจะได้รับเงินเฉพาะส่วนที่เป็นราคาขายบ้านตามสัญญาที่ได้ตกลงไว้กับบริษัทฯ ขณะที่บริษัทฯ จะได้รับส่วนต่างที่เหลือของราคาที่ผู้ซื้อรับซื้อบ้านกับราคาขายที่เจ้าของบ้านได้รับ  2. ธุรกิจบ้านฝาก บริษัทฯ ทำหน้าที่เป็นตัวแทนขายบ้านมือสองตามสภาพเดิม ที่เจ้าของบ้านนำมาฝากขายไว้ โดยมีรายได้จากค่านายหน้าตามที่ตกลงกันเมื่อขายบ้านหลังนั้นได้  และ 3. ธุรกิจบ้านตัด บริษัทฯ ซื้อบ้านมือสองมาทำการปรับปรุงเพื่อขาย ซึ่งได้มาจากการประมูลหรือซื้อโดยตรงจากเจ้าของทรัพย์สิน โดยการทำธุรกิจบ้านตัดนี้ บริษัทฯ จะรับซื้อบ้านมือสองเฉพาะเมื่อสามารถซื้อได้ในราคาที่ดีเท่านั้น เพื่อให้มีอัตรากำไรที่ดี” และด้วยความมุ่งมั่นสู่การขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างรายได้และโอกาสการเติบโต ในอนาคต ส่งผลให้บริษัทฯ วางกลยุทธ์สู่การขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจ ได้แก่ กลยุทธ์การสร้างตราสินค้า โดยมุ่งเน้นที่จะเป็นศูนย์รวมบ้านมือสองตกแต่งใหม่ พร้อมอยู่  ภายใต้การให้ความสำคัญต่อคุณภาพผลิตภัณฑ์และบริการทั้งก่อนและหลังการขาย เพื่อสร้างการจดจำและ ความแข็งแกร่งกับตราสินค้า 2. กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์และบริการที่ดี โดยบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการคัดเลือกบ้านมือสองเพื่อนำมาปรับปรุงตกแต่งใหม่ รวมทั้งพิจารณารูปแบบบ้าน และการปรับปรุง ให้มีฟังก์ชั่น การใช้งานอย่างครบครัน ภายใต้แนวความคิดการใช้ชีวิตจริงของผู้อยู่อาศัย เพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด  3. กลยุทธ์ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ในด้านทำเลที่ตั้งและระดับราคา ให้ลูกค้ามีตัวเลือกจำนวนมากตามความต้องการที่หลากหลาย  4. กลยุทธ์การรับประกันบ้านมือสองตกแต่งใหม่ ตามเงื่อนไขรายการรับประกันที่บริษัทฯ กำหนด สูงสุดถึง 6 เดือน และ  5. กลยุทธ์การสื่อสารทางการตลาดผ่านสื่อออนไลน์ เพื่อสร้างการรับรู้และการเข้าถึงของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ด้วยเนื้อหาข้อมูลที่สร้างความรู้และ       ความน่าสนใจให้แก่ผู้ที่ต้องการซื้อบ้านมือสอง และพัฒนาไปสู่การเป็นลูกค้าตัวจริงให้มากที่สุด บริษัทฯ ในฐานะ ผู้ให้บริการในธุรกิจบ้านมือสอง  เชื่อว่าตลาดบ้านมือสองมีแนวโน้มการเติบโต       ได้อย่างยั่งยืน โดยเล็งเห็นถึงข้อได้เปรียบของบ้านมือสองในทำเลเดียวกันกับบ้านโครงการใหม่ ที่มีราคาถูกกว่า และพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า เนื่องจากการปรับตัวสูงขึ้นมาโดยตลอดของราคาที่ดินในทำเลที่มีศักยภาพ การเพิ่มขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้างและค่าแรง ทำให้ราคาบ้านโครงการใหม่ปรับตัวสูงขึ้นมาก และมีช่องว่างของราคา (Gap Price) ที่กว้างขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับราคาบ้านมือสอง ประกอบกับโครงการบ้านจัดสรรใหม่ๆ มีทำเลที่ตั้งที่ไกลออกไป เนื่องจากที่ดินเปล่าผืนใหญ่ใกล้เมืองหาได้ยากขึ้น ในขณะที่บ้านมือสองส่วนใหญ่มีทำเลดี ราคาถูกคุ้มค่ากว่าบ้านโครงการใหม่ จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากขึ้น โดยบริษัทฯ เน้นการทำธุรกิจบ้านแต่งเป็นหลัก เนื่องจากเป็นบ้านมือสองตกแต่งใหม่ที่ใช้เงินลงทุนต่ำแต่ให้ผลตอบแทนสูงเมื่อเทียบกับการซื้อบ้านมาปรับปรุงเพื่อขาย (บ้านตัด) อีกทั้งบริษัทฯ พิจารณาว่าตลาดยังมีศักยภาพการเติบโต และยังไม่มีคู่แข่งรายใหญ่ในตลาด บริษัทฯ มองว่าภาคอสังหาฯ โดยเฉพาะตลาดบ้านมือสองเริ่มฟื้นตัว โดยเห็นได้จากกำลังซื้อผู้บริโภค ที่เริ่มกลับมาคึกคัก เมื่อเทียบกับปี 2566 สอดรับศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ที่ระบุว่าตัวเลขตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบใน 9 เดือนแรกของปี 2567 พบการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของพฤติกรรมผู้บริโภค โดยบ้านมือสองได้รับความนิยมสูงถึง 71% ของจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด คิดเป็นมูลค่า 52% ของมูลค่าการโอนรวม ซึ่งเป็นผลจากราคาที่ดินและต้นทุนค่าก่อสร้าง ที่ปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่บ้านมือสองมีราคาต่ำกว่าบ้านสร้างใหม่ ภายใต้ขนาดและทำเลเดียวกัน โดยราคาเฉลี่ยของการโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่อยู่ที่ 4.87 ล้านบาท ขณะที่บ้านมือสองราคาเฉลี่ยของการโอนกรรมสิทธิ์อยู่ที่ 2.16 ล้านบาท ซึ่งการเติบโตของตลาดบ้านมือสอง สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยในราคาที่จับต้องได้ นางนิสาภรณ์ ฤกษ์อร่าม กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด ในฐานะบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป หรือ BKA ได้รับอนุญาตให้เสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ ต่อประชาชนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) แล้ว และอยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ปัจจุบัน BKA มีทุนจดทะเบียน 105 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 210 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 75 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 150 ล้านหุ้น โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 28.57 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขาย IPO ในครั้งนี้ สำหรับเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุน บริษัทฯ จะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานเพื่อขยายการเติบโตของบริษัทฯ จากการขยายพอร์ตการให้บริการบ้านแต่ง (Flipping) เพิ่มขึ้นเป็นหลัก รวมถึงนำไปพัฒนาธุรกิจ Property Technology (Prop Tech) โดยสร้าง Platform ตัวกลางในการซื้อขายอสังหาฯ เพื่อให้บริษัทฯ สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งผู้ต้องการซื้อและขายบ้านได้หลากหลายและมีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาข้อมูลให้แก่ผู้ที่ต้องการซื้อบ้าน และเทคโนโลยีระบบเสมือนจริง (Virtual Reality) มาใช้ในการแนะนำบ้านให้กับผู้ที่ต้องการซื้อบ้านได้เห็นภาพบ้านเสมือนจริงทางออนไลน์ นอกจากนี้ยังมีแผนชำระคืนเงินกู้ยืมจากบุคคลอื่นทั้งจำนวน [PR News]

MASTER ติดอันดับ FTSE SET Shariah Index

MASTER ติดอันดับ FTSE SET Shariah Index

          หุ้นวิชั่น - ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ฟุตซี่ รัสเซล (FTSE Russell) ประกาศรายชื่อหลักทรัพย์ FTSE SET Index Series มีผล 23 ธ.ค. 2567 นี้ โดย บมจ. มาสเตอร์ สไตล์  หรือ MASTER ติดอันดับ FTSE SET Shariah Index ครองใจด้านความงามด้วยนิยาม Be a Better You ในฐานะผู้ประกอบกิจการโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช ผู้นำอันดับต้นของอุตสาหกรรมด้านความงามในไทยและเอเชีย พร้อมก้าวเป็น Regional Company ด้าน CEO "ลภัสรดา เลิศภานุโรจ" เผยหุ้น MASTER เข้าคำนวณดัชนีครั้งนี้ สะท้อนถึงมาตรฐาน-ความน่าเชื่อถือของบริษัท เข้าตานักลงทุน ที่สนใจธุรกิจศัลยกรรมความงาม  นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และ ฟุตซี่ รัสเซล (FTSE Russell) ประกาศรายชื่อหลักทรัพย์ชุดใหม่ที่ใช้ในการคำนวณ FTSE SET Index Series โดย MASTER เป็นหนึ่งในหลักทรัพย์ที่เข้าใหม่ในการเข้าคำนวณ FTSE SET Shariah Index (FSTSH) ตอกย้ำผลการดำเนินงานที่เติบโตและความน่าเชื่อถือของบริษัทในสายตาของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยดัชนีนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป หุ้น MASTER ได้เข้ารับคัดเลือกเข้าสู่ดัชนี FTSE SET Shariah Index ในครั้งนี้ สะท้อนถึงมาตรฐานและความน่าเชื่อถือของบริษัท ส่งผลให้ได้รับความสนใจจากนักลงทุน ด้านธุรกิจความงามในภูมิภาค ด้วยกลยุทธ์ที่ชัดเจนและความเป็นผู้นำในด้านนี้ MASTER ที่พร้อมเดินหน้าขึ้นเป็น Regional Company อย่างมั่นคง ตอกย้ำความเป็นศูนย์กลางด้านศัลยกรรมความงามในเอเชีย “MASTER ในฐานะผู้ประกอบกิจการโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าคำนวณในดัชนี FTSE SET Shariah Index (FSTSH) ซึ่งการได้รับเลือกในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงความโปร่งใสและมาตรฐานของ MASTER ว่ามีความน่าเชื่อถือและมีคุณภาพ ในฐานะองค์กรที่ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม และการเป็นส่วนหนึ่งของดัชนีนี้ช่วยให้ MASTER เป็นที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนในตลาดโลก ตอกย้ำความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมศัลยกรรมความงาม ด้วยมาตรฐานการบริหารจัดการที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล” นางสาวลภัสรดา กล่าว สำหรับดัชนี FTSE SET Shariah Index เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการลงทุนตามหลักศาสนาอิสลาม ใช้อ้างอิงในการออกผลิตภัณฑ์การเงิน เช่น ETF และกองทุนอิสลาม พร้อมช่วยเพิ่มโอกาสในการพัฒนาสินค้าการเงินใหม่ๆ  ให้ตลาดทุนไทยน่าสนใจในระดับภูมิภาคและสากล ดัชนีนี้คัดเลือกหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง (Liquidity screening) กระจายหุ้นดี (Free float adjusted) และมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance) เหมาะสำหรับการลงทุนแบบยั่งยืน (Sustainability Investment) นางสาวลภัสรดา กล่าวเสริมว่า MASTER กำลังก้าวขึ้นเป็นผู้นำในระดับภูมิภาค (Regional Company) ในธุรกิจศัลยกรรมความงาม ด้วยจุดโดดเด่น ด้านทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมความงามที่มีประสบการณ์ พร้อมให้บริการลูกค้า ตั้งแต่หัตถการศัลยกรรมเสริมจมูก ศัลยกรรมยกคิ้ว ศัลยกรรมปรับโครงหน้า ดูดไขมัน  การดูแลสุขภาพชาย การดูแลผิวพรรณ และการปลูกผม ทั้งนี้โรงพยาบาลมาสเตอร์พีชได้รับการรับรองภายใต้มาตรฐานโรงพยาบาล ทำให้เป็นที่ไว้วางใจสำหรับลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ สอดคล้องกับความนิยมด้านศัลยกรรมความงามในกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เพิ่มสูงขึ้น เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น และสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงในภูมิภาค ตอกย้ำด้วยผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยผลดำเนินงาน 9 เดือน มีรายได้จากการประกอบกิจการโรงพยาบาลอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท เติบโต 8.9% จากปี 2566  และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 303 ล้านบาท เติบโต 20% จากปี 2566 และมีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้น เป็น 20.21% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่ทำได้ 18.40% นอกจากนี้ บริษัทฯ คาดผลดำเนินงานไตรมาส 4/2567 เป็นช่วงสำคัญที่ผลักดันทั้งรายได้และกำไร โดยคาดเห็นการเติบโตที่โดดเด่นจากลูกค้าต่างชาติ ด้วยแรงหนุนจากลูกค้าต่างประเทศเทศ นำโดย  อินโดนีเซีย เมียนมาร์ กัมพูชา และลาว เข้ามาสนับสนุนการเติบโตของบริษัท โดย MASTER มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน [PR News]

คืบแผนเปิด Entertainment Complex หุ้นไหนเด่น เช็กจ้ะ!

คืบแผนเปิด Entertainment Complex หุ้นไหนเด่น เช็กจ้ะ!

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) รมช. คลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้าการพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร หรือ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ (Entertainment Complex) คาดว่า กระทรวงการคลังจะเสนอ ครม. ราวต้นปี 2025 เราประเมินความคืบหน้าดังกล่าวจะหนุนตลาดเริ่ม เชื่อมั่นต่อโอกาสเติบโตภาคบริการระยะกลางเพิ่มขึ้น ประเมินหุ้นเด่นในธีมเด่นดังกล่าว AWC, BTS, VGI, AOT, BA, MBK ระยะสั้นเน้น BTS ที่กำลังเข้าสู่ช่วง Turnaround เป็นอีกแรงเสริม และ AWC

ชง ครม.สัปดาห์นี้ Easy E-Receipt เช็กด่วน!หุ้นรับอานิสงส์

ชง ครม.สัปดาห์นี้ Easy E-Receipt เช็กด่วน!หุ้นรับอานิสงส์

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) E-Receipt : รมช.คลัง ชง ครม. สัปดาห์นี้ออกมาตรการ Easy E-Receipt ลดหย่อนภาษี5 หมื่น เริ่ม 15 ม.ค. – 28 ก.พ. 25 เพิ่มสิทธิใช้จ่ายการท่องเที่ยว คาดเงินหมุนเวียนในระบบ 7 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ในวงเงิน 50,000 บาทนั้น แบ่งการใช้จ่ายเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1.) การใช้สำหรับสินค้าอุปโภคและบริโภค วงเงิน 30,000 บาท และเพิ่มเติมสามารถในแพ็คเกจการท่องเที่ยวได้เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเดินทาง การใช้จ่ายการท่องเที่ยว เช่น แพ็คเกจทัวร์และการจองโรงโรม เป็นต้น 2.) การใช้จ่ายผ่านกลุ่มวิสาหกิจชุมชุน และโอท็อป วงเงิน 20,000 บาท เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในกลุ่มเอสเอ็มอีและชุมชน เพื่อให้ชุมชนมีความเข็งแข็งขึ้น           อิงหลักเกณฑ์ใหม่ เราประเมินผลบวกมาตรการทั่วถึงมากขึ้น ทั้งกลุ่มค้าปลีก เน้นกลุ่มที่มียอดขาย ต่อบิลสูง CRC, HMPRO, BJC, COM7 บัตรเครดิต KTC ท่องเที่ยว เน้น AWC, CENTEL และกลุ่ม ธนาคารที่มีฐานสินเชื่อ SME ต่อสินเชื่อรวมสูง เน้น KBANK, SCB, BBL

STA กำไรปี68โตต่อ แนะ

STA กำไรปี68โตต่อ แนะ "ซื้อ" เคาะพื้นฐาน 22.25 บ.

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี –STA มองกําไรปี 2568 โตต่อเนื่อง EUDR หรือ เกณฑ์ EU Deforestation-free Products Regulation การตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของวัตถุดิบของหลายสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงยางซึ่งเดิมจะเริ่มบังคับใช้ปลายปี 2567 และในต้นเดือน ต.ค. 2567 มีการประกาศเลื่อนการใช้เกณฑ์ EUDR ออกไป 1 ปี เป็นปลายปี 2568 ทางฝ่ายมองการ เลื่อน EUDR เป็น Sentiment เชิงลบต่อ Supply ในระยะสั้น เนื่องจากกลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยางล้อแบรนด์ญี่ปุ่น จีน และอินเดีย ชะลอการสั่งซื้อ อย่างไรก็ตามผู้บริหาร STA แจ้งการ เลื่อน EUDR ไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยส าคัญ นอกจากนี้ทางฝ่ ายคาดปริมาณขายยาง EUDR เร่งตัวขึ้นในช่วง 2H68 เพื่อเตรียมส่งมอบวัตถุดิบในปี 2569 ส าหรับ Demand (ยาง EUDR และ Non- EUDR) ในปี 2568 คาดขยายตัวจาก 1) การเร่งซื้อวัตถุดิบเพื่อไปสต๊อกก่อนการบังคับใช้ของกฎEUDR จากลูกค้าผู้ผลิตยางล้อ2) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก 3) การขยายตัวของอุตสาหกรรมขั้นปลาย เช่นอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลก โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าในจีนและยุโรป , ถุงมือยาง , อุปกรณ์การแพทย์ และ 4)แนวโน้มราคานheมันต้นปี 2568 คาดทรงตัวอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตยางสังเคราะห์สูง ผู้ผลิตหันมาใช้ยางธรรมชาติมากขึ้น สeหรับสถานการณ์ราคายางพาราในตลาด SICOM ที่ผ่านมา พบว่าราคายางแท่ง (STR20) ปรับตัวสูงขึ้น ทางฝ่ายมีมุมมองเชิงบวกต่อ อุตสาหกรรมยางพาราในปี 2568 เหตุจากราคายางพาราในตลาด SICOM มีแนวโน้มสูงขึ้น ได้รับปัจจัยบวกจากความต้องการยางธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น ทางฝ่ ายคาดในปี 2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ1,356 ล้านบาท โต 29.1% y-y มีแรงหนุนจาก 1) แนวโน้มการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคายางพาราคาในตลาด SICOM จากการเร่งตัวของความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ยางแท่ง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์2) การขยายตัวของ Demand ผลิตภัณฑ์น้ำยางข้นในอุตสาหกรรมถุงมือยาง ตามทิศทางความต้องการใช้ถุงมือยางและผลิตภัณฑ์ยางทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยเสี่ยงจากก ลังการผลิตส่วนเกินตามการเร่งขยายกำลังการผลิตในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดโรค COVID-19 เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา 3) คาดแนวโน้มค่าเงินบาทอ่อนในช่วง 1H68 คาด Demand เพิ่ม แม้เลื่อน EUDR เกณฑ์ EU Deforestation-free Products Regulation (EUDR) คือ การตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของวัตถุดิบของหลายสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงยางที่จะต้องมาจากพื้นที่ปลอดจากตัดไม้ทำลายป่าและ ไม่รุกล้าพื้นที่ป่าสงวน ซึ่งเดิมจะเริ่มบังคับใช้ปลายปี 2567 และในต้นเดือน ต.ค. 2567 มีการประกาศเลื่อนการใช้เกณฑ์ EUDR ออกไป 1 ปี เป็ นปลายปี 2568 ทางฝ่ายมองการเลื่อน EUDR เป็นSentiment เชิงลบต่อ Supply ในระยะสั้น เนื่องจากกลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยางล้อแบรนด์ญี่ปุ่ น จีน และอินเดีย ชะลอการสั่งซื้อยาง EUDR อย่างไรก็ตามผู้บริหาร STA แจ้งการเลื่อน EUDR ไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจาก STA ยังคงมีคำสั่งซื้อยาง EUDR จากผู้ผลิตยางล้อรถยนต์รายใหญ่ นอกจากนี้ทางฝ่ายคาดปริมาณขายยาง EUDR เร่งตัวขึ้นในช่วง 2H68 เพื่อเตรียมส่งมอบวัตถุดิบในปี 2569 คาดกำลังการผลิตยาง EUDR ในครึ่งหลังของปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 84,400 ตันต่อไตรมาส หรือ 20% ของกำลังการผลิต ส าหรับ Demand (ยาง EUDR และ Non-EUDR) ในปี 2568 คาดขยายตัวจาก 1) การเร่งซื้อวัตถุดิบเพื่อไปสต๊อกก่อนการบังคับใช้ของกฎ EUDR จากลูกค้าผู้ผลิตยางล้อ 2) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก 3) การขยายตัวของอุตสาหกรรมขั้นปลาย เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลก โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าในจีนและยุโรป , ถุงมือยาง , อุปกรณ์การแพทย์ และ 4) แนวโน้มราคาน้ำมันต้นปี 2568 คาดทรงตัวอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตยางสังเคราะห์สูง ผู้ผลิตหันมาใช้ยางธรรมชาติมากขึ้น มองกำไรปี 2568 โตต่อเนื่อง จากสถานการณ์ราคายางพาราในตลาด SICOM ที่ผ่านมา พบว่าราคายางแท่ง (STR20) ปรับตัวสูงขึ้น โดย 11 เดือนแรกของปี 2567 ค่าเฉลี่ยราว 165-170 Cent/kg ทางฝ่ายมีมุมมองเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมยางพาราในปี 2568 เหตุจากราคายางพาราในตลาด SICOM มีแนวโน้มสูงขึ้น ทางฝ่ายประมาณการราคายางพาราในตลาด SICOM ปี 2568 มีค่าเฉลี่ยราว 175-180 Cent/kg โดยปรับตัวสูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยของปี 2567 ได้รับปัจจัยหนุนจากความต้องการยางธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ต้องใช้ยางส าหรับผลิตยางล้อ (Tires) ซึ่งเติบโตตามการฟื้ นตัวของเศรษฐกิจโลกหลังสถานการณ์ COVID-19 และการขยายตัวของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ราคาพื้นฐานปี 68 ที่ 22.25 บาท/หุ้น อิงวิธี DCF ทางฝ่ายประเมินราคาหุ้น โดยใช้ DCFอยู่ที่ 22.25 บาท เนื่องจากเป็นบริษัทฯ ที่มั่นคงและเป็นบริษัทฯที่ใหญ่ ทางฝ่ายคาดปี 2567 มีกำไรสุทธิ 1,050 ล้านบาท เติบโต 341.7% y-y และคาดในปี 2568บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1,356 ล้านบาท โต 29.1% y-y หนุนจากความต้องการยางพาราที่เพิ่มสูงขึ้น ตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะชิ้นส่วนยานยนต์และตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV)ทางฝ่ายคาดราคาพื้นฐานปี 68 อยู่ที่ 22.25 บาท/หุ้น ราคาหุ้นปัจจุบันยังต่ำกว่าราคาพื้นฐาน คงคำแนะนำ “ซื้อ”

HMPROหลังน้ำท่วม โบรกว่าไง เช็กเลย!

HMPROหลังน้ำท่วม โบรกว่าไง เช็กเลย!

        หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ระบุว่า HMPRO แนวโน้ม 4Q67 ขยายตัวดี QoQ จาก SSSG ที่ดีขึ้น ผลประกอบการในงวด 3Q67 ดีกว่าคาดเล็กน้อย โดยมีกำไรสุทธิเท่ากับ 1.4 พันล้านบาท -6% YoY ทำ New low ในรอบ 3 ปีจากรายได้ที่ลดลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากช่วงฤดูฝนที่ตกหนักกว่าปกติ สถานการณ์น้ำท่วม และกำลังซื้อที่ชะลอตัวลง ทำให้ SSSG ในห้าง HMPRO อยู่ที่ -5.8% และ MegaHome อยู่ที่ -3.0% รวมถึงได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า ค่าธรรมเนียมดอกเบี้ยหลังออกหุ้นกู้ในช่วงอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง และการทำโปรโมชั่นเพื่อส่งเสริมการขาย ด้านแนวโน้ม 4Q67F คาดว่าจะขยายตัวดี QoQ จาก SSSG ที่ดีขึ้นจากสถานการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือเริ่มคลี่คลายและได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐ ทำให้มีการกลับมาซ่อมแซมที่อยู่อาศัยมากขึ้น ขณะที่ในงวดนี้ไม่ได้รับผลกระทบของการปรับปรุงพื้นที่สาขาพฤกษ์ นอกจากนี้แนวโน้ม GPM มีโอกาสขยับขึ้นแตะระดับ 28% (9M67 อยู่ที่ 26.5%, 3Q67 อยู่ที่ 27.1%) จากการเพิ่มสินค้าของ Own brand และแนวโน้มบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนในงวดนี้จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าขึ้น นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดสาขา Hompro และ MegaHome รวม 4 สาขา ส่วนเป้าหมายจะเปิดเพิ่มอีก 8 สาขา รวมถึงจะมีกการเพิ่มสาขา Hybrid (เชื่อมสาขา Hompro และ MegaHome)          ด้าน Bloomberg consensus ประเมินกำไรสุทธิในงวด 4Q67F ที่ 1.77 พันล้านบาท (+23% QoQ, +2% YoY) และงวดปี 67-68F เท่ากับ 6.6 พันล้านบาท +3% YoY และ 7.1 พันล้านบาท +7% YoY ตามลำดับ มีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 11.97 บาท โดยในเชิง Valuation ซื้อขายบน FWD PE ที่ 17.2 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคที่ 21.4 เท่า ส่วนในเชิง sentiment คาดรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี ได้แก่ Easy E-receipt รอบใหม่ และการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ช่วยหนุนกำลังซื้อ และ SSSG ให้ขยายตัว

GPSC คว้า 4 โครงการ รวม 193 MW โดย กกพ. เพิ่มพอร์ตพลังงานหมุนเวียน

GPSC คว้า 4 โครงการ รวม 193 MW โดย กกพ. เพิ่มพอร์ตพลังงานหมุนเวียน

         หุ้นวิชั่น - GPSC ผ่านการคัดเลือกโดย กกพ. เป็นผู้พัฒนาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ FiT ของผู้ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน 4  โครงการโดยเป็นกำลังการผลิตกว่า 193 เมกะวัตต์  จากโครงการร่วมทุน เฮลิออส 1 เฮลิออส 2  เฮลิออส 4 และไออาร์พีซี คลีน พาวเวอร์ หนุนเพิ่มพอร์ตพลังงานหมุนเวียนในประเทศ ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเข้าระบบ รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เดินหน้าสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศ นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. เปิดเผยว่า GPSC ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในการประกาศผลการคัดเลือกการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed -in Tariff (FiT) ปี 2565 -2573 จำนวน 4 โครงการ โดยมีกำลังการผลิตรวมประมาณ 193 เมกะวัตต์ ซึ่งอยู่ในกลุ่มของผู้ผลิตพลังงานพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน โดยมีผู้ที่ได้รับการคัดเลือกทั้งสิ้น จำนวน 64 ราย รวม 1,580 เมกะวัตต์ ที่กำหนดให้มีการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (SCOD) ตั้งแต่ปี 2569-2573 สำหรับโครงการที่ได้รับการคัดเลือก จาก กกพ. ประกอบด้วย บริษัท เฮลิออส 1 จำกัด (Helios 1) กำลังการผลิต 48.6  เมกะวัตต์, บริษัท เฮลิออส 2  จำกัด (Helios 2) กำลังการผลิต  61.4 เมกะวัตต์ บริษัท เฮลิออส 4 จำกัด (Helios 4) กำลังการผลิต 8 เมกะวัตต์ ซึ่ง GPSC ถือหุ้นร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจในสัดส่วน 50% และบริษัทร่วมทุนระหว่าง GPSC และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ภายใต้บริษัท ไออาร์พีซี คลีน พาวเวอร์ จำกัด (IRPC-CP) โดย GPSC ถือหุ้นสัดส่วน 51% กำลังการผลิต 74.88 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ Helios 1 และ Helios 2 มีกำหนด SCOD ในปี 2569 และ Helios 4 และ IRPC-CP มีกำหนด SCOD ในปี 2571 นับเป็นความสำเร็จของการเพิ่มโอกาสในการลงทุนพลังงานหมุนเวียนในประเทศ ที่ GPSC ได้เข้าไปมีส่วนเสริมสร้างเสถียรภาพการจัดหาและพัฒนาพลังงานของประเทศตามนโยบายของรัฐบาล ที่มีแนวทางการขับเคลื่อนในการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน ตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 – 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP2018 Rev.1) สำหรับโครงการที่ GPSC ได้รับการคัดเลือก เป็นผู้พัฒนาโครงการในครั้งนี้ จัดอยู่ในกลุ่มที่ 1 โดยแต่ละโครงการจะต้องยอมรับเงื่อนไขการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายใน​ 14​ วัน​ นับถัดจากวันที่ประกาศผลการคัดเลือก​ อย่างไรก็ดี จากการได้รับการคัดเลือกในครั้งนี้ เป็นไปตามแผนกลยุทธ์ของธุรกิจ GPSC ที่มีเป้าหมาย ในการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเกินกว่า 50% ของกำลังการผลิตในปี 2573 ซึ่ง GPSC เป็นบริษัทด้านนวัตกรรมพลังงานที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาพลังงานสะอาดที่หลากหลาย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้บริษัทฯ มีความพร้อมในการจัดหาพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  และมีส่วนในการสนับสนุนให้ประเทศไทยมีพลังงานสะอาด เพื่อรองรับการลงทุนและการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ เพื่อให้ไทยสามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)” [PR News]

KTX ชี้เป้าหุ้นคุณค่าในเอเชีย และไทย ปี 2568 

KTX ชี้เป้าหุ้นคุณค่าในเอเชีย และไทย ปี 2568 

        หุ้นวิชั่น -  บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด หรือ KTX เปิดเผยมุมมองการลงทุนปี 2568 โดยชูหุ้นกลุ่มคุณค่า (Value) เป็นหัวใจสำคัญในการดึงดูดกระแสเงินทุนต่างชาติ พร้อมย้ำว่าตลาดหุ้นเอเชีย โดยเฉพาะไทยและจีน มีศักยภาพสูงในการรองรับโอกาสการลงทุน ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงจากนโยบายการคลังและการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบในวงกว้าง          นายณัฐวุฒิ จันทนะจุลพงศ์ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด หรือ KTX กล่าวว่า “การบริหารของนายโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเพิ่มความเสี่ยงด้านการขาดดุลการคลัง และลดความต้องการในดอลลาร์สหรัฐและพันธบัตรรัฐบาลจากโอกาสกีดกันการค้าที่สูงขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อการอ่อนค่าของดอลลาร์และการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯในระยะกลาง นักลงทุนจึงมองหาตลาดที่มีสัดส่วนหุ้นคุณค่าสูง ทดแทน ตลาดที่เติบโตสูง ดังเช่นสหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบดังกล่าว ซึ่งตลาดไทยและจีนตอบโจทย์ได้อย่างชัดเจน” หุ้นเด่นในกลุ่มคุณค่าปี 2568 ที่น่าสนใจ หุ้นกลุ่มบริการและค้าปลีก:BDMS, CPN, CPALL ซึ่งมีพื้นฐานแข็งแกร่งและราคาหุ้นยังไม่สูงเกินไป หุ้นกลุ่มการเงิน:KBANK, SCB, TTB, KKP, BLA ที่ได้รับแรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ทำให้กลุ่มนี้ตกเป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติ ด้วยสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯที่อาจค้างระดับสูงยาวนาน หุ้นกลุ่มคุณค่าจึงยังมีโอกาสปรับตัวในระดับมูลค่าที่สูงขึ้น (Re-rating) ได้ดีกว่าหุ้นเติบโตสูงที่มีโอกาสปรับตัวในระดับมูลค่าที่ต่ำลง (De-rating) โดยเฉพาะในตลาดเอเชียที่มีแนวโน้มผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และมีโอกาสฟื้นตัวขึ้น และตอบสนองต่อกระแสเงินทุนที่เคลื่อนย้ายเข้าสู่ภูมิภาคนี้ “ตลาดไทยและจีนจึงกลายเป็นเป้าหมายหลักของนักลงทุนที่มองหาความมั่นคงในระยะยาว ทั้งในแง่ของความน่าสนใจด้านมูลค่าและโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” นายณัฐวุฒิกล่าวปิดท้าย

SSP สุดสตรอง! EXIM BANK รับเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน-ค้ำประกันหุ้นกู้

SSP สุดสตรอง! EXIM BANK รับเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน-ค้ำประกันหุ้นกู้

          หุ้นวิชั่น - SSP สุดสตรอง! EXIM BANK รับเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน-ค้ำประกันหุ้นกู้หนุนความเชื่อมั่น - ช่วยลดต้นทุนดอกเบี้ยเล็งออกหุ้นกู้ค้ำประกัน Green Projects ดันพอร์ตโรงไฟฟ้าเติบโต 2 เท่า            บมจ.เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น (SSP) ประกาศความสำเร็จครั้งแรกร่วมกับ EXIM BANK ลงนามสัญญาให้บริการที่ปรึกษาทางการเงิน ครอบคลุมการค้ำประกันหุ้นกู้ (Bond Guarantee) สำหรับการออกหุ้นกู้ค้ำประกัน Green Projects ฟากบิ๊กบอส “วรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์” ระบุความร่วมมือครั้งนี้ เป็นการเสริมความแข็งแกร่งของแหล่งเงินทุน เพิ่มความเชื่อมั่น ช่วยลดต้นทุนดอกเบี้ย  เพื่อการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนทุกรูปแบบ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมเดินหน้าทยอย COD โครงการโรงไฟฟ้าในมือตั้งแต่ปี 68 ต่อเนื่องยาวอีก 5 ปี หนุนพอร์ตโรงไฟฟ้าเติบโต 2 เท่าตัว           นายวรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SSP) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ลงนามกับ EXIM BANK ในสัญญาให้บริการที่ปรึกษาทางการเงิน ที่ครอบคลุมการค้ำประกันหุ้นกู้ (Bond Guarantee) เพื่อสนับสนุนการลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของ “กลุ่มเสริมสร้าง” ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ จากผู้ค้ำประกันที่มีอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ AAA(tha) ซึ่งเป็นระดับสูงสุด ทำให้เข้าถึงกลุ่มนักลงทุนสถาบัน ช่วยลดต้นทุนทางการเงินให้กับบริษัทฯ ทั้งนี้ นับว่าเป็นโอกาสสำคัญของ SSP ที่มี EXIM BANK ให้การสนับสนุนในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง ในบทบาท Green Development Bank ให้คำปรึกษาทางการเงิน จัดหาเงินทุนสำหรับโครงการ Green Projects รวมถึงค้ำประกันหุ้นกู้ (Bond Guarantee) แก่ SSP ในฐานะผู้ประกอบธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Environmental, Social, and Governance : ESG)  ครอบคลุมในทุกมิติ ขณะที่ กลุ่มเสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น ถือเป็นผู้ประกอบการพลังงานทดแทนชั้นนำของไทยที่มีศักยภาพและมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยมีโครงการในมือที่ดำเนินการอยู่กว่า 283 เมกะวัตต์ ทั้งในและต่างประเทศ และยังมีโครงการใหม่ที่จ่อทยอย COD ตั้งแต่ปี 2568 ในประเทศไทย 170.5 เมกะวัตต์ จากการชนะการประมูลโครงการพลังงานทดแทน PDP 1 รวมไปถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 150 เมกะวัตต์ ในประเทศฟิลิปปินส์ ที่บอร์ดได้อนุมัติการลงทุนไปล่าสุด และโครงการอื่นๆ รวมกว่า 400 MW “ตลอดปี 2567 ถือเป็นปีที่บริษัทฯ มีพัฒนาการการการเติบโตตามเป้าหมาย ตั้งแต่การเข้าซื้อสัดส่วนการลงทุนในโครงการร่มเกล้าวินฟาร์ม ขนาด 45 เมกะวัตต์ ครบ 100% ในเดือนมีนาคม ช่วยสนับสนุนรายได้และช่วยทดแทนการอ่อนตัวลงของรายได้โครงการโซล่าร์ฟาร์ม SPN ที่อยู่ระหว่างการ Repowering ในส่วนของปี 2568 บริษัทฯ จะทยอย COD เริ่มด้วยโซล่าร์ฟาร์มในญี่ปุ่น Leo 2 ขนาด 22 เมกะวัตต์ มั่นใจพอร์ทเติบโตต่อเนื่องมุ่งสู่ 1 GW ภายในปี 2575 “นายวรุตม์ กล่าว

SJWDไฮซีซั่นหนุนโค้งท้าย จับตาปี 68 ติดเครื่องวิ่งต่อ เป้า 16.80 บ.

SJWDไฮซีซั่นหนุนโค้งท้าย จับตาปี 68 ติดเครื่องวิ่งต่อ เป้า 16.80 บ.

