#Fed


เปิด 17 หุ้น โบรกฯมองรับอานิสงค์ เงินบาทแข็งค่า

เปิด 17 หุ้น โบรกฯมองรับอานิสงค์ เงินบาทแข็งค่า

                 หุ้นวิชั่น - บล.เอเชียพลัส ส่องกลยุทธ์การลงทุน หลังวานนี้ FED และ BOE ปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% ตามคาดสู่ระดับ 4.75% ซึ่งทาง FED มั่นใจมากขึ้นว่า CPI สหรัฐฯ จะเข้าสู่กรอบเป้าหมาย 2% ได้ ขณะที่เศรษฐกิจยัง ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่ POWELL เผยนโยบายจาก ปธน.คนใหม่ จะไม่มีผลต่อ การตัดสินใจในระยะสั้น พร้อมคาดว่านโยบายการคลังที่ขยายตัวและการกีดกัน การค้าจะส่งผลต่อคาดการณ์ในอนาคต จึงยังคงตัดสินใจแบบ MEETING BY MEETING โดย DOT PLOT คาดดอกเบี้ยปลายปี 2024 อยู่ที่ 4.50% และปลายปี 2025 อยู่ที่ 3.50%                    ประเด็นดังกล่าว จึงทำให้เงินบาทเริ่มแข็งค่า ตามการปรับลดดอกเบี้ยของ FED ซึ่งตามกลไกจะหนุนให้ FLOW ต่างชาติมีโอกาสชะลอการไหลออกอยู่บ้างจึงน่าจะหนุนให้ SET INDEX ทรงตัวในกรอบแคบ และมีโอกาสดีดตัวขึ้นในวันนี้ กรอบวันนี้ 1455/1460- 1477 จุด ส่วนกลุ่มที่ได้คาดว่าได้ประโยชน์จากประเด็นดังกล่าว หุ้นขนาดใหญ่หาก FUND FLOW เริ่มไหลกลับเข้ามา KBANK, SCB, BBL, AOT, PTT, PTTGC, IVL, SCC, CPALL, CRC, CPAXT, ADVANC กลุ่มที่มีต้นทุน หรือหนี้สินสกุลเงินต่างประเทศ GULF, BGRIM, GPSC, PTTEP, AAV

Fed ลดดอกเบี้ย 0.25% ครั้งที่ 2 ของปี จากดอลลาร์กลับมาอ่อนค่า และ Bond Yield สหรัฐฯ ชะลอตัว

Fed ลดดอกเบี้ย 0.25% ครั้งที่ 2 ของปี จากดอลลาร์กลับมาอ่อนค่า และ Bond Yield สหรัฐฯ ชะลอตัว

