#GPSC


GPSC คว้าผู้ผลิต-ขายไฟฟ้า FiT ปี 2565-73 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง

GPSC คว้าผู้ผลิต-ขายไฟฟ้า FiT ปี 2565-73 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง

          หุ้นวิชั่น - นางพรรณพร ศาสนนันทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน  บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) หรือ GPSC แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่าบริษัทย่อยของบริษัทฯ ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ผลิตและขายไฟฟ้าตามโครงการการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565 – 2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ. 2565 (เพิ่มเติม) พ.ศ. 2567 ประเภท พลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน รวมคิดเป็นกำลังการผลิตเสนอขายจำนวน 192.88 เมกะวัตต์ หรือมีกำลังการผลิตคิดตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทฯ เป็นจำนวน 97.19 เมกะวัตต์ โดยมีกำหนดวันจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) รายละเอียดดังนี้: ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นไปตามแผนการขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนของกลุ่มบริษัทฯ และได้มีส่วนร่วมสนับสนุนการดำเนินการโครงการตามแผนพลังงานหมุนเวียนของประเทศ เพื่อบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ได้ตามเป้าหมาย

GPSC คว้า 4 โครงการ รวม 193 MW โดย กกพ. เพิ่มพอร์ตพลังงานหมุนเวียน

GPSC คว้า 4 โครงการ รวม 193 MW โดย กกพ. เพิ่มพอร์ตพลังงานหมุนเวียน

         หุ้นวิชั่น - GPSC ผ่านการคัดเลือกโดย กกพ. เป็นผู้พัฒนาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ FiT ของผู้ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน 4  โครงการโดยเป็นกำลังการผลิตกว่า 193 เมกะวัตต์  จากโครงการร่วมทุน เฮลิออส 1 เฮลิออส 2  เฮลิออส 4 และไออาร์พีซี คลีน พาวเวอร์ หนุนเพิ่มพอร์ตพลังงานหมุนเวียนในประเทศ ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเข้าระบบ รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เดินหน้าสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศ นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. เปิดเผยว่า GPSC ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในการประกาศผลการคัดเลือกการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed -in Tariff (FiT) ปี 2565 -2573 จำนวน 4 โครงการ โดยมีกำลังการผลิตรวมประมาณ 193 เมกะวัตต์ ซึ่งอยู่ในกลุ่มของผู้ผลิตพลังงานพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน โดยมีผู้ที่ได้รับการคัดเลือกทั้งสิ้น จำนวน 64 ราย รวม 1,580 เมกะวัตต์ ที่กำหนดให้มีการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (SCOD) ตั้งแต่ปี 2569-2573 สำหรับโครงการที่ได้รับการคัดเลือก จาก กกพ. ประกอบด้วย บริษัท เฮลิออส 1 จำกัด (Helios 1) กำลังการผลิต 48.6  เมกะวัตต์, บริษัท เฮลิออส 2  จำกัด (Helios 2) กำลังการผลิต  61.4 เมกะวัตต์ บริษัท เฮลิออส 4 จำกัด (Helios 4) กำลังการผลิต 8 เมกะวัตต์ ซึ่ง GPSC ถือหุ้นร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจในสัดส่วน 50% และบริษัทร่วมทุนระหว่าง GPSC และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ภายใต้บริษัท ไออาร์พีซี คลีน พาวเวอร์ จำกัด (IRPC-CP) โดย GPSC ถือหุ้นสัดส่วน 51% กำลังการผลิต 74.88 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ Helios 1 และ Helios 2 มีกำหนด SCOD ในปี 2569 และ Helios 4 และ IRPC-CP มีกำหนด SCOD ในปี 2571 นับเป็นความสำเร็จของการเพิ่มโอกาสในการลงทุนพลังงานหมุนเวียนในประเทศ ที่ GPSC ได้เข้าไปมีส่วนเสริมสร้างเสถียรภาพการจัดหาและพัฒนาพลังงานของประเทศตามนโยบายของรัฐบาล ที่มีแนวทางการขับเคลื่อนในการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน ตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 – 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP2018 Rev.1) สำหรับโครงการที่ GPSC ได้รับการคัดเลือก เป็นผู้พัฒนาโครงการในครั้งนี้ จัดอยู่ในกลุ่มที่ 1 โดยแต่ละโครงการจะต้องยอมรับเงื่อนไขการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายใน​ 14​ วัน​ นับถัดจากวันที่ประกาศผลการคัดเลือก​ อย่างไรก็ดี จากการได้รับการคัดเลือกในครั้งนี้ เป็นไปตามแผนกลยุทธ์ของธุรกิจ GPSC ที่มีเป้าหมาย ในการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเกินกว่า 50% ของกำลังการผลิตในปี 2573 ซึ่ง GPSC เป็นบริษัทด้านนวัตกรรมพลังงานที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาพลังงานสะอาดที่หลากหลาย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้บริษัทฯ มีความพร้อมในการจัดหาพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  และมีส่วนในการสนับสนุนให้ประเทศไทยมีพลังงานสะอาด เพื่อรองรับการลงทุนและการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ เพื่อให้ไทยสามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)” [PR News]