หุ้นวิชั่น          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุ SJWD (ซื้อ/เป้า 16.80 บาท) 4Q24E เข้าสู่ high season, 2025E ภาพรวมธุรกิจดีขึ้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมาย 16.80 บาท อิง 2025E core PER ที่ 29 เท่า (-0.25SD below 5-yr average PER) มองเป็นบวกจาก group conference call (20 ธ.ค.) จาก outlook ที่ดีขึ้นดังนี้: 1) SJWD ประเมินกำไร 4Q24E จะดีขึ้น QoQ เพราะเป็นช่วง high season 2) ธุรกิจห้องเย็นเติบโตดีสุด โดย 4Q24E จะมี occupancy rate เพิ่มขึ้นเป็น > 75% (เทียบ 3Q24 ที่ 72%) ส่วนปี 2025E จะเพิ่มเป็น 72-75% จากปี 2024E ที่ 70-72% โดยจะมีคลังห้องเย็นใหม่เพิ่มอีก 4 แห่ง 3) ธุรกิจคลังสินค้าทั่วไปจะกลับมาดีขึ้นใน 4Q24E หลังคลังใหม่มีลูกค้าใช้บริการเต็ม และปี 2025E จะมีคลังใหม่เพิ่ม 4) ธุรกิจ Oversea จะดีขึ้นต่อเนื่องทั้งจากธุรกิจปัจจุบัน และ SCG Inter Vietnam เริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2024 5) กอง REIT คลังสินค้า ALPHA คาดว่าจะเสนอขายได้ราว 3Q25E และ 6) ตั้งเป้า M&A ปีละ 2 ดีล โดยจะเห็นความชัดเจนอย่างน้อย 1 ดีลกลางปี 2025E ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2024E/25E ที่ 851/1,053 ล้านบาท (+9% YoY/+24% YoY) เบื้องต้นเรา ประเมินกำไรปกติ 4Q24E ใกล้เคียง 3Q24 ที่ 256 ล้านบาท อย่างไรก็ตามกำไร 4Q24E จะมี upside โดยเฉพาะจากธุรกิจห้องเย็น, คลังสินค้าทั่วไป, Oversea และ Automotive รวมถึง effective tax rate จะยังต่ำไม่เกิน 10% (3Q24 = 3%, ปกติ 20%) จาก tax benefit ขณะที่ปี 2025E จะกลับมาเติบโตโดดเด่นจากธุรกิจหลักที่ยังขยายตัว, ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่จะยังปรับตัวดีขึ้น รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่าย SG&A ได้ดีขึ้นต่อเนื่องจากแผนลดต้นทุน ราคาหุ้น underperform SET -23% ในช่วง 6 เดือน จากกำไรปกติ 1H24 ที่ชะลอตัว และยัง underperform SET -8% ในช่วง 3 เดือน ทั้งนี้เรายังแนะนำซื้อจาก outlook 4Q24E และปี 2025E ที่จะกลับมาสดใสมากขึ้น รวมถึงมี upside จากดีล M&A ที่อยู่ระหว่างการศึกษาอีกหลายดีล ด้านราคาหุ้นน่าสนใจปัจจุบันเทรดที่ 2025E core PER 17.7 เท่า คิดเป็น -1.25SD

KSS คาด SET วันนี้ “Rebound” ต้าน 1380 จุด แนะ GULF, ADVANC, CRC

KSS คาด SET วันนี้ “Rebound” ต้าน 1380 จุด แนะ GULF, ADVANC, CRC

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “Rebound” ต้าน 1375/1380 จุด รับ 1360/1352 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัว ดัชนี S&P500 +1.09% หนุนจากรายงานเงินเฟ้อ PCE พ.ย. 24 ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่ำกว่าตลาดคาด +2.4%y-y, +0.1%m-m บรรเทาความกังวล Fed ให้สัญญาณเข้มงวดวงจรดอกเบี้ยล่าสุด ผสาน สภาสหรัฐผ่านร่างงบประมาณชั่วคราวทันก่อนสหรัฐต้อง Shutdown โดยรวมช่วยให้ US Bond Yieldอายุ 10 ปีชะลอการขึ้น คือ ปรับลง -4 bps ปิดที่ 4.52 % Dollar Index กลับมาอ่อนค่า 107.8 จุด คาดบวกต่อจิตวิทยาลงทุนตลาดหุ้น Emerging Markets (EM) ที่เผชิญแรงกดดันดังกล่าวตลอดสัปดาห์ก่อน รวมถึง SET ที่เงินบาทกลับมาแข็งค่าสู่ 34.28 +/- บาท ขณะที่สัปดาห์นี้แรงขับเคลื่อนหลักจะมาจากภายใน โดยเฉพาะการอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เม็ดเงินลงทุนระยะยาวเข้ามามากขึ้น หลัง SET ปรับลงมาอยู่ในโซนลงทุน Current และ Forward Equity Risk Premium อยู่ที่ 4.09% และ 4.82% > AVG. + 1 S.D. ที่ 4.05% ที่มักเป็นจุดกลับตัวกรณีไม่มีวิกฤติ ผสาน จิตวิทยาต่างประเทศเป็นบวก วันนี้คาด SET Rebound ได้ หุ้นนำ คือ กลุ่มที่แรงกดดัน Yield ลดลง (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อHigh Yield) หุ้น Domestic (ค้าปลีก ท่องเที่ยว) และหุ้นในธีม Entertainment Complex วันนี้แนะนํา GULF, ADVANC, CRC

โค้งท้ายปี มีหวัง?  จับตาตลาดหุ้นไทยขยับ!

โค้งท้ายปี มีหวัง? จับตาตลาดหุ้นไทยขยับ!

         หุ้นวิชั่น - บล.เอเชียพลัส ส่องตลาดหุ้นไทย จากสัปดาห์ที่แล้ว เป็นสัปดาห์ที่ SET INDEX ลงแรงสุดของปี -4.65% ด้วยปัจจัยกดดันเข้ามากระจุกตัวพร้อมกัน ความกังวลการเมืองไทยนอกสภาร้อนแรง, FED ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในปีหน้าจาก 4 ครั้ง เหลือ 2 ครั้ง, และหุ้นใหญ่ที่มีปัจจัยเฉพาะตัวกดดัน เป็นต้น อย่างไรก็ตามสัปดาห์นี้ คาดหวัง SET มีโอกาสรีบาวน์หลังลงมาลึก มี PBV เพียง 1.3 เท่า คาดหวังแรงหนุนจาก EASY E-RECEIPT 5 หมื่นบาทต่อคน และค่าเงินบาทเริ่มแข็งค่าขึ้น หลังตัวเลข PCE สหรัฐออกมาต่ำคาด หนุน FUND FLOW มีโอกาสไหลเข้าสัปดาห์สุดท้ายของปี เหมือนกับ 3 ปีที่ผ่านมา ส่วนเม็ดเงินจากกองทุนมีโอกาสไหลเข้าน้อยประเมินราว 3 พันล้านบาท ในเดือนนี้ เนื่องจากนักลงทุนเอนเอียงไปซื้อกองทุน THAI ESG ประเภท ตราสารหนี้มากขึ้น ขณะที่เดียวกันยังเห็นการ REDEMPTION จากกองทุน LTF สลับมาซื้อ THAI ESG อีกประเมินจากปัจจัยแวดล้อม SET INDEX มีโอกาสเกิด TECHNICAL REBOUND คาดกรอบ 1360-1380จุด TOP PICK เลือก ERW, CRC และ ADVANC

ราคาทองเช้าวันนี้

ราคาทองเช้าวันนี้ "ไม่เปลี่ยนแปลง" เช็กเลย!

       หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่ 23 ธันวาคม 2567 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาไม่เปลี่ยนแปลง” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 42,500.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 42,600.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 41,735.48 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 43,100.00 บาท

PTT-PTTEP ลุยลงทุน5ปี ปักธงพลังงานสะอาด

PTT-PTTEP ลุยลงทุน5ปี ปักธงพลังงานสะอาด

           หุ้นวิชั่น - PTT อัดงบ 54,463 ล้านบาท 5 ปี! เดินหน้าขยายท่อก๊าซ  เสริมแกร่งความมั่นคงพลังงาน ศึกษาและแสวงหาโอกาสในการขยายการลงทุน ด้าน  PTTEP ประกาศแผนลงทุน 5 ปี (2568-2572) วงเงินรวม 1.74 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เน้นขยายธุรกิจพลังงานสะอาด พลังงานลมนอกชายฝั่ง ไฮโดรเจน และเทคโนโลยี CCS มุ่งสู่เป้าหมายปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593            นางสาวภัทรลดา สง่าแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)หรือ PTT รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (“ปตท.”) ขอเรียนให้ทราบว่า คณะกรรมการ ปตท. ในการประชุมครั้งที่ 12/2567 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ได้มีมติอนุมัติงบลงทุน 5 ปี (ปี 2568 - 2572) ของ ปตท. และบริษัทที่ ปตท. ถือหุ้น ร้อยละ 100 วงเงินรวม 54,463 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้            ปตท. มีการลงทุนในธุรกิจหลัก (Core Business) เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานควบคู่กับการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ ปตท. “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” โดยเงินลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ และธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย คิดเป็นสัดส่วนประมาณ ร้อยละ 64 ของงบลงทุน 5 ปี            โครงการหลักที่สำคัญ ได้แก่ โครงการท่อส่งก๊าซฯ บางปะกง – โรงไฟฟ้าพระนครใต้ โรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 7รวมถึงการลงทุนเพื่อแสวงหาโอกาสในการขยายธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศอย่างครบวงจร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน            ขณะเดียวกัน ปตท. ยังมีการลงทุนผ่านบริษัทที่ ปตท. ถือหุ้น ร้อยละ 100 เช่นการลงทุนของบริษัทในกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ การลงทุนในธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย เช่น โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 และ โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3            นอกจากนี้ ปตท. ยังคงศึกษาและแสวงหาโอกาสในการขยายการลงทุนในอนาคต เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันตามวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ของกลุ่ม ปตท.            ด้านนางชนมาศ ศาสนนันทน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานการเงินและการบัญชี บริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ขอแจ้งแผนการดําเนินงานประจําปี 2568 ของ ปตท.สผ. และบริษัทย่อย (ปตท.สผ.) ภายใต้แผนกลยุทธ์ Drive-Decarbonize-Diversify เพื่อขับเคลื่อนและเพิ่มมูลค่าธุรกิจสํารวจและผลิตปิโตรเลียม และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 รวมถึงขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจใหม่เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) โดยจัดสรรงบประมาณประจําปี 2568 รวมทั้งสิ้น 7,819 ล้านดอลลาร์ สรอ. ประกอบด้วยรายจ่ายลงทุน (Capital Expenditure) จํานวน 5,299 ล้านดอลลาร์ สรอ. และรายจ่ายดําเนินงาน (Operating Expenditure) จํานวน 2,520 ล้านดอลลาร์ สรอ.            เป้าหมายการดําเนินงานของบริษัทในปี 2568 ยังคงมุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศไทย ควบคู่ไปกับการสร้างความแข็งแกร่งและขยายการลงทุนในธุรกิจสํารวจและผลิตปิโตรเลียมในต่างประเทศ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยให้ความสําคัญกับแผนงานหลัก ดังนี้ 1.เพิ่มปริมาณการผลิตปิโตรเลียมจากโครงการปัจจุบัน โครงการผลิตหลักที่สําคัญเพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางพลังงานของประเทศไทย ได้แก่ โครงการจี 1/61 (แหล่งเอราวัณ) โครงการจี 2/61 (แหล่งบงกช) โครงการอาทิตย์ โครงการเอส 1 โครงการคอนแทร็ค 4 โครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย โครงการซอติก้า และ โครงการยาดานา ในประเทศเมียนมา ที่มีการนําก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้เข้ามาใช้ในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีโครงการผลิตหลักในต่างประเทศที่สําคัญ เช่น โครงการในประเทศมาเลเซีย โครงการในประเทศโอมาน โดยได้จัดสรรรายจ่ายลงทุนจํานวน 3,676 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพื่อสนับสนุนกิจกรรมดังกล่าว            นอกจากนี้ ยังมีแผนงานสําหรับกิจกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 โดยครอบคลุม Scope 1 (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง) และ Scope 2 (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน) ในธุรกิจสํารวจและผลิตปิโตรเลียมที่ ปตท.สผ. เป็นผู้ดําเนินการ (Operational Control) พร้อมทั้งกําหนดเป้าหมายระหว่างทาง (Interim Target) ในการลดปริมาณความเข้มของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Emission Intensity) จากปีฐาน 2563 ให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 และร้อยละ 50 ภายในปี 2573 และ 2583 ตามลําดับ โดยได้ตั้งงบประมาณสําหรับกิจกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2568 ทั้งสิ้นจํานวน 77 ล้านดอลลาร์ สรอ. 2.เร่งผลักดันโครงการหลักที่อยู่ในระยะพัฒนา (Development Phase) โครงการหลักที่อยู่ในระยะพัฒนา ได้แก่ โครงการสัมปทานกาชา โครงการอาบูดาบี ออฟชอร์ 2 โครงการโมซัมบิก แอเรีย 1 รวมถึงโครงการพัฒนาในประเทศมาเลเซีย เช่น โครงการมาเลเซีย เอสเค405บี โครงการมาเลเซีย เอสเค417 โครงการมาเลเซีย เอสเค438 โดยจัดสรรรายจ่ายลงทุนเป็นจํานวนเงินทั้งสิ้น 1,464 ล้านดอลลาร์ สรอ. 3.เร่งดำเนินการสำรวจในโครงการปัจจุบัน ทั้งโครงการที่อยู่ในระยะสำรวจ โครงการในระยะพัฒนา รวมถึงโครงการที่ดำเนินการผลิตแล้ว เพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว โดยจัดสรรรายจ่ายลงทุนจำนวน 127 ล้านดอลลาร์ สรอ. สำหรับการเจาะหลุมสำรวจและประเมินผลของโครงการในประเทศไทย ประเทศมาเลเซีย และประเทศเมียนมา            ปตท.สผ. ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยได้เริ่มดำเนินการขยายไปสู่ธุรกิจใหม่เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน จึงได้สำรองงบประมาณ 5 ปี (2568-2572) เพิ่มเติมจากงบประมาณข้างต้นอีกจำนวน 1,747 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพื่อรองรับการขยายการลงทุนในธุรกิจ พลังงานลมนอกชายฝั่ง, ธุรกิจดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS as a Service), ธุรกิจเชื้อเพลิงไฮโดรเจน และการลงทุนในธุรกิจและเทคโนโลยีผ่านบริษัทย่อยที่จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินงานในรูปแบบ Corporate Venture Capital (CVC)            ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมขององค์กรในช่วงการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำในอนาคต พร้อมกับการดูแลสังคมและชุมชนโดยรอบพื้นที่ปฏิบัติการของบริษัท เพื่อสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายต่อไป

[Vision Exclusive] HARN แตกไลน์การแพทย์ ต่อยอดธุรกิจเครื่องพิมพ์ 3D

[Vision Exclusive] HARN แตกไลน์การแพทย์ ต่อยอดธุรกิจเครื่องพิมพ์ 3D

          หุ้นวิชั่น - HARN แตกไลน์ธุรกิจเครื่องมือแพทย์ ต่อยอดเครื่องพิม์ 3D บิ๊กบอส "วิรัฐ  สุขชัย" คาดจดทะเบียนแล้วเสร็จไตรมาสแรกปี 68 ส่งซิกผลงานรวมปี 67 สดใส  อวด Backlog สิ้น Q3/67 แน่น 452 ล้านบาท เดินหน้ารักษามาร์จิ้น 30% ลุยแผน 5 ปีโรดแมพ เพิ่ม Market Cap. เป็น 5,000 ล้านบาท           นายวิรัฐ  สุขชัย  ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หาญ เอ็นจิเนียริ่ง โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ HARN เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า  ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 6/2567 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 ได้มีมติอนุมัติการจัดตั้งบริษัทย่อย โดยบริษัทถือหุ้นร้อยละ100 ด้วยทุนจดทะเบียน 3 ล้านบาท เพื่อประกอบธุรกิจหลักในการค้าเครื่องมือแพทย์ ผลิต ทํา ประกอบ หรือประดิษฐ์เครื่องมือแพทย์ แบ่งบรรจุ หรือรวมบรรจุเครื่องมือแพทย์ ปรับปรุง แปรสภาพ หรือดัดแปลงเครื่องมือแพทย์ ทําให้เครื่องมือแพทย์ปราศจากเชื้อ รวมตลอดถึงการผลิตและค้ายางเทียมสิ่งทําเทียม วัตถุดิบหรือสินค้าดังกล่าว ทั้งนี้ บริษัทจะดําเนินการจดทะเบียนบริษัทย่อยให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปี 2568           การขยายธุรกิจสู่การค้าเครื่องมือแพทย์ ถือเป็นการต่อยอดธุรกิจการพิมพ์แบบ 3D และขยายตลาดไปยังธุรกิจเครื่องมือแพทย์ ขณะที่ทิศทางธุรกิจเดิมในส่วนของการจำหน่ายและติดตั้งอุปกรณ์ดับเพลิง คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดีในปี 2568 โดยแม้ว่าในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ผลประกอบการจะไม่ค่อยดีนัก แต่ผลประกอบการในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 เริ่มกลับมาฟื้นตัวดี ซึ่งเป็นไปตามลักษณะของแนวโน้มธุรกิจของบริษัท HARN           ขณะที่ Backlog ออเดอร์ ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ 452 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลข Backlog ที่อยู่ในระดับสูง และคาดจะทำให้ยอดขายใกล้เคียงเป้า ขณะเดียวกันเชื่อว่าอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ปี 2567 จะใกล้เคียงกับที่ผ่านมาที่ 30.09% โดน 9 เดือนแรกปี 2567 ที่ 27.58%           บริษัทมองทิศทางการเติบโตในปี 2568 กลุ่มธุรกิจของ HARN ยังมีแนวโน้มการเติบโต แม้เศรษฐกิจในประเทศถดถอย แต่ในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 เริ่มเห็นผลการเติบโตที่ดีขึ้น อีกทั้งบริษัทอยู่ระหว่างมองหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ เพื่อเสริมรายได้ให้กับธุรกิจ           สำหรับคู่แข่งในตลาดปัจจุบันมีมากขึ้น แต่บริษัทกำลังมองหาวิธีการใหม่ๆ ที่จะเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท และรักษาอัตราการทำกำไร (มาร์จิ้น) โดยที่ผ่านมาบริษัทได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงต้นปี 2567 ซึ่งค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่า ทำให้บริษัทมีต้นทุนสูงจากการนำเข้าสินค้า และบริษัทได้ปรับราคาขายให้สอดคล้องกับอัตราแลกเปลี่ยน และบริษัทจะพยายามบริหารอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ให้ได้ 30% โดยการบริหารต้นทุนและหาตลาดใหม่ๆ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท           บริษัทมีเป้าหมายในการเติบโตระยะยาว 5 ปี โดยการเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ หรือ Market Cap. จาก 1,350 ล้านบาท เป็น 5,000 ล้านบาท และจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ รักษาความพึงพอใจของลูกค้าไม่ต่ำกว่า 90% และความพึงพอใจของพนักงานมากกว่า 85% รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] ขนมขบเคี้ยวไทย 5 หมื่นล. SNNP เจ้าตลาด-เป้า 20.8 บ.

[Vision Exclusive] ขนมขบเคี้ยวไทย 5 หมื่นล. SNNP เจ้าตลาด-เป้า 20.8 บ.

           หุ้นวิชั่น - KResearch ส่องยอดขายขนมขบเคี้ยว 50,400 ล้านบาท หรือโต 2% ชี้ปังกรอบ - บิสกิตมาแรงค้าปลีกหนุน ฟากผู้บริหาร SNNP "วิโรจน์ วชิรเดชกุล" ฉายภาพธุรกิจปี 68 ติดเครื่องวิ่งต่อ เล็งอัดงบการตลาดกระตุ้นยอดซื้อ โบรกลุ้นโค้งท้ายกลับมา New High เคาะราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 68 ที่ 20.80 บาท            ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) ปี 2568 ยอดขายขนมขบเคี้ยวไทยคาดอยู่ที่ 50,400 ล้านบาท หรือโต 2% ชะลอจากปี 2567 ที่โต 6% โดยกลุ่มขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ด ซึ่งเป็นตลาดหลักจะโตได้ไม่มากที่ราว 1.4% ตามจำนวนผู้เดินทางท่องเที่ยวและจำนวนผู้ใช้การสตรีมวิดีโอที่เติบโตชะลอ รวมถึงจำนวนอีเวนต์ใหญ่ที่ลดลง            ขณะที่ยอดขายขนมขบเคี้ยวกลุ่มที่เติบโตได้สูงกว่าภาพรวมตลาดในปี 2568 คือ กลุ่มขนมปังกรอบและบิสกิตที่โต 2.7% แรงหนุนจากความเป็นเมืองและจำนวนร้านค้าปลีกสมัยใหม่ที่เพิ่มขึ้น และกลุ่มขนมขบเคี้ยวที่ทำจากสาหร่าย/เนื้อสัตว์/ธัญพืช คาดโต 2.4% จากเทรนด์การบริโภคที่ดูแลสุขภาพมากขึ้น            ตลาดขนมขบเคี้ยวไทยแบ่งเป็น 3 กลุ่มตามยอดขาย คือ กลุ่มขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ด ซึ่งมีสัดส่วนยอดขายมากที่สุดราว 51% ตามมาด้วยกลุ่มขนมปังกรอบและบิสกิต 36% และกลุ่มขนมที่ทำจากสาหร่าย/เนื้อสัตว์/ธัญพืช 13%            ผู้บริโภคมักจะบริโภคขนมขบเคี้ยวในช่วงเวลาทำกิจกรรมท่องเที่ยวหรือสังสรรค์ร่วมกับผู้อื่นเป็นหลัก หรือ “We Time” คิดเป็น 54% ของเวลาทั้งหมดที่บริโภคขนมขบเคี้ยว และอีก 46% จะบริโภคในเวลาที่ใช้อยู๋กับตัวเองหรือ “Me Time”            ตลาดขนมขบเคี้ยวในประเทศมีการแข่งขันสูง ทั้งจากจำนวนผู้เล่นมากรายและสินค้าที่เข้ามาเพิ่มเติม โดยปัจจุบันผู้เล่นในตลาดขนมขบเคี้ยวของไทยมีจำนวนมากกว่า 590 ราย (เฉพาะนิติบุคคลจากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า) และด้วยอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ของตลาดขนมขบเคี้ยวที่สูงราว 20-35% ส่วนหนึ่งมาจากราคาวัตถุดิบที่เป็นสินค้าเกษตรที่มีราคาไม่สูง ทำให้สร้างมูลค่าเพิ่มได้ดี จึงจูงใจให้มีผู้เล่นเข้าสู่ตลาดจำนวนมาก และทำให้ตลาดขนมขบเคี้ยวมีการแข่งขันรุนแรง (Red Ocean)            ทั้งนี้ การแข่งขันที่รุนแรงมาจากผู้เล่นรายใหญ่ด้วยกันเองเป็นหลัก เนื่องจากรายใหญ่มี Economy of Scale รวมถึงมีสินค้าหมุนเวียนตลอด ไม่อยู่นิ่ง มีการคิดค้นนวัตกรรม/ความสร้างสรรค์ ด้วยการออก รสชาติหรือไลน์โปรดักส์ใหม่ๆ แม้ผลิตภัณฑ์เดิมจะยังได้รับความนิยม แต่การสร้างสีสันให้แบรนด์และตลาดยังเป็นแรงหนุนสำคัญของธุรกิจ อีกทั้งผู้เล่นรายใหญ่ยังบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายด้านการตลาดได้ จึงสามารถจัดโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขายได้อย่างสม่ำเสมอ นำไปสู่การรับรู้แบรนด์ของผู้บริโภคและหนุนให้เกิดการบริโภค ขณะที่ผู้เล่นรายเล็กจะแข่งขันในตลาดได้ยากกว่า แม้ผู้เล่นรายใหญ่จะครองตลาดได้ แต่ในแง่การแข่งขันของผลิตภัณฑ์ก็ไม่ง่ายนัก เพราะต้องแข่งขันกันเองระหว่างผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวที่มีความหลากหลาย และยังต้องแข่งข้ามผลิตภัณฑ์ด้วยอย่างอาหารทานเล่นอื่นในตลาด เช่น ขนมหวาน ติ่มซ่า เฟรนช์ฟรายส์ ลูกชิ้น เป็นต้น ส่งผลให้ตลาดขนมขบเคี้ยวเติบโตได้จำกัดตามการเพิ่มความถี่ในการบริโภคที่ทำได้ยาก ทำให้ผู้เล่นบางรายมักทำการตลาดเพื่อดึงดูดและสร้างสีสันในการกระตุ้นยอดขายโดยเฉพาะในกลุ่มเป้าหมายหลักอย่างวัยรุ่น เช่น ออกของสะสมอย่างการ์ดเกม ซึ่งเป็นที่นิยม รวมถึงเหรียญ สติกเกอร์ และตุ๊กตา เป็นต้น            ขณะที่ขนมขบเคี้ยวนำเข้าที่หลากหลายรวมถึงอาหารฟาสต์ฟู้ดสัญชาติจีนและเกาหลีอย่างไก่ทอดที่เป็นที่นิยม ก็เข้ามาตีตลาดไทยเพิ่มขึ้น จะยิ่งทำให้การแข่งขันของตลาดขนมขบเคี้ยวในประเทศรุนแรงขึ้นอีก ทั้งนี้ ขนมขบเคี้ยวนำเข้าแม้จะมีปริมาณไม่มาก แต่ในปี 2563-2566 พบว่า ปริมาณการนำเข้าขนมปังกรอบและเวเฟอร์เติบโตเฉลี่ยกว่า 8% ต่อปี และในช่วง 10 เดือนแรกปี 2567 โตถึง 11% ส่วนการส่งออกขนมขบเคี้ยวไทยที่มีสัดส่วนปริมาณราว 18% ก็มีความเสี่ยง โดยในปี 2564-2566 ปริมาณส่งออกขนมขบเคี้ยวไทยหดตัวเฉลี่ย 0.5% ต่อปี และแม้ในช่วง 10 เดือนแรกปี 2567 จะพลิกโตเป็นบวกที่ 7% แต่ไปข้างหน้าก็ยังต้องเผชิญการแข่งขันรุนแรง โดยเฉพาะในตลาดจีน ที่มีทั้งแบรนด์ขนมเก่าและใหม่ในตลาดจำนวนมาก อีกทั้งยังมีราคาถูก จะเป็นปัจจัยกดดันการส่งออกขนมขบเคี้ยวของไทย            กลุ่มขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ด เป็นตลาดใหญ่ที่สุด ประกอบด้วยมันฝรั่งทอดกรอบและขนมขบเคี้ยวประเภทต่างๆ โดยในปี 2568 คาดว่ายอดขายขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ดจะขยายตัวที่ 1.4% ชะลอจาก 4.2% ในปี 2567 (รูปที่ 5) ทั้งนี้ แม้จะเป็นกลุ่มที่เติบโตได้น้อยกว่าภาพรวมตลาด แต่ด้วยขนมกลุ่มนี้มีลักษณะของแบรนด์ที่แข็งแกร่ง (Brand Power) หรือพลังของแบรนด์ที่ทำให้ผู้บริโภคมีความภักดีต่อแบรนด์สูง จึงช่วยหนุนและรักษาระดับยอดขายให้ยังครองส่วนแบ่งตลาดที่ใหญ่ที่สุดในตลาดขนมขบเคี้ยว สะท้อนจากมันฝรั่งทอดกรอบของผู้เล่นรายใหญ่ ได้ถูกจัดอันดับให้เป็นสุดยอดแบรนด์ทรงพลังที่สุดในกลุ่มขนมขบเคี้ยวในงาน The Most Powerful Brands of Thailand 2567 กลุ่มขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ด            คาดว่าจะมียอดขายเติบโตในปี 2568 ตามการขยายตัวของจำนวนผู้เดินทางท่องเที่ยวในไทยทั้งคนไทยและคนต่างชาติ แต่คงมีแนวโน้มเติบโตช้าลงจากฐานที่สูงในปี 2567 ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2567 จำนวนคนไทยเดินทางท่องเที่ยวเติบโตที่ 9.4% ขณะที่จำนวนคนต่างชาติเดินทางท่องเที่ยวเติบโตสูงถึง 22.9% โดยมีค่าใช้จ่ายในหมวดอาหารและเครื่องดื่มซึ่งรวมถึงขนมขบเคี้ยวของคนต่างชาติคิดเป็น 23% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด (ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา)            นอกจากนี้ ผู้บริโภคมักนิยมบริโภคขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ดไปพร้อมกับการสตรีมวิดีโอและการมีอีเวนต์ใหญ่ ซึ่งในปี 2568 จำนวนผู้ใช้การสตรีมวิดีโอของไทยเพื่อรับชมภาพยนตร์ รายการทีวี วิดีโอ YouTube และการถ่ายทอดสด เช่น กีฬา เพลง เป็นต้น มีแนวโน้มเติบโตแต่คงชะลอลง ประกอบกับในอีกด้านหนึ่ง ด้วยจำนวนอีเวนต์ใหญ่ในปี 2568 ที่ลดลงเหลือเพียงกีฬาซีเกมส์ช่วงปลายปี เทียบกับปี 2567 ที่มีทั้งกีฬาโอลิมปิกและฟุตบอลยูโร ทำให้ภาพรวมการบริโภคขนมขบเคี้ยวกลุ่มนี้เติบโตได้ไม่มาก ทั้งนี้ ในช่วงที่มีการจัดฟุตบอลโลกจะช่วยหนุนการบริโภคขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ดของไทยให้เพิ่มขึ้นราว 2 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันที่ไม่มีการจัดฟุตบอลโลก            อย่างไรก็ตาม ในส่วนของวัตถุดิบซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตหลักราว 30% ของต้นทุนการผลิตรวม โดยในปี 2568 ราคาวัตถุดิบหลักอย่างมันฝรั่งมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนของธุรกิจเพิ่มขึ้น จึงลดโอกาสในการทำการตลาดของธุรกิจเพื่อกระตุ้นยอดขาย เช่น การทำโปรโมชั่น (รางวัล ส่วนลด) สะท้อนจากค่าใช้จ่ายในการขายที่ลดลง ซึ่งสวนทางกับราคาวัตถุดิบทำให้การแข่งขันด้านราคาทำได้อย่างจำกัด กลุ่มขนมปังกรอบและบิสกิต            ประกอบด้วยขนมปังกรอบและบิสกิต (แครกเกอร์ คุกกี้ และเวเฟอร์) โดยในปี 2568 คาดว่ายอดขายขนมปังกรอบและบิสกิตจะขยายตัวที่ 2.7% ชะลอจาก 8.7% ในปี 2567 ขนมปังกรอบและบิสกิตคาดว่าจะมียอดขายเติบโตในปี 2568 จากแรงหนุนของความเป็นเมือง ซึ่งมีความเร่งรีบในการบริโภคเพื่อรองท้องหรือทดแทนมื้ออาหารหลัก สะท้อนผ่านจำนวนคนในเมืองของไทยที่เพิ่มขึ้นในปี 2563-2566 เป็น 37.6 ล้านคน จากปี 2559-2562 ที่ 35.2 ล้านคน (ข้อมูลจาก Our World in Data)สอดคล้องกับปริมาณขายขนมปังกรอบและแครกเกอร์ที่เพิ่มขึ้นเป็น 8.5 หมื่นตัน จาก 8.3 หมื่นตัน            นอกจากนี้ ผู้บริโภคไทยมักซื้อขนมปังกรอบและบิสกิตผ่านช่องทางร้านค้าปลีกสมัยใหม่เป็นหลัก โดยเฉพาะในไฮเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อที่มีสัดส่วนสูงถึง 56% ของช่องทางขายทั้งหมด            อย่างไรก็ดี ตลาดขนมปังกรอบและบิสกิตจะได้รับผลกระทบจากราคาวัตถุดิบหลักบางรายการในปี 2568 ที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นตามราคาตลาดโลก จากการคาดการณ์ของ World Bank โดยเฉพาะราคาน้ำตาล คาดเพิ่มขึ้น 2.2% และราคาเนยคาดเพิ่มขึ้น 6.4% ซึ่งจะกระทบทิศทางการทำการตลาดของธุรกิจคล้ายกับกรณีของกลุ่มขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ดดังกล่าวข้างต้น กลุ่มขนมที่ทำมาจากสาหร่าย/เนื้อสัตว์/ธัญพืช            ประกอบด้วยขนมขบเคี้ยวที่ทำมาจากสาหร่าย เนื้อปลา/ปลาหมึก/กุ้ง/หมู/ไก่ และถั่ว โดยในปี 2568 คาดว่ายอดขายขนมที่ทำมาจากสาหร่าย/เนื้อสัตว์/ธัญพืช จะขยายตัวที่ 2.4% ชะลอจาก 5.6% ในปี 2567            ขนมที่ทำมาจากสาหร่าย/เนื้อสัตว์/ธัญพืช คาดจะมียอดขายเติบโตในปี 2568 จากแรงหนุนของกระแสรักสุขภาพมากขึ้น เช่น บริโภคโปรตีนมากขึ้น รวมถึงการบริโภคโซเดียมที่ลดลง ซึ่งแม้ขนมกลุ่มสาหร่าย/เนื้อสัตว์/ธัญพืชจะมีปริมาณโซเดียมใกล้เคียงกับกลุ่มขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ดในน้ำหนักที่เท่ากัน แต่ปัจจุบันผู้ประกอบการขนมกลุ่มสาหร่ายรายใหญ่ได้ลดโซเดียมลง 50% ขณะที่ขนมกลุ่มมันฝรั่งทอดรายใหญ่ลดโซเดียมลง 30% ทำให้ผู้บริโภคบางส่วนหันมาบริโภคขนมกลุ่มสาหร่ายทดแทนมากขึ้น            อย่างไรก็ตาม ความต้องการขนมขบเคี้ยวที่ทำจากสาหร่าย/เนื้อสัตว์/ธัญพืชของคนต่างชาติที่ซื้อเป็นของฝาก โดยเฉพาะสาหร่ายทอดที่เป็นของฝากยอดนิยม จะมีแนวโน้มเติบโตช้าลงตามจำนวนคนต่างชาติเดินทางท่องเที่ยวไทยที่โตชะลอ โดยมีค่าใช้จ่ายในการซื้อของฝาก ซึ่งรวมถึงขนมขบเคี้ยวของคนต่างชาติราว 18% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด (ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) ขณะที่ผู้ประกอบการในห่วงโซ่ขนมขบเคี้ยวไทยอยู่ที่ในตลาดหลักทรัพย์ ประกอบไปด้วย BJC CHAO CH KCG NSL PM SNP SNNP SORKON TKN TU            นายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจในประเทศ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP ผู้นำด้านเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวในประเทศไทย เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า คาดว่าตลาดขนมขบเคี้ยวในปี 2568 จะเติบโตต่อเนื่องจากปี 2567 โดยประมาณ 3-5% ขึ้นอยู่กับแต่ละกลุ่มสินค้า ขณะที่ภาพรวมในปี 2567 SNNP ยังคงเติบโตได้ดี โดยเฉพาะในกลุ่มเจเล่พร้อมดื่ม และเบนโตะ ซึ่ง SNNP มีส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ในกลุ่มเบนโตะสูงถึง 70% ส่วนกลุ่มเจเล่พร้อมดื่ม บริษัทสามารถผลักดันการเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ            สำหรับแผนการตลาดในการจำหน่ายขนมขบเคี้ยวในปี 2568 บริษัทจะดำเนินการตลาดแต่ละแบรนด์เพื่อกระตุ้นการบริโภคและการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2567 โดยทั่วไป สินค้าที่มีมาร์เก็ตแชร์สูงหรือได้รับความนิยมมักจะต้องใช้งบประมาณในการโฆษณาเพื่อส่งเสริมการตลาดและกระตุ้นยอดขาย ขณะที่กลยุทธ์การตลาดในแต่ละกลุ่มสินค้าอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับการเจาะตลาดและกลุ่มเป้าหมายของสินค้านั้น ๆ เบื้องต้นบริษัทวางงบการตลาดปี 2568 ไว้ไม่เกิน 3% ของยอดขาย            บริษัทคาดว่าเป้าหมายการเติบโตในปี 2568 จะอยู่ในช่วงตัวเลข 2 หลัก (Two-Digit Growth) โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำแผนการตลาดเพื่อผลักดันยอดขายให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง            ด้านบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาด SNNP กำไรใน 4Q67 คาดกลับมาทำ New High อีกครั้ง            คาดกำไรปกติใน 4Q67 ของ SNNP เบื้องต้นอยู่ในกรอบ 170-180 ล้านบาท กลับมาทำ New High ได้อีกครั้ง หนุนจาก 1) การเข้าสู่ช่วง High season ของทั้งไทยและต่างประเทศ รวมถึงการได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐฯ ที่เข้ามาช่วยหนุนกำลังซื้อของผู้บริโภคในช่วงท้ายปี 2) คำสั่งซื้อในเวียดนามที่คาดจะสามารถเห็นการฟื้นตัว QoQ ได้ หนุนจากการปรับโครงสร้างการกระจายสินค้าที่เสร็จสิ้นไปแล้วกว่า 80% ส่งผลให้ผู้จัดจำหน่ายบางส่วนเริ่มกลับมาสั่งซื้อสินค้ามากขึ้น แต่อาจยังลดลงหากเทียบ YoY เนื่องจากกำลังการผลิตในปัจจุบันที่จำกัด 3) การรับรู้ผลของการเพิ่มผู้จัดจำหน่ายรายที่ 2 ในฟิลิปปินส์เต็มไตรมาส ขณะที่ GPM คาดสูงขึ้นต่อเนื่อง QoQ หนุนจาก U-rate ที่ปรับตัวสูงขึ้นจากทั้งโรงงานในไทยและเวียดนาม            นอกจากนี้ในปัจจุบันบริษัทกำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้จัดจำหน่ายรายที่ 3 ในฟิลิปปินส์ที่มีความชำนาญด้านการจัดจำหน่ายในร้าน Traditional Trade ซึ่งทางผู้บริหารให้ข้อมูลว่าจะสามารถเซ็นสัญญากับผู้จัดจำหน่ายดังกล่าวได้ภายใน 4Q67-1Q68 ซึ่งเป็น Upside ที่ยังไม่รวมอยู่ในประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์            คาดจะสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง YoY หนุนจาก 1) ยอดคำสั่งซื้อจากเวียดนามที่คาดกลับเข้าสู่ระดับปกติใน 1Q68 จากการเพิ่มการทำงานของเครื่องจักรเป็น 2 กะ (16 ชม.) จากในช่วง 4Q67 ที่ 1 กะ (8 ชม.) และ 2) การรับรู้ผลของการเพิ่มผู้จัดจำหน่ายรายที่ 3 เต็มไตรมาส รวมถึง GPM ที่คาดจะปรับตัวสูงขึ้นต่อ QoQ จาก U-rate ของโรงงานในเวียดนามที่ดีขึ้นและ Product Mix ที่ดีขึ้นเนื่องจากอัตรากำไรของเวียดนามสูงกว่าไทย            ฝ่ายวิเคราะห์คงประมาณการกำไรปกติปี 2567 ที่ 667 ล้านบาท (+4.8% YoY) และคาดว่ากำไรจะยังสามารถเติบโตได้ต่อในปี 2568 เป็น 772 ล้านบาท (+15.8% YoY) โดยเป็นผลมาจาก 1) ยอดขายในเวียดนามที่กลับเติบโตจากการปรับกลยุทธ์การกระจายสินค้าที่สิ้นสุดลง รวมถึงการเพิ่มระยะเวลาการผลิตของเครื่องจักรตั้งแต่ 1Q68 2) ยอดขายในฟิลิปปินส์ที่เติบโตจากการรับรู้ผลของการเพิ่มผู้จัดจำหน่ายเต็มปี และ 3) ยอดขายในประเทศที่เติบโตอย่างต่อเนื่องจากการออกสินค้าใหม่มากขึ้น            คงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2568 ที่ 20.80 บาท อิง PE ที่ 22.0 เท่า โดยราคาหุ้นในปัจจุบันซื้อขายบน PER67-68 เพียง 16.8 เท่า และ 14.6 เท่า ตามลำดับ จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” เรามองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมาสะท้อนปัจจัยลบจากยอดขายในเวียดนามที่อ่อนแอไปมากแล้ว เชิงกลยุทธ์แนะนำสะสม

