ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#HMPRO


HMPRO ซื้อหุ้นคืน หนุน downside protection  โบรกเคาะพื้นฐาน 9.90 บาท

HMPRO ซื้อหุ้นคืน หนุน downside protection โบรกเคาะพื้นฐาน 9.90 บาท

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กสิกรไทย มีมุมมองเชิงบวกต่อ HMPRO จากการคาดการณ์ว่าจะมีอุปสงค์จากการซ่อมแซมตกแต่งเพิ่มเติม ภายหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวในวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งมีโอกาสคล้ายกับช่วงน้ำท่วมใหญ่ในปลายปี 2011 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ SSSG ปรับตัวดีขึ้นในช่วง 1Q12            นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยมองว่าการซื้อหุ้นคืนที่ประกาศในสัปดาห์ที่ผ่านมา จะเป็น downside protection สำหรับราคาหุ้นในช่วงนี้ โดยแผนการซื้อหุ้นคืนมีจำนวนไม่เกิน 800 ล้านหุ้น และมีวงเงินไม่เกิน 7,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มในวันที่ 1 เมษายนนี้ ส่งผลให้ ROE และ EPS มีโอกาสปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นได้จากจำนวนหุ้นที่ลดลง HMPRO: ราคาพื้นฐาน 9.90 บาท

โกลเบล็กชู HMPRO ตัวท็อปวัสดุก่อสร้าง

โกลเบล็กชู HMPRO ตัวท็อปวัสดุก่อสร้าง

             หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุว่า สืบเนื่องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันศุกร์ที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา เบื้องต้นประเมินว่าความเสียหายส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีอาคารสูงจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนที่รุนแรง และอาจเกิดความเสียหายมากกว่าภูมิภาคอื่น ๆ ดังนั้น หากมีการซ่อมแซมเกิดขึ้น HMPRO มีโอกาสได้รับอานิสงส์มากที่สุดจากสถานการณ์ดังกล่าว เนื่องจากสาขาส่วนใหญ่ของทั้ง HomePro และ MegaHome ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ขณะที่แรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวครั้งนี้ครอบคลุมตั้งแต่ภาคเหนือ ตะวันตก กลาง และใต้ตอนบน หากมีความเสียหายและต้องมีการซ่อมแซมเกิดขึ้น GLOBAL และ DOHOME จะได้รับอานิสงส์รองลงมาตามลำดับ ตามตำแหน่งที่ตั้งของสาขา              ความเห็น: มองว่าสถานการณ์ดังกล่าวเป็น Catalyst เชิงบวกต่อราคาหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง โดยยังคงชื่นชอบ HMPRO มากที่สุด เนื่องจากมีอีกหนึ่งปัจจัยสนับสนุนเพิ่มเติม คือ การประกาศซื้อหุ้นคืนจำนวน 800 ล้านหุ้น วงเงินไม่เกิน 7,000 ล้านบาท ระหว่างวันที่ 1 เม.ย. – 30 ก.ย. 2568 สะท้อนว่า Valuation ปัจจุบันต่ำกว่าที่ควรจะเป็น โดย HMPRO เทรดอยู่ที่ PE เพียง 16.9 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ราว 25-30 เท่า และมีการประกาศ จ่ายปันผล 0.25 บาท/หุ้น (Dividend Yield 3%) กำหนด XD วันที่ 22 เม.ย. 2568 และจ่ายปันผลวันที่ 8 พ.ค. 2568 ขณะที่ Bloomberg Consensus คาดกำไรสุทธิปี 2568 ราว 6,886 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6%YoY และให้ราคาเหมาะสมที่ 10.35 บาท คิดเป็น Upside 26% แนะนำ “ซื้อ”

20 หุ้นใหญ่ที่ต่างชาติทุบ

20 หุ้นใหญ่ที่ต่างชาติทุบ

          หุ้นวิชั่น - จากข้อมูลสถิติตลาดหุ้นไทยในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ถูกนักลงทุนต่างชาติขายกดหนักมาโดยตลอด  จนกระทั้งหลายบริษัทเริ่มเข้าโครงการซื้อหุ้นคืนกันเป็นทิวแถว             ล่าสุด HMPRO ก็ทนไม่ไหว ประกาศซื้อหุ้นคืนตาม PTT  ด้วยวงเงินจำนวน 7,000 ล้านบาท  ซื้อหุ้นคืนจำนวนไม่เกิน 800 ล้านหุ้น หรือ 6% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด  คิดเป็นราคาเฉลี่ย 8.75 บาทต่อหุ้น มีระยะเวลาซื้อคืนตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 30 กันยายน 2568 และราคาที่ซื้อคืนจะต้องไม่มากกว่า 115% ของราคาปิดของหุ้นเฉลี่ย 5 วันทำการก่อนหน้าการซื้อขาย           ใน 3 ปีที่ผ่านมา SET INDEX ปรับตัวลงทุกปี รวมแล้วลบมา 484 จุด หรือ 29% นั้นคือ ปี 2023 -15% , 2024 -1.1%,2025YTD -15.4% เกิดจากต่างชาติ มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากขึ้น  โดยปัจจัยมีสัดส่วนการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยสูงถึง53.8% ซึ่งส่วนทางกับนักลงทุนรายย่อยที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นน้อยลงเรื่อยๆ โดยปัจจุบันมีสัดส่วนการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเพียง 29.1%           ซึ่งการที่ SET ปรับตัวลงแรงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากการถูกต่างชาติขายสุทธิอย่างหนักหน่วง โดยต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยหนักทุกปี รวม -3.77 แสนล้านบาท สวนทางกับนักลงทุนไทยที่ค่อยๆ เข้ามาสะสมหุ้นถึง 2.65 แสนล้านบาท ทำให้นักลงทุนในประเทศเกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง (ข้อมูล บล.เอเซีย พลัส )           จากประเด็นดังกล่าวทำให้ SET ผันผวนในช่วงที่ผ่านมา และกดดันให้เม็ดเงินส่วนหนึ่งของนักลงทุนไทยออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น ดูจากยอด FCD ของไทย พุ่ง ATH แตะ 2.63 หมื่นล้านเหรียญ (ในยามที่ดอกเบี้ยประเทศอื่นสูงกว่าไทย)           และหากพิจารณาเป็นรายหุ้น จะเห็นได้ว่า มี 20 หุ้นขนาดใหญ่ ที่ถูกต่างชาติขายหนัก ตั้งแต่ปี 2023-ถึงปัจจุบัน ประกอบด้วย 10 หุ้นแรก คือ  DELTA – CPALL- AWC- PTTEP – AOT-CPN-BTS-TISCO-TIDLOR และ TOP  ส่วนอีก 10 หุ้นหลังที่ต่างชาติขายหนัก PTT-SCC-BANPU-PTTGC-LH-HMPRO-SJWD-EA-BDMS และHANA             ทุกวิกฤติย่อมมีโอกาสเสมอ บล.เอเซีย พลัส แนะ กลยุทธ์ให้นักลงทุน หลบความผันผวนกับหุ้นปันผล หลังSET มี DIVIDEND YIELD สูง เป็นอันดับต้นๆ ของโลก จากแรงขายของต่างชาติที่มีมาตลอด 3 ปี กว่า 3.8 แสนล้านบาท ทุบดัชนีหุ้นดิ่งมาเกือบ 500 จุด  จนมี VALUATION ที่ถูกมาก โดยมี PBV 1.13 เท่า มี DIVIDEND YIELD 4.3% ขณะที่ SETHD มี DIVIDEND YIELD สูงถึง 6.6 %           แม้ว่าตลาดหุ้นไทยยังถูกปัจจัย TRADE WAR กดดัน ทำให้ขยับขึ้นยาก ดังนั้นเพื่อหลบความผันผวน  แนะนำทยอยสะสมหุ้น VALUATION ถูก ปันผลสูง SPALI,AP,SCC,PTTEP และหุ้น MEGA TREND ปันผลมีโอกาสค่อยๆสูงขึ้น CPALL,BH,ITCและWHA             มาที่ TOP ล่าสุด บริษัท Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd. และ Saipem Singapore Pte. Ltd. 2 ใน 3 บริษัทร่วมทุนของ Unincorporated Joint Venture (UJV) ได้เริ่มกระบวนการอนุญาโตตุลาการกับ TOP ต่อ Singapore International Arbitration Centre โดย Samsung และ Saipem ได้ฟ้องร้องถึงการใช้สิทธิของ TOP ในการบังคับหลักประกันของ UJV มูลค่า USD 358 ล้าน ตามที่ TOP ได้แจ้ง SET เมื่อวันที่ 24 ม.ค.68           โดยทั้ง 2 บริษัทได้อ้างถึงการใช้สิทธิบังคับหลักประกันดังกล่าวของ TOP เป็นการใช้สิทธิก่อนถึงกำหนดเวลาและเป็นการดำเนินการที่ไม่สมควร อีกทั้งยังได้เรียกร้องค่าเสียหายกับ TOP สำหรับความเสียหายซึ่งยังมิได้มีการระบุรายละเอียด           บล. ดาโอ มุมมองเป็นลบเล็กน้อย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความคืบหน้าในการดำเนินโครงการ Clean Fuel Project (CFP) อย่างไรก็ตาม TOP ได้ยืนยันถึงการปฏิบัติตามข้อบังคับกับ UJV อย่างเคร่งครัด  ทั้งนี้ ต้องรอดูผลการพิจารณาของศาลต่อคดีนี้ต่อไป ถึงจะประเมินได้ว่าจะส่งผลกระทบต่องบการเงินของ TOP หรือไม่ ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายปี2568ที่ 36.00 บาท อิง PBV เป้าหมายที่ 0.47x   การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ข่าวหัวม่วง By ทีมงานหุ้นวิชั่น     