เปิดโผหุ้นเด่น น่าสะสม 1 ปี ขึ้นไป มองปีหน้ากำไรเติบโตต่อ

เปิดโผหุ้นเด่น น่าสะสม 1 ปี ขึ้นไป มองปีหน้ากำไรเติบโตต่อ

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.เอเชียพลัส สำรวจหุ้น พบว่า หลังโควิดถึงปัจจุบัน การลงทุนในตลาดหุ้นไทยยากขึ้น ถูกกดดันจากเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตช้า และต่ำคาด, การเมืองไม่นิ่ง, FUND FLOW ชะลอไหลเข้า กดดันให้ ในปี 2022, 2023, 2024YTD มีสัดส่วนจำนวนหุ้นทั้งหมดในดัชนี SET และ MAI ที่ให้ผลตอบแทนรายปีเป็นบวกน้อยกว่าครึ่ง หรือเพียง 31%, 14%, 26% ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่า ตลาดมีจำนวนหุ้นบวกรายปีต่ำ ทำให้การลงทุนต้อง พิถีพิถัน และเน้น SELECTIVE BUY มากขึ้น ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ ทำการศึกษา และค้นหาหุ้นที่คาดว่าจะเอาชนะตลาด และน่าสะสม สะสมระยะ 1 ปีขึ้นไป ด้วยเงื่อนไขต่างๆ ดังนี้ เลือกหุ้นที่มี SAFETY MARGIN สูง โดยปกติตลาดหุ้นและหุ้นมักจะไม่ลบ ติดต่อกัน 2 ปี ทำให้หุ้นที่ย่อตัวลงมาในปีนี้ ช่วยลด DOWNSIDE RISK ลงไป ระดับหนึ่งแล้ว เลือกหุ้นที่กำไรปีหน้ามีโอกาสเติบโตเด่น โดยสังเกตได้จากหุ้นที่ขึ้นแรง อันดับต้นๆใน SET100 ในแต่ละปี มักเป็นหุ้นที่กำไรปีนั้นเติบโตเด่นมาก ดังนั้น ฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการค้นหา กลุ่มหุ้นที่ราคาย่อตัวลงมาเยอะ แต่กำไรมี โอกาสเติบโตเด่นในปี 2568 อาทิ PETRO, CONS, MEDIA, TOURISM, CONMAT, ENERG, PKG, FIN และเลือกหุ้นเด่นน่าลงทุนจากในกลุ่มนี้ ได้ผลลัพธ์ หุ้นเด่นน่าเข้าสะสมหวังผลในระยะ 1 ปีขึ้นไป คือ SCC, SCGP, MINT, GPSC, CK เป็นต้น นอกจากนี้  ฝ่ายวิจัยฯ ยังค้นหาจุดน่าเข้าสะสมที่เหมาะสมที่สุดรายบริษัท จากการหา OPTIMIZATION  ในกรอบการซื้อขาย ผ่านตัวชี้วัดทางเทคนิค อย่าง RSI โดยการ ทดสอบย้อนหลังในระยะเวลา 4 ปี ที่ผ่านมา ผลลัพธ์จะได้ช่วงซื้อ (RSI กรอบล่าง) และช่วงขาย (RSI กรอบบน) ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีสุดสำหรับหุ้นตัวนั้นๆ

