#HANA


วิเคราะห์ผู้เล่นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์: HANA [HoonVision x FynCorp]

วิเคราะห์ผู้เล่นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์: HANA [HoonVision x FynCorp]

เซมิคอนดักเตอร์ในไทย เริ่มก้าวสู่อุตสาหกรรมต้นน้ำ           หากพูดถึงอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนสำคัญในอุปกรณ์ คงหนีไม่พ้น เซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นแผงวงจรควบคุมและประมวลผลข้อมูลในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เกือบทุกชนิด ปัจจุบัน อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โดยเฉพาะการผลิตชิป ถือเป็นอุตสาหกรรมสำคัญของโลกที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยมูลค่าตลาดที่ถูกคาดว่าจะสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2573 ตามความต้องการใช้ AI, Data Center, IoT, EV, เครื่องมือแพทย์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งต้องใช้หน่วยประมวลผลที่ทำจากเซมิคอนดักเตอร์เป็นส่วนประกอบหลัก           หากดูจากห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญในส่วนกลางน้ำ (Midstream) และปลายน้ำ (Downstream) ซึ่งจะเป็นขั้นตอนการผลิตชิ้นส่วนประกอบ (components) และผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป (finished goods) เช่น การประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ (OSAT) การผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) โดยในปี 2566 BOI รายงาน ไทยมียอดส่งออกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 2.5 ล้านล้านบาท หรือ 25% ของการส่งออกทั้งหมด โดยเป็นมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์ เช่น วงจรรวม (IC) เซมิคอนดักเตอร์ไดโอด และอุปกรณ์ต่างๆ มูลค่า 5.1 แสนล้านบาท           นอกจากนี้ การขอรับส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นอย่างมากในไทยช่วง 2 ปีมานี้ โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา จีน ยุโรป ไต้หวัน และญี่ป่น จนในปี 2567 รัฐบาลได้ประกาศ นโยบายสส่งเสริมให้ไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงแห่งชาติ (บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์) ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มที่สำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในประเทศ           บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์ ตั้งเป้าดึงเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท ในระยะเวลา 5 ปี (2568-2572) เพื่อยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางการผลิตเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงในภูมิภาค ซึ่งในเดือนธันวาคม 2567 บริษัท ยูนิค อินทิเกรตเต็ด เทคโนโลยี ผู้ผลิตอุปกรณ์และโมดูลสำหรับเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ระดับต้นน้ำ ภายใต้กลุ่ม Foxsemicon Integrated Technology Inc. (FITI) ในเครือของ Foxconn เข้ามาตั้งฐานการผลิตแห่งที่ 4 ของโลกในไทย ด้วยเงินลงทุนในเฟสแรก 10,500 ล้านบาท โดยตั้งโรงงาน 2 แห่งที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี และนิคมอมตะซิตี้ ระยอง ซึ่งบริษัทมีโรงงานอยู่ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา           ดังนั้น การที่ FITI เข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทย จะเป็นขั้นตอนที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูงสุดในห่วงโซ่อุปทาน เช่น การออกแบบวงจรรวม (IC Design) และการผลิตแผ่นเวเฟอร์ (Wafer Fabrication) และจะเป็นโอกาสในการสร้างพันธมิตรที่ดีของผู้เล่นอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในไทยได้ อีกทั้ง ในปี 2567 นี้ ผู้เล่นในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อย่าง HANA ได้มีแผนร่วมทุนสร้างโรงงานผลิตชิป (Wafer Fabrication) แห่งแรกในไทย ซึ่งทั้งหมดนี้ ถือเป็นจุดสำคัญที่ไทยจะเริ่มเข้าสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับต้นน้ำ HANA: 