วิเคราะห์ผู้เล่นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์: HANA [HoonVision x FynCorp]

วิเคราะห์ผู้เล่นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์: HANA [HoonVision x FynCorp]

เซมิคอนดักเตอร์ในไทย เริ่มก้าวสู่อุตสาหกรรมต้นน้ำ           หากพูดถึงอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนสำคัญในอุปกรณ์ คงหนีไม่พ้น เซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นแผงวงจรควบคุมและประมวลผลข้อมูลในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เกือบทุกชนิด ปัจจุบัน อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โดยเฉพาะการผลิตชิป ถือเป็นอุตสาหกรรมสำคัญของโลกที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยมูลค่าตลาดที่ถูกคาดว่าจะสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2573 ตามความต้องการใช้ AI, Data Center, IoT, EV, เครื่องมือแพทย์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งต้องใช้หน่วยประมวลผลที่ทำจากเซมิคอนดักเตอร์เป็นส่วนประกอบหลัก           หากดูจากห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญในส่วนกลางน้ำ (Midstream) และปลายน้ำ (Downstream) ซึ่งจะเป็นขั้นตอนการผลิตชิ้นส่วนประกอบ (components) และผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป (finished goods) เช่น การประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ (OSAT) การผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) โดยในปี 2566 BOI รายงาน ไทยมียอดส่งออกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 2.5 ล้านล้านบาท หรือ 25% ของการส่งออกทั้งหมด โดยเป็นมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์ เช่น วงจรรวม (IC) เซมิคอนดักเตอร์ไดโอด และอุปกรณ์ต่างๆ มูลค่า 5.1 แสนล้านบาท           นอกจากนี้ การขอรับส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นอย่างมากในไทยช่วง 2 ปีมานี้ โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา จีน ยุโรป ไต้หวัน และญี่ป่น จนในปี 2567 รัฐบาลได้ประกาศ นโยบายสส่งเสริมให้ไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงแห่งชาติ (บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์) ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มที่สำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในประเทศ           บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์ ตั้งเป้าดึงเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท ในระยะเวลา 5 ปี (2568-2572) เพื่อยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางการผลิตเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงในภูมิภาค ซึ่งในเดือนธันวาคม 2567 บริษัท ยูนิค อินทิเกรตเต็ด เทคโนโลยี ผู้ผลิตอุปกรณ์และโมดูลสำหรับเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ระดับต้นน้ำ ภายใต้กลุ่ม Foxsemicon Integrated Technology Inc. (FITI) ในเครือของ Foxconn เข้ามาตั้งฐานการผลิตแห่งที่ 4 ของโลกในไทย ด้วยเงินลงทุนในเฟสแรก 10,500 ล้านบาท โดยตั้งโรงงาน 2 แห่งที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี และนิคมอมตะซิตี้ ระยอง ซึ่งบริษัทมีโรงงานอยู่ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา           ดังนั้น การที่ FITI เข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทย จะเป็นขั้นตอนที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูงสุดในห่วงโซ่อุปทาน เช่น การออกแบบวงจรรวม (IC Design) และการผลิตแผ่นเวเฟอร์ (Wafer Fabrication) และจะเป็นโอกาสในการสร้างพันธมิตรที่ดีของผู้เล่นอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในไทยได้ อีกทั้ง ในปี 2567 นี้ ผู้เล่นในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อย่าง HANA ได้มีแผนร่วมทุนสร้างโรงงานผลิตชิป (Wafer Fabrication) แห่งแรกในไทย ซึ่งทั้งหมดนี้ ถือเป็นจุดสำคัญที่ไทยจะเริ่มเข้าสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับต้นน้ำ HANA: 1 ใน 50 บริษัทรับจ้างผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของโลก           บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) (HANA) ซึ่งบริษัทแม่ได้ก่อตั้งขึ้นในปี 2521 และได้เข้าจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2536 บริษัทและบริษัทย่อยให้บริการผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร (Electronics Manufacturing Service: EMS) แก่ลูกค้า (Original Equipment Manufacturer: OEM) ผ่านฐานการผลิตรวมทั้งสิ้น 7 แห่ง ตั้งอยู่ที่ประเทศไทย จีน สหรัฐอเมริกา กัมพูชา และเกาหลี ซึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักของ HANA แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ การผลิตและประกอบแผงวงจร “PCBA” การผลิตและประกอบและทดสอบวงจร “IC” และการผลิตและประกอบ RFID และ Liquid Crystal on Silicon “LCOS”           1) ผลิตภัณฑ์ประเภทแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCBA) - Printed Circuit Board Assembly Source: 56-1 One Report 2566           PCBA เป็นการประกอบแผงวงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ลงบนแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ที่เป็นฐานสำหรับยึดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเชื่อมต่อวงจรให้แผ่นวงจรไฟฟ้าให้สามารถทำงานได้ โดย HANA มีโรงงานผลิต PCBA 3 แห่ง อยู่ที่จังหวัดลำพูน ประเทศไทย ที่เมืองเจียซิง ประเทศจีน และจังหวัดเกาะกง ประเทศกัมพูชา 2) ผลิตและทดสอบการทำงานของผลิตภัณฑ์แผงวงจรไฟฟ้ารวม (IC Assembly) Source: 56-1 One Report 2566           แผงวงจรไฟฟ้ารวม (IC) คือ สารกึ่งตัวนำที่ประกอบด้วยส่วนประกอบวงจร เช่น ตัวต้านทาน (Resistor) ตัวเก็บประจุตัวเหนี่ยวนำ ทรานซิสเตอร์ ไดโอด เป็นต้น ซึ่งเชื่อมต่อด้วยสายไฟวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับการพัฒนาขนาดที่เล็กลง โดยโรงงานประกอบ IC ของบริษัทมี 3 แห่ง ได้แก่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเทศไทย เมืองเจียซิง ประเทศจีน และที่จังหวัดชุงชองบุกโด ประเทศเกาหลีใต้ 3) การผลิตและประกอบ RFID Source: 56-1 One Report 2566           RFID หรือ Radio Frequency Identification คือ อุปกรณ์แสดงตำแหน่งหรือระบุตัวตน ด้วยการอ่านรหัสคลื่นวิทยุ ใช้สำหรับรับส่งข้อมูลอย่างรวดเร็วแบบไร้สาย ส่วน Microdisplay เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการเปลี่ยนสัญญาณทางไฟฟ้าเป็นสัญญาณภาพที่มีความละเอียดสูง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ LCoS (Liquid Crystal on Silicon) อุปกรณ์ MEMS หรือ HTP (High-Temperature Polysilicon) ซึ่งใช้เป็นชิ้นส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ เช่น แว่นตาแสดงภาพเหมือน (Virtual and Augmented Reality Goggles) เครื่องฉายภาพ (Multimedia Projector) เป็นต้น โดยโรงงานผลิตตั้งอยู่ที่ เมืองทวินส์เบิร์กและโซลอน รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา โครงสร้างรายได้           บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์ PCBA เป็นหลัก คิดเป็น 61% ของรายได้จากการขายทั้งหมดในปี 2566 ตามมาด้วยผลิตภัณฑ์ IC Assembly หรือ 33% ส่วน RFID & Microdisplay มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 6% ซึ่งแบ่งรายได้ตามประเทศที่ตั้งหน่วยการผลิตได้ตามรูปด้านล่าง Source: 56-1 One Report 2566 สภาพตลาดและการแข่งขัน           HANA ถือว่าเป็น 1 ใน 50 บริษัทรับจ้างผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของโลก ซึ่งมีเพียงไม่กี่ผู้เล่นในไทยที่ทำธุรกิจเช่นนี้ แต่ถ้าดูผู้เล่นในไทยที่ผลิต PCBA จะเป็น SMT, Benchmark, Fabrinet และ SVI ส่วนคู่แข่งในด้าน IC Assembly ได้แก่ UTAC และ SMT ขณะที่ผู้เล่นรายใหญ่นอกประเทศที่ให้บริการผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร อย่างเช่น IMI, Flextronics, Solectron, Plexus และ Pemstar นี้ บริษัทหลีกเลี่ยงที่จะแข่งขันโดยตรง โดยเน้นการรับจ้างผลิตและประกอบชิ้นส่วนผลิตภัณฑ์ประเภทไมโครอิเล็กทรอนิกส์ การร่วมทุนกับกลุ่ม ปตท. ลงทุนสร้างโรงงานผลิตชิปแห่งแรกในไทยภายใน 2 ปี ยังอยู่ระหว่างประเมินสถานการณ์           บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ และกลุ่ม ปตท. มีแผนร่วมทุนสร้างโรงงานผลิตชิปชนิดซิลิคอนคาร์ไบด์ (SiC) แห่งแรกของไทย (Wafer Fabrication) ภายใต้ บริษัท เอฟทีวัน คอร์เปอเรชั่น จำกัด (FT1) ภายหลังที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมจาก BOI ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 และออกบัตรส่งเสริมในเดือนสิงหาคม 2567 โดยโรงงานจะถูกก่อสร้างในพื้นที่สวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ จังหวัดลำพูน ด้วยระยะเวลาก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักร 2 ปีโดยประมาณ และคาดว่าจะเริ่มผลิตในช่วงไตรมาสแรก ปี 2570 Source: 56-1 One Report 2566           บริษัท เอฟทีวัน คอร์เปอเรชั่น จำกัด มีแผนลงทุนกว่า 11,500 ล้านบาท เพื่อจัดตั้งโรงงานผลิตชิปต้นน้ำแห่งแรกในประเทศไทย เป็นชิป (Wafer) ชนิดซิลิคอนคาร์ไบด์ (SiC) เป็นวัตถุดิบชนิดใหม่ มีคุณสมบัติแตกต่างจากชิปทั่วไปที่ผลิตจากซิลิคอน ตรงที่มีความสามารถทนไฟขั้นสูงสามารถแปลงแรงดันไฟฟ้ากำลังสูง เหมาะกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้งานในวงกว้างตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้าระดับไฮเอนด์ เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ในครัวเรือน อุปกรณ์ Cloud Computing อินเวอร์เตอร์ไฟฟ้า EV/OBC รวมทั้งในอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน ซึ่งทำให้ SiC มีความยากในการผลิตและต้นทุนสูง           อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ความต้องการในอุตสาหกรรม (FT1 Business Demand) ที่ชะลอตัวลงในปัจจุบัน ทำให้บริษัทยังคงจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิดจนกว่าจะถึงช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 ถึงความเหมาะสมที่จะตัดสินใจลงทุน ระยะเวลาเริ่ม รวมถึงมูลค่าเงินที่จะลงทุนในโครงการ Risk Factors ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจโลก เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ราคาขายและอุปสงค์ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจในตลาดโลกที่เกิดขึ้นจากปัจจัยต่างๆ เช่น สงครามการค้า ภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย สภาพเศรษฐกิจที่คาดว่าจะถดถอยและปัญหาพลังงาน           อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านนี้ โดยการรักษาฐานลูกค้าและกระจายการผลิตสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเพื่อลดผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก และจากนโยบายการค้าของสหรัฐที่ทำให้เกิดความเสียเปรียบทางธุรกิจสำหรับโรงงานผลิตในจีน บริษัทจึงปรับกลยุทธ์โดยมุ่งเน้นลูกค้าในจีนเป็นหลัก ทั้งนี้ สงครามการค้าอาจสร้างโอกาสทางธุรกิจให้โรงงานในประเทศที่เหลือของบริษัท ความเสี่ยงของระบบห่วงโซ่อุปทาน ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิตสามารถเกิดขึ้นได้อีกโดยเฉพาะจากปัจจัยความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงอยู่ ขณะที่ห่วงโซ่อุปทานโลกมีความซับซ้อนและบูรณาการมากขึ้น ทำให้บริษัทมีการประสานงานและทำงานอย่างใกล้ชิดกับซัพพลายเออร์ในส่วนวัตถุดิบและชิ้นส่วนหลักในการผลิตซึ่งส่วนใหญ่เป็นคู่ค้าที่เป็นพันธมิตร ความเสี่ยงของฐานลูกค้ารายใหญ่ ถือเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงหลักที่กลุ่มฐานลูกค้ารายใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีสาระสำคัญ เช่น การเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ การเปลี่ยนเจ้าของกิจการหรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบผลิตภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการกระจายความเสี่ยงโดยมีสัดส่วนสินค้าที่ผลิต กระจายตัวอยู่ในตลาดที่หลากหลายในอุตสาหกรรมและมีสัดส่วนการกระจายการพึ่งพิงลูกค้ารายใหญ่ด้วยการขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มขึ้น โดยลูกค้ารายใหญ่ที่สุดมียอดขายไม่เกินร้อยละ 20 ของยอดขายกลุ่มบริษัท หุ้น HANA           หุ้น HANA มี Market Cap อยู่ที่ 21,514.41 ล้านบาท (อิงข้อมูล ณ วันที่ 19 ธันวาคม 67) หรือเป็นอันดับที่ 4 ให้หุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (ETRON) โดยผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกปี 2567 ยังคงได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นส่งผลต่อต้นทุนเพิ่ม ทำให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานลดลง รวมถึงการตั้งด้อยค่าสินค้าคงคลัง ขณะที่ความต้องการใน SiC ยังคงอ่อนตัวลงและราคาลดลงจากการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ชะลอตัว รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับภาษี EV ที่กระทบต่อการผลิตที่ตลาดจีน           อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 3 ปี 2567 หน่วยงานพาวเวอร์ มาสเตอร์ เซมิคอนดักเตอร์ในเกาหลีใต้ (PMS) และหน่วยงานฮานา เทคโนโลยี (HTI) ในสหรัฐอเมริกามียอดขายเพิ่มขึ้น 40% YoY และ 20% YoY ตามลำดับ Unit: THB Million           ในด้านเงินปันผล บริษัทมีนโยบายการจ่ายปันผลตั้งแต่ 30% ของกำไรสุทธิของงบการเงินรวมหลังหักเงินสำรองต่างๆทุกประเภท ซึ่งจะขึ้นอยู่กับการลงทุนและกระแสเงินสด โดยล่าสุด (13 ธันวาคม 67) บริษัทได้จ่ายปันผลเป็นเงินสด 0.25 บาทต่อหุ้น (DPS) ซึ่งมูลค่าที่ลดลงอาจเกิดจากการวางแผนเก็บเงินสดไว้ลงทุน อย่างเช่นการสร้างโรงงาน หรือเน้นการเติบโตในระยะยาวมากกว่า รายละเอียดเพิ่มเติม ที่ https://app.visible.vc/shared-update/8ebd9f84-5a2d-47c2-a2c5-068bd4084898

PTTEP รุกแอลจีเรีย! ทุ่มซื้อหุ้น 34% โครงการ Touat

PTTEP รุกแอลจีเรีย! ทุ่มซื้อหุ้น 34% โครงการ Touat

        หุ้นวิชั่น - บริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ขอแจ้งว่า เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 บริษัท PTTEP SG Holding Pte. Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท.สผ. ได้ลงนามในสัญญาซื้อขาย (Sale and Purchase Agreement: SPA) เพื่อเข้าซื้อหุ้นทุนในสัดส่วนร้อยละ 34 ในบริษัท E&E Algeria Touat B.V. จากบริษัท ENGIE International Corporation B.V. (ENGIE) ทั้งนี้ การซื้อขายจะมีผลสมบูรณ์เมื่อบรรลุเงื่อนไขตามที่ระบุไว้ในสัญญาครบถ้วน รวมถึงการได้รับอนุมัติจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง โดยคาดว่าจะมีผลสมบูรณ์ภายในไตรมาส 2 ปี 2568 ซึ่งจะส่งผลให้ ปตท.สผ. ถือสัดส่วนการลงทุนทางอ้อมในโครงการ Touat ที่ร้อยละ 22.1 ทั้งนี้ ผู้ร่วมทุนอื่นในโครงการประกอบด้วยบริษัท Eni Energy Touat Holding B.V. (บริษัทย่อยของ ENI) และบริษัท SONATRACH S.P.A. (บริษัทน้ำมันแห่งชาติของประเทศแอลจีเรีย) ซึ่งถือสัดส่วนร้อยละ 42.9 และ 35 ตามลำดับ โครงการ Touat เป็นโครงการผลิตก๊าซธรรมชาติภายใต้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (Production Sharing Contract: PSC) ตั้งอยู่ในแหล่งปิโตรเลียมบนบก Timimoun ในประเทศแอลจีเรีย โดยมีประมาณการปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติคงเหลือ 1.92 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต และก๊าซธรรมชาติเหลว (Condensate) คงเหลือ 5.4 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ (ณ วันที่ 1 มกราคม 2567) โครงการดังกล่าวได้เข้าสู่ระยะการผลิตแล้วตั้งแต่ปี 2562 และปัจจุบันมีกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติที่ประมาณ 435 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน พร้อมทั้งมีโอกาสในการเพิ่มกำลังการผลิตในอนาคต การเข้าลงทุนดังกล่าวสอดคล้องกับกลยุทธ์ของ ปตท.สผ. ในการขยายการลงทุนในต่างประเทศ โดยประเทศแอลจีเรียเป็นประเทศที่มีศักยภาพปิโตรเลียมสูง รวมถึงมีความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานและตลาดรองรับการส่งออกก๊าซธรรมชาติ อีกทั้งโครงการยังมีความเสี่ยงในระดับต่ำ เนื่องจากอยู่ในระยะผลิตแล้ว เมื่อการซื้อขายมีผลสมบูรณ์ จะสามารถเพิ่มรายได้ ปริมาณการผลิต และปริมาณสำรองปิโตรเลียม ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวให้กับ ปตท.สผ. ได้ทันที เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการเติบโตของบริษัทต่อไป

BEC ขายเงินลงทุนใน BID จำนวน 499,993 หุ้น

BEC ขายเงินลงทุนใน BID จำนวน 499,993 หุ้น

          หุ้นวิชั่น - นายนพดล เขมะโยธิน รองกรรมการผู้อำนวยการ สำนักงานการเงินและบัญชี บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ("บริษัทฯ")หรือ BEC แจ้งต่อ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 11/2567 เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทฯ ขายเงินลงทุนทั้งหมดที่บริษัทฯ ถืออยู่ในบริษัท บีอีซี อินเตอร์เนชั่นแนล ดิสทริบิวชั่น จำกัด ("BID") จำนวน 499,993 หุ้น (คิดเป็นร้อยละ 99.99 ของทุนจดทะเบียน) ให้กับบุคคลธรรมดา ซึ่งไม่เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน ในราคารวมทั้งสิ้น 5,000 บาท ซึ่งสูงกว่ามูลค่าเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียที่แสดงในงบการเงินรวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 โดยมีรายละเอียดของรายการดังนี้ วัน เดือน ปีที่เกิดรายการ: ภายในเดือนธันวาคม 2567 คู่สัญญาที่เกี่ยวข้อง บริษัทฯ และผู้ซื้อไม่ถือเป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน วัตถุประสงค์ เป็นการขายเงินลงทุนในบริษัทย่อยตามแผนบริหารการลงทุนของบริษัท เนื่องจาก BID เกิดผลขาดทุนสะสมสูงกว่าทุนจดทะเบียน ปัจจุบันไม่ได้ประกอบธุรกิจและมีภาระค่าใช้จ่ายในการคงสภาพบริษัท ซึ่งจะช่วยให้บริษัทฯ ลดภาระค่าใช้จ่ายในการคงสภาพบริษัท รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินการชำระบัญชีเพื่อปิดบริษัท ลักษณะรายการ การคำนวณขนาดของรายการสามารถคำนวณได้ตามเกณฑ์สูงสุด คือ เกณฑ์มูลค่ารวมของสิ่งตอบแทน (ตามงบการเงินรวมของบริษัทฯ ที่สอบทานแล้วสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2567) และไม่มีรายการที่เกิดขึ้นย้อนหลัง 6 เดือนที่ผ่านมา โดยขนาดรายการที่คำนวณได้มีขนาดรายการเท่ากับร้อยละ 0.98 ซึ่งต่ำกว่าร้อยละ 15 จึงไม่เข้าข่ายที่จะต้องรายงานสารสนเทศตามประกาศรายการได้มาหรือจำหน่ายไปตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ.20/2551 (รวมทั้งที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม) อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีหน้าที่รายงานการจำหน่ายบริษัทย่อยตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่องหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเกี่ยวกับการเปิดเผยสารสนเทศและการปฏิบัติการใดๆ ของบริษัทจดทะเบียน พ.ศ.2560 เนื่องจากเป็นกรณีที่บริษัทจดทะเบียนจำหน่ายไปซึ่งเงินลงทุนในบริษัทอื่น ซึ่งเป็นผลให้บริษัทอื่นนั้นสิ้นสภาพในการเป็นบริษัทย่อยของบริษัทจดทะเบียน มูลค่ารวมของสิ่งตอบแทนที่ไดมา 5,000 บาท

BCPG ตั้ง รวี บุญสินสุข เป็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ มีผล  1 ม.ค. 68

BCPG ตั้ง รวี บุญสินสุข เป็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ มีผล 1 ม.ค. 68

หุ้นวิชั่น - ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG ในการประชุม ครั้งที่ 16/2567  เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 มีมติแต่งตั้ง นายรวี บุญสินสุข ดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ (Chief Executive Officer & President) ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป [PR News]

IVF แจ้ง พลตำรวจโทธัชชัย ปิตะนีละบุตร ลาออก มีผล 19 ธ.ค.67

IVF แจ้ง พลตำรวจโทธัชชัย ปิตะนีละบุตร ลาออก มีผล 19 ธ.ค.67

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นางสาวเกศิณี กุลดิลก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินสไปร์ไอวีเอฟ จำกัด (มหาชน) หรือ IVF แจ้งข่าวต่อลาดหลักทรัพย์ ว่า บริษัท อินสไปร์ไอวีเอฟ จำกัด (มหาชน) ขอแจ้งให้ทราบว่า พลตำรวจโทธัชชัย ปิตะนีละบุตร ประธานกรรมการ และกรรมการอิสระ ได้ยื่นหนังสือของลาออก โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป เนื่องจากมีภารกิจทางราชการเพิ่มขึ้นตามที่ได้รับแต่งตั้งจากประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2567           ทั้งนี้ คณะกรรมการสรรหาและพิจารณาค่าตอบแทน จะดำเนินการสรรหาบุคคลที่เหมาะสม เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการบริษัทพิจารณาและแต่งตั้งให้เข้าดำรงตำแหน่งที่ว่างลงต่อไป

ORI ยื่นไฟลิ่งหุ้นกู้ใหม่ขาย 10-13 ก.พ. 68

ORI ยื่นไฟลิ่งหุ้นกู้ใหม่ขาย 10-13 ก.พ. 68

          ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ หรือ ORI ยื่นไฟลิ่งเตรียมเสนอขายหุ้นกู้ล็อตใหม่ 3 รุ่น คาดเปิดขายระหว่างวันที่ 10 – 11 และวันที่ 13 ก.พ.นี้ ระดับความน่าเชื่อถือ “BBB+/Stable” จากทริสเรทติ้ง กางพอร์ตที่อยู่อาศัย 9 เดือน ยอดขายแกร่ง 26,849 ล้าน ทะลุ 77% ของเป้าหมายทั้งปี พร้อมแบ็คล็อกแกร่ง 47,329 ล้าน กรุงเทพฯ-ปริมณฑล-EEC-ภูเก็ต คาดทยอยรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 4 จาก 3 โครงการร่วมทุนสร้างเสร็จใหม่มูลค่าโครงการกว่า 7,430 ล้าน คว้าอันดับหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ในระดับ “AAA” พร้อมรับการประเมิน CGR ระดับ 5 ดาวต่อเนื่อง 5 ปีซ้อน เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจอย่างต่อเนื่องและมั่นคง           นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่า บริษัทได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเตรียมเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2568 เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ต่อผู้ลงทุนทั่วไป และ ผู้ลงทุนสถาบัน (Public Offering) โดยหุ้นกู้ที่ออกจำหน่ายมีจำนวน 3 รุ่น ได้แก่ หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี 1 เดือน 8 วัน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.40-4.50% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.85% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 5.15% ต่อปี โดย เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567 ทริสเรทติ้ง ได้จัดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทที่ระดับ “BBB+” แนวโน้ม “คงที่” คาดว่าจะเสนอขายหุ้นกู้ 3 ชุดดังกล่าวในวันที่ 10-11 และ 13 ก.พ. 2568 นี้           ที่ผ่านมา ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค.-ก.ย.2567) บริษัทมียอดขายโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งกลุ่มบ้านจัดสรรภายใต้บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI และคอนโดมิเนียมภายใต้บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ORIGIN VERTICAL และบริษัทอื่นๆ ในเครือ รวมกันกว่า 26,849 ล้านบาท หรือคิดเป็นราว 77% ของเป้าหมายทั้งปี           ขณะเดียวกัน บริษัทยังมียอดโอนกรรมสิทธิ์จากทั้งกลุ่มโครงการร่วมทุน (Joint Venture หรือ JV) และกลุ่มโครงการที่ไม่ได้ร่วมทุน (Non-JV) เข้ามาอย่างต่อเนื่อง คิดเป็นยอดโอนกรรมสิทธิ์สะสม 9 เดือน 10,502 ล้านบาท เมื่อประกอบกับรายได้จากธุรกิจที่นอกเหนือจากที่อยู่อาศัยที่บริษัทได้วางรากฐานกระจายพอร์ตไว้อย่างต่อเนื่อง อาทิ ธุรกิจโรงแรมภายใต้แบรนด์ดัง 11 แห่ง ธุรกิจคลังสินค้าหลากทำเลเปิดดำเนินการแล้วรวมกว่า 270,414 ตร.ม. ส่งผลให้กำไรสุทธิทั้งเครือในช่วงดังกล่าวสะสมอยู่ที่ 1,318 ล้านบาท           “เรายังมียอดขายรอรับรู้รายได้ หรือ แบ็คล็อก ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 สูงถึง 47,329 ล้านบาท เนื่องจากที่ผ่านมาเราได้กระจายการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ตลอดจนหัวเมืองท่องเที่ยวศักยภาพอย่างภูเก็ต ซึ่งช่วยส่งเสริมให้เรามีทยอยรับรู้รายได้ได้อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องจนถึงราวปี 2571” นายพีระพงศ์ กล่าว           ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 4/2567 บริษัทจะมีโครงการร่วมทุนสร้างเสร็จใหม่ทั้งสิ้น 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 7,430 ล้านบาท ซึ่งมีแบ็คล็อกจาก 3 โครงการดังกล่าวแล้วกว่า 80% ได้แก่ 1.ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ สิรินธร สเตชั่น (Origin Plug & Play Sirindhorn Station) คอนโดมิเนียมเจาะตลาด Gen Y-Gen Z แห่งแรกของบริษัทในฝั่งธนบุรี ใกล้ MRT สิรินธร 2.โซ ออริจิ้น พหล 69 สเตชั่น (So Origin Phahol 69 Station) คอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว เพียง 50 เมตร และใกล้สนามบินดอนเมือง และ 3.ไนท์บริดจ์ สเปซ สุขุมวิท-พระราม 4 (Knightsbridge Space Sukhumvit-Rama 4) คอนโดมิเนียมใกล้ BTS พระโขนง           นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า การกระจายพอร์ตธุรกิจของบริษัทไปสู่กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัย เช่น ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจคลังสินค้า ตลอดจนธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ถือเป็นทิศทางที่บริษัทให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน โดยแนวโน้มของกลุ่มธุรกิจดังกล่าวเข้ามามีส่วนช่วยสร้างสมดุล และสร้างรายได้ให้แก่ให้พอร์ต โดยในช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย. 2567 โรงแรมในเครือมีอัตราเข้าพักเฉลี่ยถึง 75% ธุรกิจคลังสินค้ามีอัตราการเช่าเฉลี่ยถึง 90%           จากผลการดำเนินงานที่ต่อเนื่องและมั่นคง ใส่ใจสังคมและชุมชนรอบข้าง ส่งผลให้บริษัทได้รับคัดเลือกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ติดอันดับหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ถึง 4 ปีซ้อน พร้อมทั้งได้รับการปรับระดับจาก AA ในปี 2566 สู่ระดับ “AAA” สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทด้านความยั่งยืน พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม และความมุ่งมั่นของบริษัทในการรักษามาตรฐานผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืน พัฒนาองค์กรให้เติบโต บริหารงานภายใต้หลักบรรษัทภิบาล ขณะเดียวกัน ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ยังได้รับคะแนนการประเมินการกำกับดูแลกิจการในรายงาน Corporate Governance Report of Thai Listed Companies หรือ CGR ประจำปี 2567 ของสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) โดยการสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในระดับ 5 ดาว หรือ “ดีเลิศ” (Excellent CG Scoring) ต่อเนื่องถึง 5 ปีซ้อนอีกด้วย           ขณะที่บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย           1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 163 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 3/2567) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin), โซ ออริจิ้น (So Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), ออริจิ้น เพลส (Origin Place), ดิ ออริจิ้น (The Origin), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton), ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (Britania) รวมมูลค่าโครงการกว่า 253,516 ล้านบาท           2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก           3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจให้บริการลูกบ้าน ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์           4.ธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) กลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจด้านการเงิน ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร [PR News]

เมืองไทยประกันชีวิต ผนึกกำลัง เคาน์เตอร์เซอร์วิส

เมืองไทยประกันชีวิต ผนึกกำลัง เคาน์เตอร์เซอร์วิส

          หุ้นวิชั่น - บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ผนึกกำลังกับ บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด  ส่งมอบความสุขและความอุ่นใจไปยังลูกค้าและประชาชนทั่วประเทศ ให้ทุกคนได้มีรอยยิ้มในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ผ่าน “กรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่สุขกายสุขใจ (ไมโครอินชัวรันส์)” ประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่มที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมทั้งด้านชีวิตและค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุ           โดย นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เมืองไทยประกันชีวิตมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้จับมือกับเคาน์เตอร์เซอร์วิส  ร่วมกันส่งมอบความอุ่นใจให้กับประชาชน และยังเป็นการตอกย้ำนโยบายของเมืองไทยประกันชีวิต มีความมุ่งมั่นในการสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุก ๆ คนในสังคม (Democratizing Insurance)  เพื่อเป็นส่วนช่วยให้ทุกคนได้มีความอุ่นใจ มีหลักประกันที่มั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน  พร้อมเป็นการตอบรับนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในการส่งเสริมให้ประชาชนมีหลักประกันความคุ้มครองอุบัติเหตุให้กับตนเองและครอบครัว สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากระบบการประกันภัยเพื่อบริหารความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ ได้สะดวก เข้าถึงได้ง่าย และรวดเร็วยิ่งขึ้น           นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และกรรมการผู้จัดการ บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด เปิดเผยถึงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมความปลอดภัยและความคุ้มค่าให้แก่ประชาชน ด้วยการจำหน่าย “กรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่สุขกายสุขใจ (ไมโครอินชัวรันส์)” ผ่านช่องทางที่สะดวกและเข้าถึงง่ายในราคาย่อมเยา ประชาชนที่สนใจสามารถแจ้งความประสงค์กับพนักงานที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นกว่า 15,000 สาขาทั่วประเทศ เพียงแสดงบัตรประชาชน พร้อมชำระเบี้ยประกันภัย 10 บาท หรือใช้แต้ม ALL Member 1,000 คะแนนแลกรับสิทธิ์ฟรี และยังสามารถซื้อผ่านเว็บไซต์ www.counterservice.co.th เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับประชาชนในการเข้าถึงความคุ้มครองด้านประกันภัยอย่างทั่วถึง พร้อมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัลที่เน้นความรวดเร็วและง่ายดาย หลังจากชำระเงินแล้ว ลูกค้าจะได้รับสลิปยืนยันการทำรายการ ซึ่งระบุวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดความคุ้มครองอย่างชัดเจน พร้อม SMS ยืนยันความคุ้มครอง โดยสามารถซื้อได้ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2567 – 28 กุมภาพันธ์ 2568 (จำนวนจำกัด 300,000 สิทธิ์)           โดยความคุ้มครองที่ลูกค้าและประชาชนทั่วไปจะได้รับ ประกอบด้วย  1. ความคุ้มครองการเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง เนื่องจากอุบัติเหตุ ไม่รวมการถูกฆาตกรรมลอบทำร้ายร่างกาย และ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จำนวนเงินเอาประกันภัย 100,000 บาท  2. ความคุ้มครองการเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จากการถูกฆาตกรรมลอบทำร้ายร่างกาย และ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จำนวนเงินเอาประกันภัย 50,000 บาท 3. ความคุ้มครองการเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง เนื่องจากอุบัติเหตุสาธารณะ จำนวนเงินเอาประกันภัย 100,000 บาท  และ 4. ผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุ ไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการจ้างพยาบาลพิเศษ อุปกรณ์ค้ำยันต่าง ๆ (ยกเว้นไม้ค้ำยัน) รถเข็นผู้ป่วย อวัยวะเทียมภายนอกร่างกาย ค่ารักษาพยาบาลโดยแพทย์ทางเลือก (Alternative medicine) การฝังเข็ม จำนวนเงินเอาประกันภัยตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 5,000 บาท           สำหรับ “กรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่สุขกายสุขใจ (ไมโครอินชัวรันส์)” มีระยะเวลาคุ้มครอง 30 วัน   นับจากวันเริ่มต้นระยะเวลาเอาประกันภัย ซึ่งผู้ที่จะได้รับสิทธิ์จะต้องถือสัญชาติไทยเท่านั้น และมีอายุตั้งแต่  15 ปีบริบูรณ์ ถึง 70 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ทำประกันภัย หมายเหตุ :         ผู้ขอเอาประกันภัยจะต้องมีอายุตั้งแต่ 15 ปีบริบูรณ์ ถึง 70 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ทำประกันภัย และถือสัญชาติไทยเท่านั้น เริ่มต้นคุ้มครองตั้งแต่วันที่ลูกค้าลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ จนถึงวันที่สิ้นสุดความคุ้มครอง 30 วัน เวลา00 น. และไม่มีการต่ออายุอัตโนมัติ ซื้อได้ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2567 – 28 กุมภาพันธ์ 2568 ช่องทางร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ใช้บัตรประชาชนพร้อมชำระเงินสด 10 บาท หรือใช้คะแนน ALL member 1,000 คะแนน แลกรับสิทธิ์ฟรี ช่องทางเว็บไซต์ counterservice.com กรอกเลขบัตรประชาชนและเลือกช่องทางการชำระเงิน ได้แก่ เงินสด, TrueMoney Wallet, QR Code และบัตรเครดิต จำกัดจำนวนผู้ซื้อ 300,000 สิทธิ์ ทุกช่องทาง สงวนสิทธิ์การรับความคุ้มครอง 1 ท่าน ต่อ 1 สิทธิ์ ตลอดระยะเวลาของโครงการ เงื่อนไขและข้อยกเว้นเป็นไปตามที่ระบุในกรมธรรม์ การพิจารณารับประกันภัยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต คำเตือน : ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง [Pr News]