GPSC ไตรมาส 3/2567 กำไร 770ล้านบาท

GPSC ไตรมาส 3/2567 กำไร 770ล้านบาท

            หุ้นวิชั่น - GPSC เผยกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ 770 ล้านบาท ลดลง 657 ล้านบาทจากไตรมาสก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่สูงขึ้นและการหยุดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า IPP โกลว์ ไอพีพี ขณะเดียวกันผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งและการปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าในอนาคตอาจส่งผลต่อการดำเนินงานของบริษัท             สำหรับผลประกอบการของบริษทฯ ในไตรมาสท 3 ปี 2567 กำไรสุทธิของบริษัทฯ จำนวน 770 ล้านบาท ลดลง 657 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ปี 2567 สาเหตุหลักมาจากกำไรขั้นต้นที่ลดลงเนื่องจากโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) มีต้นทุนของก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นและปริมาณการขายของ กฟผ. ลดลง แต่ปริมาณความต้องการไฟฟ้าของลูกค้าอุตสาหกรรมโดยรวมยังคงอยู่ในระดับที่สูงขึ้น ประกอบกับโรงไฟฟ้าผู้ผลิตอิสระ (IPP) ได้แก่ โรงไฟฟ้าโกลว์ ไอพีพี หยุดซ่อมบำรุงตามแผนจำนวน 13 วันในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 และในไตรมาสที่ 3 การเรียกรับไฟฟ้าจาก กฟผ. ลดลง โรงไฟฟ้าห้วยเหาะมีรายได้ค่าพลังงานไฟฟ้า (EP) ลดลงจากปริมาณการผลิตไฟฟ้าที่ลดลงตามการเรียกรับไฟฟ้าที่ลดลงของ กฟผ. สำหรับไตรมาสนี้ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อน แต่ปริมาณการผลิตไฟฟ้าทั้งปียังคงเป็นไปตามแผน             ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าเพิ่มขึ้นเนื่องจาก XPCL มีผลประกอบการดีขึ้นจากปริมาณการผลิตไฟฟ้าที่สูงขึ้นตามปริมาณน้ำที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นตามฤดูกาล แม้จะมีการหยุดการผลิต 17 วัน ในขณะที่นูออโว พลัส (NUOVOPLUS) มีการบันทึกผลขาดทุนจากการขายทรัพย์สินโรงงานแบตเตอรี่ในเดือนสิงหาคม แม้ว่ามีกำไรจากบริษัทร่วมทุน NV Gotion และ AEPL มีผลประกอบการลดลงตามปริมาณการผลิตไฟฟ้าที่ลดลงตามค่าความเข้มแสงที่ลดลงตามฤดูกาล ในไตรมาสที่ 3 บริษัทฯ มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 258 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเกิดจากการบันทึกปรับมูลค่าลูกหนี้ตามสัญญาเช่าทางการเงินสกุลเงินต่างประเทศของโรงไฟฟ้าศรีราชาและโรงไฟฟ้าโกลว์ ไอพีพี ภาษีเงินได้เพิ่มขึ้น 180 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาส 2 ปี 2567 มีการปรับปรุงค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ของปี 2566 (298 ล้านบาท) ในขณะที่ในไตรมาส 3 ปี 2567 มีการรับรู้ภาษีตามผลประกอบการของบริษัท ต้นทุนทางการเงินลดลง 104 ล้านบาทจากการชำระคืนเงินกู้ 16,100 ล้านบาทเมื่อเดือนกรกฎาคม 2567             ทั้งนี้ ในส่วนของฐานะการเงิน ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 280,342 ล้านบาท หนี้สินรวม 163,396 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ย 126,709 ล้านบาท และบริษัทฯ มีส่วนของผู้ถือหุ้น 116,946 ล้านบาท ทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 0.88 เท่า ซึ่งเป็นไปตามนโยบายทางการเงิน ปัจจัยที่อาจมีผลต่อการดำเนินงานหรือการเติบโตในอนาคต