HMPRO เด้ง 12.99% ขานรับซื้อหุ้นคืน

HMPRO เด้ง 12.99% ขานรับซื้อหุ้นคืน

             หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กรุงศรี ระบุ HMPRO ประกาศซื้อหุ้นคืน โดยมีวงเงินจำนวน 7,000 ล้านบาท และซื้อหุ้นคืนจำนวนไม่เกิน 800 ล้านหุ้น (6% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด) คิดเป็นราคาเฉลี่ย 8.75 บาทต่อหุ้น โดยเงินที่ใช้มาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่มีมากกว่าปีละ 10,000 ล้านบาท • โดยมีระยะเวลาซื้อคืนคือ 1 เมษายน - 30 กันยายน 2568 และราคาที่ซื้อคืนจะต้องไม่มากกว่า 115% ของราคาปิดของหุ้นเฉลี่ย 5 วันทำการก่อนหน้าการซื้อขาย • ทั้งนี้หากซื้อคืนเต็มวงเงิน EPS จะเพิ่มขึ้นอีก 6% ของประมาณการ EPS ปี 2568              มองว่าการซื้อหุ้นคืนเป็น positive catalyst ต่อราคาหุ้น และเรายืนยันคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 13.50 บาท

abs

ปตท. แข็งแกร่งร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน

HMPRO

HMPRO "ซื้อหุ้นคืน" กระตุ้นช่วงสั้น เคาะเป้า 11 บาท

             หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.พาย ระบุว่า HMPRO ระยะสั้นมีปัจจัยหนุนจากการประกาศซื้อหุ้นคืนของบริษัท วงเงินรวม 7 พันล้านบาท ในขณะที่ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มการเติบโตในระยะยาวจากการเข้าถึงลูกค้าแบบเชิงรุกผ่านการบริการ Home Service และการใช้โมเดล Hybrid store ที่สามารถสร้างการเติบโตและควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีในเวลาเดียวกัน แม้ว่าระยะสั้นการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ของ HomePro และ Mega Home ช่วง QTD ของ 1Q25 ที่ -2% ถึง -4% YoY ผลจากการได้รับประโยชน์จากมาตรการ Easy E-Receipt ที่ลดลง และจำนวนวันของเดือนก.พ. 2025 ที่น้อยกว่าปีก่อน 1 วัน ฝ่ายวิจัย แนะนำ ซื้อ และให้ราคาเป้าหมาย 11.00 บาท 

HMPRO กระตุ้นเศรษฐกิจหนุน แนะ “ซื้อ” - เช็คเป้าด่วน!

HMPRO กระตุ้นเศรษฐกิจหนุน แนะ “ซื้อ” - เช็คเป้าด่วน!

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง HMPRO (ซื้อ/เป้า 12.00 บาท) คาดฟื้นตัวช้าในปี 2025E โดยใน 1H25E คาดจะทรงตัว แต่ margin ดีขึ้น เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับหุ้น HMPRO พร้อมตั้งราคาเป้าหมายที่ 12.00 บาท อิง PER ปี 2025E ที่ 22.3 เท่า (-2.5SD จากค่าเฉลี่ย 5 ปี) โดยมุมมองในเชิงกลางจากการประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวานนี้ มีประเด็นสำคัญดังนี้: 1. ปี 2024 SSSG : -4% (HP: -4%, MH: -1.2%) และ GPM : เพิ่มขึ้น 22 bps YoY 2. เป้าหมายปี 2025 : การเติบโตของยอดขาย +5-7% YoY จาก SSSG +2-3% และการขยายสาขาใหม่ 12 สาขา (4-5 สาขาใหม่, 6-8 สาขาแปลงเป็น Hybrid) 3. เป้าหมาย GPM : เพิ่มขึ้น 20 bps YoY จากการเพิ่มสัดส่วนสินค้า Private Label และการควบคุม SG&A/Sales ให้คงที่จากปี 2024 4. แนวโน้ม 1Q25E : คาดเห็นผลลบ -low single digit จากกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัว และผลบวกจาก Easy E-receipt ที่ลดลงจากปีก่อน 5. ผู้บริหารมองว่า การฟื้นตัวยังค่อนข้างยากในช่วง 1H25E โดยคาดว่าจะทรงตัว แต่ในช่วง 2H25E คาดการเติบโตหากมีการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม           บริษัทมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพและเข้าถึงลูกค้าให้ได้มากขึ้น โดยคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E ที่ 7.1 พันล้านบาท (+9.2% YoY) จากกำไรปี 2024 ที่ 6.5 พันล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนจากการขยายสาขาตามเป้า ณ สิ้นปี 2024 มีสาขาทั้งหมด 137 สาขา แบ่งเป็น HomePro 95, HomePro S 5, MegaHome 30 และ HomePro มาเลเซีย 7 สาขา แนวโน้ม 1Q25E ยังดูฟื้นตัวช้าต่อเนื่องจากปี 2024 คาดจะเห็นการฟื้นตัวหากมีการกระตุ้นเศรษฐกิจใน 2H25E           ราคาหุ้น outperform ตลาดได้เล็กน้อยในช่วงที่ผ่านมา จากคาดว่าจะได้รับผลบวกจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐใน 1Q25E อย่างไรก็ตามเรายังคงแนะนำ “ซื้อ” จากมองว่าราคาหุ้นมี downside ที่จำกัดจากปัจจุบันที่เทรดที่ PER ปี 2025E ที่ 17.7x ต่ำกว่า -3SD และคาดผลการดำเนินงานที่จะปรับตัวดีขึ้นใน 4Q24-1Q25E จากปัจจัยฤดูกาลและ MegaHome ที่เป็นบวกต่อเนื่อง

HMPRO คาดกำไรปีนี้โต 6%  โบรกแนะซื้อ เคาะเป้า 12 บาท

HMPRO คาดกำไรปีนี้โต 6% โบรกแนะซื้อ เคาะเป้า 12 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุ HMPRO กำไร 4Q67 ฟื้นตัว +19.8% QoQ และ +3% YoY แม้ยอดขาย +0.5% YoY แต่ GPM +43 bps. YoY และ SG&A/Sale -30 bps. YoY จากคุมเข้มรายจ่าย ▪ คาดกำไร 1Q68 ยังโต 3-4% YoY โดยช่วง 2 เดือนแรก SSSG – low single digit แต่ GPM ยังเพิ่มขึ้นได้จากการเพิ่มสัดส่วนสินค้า Private Brand ▪ ผู้บริหารตั้งเป้ายอดขายปีนี้ +5-7% โดย SSSG +2-3% YoY GPM +20 bps. YoY จากการเพิ่มสัดส่วนสินค้า Private Brand ทำให้คาดกำไรปีนี้โต 6% ▪ เงินปันผล 2H67 0.25 บาท XD 22 เม.ย. นี้ คิดเป็น Div. Yield 3% สูงสุดในกลุ่มค้าปลีก ▪ แนวรับ=8/8.1 แนวต้าน=8.5/8.7           HMPRO | ซื้อ | TP=12 บ.