[ภาพข่าว] NOBLE คว้า SET ESG Ratings ปี 67 ระดับสูงสุด “AAA”

[ภาพข่าว] NOBLE คว้า SET ESG Ratings ปี 67 ระดับสูงสุด “AAA”

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ-บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ “NOBLE” ติดอันดับหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2567 เรทติ้งสูงสุด ระดับ “AAA” และติดรายชื่อหุ้นยั่งยืน 3 ปีซ้อน ตอกย้ำการเป็นองค์กรที่มุ่งมั่นพัฒนาและขับเคลื่อนธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ภายในแนวคิด “Live Different” ตามกรอบ ESG           นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน บริษัท จดทะเบียนที่ติดอันดับหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ปี 2567 เรทติ้งสูงสุด ระดับ “AAA” ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง และติดรายชื่อหุ้นยั่งยืน 3 ปีซ้อน สะท้อนถึงการดำเนินธุรกิจในฐานะบริษัทจดทะเบียนที่มุ่งเน้นพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการพัฒนาแนวปฏิบัติของธุรกิจในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และ ธรรมาภิบาล (ESG) สอดรับกับนโยบายความยั่งยืนขององค์กร ภายในแนวคิด “Live Different” ด้วยแนวคิดและมุมมองในการดำเนินธุรกิจที่เป็นประโยชน์ในทุกมิติของการใช้ชีวิตคนเมืองที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) เพื่อการยกระดับอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยสู่การพัฒนา อย่างยั่งยืน ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)  

ITC โบรกคาด Q4 ยอดขายทะลุเป้า สินค้า Premium ยืนได้ไม่หวั่นภาษี Trump – OECD

ITC โบรกคาด Q4 ยอดขายทะลุเป้า สินค้า Premium ยืนได้ไม่หวั่นภาษี Trump – OECD

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า บล.ฟิลลิป  เผยยอดขายของ ITC ปี 67 คาดทะลุเป้าจากคำสั่งซื้อที่เติบโต และมีแนวโน้มเพิ่ม Payout Ratio แม้เผชิญความเสี่ยงด้านภาษี Global Minimum Tax ของ OECD และภาษีนำเข้าจากสหรัฐ อย่างไรก็ตาม คาดว่าคุณภาพสินค้า Premium ของ ITC และต้นทุนที่ต่ำกว่าผู้ผลิตในสหรัฐยังเป็นแก่นหลักในการแข่งขันท่ามกลางการกีดกันทางการค้าและความเสี่ยงด้านภาษีที่รายล้อม แนะนำ "ซื้อ" ที่ราคาพื้นฐานปี 68 ที่ 34.25 บาท คาดยอดขายปี 67 ทะลุเป้า ลุ้นเพิ่มปันผล           ใน 4Q67 ยอดสั่งซื้อสินค้าในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมโตขึ้น y-y โดยบริษัทขนส่งสินค้าลงเรือแล้วกว่า 74% ของยอดสั่งซื้อ ทางฝ่ายคาดว่ายอดขาย 4Q67 อยู่ที่ 5,279 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.0% q-q และ 11.2% y-y ประมาณการยอดขายรวมปี 67 อยู่ที่ 18,310 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.6% y-y (Company Guidance: +15-17%) ทั้งนี้ บริษัทเคยกล่าวว่าอาจเพิ่ม Payout Ratio หากยอดขายทั้งปีถึงเป้า หากบริษัทคง Payout Ratio ที่ 79% คาดว่าเงินปันผลจากผลประกอบการปี 67 อยู่ที่ 1.00 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Dividend Yield ประมาณ 4.5% โดยบริษัทจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.40 บาทต่อหุ้นไปแล้ว และคาดจ่ายที่เหลือ 0.60 บาทต่อหุ้น แต่ในกรณีที่บริษัทตัดสินใจเพิ่ม Payout Ratio เป็น 90% คาดว่าจะจ่ายที่เหลือ 0.75 บาทต่อหุ้น รวมทั้งสิ้น 1.15 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Dividend Yield ประมาณ 5.2% อย่างไรก็ตาม การเพิ่มหรือไม่เพิ่ม Payout Ratio ต้องรอมติที่ประชุม AGM ต้นปี 68 ยังยืนได้ท่ามกลางพายุภาษีจาก Trump และ OECD           เนื่องจากไทยได้ดุลการค้าสหรัฐมากสุดเป็นลำดับที่ 11 และอาหารสัตว์เลี้ยงส่งออกของไทยคิดเป็น 34.8% ของการนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงทั้งหมดของสหรัฐ ทำให้มีความเสี่ยงถูกเพิ่มภาษีนำเข้า 10-20% ตามนโยบายของทรัมป์ที่ต้องการลดการขาดดุลการค้า มีแนวโน้มที่ภาระภาษีนี้จะถูกส่งผ่านไปยังผู้บริโภคผ่านการขึ้นราคาสินค้า และคาดว่าโรงงานผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงในสหรัฐมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า และสินค้าส่วนมากเป็นกลุ่ม Economy จึงไม่ได้แข่งขันโดยตรงกับสินค้า Premium ของ ITC ที่เป็นเซกเมนต์ส่งออกหลักไปยังสหรัฐ           ในส่วนภาษี Global Minimum Tax 15% ของ OECD อาจถูกนำมาใช้ในไทย ซึ่ง ITC มี Effective Tax Rate ที่ 3-5% แต่มีรายได้ไม่ถึง 750 ล้านยูโร จึงยังไม่เข้าเงื่อนไขดังกล่าว คาดว่าปลอดภัยจนกว่าจะถึงปี 71 ที่รายได้คาดการณ์อาจเพิ่มจนถึงเกณฑ์ อย่างไรก็ตาม บริษัทต้องเตรียมพร้อมหากการเติบโตทำให้บริษัทเข้าสู่เงื่อนไขในอนาคต ราคาพื้นฐานปี 68 ที่ 34.25 บาทต่อหุ้น           โดยวิธี DCF ประเมินราคาพื้นฐานหุ้นด้วยวิธีการ Discounted Cash Flow จาก Free Cash Flow to Equity (FCFE) โดยกำหนดค่า Beta ที่ 0.79 สำหรับปี 2568-2570 และใช้ Adjusted Beta ที่ 0.86 ในปี 2571 เป็นต้นไป สำหรับคำนวณ Terminal Value โดยมี Required Rate of Return for Equity (re) ที่ 6.5% สำหรับปี 2568-2570 และ 6.8% สำหรับปี 2571 เป็นต้นไป และมี Sustainable Growth Rate สำหรับปี 2571 ที่ 2.5% โดยใช้ Estimated Retention Ratio และ ROE เฉลี่ยของกลุ่มบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน           ด้วยตัวธุรกิจที่อยู่ใน Mega Trend ทำให้คาดว่ามีความต้องการสินค้ามากขึ้นในอนาคต ราคาพื้นฐานสำหรับปี 2568 อยู่ที่ 34.25 บาทต่อหุ้น แนะนำ “ซื้อ”

HMPRO โบรกคาด Q4 ฟื้นตัว

HMPRO โบรกคาด Q4 ฟื้นตัว "Easy E -receipt" หนุนโตต่อ แนะ “ซื้อ” เป้า 9.85 บาท

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า บล.ฟิลลิป คาด SSSG ของ HomePro ฟื้นตัวดีขึ้นใน 4Q67 จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและฤดูกาลท่องเที่ยวที่มีการจับจ่ายใช้สอยในช่วงปีใหม่ ส่งผลให้ยอดขายดีขึ้นตามความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง สำหรับต้นปี 68 รัฐบาลเตรียมออกโครงการ "Easy E-receipt" กระตุ้นกำลังซื้อผ่านการลดหย่อนภาษี ซึ่งคาดว่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่ม Commerce โดยเฉพาะสินค้าประเภท Durable Goods ใน HomePro ช่วยหนุนยอดขายใน 1Q68 ได้ดีจากความต้องการซื้อทดแทนเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษี แนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาพื้นฐานปี 68 : 9.85 บาทต่อหุ้น คาด SSSG 4Q67 ฟื้นตัวดี           ใน 4Q67 คาดว่า SSSG – HomePro จะอยู่ในช่วงลบ low-single digit และในส่วน SSSG – MegaHome อยู่ที่บวก mid-single digit คาดมี SSSG รวมอยู่ที่ -0.1% ทางฝ่ายประมาณการยอดขายใน 4Q67 จะอยู่ที่ 16,845 ล้านบาท +5.7% q-q, -0.2% y-y คาดโตขึ้น q-q จากปัจจัยบวก 2 เรื่อง ได้แก่ เงินกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ฤดูกาลท่องเที่ยว           ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นในช่วงก่อนปีใหม่ ซึ่งได้สอดคล้องกับค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมที่เริ่มฟื้นตัวจาก 3Q67 โดยเห็นได้จากค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม (CCI) จากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ในเดือนพฤศจิกายนปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 53.2 จุดจากระดับ 52.9 จุดในเดือนตุลาคม นับเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ทั้งนี้ คาดยอดขายรวมปี 67 อยู่ที่ 67,836 ล้านบาท -0.65% y-y รัฐบาลชง Easy E-receipt กระตุ้นกำลังซื้อต้นปี 68           กระทรวงการคลังมีแผนเสนอโครงการ “Easy E-receipt” เตรียมนำเข้าที่ประชุม ครม. ในวันที่ 24 ธ.ค. 67 โดยโครงการนี้ให้ลดหย่อนภาษีสูงสุด 50,000 บาท โดยเป็นใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์ 30,000 บาท และใบเสร็จปกติอีก 20,000 บาท เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค คาดเริ่มใช้ได้ ม.ค. 68 ทางฝ่ายคาดว่าโครงการนี้เป็นผลดีกับกลุ่ม Commerce โดยเฉพาะสินค้าที่เป็น Durable Goods ที่เป็นสัดส่วนหลักของสินค้าใน HomePro คาดสามารถกระตุ้นยอดขายใน 1Q68 ได้ เนื่องจากโครงการนี้จะกระตุ้น Demand ในอนาคต เร่งให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าใหม่ทดแทนของเก่าเพื่อที่จะได้ลดหย่อนภาษีไปในตัว ราคาพื้นฐานปี 68 ที่ 9.85 บาทต่อหุ้น           โดยวิธี DCF ประเมินราคาพื้นฐานหุ้นด้วยวิธีการ Discounted Cash Flow จาก Free Cash Flow to Equity (FCFE) โดยกำหนดค่า Beta ที่ 1.67 สำหรับปี 2568-2570 และใช้ Adjusted Beta ที่ 1.45 ในปี 2571 เป็นต้นไป โดยมี Required Rate of Return for Equity (re) ที่ 10.0% สำหรับปี 2568-2570 และ 9.1% สำหรับปี 2571 เป็นต้นไป และมี Sustainable growth rate สำหรับปี 2571 ที่ 1.3% ทางฝ่ายมองว่ายอดขาย 4Q67 ของ HomePro จะเพิ่มขึ้น q-q และมีปัจจัยบวกจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ Easy E-receipt จากรัฐบาลช่วง 1Q68 ที่จะเสริมโมเมนตัมเชิงบวกของ HomePro ได้อย่างต่อเนื่อง ราคาพื้นฐานสำหรับปี 2568 อยู่ที่ 9.85 บาทต่อหุ้น แนะนำ “ซื้อ”

MTC สินเชื่อโตเด่น NPL ลดสวนทางกลุ่ม

MTC สินเชื่อโตเด่น NPL ลดสวนทางกลุ่ม

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า บล.ฟิลลิป ระบุว่า MTC ใช้กลยุทธ์ในการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในการขยายสินเชื่อ และทำให้กลายเป็น Non-bank ที่มีสาขามากที่สุดในประเทศ และสินเชื่อของ MTC โดดเด่นกว่ากลุ่มมาโดยตลอด และในปี 67 ก็ยังโดดเด่นกว่า ในขณะที่คุณภาพสินทรัพย์กลับดีสวนทางกับกลุ่ม นอกจากนี้ยังมองว่า MTC จะได้ประโยชน์จากทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาลง รวมไปถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ของรัฐบาล ยังคงประมาณการกำไร และยังคงราคาพื้นฐาน 53 บาท แนะนำ “ทยอยซื้อ” ขยายสินเชื่อผ่านการขยายสาขา จนเป็น Non-bank ที่มีสาขามากที่สุด           กลยุทธ์การปล่อยสินเชื่อของ MTC คือการไปเปิดสาขาในชุมชน โดย ณ สิ้น 3Q67 MTC มีสาขาอยู่ทั้งหมดถึง 8,031 สาขาทั่วประเทศ และทำให้ MTC เป็นผู้ประกอบการ Non-bank ที่มีสาขามากที่สุดในไทย และยังมีแผนที่จะเปิดสาขาเพิ่มอีกปีละ 500-600 สาขา และถึงแม้จะมีการเปิดสาขาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง แต่สินเชื่อเฉลี่ยต่อสาขาก็ไม่ได้ปรับลดลง และกลับเพิ่มสูงขึ้นได้จากปี 57 ที่มีสินเชื่อเฉลี่ยต่อสาขา 16.9 ล้านบาท เพิ่มมาเป็น 19.5 ล้านบาท ณ 3Q67 สินเชื่อโตเด่นกว่ากลุ่มมาอย่างต่อเนื่อง           ที่ผ่านมา MTC มีการปล่อยสินเชื่อที่โดดเด่นกว่ากลุ่มมาโดยตลอด โดยตั้งแต่ปีที่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ปี 53 จนถึงสิ้นปี 66 MTC มีสินเชื่อเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 46% ต่อปี จะมีเพียงปี 65 ที่ SAWAD มีการโอนสินเชื่อมาจากธ.ออมสิน และปี 66 ที่ "เงินสดทันใจ" ซื้อหุ้นคืนมาจากธนาคารอื่น ทำให้ MTC ชะลอการปล่อยสินเชื่อลงเพื่อลดความเสี่ยง ส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อของ MTC น้อยกว่า SAWAD แต่ในปี 67 MTC กลับมาปล่อยสินเชื่อได้โดดเด่นกว่ากลุ่มอีกครั้ง โดย 3Q67 MTC สามารถปล่อยสินเชื่อได้เพิ่ม 10.99% YTD ในขณะที่ SAWAD สินเชื่อหดตัว 2.47% YTD และ TIDLOR ปล่อยได้เพิ่ม 4.85% YTD และมองว่าด้วยมาตรการกระตุ้นต่าง ๆ ของรัฐบาลจะทำให้กลุ่มรากหญ้ามีสภาพคล่องมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อทั้งความต้องการสินเชื่อ และคุณภาพสินทรัพย์ของ MTC ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง           กนง. เริ่มมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงตั้งแต่การประชุมในครั้งก่อน และถึงแม้ว่าการประชุมรอบล่าสุดในวันที่ 18 ธ.ค. 67 จะมีการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเอาไว้ แต่ก็คาดว่าในปี 68 จะมีการปรับลดลงได้อีก ทำให้คาดว่า MTC จะได้ประโยชน์ในกรณีที่อัตราดอกเบี้ยเป็นขาลง โดยต้นทุนดอกเบี้ยนั้นคิดเป็น 22% ของต้นทุนทั้งหมดของ MTC ที่ผ่านมาในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ต้นทุนดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของ MTC ลดต่ำลง และหากอัตราดอกเบี้ยกลับมาเป็นขาลง คาดว่าจะช่วยทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของ MTC รวมไปถึงผลประกอบการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ อาจไม่ใช่บริษัทที่ NPL ต่ำสุด แต่คุณภาพสินทรัพย์ดีสวนทางกลุ่ม           ถึงแม้ว่า MTC จะไม่ใช่บริษัทที่มี NPL ต่ำที่สุด โดย ณ 3Q67 จะมี NPL อยู่ 2.82% ในขณะที่ TIDLOR มี NPL เพียง 1.88% และ SAWAD มี NPL 3.39% แต่คุณภาพสินทรัพย์ของ MTC กลับดีสวนทางกับกลุ่ม ในขณะที่คู่แข่งมี NPL เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ MTC กลับสามารถลด NPL ลงมาได้แล้ว 5 ไตรมาสติดต่อกัน โดยสามารถลดจาก 3.36% ใน 2Q66 เหลือ 2.82% ใน 3Q67 และมองว่าด้วยการแจกเงิน 10,000 บาท รวมไปถึงมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ ของรัฐ จะทำให้ลูกหนี้ของ MTC มีความสามารถในการชำระหนี้เพิ่มขึ้น และทำให้ NPL ลดลงได้ต่อ คงประมาณการ คงราคาพื้นฐาน แนะนำ “ทยอยซื้อ”           ทางฝ่ายยังคงประมาณการกำไรปี 67 ของ MTC ไว้ที่ 5.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.8% Y-Y และคาดว่าปี 68 การที่สินเชื่อจะโตต่อเนื่อง ต้นทุนดอกเบี้ยที่ลดลง รวมไปถึงการตั้งสำรองที่อาจจะลดลงจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น จะทำให้กำไรเพิ่มขึ้นอีก 25% Y-Y เป็น 7.3 พันล้านบาท ยังคงราคาพื้นฐานไว้ที่ 53 บาท แนะนำ “ทยอยซื้อ”

COM7 เข้าดัชนี SET 50 นำสินค้าเทคโนโลยี มุ่งความยั่งยืน

COM7 เข้าดัชนี SET 50 นำสินค้าเทคโนโลยี มุ่งความยั่งยืน

          บมจ.คอมเซเว่น (COM7) ได้รับเลือกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็น 1 ใน 4 หุ้นใหม่ที่เข้าคำนวณดัชนี SET50 ในรอบครึ่งปีแรก 2568 พร้อมเดินหน้าวางกลยุทธ์นำสินค้าเทคโนโลยีตอบโจทย์ผู้บริโภค และความยั่งยืน           นายณรงค์ ศรีวรรณวิทย์ Chief Business Officer บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 เปิดเผยว่า COM7 ได้รับเลือกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้เป็น 1 ใน 4 หลักทรัพย์ใหม่ที่เข้าคำนวณดัชนี SET50 ในรอบครึ่งปีแรก พ.ศ. 2568 (1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2568) เป็นผลจากความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนกลยุทธ์ที่เหมาะสมและแข็งแกร่ง ตอกย้ำผู้นำธุรกิจค้าปลีกสินค้าเทคโนโลยีที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ พร้อมกับ เดินหน้ากระจายการลงทุนไปยังธุรกิจที่เป็นเมกะเทรนด์ในอนาคต เพื่อเพิ่มศักยภาพของ COM7 ในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ตลอดจน สร้างความเชื่อมั่นและความน่าสนใจ ในการลงทุนจากนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากดัชนี SET50 เป็นดัชนีที่สะท้อนความเคลื่อนไหวของราคากลุ่มหลักทรัพย์ที่มี ขนาดมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูง เป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้เปรียบเทียบผลตอบแทนจากการลงทุน (Performance Benchmark) หรือใช้เป็นดัชนีอ้างอิง (Underlying Index) ในการออกตราสารทางการเงินต่าง ๆ           อย่างไรก็ดี ในปีนี้ COM7 ได้รับรางวัลด้านความยั่งยืนจากตลาดหลักทรัพย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  ประกอบด้วย ได้รับการประเมิน SET ESG Ratings 2024 ยกระดับที่ “AA”  รวมทั้ง คว้ารางวัล CGR 2024 ระดับ 5 ดาว “ดีเลิศ” ต่อเนื่อง 4 ปีซ้อน และได้รับรางวัล CAC ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 2 ตอกย้ำความมุ่งมั่นองค์กรโปร่งใส ต่อต้านคอร์รัปชัน สอดรับเทรนด์การลงทุนของโลก นักลงทุนให้ความสำคัญในการจัดสรรการลงทุนบนหลัก ESG มากขึ้นเรื่อยๆ โดย COM7 ให้ความสำคัญทั้งในมิติของสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance)           รวมทั้ง การนำเทคโนโลยีเข้ามายกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน มุ่งสู่ความยั่งยืนมากขึ้น และอยู่ในอุตสาหกรรมที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และพลังงานสะอาด ซึ่งในปีนี้ ได้เข้ามาต่อยอดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ซึ่งเป็นธุรกิจไฮมาร์จิ้น สอดรับกับการเติบโตของยุค Digital Transformation ด้วยการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่ม Solar Cell รวมถึงการจับมือ Amazon Web Services (AWS) เพื่อร่วมมือกันขยายฟีเจอร์ใหม่ๆ รองรับการเติบโตในตลาด Cloud Service ให้กับลูกค้ากลุ่ม SME

อีสท์สปริง เสนอกองพันธบัตรรัฐมุ่งรักษาเงินต้น IPO 20-25 ธ.ค.นี้ ชูยิลด์ 1.80%

อีสท์สปริง เสนอกองพันธบัตรรัฐมุ่งรักษาเงินต้น IPO 20-25 ธ.ค.นี้ ชูยิลด์ 1.80%

          บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง เปิดเสนอขายกองทุนเปิดอีสท์สปริง พันธบัตรรัฐมุ่งรักษาเงินต้น 6M31 (ES-GOVCP6M31) อายุประมาณ 6 เดือน เงินทุนโครงการ 6,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มุ่งรักษาเงินต้นที่ผู้ลงทุนจะมีโอกาสได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวน และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนเพิ่มจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหน่วยลงทุน ณ วันครบอายุโครงการ โดยเสนอขายครั้งแรกครั้งเดียวระหว่างวันที่ 20-25 ธันวาคม 2567 นี้ ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท           โดยกองทุน ES-GOVCP6M31 มีนโยบายที่จะนำเงินลงทุนไปลงทุนในตั๋วเงินคลัง และ/หรือพันธบัตรรัฐบาล และ/หรือพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ในอัตราส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน สำหรับเงินลงทุนส่วนที่เหลือจะลงทุนในเงินฝากธนาคาร และ/หรือหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่น หรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นตามที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนดหรือเห็นชอบให้กองทุนลงทุนได้ และกองทุนจะไม่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) ทั้งนี้ กองทุนจะลงทุนเพียงครั้งเดียวและถือครองทรัพย์สินที่ลงทุนจนครบอายุโครงการ (Buy and Hold) โดยคาดหวังจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 1.93% ต่อปี ณ วันครบอายุโครงการ ซึ่งเมื่อหักค่าใช้จ่ายประมาณ 0.13% ต่อปี ณ วันครบอายุโครงการ แล้ว ผู้ลงทุนจะได้รับประมาณการผลตอบแทนอยู่ที่ 1.80% ต่อปีของเงินลงทุนเริ่มแรก (แหล่งที่มาของข้อมูล อัตราผลตอบแทนที่เสนอขายโดยผู้ออกตราสาร ณ วันที่ 18 ธันวาคม 2567)           ทั้งนี้ เมื่อครบกำหนดอายุกองทุน บลจ.อีสท์สปริง จะดำเนินการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนแบบอัตโนมัติ และทำการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนของกองทุนทั้งจำนวนของผู้ถือหน่วยทุกราย ไปยังกองทุนเปิดอีสท์สปริง ธนรัฐ (ES-TM) หรือกองทุนรวมตลาดเงินอื่นที่บลจ.อีสท์สปริง เปิดให้บริการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน ในวันทำการก่อนวันสิ้นสุดอายุโครงการ           อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถลงทุนให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ เนื่องจากสภาวะตลาดมีการเปลี่ยนแปลงไป ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับผลตอบแทนตามอัตราที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ผู้ลงทุนจะไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ในช่วงระยะเวลา 6 เดือนดังนั้น หากมีปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนดังกล่าว ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก กองทุนอาจไม่ได้รับเงินต้นและผลตอบแทนตามที่คาดหวังไว้ หากผู้ออกตราสารที่กองทุนลงทุนไม่สามารถชำระเงินต้นและดอกเบี้ยคืนได้ บริษัทจัดการขอสงวนสิทธิในการเปลี่ยนแปลงทรัพย์สินที่ลงทุนหรือสัดส่วนการลงทุนได้ เฉพาะเมื่อมีความจำเป็นและสมควรเพื่อประโยชน์ของผู้ลงทุนเป็นสำคัญ โดยการเปลี่ยนแปลงนั้นต้องไม่ทำให้ความเสี่ยงของทรัพย์สินที่ลงทุนเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ และผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน และกองทุนมีความเสี่ยงที่สำคัญ เช่น ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่องของตราสาร และความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ เป็นต้น           ผู้สนใจสามารถขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) หรือผู้สนับสนุนการขาย และรับซื้อคืนหน่วยลงทุนที่ได้รับการแต่งตั้ง และดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.eastspring.co.th หรือโทร 1725 ในวันและเวลาทำการ หรือผ่านช่องทางการขายของ บลจ.อีสท์สปริง

KLINIQ มั่นใจผลงานโค้งสุดท้ายของปีดันเป้ารายได้โต เติบโต 30%

KLINIQ มั่นใจผลงานโค้งสุดท้ายของปีดันเป้ารายได้โต เติบโต 30%

          KLINIQ ประเมินแนวโน้มผลงานไตรมาส 4/67 ขยายตัวต่อเนื่อง หลังเร่งทำตลาดหนุนรายได้จากสาขาเดิมเพิ่มและการเปิดสาขาใหม่ในไตรมาสสุดท้ายเพิ่มเติมอีก 4 แห่งเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้ดีขึ้น พร้อมบริหารจัดการค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ รับพฤติกรรมใช้จ่ายเพื่อความสวยความงามช่วงปลายปี มั่นใจปีนี้รายได้เติบโต 30% ตามแผน           นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ เปิดเผยว่า แนวโน้มของการดำเนินงานในไตรมาส 4/2567 ประเมินว่าจะขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้านี้ จากศักยภาพการดำเนินธุรกิจของ KLINIQ ที่ให้บริการด้านคลินิกเวชกรรมด้านผิวหนังความงามศัลยกรรมตกแต่งและการดูแลป้องกันฟื้นฟูสุขภาพที่ครอบคลุมความต้องการและกำลังซื้อของลูกค้า ภายใต้แบรนด์ที่หลากหลายทั้ง The KLINIQUE, L.A.B.X, L’CLINIC, KLINIQ Wellness Spa และ THE KLINIQUE SURGERY CENTER สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี รองรับพฤติกรรมการจับจ่ายเพื่อความสวยความงามของลูกค้าในช่วงปลายปี           ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังเดินหน้าขยายสาขาเพิ่มเติมอีก 6 แห่งในไตรมาสนี้ ประกอบด้วย The KLINIQUE จำนวน 2 สาขา L.A.B.X จำนวน 3 สาขาและ KLINIQ Wellness Spa อีก 1 สาขา ส่งผลภายในสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีสาขารวมทั้งสิ้น 75 สาขา จะช่วยส่งเสริมศักยภาพการให้บริการที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน จะมุ่งทำตลาดเพื่อเพิ่มจำนวนฐานลูกค้าใหม่และดึงลูกค้าเก่ากลับมาใช้บริการเพิ่มขึ้น รวมถึงนำเสนอการให้บริการใหม่ๆ เพิ่มเติม ส่งผลดีต่อต่อการเติบโตของรายได้จากสาขาเดิมเพิ่มขึ้นหรือ SSSG (Same Store Sales Growth : SSSG) เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ ควบคู่กับการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพเพื่อรักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้นให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี และบริหารจัดการความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจปีนี้ที่ยังไม่เติบโตเต็มศักยภาพอีกด้วย           “เรามองว่าในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ผลการดำเนินงาน จะขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ จากจำนวนสาขาใหม่ที่เปิดให้บริการเพิ่มเติมที่ทำให้มีลูกค้าใหม่เข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น และแผนดึงดูดลูกค้าเก่าให้กลับมาใช้บริการเพื่อความสวยความงาม ซึ่งมั่นใจว่ารายได้ปีนี้จะเติบโต 30% ตามแผนที่วางไว้ได้ ทีมงานทุกภาคส่วนกำลังเร่งมืออย่างแข็งขันและช่วงเดือนตุลาคม พฤศจิกายน ถือว่าทิศทางรายได้เติบโตดี” นายแพทย์อภิรุจ กล่าว [PR News]

[Gossip] NEO เข้าคำนวณดัชนี sSET มุ่ง FMCG แห่งนวัตกรรมเอเชีย

[Gossip] NEO เข้าคำนวณดัชนี sSET มุ่ง FMCG แห่งนวัตกรรมเอเชีย

          หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อไตรมาส 2 ที่ผ่านมาหมาดๆ หุ้น NEO ก็อยู่ในโฟกัสของนักลงทุนรายย่อย-สถาบัน ส่งผลให้การซื้อขายมีความสม่ำเสมอ สภาพคล่องดี ล่าสุดได้เข้าคำนวณดัชนี sSET รอบใหม่ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 (1 ม.ค.– 30 มิ.ย. 2568) โดยเป็น 1 ใน 20 หลักทรัพย์ใหม่ที่ได้รับการคัดเลือกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ หลังผ่านเกณฑ์การพิจารณามีสภาพคล่องไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 และมีสัดส่วนการซื้อขายในแต่ละเดือนไม่น้อยกว่า 0.5% ของหุ้นทั้งหมดของบริษัทฯ ในช่วง 12 เดือนย้อนหลังตามรอบทบทวน เพื่อให้แน่ใจว่าการซื้อขายของหุ้นบริษัทนั้นมีความต่อเนื่อง แบบนี้ต้องยกนิ้วให้กับ “สุทธิเดช ถกลศรี” CEO บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) ที่วางรากฐาน NEO ไว้อย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะการขับเคลื่อนนวัตกรรมใหม่ๆ มุ่งผลักดันให้บริษัทสู่ FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย ส่งผลให้หุ้น NEO มีพื้นฐานแข็งแกร่งและอยู่ในความสนใจของนักลงทุน

[ภาพข่าว] DRT คว้า SET ESG Ratings ปี 2567 ระดับ AA

[ภาพข่าว] DRT คว้า SET ESG Ratings ปี 2567 ระดับ AA

          ตอกย้ำการเป็นบริษัทที่รักษามาตรฐานการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนได้เป็นอย่างดี สะท้อนจากการประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2567 โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งในปีนี้ ‘สาธิต สุดบรรทัด’ ซีอีโอ บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร หรือ DRT นำบริษัทฯ ผ่านเกณฑ์การประเมินที่ระดับ ‘AA’ ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างได้อีกครั้ง นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของบริษัทฯ จากการนำหลัก ESG และแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาประยุกต์ใช้กับการดำเนินธุรกิจ เพื่อลดการใช้พลังงาน ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืน พร้อมกับดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี

NKT เทรด SET วันแรก ชู 3 โครงการมุ่งโตระดับประเทศ

NKT เทรด SET วันแรก ชู 3 โครงการมุ่งโตระดับประเทศ

           “บมจ.โรงพยาบาลนครธน” หรือ NKT เข้าเทรดวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เดินหน้า 3 โครงการหลักตามแผน ทั้งการก่อสร้างโครงการโรงพยาบาลนครธน 2 เพื่อมุ่งเน้นให้บริการแก่ผู้ประกันตนตามสิทธิประกันสังคม โครงการนครธน ลองไลฟ์ เซ็นเตอร์ เพื่อเป็นศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงแบบองค์รวม และโครงการขยายจำนวนเตียงให้บริการของโรงพยาบาลนครธนอีก 110 เตียง รวมเป็น 260 เตียง เพื่อขยายฐานผู้เข้ารับบริการและเพิ่มศักยภาพการเติบโตแก่บริษัทฯ            รองศาสตราจารย์ ญาณเดช ทองสิมา ประธานกรรมการบริษัท บริษัท โรงพยาบาลนครธน จำกัด (มหาชน) หรือ NKT เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่บริษัทฯ ได้เข้าจดทะเบียนและซื้อขายหลักทรัพย์วันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันนี้ (20 ธันวาคม 2567) โดยใช้ชื่อย่อ NKT ในการซื้อขายหลักทรัพย์ บริษัทฯ จะมุ่งขยายการลงทุนตามแผนงานที่วางไว้รวมถึงดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ เพื่อจะก้าวไปสู่การเป็น “หนึ่งในโรงพยาบาลชั้นนำระดับประเทศ” โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างและขยายการลงทุน 3 โครงการหลัก เพื่อเพิ่มศักยภาพการเติบโตจากการขยายฐานผู้เข้ารับบริการในโรงพยาบาลนครธนและการก่อสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่ ได้แก่ 1) โครงการโรงพยาบาลนครธน 2 บนถนนเอกชัย จำนวน 151 เตียง คาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนที่เกี่ยวข้องประมาณ 900 ล้านบาท และจะเปิดให้บริการแก่ผู้รับบริการทั่วไปที่ชำระเงินเองในระยะเริ่มแรก และเริ่มรับรู้รายได้ประมาณปลายปี 2568 หลังจากนั้นจะยื่นขออนุญาตเป็นโรงพยาบาลประกันสังคมในช่วงต้นปี 2569 และคาดว่าจะเปิดให้บริการรักษาพยาบาลแก่ผู้ประกันตนตามสิทธิประกันสังคมได้ประมาณปี 2570 2) โครงการนครธน ลองไลฟ์เซ็นเตอร์ ซึ่งจะตั้งอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลนครธน เพื่อจะเป็นศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงแบบองค์รวม คาดว่าจะมีค่าใช้จ่าย ฝ่ายทุนที่เกี่ยวข้องประมาณ 557 ล้านบาท และคาดว่าจะเปิดดำเนินการประมาณปี 2569 และ 3) โครงการขยายจำนวนเตียงให้บริการของโรงพยาบาลนครธนอีก 110 เตียง จากปัจจุบัน 150 เตียง รวมเป็น 260 เตียง คาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนที่เกี่ยวข้องประมาณ 414 ล้านบาท และคาดว่าจะทยอยเปิดให้บริการปี 2568-2570 ซึ่งทั้ง 3 โครงการมีความคืบหน้าตามแผนงานที่วางไว้ ขณะที่โรงพยาบาลนครธน บนถนนพระรามที่ 2 ที่สร้างรายได้หลักแก่บริษัทฯ มีศักยภาพที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดเด่นด้านทำเลที่ตั้งของโรงพยาบาลที่มีศักยภาพจะเป็น “เขตเมืองแห่งใหม่” (New Urbanized District) ของกรุงเทพฯได้ในอนาคต เนื่องจากเป็นหนึ่งในเขตพื้นที่อยู่อาศัยชั้นดีและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน รวมถึงพระรามที่ 2 เป็นถนนสายหลักที่มุ่งสู่ฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ และใช้เดินทางสู่ภาคใต้ของประเทศไทย อีกทั้งสามารถเชื่อมต่อสู่ย่านศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ ด้วยทางด่วน และมีการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ โรงเรียน ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ตลาดนัด และซุปเปอร์มาร์เก็ต จำนวนมาก นอกจากนี้ โรงพยาบาลนครธนตั้งอยู่ใกล้กับสถานที่ราชการสำคัญ เช่น สำนักงานเขตบางขุนเทียน และสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบางขุนเทียน เป็นต้น            ดร.วิศาล สายเพ็ชร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลนครธน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันโรงพยาบาลนครธน เป็นหนี่งในโรงพยาบาลชั้นนำของพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก ที่มีความสามารถรักษาโรคที่มีความซับซ้อน (โรงพยาบาลระดับตติยภูมิ) ซึ่งโรงพยาบาลระดับตติยภูมิส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก โดยโรงพยาบาลนครธนมีศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง 20 ศูนย์ อาทิ ศูนย์สมองและระบบประสาท ศูนย์หัวใจ ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ศูนย์กระดูกสันหลัง ศูนย์มะเร็ง ศูนย์ทันตกรรม เป็นต้น และมีแผนกการรักษาผู้ป่วย 1 แผนก ได้แก่ แผนกไตเทียม โดยบริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์การเติบโต ประกอบด้วย 1) มุ่งมั่นก้าวไปสู่การเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลชั้นนำในระดับประเทศ 2) พัฒนาคุณภาพการให้บริการด้วยบุคลากรและทีมแพทย์ผู้ชำนาญการ 3) นำเทคโนโลยีมาใช้บริหารจัดการองค์กร 4) ขยายขอบเขตการให้บริการภายใต้ความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำ 5) ต่อยอดความแข็งแกร่งของ Brand Image และพัฒนาความไว้วางใจจากผู้ใช้บริการ 6) ขยายธุรกิจผ่านเครือข่ายของโรงพยาบาลและธุรกิจด้านสุขภาพอื่นๆ และ 7) ขยายการให้บริการแก่กลุ่มผู้รับบริการชาวต่างชาติ โดยได้แต่งตั้งตัวแทนด้านการตลาดในเมียนมา เพื่อเป็นศูนย์กลางติดต่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายและผู้ที่สนใจเข้ารับบริการทางการแพทย์ สามารถเดินทางมาประเทศไทยเพื่อรับบริการที่โรงพยาบาลนครธนได้สะดวกยิ่งขึ้น รวมถึงขยายการทำการตลาดไปยังประเทศกัมพูชาและบังกลาเทศอีกด้วย            นายยศวีร์ สุทธิกุลพานิช ผู้บริหารสายงาน Investment Banking and Capital Market ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วมและตัวแทนบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า บมจ.โรงพยาบาลนครธน มีศักยภาพการเติบโตที่ดี เนื่องจากมีจุดเด่นที่หลากหลาย อาทิ สามารถให้บริการรักษาโรคที่มีความซับซ้อนและโรคทั่วไป ทำเลที่ตั้งในบริเวณพระราม 2 ที่มีศักยภาพเป็นเมืองแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ในอนาคต มีความร่วมมือกันพันธมิตรชั้นนำจัดตั้งศูนย์การแพทย์เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการ และมีฐานลูกค้าจำนวนมาก ฯลฯ ประกอบกับการเสนอขายหุ้น IPO ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงินเพื่อรองรับการขยายธุรกิจต่อไป            นายคงสิทธิ์ หันจางสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ 1 บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วมและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า การเสนอขายหุ้น IPO ของ บมจ.โรงพยาบาลนครธน ในช่วงที่ผ่านมาที่ราคาเสนอขายสุดท้ายที่ 7.80 บาท คิดเป็นมูลค่าการระดมทุนทั้งสิ้น 1,053 ล้านบาท ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากจุดเด่นของโรงพยาบาลนครธน ที่เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลชั้นนำของพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก โดยโรงพยาบาลฯ มีแผนขยายฐานผู้เข้ารับบริการชาวต่างชาติ และมีแผนขยายการทำการตลาดแก่ลูกค้าต่างชาติ รวมถึงอยู่ระหว่างลงทุนเพิ่มจำนวนเตียงให้บริการในโรงพยาบาลนครธน และก่อสร้างโครงการใหม่ ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ปี 2564 – 2566 มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นจาก 1,551.67 ล้านบาท เป็น 2,036.89 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย (CAGR) 14.57% ต่อปี และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 183.24 ล้านบาท เป็น 282.29 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย (CAGR) 24.12% ต่อปี จากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการประกอบกิจการโรงพยาบาล ซึ่งเป็นสัดส่วนรายได้หลัก รวมถึงการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2567 มีรายได้รวม 1,521.34 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 190.38 ล้านบาท [PR News]