ความต้องการใช้ไฟฟ้าภายในประเทศ             บนสมมุติฐานค่าเฉลี่ยความยืดหยุ่นของปริมาณการใช้ไฟฟ้าต่อการเปลี่ยนแปลงของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศอยู่ที่ประมาณ 0.9 เท่า และการประมาณการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่ร้อยละ 2.9 ในปี 2568 โดยการคาดการณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ประมาณการความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 2.6 ในปี 2568 โดยการใช้ไฟฟ้าในประเทศที่สูงขึ้นจะมีผลต่อการเรียกเดินเครื่องโรงไฟฟ้าโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และรวมถึงปริมาณการใช้ไฟฟ้าของลูกค้าอุตสาหกรรม หากการขยายตัวทางเศรษฐกิจภายในประเทศสูงขึ้นต่อเนื่อง ต้นทุนเชื้อเพลิงนำเข้า             โดยเฉพาะ LNG ที่มีการปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางปี 2567 อาจส่งผลต่อต้นทุนการผลิตไฟฟ้า และทำให้ต้องมีการปรับค่า Ft เพิ่มสูงขึ้นในปี 2568 เนื่องจากปัจจุบัน กฟผ. มีหนี้ค่าจัดซื้อไฟฟ้าและค่าเชื้อเพลิงคงค้าง (AF) ประมาณ 1 แสนล้านบาท (ข้อมูล ณ เม.ย. 2567) และมีการคืนหนี้เพียงบางส่วนผ่านค่า Ft ในช่วงปีที่ผ่านมา ตามนโยบายของภาครัฐที่ต้องการลดผลกระทบต่อประชาชนและภาคธุรกิจ ประกอบกับ กฟผ. จะยังไม่สามารถรับภาระหนี้ได้เพิ่มเติม เนื่องจากต้องรักษาสถานะทางการเงินเพื่อรักษาอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) และมีภารกิจการลงทุนจำนวนมาก โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียนตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ซึ่งต้นทุนค่าเชื้อเพลิงจะมีผลโดยตรงต่อรายได้จากการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม การปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าในอนาคต             อาจส่งผลกระทบต่อราคาขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมที่อ้างอิงตามราคาขายปลีกของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ทั้งนี้เนื่องจากการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าครั้งใหญ่ของประเทศไทยเกิดขึ้นเมื่อปี 2558 และปัจจุบันถึงกำหนดระยะเวลาในการทบทวนแล้ว (ทุก 3-5 ปี) เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาด COVID-19 และวิกฤติพลังงาน ซึ่งการปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าเพื่อสะท้อนต้นทุนพลังงานหลายประเภทที่เปลี่ยนไป อาทิ ต้นทุนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าตามแผน PDP ฉบับใหม่ ต้นทุนด้านระบบสายส่งไฟฟ้า ต้นทุนด้านการบริหารจัดการเสถียรภาพที่เพิ่มขึ้นเมื่อมีการบูรณาการพลังงานหมุนเวียนเข้ามาในระบบมากขึ้น ซึ่งโครงสร้างราคาไฟฟ้าจะมีผลโดยตรงต่อรายได้จากการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม การเปิดใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้แก่บุคคลที่สาม (Third Party Access: TPA)             เป็นส่วนหนึ่งของการเปิดเสรีในธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการขยายธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาด โดยผู้ผลิตไฟฟ้าสามารถทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับลูกค้านอกพื้นที่ได้โดยตรง (Direct PPA) ส่งผลให้การพัฒนาพลังงานหมุนเวียนถูกขับเคลื่อนโดยภาคเอกชนได้อย่างรวดเร็ว

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

เลือกตั้งสหรัฐฯ เขย่าหุ้นพลังงาน ปรับพอร์ตอย่างไรให้รอด?

เลือกตั้งสหรัฐฯ เขย่าหุ้นพลังงาน ปรับพอร์ตอย่างไรให้รอด?

          หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล.กรุงศรี ระบุว่า ราคาหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าโดยเฉพาะ GPSC และ BGRIM มีการปรับตัวลดลง -5.4% และ -3.8% ตามลำดับ ขณะที่หุ้นอื่นในกลุ่มก็มีการปรับตัวลงเช่นกัน มองว่าความกังวลในตลาดเกิดจากหลายปัจจัยด้วยกัน ได้แก่ ราคา JKM LNG ในเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นจากผู้ค้ามีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางและเอเชีย เช่น ความตึงเครียดระหว่างจีน-ไต้หวัน และเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้, การเลือกตั้งในสหรัฐฯ ที่กำลังจะมาถึง อาจจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมLNG ในสหรัฐฯ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของไทยที่ปรับเพิ่มขึ้น คงมุมมอง ‘Neutral’ สำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้า ความกังวลในตลาดเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่ตึงเครียดเพิ่มขึ้น การเลือกตั้งสหรัฐฯ และปัจจัยอื่น ๆ           บล.กรุงศรี มองว่าความกังวลในตลาดเกิดจากหลายปัจจัยด้วยกัน ได้แก่ ราคา JKM LNG ในเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นจากผู้ค้ามีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง จากแหล่งข่าว energy news and natural gas intelligence ตลาดกำลังเฝ้าจับตาเกี่ยวกับพัฒนาการของการโจมตีของอิสราเอลต่ออิหร่าน อิสราเอล ยังคงมุ่งเป้าไปที่ฐานที่มั่นของฮิซบอลลาห์ในเลบานอน ความขัดแย้งที่ทวีความ รุนแรงในตะวันออกกลางทำให้ตลาดก๊าซธรรมชาติไม่แน่นอน ขณะที่การซื้อก๊าซในฤดูหนาวในเอเชียเพิ่มขึ้น และความคาดหวังเกี่ยวกับสภาพอากาศที่หนาวเย็นช่วยสนับสนุนราคาก๊าซธรรมชาติทั่วโลก นอกจากนี้ความตึงเครียดในเอเชีย ระหว่างจีน-ไต้หวัน และเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ยังเพิ่มความไม่แน่นอนอีกด้วย รวมถึงการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ที่กำลังจะมาถึง อาจจะส่งผลกระทบต่อทิศทางอุตสาหกรรม LNG ในสหรัฐฯ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของไทยที่ปรับเพิ่มขึ้นและมีความผันผวน ทำให้เกิดความกังวลในตลาดเกี่ยวกับทิศทางของอัตราดอกเบี้ย คง Neutral rating และคงคำแนะนำ Trading Buy GPSC และ BGRIM           คงมุมมอง Neutral สำหรับกลุ่ม โดยคงคำแนะนำ ‘Trading Buy’ ต่อ BGRIM (TP Bt27), GPSC (TP Bt50), BCPG (TP Bt8.2), EGCO (TP Bt137) และ GULF (TP Bt56.75, pre-synergy) และคงคำแนะนำ ‘Buy’ ต่อ CKP (TP Bt5.2) และGUNKUL (TP Bt3.85)

[ภาพข่าว] GPSC ร่วมทอดกฐินประจำปี 67

[ภาพข่าว] GPSC ร่วมทอดกฐินประจำปี 67

          นางปริญดา มาอิ่มใจ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารองค์กร บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. ในฐานะประธานในพิธีทอดกฐินสามัคคี ประจำปี 2567 พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร พนักงานในกลุ่ม GPSC และชาวบ้านในเขตเทศบาลเมืองมาบตาพุดและพื้นที่ใกล้เคียง ร่วมกันเป็นเจ้าภาพทำบุญทอดกฐิน ณ วัดเขาไผ่ ตำบลทับมา อำเภอเมือง จังหวัดระยอง เพื่อบูรณปฏิสังขรณ์ศาสนสถานภายในวัด ให้เป็นที่สักการะของประชาชนในพื้นที่สืบต่อไป

SET แกว่งตัวในกรอบ จับตาแนวต้าน 1507 จุด หุ้นเด่น AOT และGPSC

SET แกว่งตัวในกรอบ จับตาแนวต้าน 1507 จุด หุ้นเด่น AOT และGPSC

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ระบุว่าคาด SET เคลื่อนไหวในกรอบ โดยกรอบบนถูกจำกัดบริเวณแนวต้านจิตวิทยา 1500-1507 จุด จากภาวะ Overbought ทางเทคนิค ส่วนกรอบล่างมีแนวรับบริเวณ 1475-1480 จุด เป็นจุดรองรับ ด้วยเม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์ช่วยประคอง ทั้งนี้แนวโน้มราคามีจุดติดตามสำคัญ โดยหากขึ้นทะลุ 1507 จุด จะเป็นสัญญาณบวกต่อ ส่วนกรณีหลุด 1475 จุด จะเป็นสัญญาณลบต่อภาพการพักฐาน           AOT: 4QFY67 คาดกำไรปกติ 4.0 พันลบ. เพิ่มขึ้น 10%YoY (จากจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น) แต่ลดลง 13% QoQ (จากรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ที่ลดลง) และโมเมนตัมกำไรจะแข็งแกร่งขึ้น YoY และ QoQ ใน 1QFY68 เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซันของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย และยังมีปัจจัยบวกหนุนจากช่วง Golden Week ของจีน           GPSC: มองมีปัจจัยบวกระยะสั้นจากราคาก๊าซยุโรปและ Bond Yield ที่ปรับตัวลง ขณะที่ปี 2567 คาดกำไรปกติอยู่ที่ 4.58 พันลบ. เติบโต 33.8%YoY และจะเติบโตต่อเนื่องอีก 16.3%YoY ในปี 2568 ปัจจัยหนุนจากส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นหลังมีกำลังการผลิตติดตั้งที่สูงขึ้นในอินเดียและไต้หวัน