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

HMPRO ปี 67 กำไร 6.5 พันลบ. ฝ่ากำลังซื้อชะลอ-ขยายสาขาเพิ่ม

HMPRO ปี 67 กำไร 6.5 พันลบ. ฝ่ากำลังซื้อชะลอ-ขยายสาขาเพิ่ม

          “โฮมโปร” ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจที่ท้าทาย ยังคงโชว์ศักยภาพผลการดำเนินงานปี 67 ทำกำไรสุทธิ 6,503.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.96% จากปีก่อน ด้วยกลยุทธ์บริหารต้นทุนและกระตุ้นยอดขายผ่าน Omni-Channel พร้อมลุยขยายสาขาเพิ่ม 9 แห่ง รวมถึงพัฒนา Hybrid Store ผสานโฮมโปร-เมกาโฮมในที่เดียว ขยายศูนย์กระจายสินค้า ต่อยอดแพลตฟอร์มออนไลน์ และเน้นสินค้ารักษ์โลก ตอกย้ำผู้นำค้าปลีกสินค้าบ้านครบวงจร           นายวีรพันธ์ อังสุมาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร (HMPRO) เปิดเผยถึงผลประกอบการในปี 2567 ว่า บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิสำหรับปี 2567 เท่ากับ 6,503.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.99 ล้านบาท หรือ 0.96% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้รวมจำนวน   72,576.52 ล้านบาท ลดลง 0.34% จากปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนตัวลงจากภาวะหนี้ครัวเรือนสูง และต้นทุนสินค้าที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นยังสามารถขยายตัวอยู่ที่ 26.82% เทียบกับ 26.60% ในปีก่อน ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อผลประกอบการปี 2567 ได้แก่ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ เช่น Easy E-Receipt และโครงการแจกเงิน 10,000 บาท แก่กลุ่มเปราะบาง ส่งผลให้เกิดการใช้จ่ายมากขึ้นในบางช่วง กลยุทธ์การตลาดที่เน้นช่องทาง Omni-Channel โดยเพิ่มโปรโมชั่นอย่าง Double Day และ HomePro Super Expo ที่จัดในสาขาทั่วประเทศแทนการจัดงาน HomePro Expo แบบเดิม รวมถึงกิจกรรม HomePro 28th Anniversary 8 WONDERS จัดโปรลดราคาพิเศษตลอด 8 สัปดาห์เต็ม ส่งผลให้ยอดขายสินค้าออนไลน์รวมทุกแพลตฟอร์มมีการเติบโตขึ้น ยอดขายสินค้ากลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าเติบโตสูง โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศและพัดลมในช่วงฤดูร้อน ผลกระทบจากน้ำท่วมในช่วงครึ่งปีหลัง ส่งผลให้ยอดขายในบางพื้นที่ลดลงชั่วคราว ก่อนจะมีการฟื้นตัวจากความต้องการซื้อสินค้าทดแทน           ทั้งนี้ โฮมโปร มีกำไรขั้นต้นจากการขายสินค้าและการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 18,223.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.89 ล้านบาท หรือ 0.32%  เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน โดยอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขาย เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 26.82% จาก 26.60% ในปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง ทั้งจากธุรกิจโฮมโปรและธุรกิจเมกาโฮม           นายวีรพันธ์ กล่าวอีกว่า ในปี 2567 โฮมโปรเดินหน้าพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้น การเพิ่มประสิทธิภาพการสร้างรายได้ ผ่านการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าและปรับกลยุทธ์ด้านราคา รวมถึงการขยายบริการ Home Service และการพัฒนา Marketplace สำหรับสินค้ากลุ่มเฉพาะ เช่น สินค้าผู้สูงอายุ แม่และเด็ก และอุปกรณ์สำนักงาน นอกจากนี้ บริษัทยังขยายฐานลูกค้า B2B ไปยังโรงแรม ออฟฟิศ และร้านอาหาร ผ่านแพลตฟอร์มเฉพาะทาง พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานด้วยการขยายศูนย์กระจายสินค้าและติดตั้งระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ (ASRS) เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและลดต้นทุนในการกระจายสินค้า           โดยโฮมโปรยังให้ความสำคัญกับ ความยั่งยืนและเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ผ่านโครงการ Trade-in ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้านำสินค้าเก่าที่ไม่ใช้แล้ว มาแลกรับส่วนลดในการซื้อสินค้าชิ้นใหม่ โดยโฮมโปรจะนำซากเก่าไปจัดการอย่างถูกวิธี เพื่อนำไปพัฒนาเป็นสินค้ารักษ์โลก (Circular Products) เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า กระเบื้อง และถุงช้อปปิ้งที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล บริษัทฯ ยังมีการตั้งศูนย์ซ่อมสินค้าเพื่อลดปริมาณขยะ และนำเสนอสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้แบรนด์ของตนเอง (ECO Choice)           บริษัทฯ ได้ดำเนินโครงการ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อย่างจริงจัง โดยติดตั้ง แผงโซลาร์เซลล์ แล้วกว่า 97 สาขา และเตรียมขยายเพิ่มเติม รวมถึงนำ รถ EV มาใช้ในการขนส่งสินค้าเพื่อลดมลพิษ พร้อมเข้าร่วมเป็นสมาชิกโครงการ United Nations Global Compact (UNGC) เป็นปีที่ 3 โดยยึดหลักสิทธิมนุษยชน แรงงาน สิ่งแวดล้อม และต่อต้านการทุจริต โฮมโปรยังตั้งเป้าหมาย Net Zero 2050 เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการดำเนินธุรกิจทั้งหมด ตอกย้ำความเป็นผู้นำค้าปลีกที่มุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนอีกด้วย           นายวีรพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมเรื่องการขยายสาขาว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยสิ้นปี 2567 บริษัทฯ จะมีโฮมโปร 94 สาขา, โฮมโปรเอส 5 สาขา, เมกาโฮม 30 สาขา และโฮมโปรในมาเลเซีย 7 สาขา โดยมีการขยายสาขาใหม่รวมทั้งสิ้น 9 สาขา ในรูปแบบของสาขาโฮมโปร 6 แห่งและเมกาโฮม 3 แห่ง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เปิดสาขาในรูปแบบไฮบริดสโตร์ (Hybrid Store) เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าทั้งเจ้าของบ้านและช่างผู้รับเหมา โดยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พื้นที่และลดต้นทุนการบริหารจัดการอีก           “บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่น ทุ่มเท รวมถึงความตั้งใจ ของบุคลากรทุกระดับ ตลอดจนการสนับสนุนที่ดีจากผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มเสมอมา บริษัทฯ เชื่อว่าการเติบโตทางธุรกิจที่สร้างคุณค่าให้กับทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นลูกค้า พนักงาน คู่ค้า ผู้ถือหุ้น ตลอดจนชุมชนและสังคม เป็นปัจจัยสำคัญยิ่งที่ช่วยผลักดันให้องค์กรก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของประเทศในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนเช่นกัน” นายวีรพันธ์ กล่าวสรุปในตอนท้าย

HMPRO คาดกำไรปี 68 ที่ 7.1 พันลบ. ขยายสาขาหนุน โบรกแนะซื้อ

HMPRO คาดกำไรปี 68 ที่ 7.1 พันลบ. ขยายสาขาหนุน โบรกแนะซื้อ

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.ดาโอ ระบุ HMPRO กำไร 4Q24 ทรงตัว YoY ขยายตัว QoQ เป็นไปตามคาด ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 12.00 บาท อิง PER ปี 2025E ที่ 22.3 เท่า (-2.5SD below 5-yr average) บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 1,727 ล้านบาท (+3% YoY, +20% QoQ) ใกล้เคียงคาด รายได้ 16,960 ล้านบาท (+0.5% YoY, +6.5% QoQ) ได้แรงหนุนจาก High season และแคมเปญส่งเสริมการขาย GPM อยู่ที่ 26.5% (+30bps YoY, +70bps QoQ) จากการขายสินค้ากำไรสูง SG&A อยู่ที่ 3,525 ล้านบาท (+0.5% YoY, 20.8% ของรายได้) และต้นทุนทางการเงิน 162 ล้านบาท (+6.5% YoY, -6.8% QoQ) จากต้นทุนดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E อยู่ที่ 7.1 พันล้านบาท (+9.2% YoY) จากกำไรปี 2024 ที่ 6.5 พันล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนจากการขยายสาขาตามเป้า ณ สิ้นปี 2024 มีสาขาทั้งหมด 137 สาขา แบ่งเป็น HomePro 95, HomePro S 5, MegaHome 30 และ HomePro มาเลเซีย 7 สาขา แนวโน้ม 1Q25E แม้มองว่ายังได้แรงหนุนจากการกระตุ้นเศรษฐกิจและ High season แต่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้า ราคาหุ้น outperform ตลาดได้เล็กน้อยในช่วงที่ผ่านมาจากคาดได้รับผลบวกจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐใน 1Q25E อย่างไรก็ตามเรายังคงแนะนำ “ซื้อ” จากมองว่าราคาหุ้นมี downside ที่จำกัด จากปัจจุบันที่เทรดที่ PER ปี 2025E ที่ 17.7x ต่ำกว่า -3SD และคาดผลการดำเนินงานที่จะปรับตัวดีขึ้นใน 4Q24-1Q25E จากปัจจัยฤดูกาลและ MegaHome เป็นบวกต่อเนื่อง Event: 4Q24 Results Review ❑ กำไรสุทธิ 1,727 ล้านบาท (+3% YoY, +20% QoQ) ใกล้เคียงคาด บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 1,727 ล้านบาท (+3% YoY, +20% QoQ) ใกล้เคียงคาด รายได้ 16,960 ล้านบาท (+0.5% YoY, +6.5% QoQ) ได้แรงหนุนจาก High season และแคมเปญส่งเสริมการขาย โดย SSSG ของ HomePro เป็นลบที่น้อยกว่า -1% ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตที่ชะลอตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และ MegaHome มี SSSG ที่ +4.5% GPM อยู่ที่ 26.5% (+30bps YoY, +70bps QoQ) จากการขายสินค้ากำไรสูง SG&A อยู่ที่ 3,525 ล้านบาท (+0.5% YoY, 20.8% ของรายได้) และต้นทุนทางการเงิน 162 ล้านบาท (+6.5% YoY, - 6.8% QoQ) จากต้นทุนดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ❑ กำไรสุทธิ 2024 อยู่ที่ 6,504 ล้านบาท (+1.0% YoY) HMPRO รายงานรายได้ 67,952 ล้านบาท (-0.5% YoY) จากการบริโภคที่ชะลอตัว แม้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดย SSSG HomePro อยู่ที่ -4% และ MegaHome อยู่ที่ -1% ขณะที่ GPM เพิ่มขึ้นเป็น 25.6% (+10bps YoY) จากสัดส่วนสินค้ากำไรสูงของ MegaHome ด้าน SG&A อยู่ที่ 13,340 ล้านบาท (-0.5% YoY, 19.6% ของรายได้) จากการบริหารต้นทุนที่ดี แม้มีค่าใช้จ่ายด้านการตลาดเพิ่มขึ้น ต้นทุนทางการเงิน 687 ล้านบาท (+21% YoY) จากการออกหุ้นกู้ใหม่ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ส่งผลให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 6,504 ล้านบาท (+1.0% YoY) เติบโตจากการควบคุมต้นทุนและการปรับกลยุทธ์สินค้า High-margin และปี 2024 HMPRO เปิด 9 สาขาใหม่ (HomePro 6, MegaHome 3) ❑ คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E อยู่ที่ 7.1 พันล้านบาท โต +9.2% YoY เราคงประมาณ การกำไรสุทธิปี 2025E อยู่ที่ 7.1 พันล้านบาท (+9.2% YoY) จากกำไรปี 2024 ที่ 6.5 พันล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนจากการขยายสาขาตามเป้า และ MegaHome ที่ยังโตได้ ณ สิ้นปี 2024 มีสาขาทั้งหมด 137 สาขา แบ่งเป็น HomePro 95, HomePro S 5, MegaHome 30 และ HomePro มาเลเซีย 7 สาขา แนวโน้ม 1Q25E แม้มองว่ายังได้แรงหนุนจากการกระตุ้นเศรษฐกิจและ High season แต่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวได้ช้า Valuation/Catalyst/Risk ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 12.00 บาท อิง PER ปี 2025E ที่ 22.3 เท่า (-2.5SD below5-yr average) แม้คาดเห็นการฟื้นตัวได้ใน 4Q24-1Q25E จากปัจจัยฤดูกาล แต่ยังคงเป็นไปอย่างช้า กว่าที่เคยคาดการณ์ สภาพเศรษฐกิจที่กำลังซื้อยังไม่ฟื้นตัว อย่างไรก็ตามยังคาดใน 2025E หากมีการกระตุ้นเศรษฐกิจจะช่วยหนุนกำลังซื้อให้สูงขึ้นได้