1 ใน 50 บริษัทรับจ้างผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของโลก           บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) (HANA) ซึ่งบริษัทแม่ได้ก่อตั้งขึ้นในปี 2521 และได้เข้าจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2536 บริษัทและบริษัทย่อยให้บริการผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร (Electronics Manufacturing Service: EMS) แก่ลูกค้า (Original Equipment Manufacturer: OEM) ผ่านฐานการผลิตรวมทั้งสิ้น 7 แห่ง ตั้งอยู่ที่ประเทศไทย จีน สหรัฐอเมริกา กัมพูชา และเกาหลี ซึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักของ HANA แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ การผลิตและประกอบแผงวงจร “PCBA” การผลิตและประกอบและทดสอบวงจร “IC” และการผลิตและประกอบ RFID และ Liquid Crystal on Silicon “LCOS”           1) ผลิตภัณฑ์ประเภทแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCBA) - Printed Circuit Board Assembly Source: 56-1 One Report 2566           PCBA เป็นการประกอบแผงวงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ลงบนแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ที่เป็นฐานสำหรับยึดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเชื่อมต่อวงจรให้แผ่นวงจรไฟฟ้าให้สามารถทำงานได้ โดย HANA มีโรงงานผลิต PCBA 3 แห่ง อยู่ที่จังหวัดลำพูน ประเทศไทย ที่เมืองเจียซิง ประเทศจีน และจังหวัดเกาะกง ประเทศกัมพูชา 2) ผลิตและทดสอบการทำงานของผลิตภัณฑ์แผงวงจรไฟฟ้ารวม (IC Assembly) Source: 56-1 One Report 2566           แผงวงจรไฟฟ้ารวม (IC) คือ สารกึ่งตัวนำที่ประกอบด้วยส่วนประกอบวงจร เช่น ตัวต้านทาน (Resistor) ตัวเก็บประจุตัวเหนี่ยวนำ ทรานซิสเตอร์ ไดโอด เป็นต้น ซึ่งเชื่อมต่อด้วยสายไฟวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับการพัฒนาขนาดที่เล็กลง โดยโรงงานประกอบ IC ของบริษัทมี 3 แห่ง ได้แก่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเทศไทย เมืองเจียซิง ประเทศจีน และที่จังหวัดชุงชองบุกโด ประเทศเกาหลีใต้ 3) การผลิตและประกอบ RFID Source: 56-1 One Report 2566           RFID หรือ Radio Frequency Identification คือ อุปกรณ์แสดงตำแหน่งหรือระบุตัวตน ด้วยการอ่านรหัสคลื่นวิทยุ ใช้สำหรับรับส่งข้อมูลอย่างรวดเร็วแบบไร้สาย ส่วน Microdisplay เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการเปลี่ยนสัญญาณทางไฟฟ้าเป็นสัญญาณภาพที่มีความละเอียดสูง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ LCoS (Liquid Crystal on Silicon) อุปกรณ์ MEMS หรือ HTP (High-Temperature Polysilicon) ซึ่งใช้เป็นชิ้นส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ เช่น แว่นตาแสดงภาพเหมือน (Virtual and Augmented Reality Goggles) เครื่องฉายภาพ (Multimedia Projector) เป็นต้น โดยโรงงานผลิตตั้งอยู่ที่ เมืองทวินส์เบิร์กและโซลอน รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา โครงสร้างรายได้           บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์ PCBA เป็นหลัก คิดเป็น 61% ของรายได้จากการขายทั้งหมดในปี 2566 ตามมาด้วยผลิตภัณฑ์ IC Assembly หรือ 33% ส่วน RFID & Microdisplay มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 6% ซึ่งแบ่งรายได้ตามประเทศที่ตั้งหน่วยการผลิตได้ตามรูปด้านล่าง Source: 56-1 One Report 2566 สภาพตลาดและการแข่งขัน           HANA ถือว่าเป็น 1 ใน 50 บริษัทรับจ้างผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของโลก ซึ่งมีเพียงไม่กี่ผู้เล่นในไทยที่ทำธุรกิจเช่นนี้ แต่ถ้าดูผู้เล่นในไทยที่ผลิต PCBA จะเป็น SMT, Benchmark, Fabrinet และ SVI ส่วนคู่แข่งในด้าน IC Assembly ได้แก่ UTAC และ SMT ขณะที่ผู้เล่นรายใหญ่นอกประเทศที่ให้บริการผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร อย่างเช่น IMI, Flextronics, Solectron, Plexus และ Pemstar นี้ บริษัทหลีกเลี่ยงที่จะแข่งขันโดยตรง โดยเน้นการรับจ้างผลิตและประกอบชิ้นส่วนผลิตภัณฑ์ประเภทไมโครอิเล็กทรอนิกส์ การร่วมทุนกับกลุ่ม ปตท. ลงทุนสร้างโรงงานผลิตชิปแห่งแรกในไทยภายใน 2 ปี ยังอยู่ระหว่างประเมินสถานการณ์           บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ และกลุ่ม ปตท. มีแผนร่วมทุนสร้างโรงงานผลิตชิปชนิดซิลิคอนคาร์ไบด์ (SiC) แห่งแรกของไทย (Wafer Fabrication) ภายใต้ บริษัท เอฟทีวัน คอร์เปอเรชั่น จำกัด (FT1) ภายหลังที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมจาก BOI ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 และออกบัตรส่งเสริมในเดือนสิงหาคม 2567 โดยโรงงานจะถูกก่อสร้างในพื้นที่สวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ จังหวัดลำพูน ด้วยระยะเวลาก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักร 2 ปีโดยประมาณ และคาดว่าจะเริ่มผลิตในช่วงไตรมาสแรก ปี 2570 Source: 56-1 One Report 2566           บริษัท เอฟทีวัน คอร์เปอเรชั่น จำกัด มีแผนลงทุนกว่า 11,500 ล้านบาท เพื่อจัดตั้งโรงงานผลิตชิปต้นน้ำแห่งแรกในประเทศไทย เป็นชิป (Wafer) ชนิดซิลิคอนคาร์ไบด์ (SiC) เป็นวัตถุดิบชนิดใหม่ มีคุณสมบัติแตกต่างจากชิปทั่วไปที่ผลิตจากซิลิคอน ตรงที่มีความสามารถทนไฟขั้นสูงสามารถแปลงแรงดันไฟฟ้ากำลังสูง เหมาะกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้งานในวงกว้างตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้าระดับไฮเอนด์ เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ในครัวเรือน อุปกรณ์ Cloud Computing อินเวอร์เตอร์ไฟฟ้า EV/OBC รวมทั้งในอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน ซึ่งทำให้ SiC มีความยากในการผลิตและต้นทุนสูง           อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ความต้องการในอุตสาหกรรม (FT1 Business Demand) ที่ชะลอตัวลงในปัจจุบัน ทำให้บริษัทยังคงจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิดจนกว่าจะถึงช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 ถึงความเหมาะสมที่จะตัดสินใจลงทุน ระยะเวลาเริ่ม รวมถึงมูลค่าเงินที่จะลงทุนในโครงการ Risk Factors ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจโลก เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ราคาขายและอุปสงค์ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจในตลาดโลกที่เกิดขึ้นจากปัจจัยต่างๆ เช่น สงครามการค้า ภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย สภาพเศรษฐกิจที่คาดว่าจะถดถอยและปัญหาพลังงาน           อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านนี้ โดยการรักษาฐานลูกค้าและกระจายการผลิตสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเพื่อลดผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก และจากนโยบายการค้าของสหรัฐที่ทำให้เกิดความเสียเปรียบทางธุรกิจสำหรับโรงงานผลิตในจีน บริษัทจึงปรับกลยุทธ์โดยมุ่งเน้นลูกค้าในจีนเป็นหลัก ทั้งนี้ สงครามการค้าอาจสร้างโอกาสทางธุรกิจให้โรงงานในประเทศที่เหลือของบริษัท ความเสี่ยงของระบบห่วงโซ่อุปทาน ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิตสามารถเกิดขึ้นได้อีกโดยเฉพาะจากปัจจัยความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงอยู่ ขณะที่ห่วงโซ่อุปทานโลกมีความซับซ้อนและบูรณาการมากขึ้น ทำให้บริษัทมีการประสานงานและทำงานอย่างใกล้ชิดกับซัพพลายเออร์ในส่วนวัตถุดิบและชิ้นส่วนหลักในการผลิตซึ่งส่วนใหญ่เป็นคู่ค้าที่เป็นพันธมิตร ความเสี่ยงของฐานลูกค้ารายใหญ่ ถือเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงหลักที่กลุ่มฐานลูกค้ารายใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีสาระสำคัญ เช่น การเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ การเปลี่ยนเจ้าของกิจการหรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบผลิตภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการกระจายความเสี่ยงโดยมีสัดส่วนสินค้าที่ผลิต กระจายตัวอยู่ในตลาดที่หลากหลายในอุตสาหกรรมและมีสัดส่วนการกระจายการพึ่งพิงลูกค้ารายใหญ่ด้วยการขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มขึ้น