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

[ภาพข่าว] GPSC ร่วมฟื้นฟูระบบนิเวศ จ.ระยอง 

[ภาพข่าว] GPSC ร่วมฟื้นฟูระบบนิเวศ จ.ระยอง 

          นายพัฑฒิ บุณยสุขานนท์ ผู้จัดการส่วนปฏิบัติหน้าที่ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจการสาธารณะ กลุ่มบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. พร้อมด้วย นายอนุสรณ์ แสงกล้า นายอำเภอเมืองระยอง พนักงานจิตอาสา ชุมชน และคู่ค้า จัดกิจกรรม ร่วมปลูกต้นไม้จำนวน 1,000 ต้น ในพื้นที่กว่า 10 ไร่ ภายใต้โครงการ “เพาะกล้า ฟื้นป่า สร้างชีวิต” เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศ และเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ป่าต้นน้ำ ซึ่งเป็นป่าชุมชนของบ้านมาบจันทร์ ตำบลแกลง อำเภอเมือง จังหวัดระยอง           กิจกรรมครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน ภาครัฐ และชุมชน ที่มีส่วนร่วมในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ผ่านการปลูกต้นไม้หลากหลายชนิด ได้แก่ ยางนา ตะเคียนทอง พยูง ไผ่กิมซุง และไผ่หวาน เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์และสร้างความยั่งยืนในการใช้ประโยชน์จากป่าชุมชน และลดสภาวะโลกร้อนอีกด้วย

[PR News] GPSC ทุนแกร่งแบงก์หนุน 7 พัน ล. รุกพลังงานสะอาด

[PR News] GPSC ทุนแกร่งแบงก์หนุน 7 พัน ล. รุกพลังงานสะอาด

          GPSC ลงนามในสัญญาเงินกู้กับธนาคารทีเอ็มบีธนชาต ธนาคารเกียรตินาคินภัทร และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย วงเงินรวม 7,000 ลบ. มุ่งธุรกิจพัฒนาพลังงานหมุนเวียนทั้งในประเทศและต่างประเทศ สร้างเสถียรภาพความมั่นคงด้านพลังงาน สอดรับกลยุทธ์องค์กรจากบทบาทในการ Decarbonization ให้กับกลุ่ม ปตท. เดินหน้ามุ่งสู่แผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์           นายทิติพงษ์ จุลพรศิริดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ GPSC ได้จัดพิธีลงนามในสัญญาเงินกู้รวม 3 ฉบับ ณ สำนักงาน GPSC อาคาร Energy Complex จตุจักร กรุงเทพฯ รวมวงเงินทั้งสิ้น 7,000 ล้านบาท กับ 3  สถาบันการเงิน ประกอบด้วย ธนาคารทีเอ็มบีธนชาต (TTB) จำนวน 5,000 ล้านบาท ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) จำนวน 1,000 ล้านบาท และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย  (EXIM BANK) จำนวน 1,000 ล้านบาท เพื่อปรับพอร์ตเงินกู้ของบริษัทฯ และสนับสนุนการลงทุนด้านพลังงานสะอาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ           GPSC ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันทางการเงินทั้ง 3 แห่งนี้ ซึ่งให้ความสำคัญกับการลงทุนในพลังงานสะอาด นับเป็นการเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับบริษัทฯ เพื่อขยายธุรกิจด้านพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นกลยุทธ์หลักในการเติบโตโดยมุ่งเพิ่มสัดส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพื่อให้สอดคล้องกับบทบาทในการ Decarbonization ให้กับกลุ่ม ปตท. พร้อมกับการเสริมสร้างเสถียรภาพ (Reliability) ทางด้านไฟฟ้าให้กับกลุ่ม ปตท. ประกอบกับการหาโอกาสในการเติบโตธุรกิจใหม่ๆ สอดรับกับแนวทางการเปลี่ยนแปลงทิศทางพลังงานโลก และแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) ของไทยที่มุ่งไปสู่พลังงานสะอาด และเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero           ทั้งนี้ GPSC ให้ความสำคัญในการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ไอน้ำเพื่อการอุตสาหกรรมและสาธารณูปโภคต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นคงในระบบพลังงานให้กับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีสัดส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนมากกว่า 65% ของกำลังการผลิตทั้งหมดภายในปี 2569 และยังคงมุ่งเน้นแผนขยายการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง พร้อมเป้าหมายที่จะขับเคลื่อนองค์กร ก้าวสู่การเป็นบริษัทชั้นนำด้านนวัตกรรมพลังงานเพื่อความยั่งยืน 1 ใน 3 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เดินหน้าสู่การพัฒนาพลังงานสะอาดตามเป้าหมายมุ่งสู่ Carbon Neutrality ภายในปี 2593 และ Net Zero GHG Emissions ภายในปี 2603 สอดรับต่อการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมพลังงานโลก ที่เน้นการใช้พลังงานที่ยั่งยืน และให้เพียงพอต่อการพัฒนาประเทศ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