HMPRO ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว! คาดกำไรปีนี้โต 7% มีปันผล 4%

HMPRO ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว! คาดกำไรปีนี้โต 7% มีปันผล 4%

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.แลนด์ แอนด์ เฮาส์ ระบุ HMPRO ผ่านพ้นจุดต่ำสุดใน 3Q67 ซึ่งได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ลดลง ฝนตกหนัก + น้ำท่วมฉุด Traffic ลดลง และจาก Fx Loss-Hedging เงินสกุลสหรัฐและหยวน คาดกำไร 4Q67 สดใส โต YoY และ QoQ โดย SSSG โฮมโปรและเมก้าโฮมฟื้นตัวดีขึ้นมาก รับผลบวกจากการซ่อมแซมบ้านหลังผ่านพ้นน้ำท่วม คาดกำไรปี 67 +1.2% ปี 68 +7% บวกกับคาด Dividend Yield ปีนี้เกิน 4% สูงสุดในกลุ่มค้าปลีก อีกทั้ง 1Q68 ได้รับผลบวกจาก E-Receipt แนวรับ = 8.2/8.35 แนวต้าน = 8.8/9 HMPRO | ซื้อ | TP=12.40 บ.

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

HMPRO คาดกำไรปี67 ที่ 6,474 ลบ.  โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 9.85 บ.

HMPRO คาดกำไรปี67 ที่ 6,474 ลบ. โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 9.85 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.ฟิลลิป คาดยอดขาย 4Q67 ที่ 17,303 ลบ. +8.6% q-q, +2.5% y-y โดย SSSG คาดฟื้นตัวดีขึ้นจาก 3Q67 ทั้งส่วนของ HomePro และ MegaHome คาดกำไรสุทธิ 1,697 ลบ. +17.7% q-q, +1.2% y-y และคาดการณ์ยอดขายปี 67 อยู่ที่ 68,295 ลบ. +0.02% กำไรสุทธิที่ 6,474 ลบ. +0.5% เชื่อว่ายอดขายผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 3Q67 ในปี 68 อาจเห็นการทยอยฟื้นตัวของยอดขาย คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน: 9.85 บาท SSSG ดีขึ้นในภาพรวม:           ใน 4Q24 คาดว่า SSSG ของ HomePro ประมาณ -0.5% จากเดิมใน 3Q67 ที่ -5.8% ส่วนหนึ่งมาจากสาขาในต่างจังหวัดที่เติบโตได้ดีกว่าในแถบกรุงเทพฯ และปริมณฑล เช่นโซนภาคเหนือที่ยอดขายโตในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนจากเรื่องน้ำท่วม อีกทั้งภูเก็ตและสมุย ซึ่งเป็นจังหวัดท่องเที่ยวในภาคใต้ก็เติบโตดีกว่าเฉลี่ยของกลุ่ม ส่วนภาคอีสานมียอดขายที่ฟื้นตัวช้าสุด ส่วนใน MegaHome อาจมี SSSG ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากภาคเหนือ เนื่องด้วยฐานยอดขายที่ต่ำใน 4Q66 คาด +5% จากเดิมใน 3Q67 ที่ติดลบ low to mid single digit แนวโน้มยอดขายและกำไร flat y-y:           คาดยอดขาย 4Q67 อยู่ที่ 17,303 ลบ. +8.6% q-q, +2.5% y-y กำไรสุทธิที่ 1,697 ลบ. +17.7% q-q, +1.2% y-y และคาดยอดขายปี 67 ที่ 68,295 ลบ. +0.02% กำไรสุทธิที่ 6,474 ลบ. +0.5%           ด้วยภาพรวมที่มืดมนในปี 67 และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 68 มองว่าภาพปี 68 จะสดใสกว่าปี 67 คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน: 9.85 บาท

HMPRO คาดกำไรปี 68 โต 7%  มีปันผลเกิน 4% โบรกแนะ “ซื้อ” ชี้เป้า  12.40 บ.

HMPRO คาดกำไรปี 68 โต 7% มีปันผลเกิน 4% โบรกแนะ “ซื้อ” ชี้เป้า  12.40 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์  ชี้ HMPRO  ผ่านพ้นจุดต่ำสุดใน 3Q67 ซึ่งได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อลดลง ฝนตกหนักและน้ำท่วมฉุด Traffic ลดลง รวมถึง Fx Loss-Hedging เงินสกุลสหรัฐและหยวน           คาดกำไร 4Q67 สดใส โต YoY และ QoQ โดย SSSG ของโฮมโปรและเมก้าโฮมฟื้นตัวดีขึ้นมาก รับผลบวกจากการซ่อมแซมบ้านหลังผ่านพ้นน้ำท่วม           คาดกำไรปี 67 +1.2%, ปี 68 +7% บวกกับคาด Dividend Yield ปีนี้เกิน 4% สูงสุดในกลุ่มค้าปลีก อีกทั้ง 1Q68 ได้รับผลบวกจาก E-Receipt           แนวรับ = 8.7/8.8 แนวต้าน = 9.5/9.8           HMPRO | ซื้อ | TP=12.40 บ.

HMPRO มีปันผลเกิน 4% Q1/68 รับอานิสงส์ Easy E-Receipt แนะซื้อ เป้า 12.4 บ.

HMPRO มีปันผลเกิน 4% Q1/68 รับอานิสงส์ Easy E-Receipt แนะซื้อ เป้า 12.4 บ.

          หุ้นวิชั่น – บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ชี้ 4Q67F กำไรส่อแววสดใส คาดเติบโต qoq และ yoy ได้รับผลบวกจากการซ่อมแซมบ้านหลังผ่านพ้นน้ำท่วม FY67F คาดกำไร +1.2% บวกกับคาดอัตราเงินปันผลเกิน 4% อีกทั้ง 1Q68 ได้รับผลบวกจาก E-Receipt ประเมินราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่ 12.4 บ. เทียบเท่า FY68F P/E=18x

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

HMPRO คาด Q4 กำไรพุ่ง 20% Mega Home หนุน แนะ “ซื้อ” เป้า 12.50 บาท

HMPRO คาด Q4 กำไรพุ่ง 20% Mega Home หนุน แนะ “ซื้อ” เป้า 12.50 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.พาย ระบุว่า ท่ามกลางกำลังของผู้บริโภคที่ชะลอตัว ประกอบกับงานก่อสร้างและการโอนโครงการอสังหาที่ลดลง ทำให้การจับจ่อยใช้สอยในส่วนของสินค้าซ่อมแซมและตกแต่งบ้านจะชะลอตาม แต่บทวิเคราะห์คาดว่า HMPRO จะรายงานกำไรสุทธิงวด 4Q24 ที่ 1.7 พันล้านบาท (+3%YoY, +20%QoQ) ผลจากยอดขาย Mega Home ที่ขยายตัวดี ประกอบกับค่าใช้จ่ายที่เริ่มควบคุมได้ดีขึ้นจาก Hybrid store ที่ทยอยเห็นผล ขณะที่การเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ของ HomePro ช่วงเดือน ธ.ค. 2024 พลิกกลับมาบวกได้เล็กน้อย YoY จากฐานที่ต่ำในปีก่อน และ HomePro Super Expo ที่จัดเดือน ธ.ค. 2024 เทียบกับ พ.ย. 2023 ส่วน Mega Home ยังขยายตัวดีระดับ 3%-5% YoY HMPRO (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 12.50 บาท)