โดยลูกค้ารายใหญ่ที่สุดมียอดขายไม่เกินร้อยละ 20 ของยอดขายกลุ่มบริษัท หุ้น HANA           หุ้น HANA มี Market Cap อยู่ที่ 21,514.41 ล้านบาท (อิงข้อมูล ณ วันที่ 19 ธันวาคม 67) หรือเป็นอันดับที่ 4 ให้หุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (ETRON) โดยผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกปี 2567 ยังคงได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นส่งผลต่อต้นทุนเพิ่ม ทำให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานลดลง รวมถึงการตั้งด้อยค่าสินค้าคงคลัง ขณะที่ความต้องการใน SiC ยังคงอ่อนตัวลงและราคาลดลงจากการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ชะลอตัว รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับภาษี EV ที่กระทบต่อการผลิตที่ตลาดจีน           อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 3 ปี 2567 หน่วยงานพาวเวอร์ มาสเตอร์ เซมิคอนดักเตอร์ในเกาหลีใต้ (PMS) และหน่วยงานฮานา เทคโนโลยี (HTI) ในสหรัฐอเมริกามียอดขายเพิ่มขึ้น 40% YoY และ 20% YoY ตามลำดับ Unit: THB Million           ในด้านเงินปันผล บริษัทมีนโยบายการจ่ายปันผลตั้งแต่ 30% ของกำไรสุทธิของงบการเงินรวมหลังหักเงินสำรองต่างๆทุกประเภท ซึ่งจะขึ้นอยู่กับการลงทุนและกระแสเงินสด โดยล่าสุด (13 ธันวาคม 67) บริษัทได้จ่ายปันผลเป็นเงินสด 0.25 บาทต่อหุ้น (DPS) ซึ่งมูลค่าที่ลดลงอาจเกิดจากการวางแผนเก็บเงินสดไว้ลงทุน อย่างเช่นการสร้างโรงงาน หรือเน้นการเติบโตในระยะยาวมากกว่า รายละเอียดเพิ่มเติม ที่ https://app.visible.vc/shared-update/8ebd9f84-5a2d-47c2-a2c5-068bd4084898

HANA ไตรมาส3/67 มีกำไรที่ 406 ล้านบาท พร้อมอนุมัติปันผล0.25บาทต่อหุ้น

HANA ไตรมาส3/67 มีกำไรที่ 406 ล้านบาท พร้อมอนุมัติปันผล0.25บาทต่อหุ้น

          บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA รายได้จากการขายของกลุ่มบริษัทฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส์ ลดลงร้อยละ 7 เมื่อเทียบปีต่อปี อยู่ที่ 6,100 ล้านบาทในไตรมาส 3/67 จาก 6,555 ล้านบาทในไตรมาส 3/66 รายได้จากการขายในรูปสกุลเงินเหรียญสหรัฐในไตรมาส 3/67 ลดลงร้อยละ 6 อยู่ที่ 175 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก 186 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาส 3/66           กำไรจากการดำเนินงานในไตรมาส 3/67 ลดลงร้อยละ 97 อยู่ที่ 21 ล้านบาท จาก 698 ล้านบาทในไตรมาส 3/66 ในไตรมาส 3/67 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 406 ล้านบาท ลดลงจาก 734 ล้านบาทในไตรมาส 3/66 เนื่องจากยอดขายลดลงในไตรมาส 3/67 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/66 รวมถึงการปรับมูลค่าสินค้าคงคลังของหน่วยงานในประเทศไทยจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น อีกทั้งอัตรากำไรขั้นต้นลดลง และการเพิ่มกำลังการผลิตของหน่วยงาน IC ที่ประเทศเกาหลีใต้ การแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้า ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อฐานะการเงินและผลการดำเนินงาน           ปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ ได้แก่ การรักษาลูกค้า, การได้ลูกค้าใหม่, การด้อยค่าของราคาสินค้า (Erosion), ความสำเร็จของการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของลูกค้าในตลาดที่เกี่ยวข้องและวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์, การผลิตสินค้าให้เป็นไปตามข้อกำหนดและการส่งมอบตามกำหนดให้กับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ, การเรียกคืนสินค้า, ความเสี่ยงในการรับผิดอันเกิดจากผลิตภัณฑ์, ราคาวัตถุดิบของซัพพลายเออร์และการจัดหาวัตถุดิบอย่างสม่ำเสมอตามข้อตกลง, ความสามารถในการชำระหนี้ของซัพพลายเออร์, ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของบริษัทฯ และบริษัทย่อย           การเปรียบเทียบระหว่างสกุลเงินการขายผลิตภัณฑ์ ซึ่งหลัก ๆ เป็นสกุลเงินเหรียญสหรัฐ กับการจัดซื้อมูลค่าวัตถุดิบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสกุลเงินเหรียญสหรัฐ และสกุลเงินของแต่ละประเทศที่บริษัทตั้งอยู่, ค่าจ้างและเงินเดือนที่เพิ่มขึ้น, ตลาดแรงงาน, อัตราการลาออก และแรงงานฝีมือ, ความเสี่ยงด้านเครดิต, สภาวะตลาด, สภาพคล่องทางการเงินและเงินทุน, การประกันภัย, การปฏิบัติตามกฎระเบียบ, กลยุทธ์, ชื่อเสียง, กฎหมายและระเบียบข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อม, ความสามารถในการแข่งขัน และความเสี่ยงด้านระบบของบริษัทฯ ความสำเร็จของบริษัทฯ • การดำเนินการควบรวมกิจการ การเข้าซื้อกิจการ และความเสี่ยงด้านปฏิบัติการที่ตามมา • การพัฒนาและทำการตลาดในผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และกระบวนการผลิต • การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ           เสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาคของประเทศที่บริษัทฯ ลูกค้าของบริษัทฯ หรือซัพพลายเออร์ดำเนินธุรกิจอยู่, เสถียรภาพทางการเงินของโลกที่อาจกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของบริษัทฯ ลูกค้าของบริษัทฯ และซัพพลายเออร์ ความเสี่ยงจากโรคระบาด           เช่น โรคโควิด-19 ที่อาจเกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อความต้องการของลูกค้าและห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก พร้อมคณะกรรมการบริษัทมีการอนุมัติเงินปันผลอัตราการจ่ายปันผลเป็นเงินสด 0.25 (บาทต่อหุ้น) : กำหนด วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) : 28 พ.ย. 2567 และกำหนดวันที่จ่ายปันผล : 13 ธ.ค. 2567

INSET พร้อมเติบโตตามอุตสาหกรรม Data Center

INSET พร้อมเติบโตตามอุตสาหกรรม Data Center

          หุ้นวิชั่น - INSET พร้อมเติบโตตามการขยายตัวของอุตสาหกรรม Data Center โดยในอีก 4-5 ปีข้างหน้า เราคาดว่าอุตสาหกรรมนี้จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด สอดคล้องกับการเติบโตของธุรกิจดิจิทัลและ AI ที่มีบทบาทสำคัญในทุกภาคส่วน ซึ่งจะเปิดโอกาสให้บริษัทรับงานก่อสร้าง Data Center มากขึ้น คาดว่าจะเริ่มเห็นการประมูลโครงการตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป แต่การรับรู้รายได้จะเกิดขึ้นในปี 2569           นายศักดิ์บวร พุกกะณะสุต กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินฟราเซท จำกัด (มหาชน) หรือ INSET เปิดเผยกับ หุ้นวิชั่น ว่า อุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทยยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยล่าสุด Google ได้ประกาศแผนการลงทุนมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 35,000 ล้านบาท ในประเทศไทยระหว่างปี 2568-2572 เพื่อสร้าง Data Center และ Cloud Region แห่งใหม่ ซึ่งเป็นการลงทุนสำคัญที่ช่วยผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้           การลงทุนนี้ไม่เพียงแต่จะยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีในประเทศ แต่ยังเปิดโอกาสให้ประเทศไทยรองรับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจดิจิทัลขั้นสูง เช่น 5G, ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI), คลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud), Internet of Things (IoT) และ Smart City           นอกจากนี้ การสร้าง Data Center และ Cloud Region ของ Google ยังช่วยดึงดูดผู้ประกอบการด้านบริการข้อมูลระดับโลกเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น เนื่องจากประเทศมีความโดดเด่นในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน อัตราค่าไฟฟ้าที่แข่งขันได้ และการใช้พลังงานสะอาด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดการลงทุนของผู้ประกอบการยุคใหม่           สำหรับ INSET ซึ่งให้บริการก่อสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Center) บริษัทมีความเชี่ยวชาญในด้านการออกแบบและก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ Data Center ที่รองรับ Big Data, เทคโนโลยี 5G, Cloud Computing และระบบ AI การขยายตัวของผู้ให้บริการดิจิทัลและคลาวด์ในระดับโลกทำให้เกิดความต้องการ Data Center ที่มีประสิทธิภาพสูงและมีเสถียรภาพ ซึ่ง INSET