วิพากษ์หุ้นโรงไฟฟ้า ใครจะได้ประโยชน์หลัก

วิพากษ์หุ้นโรงไฟฟ้า ใครจะได้ประโยชน์หลัก

          หุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.กรุงศรี คาดว่า GULF จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์หลัก ตามมาด้วย GUNKUL, BGRIM และ GPSC เราคง ‘NEUTRAL’ สำหรับกลุ่ม เนื่องจากการประเมินมูลค่า (valuation) ปัจจุบัน ได้ถูกสะท้อนข่าวดีไปในราคาแล้ว จากการที่ กกพ. เดินหน้าเปิดประมูลรอบที่ 2 สำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียนรวม 3.6 GW โดยจะประเมินข้อเสนอจากผู้สมัครจำนวน 198 รายตามคะแนนคุณภาพโดยไม่ต้องแก้ไขข้อเสนอขายไฟฟ้า และจะประกาศผลคัดเลือกภายในสิ้นปีนี้           ด้วยการประมูลรอบที่สองสำหรับกำลังการผลิตรวม 3.6 กิกะวัตต์ภายใต้การดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในรอบนี้จะประกอบด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ 2,632 เมกะวัตต์, พลังงานลม 1,000 เมกะวัตต์, พลังงานชีวมวล 6.5 เมกะวัตต์, และพลังงานจากของเสียอุตสาหกรรม 30 เมกะวัตต์ เพื่อดึงดูดผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้ามากขึ้น กกพ. มีแผนจัดสรรโควตาให้กับผู้ประมูลที่ไม่ได้รับโครงการในรอบแรกเป็นการเฉพาะ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน จะมีกฎระเบียบใหม่ในการจัดซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนภายใต้ระบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับปี 2565-2573 ซึ่งรวมถึงการซื้อเพิ่มเติมจากผู้สมัคร 198 รายที่เคยผ่านเกณฑ์ความพร้อมทางเทคนิคมาแล้ว แต่ไม่ได้รับการคัดเลือกเนื่องจากปริมาณการจัดซื้อเต็มแล้ว กกพ. จะประเมินการซื้อไฟฟ้าจากคะแนนคุณภาพโดยไม่ต้องแก้ไขข้อเสนอเดิม โดยจำกัดที่ 600 เมกะวัตต์สำหรับพลังงานลม และ 1,580 เมกะวัตต์สำหรับโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ติดตั้งบนพื้นดิน คาดว่าจะประกาศผู้ชนะการประมูลภายในสิ้นปี 2567           หากอ้างอิงถึงผลผู้ชนะการประมูลในรอบแรกและจำนวนเมกะวัตต์ที่ยังไม่ผ่านรอบแรกของแต่ละบริษัท เราคาดว่า GULF (Unrated) จะได้ประโยชน์มากที่สุด ตามมาด้วย GUNKUL, BGRIM, GPSC ทั้งนี้ในรอบแรก GULF ชนะการประมูลคิดเป็น 38% ของการเปิดรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 5.2 GW ตามมาด้วย GUNKUL (16%), SSP (3.3%), BGRIM (3.1%), WHAUP (2.4%), GPSC (0.15%) และอื่นๆ (37%) เรามองว่าการเดินหน้าและมีความชัดเจนนี้จะส่งผลบวกต่อกระบวนการรับรองไฟฟ้าสีเขียวตามแนวทาง Utility Green Tariff (UGT) ของ กกพ. ที่ต้องอาศัยการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในโครงการรับซื้อไฟฟ้าเช่นกัน ที่ถ้าได้ข้อสรุปจะสามารถประเมินผลตอบแทนได้ชัดเจนขึ้นต่อการลงทุนดังกล่าว           บล.กรุงศรี มีมุมมอง Neutral สำหรับกลุ่ม โดยคงคำแนะนำ Trading Buy ต่อ BGRIM (TP Bt27), GPSC (TP Bt50), BCPG (TP Bt8.20), EGCO (TP Bt137) และคำแนะนำ Buy ต่อ GUNKUL (TP Bt3.85)

abs

Hoonvision

[PR News] GPSC ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ ด้านการลงทุนพลังงานหมุนเวียนระดับโลก

[PR News] GPSC ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ ด้านการลงทุนพลังงานหมุนเวียนระดับโลก

            GPSC ร่วมแสดงวิสัยทัศน์เวทีสัมมนาด้านการลงทุนพลังงานหมุนเวียน ระดับโลก Global RE-INVEST Renewable Energy Investors Meet & Expo ครั้งทื่ 4 ณ ประเทศอินเดีย             ศาสตราจารย์ ดร.สุพจน์ เตชวรสินสกุล ประธานกรรมการ (ที่ 1 จากขวา) บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. ได้ร่วมเวทีสัมมนาด้านการลงทุนพลังงานหมุนเวียน The 4th Global RE-INVEST Renewable Energy Investors Meet & Expo จัดขึ้นโดยกระทรวงพลังงานหมุนเวียน ประเทศอินเดีย โดยมีนายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีของประเทศอินเดีย เป็นประธานเปิดงาน ทั้งนี้ GPSC ได้รับเกียรติเป็นผู้ร่วมเสวนา ในหัวข้อ “ความท้าทายของนักลงทุนต่างชาติในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนในอินเดีย“ โดยได้เสนอแนะแนวทางการส่งเสริมการลงทุน เพื่อจูงใจนักลงทุนจากทั่วโลก เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนนโยบายพลังงานหมุนเวียนตามเป้าหมายที่รัฐบาลอินเดียได้กำหนดไว้             นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ ดร.สุพจน์ และคณะผู้บริหาร GPSC ยังได้เยี่ยมชมบูธกลุ่มบริษัท อวาดา (Avaada Group) ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญในอินเดีย ที่ได้เข้าร่วมการจัดแสดงนิทรรศการ เพื่อแสดงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมพลังงานหมุนเวียน ทั้งนี้ ปัจจุบัน GPSC มีการลงทุนและพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในอินเดียไปแล้ว 6,437 เมกะวัตต์  ผ่านบริษัท โกลบอล รีนิวเอเบิล ซินเนอร์ยี่ จำกัด (GRSC) ในสัดส่วน 43%  ใน อวาด้า เอนเนอร์ยี่ ไพรเวท ลิมิเต็ท (AEPL)

GPSC - กนอ.มาบตาพุด เก็บขยะชายหาดระยอง

GPSC - กนอ.มาบตาพุด เก็บขยะชายหาดระยอง

          นายพีรพล อำไพวิทย์ ผู้จัดการฝ่ายอาวุโสกลยุทธ์องค์กรและความยั่งยืน บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. ร่วมกับสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) จัดกิจกรรมวันอนุรักษ์ชายฝั่งสากลจังหวัดระยอง ประจำปี 2567 โดยมีผู้บริหารและพนักงาน GPSC พร้อมครอบครัวกว่า 150 คน ร่วมกันเก็บขยะชายหาดในบริเวณหาดแสงจันทร์ จังหวัดระยอง  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสร้างจิตสำนึกในการรักษาความสะอาดชายฝั่งทะเล อันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดระยอง           ทั้งนี้ ขยะที่จัดเก็บ จะถูกแยกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ขยะประเภทที่รีไซเคิลไม่ได้  ดำเนินการโดยหน่วยงานภาครัฐ คือองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง ซึ่งจะส่งต่อไปยังโรงคัดแยกขยะเพื่อแปลงเป็นเชื้อเพลิง RDF  (Refuse Derived Fuel) ก่อนส่งเข้าสู่โรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิง RDF ของ GPSC ในจังหวัดระยอง ในขณะที่ขยะประเภทที่รีไซเคิลได้ จะถูกส่งให้ศูนย์การเรียนรู้การจัดการขยะชุมชนบ้านไผ่ ซึ่งเป็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชนที่ GPSC สนับสนุนด้านการแปรรูปขยะเป็นผลิตภัณฑ์ และท้ายสุด ขยะประเภทอันตราย จะถูกส่งให้หน่วยงานภาครัฐท้องถิ่นนำไปกำจัดต่อไป