HMPRO คาดกำไรปี 68 ฟื้น ปันผลเกิน 4% สูงสุดในกลุ่ม

HMPRO คาดกำไรปี 68 ฟื้น ปันผลเกิน 4% สูงสุดในกลุ่ม

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์  ชี้ HMPRO กำไร 3Q67 เป็นจุดต่ำสุดในรอบ 12 ไตรมาส ได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ลดลง ฝนตกหนักและน้ำท่วมฉุด Traffic ลดลง รวมถึง Fx Loss จากการ Hedging เงินดอลลาร์สหรัฐและหยวน และต้นทุนการเงินที่เพิ่มขึ้น           กำไร 4Q67 มีแนวโน้มสดใส คาดกลับมาเติบโต YoY และ QoQ โดย SSSG ของโฮมโปรเหลือ -1% YoY และของเมกาโฮม +3-4% YoY ได้รับผลบวกจากการซ่อมแซมบ้านหลังน้ำท่วม           คาดกำไรปี 67 +1.2% และปี 68 +7% พร้อมคาด Dividend Yield ปีนี้เกิน 4% สูงสุดในกลุ่มค้าปลีก อีกทั้ง 1Q68 ได้รับผลบวกจาก E-Receipt           แนวรับ = 9.2/9.3 แนวต้าน = 9.8/9.9           HMPRO | ซื้อ | TP=12.4 บ.

HMPROหลังน้ำท่วม โบรกว่าไง เช็กเลย!

HMPROหลังน้ำท่วม โบรกว่าไง เช็กเลย!

        หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ระบุว่า HMPRO แนวโน้ม 4Q67 ขยายตัวดี QoQ จาก SSSG ที่ดีขึ้น ผลประกอบการในงวด 3Q67 ดีกว่าคาดเล็กน้อย โดยมีกำไรสุทธิเท่ากับ 1.4 พันล้านบาท -6% YoY ทำ New low ในรอบ 3 ปีจากรายได้ที่ลดลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากช่วงฤดูฝนที่ตกหนักกว่าปกติ สถานการณ์น้ำท่วม และกำลังซื้อที่ชะลอตัวลง ทำให้ SSSG ในห้าง HMPRO อยู่ที่ -5.8% และ MegaHome อยู่ที่ -3.0% รวมถึงได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า ค่าธรรมเนียมดอกเบี้ยหลังออกหุ้นกู้ในช่วงอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง และการทำโปรโมชั่นเพื่อส่งเสริมการขาย ด้านแนวโน้ม 4Q67F คาดว่าจะขยายตัวดี QoQ จาก SSSG ที่ดีขึ้นจากสถานการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือเริ่มคลี่คลายและได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐ ทำให้มีการกลับมาซ่อมแซมที่อยู่อาศัยมากขึ้น ขณะที่ในงวดนี้ไม่ได้รับผลกระทบของการปรับปรุงพื้นที่สาขาพฤกษ์ นอกจากนี้แนวโน้ม GPM มีโอกาสขยับขึ้นแตะระดับ 28% (9M67 อยู่ที่ 26.5%, 3Q67 อยู่ที่ 27.1%) จากการเพิ่มสินค้าของ Own brand และแนวโน้มบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนในงวดนี้จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าขึ้น นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดสาขา Hompro และ MegaHome รวม 4 สาขา ส่วนเป้าหมายจะเปิดเพิ่มอีก 8 สาขา รวมถึงจะมีกการเพิ่มสาขา Hybrid (เชื่อมสาขา Hompro และ MegaHome)          ด้าน Bloomberg consensus ประเมินกำไรสุทธิในงวด 4Q67F ที่ 1.77 พันล้านบาท (+23% QoQ, +2% YoY) และงวดปี 67-68F เท่ากับ 6.6 พันล้านบาท +3% YoY และ 7.1 พันล้านบาท +7% YoY ตามลำดับ มีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 11.97 บาท โดยในเชิง Valuation ซื้อขายบน FWD PE ที่ 17.2 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคที่ 21.4 เท่า ส่วนในเชิง sentiment คาดรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี ได้แก่ Easy E-receipt รอบใหม่ และการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ช่วยหนุนกำลังซื้อ และ SSSG ให้ขยายตัว

abs

ออกแบบและติดตั้งระบบเครือข่ายและระบบสื่อสารอย่างครบวงจร

HMPRO โบรกคาด Q4 ฟื้นตัว

HMPRO โบรกคาด Q4 ฟื้นตัว "Easy E -receipt" หนุนโตต่อ แนะ “ซื้อ” เป้า 9.85 บาท

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า บล.ฟิลลิป คาด SSSG ของ HomePro ฟื้นตัวดีขึ้นใน 4Q67 จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและฤดูกาลท่องเที่ยวที่มีการจับจ่ายใช้สอยในช่วงปีใหม่ ส่งผลให้ยอดขายดีขึ้นตามความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง สำหรับต้นปี 68 รัฐบาลเตรียมออกโครงการ "Easy E-receipt" กระตุ้นกำลังซื้อผ่านการลดหย่อนภาษี ซึ่งคาดว่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่ม Commerce โดยเฉพาะสินค้าประเภท Durable Goods ใน HomePro ช่วยหนุนยอดขายใน 1Q68 ได้ดีจากความต้องการซื้อทดแทนเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษี แนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาพื้นฐานปี 68 : 9.85 บาทต่อหุ้น คาด SSSG 4Q67 ฟื้นตัวดี           ใน 4Q67 คาดว่า SSSG – HomePro จะอยู่ในช่วงลบ low-single digit และในส่วน SSSG – MegaHome อยู่ที่บวก mid-single digit คาดมี SSSG รวมอยู่ที่ -0.1% ทางฝ่ายประมาณการยอดขายใน 4Q67 จะอยู่ที่ 16,845 ล้านบาท +5.7% q-q, -0.2% y-y คาดโตขึ้น q-q จากปัจจัยบวก 2 เรื่อง ได้แก่ เงินกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ฤดูกาลท่องเที่ยว           ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นในช่วงก่อนปีใหม่ ซึ่งได้สอดคล้องกับค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมที่เริ่มฟื้นตัวจาก 3Q67 โดยเห็นได้จากค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม (CCI) จากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ในเดือนพฤศจิกายนปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 53.2 จุดจากระดับ 52.9 จุดในเดือนตุลาคม นับเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ทั้งนี้ คาดยอดขายรวมปี 67 อยู่ที่ 67,836 ล้านบาท -0.65% y-y รัฐบาลชง Easy E-receipt กระตุ้นกำลังซื้อต้นปี 68           กระทรวงการคลังมีแผนเสนอโครงการ “Easy E-receipt” เตรียมนำเข้าที่ประชุม ครม. ในวันที่ 24 ธ.ค. 67 โดยโครงการนี้ให้ลดหย่อนภาษีสูงสุด 50,000 บาท โดยเป็นใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์ 30,000 บาท และใบเสร็จปกติอีก 20,000 บาท เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค คาดเริ่มใช้ได้ ม.ค. 68 ทางฝ่ายคาดว่าโครงการนี้เป็นผลดีกับกลุ่ม Commerce โดยเฉพาะสินค้าที่เป็น Durable Goods ที่เป็นสัดส่วนหลักของสินค้าใน HomePro คาดสามารถกระตุ้นยอดขายใน 1Q68 ได้ เนื่องจากโครงการนี้จะกระตุ้น Demand ในอนาคต เร่งให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าใหม่ทดแทนของเก่าเพื่อที่จะได้ลดหย่อนภาษีไปในตัว ราคาพื้นฐานปี 68 ที่ 9.85 บาทต่อหุ้น           โดยวิธี DCF ประเมินราคาพื้นฐานหุ้นด้วยวิธีการ Discounted Cash Flow จาก Free Cash Flow to Equity (FCFE) โดยกำหนดค่า Beta ที่ 1.67 สำหรับปี 2568-2570 และใช้ Adjusted Beta ที่ 1.45 ในปี 2571 เป็นต้นไป โดยมี Required Rate of Return for Equity (re) ที่ 10.0% สำหรับปี 2568-2570 และ 9.1% สำหรับปี 2571 เป็นต้นไป และมี Sustainable growth rate สำหรับปี 2571 ที่ 1.3% ทางฝ่ายมองว่ายอดขาย 4Q67 ของ HomePro จะเพิ่มขึ้น q-q และมีปัจจัยบวกจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ Easy E-receipt จากรัฐบาลช่วง 1Q68 ที่จะเสริมโมเมนตัมเชิงบวกของ HomePro ได้อย่างต่อเนื่อง ราคาพื้นฐานสำหรับปี 2568 อยู่ที่ 9.85 บาทต่อหุ้น แนะนำ “ซื้อ”

เทียบ 2 หุ้นวัสดุก่อสร้าง: HMPRO และ GLOBAL [HoonVision x FynnCorp]

เทียบ 2 หุ้นวัสดุก่อสร้าง: HMPRO และ GLOBAL [HoonVision x FynnCorp]