จับตา! 5 เรื่องใหญ่ห้ามพลาดปี 2568 

จับตา! 5 เรื่องใหญ่ห้ามพลาดปี 2568 

จับตา! 5 เรื่องใหญ่ห้ามพลาดปี 2568 มีอะไรบ้าง เช็กเลย! 1.โดนัล ทรัมป์ขึ้นรับตำแหน่ง กำหนดการวันขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คือวันที่ 20 มกราคม หลังการเลือกตั้ง โดยสถิติแล้ว ตลาดอาจมีการปรับตัวในช่วงก่อน-หลังวันรับตำแหน่ง และต้องระวังผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์ที่ส่งผลในวงกว้าง โดยเฉพาะในเรื่องของนโยบายกำแพงภาษี 2.สงครามจะจบลงเมื่อไหร่ สงครามตะวันออกกลางยังคงสร้างความกังวล และยังต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง โดยสถานการณ์ปัจจุบัน แม้จะมีการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวแล้ว แต่ก็ยังคงมีการโจมตีเป็นระยะ ๆ ถึงแม้ตลาดจะรับรู้ถึงผลกระทบของสงครามไปแล้ว แต่หุ้นกลุ่ม Commodity หรือที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) จะฟื้นตัวช้ากว่ากลุ่มอื่น ๆ 3.ดอกเบี้ย Fed จะลดได้แค่ไหน จาก Dot Plot คาดว่าในปี 2025 Fed อาจลดดอกเบี้ย นโยบายลงสู่ระดับ 3.0-3.5% และกรรมการ Fed หลายท่านมั่นใจว่าอัตราเงินเฟ้อจะสามารถลดลงสู่ ระดับเป้าหมายที่ 2% ได้ ทั้งนี้ยังคงต้องเฝ้าดูปัจจัย ส าคัญทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่อไป อาทิ ตัวเลขการ จ้างงาน นโยบายทรัมป์ซึ่งกระทบต่อเงินเฟ้อ 4.นโยบายเศรษฐกิจไทย ประเทศไทยยังเฝ้ารอนโยบายที่เป็นรูปธรรมจากรัฐบาล โดยคาด ว่าในช่วงไตรมาส 1 ปี 2025 รัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจใหม่ๆ ออกมานอกจากมาตรการแจกเงิน 10,000บาท ซึ่งเป็นผลดีต่อกลุ่มหุ้นค้าปลีก ท่องเที่ยว มองเป็นบวกกับตลาด หุ้นไทย โดยคาดการณ์ GDPปี 2025 โตถึง 3%อานิสงค์จาก การบริโภคภาคเอกชน การส่งออก และการท่องเที่ยว 5.จีนจะฟื้นตัวได้จริงหรือไม่ จากการประชุม Central Economic Work Conference ช่วงสิ้นปี 2024 จีนเตรียมออกมาตรการเชิงรุกในปี 2025 โดยเพิ่มงบขาดดุล กู้เพิ่ม และลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างจริงจัง โดยคาดเป้าหมาย GDP ปี 2025 ไม่ต่ำกว่า 4.5% และคาดว่าจะทราบเม็ดเงินที่จะใส่เข้าระบบในช่วงต้นปี 2025 ที่มา : บล.ดาโอ

จีนเปิดโซลาร์ฟาร์มนอกชายฝั่งใหญ่สุดในโลก กำลังผลิต 1 กิกะวัตต์!

จีนเปิดโซลาร์ฟาร์มนอกชายฝั่งใหญ่สุดในโลก กำลังผลิต 1 กิกะวัตต์!

          หุ้นวิชั่น - เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา CHN Energy รัฐวิสาหกิจด้านพลังงานของจีนเริ่มผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำนอกชายฝั่งกำลังการผลิต 1 กิกะวัตต์ตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งของเมืองตงอิ่ง ในมณฑลซานตง8 กิโลเมตร ประกอบด้วย Solar Cell จำนวน 2,934 แผง ติดตั้งบนโครงเหล็กขนาดใหญ่ที่ติดอยู่กับฐานเสาเข็มเพื่อความแข็งแรงทนทานต่อพายุ นอกจากนี้นับเป็นครั้งแรกของจีนที่ใช้สายเคเบิลขนาด 66 กิโลโวลต์เชื่อมต่อไปยังชายฝั่ง โครงการนี้สามารถผลิตไฟฟ้าได้ถึง 1.8 พันล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี ซึ่งรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้ากว่า 2.6 ล้านครัวเรือน

THE PARENTS  ได้รับรางวัล “Friendly Design Awards 2024”

THE PARENTS ได้รับรางวัล “Friendly Design Awards 2024”

       หุ้นวิชั่น - THE PARENTS  ได้รับรางวัล “Friendly Design Awards 2024” ประเภทดีไซน์เพื่อทุกคนเข้าถึงอย่างปลอดภัยตามมาตรฐานสากล ดร.สุนทรี จรรโลงบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เทคโนเมดิคัล จำกัด (มหาชน) หรือ TM  รับมอบรางวัลจากนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  ในโอกาสที่ “THE PARENTS WELLNESS AND REVITALIZING CENTER” ศูนย์นวัตกรรมสุขภาพเพื่อคุณภาพชีวิตที่ยืนยาว สำหรับบริการฟื้นฟู และส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ ได้รับรางวัล  “Friendly Design Awards 2024” ประเภทสถานที่เฟรนด์ลี่ ดีไซน์ มีการส่งเสริมและสร้างทำอารยสถาปัตย์ เพื่อให้ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย และทุกสภาพร่างกาย สามารถเข้าถึงได้ ใช้ประโยชน์ได้ โดยสะดวก ปลอดภัย ทันสมัย ด้วยนโยบายและแนวคิดการออกแบบที่เป็นมาตรฐานสากล และเป็นมิตรกับคนทั้งมวล สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ร้าน TM CARE SHOP โทรศัพท์ 02-933-6119 ต่อ 8101 / 8102 เปิดให้บริการจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 8.00-17.00 น. รวมทั้งติดต่อผ่านช่องทาง Line@ : @tmcareshop และ FacebookPage https://www.facebook.com/TMCARESHOP/   หรือ  www.tmcare-shop.com

หุ้นท่องเที่ยวรับโชค ได้ประโยชน์  ‘Easy E-Receipt’ เช็กเลย!

หุ้นท่องเที่ยวรับโชค ได้ประโยชน์ ‘Easy E-Receipt’ เช็กเลย!

หุ้นวิชั่น - บล.ดาโอ ส่องหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก Easy E-Receipt มองกลุ่ม Tourism (ERW, CENTEL, MINT, SHR) และร้านอาหาร (MAGURO, OKJ) ได้ผลบวกจากค่าที่พักโรงแรมสามารถนำมาหักภาษีได้และคาดเห็นมีโรงแรมเข้าร่วมโครงการมากขึ้น ส่วน CENTEL และ MINT จะได้ประโยชน์เพิ่มเติมจากร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการ และกลุ่มร้านอาหาร MAGURO และ OKJ ได้ผลบวกจากโอกาสมียอดผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นจากโครงการดังกล่าว นอกจากนี้ กลุ่ม Commerce (กลุ่มผู้ค้าปลีกสินค้าอิเล็กทรอนิกซ์,  IT และห้างสรรพสินค้าจะได้ผลบวกมากสุด) มองบวกต่อโครงการ Easy e-Receipt ที่จะช่วยหนุนให้เกิดการใช้จ่ายในประเทศเพิ่มขึ้น ฝ่ายวิจัยประเมินว่ากลุ่มค้าปลีกที่มี basket size ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่ม Home improvement (HMPRO, GLOBAL) และผู้ค้าปลีกสินค้าอิเล็กทรอนิกซ์ IT (COM7)จะได้ผลบวกมากสุด และ ห้างสรรพสินค้า (CRC,CPN) จาก traffic ที่สูงขึ้น จากระยะเวลาโครงการที่ไม่นาน บนสมมติฐานระยะเวลาโครงการเหมือนกับในปี 2024 ที่ผ่านมาที่ให้สามารถใช้จ่ายได้ไม่ได้นานมากรวมทั้งสิ้นที่ 46 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-15 ก.พ. 2024 แต่มีการให้สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีในปี 2024 ที่สูงขึ้น เป็น 50,000 บาท (ปี 2024 = 50,000 บาท, ปี 2023 = 40,000 บาท, ปี 2022 = 30,000 บาท) ฝ่ายวิจัยแนะ Top picks จากประเด็นข้างต้นคือ HMPRO (ซื้อ/13.00 บาท), CRC (ซื้อ/45.00 บาท), CPN (ซื้อ /72.00 บาท), CENTEL (ซื้อ /44.00 บาท), MAGURO (ซื้อ /26.00 บาท) 

กองทุนลดหย่อนภาษีเด่น 2024 ที่ไม่ควรพลาด

กองทุนลดหย่อนภาษีเด่น 2024 ที่ไม่ควรพลาด

           หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า ทีมกลยุทธ์ บล.กรุงศรี ชวนวางแผนลดหย่อนภาษีช่วงโค้งสุดท้ายปลายปีผ่าน กองทุนลดหย่อนภาษี SSF, RMF และ TESG โดยอิงจากน้ำหนักการลงทุน KSS Rating ที่ทีมกลยุทธ์ให้ไว้ในบทวิเคราะห์ Cross Asset Strategy เลือกการลงทุนสินทรัพย์ประเภท Fixed Income (ทั่วโลก), Equities (ไทย จีน เอเชีย) เป็น Top pick สำหรับการลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีในปี 2024 นี้และกองทุน Top pick ได้แก่ UGIS-SSF/UGISRMF, KFACHINSSF/KFACHINRMF, K-TNZ-ThaiESG, KFTHAIESGA            สำหรับผู้ที่มีเงินได้ในปี 2024 และต้องการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนลดหย่อนภาษีและต้องการลงทุนระยะยาว สามารถเลือกลงทุนได้ผ่านกองทุนลดหย่อนภาษีในทุกประเภท ทั้ง SSF, RMF และ TESG โดยกองทุน RMF และ SSF สามารถลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้โดยกองทุนทั้ง 2 ประเภท เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ แล้วต้องไม่เกิน 5 แสนบาท ส่วนกองทุน TESG สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้และสูงสุดไม่เกิน 3 แสนบาท            สำหรับผู้มีเงินได้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี และใส่ใจในระยะเวลาถือครอง แนะนำสำรวจช่วงอายุของนักลงทุน โดยสำหรับนักลงทุนที่อายุต่ำกว่า 51 ปีกองทุน TESG<SSF<RMF จะมีระยะเวลาการถือครองสั้นที่สุดตามลำดับ ส่วนนักลงทุนที่มีอายุ 51 ปีขึ้นไป กองทุน RMF<TESG<SSF จะมีระยะเวลาการถือครองสั้นที่สุด ตามลำดับ กลยุทธ์ Tax Allowance Fund Strategy:            กองทุน SSF และ RMF (ลดหย่อนได้ประเภทละ 30% แต่ SSF ไม่เกิน 200,000 บาท และรวมกันกับ RMF และกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท) แนะนำ UGIS-SSF/UGISRMF (GlobalBond), KFACHINSSF/KFACHINRMF (China)            กองทุน TESG (ลดหย่อนได้ 30% หรือสูงสุด 300,000 บาท) แนะนำ KFTHAIESGA และ K-TNZ-ThaiESG รายละเอียดเพิ่ม ที่ https://www.krungsrisecurities.com/e_learning/knowledge_inner/knowledge_details.aspx?id=59&cat_id=2

[ภาพข่าว] “SNPS” คว้า 2 รางวัลใหญ่ Prime Minister’s Industry Award 2024

[ภาพข่าว] “SNPS” คว้า 2 รางวัลใหญ่ Prime Minister’s Industry Award 2024

          ดร.ธีรญา กฤษฎาพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สเปเชี่ยลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SNPS ผู้นำนวัตกรรมสารสกัดจากธรรมชาติ ผลิตและจำหน่ายสารสกัดสมุนไพรและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ดำเนินธุรกิจมามากว่า 25 ปี ได้เข้าร่วมพิธีรับมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี 2567 (The Prime Minister’s Industry Award 2024)  รับรางวัลรางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่น ประเภทบริหารธุรกิจสู่สากล ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ โดยได้รับเกียรติจาก นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นประธานในพิธี นอกจากนี้ทาง บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น จำกัด (บริษัทในเครือ) ยังได้รับรางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่น ประเภทการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์

RS มุ่ง Sustainable Life Enriching  ใช้ Entertainmerce โตยั่งยืน

RS มุ่ง Sustainable Life Enriching ใช้ Entertainmerce โตยั่งยืน

          บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ อาร์เอส กรุ๊ป "RS" ในฐานะองค์กรเอกชนชั้นนำที่มุ่งเน้นการส่งมอบความสุขผ่านงานบันเทิง สินค้าและบริการเพื่อสุขภาพอย่างครบวงจรให้แก่ผู้บริโภคและสัตว์เลี้ยง ภายใต้โมเดลธุรกิจ Entertainmerce ซึ่งนอกจากสร้างการเติบโตทางธุรกิจ ยังให้ความสำคัญกับการทำงานด้านความยั่งยืนโดยใส่ใจและมีความรับผิดชอบต่อชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนตามนโยบายขององค์การสหประชาชาติ ภายใต้กรอบ ESG (Environmental, Social and Governance) ซึ่งกลยุทธ์และแนวทางการดำเนินธุรกิจของธุรกิจในเครือ อาร์เอส กรุ๊ป ต้องอยู่บนพื้นฐานของการสร้างการเติบโตและยั่งยืนภายใต้แนวคิด Sustainable Life Enriching  ซึ่งมาจากความเชี่ยวชาญทางธุรกิจและประสบการณ์ของพนักงานและผู้บริหาร โดยเน้นการดำเนินการอย่างยั่งยืน ใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ เสริมสร้างสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Enhance Health and Wellbeing) ที่อาร์เอส กรุ๊ป เราเชื่อว่าทุกชีวิตมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้องค์กรเติบโต จึงมุ่งมั่นในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนและสัตว์เลี้ยงให้มีความปลอดภัยและความเป็นอยู่ที่ดี (Consumer Health and safety) ครอบคลุมทั้งด้านสุขภาพกายและใจ ด้วยมาตรฐานและนวัตกรรมที่ได้รับการยอมรับระดับโลก โดย สุขภาพคน มีการสร้างสรรค์และส่งมอบผลิตภัณฑ์นวัตกรรม (Innovation Development) ด้านสุขภาพที่หลากหลายให้แก่ผู้บริโภค เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดี พร้อมด้วยบริการที่ไม่เพียงแต่ดูแลเฉพาะรูปลักษณ์ภายนอก แต่ยังช่วยสร้างความรื่นรมย์ต่อจิตใจอีกด้วย ด้าน สุขภาพสัตว์ ได้ยกระดับคุณภาพชีวิตของสัตว์เลี้ยงในฐานะสมาชิกสำคัญของครอบครัว ผ่านผลิตภัณฑ์และบริการที่ได้รับการพัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อให้สัตว์เลี้ยงมีชีวิตที่มีความสุข แข็งแรง และได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมในทุกช่วงวัย สนับสนุนการลงทุนด้านสังคม (Contribute to Social Investment) อาร์เอส กรุ๊ป พร้อมที่จะแบ่งปันความบันเทิง ทรัพยากร และความเชี่ยวชาญจากบุคลากรที่หลากหลาย ด้วยการส่งมอบโอกาสและสนับสนุนความเท่าเทียมในสังคม มุ่งสร้างความสุขที่ยั่งยืน ผ่านการต่อยอดความรู้และเพิ่มทักษะในการทำงาน เพื่อนำไปปรับใช้ในโลกยุคปัจจุบัน ผ่านโครงการและกิจกรรมต่างๆ ดังนี้ โครงการ RS Have A Seat เป็นโครงการที่แบ่งปันพื้นที่พิเศษในกิจกรรมบันเทิงต่างๆ ของ อาร์เอส กรุ๊ป ให้กับกลุ่มเยาวชนและกลุ่มเปราะบาง ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงวัย หรือผู้พิการ เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงประสบการณ์ความบันเทิงเต็มรูปแบบ ช่วยเติมเต็มความสุข รอยยิ้ม และสร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต (Social Inclusion) สำหรับปีนี้ ได้มอบสิทธิพิเศษให้กับ สมาชิกกลุ่มจ้างวานข้า มูลนิธิกระจกเงา ร่วมสนุกในคอนเสิร์ต “RS Meeting Concert 2024 Dance Marathon 2 ยกกำลัง...เต้น จำนวน 30 คน, ผู้พิการและผู้ช่วยพิการ จากโครงการกาลพลิก จำนวน 50 คน ร่วมชมวาไรตี้ซีรีส์คอนเสิร์ต “ยัยตัวร้ายกับนายหัวโจก” และล่าสุด ทีมพนักงานกวาด จากสำนักเขตจตุจักร จำนวน 40 คน เข้าร่วมชมคอนเสิร์ต อำพลฟูดส์ presents DAN - BEAM DREAM 2 BE CONCERT 21st CENTURY DADDY’S CLUB โครงการ RS Young Blood อาร์เอส กรุ๊ป แบ่งปันความเชี่ยวชาญขององค์กร เปิดโอกาสให้เยาวชนเข้ามาศึกษาดูงาน และเรียนรู้จากประสบการณ์จริง เพื่อเสริมสร้างทักษะและแรงบันดาลใจในการก้าวสู่เส้นทางอาชีพในอนาคต (People Development) ไม่ว่าจะเป็นการลงนาม MOU จับมือ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ เปิดหลักสูตร “Entertainmerce”, การเปิดบ้านต้อนรับคณะอาจารย์และเจ้าหน้าที่สำนักงานวิทยทรัพยากรและสถานีวิทยุจุฬา Chula Radio, เปิดสตูดิโอ COOLfahrenheit และช่อง 8 ให้นิสิตคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ สัมผัสประสบการณ์จริง เป็นต้น RS Nearby ช่วยชุมชนบอกต่อของดี โครงการส่งเสริมธุรกิจของผู้ประกอบการรายย่อยในชุมชนย่านจตุจักรในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมรายได้ให้แก่ชุมชนและผู้ประกอบการรายย่อยย่านจตุจักร (Local Economic Development) จากการเป็นสื่อกลางในการโปรโมตของดีในชุมชนผ่านสื่อต่างๆ ของอาร์เอส กรุ๊ป ทั้งทางสื่อโซเชียลมีเดียของบริษัทฯ และการนำเสนอคอนเทนต์ผ่านรายการปากท้องต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ช่อง 8 รวมถึงการประชาสัมพันธ์ในช่วงต่างๆ ของสถานีเพลง COOLfahrenheit ซึ่งเป็นการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับร้านค้าและผลิตภัณฑ์คุณภาพในชุมชนให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อย เขตจตุจักร กิจกรรม People Development ที่มุ่งมั่นพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากรในองค์กร ด้วยการเพิ่มทักษะและความรู้ใหม่ๆ ผ่าน RS Learning Center พร้อมกับการดูแลสุขภาพทั้งกายและใจ เพื่อให้พนักงานทุกคนสามารถเติบโตและก้าวหน้าไปพร้อมกับองค์กร มีทั้งกิจกรรมเวิร์คช็อป “RS Healthy Mind for Healthy Engagement สร้างภูมิคุ้มกันจิตใจ, กิจกรรมเติมเต็มความรู้ด้านความยั่งยืน RS Group Sustainability Training สร้างการตระหนักรู้และการมีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อม (Protect our Planet) อาร์เอส กรุ๊ป เชื่อว่าการสร้างโลกที่ยั่งยืนจะนำไปสู่อนาคตที่สดใส และส่งผลดีต่อธุรกิจและสังคม เราจึงมุ่งสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อม พร้อมใช้ทรัพยากรอย่างรับผิดชอบเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้แก่โลกใบนี้ (Environmental Preservation) โดยผลักดันให้องค์กรลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง และลดสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 จึงตั้งเป้าดำเนินธุรกิจตามแนวปฏิบัติ RS Net Zero และตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่การดำเนินธุรกิจ ตั้งแต่การลดการใช้พลังงานและการจัดการคัดแยกขยะอย่างมีประสิทธิภาพ ไปจนถึงการพัฒนากระบวนการธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและลดผลกระทบต่อโลกในระยะยาว Low Carbon Event สร้างสรรค์ มิวสิคเฟสติวัลคาร์บอนต่ำ ที่มุ่งเน้นการจัดระเบียบการแยกขยะภายในงาน สนับสนุนให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการแยกขยะเพื่อส่งเข้าสู่ระบบจัดการอย่างถูกวิธี และลดขยะในงานไม่ให้เกิดปัญหากับชุมชนหรือสิ่งแวดล้อม ปราศจากการฝั่งกลบ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปี พ.ศ.2567 มีการจัดเทศกาลดนตรี COOL Summer Fest 2024 ณ ชายหาดชะอำ จังหวัดเพชรบุรี จัดการขยะรวม 1,187 กิโลกรัม และเทศกาลดนตรี COOL Windy Fest 2024 จัดการขยะรวม 894 กิโลกรัม RS Green Army การมีส่วนร่วมในการลดการใช้พลังงานและลดขยะในองค์กร โดยพนักงานทุกคนยังเป็นกระบอกเสียงสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้ และเชิญชวนให้ทุกคนร่วมดูแลสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน อาทิ ความร่วมมือลดใช้พลังงานในองค์กร, กิจกรรม #ฮาวทูทิ้ง สะสมฝาขวดน้ำเพื่อส่งเข้าสู่ระบบรีไซเคิล โดยปีนี้สามารถรวบรวมฝาขวดน้ำได้มากถึง 70 กิโลกรัม Green Packaging เป็นการสร้างมาตรฐานในการดำเนินธุรกิจคอมเมิร์ซที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม โดยให้ความสำคัญในการผลิตสินค้าที่ปราศจากสารตกค้างที่อันตราย และคัดเลือกบรรจุภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองว่าไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งแบรนด์ vitanature+ ได้ปรับบรรจุภัณฑ์มาเป็น PCR (Post-Consumer Recycled Plastic), Hato Pet Wellness เลือกใช้บรรจุภัณฑ์แบบ รีฟิลทุกสาขาเพื่อลดขยะ Contribution คืนชีพขวดพลาสติก PET1 จากขยะสร้างสรรค์ใหม่ให้กลายเป็นกระเป๋าจากเส้นใย รีไซเคิล โดยนำรายได้ทั้งหมดไปสมทบทุนสนับสนุนการดูแลสัตว์ทะเลหายากและระบบนิเวศ ร่วมมือกับคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รวมกว่า 300,000 บาท โดยทำต่อเนื่องปีนี้เป็นปีที่ 3 แล้ว           ทั้งนี้ อาร์เอส กรุ๊ป พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตควบคู่กับการดูแลสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ด้วยความมุ่งมั่นนำความเชี่ยวชาญของแต่ละธุรกิจในเครือ ทั้งการสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก (Inspire) กับทุกธุรกิจ สร้างการป้องกันและผลกระทบเชิงลบ (Prevent) ด้วยสินค้าและบริการ สร้างความเชื่อมโยงระหว่างองค์กรกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Connect) และการสร้างโอกาสและการเข้าถึงอย่างเท่าเทียม (Access) มุ่งสู่การเป็น Sustainable Life Enriching ที่พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนรวมถึงสัตว์เลี้ยงผ่านผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในทุกมิติอย่างยั่งยืน           ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสาร และความเคลื่อนไหวต่างๆ ของ อาร์เอส กรุ๊ป ได้ทาง www.rs.co.th และ https://www.facebook.com/RSGROUPOFFICIAL

ส่องเครื่องยนต์

ส่องเครื่องยนต์ "เศรษฐกิจไทย" วันที่ไร้แรงกระตุ้น

       หุ้นวิชั่น - บล.เอเชียพลัส ส่องภาพเครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยที่ยังขับเคลื่อนได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งยังต้องการแรงกระตุ้นทั้งในส่วนของนโยบายการคลังที่เข้มข้น และนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งล่าสุดทางคุณกิตติรัตน์เสนอให้ กนง. ควรลดดอกเบี้ยให้เร็วกว่านี้ เพื่อหลีกหนีจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่ทางฝั่งกระทรวงการคลังยังเห็นมาตรการกระตุ้นเรื่อยๆ ผ่านการรวบรวมข้อมูลของฝ่ายวิจัยฯ ที่ว่ารัฐบาลเกี่ยวกับการจัดเก็บรายได้-รายจ่าย/ GDP พบว่าในปี 2567 สัดส่วนรายได้สุทธิหลังหักกา จัดสรร/GDP อยู่ที่ 15.1% ส่วนสัดส่วนงบประมาณรายจ่าย/GDP อยู่ที่ 18.9% ซึ่งปีหน้าตัวเลขยังสูงขึ้นอยู่ที่ระดับ 19.8% ตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้ ประเทศไทยขาดดุลงบประมาณมากขึ้นเรื่อยๆ โดยปี 2568 มีการขาดดุลงบประมาณสูงถึง 8.7 แสนล้านบาท ซึ่งคาดว่าอาจเป็นการหาแหล่งเงินทุนเดินหน้าโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท รวมถึงมาตรการอื่นๆที่เตรียมไว้กระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งล่าสุด กระทรวงการคลังเตรียมนำมาตรการ EASY E-RECEIPT เข้าที่ประชุม ครม.สัปดาห์หน้า โดยมีรายละเอียด คือ โครงการให้บุคคลธรรมดา สามารถหักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าและบริการ ไม่เกิน 5 หมื่นบาท(ตั้งแต่ 1 ม.ค.68 เป็นต้นไป) โดยต้องมีหลักฐานเป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งหากอ้างอิงจากข้อมูลปี 2567 คาดว่าจะเพิ่มเงินหมุนเวียนในระบบ 70,000 ล้านบาท หรือกระตุ้น GDP ให้เพิ่มขึ้นอีกราว 0.18%         อย่างไรก็ตาม ในมุมความเสี่ยงภาระผูกพันของประเทศ ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเนื่องจากเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นในระบบเศรษฐกิจ กำลังถูกแลกมาด้วยการก่อหนี้สิน โดยหนี้สาธารณะ/GDP ของไทยเดือน ต.ค. 67 ล่าสุดอยู่ที่ 63.99% ซึ่งภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง70% รัฐบาลยังก่อหนี้ได้อีกแค่ 1.1 ล้านล้านบาท เท่านั้น อีกทั้งยอดหนี้สาธารณะของบ้านเรายังเติบโตเร็วกว่า GDP GROWTH มาเป็นเวลานาน หากเศรษฐกิจไทยขยายตัวช้า อาจมีความเสี่ยงที่หนี้สาธารณะ/GDP จะเกินกรอบเป้าหมายได้ โดยสรุป เศรษฐกิจไทยถ้าจะฟื้นแรง ต้องการแรงผลักจากนโยบายการคลังเพิ่มเติม แต่ติดที่หนี้สาธารณะ/GDP ของไทยสูง ใกล้ชนเพดาน จึงทำให้อาจมีความเสี่ยงที่จะเกินกรอบทางวินัยได้

หุ้น รพ. แนวโน้มปีหน้า รอด หรือ ร่วง ?

หุ้น รพ. แนวโน้มปีหน้า รอด หรือ ร่วง ?

        หุ้นวิชั่น - ฝ่ายวิจัย คงน้ำหนักการลงทุนของกลุ่ม รพ. "มากกว่าตลาด" เนื่องจาก กลุ่ม รพ. มีความ defensive มีความเสี่ยงต่ำในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่ราคาหุ้นปรับลดลงสะท้อนข่าวลบมากไป แนวโน้มปี2568 คาดผลประกอบการยังเติบโตดี ภาพระยะกลางถึงยาว มองเป็นบวกจากมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่ภาครัฐสนับสนุนให้ เป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ฝ่ายวิจัย เลือก BCH (TP20.40บาท) และ BDMS (TP37.60บาท) เป็นหุ้น Top pick และแนะนำ “ซื้อ” มองว่าราคาปรับลดลงสะท้อนข่าวลบมากไป สำหรับ BDMS คาดปี 2568 เติบโตดีต่อเนื่อง ตามการเติบโตของ Center of Excellence การขยาย ฐานลูกค้าต่างประเทศเพิ่ม BCH ในปี 2568 คลายปมประเด็นประกันสังคมสำหรับอัตราการเบิกจ่ายเงินชดเชยโรคร้ายแรง และคาดว่าลูกค้าคูเวตจะกลับมารักษา ราคาลงสะท้อนข่าวลบมากไป เลือก BDMS และ BCH เป็นหุ้นเด่น คงน้ำหนักการลงทุนของกลุ่ม รพ. ”มากกว่าตลาด” เนื่องจาก กลุ่ม รพ. มีความdefensive มีความเสี่ยงต่ำ ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่ราคาหุ้นปรับลดลงสะท้อนข่าวลบมากไป จากประเด็น Co-payment ซึ่งมองว่ากระทบจำกัด แนวโน้มปี2568 คาดผลประกอบการยังเติบโตดี ภาพระยะกลางถึงยาวมองเป็นบวกจากมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่ภาครัฐสนับสนุนให้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ฝ่ายวิจัยเลือก BCH(TP20.40บาท) และ BDMS (TP37.60บาท) เป็นหุ้น Top pick ด้วย แนวโน้มผลประกอบการปี 2568 ที่คาดเติบโตดี ขณะที่ราคาปรับลดลงสะท้อนข่าวลบมากไป

AU กำไรเดินหน้าทุบสถิติ โบรกอัพเป้าผลงานปี 68 เคาะพิกัด 12.20 บ.

AU กำไรเดินหน้าทุบสถิติ โบรกอัพเป้าผลงานปี 68 เคาะพิกัด 12.20 บ.

        หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง AU ว่ากำไรจะยังทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องในปีหน้า รายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่ร้านขายขนมหวาน (non-café) โตก้าวกระโดดจากช่องทางการขายใหม่ ๆรายได้จากการขายกลุ่ม non-café จะเป็นปัจจัยหลักขับเคลื่อนการเติบโตใน 4Q67F- ปี 2568F เนื่องจากAU ขยายช่องทางการขายใหม่ ๆ โดยที่มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ช่วยกระตุ้นยอดขายในกลุ่มนี้พุ่งขึ้นถึง 180% YoY และ 170% QoQ อยู่ที่ 62 ล้านบาทใน 3Q67 นอกจากนี้ AU ยังได้รับคำสั่งซื้อ (8 เดือน ช่วงวันที่ 1 ตุลาคม 2567 - 31 พฤษภาคม 2568) จากการบินไทยให้จัดหาขนมปังเนยโสด (butter bun) สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศและเที่ยวบินขาออกไปยังจีน ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม และญี่ปุ่น ทั้งนี้ คาดว่ายอดขายจากทั้งสองช่องทางใหม่นี้จะทำให้ยอดขายในกลุ่ม non-café พุ่งขึ้น 132% อยู่ที่ 195 ล้านบาทในปี 2567F และเพิ่มขึ้นอีก 53% อยู่ที่ 298 ล้านบาทในปี 2568F อีกหนึ่งปัจจัยหนุนมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น โดยสัดส่วนยอดขายจากลูกค้าต่างชาติของ AU เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ 40.5% ใน 3Q67 จากเดิมเพียง 20% ช่วงก่อนโควิด-19 โดยที่ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองเชิงบวกต่อการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนลูกค้านี้เนื่องจากการเติบโตของลูกค้านักท่องเที่ยวช่วยหนุนการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (same store sales growth: SSSG) เป็นเลขสองหลักใน 9M67 ในขณะที่อุปสงค์ในประเทศค่อนข้างชะลอตัว ในส่วนของ SSSG ที่สูงกว่าคาดยังช่วยชดเชยการเปิดสาขาใหม่ที่ค่อนข้างช้าในปี 2567F อยู่ที่ 63 สาขาจาก 61 สาขาในปี 2566 ทั้งนี้ คาดรายได้จากร้านขายขนมหวาน (dessert café) จะเติบโต 26% YoY ในปี 2567F และ 13% ในปี 2568Fปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2567F ขึ้น 14% และปี 2568F ขึ้น 12% คาดว่ากำไรใน 4Q67F ของ AU จะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากยอดขายกลุ่ม non-café ที่สูงขึ้นเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยว และคาดจะเปิดร้านขายขนมหวานใหม่สองสาขา เมื่อรวมยอดขายกลุ่ม non-caféที่สูงขึ้น ฝ่ายวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มประมาณการรายได้จากยอดขายขึ้น 9% ในปี 2567F และ 15% ในปี 2568F ซึ่งส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิใหม่เพิ่มขึ้น 14% อยู่ที่ 300 ล้านบาท (+69% YoY) ในปี 2567F และ 12% อยู่ที่ 342 ล้านบาท (+14% YoY) ในปี 2568F ทั้งนี้ เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของธุรกิจกลุ่ม non-café ต่ำกว่ากลุ่มธุรกิจร้านขายขนมหวานและการคาดว่าอาจมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปีหน้า ฝ่ายวิเคราะห์จึงปรับลด GPM ลง 0.8ppts อยู่ที่ 65.5% ในปี 2567F และ 3.6ppts อยู่ที่ 63.0% ในปี 2568F Valuation &amp; action ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงคำแนะนำ &quot;ซื้อ&quot; และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 2568 ขึ้นเล็กน้อยที่ 12.20 บาท (อิงจาก PER ที่ 29x หรือ -1.0 S.D.) จากเดิม 12.10 บาท (PER ที่ 32x)

องค์กรภาคตลาดทุน ร่วมแสดงเจตนารมณ์มุ่งมั่น ยกระดับธรรมาภิบาลบริษัทจดทะเบียนไทย

องค์กรภาคตลาดทุน ร่วมแสดงเจตนารมณ์มุ่งมั่น ยกระดับธรรมาภิบาลบริษัทจดทะเบียนไทย

         หุ้นวิชั่น - องค์กรภาคตลาดทุน โดย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai IOD) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมแสดงเจตนารมณ์มุ่งยกระดับธรรมาภิบาลบริษัทจดทะเบียนไทย  ยืนยันติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด พร้อมดำเนินการตามความเหมาะสมและตามอำนาจหน้าที่ มุ่งดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน องค์กรภาคตลาดทุนมีเจตนารมณ์ร่วมกันเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้ลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย และรักษาไว้ซึ่งมาตรฐานธรรมาภิบาลที่ดีของบริษัทจดทะเบียนในตลาดทุนไทย อันจะนำไปสู่การพัฒนาตลาดทุนไทยอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นไปตามเนื้อหาของแถลงการณ์ร่วม เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 ดังนี้ จะติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและดำเนินการตามความเหมาะสมและตามอำนาจหน้าที่ จะร่วมกันยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการที่ดีของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึงการทำรายการที่อาจมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงจะดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และอุปนายก สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย กล่าวว่า สภาธุรกิจตลาดทุนไทยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ และการพัฒนาธรรมาภิบาลในบริษัทจดทะเบียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุน นำไปสู่การเติบโตที่มั่นคงยั่งยืน และความสามารถในการแข่งขันในระดับโลกของตลาดทุนไทย         นายกุลเวช เจนวัฒนวิทย์ กรรมการผู้อำนวยการ สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai IOD) กล่าวว่า ความยั่งยืนขององค์กรเริ่มที่ความเชื่อถือไว้วางใจจากประชาชน (Public Trust) สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai IOD) หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคณะกรรมการบริษัททุกท่านจะทำหน้าที่เป็นสติให้กับองค์กร ทำงานร่วมกับผู้บริหารในการปลูกจิตสำนึกการมีธรรมาภิบาลที่ดีถ่ายทอดสู่พนักงานทุกระดับเพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ และมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยสมาคมฯ คาดหวังให้ประธานคณะกรรมการเป็นผู้นำขององค์กรในการสร้างวัฒนธรรมการทำงานของคณะกรรมการ เปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นของกรรมการทุกคนอย่างรอบคอบ เราอยากเห็นกรรมการอิสระทำหน้าที่สะท้อนความคาดหวังและรักษาผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกลุ่มต่าง ๆ เพื่อให้บริษัทสามารถบรรลุเป้าหมายตามความคาดหวังที่แท้จริง         นายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กล่าวว่า นักวิเคราะห์ให้ความสำคัญอย่างมากกับการมองเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เพราะผู้ลงทุนแสวงหาการลงทุนที่ตอบโจทย์ทั้งการเงินและการทำให้สังคมดีขึ้น ESG ส่งผลต่อทั้งความเสี่ยงและโอกาสทางธุรกิจ ความโปร่งใสเป็นหัวใจสำคัญของตลาดทุน หากบริษัทจดทะเบียนมองเห็นคุณค่าของกำไรระยะสั้น โดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบในระยะยาวก็จะถูกจับตาหรือถูกต่อต้าน ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและผลการดำเนินงานในที่สุด        นางชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน และประธานคณะอนุกรรมการ ESG Collective Action กล่าวว่า ในฐานะผู้ลงทุนสถาบันที่ยึดมั่นในหลักความซื่อสัตย์สุจริต ระมัดระวังปกป้องผลประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหน่วยลงทุนเป็นสำคัญ ย้ำถึงความกังวลของผู้บริหารและผู้จัดการกองทุนของ บลจ. ต่อประเด็นความเสี่ยงด้าน ESG โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่ บลจ. ให้ความสำคัญสูงสุดควบคู่ไปกับผลประกอบการที่ดี คือด้านธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียนไทยที่มีกรณีเกิดขึ้นหลายครั้งในปีนี้ ซึ่ง บลจ. ทุกแห่งได้รวมตัวกันอย่างเข้มแข็ง เพื่อยกระดับการดำเนินการด้าน ESG Collective Action ให้กระชับและมีประสิทธิภาพ เพื่อตรวจสอบติดตามข้อเท็จจริง ตั้งคำถาม ประเมินผลกระทบและกำหนดแนวทางการลงทุนในหุ้นที่มีประเด็นปัญหาดังกล่าวในทุก ๆ กรณี และคาดหวังว่าจะเป็นพลังที่เข้มแข็งส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนตลาดทุนไทยอย่างมีคุณภาพ        นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การสื่อสารที่รวดเร็วและทั่วถึงถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบัน ซึ่งบริษัทจดทะเบียนต้องเปิดเผยข้อมูลโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ลงทุน เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่จำเป็นต่อการตัดสินใจลงทุนในเวลาที่ทันเหตุการณ์ ซึ่งเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลเป็นความจำเป็นพื้นฐานที่บริษัทจดทะเบียนต้องดำเนินการ แต่หากมีข้อมูลสำคัญที่ผู้ลงทุนซึ่งเป็นผู้ที่มีส่วนได้เสียสำคัญต่อบริษัทอาจได้รับผลกระทบ ก็ควรสื่อสารให้ผู้ลงทุนและสาธารณชนได้รับรู้ด้วย ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูลแก่ผู้ลงทุนอย่างเท่าเทียม ทั่วถึง ทันต่อการนำข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุน

MAGURO เปิดแบรนด์

MAGURO เปิดแบรนด์ "Tonkatsu Aoki" คาดกระแสดี เป้า 26 บ.

        หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า MAGURO (ซื้อ/เป้า 26.00 บาท) คาด Tonkatsu Aoki ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค คงคำแนะนำ “ซื้อ” และคงราคาเป้าหมายที่ 26.00 บาท อิง 2025E PER 23.5x วานนี้ฝ่ายวิเคราะห์ได้ไปร่วมงาน soft opening ของร้าน Tonkatsu Aoki สาขาแรกที่ Central World จุดเด่นของร้าน Tonkatsu Aoki เมื่อเทียบกับคู่แข่ง คือ 1) ใช้วัตถุดิบ premium นำเข้ามาจากญี่ปุ่น, 2) รสชาติดี ได้รับยกย่องให้เป็น Senmonten (ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน) ด้านทงคัตสึ ทอดได้กรอบนอกนุ่มใน รักษาความ juiciness ในเนื้อหมูได้ดีมาก และ 3) ราคาอาหารแข่งขันได้ โดยเริ่มต้นที่ 320–990 บาท จากที่เราได้ชิมอาหารในครั้งนี้ เราเชื่อมั่นว่าร้าน Tonkatsu Aoki จะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค จากคุณภาพอาหารที่ premium และราคาที่เหมาะสม โดยร้านจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันนี้ (20 ธ.ค. 2024) ทั้งนี้ MAGURO มีแผนเปิดเพิ่มอีก 4 สาขาในปี 2025E โดยคาดสาขา 2 ที่ One Bangkok และสาขา 3 ที่ Velaa จะเปิดปลาย 1Q25E ต้น 2Q25E เราคาดรายได้ปี 2025E ที่ 45 ล้านบาท/สาขา/ปี, GPM > 50% และ NPM 9-10% ทั้งนี้ หากเปิดครบ 5 สาขา เราคาดจะมีรายได้จาก Tonkatsu Aoki ที่ 225-235 ล้านบาท/ปี และกำไรที่ 23 ล้านบาท/ปี คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E ที่ 95 ล้านบาท (+31% YoY) และกำไรปกติที่ 101 ล้านบาท (+39% YoY) สำหรับปี 2025E คาดกำไรสุทธิที่ 141 ล้านบาท (+49% YoY) ราคาหุ้น underperform SET -6% ใน 1 เดือนที่ผ่านมา ปัจจุบันเทรดอยู่ที่ 2025E PER 17.7x ตํ่ากว่า peer อย่างไรก็ตาม เรายังชอบ MAGURO จาก 1) ธุรกิจร้านอาหารแบบ Full-Service ไทยยังมีการเติบโตต่อเนื่อง, 2) มี penetration rate ที่ต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก และ 3) valuation ไม่แพงเมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไรปี 24-25E ที่ทำ All Time High และยังมี upside จากแบรนด์ใหม่และการขยายสาขาที่มากกว่าคาด

TIDLOR  เคาะจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.438 บาทต่อหุ้น

TIDLOR เคาะจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.438 บาทต่อหุ้น

           บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR หรือ บริษัทฯ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 มีมติอนุมัติจ่ายปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 เป็นเงินสด ในอัตราหุ้นละ 0.438 บาท คิดเป็น 40% ของกำไรสุทธิ เพื่อให้สอดคล้องกับกระบวนการปรับโครงสร้างการถือหุ้น และนโยบายการจัดสรรเงินทุนของผู้ถือหุ้นอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 6 มกราคม 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลภายในวันที่ 17 มกราคม 2568            นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า “เนื่องจากที่ผ่านมาเรา มีผลประกอบการที่ดีและกำไรสะสมในระดับสูง ประกอบกับสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง สภาพคล่องทางการเงินสูง รวมถึงมีความมั่นใจกับการดำเนินธุรกิจในปี 2568 บริษัทฯ จึงเห็นถึงความเหมาะสมของการจ่ายปันผลรอบพิเศษในครั้งนี้”            นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ยังได้รับทราบความคืบหน้าของแผนการปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการจัดการของบริษัทฯ โดยปัจจุบัน สำนักงาน ก.ล.ต. ได้อนุมัติคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์พร้อมการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของ ติดล้อ โฮลดิ้งส์ แล้ว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในปัจจุบัน ติดล้อ โฮลดิ้งส์ และผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการขออนุญาตและการเห็นชอบอื่น ๆ เพื่อดำเนินการตามแผนการปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการจัดการของบริษัทฯ จากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง บริษัทฯ จึงมีความจำเป็นต้องเลื่อนกระบวนการแลกหุ้น (Tender Offer) เป็นภายในปี 2568 ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีด้านนายหน้าประกันภัย (InsurTech Platform) เพื่อเดินหน้าต่อยอดให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยนักลงทุนยังคงสามารถร่วมลงทุนกับหลักทรัพย์ TIDLOR ได้ตามปกติ            นายปิยะศักดิ์ มั่นใจว่าการดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 ธุรกิจนายหน้าประกันภัยยังคงเติบโตได้ดี ขณะที่ธุรกิจสินเชื่อกลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า และยังคงสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงสามารถควบคุม NPL Ratio ให้ไม่เกิน 2% ตามกรอบที่วางไว้ ซึ่งปัจจุบัน NPL Ratio ยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมอีกด้วย            ทั้งนี้ นักลงทุนสามารถติดตามข้อมูลการปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการจัดการ และการแลกหุ้น ได้ที่เว็บไซต์ www.tidlorinvestor.com หรือ www.set.or.th [PR News]

SPAไฮซีซั่นท่องเที่ยว หนุนกำไรพอง แนะ

SPAไฮซีซั่นท่องเที่ยว หนุนกำไรพอง แนะ "ซื้อ" เป้า 8.50 บ.

 หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุถึง SPA ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น การขยายสาขาผลักดันผลประกอบการใน 4Q24 ฝ่ายวิเคราะห์มองว่า SPA เป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบัน 2024YTD มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 33.4 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 27% YoY, คิดเป็น 90% ของระดับก่อนโควิด) และนักท่องเที่ยวจีนกลับมาแล้ว 65% ของระดับก่อนโควิด ซึ่งส่งผลบวกต่อ SPA เนื่องจากลูกค้าต่างชาติสร้างรายได้ถึง 70% ของรายได้รวม โดยนักท่องเที่ยวจากเอเชียตะวันออกคิดเป็น 50% ของรายได้ SPA ทั้งนี้ แรงส่งจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวคาดว่าจะช่วยรักษาระดับ SSSG ให้ใกล้เคียงกับ 3Q24 ที่ 8% นอกจากนี้ SPA ยังขยายสาขาเพิ่มอีก 2 สาขา ทำให้สิ้นปี 2024F จะมีสาขารวม 79-80 สาขา (เพิ่มจาก 77 สาขาในไตรมาส 3/24 เทียบกับที่เรา คาดการณ์ไว้ที่ 79 สาขา) สำหรับปี 2025F บริษัทได้คัดเลือกทำเลสำหรับสาขาใหม่แล้ว 4-5 แห่ง และอยู่ระหว่างเจรจาเพิ่มเติม คาดกำไรเติบโต YoY, QoQ ใน 4Q24F ด้วยแนวโน้ม SSSG ที่เป็นบวกและผลจากการขยายสาขา คาดว่ากำไรหลักใน 4Q24F จะเติบโต QoQ ตามปัจจัยฤดูกาล สำหรับเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากใน 4Q23 บริษัทมีบันทึกรายการสิทธิประโยชน์ทางภาษีจำนวน 56 ล้านบาท หากไม่รวมรายการดังกล่าว เราคาดกำไรก่อนภาษีของ SPA ใน 4Q24F จะเติบโต YoY ทั้งนี้ ผลประกอบการ 9M24 อยู่ที่ 217 ล้านบาท (+13% YoY) คิดเป็น 69% ของประมาณการทั้งปีของเรา ดังนั้น เรายังคงประมาณการผลประกอบการ โดยคาดอยู่ที่ 313 ล้านบาท สำหรับปี 2024F และ 365 ล้านบาท (+16% YoY) สำหรับปี 2025F คงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 8.50 บาท (DCF) ปัจจุบัน SPA ซื้อขายอยู่ที่ 25x 2025F PER คิดเป็น -1SD ของค่าเฉลี่ยในอดีต โดยเราคาดผลประกอบการเติบโตเฉลี่ย 16% ต่อปีระหว่างปี 2024-2026F ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยว การขยายสาขาและมาร์จิ้นที่ดีขึ้น ดังนั้น ยังคงแนะนำ "ซื้อ" ด้วยราคาเป้าหมาย 8.50 บาท

ราคาน้ำมันปิดลบ ชี้หุ้นสายการบิน AAV รับอานิสงส์

ราคาน้ำมันปิดลบ ชี้หุ้นสายการบิน AAV รับอานิสงส์

  หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) น้ำมันดิบ Brent -0.98% d-d ปิดที่ USD 72.67/barrel น้ำมัน WTI -0.91%d-d ปิดที่ USD 69.38/barrel แรงกดดันจากคาดการณ์ Demand การบริโภคน้ำมัน จากมุมมองธนาคารกลางสำคัญมีโอกาสลดดอกเบี้ยในระยะยาวช้าลง และ Dollar index แข็งค่าแรงเป็นปัจจัยกดดัน มองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ แต่ในทางตรงข้ามจะบวกต่อหุ้นสายการบิน AAV กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ฯลฯ

คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.50-34.75 บาท/ดอลลาร์

คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.50-34.75 บาท/ดอลลาร์

        หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.50-34.75 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทอ่อนค่าพร้อมเงินเยนวานนี้ หลังธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติให้คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 25% พร้อมส่งสัญญาณว่าอาจยังต้องรอประเมินอัตราค่าจ้างปีหน้าและทิศทางนโยบายของทรัมป์ ก่อนที่จะขึ้นดอกเบี้ย ธนาคารกลางอังกฤษมีมติ 6:3 ให้คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 75% พร้อมส่งสัญญาณว่าจะลดดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้เงินปอนด์อ่อนค่าลงเทียบต่อดอลลาร์ ธนาคารกลางจีนพยายามชะลอการอ่อนค่าของเงินหยวน โดยประกาศอัตรา Fixing เงินหยวนแข็งค่ากว่าเลข Survey

KSS คาด SET สร้างฐาน ต้าน 1394 จุด จับตาค้าปลีก ลุ้นมาตรการรัฐ

KSS คาด SET สร้างฐาน ต้าน 1394 จุด จับตาค้าปลีก ลุ้นมาตรการรัฐ

        หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้“แกว่งสร้างฐาน” ต้าน 1390/1394 จุด รับ 1367/1362 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯยังถูกปรับสถานะจาก ผลประชุม Fed ดัชนีS&P500 รีบาวน์ก่อนปิดทรง -0.09% รายงานเศรษฐกิจส่วนใหญ่ยังแข็งแกร่ง GDP งวด 3Q24 +3.1%q-q สูงกว่าตลาดคาด และ prev. 3.0% ขณะที่ยอดขอรับสวัสดิการว่างงาน (Initial Jobless Claims) ที่ 2.2 แสนราย ดีกว่าตลาดคาดเล็กน้อย vs prev. 2.42 แสนราย และสนับสนุนมุมมองดอกเบี้ยตาม Dot Plot ใหม่ของ Fed ทำให้US Bond Yield 10 ปียังแกว่งขึ้นอีก +5 bps มาปิดที่ 4.56% ขณะที่ Dollar Index เร่งขึ้นมาปิดที่ 108.1 จุด สูงสุดในรอบ 2 ปีทำให้เงินบาทแกว่งตัวอ่อนค่า 34.5-34.6 บาท กอปรกับปัจจัยลบเฉพาะตัวของ TOP (เพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP) ต่อกลุ่มพลังงาน กลยุทธ์เน้น Selective คาดหุ้นนำตลาดจะอยู่ในกลุ่มจิตวิทยา Yield สหรัฐสูงหนุน อาทิ ธนาคาร ประกัน หุ้นค้าปลีกที่จะได้ประโยชน์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วน Easy E-Receipt และ Digital Wallet เฟส 2 (เข้า ครม. สัปดาห์ หน้า) กลุ่มได้จิตวิทยาบวกเงินบาทอ่อนค่า และหุ้น Defensive วันนี้แนะนํา KTB, CRC, COM7

รัฐจ่อออกโครงการ “ลดหย่อนภาษี” โบรกเคาะหุ้นได้อานิสงค์

รัฐจ่อออกโครงการ “ลดหย่อนภาษี” โบรกเคาะหุ้นได้อานิสงค์

 หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี เจาะหุ้นค้าปลีก หลังมีข่าว รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมเสนอมาตรการ ลดหย่อนภาษีกระตุ้นการบริโภคในประเทศ โครงการ อีซี่ อี-รีซีท (easy e-receipt) ต่อที่ประชุม คณะรัฐมนตรี(ครม.) ในวันที่ 24 ธ.ค.นี้โดยรายละเอียดโครงการจะใช้หลักเกณฑ์เดิม สามารถลดหย่อนภาษีสูงสุด 50,000 บาท สำหรับปีภาษี2025 เริ่มดำเนินงาน เดือนม.ค. 25 ผสานกับ ที่กระทรวงการคลังจะเสนอ ครม. อนุมัติมาตรการ Digital Wallet เฟส 2 พร้อมกัน อิงเม็ดเงิน โครงการ Easy E-Receipt ที่รัฐฯประเมินผลบวกรอบก่อน ที่รัฐฯสูญเสียภาษี 1.0 หมื่นล้านบาท แต่..ช่วยเพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียน 7.0 หมื่นบาท ผสาน เม็ดเงิน Digital Wallet อีกราว 4.0 หมื่นล้านบาท ฝ่ายวิจัยประเมินเม็ดเงินทั้ง 2 ส่วน คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP อยู่ราว 0.5%+/- จากฝั่งการบริโภคช่วงต้นปี2025 ในส่วนการบริโภคภาคเอกชน และบวกต่อหุ้นค้าปลีก ระยะสั้นเน้น CPALL, BJC, CRC, COM7

บอร์ด TOP ไฟเขียวเพิ่มงบประมาณ เร่งเดินหน้าโครงการ CFP

บอร์ด TOP ไฟเขียวเพิ่มงบประมาณ เร่งเดินหน้าโครงการ CFP

        หุ้นวิชั่น - “บอร์ดไทยออยล์” ไฟเขียวเพิ่มงบประมาณโครงการพลังงานสะอาด (CFP) วงเงิน 63,028 ล้านบาท พร้อมเตรียมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น 21 ก.พ. ปีหน้า ยืนยันผู้ถือหุ้นและบริษัทฯ ได้ประโยชน์สูงสุด อีกทั้งเพิ่มความแข็งแกร่งและมั่นคงด้านพลังงาน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ           นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่  บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ นัดพิเศษ ครั้งที่ 6/2567 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ได้มีมติเห็นชอบเพิ่มงบประมาณในโครงการพลังงานสะอาด   (Clean Fuel Project หรือ CFP) ประมาณ 63,028 ล้านบาท และดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้างประมาณ 17,922 ล้านบาท การเพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP ครั้งนี้ จะนำไปใช้เพื่อการก่อสร้าง การจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ส่วนที่เหลือ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าที่ปรึกษาต่างๆ เป็นต้น เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จ    และสามารถดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ โดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสีย ที่เกี่ยวข้อง และประโยชน์สูงสุดของบริษัทฯ และผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ บริษัทฯ เตรียมจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 14.00 น. เพื่อขอมติจากผู้ถือหุ้นในการอนุมัติการเพิ่มงบประมาณในโครงการ CFP ดังกล่าว “โครงการ CFP จะทำให้ไทยออยล์มีกำลังการกลั่นน้ำมันดิบ 400,000 บาร์เรลต่อวัน และสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นโครงการขนาดใหญ่ ปัจจุบันดำเนินการไปแล้วกว่า 90% เมื่อโครงการสำเร็จจะสามารถตอบโจทย์การเติบโตทางกลยุทธ์ในระยะยาว ทำให้บริษัทฯ เติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) ทำให้ไทยออยล์สามารถแข่งขันได้ และเป็นผู้นำ   ในภูมิภาคซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง ก่อให้เกิดผลตอบแทนที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นและบริษัทฯ ในระยะยาว  หากโครงการเดินหน้าต่อจะทำให้ซัพพลายเชน รวมถึงบริษัทรับเหมาก่อสร้างและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องมีงานทำ          มีรายได้มาจับจ่ายใช้สอย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง” นายบัณฑิตฯ กล่าว

จับตาราคาทอง เช้าวันนี้ร่วง 200 บาท

จับตาราคาทอง เช้าวันนี้ร่วง 200 บาท

          หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่ 20 ธันวาคม 2567 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาปรับลง 200 บาท ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 42,550.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 42,650.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 41,780.96 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 43,150.00 บาท

[Vision Exclusive] JPARK ปักหมุดแลนด์มาร์ก CBD - เป้า 10.70บ.

[Vision Exclusive] JPARK ปักหมุดแลนด์มาร์ก CBD - เป้า 10.70บ.

           หุ้นวิชั่น - "สันติพล เจนวัฒนไพศาล" บอสใหญ่ JPARK กางแผนปีมะเส็ง คาดรายได้ปี 68 โต 30% กระเป๋ารับทรัพย์บริการจอดรถเต็มๆ เล็งขยายช่องจอดแตะ 5 หมื่นช่อง จากปี 67 ที่ 4 หมื่น ปักหมุดแลนด์มาร์ก CBD ทำเลทอง แย้มแผนลงทุนบิ๊กโปรเจ็กต์ใหม่กลางปีหน้า ฟากโบรกส่งซิกธุรกิจปีทอง แนะ "ซื้อ" เป้าสิ้นปี 68 ที่ 10.70 บาท            นายสันติพล เจนวัฒนไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจนก้องไกล จำกัด (มหาชน) หรือ JPARK เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ในปี 2567 บริษัทเริ่มรับรู้รายได้จากการบริหารที่จอดรถในโครงการ One Bangkok แล้ว และในปี 2568 จะเริ่มรับรู้รายได้จากธุรกิจนี้แบบเต็มปี คาดว่าแนวโน้มธุรกิจในปี 2568 จะเติบโตทุกส่วนของธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจให้บริการที่จอดรถ (Parking Service Business: PS), ธุรกิจรับจ้างบริหารจัดการพื้นที่จอดรถ (Parking Management Service Business: PMS) และธุรกิจให้คำปรึกษาและติดตั้งระบบบริหารจัดการพื้นที่จอดรถ (Consultant and Installation Parking System Business: CIPS)            ในปี 2568 บริษัทจะรับรู้รายได้จากธุรกิจให้บริการที่จอดรถจากอาคารจอดรถ อาคารจอดรถศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษกศิริราชพยาบาล และ "JPARK กาญจนสุข" พื้นที่เชิงพาณิชย์ของโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ซึ่งบริษัทได้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ว โดยอาคารจอดรถดังกล่าวเป็นอาคารสูง 6 ชั้น สามารถรองรับรถยนต์และรถจักรยานยนต์รวมประมาณ 500 คัน มีพื้นที่ใช้สอย 18,242 ตารางเมตร และพื้นที่ให้บริการเชิงพาณิชย์ 2,049 ตารางเมตร            บริษัทมีแผนขยายบริการที่จอดรถในโครงการอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น โรงพยาบาล สนามบิน และอื่นๆ โดยในปี 2568 บริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่มช่องจอดรถเป็น 50,000 ช่อง จากปี 2567 ที่มีช่องจอดรถ 40,000 ช่อง จากการขยายบริการในย่าน CBD อีก 5-10 โครงการ            นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการวางแผนลงทุนในโครงการขนาดใหญ่คล้ายกับ อาคารจอดรถศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษกศิริราชพยาบาล โดยคาดว่าจะมีการลงทุนใหม่ 1-2 โครงการในช่วงกลางปี 2568 โดยมูลค่าการลงทุนจะใกล้เคียงกันที่ประมาณ 500 ล้านบาท            สำหรับทิศทางการเติบโตในปี 2568 บริษัทคาดว่าจะเติบโตที่ระดับ 30% เมื่อเทียบกับปี 2567 ซึ่งคาดว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมาย หรือเติบโต 25-30% ตามที่ตั้งเป้าไว้            อนึ่ง 9 เดือนแรกปี 2567 JPARK มีรายได้แล้วที่ 522.57 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 142.20 ล้านบาท            ด้าน  บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า JPARK ปี 2568 จะเป็นปีที่ดี รพ. พระนั่งเกล้า,One Bangkok และ The market หนุนกeไร 4Q67            คาดกำไรใน 4Q67เบื้องต้นที่ 20 –22 ลบ. เติบโตสูง YoY แม้ว่ารายได้จะลดลงเนื่องจากงาน CIPS ขนาดใหญ่ได้รับรู้รายได้ไปหมดแล้ว และงานใหม่คาดว่าจะทราบผลในปี 2568โดยรายได้ใน 4Q67ได้แรงหนุนจาก 1) งาน PS ของโครงการ รพ. พระนั่งเกล้าฯ ปัจจุบันมีปริมาณ Traffic เพิ่มขึ้นเป็นราว 60% และมีรายได้จากพื้นที่เช่าเชิงพาณิชย์ที่ทยอยรับรู้ในส่วนของดอกเบี้ยรับตามมาตรฐานบัญชี รับรู้รายได้ส่วนนี้เต็มไตรมาส 2) งาน PMS โครงการ One Bangkok เพิ่มขึ้นจาก 2,000 ช่องจอดเป็น 8,000 ช่องจองเต็มไตรมาสใน 4Q67 และ 3) งาน PS โครงการ The Market ขนาดมากกว่า 1,000 ช่องจอด เพิ่งเริ่มเข้าไปให้บริการในเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา แม้ว่าเป็นห้างสรรพสินค้าที่ความนิยมไม่สูง แต่อยู่ในพื้นที่ที่มีความต้องการพื้นที่จอดสูง ทำให้เริ่มทำกำไรได้ตั้งแต่เดือนแรก  CIPS ปี 68 มีโอกาสสูงกว่าเป้า...            งานPS ขนาดใหญ่ยังมีให้ลุ้นราคาหุ้นปรับตัวลงหลังรายงานงบ 3Q67 เนื่องจากความกังวลรายได้งาน CIPS ที่ลดลงมากและยังไม่มีงานใหม่เพิ่มเติม ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์ไม่ได้กังวลเพราะเป็นประเด็นที่ทราบอยู่แล้วว่าเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเนื่องจากงานส่วนใหญ่เป็นของภาครัฐฯ และถูกเลื่อนไปจากช่วงที่รอความชัดเจนเรื่องของตัวนายกรัฐมนตรีท่านใหม่ งานส่วนใหญ่จึงไปกระจุกตัวในปี 2568 ตามที่ฝ่ายวิเคราะห์ระบุไปในบทวิเคราะห์ Initiate แต่จากการพูดคุยกับบริษัทเพิ่มเติมพบว่าปัจจุบันมีงาน CIPS ไม่น้อยกว่า 3 โครงการที่อยู่ระหว่างการเจรจาและมีบางโครงการมีโอกาสได้ข้อสรุปภายใน 1Q67 ซึ่งมูลค่ารวมทุกโครงการค่อนข้างสูง และรับรู้รายได้ได้ไว ทำให้มีโอกาสที่รายได้ส่วนนี้จะสูงกว่าเป้าหมายของบริษัทที่ 100ลบ./ปี (คาด 131ลบ. ในปี 2568)            ขณะที่รายได้จาก รพ. พระนั่งเกล้า, The Market, ตลาดบางกอกน้อย รับรู้เต็มปี ด้วยTraffic ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่งาน PMS ของ One Bangkok รับรู้รายได้เต็มปีเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีงาน PS ขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับโครงการของ รพ. ศิริราช คาดว่าจะได้เพิ่มเติมในปี 2568 เช่นกัน ทำให้ประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์ยังมีความเป็นไปได้ กำไรโตสูงถึงปี69...            คงคำแนะนำซื้อด้วยโอกาสได้งาน CIPS สูง และเป็นงานที่รับรู้รายได้ไม่นานทำให้โอกาสที่รายได้ส่วนนี้จะสูงกว่าเป้าบริษัทได้ไม่ยาก รวมถึงโอกาสจากโครงการใหม่ๆ ขนาดใหญ่ทั้งที่มีรายได้ได้เลย และโครงการก่อสร้างใหม่ ยังคงคาดกำไรปี 2568 ที่ 153 ลบ. (+52.1% YoY)            ส่วนปี 2569 เป็นปีแรกที่เริ่มรับรู้รายได้จากอาคารจอดรถศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษกศิริราชพยาบาล คาดกำไรเติบโตอีก 47.8% YoY เป็น 227 ลบ. เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่กว่า รพ. พระนั่งเกล้าฯ 2 เท่า ทั้งพื้นที่จอด และพื้นที่เช่าเชิงพาณิชย์   ปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขาย PER68 ต่ำเพียง 16.4 เท่า คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ที่ 10.70 บาท รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

XO เครื่องปรุงรสแซ่บ โมเดิร์นเทรดทำเงิน

XO เครื่องปรุงรสแซ่บ โมเดิร์นเทรดทำเงิน

           หุ้นวิชั่น - XO ชูธงขายเครื่องปรุงรสต่างแดน เร่งเครื่องทำยอด จับเทรนด์ผู้บริโภค อาหารโตต่อ ด้าน บิ๊กบอส "จิตติพร จันทรัช" ตั้งเป้ารายได้ปี 68  โต 15% ลุยเจาะโมเดิร์นเทรด สาขา 1.2 หมื่นแห่ง แถมบาทอ่อนหนุนเงิน            นายจิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า บริษัทคาดว่าไตรมาส 4/2567 จะเป็นจุดต่ำสุด และในปี 2568 บริษัทจะเติบโตเพิ่มขึ้น โดยภาพรวมของปี 2568 คาดว่าจะดีกว่าปี 2567 จากการขยายการขายสินค้าในตลาดหลัก เช่น ประเทศเยอรมนี ซึ่งปัจจุบันมีร้านค้าโมเดิร์นเทรดกว่า 12,000 แห่ง ขณะที่บริษัทจำหน่ายซอสของบริษัทในร้านค้าเพียง 3,000 แห่ง ทำให้ยังมีโอกาสขยายช่องทางการขายในตลาดหลักได้อีกมาก            นอกจากนี้ บริษัทจะเดินหน้าขยายตลาดใหม่เพื่อเพิ่มฐานลูกค้า โดยเฉพาะในประเทศยุโรป ซึ่งมีความต้องการใช้เครื่องปรุงรสคล้ายคลึงกับตลาดที่ XO จำหน่ายอยู่ โดยบริษัทจะเน้นการออกงานแสดงสินค้าเพื่อเพิ่มการรับรู้และเปิดตลาดใหม่ในการขายสินค้า            สำหรับปี 2568 บริษัทตั้งเป้ายอดขายเติบโต 15% จากปี 2567 ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) จัไม่ต่ำกว่า 45% ซึ่งดีมานด์การใช้เครื่องปรุงรส และซอสยังเติบดตต่อเนื่อง โดยเป็นไปตามการบริโภคอาหารของผู้บริโภคที่ต้องการได้รสชาติอาหารอร่อย            อย่างไรก็ดี บริษัทไม่กังวลประเด็นสงครามต่างประเทศ เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทสามารถสามารถจำหน่ายสินค้าได้เป็นปกติ แม้จะเกิดสงครามยูเครน รัสเซีย ส่วนประเด็นอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทไทยอยู่ในโซนอ่อนค่า เป็นผลดีต่อการจำหน่ายของ XO เนื่องจากบริษัทซื้อขายสินค้าเป็นสกุลเงินบาท            อนึ่ง 9 เดือนแรกปี 2567 XO มีรายได้แล้วที่ 1,979.16 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 670.48 ล้านบาท            ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่าถึง XO ว่า ฝ่ายวิเคราะห์ ลดเป้ารายได้ 2024F เหลือทรงตัว จากเดิม +10-15%  y-y(vs ฝ่ายวิเคราะคาด +3%  y-y) จากลูกค้าหลักทั้งยุโรป  (80% ของรายได้)  ชะลอตัวจากก่อนหน้านี้  เร่งออเดอร์ช่วง 2Q23-2Q24ไปมาก และเหลือสต็อคสูง ขณะที่ สหรัฐ (ลดจาก 25% เหลือ 3% ของรายได้) ยังมีปัญหา Supply เหลือสูงเช่นกัน และปัญหาการแข่งขัน ที่เจ้าตลาดตัดราคา             โดยระยะสั้น 4Q24F มองออเดอร์จะยังลดลง y-y และยังลงเล็กน้อย q-q ต่อเนื่อง  ซึ่งโดยรวม มองการจัดการด้านสต็อคต้องใช้เวลาอีกราว 1-2 ไตรมาส ขณะที่ อิงอดีตที่ผ่านมา ในรอบธุรกิจที่ดี หลังรายได้ทำจุด Peak จะใช้เวลา 5-7 ไตรมาส เพื่อกลับสู่ Peak อีกรอบ (รอบนี้รายได้พีค 4Q23) Line ผลิตใหม่เริ่มTest run และคงแผนสร้างโรงงาน โดย Line ผลิตใหม่อีก 1ไลน์ (ลงทุน 200ลบ., ตัดค่าเสื่อม 10ปี, สร้าง Max revenue 1พันลบ.) เริ่ม Test run 4Q24F และจะเริ่มเชิงพาณิชย์ 1Q25F โดยจะได้ BOI ขณะที่ คงแผนสร้างโรงงานใหม่ ลงทุนราว 700 ลบ. ใช้เวลา 12-18 เดือน คาด Eff tax rate ปี 2025F 8-9% หลังทยอยหมด BOI ไลน์ปัจจุบัน 3Q24 และรวมประโยชน์จาก BOI ไลน์ใหม่เข้าไปแล้ว โดยเทียบ Eff tax rate 1H243.3%, 3Q247.2% ความเห็นและคำแนะนำ มีมุมมอง “Slightly  negative” ต่อข้อมูลที่ได้รับจากงานประชุมนักวิเคราะห์และลดประมาณการกำไรปี 2024F-26F ลงเฉลี่ย 2% จากลดรายได้ลง  โดยกำไรปี 2024-25F ที่ 805ลบ. (+3%) และ 752ลบ. (-7%) ระยะสั้น 4Q24F คาดกำไรยังลดทั้ง y-y,  q-q จากรายได้ที่ยังชะลอ โดยจุดที่ต้องจับตา คือ ในแนวโน้มรายได้ชะลอตัว ขณะที่ จะมีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มเข้ามา อาจกระทบอัตรากำไรในช่วงแรก แม้ราคาหุ้นปรับลดมามาก และซื้อขาย Valuation PER25F เหลือ 11.4 เท่า (-1.6SD) แต่หุ้นยังขาดปัจจัยบวก ยังแนะนำ “Neutral” และจะหาจุดเข้าลงทุนต่อไป จาก TP25F ใหม่ 21.1บาท (เดิม 27บาท) อิง PER 12เท่า เทียบเท่า ค่าเฉลี่ย-1.5SD รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

ก.ล.ต. แจ้งให้ NRF ให้ความร่วมมือแก่ผู้สอบบัญชีและนำส่งงบการเงินฉบับแก้ไข

ก.ล.ต. แจ้งให้ NRF ให้ความร่วมมือแก่ผู้สอบบัญชีและนำส่งงบการเงินฉบับแก้ไข

            หุ้นวิชั่น - วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม 2567 | ฉบับที่ 277/2567 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งให้บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) (NRF) ให้ความร่วมมือแก่ผู้สอบบัญชีในการสอบทานงบการเงินงวดไตรมาส 3 ปี 2567 และให้นำส่งงบการเงินฉบับแก้ไขที่ผ่านการสอบทานจากผู้สอบบัญชีแล้วต่อ ก.ล.ต. พร้อมทั้งเปิดเผยงบการเงินดังกล่าวต่อสาธารณชนผ่านระบบ SETLink ภายในวันที่ 20 มกราคม 2568             สืบเนื่องจากผู้สอบบัญชีของ NRF เสนอรายงานการสอบทานข้อมูลทางการเงินระหว่างกาลแบบมีเงื่อนไขต่องบการเงินงวดไตรมาส 3 ปี 2567 เนื่องจากผู้สอบบัญชีของ NRF ไม่สามารถหาหลักฐานการสอบทานที่เพียงพอเหมาะสมเกี่ยวกับราคาที่ใช้ในการวัดมูลค่ายุติธรรมของหุ้นที่ได้รับชำระจากผู้ซื้อจากการขายเงินลงทุนในบริษัทย่อยแห่งหนึ่ง และราคาดังกล่าวยังมีผลต่อการปรับมูลค่าเงินลงทุนในหุ้นสำหรับส่วนที่กลุ่มบริษัทถืออยู่แล้ว  ผู้สอบบัญชีจึงไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะใช้ในการสอบทานกำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัทย่อยและกำไรจากการวัดมูลค่าหุ้นของผู้ซื้อ             ก.ล.ต. จึงแจ้งให้ NRF ให้ความร่วมมือกับผู้สอบบัญชีในการสอบทานประเด็นดังกล่าว และให้นำส่งงบการเงินฉบับแก้ไข ซึ่งผ่านการสอบทานจากผู้สอบบัญชีต่อ ก.ล.ต. พร้อมทั้งเปิดเผยงบการเงินฉบับที่แก้ไขและรายงานที่เกี่ยวข้องต่อสาธารณชนผ่านระบบเผยแพร่ข้อมูลบริษัทจดทะเบียนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ระบบ SETLink) ภายในวันที่ 20 มกราคม 2568