สามารถตอบโจทย์นี้ได้           ด้วยความพร้อมของบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในโครงการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล INSET อยู่ในตำแหน่งที่ดีในการเข้าร่วมประมูลงานก่อสร้าง Data Center ทั้งจาก Google และผู้ให้บริการเทคโนโลยีรายใหญ่อื่นๆ บริษัทคาดว่าจะเข้าร่วมการประมูลงานตั้งแต่ปลายปีนี้ไปจนถึงปีหน้า มูลค่ารวมกว่า 2,000 ล้านบาท สอดคล้องกับการเติบโตของอุตสาหกรรม โดยคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการเหล่านี้ในปี 2569           อนึ่ง INSET เป็นผู้ให้บริการก่อสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Center) และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ, ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและโครงข่ายโทรคมนาคม และธุรกิจซ่อมบำรุงและให้บริการในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม ส่วนความเห็นนักวิเคราะห์           กระแสเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่าง Cloud, AI และในอนาคตในส่วนระบบ Automation แม้ไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศต้นน้ำที่ได้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาโดยตรง แต่กระแสหลักนี้จะสร้างโอกาสให้ไทยในช่วง 4-5 ปีนับจากนี้ ด้วยศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านเทคโนโลยี กล่าวคือ Data Center ในไทยมีจุดเด่นจากพื้นที่ตั้งเป็นศูนย์กลางภูมิภาค ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ 4G, 5G ที่ครอบคลุม ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติต่ำ และกระแสไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและมั่นคง ทำให้ไทยเป็นจุดสนใจจากการขยาย Data Center จากสิงคโปร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางเดิมที่เริ่มมีข้อจำกัด           จากการรวบรวมตัวเลขโดย KSS ในส่วนเม็ดเงินลงทุน Data Center ที่มีโอกาสเกิดขึ้นในประเทศหลักๆ เราประเมินว่าปัจจุบันมีเม็ดเงินมหาศาลรอลงทุน Data Center ในไทยช่วง 4-5 ปีจากนี้ ไม่น้อยกว่า 200,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงราว 1.1% ของมูลค่า GDP ประเทศไทยในปัจจุบัน โดยหากทยอยลงทุนในช่วง 4-5 ปี จะส่งผลบวกต่อ GDP ราว 0.2-0.25% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมประโยชน์ด้านดิจิทัลอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นอีกมากมายต่อประเทศ ถือเป็นหนึ่งใน S-Curve ใหม่ของไทย และเป็น Upside ของเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาว ซึ่งเชื่อว่าตลาดยังแทบไม่รวมในประมาณการ GDP มุมมองเชิงกลยุทธ์           ประเมินว่า Upside จากแรงขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มีจุดเด่นสำคัญ คือ ปริมาณข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจะเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) ซึ่งน่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจสูงกว่าที่ตลาดคาดคิดไว้ และเป็น Thematic Theme ระยะกลาง-ยาว 1-5 ปี KSS มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่อยู่ในระบบนิเวศของ Data Center โดยฝั่ง Data Center เราแนะนำผู้ได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานที่ขยายตัวโดยตรง อาทิ GULF, INTUCH, ADVANC, TRUE, INSET, DELTA, STPI (Non-Coverage)           กลุ่ม Digital Tech ที่ Data Center จะนำมาสู่ Upside งานประเภท Cloud Adoption และ AI รวมถึง Automation Adoption ระยะยาวที่จะหนุนอุตสาหกรรมเข้าสู่รอบใหญ่ของการขยายตัวอีกครั้ง อาทิ BE8, BBIK           ส่วนกระแส Cycle เทคโนโลยี AI ที่ผลักดันอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ พัฒนาให้มี AI พื้นฐานติดเครื่องมากขึ้น จะสร้างโอกาสฟื้นตัวจากรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ตามกระแส AI ซึ่งเราคาดไม่ต่างจากยุค 3G, 4G ที่เคยหนุนหุ้นที่ได้ประโยชน์ อาทิ HANA, ADVICE (Non-Coverage), SYNEX (Non-Coverage) Best Picks: GULF, TRUE, DELTA, INSET, BE8, HANA, ADVICE ที่มา : บล.กรุงศรี