Key Highlights: แนวโน้มการเติบโตของตลาดวัสดุก่อสร้างดีขึ้น ตามดีมานต์ทั้งฝั่งภาครัฐและเอกชน ส่งผลดีต่อผู้เล่นรายใหญ่ในกลุ่มอย่าง HMPRO และ GLOBAL ด้วยจำนวนสาขากว่า 133 แห่ง และ 127 แห่งทั้งในและต่างประเทศ ตามลำดับ HMPRO ชูกลยุทธ์ปรับ Product Mix และขยายสาขาในประเทศ ซึ่งเน้นเป็นสาขาตามจังหวัดใหญ่ พร้อมกับการเพิ่มยอดขายสินค้าอัตรากำไรสูงอย่าง Private Brand เพื่อเพิ่มกำไร โดย HMPRO เจาะกลุ่มลูกค้ารายย่อย เน้นกลุ่มสินค้าเฟอร์นิเจอร์และของใช้ในบ้าน GLOBAL มุ่งขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศ พร้อมสินค้าหลากหลายสำหรับงานก่อสร้าง โดย GLOBAL เน้นการขายสินค้าวัสดุก่อสร้างให้แก่กลุ่มผู้รับเหมา ซึ่งมีสาขากระจายไปทุกภูมิภาค รวมถึงมีการขยายสาขาไปในประเทศเพื่อนบ้าน กลยุทธ์ที่แตกต่างตามเป้าหมายของการลงทุนที่ต่างกัน HMPRO เน้นการจ่ายปันผลอัตราสูงและผลตอบเเทนที่สม่ำเสมอ ส่วน GLOBAL เป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่มองหาการเติบโตของมูลค่าหุ้นในระยะยาว รองรับศักยภาพในอนาคตผ่านการขยายธุรกิจ ตลาดวัสดุก่อสร้างแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากงานลงทุนภาครัฐและเอกชนเริ่มฟื้นตัวและกลับเข้าสู่ภาวะปกติ           แม้ว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ตลาดวัสดุก่อสร้างได้รับผลกระทบจากการชะลอการเปิดโครงการใหม่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดจากสถาบันการเงินซึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง รวมถึงการหดตัวของการลงทุนภาครัฐจากความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่ในช่วงปลายปี 2567 ต่อเนื่องถึงปี 2568 ความต้องการใช้สินค้าวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยมีปัจจัยสนับสนุน ทั้งจากกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่ต้องการรีโนเวตเพื่อเร่งยอดขาย ท่ามกลางทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลง ประกอบกับการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐกลับเข้าสู่ภาวะปกติและเงินลงทุนในปีงบประมาณ 2568 ที่เพิ่มขึ้น เกิดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1 หมื่นบาทและแจกเงินเยียวยาน้ำท่วม ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดกำลังซื้อใหม่โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้ารายย่อย ซึ่งดีมานต์จากทั้งฝั่งภาครัฐและเอกชนที่เป็นผู้ประกอบการ ลูกค้ารายย่อย ถือว่าเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของผู้ค้าวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ในประเทศอย่าง HomePro และ Global HMPRO: หนึ่งในผู้นำธุรกิจสินค้าเกี่ยวกับบ้านภายใต้ One Stop Shopping Home Center           บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2538 และได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปี 2544 ภายใต้ชื่อย่อหลักทรัพย์ว่า “HMPRO” โดยประกอบธุรกิจค้าปลีก จำหน่ายสินค้าในกลุ่ม Hard Line อย่าง วัสดุก่อสร้าง สี อุปกรณ์ปรับปรุงบ้าน ห้องน้ำ และ สุขภัณฑ์ เครื่องครัว อุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และกลุ่ม Soft Line อย่าง สินค้าประเภทเครื่องนอน พรม ผ้าม่าน เฟอร์นิเจอร์ โคมไฟ สินค้าตกแต่ง และอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้าน อีกทั้งมีบริการเกี่ยวข้องกับธุรกิจค้าปลีก (Home Service) อย่าง การติดตั้งก่อสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ปรับปรุง อาคาร บ้าน และที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร (One Stop Shopping Home Center) ครอบคลุมถึงบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน (Emergency Service) 24 ชั่วโมง           นอกจากนี้ บริษัทยังประกอบธุรกิจให้บริการพื้นที่เพื่อร้านค้าเช่า มีการจัดสรรพื้นที่และพัฒนาเป็น “มาร์เก็ต วิลเลจ” (Market Village) ผู้เช่าส่วนใหญ่ ได้แก่ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร ธนาคาร ร้านหนังสือ ร้านสินค้าไอที เป็นต้น ปัจจุบัน บริษัทมีสาขาในรูปแบบ “มาร์เก็ต วิลเลจ” ทั้งหมด 5 แห่ง ได้แก่ สุวรรณภูมิ หัวหิน ภูเก็ต (ฉลอง) ราชพฤกษ์ และรังสิตคลอง 4 ลยุทธ์เจาะกลุ่มลูกค้าต่างกันของ HomePro และ Mega Home           ในส่วนธุรกิจค้าปลีก บริษัทใช้ชื่อทางการค้า "โฮมโปร" (HomePro) และ “เมกาโฮม” (Mega Home) โดย Mega Home เป็นแบรนด์ที่เน้นการค้าส่งสินค้าวัสดุก่อสร้างและตกแต่ง เครื่องใช้ภายในบ้าน เจาะกลุ่มช่างก่อสร้างและผู้รับเหมา เจ้าของโครงการอสังหาฯ ครอบคลุมในพื้นที่ต่างจังหวัด ขณะที่ HomePro เป็นกลุ่มสินค้าเฟอร์นิเจอร์และของใช้ในบ้าน ที่เน้นการค้าปลีกในกลุ่มลูกค้าผู้อยู่อาศัย           หากแบ่งตาม 3 Business Units พบว่าโฮมโปรมีสัดส่วนรายได้มากที่สุด คิดเป็น 79% ของรายได้ทั้งหมด ตามด้วย เมกาโฮม 18% และหากแบ่งตามรายได้ของกลุ่มสินค้าและบริการพบว่า รายได้จากกลุ่มสินค้า Hard Line มีสัดส่วนมากสุด หรือ 62.1% ของรายได้รวมปี 2566 ตามมาด้วย สินค้ากลุ่ม Soft Line 13.2% และรายได้อื่นๆ ซึ่งรวมค่าเช่าพื้นที่ ค่าสนับสนุนการขาย สัดส่วน 6.2% ส่วนรายได้จากบริการ Home Service คิดเป็น 1.1% ของรายได้รวม ส่วนที่เหลือจะเป็นรายได้จากบริษัทย่อย           บริษัทมีช่องทางการจัดจำหน่าย (Offline) ทั้งหมด 133 สาขา ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2567 ได้แก่ 1) HomePro ในประเทศไทย 92 สาขา 2) HomePros ที่ตั้งอยู่ในศูนย์การค้าจำนวน 5 สาขา 3) Mega Home 29 สาขา 4) HomePro ที่ประเทศมาเลเซีย 7 สาขา           และช่องทางการขาย Online ผ่านเว็บไซต์ของบริษัท และ Market place เช่น Shopee Lazada TikTok กลยุทธ์การเติบโตผ่าน Private Brands และการขยายสาขา           บริษัทมีการพัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ของตนเองหลากหลาย (Private Brand) ครอบคลุมทั้งสินค้ากลุ่ม Hard Line และ Soft Line ซึ่งมีอัตราการทำกำไรที่ดีเมื่อเทียบกับสินค้าทั่วไปอยู่ที่ 10% - 15% โดยสัดส่วนยอดขายของ Private Brand ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2567 ของโฮมโปร อยู่ที่ 20.8% และเมกาโฮมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึง 21.1% จากเป้าที่วางไว้ 21%           บริษัทมีแผนการขยายสาขา ซึ่งในไตรมาส 3 ที่ผ่านมามีการขยายไปแล้ว 3 สาขาในรูปแบบ Hybrid (การเปิดโฮมโปรและเมกาโฮมในพื้นที่เดียวกัน) ที่ระยองและหนองคาย และในไตรมาส 4 ปีนี้ บริษัทมีแผนจะขยายอีก 4 สาขา ได้แก่ โฮมโปรแบบ Hybrid 1 สาขา และ standalone 2 สาขา รวมถึง เมกาโฮมอีก 1 สาขา (Hybrid) ทำให้สิ้นปี 2567 บริษัทจะมีสาขาทั้งหมด 137 สาขา GLOBAL: ศูนย์รวมวัดสุก่อสร้างและตกแต่งบ้านครบวงจรรายใหญ่ในประเทศ           บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เริ่มก่อตั้งขึ้นในปี 2538 โดยโกลบอลเฮ้าส์สาขาแรกตั้งอยู่ที่จังหวัดร้อยเอ็ด ในปี 2540 และได้ยื่นขอจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จนเสนอหุ้นไอพีโอในปี 2552 ภายใต้ชื่อย่อหลักทรัพย์ "GLOBAL" เพื่อประกอบธุรกิจจำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้าง วัสดุตกแต่ง เครื่องมือ อุปกรณ์ ที่ใช้ในงานก่อสร้าง ต่อเติม ตกแต่ง บ้านและสวน ภายในอาคารหลังเดียวขนาดใหญ่ลักษณะเป็นแวร์เฮ้าส์สโตร์ โดยใช้ชื่อทางการค้าว่า “โกลบอลเฮ้าส์” (Global House)           กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของ Global คือ กลุ่มลูกค้าเจ้าของบ้าน กลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระ ช่าง ผู้รับเหมาขนาดกลางและเล็ก ร้านค้าวัสดุก่อสร้างขนาดเล็ก ไปจนถึงโครงการก่อสร้างและที่พักอาศัย โดยสินค้าที่จัดจำหน่ายมีมากกว่า 300,000 รายการ แบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ 1) ประเภทวัสดุก่อสร้าง สำหรับงานด้านโครงสร้าง (ปูนซีเมนต์ เหล็ก ตะปู หลังคา อุปกรณ์ติดตั้ง ท่อน้ำ ปั๊มน้ำ งานเกษตรและตกแต่งสวน) 2) ประเภทวัสดุตกแต่ง สำหรับงานตกแต่งอาคาร เช่น เฟอร์นิเจอร์ ประตู หน้าต่าง วัสดุปูพื้น เครื่องมือช่าง อุปกรณ์ไฟฟ้า กลุ่มสี เคมีภัณฑ์ก่อสร้าง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีสินค้าที่เป็น House Brand ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัทมากกว่า 10,000 รายการ ซึ่งมีราคาต่ำกว่าสินค้าระดับเดียวกันในท้องตลาด           โดยกลุ่มสินค้าทั้ง 2 ประเภทหลัก มีสัดส่วนรายได้ใกล้เคียงกัน ซึ่งกลุ่มวัสดุตกแต่งคิดเป็น 49.02% ของรายได้รวมปี 2566 ส่วนกลุ่มวัสดุก่อสร้าง สร้างรายได้ 47.74% ที่เหลือจะเป็นรายได้อื่น (รายได้บริการขนส่ง ค่าเช่ารับ ดอกเบี้ยรับ) และรายได้จากบริษัทย่อย คิดเป็น 1.79% และ 1.45% ตามลำดับ กลยุทธ์การเติบโตผ่านการขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศ ด้วยสินค้าที่ตอบโจทย์ในแต่ละพื้นที่           ปัจจุบัน บริษัทมีสาขาทั้งหมด 90 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งได้มีการขยายสาขาไปทั้งหมด 7 แห่งในปี 2567 กระจายตามจังหวัดต่างๆ และวางแผนจะขยายในปี 2568 อีก 11 สาขา เพื่อให้เกิน 100 สาขาทั่วประเทศ ตามเป้าที่เคยกำหนดไว้ โดยมีที่ดินที่รองรับไว้แล้วในภาคต่างๆ มากกว่า 15 แปลง นอกจากนั้น ยังได้มีการขยายสาขาในต่างประเทศ โดยบริษัทมีสาขาในประเทศพม่า 12 สาขา อินโดนีเซีย 15 สาขา กัมพูชา 2 สาขา และลาว 8 สาขา เปรียบเทียบ HMPRO และ GLOBAL           ในหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง HMPRO และ GLOBAL ถือเป็นสองผู้เล่นรายใหญ่ในกลุ่ม ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) กว่า 127,500 ล้านบาท และ 82,700 ล้านบาทในปัจจุบัน ตามลำดับ แม้ว่าจะอยู่ในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน แต่ทั้งสองบริษัทมีการเจาะกลุ่มลูกค้าต่างกัน: HMPRO เน้นการเจาะกลุ่มลูกค้ารายย่อยและเจ้าของที่อยู่อาศัยในเขตเมือง เน้นงานตกแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงมีบริการครบวงจร (Home Service) ส่วน GLOBAL เน้นกลุ่มลูกค้าช่างและผู้รับเหมาในระดับภูมิภาค ในพื้นที่ชานเมืองและหัวเมืองใหญ่ สินค้าจะเป็นวัสดุก่อสร้างเป็นหลักแบบครบวงจรในราคาที่คุ้มค่า           โดยในช่วง 9 เดือนแรกปี 2567 ผลการดำเนินงานทั้งสองบริษัท ยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ค่าครองชีพสูง ผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอย และการเข้าสู่ฤดูฝนที่ทำให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ส่งผลให้ผู้บริโภคเข้ามาจับจ่ายในสาขาลดลง จนส่งผลต่อยอดขายที่ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า           ในด้านสินค้าคงคลัง HMPRO มีอัตราการหมุนเวียนสินค้าคงคลัง (Inventory Turnover Ratio) ที่สูงกว่า เนื่องจากบริษัทมุ่งเน้นจำหน่ายสินค้าที่สอดคล้องกับเทรนด์การตกแต่งบ้านและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีการเปลี่ยนแปลงตามความนิยมและเทคโนโลยี ซึ่งสินค้ากลุ่มนี้มักมีรอบชีวิตที่สั้นและต้องหมุนเวียนเร็วเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าและหลีกเลี่ยงสินค้าล้าสมัย ซึ่งแตกต่างจาก GLOBAL ที่เน้นสินค้าก่อสร้างพื้นฐานที่มีอายุการใช้งานยาวและไม่ได้เปลี่ยนแปลงตามเทรนด์ จึงสะท้อนการมี Turnover ที่ต่ำกว่า HMPRO สะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างในกลยุทธ์และประเภทสินค้าที่จำหน่ายระหว่างสองบริษัท           ในด้านของเงินปันผล HMPRO มีอัตราส่วนการจ่ายปันผล (Dividend Payout Ratio) อยู่ในระดับสูงและเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แสดงถึงนโยบายที่มุ่งเน้นการคืนกำไรให้แก่ผู้ถือหุ้นเป็นหลัก และมีการตอบแทนผู้ถือหุ้นผ่านเงินปันผลได้ดีกว่า ซึ่งอาจเป็นจุดดึงดูดสำหรับนักลงทุนที่ชื่นชอบหุ้นที่มีการจ่ายปันผลสูง ขณะที่ GLOBAL มีการจ่ายปันผลที่ต่ำกว่า สะท้อนว่าบริษัทอาจเลือกเก็บกำไรไว้สำหรับการลงทุนและการขยายธุรกิจในอนาคต           นอกจากนั้น ราคาหุ้นเทียบกับกำไรต่อหุ้น (P/E ratio) ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 พบว่า HMPRO อยู่ที่ 19.77 เท่า ขณะที่ GLOBAL อยู่ที่ 34.27 เท่า ดังนั้น หากพิจารณาแล้ว หุ้น HMPRO จะโดดเด่นด้านการจ่ายปันผลในระดับสูง เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกระแสเงินสดอย่างสม่ำเสมอและผลตอบแทนที่มั่นคงต่อเนื่อง ขณะที่ หุ้น GLOBAL เป็นหุ้นที่ถูกมองว่าอาจมีโอกาสในการเติบโตได้ในอนาคต จากการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ จึงสะท้อนผ่าน P/E ที่สูงกว่า ประกอบกับ แนวโน้มการจ่ายปันผลที่มากขึ้น อาจสร้างความน่าสนใจให้กับนักลงทุนได้ในระยะยาว รายละเอียดเพิ่มเติม ที่ https://app.visible.vc/shared-update/682ea04f-47fe-4be6-8c34-a5a44dec5bbd