SCB-BBL เด่น รับ กนง. คง ดอกเบี้ย

SCB-BBL เด่น รับ กนง. คง ดอกเบี้ย

          บล.หยวนต้า ชี้ กนง. คงดอกเบี้ย 2.25% ตามคาด หลังเศรษฐกิจยังขยายตัวจากภาคท่องเที่ยวและบริการ พร้อมส่งสัญญาณเฝ้าระวังความเสี่ยงสินเชื่อ SMEs ด้านกลยุทธ์การลงทุน แนะเก็บหุ้นกลุ่ม Domestic Play เด่น SCB, KBANK, BBL, CPALL และ CRC           บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.25% หลังจาก ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในครั้งที่ผ่านมา โดยการคง อัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้เนื่องจากเงินเฟ้อที่ยังสามารถเติบโต ในกรอบเป้าหมาย และเศรษฐกิจยังขยายตัว โดยได้รับแรง หนุนจากภาคบริการและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวดีขึ้น รวมถึง การส่งผ่านต้นทุนในหมวดอาหารอย่างไรก็ดี ยังคงมีความ เสี่ยงด้านสินเชื่อที่ชะลอตัวและความสามารถในการคืนหนี้ที่ ลดลง           โทนจากการแถลงของ กนง. ไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจน โดยเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอยู่ในกรอบเป้าหมาย ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และยังไม่มีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ เนื่องจากยังไม่เห็นการปรับเพิ่มขึ้นของราคาสินค้า แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังและติดตามแนวโน้มนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลัก           นอกจากนี้ยังคงมีความเสี่ยงด้านสินเชื่อที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs อย่างไรก็ดี โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” คาดว่าจะสามารถเข้ามาช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่มีภาระหนี้สูง ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาได้อย่างตรงจุดและส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ           เชิงกลยุทธ์การลงทุน มีมุมมองบวกต่อกลุ่ม Domestic Play เช่น ธนาคาร ค้าปลีก และอาหารและเครื่องดื่ม โดยหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ SCB, KBANK, BBL, TTB, CPALL, CPAXT, BJC, CRC, และ OSP

พลิกโฉมการรอเที่ยวบินล่าช้าด้วยบัตรกำนัล Delay Lounge Pass 

พลิกโฉมการรอเที่ยวบินล่าช้าด้วยบัตรกำนัล Delay Lounge Pass 

          กัวลาลัมเปอร์, 19 ธันวาคม 2024 – Tune Protect Group Berhad (“Tune Protect” หรือ “The Group”) ได้ประกาศเปิดตัวสิทธิประโยชน์ใหม่สำหรับลูกค้าประกันการเดินทางแอร์เอเชีย “ดีเลย์เลานจ์พาส” (Delay Lounge Pass) ซึ่งเป็นสิทธิพิเศษที่ให้การเข้าถึงห้องรับรองในสนามบินของแอร์เอเชียเมื่อเกิดเหตุเที่ยวบินล่าช้านานกว่า 2 ชั่วโมง โดยเปิดให้บริการที่สนามบินกว่า 1,500 แห่งทั่วโลกรวมทั้งห้องรับรองภายใต้เครือข่ายของแอร์เอเชียทั้งหมด ดีเลย์เลานจ์พาส (Delay Lounge Pass) จะมอบบริการพิเศษเฉพาะลูกค้าที่ซื้อหรือเลือกรับแผนประกันการเดินทางของแอร์เอเชีย เช่น แพ็กสุดคุ้ม (Value Pack), Premium Flex และ AirAsia Plus สำหรับเที่ยวบินทั้งในประเทศมาเลเซียและประเทศไทย ทั้งขาไปและขากลับ           ดีเลย์เลานจ์พาส (Delay Lounge Pass) ช่วยเปลี่ยนประสบการณ์การรอเที่ยวบินล่าช้าให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น ด้วยการมอบสิทธิ์เข้าถึงห้องรับรองในสนามบินที่เพียบพร้อมด้วยบริการครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Wi-Fi ความเร็วสูง ปลั๊กชาร์จไฟ รวมถึงบริการพิเศษอย่างนวดสปา และส่วนลดพิเศษที่บาร์และร้านอาหาร ฟีเจอร์ใหม่นี้มอบสิทธิประโยชน์เหนือกว่าประกันการเดินทางทั่วไป โดยนอกจากผู้โดยสารแอร์เอเชียจะได้รับเงินชดเชยกรณีเที่ยวบินล่าช้าแล้ว ยังได้เพลิดเพลินกับความสะดวกสบายในห้องรับรองสนามบิน ซึ่งช่วยเปลี่ยนช่วงเวลารอให้เป็นประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นอีกด้วย           How Kim Lian (“How”), ประธานกรรมการบริหารกลุ่ม Tune Protect กล่าวว่า “การล่าช้าของเที่ยวบินเป็นสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด และเราทราบดีถึงความยากลำบากที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเดินทางเป็นครอบครัวใหญ่ หรือเมื่อต้องจัดการกับตารางเวลาที่เเน่น โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว เช่น ช่วงปีใหม่หรือปิดเทอม ซึ่ง Tune Protect มุ่งมั่นที่จะพัฒนาและเสริมสร้างประสบการณ์การเดินทางให้สะดวกสบาย และไร้กังวลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ที่ต้องการพื้นที่เงียบสงบเพื่อดูแลลูกหลาน นักธุรกิจที่ต้องการทำงานระหว่างรอเที่ยวบิน หรือผู้ที่เดินทางคนเดียวที่ต้องการพักและผ่อนคลาย การเข้าใช้บริการห้องรับรองในสนามบินสนามบินจึงตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้เดินทางในทุกกลุ่มได้อย่างลงตัว” ลูกค้าจะได้รับสิทธิประโยชน์จากดีเลย์เลานจ์พาส (Delay Lounge Pass) เพียงทำตามขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้: ซื้อหรือเลือกรับประกันการเดินทาง: ลูกค้าต้องซื้อแผนประกันการเดินทางแอร์เอเชีย (Value Pack, Premium Flex, AA Plus) เมื่อทำการจองเที่ยวบิน ลงทะเบียนให้เสร็จสมบูรณ์: หลังจากที่ทำการซื้อแผนประกันแล้ว ลูกค้าจะได้รับอีเมลขอบคุณ พร้อมทั้งอีเมลสำหรับลงทะเบียนใช้งานห้องรับรองในสนามบิน ลูกค้าต้องลงทะเบียนเที่ยวบินที่จะมาถึงโดยใช้รหัสเฉพาะที่ได้รับจากการลงทะเบียนเลานจ์ก่อนการเดินทาง ยืนยันการติดตามเที่ยวบิน: หลังจากลงทะเบียนแล้ว ลูกค้าจะได้รับอีเมลแจ้งยืนยันการติดตามเที่ยวบินผ่านทาง FlightStats รับบัตรกำนัลเข้าใช้งานห้องรับรองในสนามบิน: หากเที่ยวบินเกิดความล่าช้าตั้งแต่สองชั่วโมงขึ้นไป ลูกค้าจะได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับความล่าช้า พร้อมกับบัตรกำนัลเข้าใช้งานห้องรับรองในสนามบินแบบดิจิทัลเมื่อมาถึงสนามบิน ซึ่งสามารถใช้บัตรกำนัลได้ทันที           คุณคิมเหลียน (“How”) ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “โครงการล่าสุดนี้เน้นย้ำถึงคำมั่นสัญญาของ Tune Protect ในการพัฒนาประกันภัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เดินทางยุคใหม่ การผสมผสานผลิตภัณฑ์และบริการเข้ากับประสบการณ์ที่ตรงใจลูกค้า จึงเป็นแนวทางที่ธุรกิจชั้นนำต่างให้ความสำคัญ และสิ่งที่เราทำคือการนำแนวทางนี้มาปรับใช้ในภาคประกันภัยเพื่อดึงดูดความสนใจจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งในกรณีนี้คือผู้เดินทาง การมอบสิทธิ์เข้าใช้ห้องรับรองในสนามบิน ไม่เพียงแต่ยกระดับประสบการณ์การเดินทางของลูกค้า แต่ยังเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการประกันภัยการเดินทางนับเป็นการปฏิวัติวงการประกันภัยการเดินทางและตอกย้ำความเป็นผู้นำของเราในภูมิภาค”           ในกรณีที่เที่ยวบินเกิดความล่าช้าแต่ลูกค้าไม่ได้ใช้บัตรกำนัลที่ได้รับ ลูกค้ายังคงสามารถใช้บัตรกำนัลดังกล่าวได้ภายใน 30 วันนับจากวันที่ออกบัตร ที่ห้องรับรองในสนามบินสนามบินใดก็ได้ในเครือข่ายของแอร์เอเชียกว่า 1,500 แห่งทั่วโลก อย่างไรก็ตาม บัตรกำนัลดีเลย์เลานจ์พาส (Delay Lounge Pass) จะออกให้เฉพาะผู้เดินทางที่ลงทะเบียนและไม่สามารถโอนสิทธิ์การใช้งานได้ และผู้ซื้อแผนประกันการเดินทางแอร์เอเชีย (Value Pack, Premium Flex และ AirAsia Plus) ต้องทำการลงทะเบียนอย่างถูกต้องให้แก่ผู้เดินทางแต่ละคนในกลุ่ม เพื่อผู้เดินทางทุกคนให้ได้รับประสบการณ์ที่สะดวกและราบรื่น           นอกจากดีเลย์เลานจ์พาสแล้ว Tune Protect ยังเสริมฟีเจอร์ใหม่ให้กับแผนประกันการเดินทางแอร์เอเชีย ด้วย TravelFlex Lite ซึ่งมอบสิทธิประโยชน์ในการยกเลิกการเดินทางได้อย่างยืดหยุ่นในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด โดย TravelFlex Lite จะชดเชยค่าตั๋วเครื่องบินสูงสุด 500 ริงกิต หากลูกค้าไม่สามารถเดินทางได้ ฟีเจอร์สำคัญอีกอย่างหนึ่งของแผนประกันการเดินทางแอร์เอเชียคือ On-Time Guarantee ซึ่งจะให้เงินชดเชยจำนวน 100 ริงกิตหากเที่ยวบินเกิดการล่าช้าเกิน 2 ชั่วโมง รวมถึง Baggage Delay ที่จะจ่ายชดเชย 120 ริงกิตทุก 6 ชั่วโมงของการล่าช้า และชดเชยสูงสุดที่จำนวน 360 ริงกิต หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับดีเลย์ห้องรับรองในสนามบินพาส (Delay Lounge Pass) และแผนประกันการเดินทางแอร์เอเชีย รวมถึงข้อกำหนดและเงื่อนไข สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ https://delayloungepass.tuneprotect.com/airasia และ https://www.tuneprotect.com/airasia/AABundlePackage/

[ภาพข่าว] CPANEL จัดงาน Analyst Meeting

[ภาพข่าว] CPANEL จัดงาน Analyst Meeting

           นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม (ที่ 4 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) หรือ CPANEL จัดประชุมนักวิเคราะห์ Analyst Meeting ให้ข้อมูลกลยุทธ์สร้างการเติบโตช่วงโค้งสุดท้ายปี 2567 คว้างานภาครัฐ 5 โครงการ มูลค่ารวม 107 ล้านบาท เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีคุณภาพสูง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขยายฐานลูกค้าภาครัฐ-เอกชนหลากหลาย เข้าร่วมประมูลงานใหม่ ต่อเนื่อง ควบคู่การบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างการเติบโตให้ผลการดำเนินงานในอนาคต

BDMS Wellness Clinic คว้ารางวัลจาก Friendly Design Award 2024

BDMS Wellness Clinic คว้ารางวัลจาก Friendly Design Award 2024

            หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ ประเทศไทย – 18 ธันวาคม 2567 – บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก (BDMS Wellness Clinic) และ บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท (BDMS Wellness Resort) ภายใต้การบริหารของ นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และบีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ Friendly Design Awards 2024 ในประเภท “องค์กรนวัตกรรมสุขภาพเพื่อคนทั้งมวล” จากมูลนิธิอารยสถาปัตย์เพื่อคนทั้งมวล โดยมีนางสาว ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้มอบรางวัล ในงาน Thailand Friendly Design Expo 2024 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา             มูลนิธิอารยสถาปัตย์เพื่อคนทั้งมวลมอบรางวัลดังกล่าวให้กับ BDMS Wellness Clinic และ BDMS Wellness Resort เพื่อยกย่องและเชิดชูความมุ่งมั่นในการพัฒนาและส่งเสริมการออกแบบที่สอดคล้องกับหลักการอารยสถาปัตย์ (Universal Design)      ที่ไม่เพียงแค่ตอบโจทย์ความสะดวกสบายของการใช้งานเพียงเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมกับความทันสมัย โดยมีการออกแบบที่สอดรับกับการเติบโตของสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ตลอดจนคำนึงถึงความปลอดภัยและความเท่าเทียมในการใช้บริการ ครอบคลุมทุกเพศ ทุกวัย และทุกสภาพร่างกาย             นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และ บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “BDMS Wellness Clinic เราเป็นศูนย์บริการดูแลสุขภาพที่มุ่งเน้นด้านการป้องกัน และเสริมสร้างสุขภาพ ให้ผู้มารับบริการมีชีวิตยืนยาวอย่างมีคุณภาพ ภายใต้เทคโนโลยีการตรวจพิมพ์เขียวสุขภาพ (Wellness Life Blueprint) ที่ทันสมัย เช่น การตรวจรหัสพันธุกรรม การตรวจความยาวเทโลเมียร์ การดูแลเรื่องการควบคุมน้ำหนักแบบองค์รวม (Weight Management) การตรวจระดับวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระในเลือด รวมถึงบริการด้าน      ทันตกรรม การรักษาภาวะมีบุตรยาก และการดูแลผิวพรรณและความงาม”             “อย่างไรก็ตาม นอกจากเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ให้บริการในหลากหลายมิติแล้ว เพื่อให้ทุกท่านสามารถเข้ารับบริการได้อย่างทั่วถึง เรายังตระหนักถึงความสำคัญด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมให้สอดคล้องกับหลักการอารยสถาปัตย์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้รับบริการหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะในส่วนของโรงแรม Mövenpick BDMS Wellness Resort Bangkok ที่มีทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย มีห้องพักไว้รับรองผู้รับบริการจำนวน 211 ห้อง มีสถานที่ออกกำลังกาย สปา และบริการอาหารสุขภาพ”             นอกจากนี้ นายแพทย์ตนุพล ยังได้กล่าวถึงการออกแบบอาคาร BDMS Connect Center ซึ่งเป็นหอประชุมใหญ่ขนาด 4 ชั้น และมีจำนวนห้องสำหรับให้บริการ 14 ห้อง สร้างขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ Sustainable Building หรือตึกเพื่อความยั่งยืน โดยใช้วัสดุรีไซเคิลจากขยะพลาสติกและอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน  ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon footprint) โดยศูนย์การประชุมแห่งนี้ได้รับการรับรองจาก LEED-certified ในฐานะอาคารอนุรักษ์พลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมาตรฐานจาก Fitwel ในฐานะอาคารเพื่อสุขภาวะที่ดีสำหรับผู้ใช้อาคารในระดับสากล             ทั้งนี้ BDMS Wellness Clinic และ BDMS Wellness Resort จะยังคงสานต่อความมุ่งมั่นในการให้บริการด้านสุขภาพที่มีคุณภาพ โดยดำเนินงานตามมาตรฐานสากลและกฎหมายที่สนับสนุนสิทธิของผู้พิการอย่างเคร่งครัด ตลอดจนการดูแลใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพื่อผลักดันให้เกิดสังคมที่ทุกคนสามารถเข้าถึงการดูแลสุขภาพ ตลอดจนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพและมีความสุขอย่างแท้จริง

กระหึ่มโลก! “เปิดฤดูกาล MotoGP2025” ครั้งแรกในไทย ปักหมุด One Bangkok

กระหึ่มโลก! “เปิดฤดูกาล MotoGP2025” ครั้งแรกในไทย ปักหมุด One Bangkok

           หุ้นวิชั่น - ข่าวดีของแฟนความเร็ว หลังดอร์น่า สปอร์ต  เจ้าของลิขสิทธิ์โมโตจีพี คิ๊กออฟกิจกรรม MotoGP™ season launch เปิดฤดูกาลอย่างยิ่งใหญ่ ปักหมุด One Bangkok แลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ เป็นสถานที่จัดงานภายใต้ “แฟนอีเว้นต์รูปแบบใหม่” สุดเอ็กซ์คลูซีฟและเปิดให้เข้าร่วมงานฟรี ฝ่ายจัดการแข่งขัน ชี้ “ประเทศไทย” กระหึ่มโลกแน่นอน ทัพสื่อดังจากทั่วโลกตบเท้ารายงานข่าว อีเว้นต์สุดพรีเมียมในครั้งนี้ จะเป็นที่จับตามองและเป็นหมุดหมายสำคัญ ส่งผลสะท้อนให้สนามแรกที่ไทย คึกคักที่สุด คาดบัตรชมการแข่งขันเต็มทุกสแตนด์ที่นั่ง            โมโตจีพี สุดยอดอีเว้นต์มอเตอร์สปอร์ตระดับพรีเมียม เตรียมระเบิดศึกพรี-ซีซั่น ในประเทศไทย วันที่ 12-13 กุมภาพันธ์ และเป็น สนามที่ 1 เปิดฤดูกาล ระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์-2 มีนาคม 2568 ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ภายใต้ชื่อรายการ "PT Grand Prix of Thailand 2025”            ฝ่ายจัดการแข่งขัน เผย กิจกรรม MotoGP™ season launch ที่ประเทศไทย ของดอร์น่า สปอร์ต จะเป็นการโหมโรงที่สุดอลังการ ดังไกลไปโลก จะเป็นอีเว้นต์ชั้นยอดที่เรียกกระแสจากแฟนทั่วโลก จัดในสถานที่เปิด ภายใต้รูปแบบ “แฟนอีเว้นต์”สุดเอ็กซ์คลูซีฟ เปิดให้เข้าร่วมงานฟรี จะได้รับความสนใจจากแฟนคลับโมโตจีพีทั้งไทย-เทศ ทัพสื่อดังจากทั่วโลกตบเท้ารายงานข่าว เชื่อว่าสนามประเทศไทย จะเป็นที่จับตามองและเป็นหมุดหมายสำคัญ  รวมถึงการก้าวสู่รุ่นพรีเมียร์คลาสครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของนักบิดไทย “ก้อง-สมเกียรติ จันทรา” จะสร้างกระแสความนิยม-ความภาคภูมิใจของคนไทย รวมทั้งแฟนความเร็วทั่วโลกที่คอยติดตาม ส่งผลสะท้อนให้สนามแรกที่ไทยคึกคักที่สุด โดยคาดการณ์ว่า จะทำให้บัตรชมการแข่งขันสนามประเทศไทยปีนี้ ประสบความสำเร็จในแง่ยอดจัดจำหน่ายสูงสุด เต็มทุกสแตนด์ที่นั่งอย่างรวดเร็วแน่นอน            กิจกรรม MotoGP™ season launch วันที่ 9 กพ. 2568 ที่ One Bangkok กรุงเทพ จะถ่ายทอดสดไปทั่วโลก ส่งมอบประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟให้กับแฟนความเร็วมากมาย อาทิ การจัดแสดงรถแข่งให้แฟนความเร็วได้ชมอย่างใกล้ชิดตลอดทั้งวัน MotoGP™ Road Show เวลา 16.30-18.30 น.  เหล่านักบิด MotoGP นำรถแข่ง พาเหรดและถ่ายภาพรอบ One Bangkok ต่อด้วย กิจกรรม Hero Walk พบปะแฟนๆ แจกลายเซ็น, เซลฟี่กับนักแข่งคนโปรด ฯลฯ Group Photo เวลา 18.30-18.45 น. หลังจากจบกิจกรรมบนเวที เหล่านักบิด MotoGPทั้งหมดมาถ่ายรูปร่วมกับแฟนคลับ โอกาสครั้งสำคัญในการได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพแห่งความทรงจำกับนักแข่งคนโปรด Live Music Performance เวลา 18.45 น. เป็นต้นไป ภาคความบันเทิง การจัดแสดงดนตรีโดยศิลปินดังของไทย ซึ่งจะมีการเปิดเผยรายชื่อเร็วๆนี้ Red Carpet Event เวลา 20.30-21.00 น. เหล่านักบิดซูเปอร์สตาร์ของโลกและแขกรับเชิญสุดพิเศษ จะเดินพรมแดง หลังจากนั้นจะเข้าสู่ไพรเวต อีเว้นต์ ที่จัดขึ้นบริเวณชั้นรูฟท็อปหรือดาดฟ้า ของ One Bangkok สำหรับ “โมโตจีพี สนามประเทศไทย” ประกาศวันแถลงข่าวและเปิดจำหน่ายบัตรอย่างเป็นทางการ วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม 2568 เวลา 14.00 น.เป็นต้นไป ผ่าน Counter Service All Ticket ในร้าน 7-Eleven ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่เว็บไซด์ allticket ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่แฟนเพจ Chang Circuit Buriram [caption id="attachment_22326" align="aligncenter" width="2000"] default[/caption]

ส่องผลประเมิน SET ESG Ratings ประจำปี 2567

ส่องผลประเมิน SET ESG Ratings ประจำปี 2567

           หุ้นวิชั่น - ด้วยปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคมที่นับวันจะรุนแรงขึ้น เรื่อง “ความยั่งยืน” กลายเป็นกติกาที่กำหนดให้ผู้คนใช้ชีวิตอย่างมีความรับผิดชอบหรือทำธุรกิจโดยคำนึงถึง ESG หรือสิ่งแวดล้อม (Environment: E) สังคม (Social: S) และบรรษัทภิบาล (Governance: G) ในแวดวงการเงินการลงทุน ก็ใช้ ‘ข้อมูลการดำเนินงาน ESG’ เป็นตัวตัดสินว่าบริษัทไหนทำเรื่อง ESG ได้ดีบ้าง ซึ่งทั่วโลกมีผู้ประเมินและจัดอันดับเรตติ้งด้า น ESG มากมาย สำหรับประเทศไทย มีหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ที่คัดบริษัทตัวท็อปด้าน ESG จนมีนักลงทุนนำไปใช้เป็นเครื่องมือประกอบในการตัดสินใจลงทุน SET ESG Ratings คืออะไร หุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings คือ หุ้นที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยคัดกรองมาแล้วว่าดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบต่อสังคม และบริหารงานตามหลักบรรษัทภิบาล โดยจะประกาศผลในช่วงเดือนธันวาคมของทุกปี บริษัทที่จะได้อยู่ในทำเนียบหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ต้องผ่านเกณฑ์คัดกรองถึง 3 ด่าน ด่านแรก คือ เกณฑ์คัดกรองเบื้องต้น เช่น ไม่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน ไม่ถูกขึ้น SP จากการส่งงบล่าช้าไม่ถูกขึ้นเครื่องหมาย CB, CS, CC, CF เป็นต้น ด่านที่ 2 คือ เกณฑ์คะแนนจากแบบประเมิน โดยบริษัทต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่า 50% ในแต่ละมิติ E S G ด่านที่ 3 คือ เกณฑ์คุณสมบัติของบริษัท ซึ่งจะพิจารณาตลอดกระบวนการ หากไม่เป็นไปตามคุณสมบัติจะถูกคัดออกจาก SET ESG Ratings ระหว่างปีได้ เช่น ไม่เป็นบริษัทที่ส่งงบการเงินล่าช้า ไม่ถูกทางการตัดสินความผิดในประเด็นด้าน ESG และต้องมีกำไรสุทธิอย่างน้อย 3 ใน 5 ปี เป็นต้น บริษัทที่สามารถผ่านด่านทั้งหมดนี้จึงจะได้เป็นหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ซึ่งแบ่งเป็น 4 ระดับ ได้แก่ AAA (90-100 คะแนน) AA (80-89 คะแนน) A (65-79 คะแนน) และ BBB (50-64 คะแนน) หุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ถือเป็นตัวช่วยสร้างความน่าสนใจให้บริษัทในสายตาของนักลงทุน ทำให้บริษัทเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น ในขณะเดียวกันก็เป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับนักลงทุนใช้เปรียบเทียบการดำเนินงาน ESG ของแต่ละบริษัท เพื่อประกอบการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุน สะท้อนได้จากเม็ดเงินลงทุนด้าน ESG ในไทยกว่า 1.6 แสนล้านบาทที่นำ SET ESG Ratings ไปใช้เป็นเกณฑ์หนึ่งในการลงทุน เช่น กองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง มูลค่า 1.5 แสนล้านบาท และกองทุน ThaiESG กว่า 51 กองทุน มูลค่ารวมราว 14,545 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2567) หุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ปี 2567 ทำสถิตินิวไฮถึง 228 บริษัท!  หุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2567 มีด้วยกันทั้งสิ้น 228 บริษัท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 37 บริษัท! นับว่าน่าตื่นเต้นเป็นนิวไฮ ให้นักลงทุนได้จับจังหวะลงทุนใหม่ ๆ ด้วยตัวเลือกใหม่ สอดคล้องกับจำนวนบริษัทที่สมัครใจเข้าร่วมการประเมินเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดแตะ 320 บริษัทเป็นครั้งแรกในปีนี้ หุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ทั้งหมดนี้แบ่งเป็นระดับ AAA 56 บริษัท ระดับ AA 80 บริษัท ระดับ A 71 บริษัท และระดับ BBB 21 บริษัท ซึ่งน่าสนใจมากว่า ระดับที่มีจำนวนบริษัทเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือกลุ่ม AAA จากเดิมมีเพียง 33 บริษัทกลายเป็น 56บริษัทในปีนี้ นอกจากนี้ หุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ยังกระจายอยู่ในทั้ง 8 กลุ่มอุตสาหกรรม โดยมีกลุ่มธุรกิจบริการมากที่สุดถึง 43 บริษัท ตามมาด้วยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง และกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ที่กลุ่มละ 34 บริษัท มีบริษัทที่สมัครเข้าร่วมประเมินเป็นปีแรกและได้ติดอยู่ในทำเนียบ SET ESG Ratings เลย 55 บริษัท สะท้อนว่าบริษัทจดทะเบียนไทยกำลังเร่งปรับตัวและยกระดับ ESG อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะเรื่องการเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์ทั่วโลกที่เริ่มกลายเป็นกฎเกณฑ์ และนักลงทุนกำลังมองหาเพื่อนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน ยั่งยืนอย่างไร ส่องจุดแข็งหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ปี 2567 เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings พบว่า ทุกบริษัทกำลังเร่งปรับตัวใน 3 เรื่องสำคัญ ดังนี้ วิเคราะห์ประเด็นที่เป็นสาระสำคัญ (Materiality) แบบชัด ๆ ทุกบริษัทเน้นเปิดเผยกระบวนการวิเคราะห์และระบุประเด็นที่เป็นสาระสำคัญด้านความยั่งยืน โดยเทียบประเด็นกับเป้าหมาย Sustainable Development Goals (SDGs) พร้อมระบุว่าแต่ละประเด็นมีผลกระทบอะไรต่อธุรกิจ และธุรกิจวางกลยุทธ์หรือแผนธุรกิจมาจัดการกับประเด็นเหล่านั้นอย่างไร โดยมักตั้งเป้าหมายและกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน ลูกค้ายังสำคัญเสมอ ทุกบริษัทเน้นเรื่องการบริหารจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า โดยกำหนดเป้าหมายในการรักษาและพัฒนาความพึงพอใจของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง นำผลการสำรวจความพึงพอใจของลูกค้าไปพัฒนาสินค้าและบริการ รวมถึงกระบวนการทำงานของบริษัท มุ่งสร้างการเติบโตในระยะยาว เน้นหัวใจสีเขียว บริษัทส่วนใหญ่เน้นเรื่องการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมักกำหนดและเปิดเผยเป้าหมายในการลดการใช้ทรัพยากร เช่น การใช้ไฟฟ้า การใช้น้ำ และการลดการปล่อยของเสีย โดยดำเนินโครงการที่ให้พนักงานมีส่วนร่วม รวมถึงจัดตั้งหน่วยงานหรือผู้รับผิดชอบงานด้านสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงานแล้ว ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน อย่างไรก็ดี บริษัทจดทะเบียนยังควรพัฒนาเพิ่มเติมเรื่องการจัดการห่วงโซ่อุปทาน เพื่อลดความเสี่ยงจากการจัดหาวัตถุดิบหรือบริการที่จำเป็นต่อการทำธุรกิจ การสนับสนุนนวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์และบริการ ตลอดจนให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้านสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการเคารพสิทธิมนุษยชน มองหาตัวช่วยในการลงทุน มองหาหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings หุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่นักลงทุนสามารถนำไปใช้ประกอบในการตัดสินใจลงทุน โดยอาจนำไปใช้เป็นตัวสกรีนหุ้นเบื้องต้นควบคู่กับปัจจัยพื้นฐานของหุ้นที่สนใจ หรือปรับน้ำหนักการลงทุนในพอร์ตโฟลิโอตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เพื่อบริหารความเสี่ยงหรือสร้างโอกาสในการหาผลตอบแทนในระยะยาว ดูผลประเมิน SET ESG Ratings ปี 2567 ได้ที่ https://setsustainability.com//libraries/1258/item/set-esg-ratings

บล.CGSI ชูระบบ BETS ตอบโจทย์นักลงทุนทุกระดับ

บล.CGSI ชูระบบ BETS ตอบโจทย์นักลงทุนทุกระดับ

          หุ้นวิชั่น - [ประเทศไทย, 19 ธันวาคม 2567] บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI เผย ช่วง 11 เดือนของปี 2567 ธุรกรรม Block Trade ของบริษัทเพิ่มขึ้น สวนทางปริมาณการซื้อขายตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) โดยรวมที่ลดลง โดยปริมาณการซื้อขาย CGSI Block Trade เติบโตสูงถึง 61% ขณะที่ลูกค้าจำนวนมากใช้ระบบ BETS ส่งคำสั่งด้วยตัวเองในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน คาด Block Trade ในปีหน้ายังเติบโตต่อเนื่อง           ฝ่ายตราสารอนุพันธ์ CGSI กล่าวว่า นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 ปริมาณการซื้อขายและจำนวนคำสั่งซื้อขายรวมในตลาด TFEX อยู่ที่ 107.8 ล้านสัญญา และ 22.05 ล้านคำสั่ง ลดลง 17% และลดลง 7% เมื่อเทียบกับทั้งปี 2566 ตามลำดับ เช่นเดียวกับปริมาณการซื้อขายและจำนวนคำสั่งซื้อขาย Block Trade ในตลาด อยู่ที่ 32 ล้านสัญญา และ 1.33 แสนคำสั่ง ลดลง 22% และลดลง 36% เมื่อเทียบกับทั้งปี 2566 ตามลำดับ           “แม้ปริมาณการซื้อขาย TFEX โดยรวมจะลดลง แต่สัดส่วนการทำธุรกรรม Block Trade ของ CGSI กลับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงความสนใจของนักลงทุนที่ใช้ CGSI Block Trade ช่วยในเชิงกลยุทธ์การลงทุน โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน” ฝ่ายตราสารอนุพันธ์ CGSI กล่าว           ทั้งนี้ CGSI Block Trade เติบโตถึง 61% ในช่วง 11 เดือนของปีนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ลูกค้าใช้ระบบ BETS ซึ่งเป็นระบบส่งคำสั่งด้วยตัวเองสูงถึง 67% โดยเฉพาะในไตรมาส 3/2567 ธุรกรรมใน CGSI Block Trade ขยายตัวถึง 157% ขณะที่จำนวนคำสั่งซื้อขายบนระบบ BETS เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึง 290% สูงกว่าปกติ บ่งชี้ว่าการใช้งานระบบ BETS มีสภาพคล่องที่ดี และมีปริมาณการซื้อขายในตลาดที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน           ฝ่ายตราสารอนุพันธ์ CGSI กล่าวว่า นักลงทุนใช้ Block Trade มากขึ้น เพื่อบริหารความเสี่ยง และดำเนินการส่งคำสั่งซื้อขายขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แก้ไขปัญหาสภาพคล่องบน Single Stock Futures (SSF) นอกจากนี้ ช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงยังกระตุ้นให้นักลงทุนใช้ Block Trade มากขึ้น เพราะมีความยืดหยุ่นในการกำหนดราคาและมีอัตราทดสูง ซึ่งช่วยป้องกันความเสี่ยงและการเก็งกำไร           ขณะที่โบรกเกอร์ได้พัฒนาแพลตฟอร์มเกี่ยวกับ Block Trade ทำให้นักลงทุนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ตอบโจทย์การส่งคำสั่งที่ง่ายและรวดเร็ว โดยเฉพาะ CGSI ได้เปิดตัวระบบส่งคำสั่ง Block Trade Online ชื่อว่าระบบ BETS ได้รับผลตอบรับดีเกินความคาดหมาย ตัวเลขผู้ใช้งานเติบโตก้าวกระโดดเกือบ 50% ของจำนวนนักลงทุนที่ส่งคำสั่ง Block Trade กับ CGSI ทำให้ในปี 2567 CGSI Block Trade มีปริมาณซื้อขายเพิ่มขึ้นผ่านระบบ BETS           ฝ่ายตราสารอนุพันธ์ CGSI มองว่า แม้ปริมาณการซื้อขายในตลาด TFEX จะเผชิญกับแรงกดดันและชะลอตัวในปี 2567 แต่คาดว่าในปี 2568 Block Trade จะยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะหากภาวะตลาดมีเสถียรภาพและเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น Block Trade จะมีบทบาทในการเป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับนักลงทุน           CGSI เล็งเห็นการเติบโตและบทบาทอันสำคัญของ Block Trade จึงได้พัฒนาระบบ BETS ขึ้นมา เพื่อช่วยให้นักลงทุนทำธุรกรรม Block Trade ผ่านระบบออนไลน์บนอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ นักลงทุนนสามารถเปิด-ปิดสถานะ Block Trade ได้อย่างคล่องตัว ตรวจสอบสถานะได้ตลอดเวลา มีฟีเจอร์คำนวณค่าใช้จ่ายอัตโนมัติ และจะพัฒนาระบบ BETS อย่างต่อเนื่องเพื่อให้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุน           หากท่านต้องการควบคุมการลงทุนด้วยตัวเอง สามารถสมัครใช้ระบบ BETS ของ CGSI ได้ฟรีวันนี้ โดยมีสิทธิพิเศษ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0 บาท สำหรับการเปิดและปิดสถานะ Long ภายในวันเดียวกันผ่านระบบ BETS เริ่มตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2568 เกี่ยวกับ CGS International Securities           CGS International Securities (Thailand) Co., Ltd. (CGS TH) หนึ่งในกลุ่มบริษัท CGS International คือผู้ให้บริการทางการเงินแบบครบวงจรที่ได้รับรางวัลและติดอันดับบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำในประเทศไทย

SEAFCO ชูธงรายได้2พันล.  รถไฟสายสีส้มดันยอด

SEAFCO ชูธงรายได้2พันล. รถไฟสายสีส้มดันยอด

          หุ้นวิชั่น - SEAFCO โกยงานรถไฟฟัาสายสีส้มเข้าพอร์ต ยอดพันล้าน เล็งกระชับพื้นที่ 10 มกราคมนี้ พร้อมบุ๊กเงิน 80% ด้านบอสใหญ่ "ณรงค์ ทัศนนิพันธ์" ชูธงรายได้ปี 68 ที่ 2 พันล้านบาท จับตางานรัฐ เอกชนทยอยออก เล็งตุน Backlog เต็มหน้าตัก           ดร.ณรงค์ ทัศนนิพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO เปิดเผยว่า บริษัทคาดการณ์ว่า ปี 2568 จะเป็นปีที่สดใสของ SEAFCO เนื่องจากคาดว่าจะมีงานประมูลการก่อสร้างออกมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด SEAFCO ได้รับงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนต่อขยาย มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเข้าพื้นที่และดำเนินการได้ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม 2568 โดยบริษัทจะเริ่มนำอุปกรณ์เสาเข็มเจาะเข้าหน้างานในวันที่ 10 มกราคม 2568 และจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างทันที เนื่องจากงานนี้เป็นโครงการเร่งด่วน           โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนต่อขยาย มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนรายได้ของ SEAFCO ในปี 2568 โดยคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จากโครงการดังกล่าวได้ประมาณ 70-80% ในปี 2568 และส่วนที่เหลือจะถูกบันทึกเป็นรายได้ในปีถัดไป           นอกจากนี้ SEAFCO ยังคงเดินหน้ารับงานขนาดกลางและขนาดเล็กอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปี 2568 รายได้ของบริษัทจะไปแตะระดับ 2,000 ล้านบาท ส่วนงานในมือ หรือ Backlog คาดว่าจะสะสมได้ถึง 3,000 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีอยู่ราว 600 ล้านบาท โดยหากรวมงานรถไฟฟ้าสายสีส้มแล้ว คาดว่า Backlog จะสูงถึง 1,700-1,800 ล้านบาท           ล่าสุด SEAFCO ได้รับงานโครงการทางลอดหน้าสนามบินจังหวัดเชียงราย มูลค่าประมาณ 100 ล้านบาท และคาดว่าจะมีงานใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยบริษัทจะเน้นงานในมือเป็นหลัก โดยเฉพาะงานรถไฟฟ้าสายสีส้มที่บริษัทได้รับมอบหมายแล้ว           ดร.ณรงค์ กล่าวต่อว่า บริษัทไม่กังวลกับประเด็นเรื่องค่าแรง เนื่องจากมีอัตราจ้างในระดับสูง อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลประกาศขึ้นค่าแรง บริษัทอาจพิจารณาเรื่องต้นทุนค่าใช้จ่ายอีกครั้ง ส่วนประเด็นการลงทุนภาคเอกชน บริษัทจะยังคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และจับตาดูว่าผู้ประกอบการจะเริ่มก่อสร้างหรือลงทุนเพิ่มเติมหรือไม่ ในขณะเดียวกัน SEAFCO มองว่า ภาครัฐจะมีงานออกมาค่อนข้างมาก เช่น โครงการทางด่วน ซึ่งล้วนแต่ต้องใช้เสาเข็มเป็นส่วนประกอบหลัก           แม้ว่าจะมีคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน แต่ SEAFCO เชื่อว่าจะสามารถขยายส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ได้ โดยปัจจุบันบริษัทมีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 30%           ปัจจัยท้าทายที่สำคัญในปัจจุบัน คือ หากมีงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ก็จะไม่มีปัจจัยกดดันทางธุรกิจ อย่างไรก็ตาม บริษัทจะต้องติดตามและระมัดระวังเรื่องการเก็บเงินและการรอบบิลให้รัดกุม เพื่อป้องกันปัญหาด้านการเงิน นอกจากนี้ เศรษฐกิจในประเทศยังเป็นปัจจัยที่น่าสนใจและต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในปี 2568           ดร.ณรงค์ กล่าวในงาน SEAFCO 50 Anniversary Special Seminar Sustainability in Deep Foundation and Deep Excavation ว่า SEAFCO ก้าวเข้าสู่ปีที่ 50 ด้วยความมุ่งมั่นในการทำงานอย่างต่อเนื่องจากทีมผู้บริหารและคณะทำงาน ซึ่งมุ่งมั่นผลักดันผลงานให้เติบโตยิ่งขึ้น           ปัจจุบัน SEAFCO ยังคงเดินหน้าหางานใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยบริษัทมีการพรีเซนต์งานให้กับลูกค้าต่างประเทศ และเดินทางไปพบปะลูกค้าต่างชาติ เพื่อขยายฐานการดำเนินธุรกิจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น นอกเหนือจากการรับงานก่อสร้างในประเทศ           อย่างไรก็ตาม แผนการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มถือเป็นงานเร่งด่วนที่บริษัทจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด เพื่อให้สามารถส่งมอบงานตามกำหนดเวลาและเสริมสร้างการเติบโตของบริษัทในอนาคต รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

COCOCO ปลื้ม! ติดอันดับคำนวณดัชนี SET 100

COCOCO ปลื้ม! ติดอันดับคำนวณดัชนี SET 100

           หุ้นวิชั่น - บมจ. ไทย โคโคนัท  หรือ COCOCO ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญ หลังได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในหลักทรัพย์ที่ใช้คำนวณดัชนี SET 100 สำหรับรอบครึ่งปีแรกของปี 2568 (1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2568) จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของปัจจัยพื้นฐานและการได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่องจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ            ดร.วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน)  COCOCO เปิดเผยว่า ความสำเร็จนี้เกิดจากการที่หุ้นของบริษัทฯ ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ            ด้านการเติบโตของธุรกิจ บริษัทฯ คาดว่ารายได้ในปีนี้(2567) เติบโต 30-40% จากปีก่อน พร้อมตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2568 ไว้ที่ 10,000 ล้านบาท โดยมีแผนขยายตลาดต่างประเทศ และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าวและกะทิที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก            นอกจากนี้ COCOCO ยังมุ่งเน้นการขยายธุรกิจผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกเพื่อสุขภาพสำหรับสุนัขและแมวภายใต้ตราสินค้า Moochie โดยสินค้าทั้งสองประเภทมีทั้งแบบ การจำหน่ายภายใต้ตราสินค้าของบริษัทเอง และการรับจ้างผลิตสินค้า (Original Equipment Manufacturer หรือ OEM) ซึ่งจัดจำหน่ายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ มุ่งเป้าไปยังตลาดสากล ควบคู่กับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และศึกษาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เติบโต            สำหรับการติดอันดับในดัชนี SET 100 ครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ยืนยันถึงความสำเร็จและศักยภาพของ COCOCO แต่ยังตอกย้ำบทบาทของบริษัทในฐานะผู้นำด้านผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวรายใหญ่ของไทย [PR News ]

เมืองไทยประกันชีวิต  เสนอผลิตภัณฑ์เด่น ใน Money Expo Year End 2024

เมืองไทยประกันชีวิต เสนอผลิตภัณฑ์เด่น ใน Money Expo Year End 2024

          นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  เมืองไทยประกันชีวิต คัดสรรผลิตภัณฑ์ บริการ และโปรโมชันเด่น เข้าร่วมงานมหกรรมการเงินกรุงเทพฯ ส่งท้ายปี ครั้งที่ 7 “Money Expo Year End 2024” ระหว่างวันที่ 19-22 ธันวาคม 2567 ณ Exhibition Hall 5  ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าทุกไลฟ์สไตล์ พร้อมด้วยกิจกรรมแห่งความสุขและรอยยิ้มมากมาย           โดยในพิธีเปิดงานได้รับเกียรติจากนายพิชัย  ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง  นายวรภัค ธันยาวงษ์ ที่ปรึกษา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายพิสิทธิ์ พัฒนะนุกิจ ที่ปรึกษา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสันติ  วิริยะรังสฤษฎ์  ประธานจัดงานมหกรรมการเงิน Money Expo  พร้อมด้วยนายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  ผู้บริหาร ตัวแทนนักวางแผนประกันชีวิต และที่ปรึกษาทางการเงิน ร่วมในพิธีเปิดบูธเมืองไทยประกันชีวิต           ทั้งนี้ เมืองไทยประกันชีวิต ได้คัดสรรผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นความคุ้มครองชีวิต สุขภาพ โรคร้ายแรง รวมไปถึงแบบประกันสำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนลดหย่อนภาษีโค้งสุดท้ายของปี  โดยผลิตภัณฑ์ไฮไลท์ ได้แก่ “ShieldLife - ตัวช่วยให้คุณเบาใจ ในวันที่คุณจากไป…” เริ่มต้นวางแผนการสร้างหลักประกันที่มั่นคงให้คนที่คุณรัก ด้วยแบบประกันชีวิตที่คุณเลือกได้  ทั้งประกันชีวิตแบบตลอดชีพ  (Whole Life) ประกันชีวิตแบบคุ้มครองภายในระยะเวลา (Term) หรือประกันชีวิตแบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์ (Universal Life)           สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ  ดี เฮลท์ พลัส,  อีลิท เฮลท์ พลัส  และสัญญาเพิ่มเติม แคร์ พลัส รวมไปถึงแบบประกันภัยพิเศษ  7 แบบประกัน ประกอบด้วย เมืองไทย ซุปเปอร์ เซฟเวอร์ 25/16, เมืองไทย สไมล์ เซฟเวอร์ 20/16, ออมทรัพย์ 20/14, โครงการเมืองไทย สมาร์ท ลิงค์ 15/6 (Global),  เฟล็กซี่ รีไทร์ 90/5 ดี55 ดี60 ดี65 (บำนาญแบบลดหย่อนได้), เมืองไทย 8560 จี 15 (บำนาญแบบลดหย่อนได้) และเมืองไทย 8555 จี 20 (บำนาญแบบลดหย่อนได้)  เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการที่หลากหลาย เลือกได้ตามไลฟ์สไตล์ที่เป็นคุณ           พร้อมโปรโมชันจัดเต็มสำหรับลูกค้าที่ซื้อประกันภัย รวมถึงลูกค้าที่ชำระเบี้ยประกันภัยต่ออายุกรมธรรม์ภายในงาน  ซึ่งลูกค้าสามารถสอบถามรายละเอียดโปรโมชันได้ภายในบูธเมืองไทยประกันชีวิต และพบกับบริการด้านการวางแผนประกันชีวิตและความคุ้มครองสุขภาพที่ออกแบบได้ตามความต้องการ  โดยนักวางแผนประกันชีวิตและที่ปรึกษาทางการเงิน จากเมืองไทยประกันชีวิต           สำหรับสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ พบกับสิทธิพิเศษมากมาย ภายในบูธจุดบริการเมืองไทยสไมล์คลับ โดยสามารถแลกคะแนนสะสมเพื่อเข้าร่วมกิจกรรม รับบัตรกำนัล หรือ e-Voucher อาทิ Smile Point to Invest ส่วนลดสำหรับซื้อกองทุนรวมผ่าน MTL myFund, e-Coupon 30 บาท เพื่อเป็นส่วนลดที่ร้านยากรุงเทพ, บัตรกำนัลห้องพัก Relaxing Smile 2024 , ลุ้นโชคกับเมืองไทยสไมล์มอบโชค 2567 หรือแลกรับของที่ระลึกต่างๆ  เช่น บัตรกำนัลโลตัส 1,000 บาท, บัตรเติมน้ำมัน ปตท. 500 บาท, บัตรกำนัลสตาร์บัค 500 บาท และบัตรกำนัล Boots 200 บาท เป็นต้น           พร้อมพบกับกิจกรรมแลกรับของที่ระลึกสุดพิเศษ Muang Thai Smile Premium Collection X good goods สุขใจผู้ให้ ถูกใจผู้รับ ชุมชนยิ้มได้อย่างยั่งยืน  โดยสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ สามารถแลกคะแนนรับของพรีเมียมคอลเลกชันพิเศษร่วมกับ good goods ประกอบด้วย 35 Smile Points แลกรับ กระเป๋าผ้าซิปอเนกประสงค์ good goods 1 ใบ   95 Smile Points แลกรับ กระเป๋าเสื่อกกทรงหัวใจ good goods 1 ใบ (คละสีและลาย) โดยชุมชนเกษตรกร จ.สุรินทร์  หรือ 150 Smile Points แลกรับ กระเป๋าเส้นเทปกระดาษพร้อมถุงผ้าสีชมพู 1 ใบ โดยเกษตรกรบ้านอ้อเขียว จ.ราชบุรี ระยะเวลาแลกรับสิทธิ์ 2 ธันวาคม 2567 - 31 ธันวาคม 2568           สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับที่เปิดบัญชีกองทุนและแลกคะแนนในโครงการ Smile Point to Invest เพื่อซื้อหน่วยลงทุนรับ Starbucks e-Coupon มูลค่า 200 บาท (จากปกติ 100 บาท) หรือสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับที่มีบัญชีกองทุนแล้วสามารถแลกคะแนนในโครงการ Smile Point to Invest เพื่อซื้อหน่วยลงทุนรับ Starbucks e-Coupon มูลค่า 100 บาท จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (สำหรับผู้เข้าร่วมรายการสูงสุด 1 ท่านต่อ 1 สิทธิ์ต่อวัน)           นอกจากนี้ ลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิตที่สนใจสมัครบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ด พิเศษเฉพาะผู้ที่มาร่วมงานฯ สามารถยื่นใบสมัครบัตรเครดิตฯ ได้ที่บูธเมืองไทยสไมล์คลับภายในงานได้เลย โดยผู้ที่ถือบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ดระดับ Pink และ Pink Gold จะได้รับสิทธิพิเศษมากมายทั้งจากธนาคารกสิกรไทย และบมจ.เมืองไทยประกันชีวิต อาทิ รับเครดิตเงินคืน 0.25% เมื่อชำระเบี้ยประกันภัยของ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต แบบไม่จำกัดจำนวนเงินคืน, ส่วนลดสูงสุด 50% เมื่อใช้บัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ดชำระค่าสินค้าและค่าบริการตามเงื่อนไขที่กำหนดจากโรงพยาบาลหรือร้านค้าพันธมิตรที่มีมากกว่า 10 แห่งทั่วประเทศ           แล้วพบกันที่ บูธเมืองไทยประกันชีวิต งานมหกรรมการเงินกรุงเทพฯ ส่งท้ายปี ครั้งที่ 7 “Money Expo Year End 2024” ระหว่างวันที่ 19-22 ธันวาคม 2567 ณ Exhibition Hall 5  ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ หมายเหตุ : กรณีที่ไม่ได้ระบุชื่อผู้รับประโยชน์ไว้ในกรมธรรม์ หรือระบุไว้แต่ผู้รับประโยชน์เสียชีวิตก่อน หรือเสียชีวิตพร้อมกับผู้เอาประกันภัย ผลประโยชน์ตามกรมธรรม์จะตกแก่กองมรดกของผู้เอาประกันภัย ShieldLife เป็นชื่อทางการตลาดของประกันชีวิตแบบตลอดชีพ ประกันชีวิตแบบภายในระยะเวลาและประกันชีวิต แบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์ สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ ดี เฮลท์ พลัส, อีลิท เฮลท์ พลัส และสัญญาเพิ่มเติมแคร์ พลัส ต้องซื้อแนบท้ายกรมธรรม์ที่มีผลบังคับอยู่ ความคุ้มครองของสัญญาเพิ่มเติมต้องไม่เกินระยะเวลาเอาประกันภัยของกรมธรรม์ประกันชีวิตที่สัญญาเพิ่มเติมนี้แนบท้าย เบี้ยประกันภัยสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ทั้งนี้ หลักเกณฑ์เป็นไปตามที่กรมสรรพากร กำหนด เป็นการออมในรูปแบบการประกันชีวิต การพิจารณารับประกันภัยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต ผลประโยชน์ เงื่อนไข และความคุ้มครองโดยละเอียด เป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ คะแนนสะสม Smile Point เป็นเพียงสัญลักษณ์ที่ใช้แสดงสิทธิ์เข้าร่วมโครงการเมืองไทยสไมล์คลับ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อสร้าง ความสัมพันธ์กับลูกค้าที่สมัครสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ เงื่อนไขการรับสิทธิ์เป็นไปตามที่ บมจ. เมืองไทยประกันชีวิต กำหนด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร.1766 บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง คำเตือน : ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจทำประกันภัย  ทุกครั้ง [PR News]

SCB EIC มองเศรษฐกิจมีความท้าทาย กนง. ปีหน้ามีโอกาสลดดอกเบี้ย

SCB EIC มองเศรษฐกิจมีความท้าทาย กนง. ปีหน้ามีโอกาสลดดอกเบี้ย

           หุ้นวิชั่น - กนง. มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.25% ตามที่ SCB EIC มองไว้ โดย กนง. เห็นว่าแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อยังเป็นไปตามที่ประเมินไว้ อัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับปัจจุบันยังสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ขยายตัวใกล้เคียงระดับศักยภาพ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มกลับเข้าสู่ขอบล่างของกรอบเป้าหมาย การคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะช่วยรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว รวมถึงเป็นการรักษา Policy space เพื่อรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะจากนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลัก            สำหรับมุมมองแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ กนง. คงประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยไว้ที่ 2.7%YOY และ 2.9%YOY ในปี 2024 และ 2025 ตามลำดับ แต่มองว่าความท้าทายของเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นจากปัจจัยภายนอก ทั้งการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นและความไม่แน่นอนของแนวนโยบายประเทศเศรษฐกิจหลัก ขณะที่ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ โดยประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ 0.4% และ 1.1% ในปี 2024 และ 2025 ตามลำดับ ลดลงเล็กน้อยจากประมาณการเดิม ณ เดือนตุลาคมที่ 0.5% และ 1.2%            SCB EIC มองว่าการสื่อสารของ กนง. ครั้งนี้ Hawkish ขึ้นพอสมควรเทียบกับการประชุมครั้งก่อน โดย กนง. ไม่ได้สื่อสารถึงความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโดยรวม และประเมินว่าปัญหาของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันไม่ได้มาจากปัจจัยเชิงวัฏจักร แต่มาจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่กระทบบางภาคส่วนของเศรษฐกิจ เช่น SMEs และภาคอุตสาหกรรมบางกลุ่มที่เผชิญการแข่งขันรุนแรงขึ้น อาทิ กลุ่มยานยนต์            นอกจากนี้ กนง. ไม่ได้แสดงความกังวลมากนักต่อภาวะสินเชื่อที่ชะลอลงในช่วงที่ผ่านมา โดยประเมินว่าสาเหตุหลักของการชะลอตัวมาจาก (1) การชำระคืนสินเชื่อจากธุรกิจที่ฟื้นตัวได้ดี เช่น ธุรกิจในภาคการท่องเที่ยว ภาคบริการ และภาคการค้า (ธุรกิจขนาดใหญ่) และ (2) ความต้องการสินเชื่อธุรกิจชะลอลงจากกลุ่มธุรกิจที่ฟื้นตัวช้าหรือฟื้นตัวไม่เต็มที่ เช่น SMEs ในภาคการค้า ธุรกิจอสังหาฯ ธุรกิจก่อสร้าง และธุรกิจยานยนต์ อีกทั้ง กนง. ยังประเมินว่าเศรษฐกิจในภาพรวมมีแนวโน้ม จะขยายตัวได้ แม้สินเชื่อธุรกิจชะลอลง ทั้งนี้ SCB EIC ตั้งข้อสังเกตว่า ในการประชุมครั้งนี้ กนง. ไม่ได้สื่อสารถึงกระบวนการ Debt deleveraging และความเปราะบางในภาคครัวเรือนมากนัก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ ธปท. ได้สื่อสารแนวทางแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนในการแถลงข่าวโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ไปแล้วในช่วงก่อนหน้า IMPLICATIONS            SCB EIC มองความท้าทายของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าจะเป็นปัจจัยหลักในการพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยในช่วงต้นปีหน้า โดยสถานการณ์ในปัจจุบันอาจยังไม่ได้มีปัจจัยกดดันชัดเจนที่ทำให้ กนง. จำเป็นต้องเร่งปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากนัก แต่ในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทยจะเผชิญความท้าทายที่ปรับเพิ่มขึ้นมาก ทั้งจากความเปราะบางภายในประเทศเอง และความท้าทายจากปัจจัยภายนอก กล่าวคือ ความเปราะบางจากภายในประเทศ สถานการณ์สินเชื่อชะลอลงเกิดขึ้นในทุกภาคส่วนทั้งภาคธุรกิจและครัวเรือน โดยในไตรมาส 3/2024 ยอดคงค้างสินเชื่อธนาคารพาณิชย์หดตัวทุกหมวด (รูปที่ 1) แม้ กนง. จะประเมินว่าสินเชื่อที่ชะลอลงนี้ยังไม่ได้ฉุดรั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ แต่หากมองในทางกลับกัน ภาวะสินเชื่อชะลอลงเช่นนี้ กำลังสะท้อน “อาการ” ความเปราะบางของเศรษฐกิจไทย โดยในด้านสินเชื่อครัวเรือนที่หดตัวลง ส่วนหนึ่งมาจากมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่เข้มงวด (รูปที่ 2) จากความเปราะบางภาคครัวเรือนและรายได้ที่ยังฟื้นตัวช้า ซึ่งจะกดดันการบริโภคภาคเอกชนในระยะข้างหน้า ในด้านสินเชื่อธุรกิจ อาจต้องติดตามว่าความต้องการสินเชื่อที่ลดลงสะท้อนความต้องการลงทุนใหม่ของภาคธุรกิจที่ลดลงเพียงใด โดย SCB EIC มองว่าอาการความเปราะบางของอุปสงค์ในประเทศที่เริ่มเห็นนี้จะทวีความรุนแรงขึ้น จนทำให้น้ำหนักในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อประคับประคองอุปสงค์ในประเทศของ กนง. เริ่มมีมากขึ้น ความท้าทายจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะนโยบายการค้าของว่าที่ประธานาธิบดี Donald Trump จะทำให้การแข่งขันในภาคการผลิตทั่วโลกรุนแรงขึ้น ยิ่งซ้ำเติมภาคการผลิตของไทยที่มีปัญหาความสามารถในการแข่งขันอยู่แล้ว และอาจกดดันให้รายได้ครัวเรือนฟื้นตัวช้าไปอีก            การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจึงอาจช่วยประคับประคองเศรษฐกิจไทยได้บ้างภายใต้ความท้าทายที่เพิ่มขึ้น โดยในช่วงต้นปี 2025 เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะมีพัฒนาการสำคัญ 2 ประการ คือ 1) การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมของธนาคารกลางสหรัฐฯ และ 2) นโยบายเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ที่ชัดเจนขึ้นหลังจาก Donald Trump สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ (รูปที่ 3) ซึ่งจะทำให้ กนง. ประเมินความเสี่ยงด้านลบต่อเศรษฐกิจไทยได้ดีขึ้น พัฒนาการเหล่านี้จะเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งถัดไป            SCB EIC จึงประเมินว่าจะเห็น กนง. ปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้งในปีหน้าไปอยู่ที่ 2% ในช่วงต้นปีหน้า เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจไทยที่จะต้องเผชิญกับความเปราะบางจากภายในและความท้าทายจากภายนอกมากขึ้น รูปที่ 1 : สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์หดตัวลงทุกหมวด รูปที่ 2 : มาตรฐานการให้สินเชื่อครัวเรือนปรับเข้มงวดขึ้นต่อเนื่อง รูปที่ 3 : นโยบายเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ จะชัดเจนขึ้นในช่วงต้นปีหน้า บทวิเคราะห์โดย นนท์ พฤกษ์ศิริ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส https://www.scbeic.com/th/detail/product/policy-rate-181224

STA คว้าหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ระดับ AAA ต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน

STA คว้าหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ระดับ AAA ต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน

           หุ้นวิชั่น - “บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี” (“STA” หรือ “บริษัทฯ”) ได้รับคัดเลือกเป็นหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ที่ระดับ “AAA” ซึ่งเป็นระดับสูงสุดปีที่ 2 ติดต่อกัน ตอกย้ำมาตรฐานและการมุ่งเน้นดำเนินธุรกิจยางพาราครบวงจรสอดคล้องตามหลัก ESG พร้อมเดินหน้ายกระดับแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตามมาตรฐานสากล พัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนและสังคมอย่างต่อเนื่อง            นายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่และกรรมการบริหาร บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ผู้นำธุรกิจยางธรรมชาติครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของโลกและผู้ผลิตถุงมือยางอันดับหนึ่งของประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จได้รับการประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ในหมวดเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร (Agro & Food Industry) ที่ระดับ “AAA” จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการผ่านเกณฑ์การประเมินที่ระดับสูงสุดเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน และนับเป็นปีที่ 10 ที่ได้รับประเมินเป็นหุ้นยั่งยืน            การได้รับประเมินหุ้นยั่งยืนที่ระดับ AAA ครั้งนี้ ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการรักษามาตรฐานและขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนได้ครบทุกมิติ ทั้งนี้ ในรอบปี 2567 บริษัทฯ ได้ขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนภายใต้นโยบายด้านความยั่งยืนขององค์กรซึ่งสอดคล้องกับหลัก ESG อาทิ มิติสิ่งแวดล้อม (Environmental) บริษัทฯ มีการบริหารจัดการทรัพยากรสิ่งแวดล้อมและพลังงานโดยมุ่งเน้นการใช้ระบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรให้ได้ประโยชน์สูงสุด ใช้ประโยชน์จากของเสียและวัสดุที่ไม่ใช้แล้วตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน ด้วยการใช้เทคโนโลยีที่ก่อให้เกิดคาร์บอนต่ำ (Low-Carbon Technologies)  เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Emissions) ของบริษัทฯ มิติสังคม(Social) บริษัทฯ เคารพ ปกป้อง และปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนและการไม่เลือกปฏิบัติ ตลอดจนยึดถือเจตนารมณ์ของอนุสัญญา 8 ฉบับ ขององค์กรแรงงานระหว่างประเทศ (International Labor Organization: ILO)  มีการดูแลและพัฒนาพนักงานอย่างต่อเนื่อง รวมถึงส่งเสริมการพัฒนาชุมชนอย่างมีส่วนร่วมสร้างคุณค่าผ่านโครงการต่างๆ ทั้ง 6 ด้าน ได้แก่ ด้านเด็กและเยาวชน ด้านการพัฒนาอาชีพและความเป็นอยู่ ด้านสุขภาพอนามัย ด้านการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติและผู้ด้อยโอกาส ด้านศิลปะวัฒนธรรมและประเพณีท้องถิ่น และด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพแวดล้อมที่ดี และมิติการกำกับดูแลกิจการและเศรษฐกิจ (Governance) บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรมและโปร่งใส ส่งเสริมการต่อต้านการทุจริตและคอร์รัปชันทุกรูปแบบ ดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบและมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ไปจนถึงการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน บริษัทฯ สนับสนุนและส่งเสริมเกษตรกรชาวสวนยาง ให้มีความรู้ในการทำยางพาราที่มีคุณภาพ มาตรฐานที่ดี อีกทั้ง บริษัทฯ ยังสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสามารถตรวจสอบข้อมูลย้อนกลับ (Traceability) ของผลิตภัณฑ์ได้ตั้งแต่แหล่งที่มาจนถึงปลายทาง เป็นต้น            “ถือเป็นความภาคภูมิใจของชาวศรีตรังที่ได้รับการประเมินหุ้นยั่งยืนที่ระดับสูงสุดอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ มุ่งมั่นรักษามาตรฐานและพัฒนาแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เพื่อนำพาบริษัทฯ เติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาวไปพร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำองค์กรแห่งยางสีเขียวแบบครบวงจรอย่างยั่งยืนตลอดไป” นายวีรสิทธิ์ กล่าว [PR News]

ตลท.ต้อนรับ บมจ. โรงพยาบาลนครธน (NKT) เริ่มซื้อขาย 20 ธ.ค. นี้

ตลท.ต้อนรับ บมจ. โรงพยาบาลนครธน (NKT) เริ่มซื้อขาย 20 ธ.ค. นี้

          หุ้นวิชั่น - นายอำนวย จิรมหาโภคา ผู้ช่วยผู้จัดการ กลุ่มงานผู้ออกหลักทรัพย์ 1 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยินดีต้อนรับ บมจ. โรงพยาบาลนครธน เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ หมวดธุรกิจการแพทย์ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “NKT” ในวันที่ 20 ธันวาคม 2567           NKT ประกอบกิจการสถานพยาบาลขนาด 150 เตียง ภายใต้ชื่อ “โรงพยาบาลนครธน” มากว่า 28 ปี ให้บริการรักษาระดับตติยภูมิ ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย และบุคลากรทางการแพทย์ที่เชี่ยวชาญทั้งสาขาอายุรศาสตร์ และสาขาเฉพาะทางต่างๆ โดยมีศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง 20 ศูนย์ เช่น ศูนย์สมองและระบบประสาท ศูนย์หัวใจ ศูนย์มะเร็ง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการให้บริการร่วมกับพันธมิตรที่เป็นบริษัทในเครือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ให้บริการกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก (ย่านพระราม 2) จึงสามารถตอบสนองความต้องการ ในการรักษาพยาบาลและได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้บริการด้วยดีเสมอมา           NKT มีทุนชำระแล้ว 535 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 135 ล้านหุ้น โดยเสนอขายให้แก่บุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ 67.50ล้านหุ้น ผู้มีอุปการคุณของบริษัทและบริษัทย่อย 20.25 ล้านหุ้น และบุคคลที่มีความสัมพันธ์ของบริษัท และพนักงานของบริษัทและบริษัทย่อย 13.50 ล้านหุ้น ระหว่างวันที่ 2 - 4 ธันวาคม 2567 และผู้ลงทุนสถาบัน 33.75 ล้านหุ้น ระหว่างวันที่ 9 และ 11 - 12 ธันวาคม 2567 ที่ราคาหุ้นละ 7.80 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 1,053 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 4,173 ล้านบาท โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และมีบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญร่วม           ดร. วิศาล สายเพ็ชร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. โรงพยาบาลนครธน เปิดเผยว่า โรงพยาบาลนครธนเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลชั้นนำที่ให้บริการแบบครบวงจร (One Stop Service) ในทำเลที่มีศักยภาพการเติบโตที่จะเป็นเขตเมืองใหม่ในอนาคต ซึ่งการระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในครั้งนี้ จะช่วยเสริมสร้างการเติบโตให้แก่บริษัทที่มีแผนจะเพิ่มจำนวนเตียงเพื่อรองรับการให้บริการของโรงพยาบาล และมีโครงการลงทุนเพื่อรองรับผู้ป่วยประกันสังคม และศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงแบบองค์รวม อันจะเป็นการขยายการให้บริการที่หลากหลายและครอบคลุมความต้องการของผู้ใช้บริการได้มากยิ่งขึ้น เพื่อมุ่งสู่การเป็นโรงพยาบาลชั้นนำระดับประเทศ           NKT มีผู้ถือหุ้น 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ 1) กลุ่มครอบครัวทองสิมา 41.46% 2) กลุ่ม นพ. เกตุ สายเพ็ชร์ 11.87% 3) นพ. วิรัช อนันตชัย 1.41% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO พิจารณาจากการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (Book Building) หากคิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) เท่ากับ 17.60 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง (1 ตุลาคม 2566 -  30 กันยายน 2567) หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและ ชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (Fully Diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.44 บาท ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท ภายหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และการจัดสรรทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมาย และข้อบังคับของบริษัท           ผู้ลงทุนและผู้สนใจ โปรดดูรายละเอียดจากหนังสือชี้ชวนของบริษัทที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.thและข้อมูลทั่วไปของบริษัทที่ www.nakornthon.com และที่ www.set.or.th [PR News ]

KSS เคาะหุ้นเด่นปี 2025  คาด SET ผันผวนระยะสั้น ทยอยตั้งรับ   

KSS เคาะหุ้นเด่นปี 2025 คาด SET ผันผวนระยะสั้น ทยอยตั้งรับ  

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.กรุงศรี ระบุ Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่คาดปรับลดดอกเบี้ยปี 2025F ช้าลง           Fed Meeting: ผลประชุม Fed ตามคาด ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง -25bps สู่ระดับ 4.25% - 4.5% แต่รายงาน Dot Plot ปรับสะท้อนการกลับมาเป็นประธานาธิบดีของคุณ Trump มากกว่าที่เราคาด ทำให้ตัวเลขคาดการณ์ในรายงานค่อนข้าง Hawkish กว่าที่เราและตลาดมอง โดยปรับมุมมองการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายปี 2025 ลงเหลือเพียง 2 ครั้ง (จากเดิม 4 ครั้ง และความคาดหวังตลาด 2-3 ครั้ง) และคงมุมมองการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายปี 2026 ลง 2 ครั้งตามเดิม สอดคล้องกับมุมมองเงินเฟ้อ PCE ที่ปรับเพิ่มขึ้นทั้งปี 2025 – 2026 จากเดิม +2.2%, +2.0% สู่ระดับ +2.5%, 2.1% นอกจากนี้ Fed ปรับการเติบโตของ GDP ปี 2025 ขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 2.0% เป็น 2.1% แต่ยังชะลอลงจากปี 2024F คาด +2.5% หลังประชุมอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับขึ้นแรง ตอบสนองต่อรายงาน Dot Plot ดังกล่าว รวมถึง Dollar Index แข็งค่าขึ้นสู่ 108 +/- จุด ทำให้เงินบาทอ่อนค่าเร่งมาที่ 34.5-34.6 บาท ทำให้ระยะสั้นตลาดหุ้นไทยยังเคลื่อนไหวผันผวน อย่างไรก็ดี เราประเมินความผันผวนอยู่ในช่วงปลายแล้ว ทั้งจากภาพที่ตลาดหุ้นไทยปรับลดสถานะมาล่วงหน้า ผสานภาพหลักปี 2025F ที่วงจรดอกเบี้ยยังเป็นขาลง ยังหนุนภาวะ Search for Yield หลังผ่านช่วงตลาดผันผวน และหากอิงเศรษฐกิจสหรัฐ Soft Landing vs BOT ที่ยังคงคาดการณ์ GDP ปี 2025F เร่งขึ้นสู่ 2.9% จากปี 2024F คาดเติบโต 2.7% โดยมีภายในหนุน ทำให้เราประเมินความผันผวนระยะสั้นเป็นโอกาสทยอยตั้งรับ หุ้นเด่นคือกลุ่ม Domestic           กลยุทธ์การลงทุน: เราประเมินเป้าหมาย SET ปี 2025 ที่ 1660 จุด (อิงกำไรตลาด 96 บาท, ERP 3.06%) มองหุ้นกลุ่ม Domestic Plays เด่น แนะนำทยอยสะสมหุ้น Best Picks 2025: ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE. Mid-Small Cap Play: INSET, JMT, MALEE, MOSHI Fact: ผลการประชุม Fed เมื่อคืนวานนี้ มติเอกฉันท์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25bps ลงสู่ระดับ 4.25-4.50% รายงานมุมมองเศรษฐกิจ Dot Plot สะท้อน: การปรับลดอัตราดอกเบี้ย นโยบายปี 2025 ลดลงจาก 4 ครั้ง เหลือ 2 ครั้ง, ปี 2025 คงที่ 2 ครั้ง ปรับมุมมองเงินเฟ้อ PCE ขึ้นปี 2025 จาก +2.2% เป็น +2.5% และปี 2026 จาก +2.0% เป็น +2.1% ปรับเพิ่มมุมมองการเติบโตเศรษฐกิจปี 2025 ขึ้นเล็กน้อยจาก 2.0% เป็น +2.1% มองอัตราการว่างงานลดลงเล็กน้อยจากเดิมปี 2025 มองระดับ 4.4% ลงสู่ระดับ 4.3% ถ้อยแถลงของประธาน Fed คุณ Jerome Powell ให้ความเห็นว่า Fed มองการลดดอกเบี้ยนโยบายชะลอลงเนื่องจากข้อมูลเงินเฟ้อเดือน ต.ค. - พ.ย. ที่เริ่มสะท้อนความหนืด (Sticky) มากขึ้นเป็นหลัก Fed ยังคงพิจารณาจากข้อมูลเป็นหลัก (Data-Driven Decision Making) ประกอบการตัดสินใจกำหนดนโยบายการเงินระยะถัดไป Key Ideas: Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายระดับ -25bps ลงสู่กรอบ 4.25% - 4.5% ตามตลาดและเราคาด ส่งผลให้ปีนี้ Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้ง รวม 1.0% ตามทิศทางของเงินเฟ้อที่ชะลอลงได้ตามคาดนับตั้งแต่ 2Q24 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตามมุมมองทิศทางการดำเนินนโยบายจากรายงาน Summary of Economic Projections (SEP) สะท้อนมุมมองที่ Hawkish มากขึ้น โดยเฉพาะมุมมองอัตราดอกเบี้ยนโยบายปี 2025 จะปรับลงเหลือเพียง 2 ครั้ง จากเดิม 4 ครั้ง vs ตลาดคาดจะปรับลด 2-3 ครั้ง สะท้อนมุมมองเงินเฟ้อ PCE ที่ถูกปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน ในขณะที่ปรับมุมมองการเติบโตเศรษฐกิจและภาคการจ้างงานเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย สินทรัพย์ต่างๆ ปรับเพื่อสะท้อนแนวโน้มการลดดอกเบี้ยที่ชะลอลงดังกล่าว ได้แก่ Dollar Index ปรับแข็งค่าขึ้น +1.16% ปิดที่ระดับ 108.2 จุด, อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ตอบสนองต่อรายงาน Dot Plot ดังกล่าว โดยอายุ 2 ปี ปรับเพิ่มขึ้น +11bps สู่ระดับ 4.35% และอายุ 10 ปี ปรับเพิ่มขึ้น +12bps ขึ้นปิดที่ระดับ 4.51% ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับฐานแรง นำโดย NASDAQ -3.7% และ S&P500 -2.95% ขณะที่เงินบาทเคลื่อนไหวอ่อนค่าสู่ 34.5-34.6 บาท เป็นแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยงระยะสั้น.