สินค้าจำเป็นยังบวก สินค้าฟุ่มเฟือยเริ่มฟื้น โบรกชี้หุ้น CPALL - HMPRO เด่น

สินค้าจำเป็นยังบวก สินค้าฟุ่มเฟือยเริ่มฟื้น โบรกชี้หุ้น CPALL - HMPRO เด่น

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.กรุงศรี ประเมินการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนเป็นแนวโน้มเดียวกันกับใน 3Q24 นั่นคือสินค้าจำเป็นจะอยู่ในโซนบวก และสินค้าฟุ่มเฟือย (ยกเว้น DOHOME) อยู่ในเชิงลบ หุ้นเด่นของเรายังคงเป็น CPALL (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 80 บาท) และเรามีมุมมองบวกมากขึ้นต่อกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (จากแนวโน้ม SSSG ที่ปรับตัวดีขึ้น) เราจึงเลือก HMPRO (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 13.50 บาท) เป็นอีกหนึ่งหุ้นเด่นเพราะ SSSG ที่เป็นบวกในปี 2025 ซึ่งน่าจะเป็นตัวเร่งเชิงบวกต่อราคาหุ้น SSSG ของกลุ่มสินค้าจำเป็นยังเป็นบวก           ใน 4Q24 CPALL, CPAXT และ BJC น่าจะยังคงมี SSSG เป็นบวกต่อไป โดยได้รับแรงหนุนจาก:           1. การแจกเงินสดจำนวน 10,000 บาท ณ สิ้นเดือนกันยายน ซึ่งส่งผลดีเล็กน้อยต่อ SSSG ในเดือนตุลาคม และ           2. สำหรับ CPAXT และ BJC การให้ความสำคัญกับอาหารสดช่วยให้ดีขึ้น SSSG ในหมวดหมู่นี้ เราสังเกตว่า SSSG สำหรับ CPALL และ BJC นั้นดีที่สุดที่ 5% ในเดือนพฤศจิกายน เทียบกับ 2% สำหรับ CPAXT และเราคิดว่านี่อาจเป็นตัวเร่งเชิงบวกต่อราคาหุ้นทั้งคู่ SSSG กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยดีขึ้น           แต่ยังเป็นลบ DOHOME เป็นหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยแห่งเดียวในการบันทึก SSSG เชิงบวกที่ 3% สำหรับทั้งเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน โดยได้รับการสนับสนุนจาก:           1. การฟื้นฟูหลังน้ำท่วม และ           2. การเบิกจ่ายอย่างต่อเนื่องของรัฐบาล สำหรับ CRC, HMPRO และ GLOBAL ยังคงเห็นว่า SSS ติดลบโดยอยู่ระหว่าง -3% ถึง 0% ในช่วงทั้งสองเดือน เราชอบ HMPRO ซึ่งมี P/E อยู่ที่ 18.7 เท่า FY25F ซึ่งถือว่าถูกที่สุดในกลุ่มค้าปลีกทั้งหมด และเราคาดการณ์การฟื้นตัวที่ 2% SSSG ในปี FY25F ทั้งนี้ HMPRO ซื้อขายที่ -2SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาว และมี ROE สูงสุดที่ 24.8% CPALL และ HMPRO เป็นหุ้นเด่น           CPALL เป็นหุ้นที่เราชื่นชอบ เนื่องจาก SSSG ที่สูงสุดในกลุ่ม และการประเมินมูลค่าที่เหมาะสมที่ 21.3x FY25F P/E รวมทั้งเป็นผู้รับผลประโยชน์ที่ดีที่สุดจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ สำหรับ HMPRO เราชอบธุรกิจที่ดีของบริษัท เนื่องจาก ROE ที่สูงที่สุด

abs

Hoonvision

HMPRO  โบรกฯเปิด 3 ปัจจัยหนุน คาดโค้งท้ายปีฟื้นตัว

HMPRO โบรกฯเปิด 3 ปัจจัยหนุน คาดโค้งท้ายปีฟื้นตัว

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน จากบทวิเคราะห์ บล.กรุงศรีฯ วิเคราะห์หุ้น HMPRO โดยมองว่าการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมดีขั้น สำหรับ Home Pro เป็นการติดลบ low-single digit.ในเดือนตุลาคมจาก -5.8% ใน Q3/67 ในกลุ่ม Mega Home ที่เป็นกลุ่มขายวัสดุก่อนสร้างราคาไม่แพง (ส่วนแบ่งรายได้ 21%) การฟื้นตัวของ SSS นั้นแข็งแกร่งขึ้นที่ +4% เทียบกับ -3.9% ใน Q3/67           แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอาจได้รับแรงสนับสนุนจาก (1) การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวซึ่งเป็นประโยชนต์ต่อเมืองท่องเที่ยว (2) อุปสงค์หลังน้ำท่วมโดยเฉพาะในภาคเหนือ และ (3) การบริโภคที่แข็งแกร่งขึ้น หลังจากการแจกเงินสด 10,000 บาทต่อคนในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายน แนวโน้ม SSS เชิงบวกอาจเป็นผลดีกับราคาหุ้น HMPRO เป็น top pick ของฝ่ายวิจัยในกลุ่มปรับปรุงบ้าน โดยคาดว่าจะฟื้นตัว SSSG ตั้งแต่ Q4/67 เป็นต้นไป และประเมินมูลค่าที่น่าสนใจที่ 18.9 เท่า P/E ปี2025F ประมาณ -2SD ของตัวคูณเฉลี่ยระยะยาว ฝ่ายวิจัยคงคำแนะนำ ซื้อ และเป้าหมาย HMPRO ที่ 13.50 บาท

คัดหุ้นปันผลสูง KTB BBL ADVANC HMPRO

คัดหุ้นปันผลสูง KTB BBL ADVANC HMPRO

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัดระบุถึง หุ้นที่จ่ายปันผลสูงและคาดได้อานิสงส์จากการเป็นเป้าหมายสะสมของกองทุนวายุภักษ์และกองทุนที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีช่วงปลายปี แนะนำหุ้นที่ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตได้ในปี 2025 เลือก KTB BBL ADVANC HMPRO

จัดพอร์ตหุ้นรับวายุภักษ์ KTB-BBL-BCP น่าสะสม

จัดพอร์ตหุ้นรับวายุภักษ์ KTB-BBL-BCP น่าสะสม

หุ้นวิชั่น- บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุว่า การลงทุนที่น่าสนใจ หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากกองทุนวายุภักษ์รอบใหม่ โดยเลือกหุ้น SET100 ที่มีคุณสมบัติ 1) จ่ายเงินปันผลดี โดยให้ Dividend Yield ขั้นต่ำปีละ 3.5% 2) มี ESG Ratings สูงตั้งแต่ระดับ A-AAA และ CG ระดับ 5 ดาว และ 3) มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตได้ในปี 2025 เลือก KTB BBL BCP ADVANC HMPRO นักลงทุนที่ต้องการหุ้นเก็งกำไรซึ่งคาดได้อานิสงส์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง แนะนำ กลุ่มเช่าซื้อ (MTC TIDLOR) กลุ่มอสังหาฯ (AP SIRI) กลุ่มค้าปลีก (CPALL) กลุ่มโรงไฟฟ้า (GULF) กลุ่ม REITs (LHHOTEL DIF) นักลงทุนที่ต้องการหุ้นเก็งกำไรซึ่งได้อานิสงส์บวกจากสถานการณ์น้ำท่วม แนะนำ HMPRO GLOBAL CPALL BJC DCC และ TASCO ซึ่งจากสถิติปีที่เกิด La Nina หากลงทุนช่วงครึ่งหลัง ก.ย. และขายต้น พ.ย. คาดหวังจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 5.0%

ดิจิทัลหมื่นบาทมาแล้ว มีหุ้นอะไรได้ประโยชน์?

ดิจิทัลหมื่นบาทมาแล้ว มีหุ้นอะไรได้ประโยชน์?

          หุ้นวิชั่น - บล. DAOL เผยคาดใช้จ่ายกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคมากสุดหลังเริ่มแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท           วานนี้ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เริ่มจ่ายเงินให้กับผู้มีสิทธิรับเงิน 10,000 บาท ตามโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล โดยมีการเริ่มทยอยโอนเงินเข้าบัญชีพร้อมเพย์และบัญชีธนาคารที่แจ้งไว้ให้กับผู้มีสิทธิ์ และจะดำเนินการต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 30 ก.ย. นี้ รวม 6 วัน จำนวน 14.5 ล้านราย หรือคิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 145,000 ล้านบาท จากการสำรวจความคิดเห็นประชาชน พบว่าประชาชนส่วนใหญ่จะนำเงินไปใช้เพื่อการบริโภคและอุปโภคในชีวิตประจำวัน อาทิ ของใช้ในบ้าน, สินค้าเพื่อการศึกษา, สินค้าเพื่อการเกษตร, สินค้าไอที โทรศัพท์มือถือ DAOL: คงน้ำหนักการลงทุนกลุ่ม Commerce เป็น "มากกว่าตลาด"           โครงการแจกเงิน 10,000 บาทจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม โดยคาดว่าจะส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ซึ่งจะช่วยหนุนและเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่ม Commerce โดยตรง เรายังมองเป็นบวกต่อกลุ่ม Commerce ว่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมได้ โดยจะเป็นประโยชน์ทางอ้อมต่อการบริโภคโดยรวมของกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งมีสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคสูง           ฝ่ายวิเคราะห์ ชอบ CPAXT (ซื้อ/เป้า 36.00 บาท), CPALL (ซื้อ/เป้า 84.00 บาท) และ CRC (ซื้อ/เป้า 40.00 บาท) ตามลำดับ จากการคาดการณ์การใช้จ่ายจะอยู่ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นหลัก           รองมาเป็นกลุ่ม Home Improvement HMPRO (ซื้อ/เป้า 15.00 บาท), GLOBAL (ถือ/เป้า 16.00 บาท) และ DOHOME (ถือ/เป้า 11.00 บาท) จากจำนวนสาขาที่มีในพื้นที่ที่มีผู้ได้รับสิทธิ์มากที่สุด ตามลำดับ หุ้นอื่นๆ ที่ได้ประโยชน์           และยังชอบกลุ่มผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคโดยตรง คือ NEO (ซื้อ/เป้า 64.00 บาท) มีสัดส่วนรายได้จากสินค้าอุปโภค 100%, OSP (ซื้อ/เป้า 28.00 บาท) มีสัดส่วนรายได้สินค้าอุปโภคที่ 9% ของรายได้รวม และ SFLEX (ซื้อ/เป้า 4.80 บาท) ได้ประโยชน์ต่อเนื่องจากยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีการใช้ flexible packaging เพิ่มขึ้น, CBG (ซื้อ/เป้า 88.00 บาท) กลุ่มเปราะบางเป็นลูกค้าหลักของเครื่องดื่มชูกำลังแบรนด์คาราบาวแดง คาดช่วยหนุนรายได้เครื่องดื่มชูกำลังในประเทศใน 4Q24E โตต่อ YoY, QoQ

พฤอา
311234567891011121314151617181920212223242526272829301234567891011