          หุ้นวิชั่น - ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) ได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานลง 0.25% เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องเป็นครั้งที่สอง แต่ครั้งนี้เป็นการลดในอัตราที่ช้าลงเมื่อเทียบกับครั้งก่อนหน้า โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน           หลังจากการปรับลดครั้งใหญ่ 0.50% เมื่อเดือนกันยายน คณะกรรมการตลาดเสรีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Open Market Committee) ได้ลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานสำหรับการกู้ยืมระยะสั้นลงอีก 0.25% หรือ 25 จุดพื้นฐาน มาอยู่ในช่วงเป้าหมาย 4.50% ถึง 4.75% ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดการกู้ยืมข้ามคืนระหว่างธนาคาร แต่ยังมีผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยที่ผู้บริโภคต้องจ่าย เช่น ดอกเบี้ยจำนอง บัตรเครดิต และสินเชื่อรถยนต์           ทั้งนี้ บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ ชี้การที่เฟดลดดอกเบี้ยตามคาด 25 จุดพื้นฐาน แม้ส่งผลให้ Sentiment ผ่อนคลาย เนื่องจากดอลลาร์กลับมาอ่อนค่า และ Bond Yield สหรัฐฯ ชะลอตัว อย่างไรก็ตาม ยังให้ระมัดระวัง โดยมองว่าตลาดยังกังวลนโยบายของทรัมป์ที่อาจส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ โดยมีแนวต้านที่ระดับ 1,478-1,487 จุด และยังมี Downside โดยมีแนวรับที่ 1,450-1,460 จุด           ในเอกสารชี้แจงจาก FED ได้ระบุว่า ตัวชี้วัดสำคัญชี้ให้เห็นว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจยังคงขยายตัวในอัตราที่มั่นคง ตั้งแต่ต้นปี สภาวะตลาดแรงงานโดยทั่วไปผ่อนคลายลง และอัตราการว่างงานขยับขึ้นแต่ยังคงต่ำ อัตราเงินเฟ้อมีความคืบหน้าไปสู่เป้าหมาย 2% ของคณะกรรมการ แต่ยังคงค่อนข้างสูง           คณะกรรมการพยายามที่จะบรรลุการจ้างงานสูงสุดและอัตราเงินเฟ้อในอัตรา 2% ในระยะยาว คณะกรรมการตัดสินว่าความเสี่ยงในการบรรลุเป้าหมายการจ้างงานและอัตราเงินเฟ้อนั้นค่อนข้างสมดุลกัน แนวโน้มเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอน และคณะกรรมการก็ให้ความสำคัญกับความเสี่ยงของทั้งสองฝ่ายภายใต้อำนาจหน้าที่ทั้งสองประการ           เพื่อสนับสนุนเป้าหมาย คณะกรรมการจึงตัดสินใจลดช่วงเป้าหมายสำหรับอัตราเงินกองทุนของรัฐบาลกลางลง 0.25% หรือเหลืออยู่ที่ 4.5-4.75% ในการพิจารณาการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมในช่วงเป้าหมายสำหรับอัตราเงินกองทุนของรัฐบาลกลาง คณะกรรมการจะประเมินข้อมูลที่เข้ามา แนวโน้มการพัฒนา และความสมดุลของความเสี่ยงอย่างรอบคอบ คณะกรรมการจะยังคงลดการถือครองหลักทรัพย์ธนารักษ์และหนี้ที่ค้ำประกันโดยหน่วยงานต่อไป คณะกรรมการมีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะสนับสนุนการจ้างงานสูงสุดและคืนอัตราเงินเฟ้อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 2%           ในการประเมินจุดยืนที่เหมาะสมของนโยบายการเงิน คณะกรรมการจะติดตามผลกระทบของข้อมูลที่เข้ามาต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ คณะกรรมการจะเตรียมปรับจุดยืนของนโยบายการเงินตามความเหมาะสม หากเกิดความเสี่ยงที่อาจขัดขวางการบรรลุเป้าหมายของคณะกรรมการ การประเมินของคณะกรรมการจะพิจารณาข้อมูลที่หลากหลาย รวมถึงสภาวะตลาดแรงงาน แรงกดดันด้านเงินเฟ้อและการคาดการณ์เงินเฟ้อ และการพัฒนาทางการเงินและระหว่างประเทศ [อ้างอิง](https://www.federalreserve.gov/newsevents/pressreleases/monetary20241107a.htm)

สรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนกันยายน 2567

สรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนกันยายน 2567

          หุ้นวิชั่น - คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.5% เป็น 4.75% – 5.0% ถือเป็นการลดครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี เพื่อเป็นการทำให้ความเสี่ยงต่อเป้าหมายการจ้างงานและเงินเฟ้ออยู่ในจุดสมดุล โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอบรับเชิงบวกแสดงให้เห็นว่าผู้ลงทุนยังมั่นใจว่าเศรษฐกิจจะยังไม่เข้าสู่ภาวะ recession นอกจากนี้ หากพิจารณาข้อมูลในอดีตพบว่าหาก FED ปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นในประเทศ Emerging Market เริ่มเห็นสัญญาณเงินลงทุนต่างชาติเคลื่อนย้ายมายังตลาดหุ้น ASEAN ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นส่วนใหญ่มีการปรับเพิ่มขึ้นมากในเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยเฉพาะดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ตามลำดับ           นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในส่วนของภายในประเทศยังมีปัจจัยบวก อาทิ การเมืองไทยที่มีความชัดเจนมากขึ้นหลังมีการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่รายงานออกมาเข้มแข็งกว่าที่นักวิเคราะห์คาด รวมถึงมาตรการที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนผ่านการเพิ่มเม็ดเงินลงทุนของผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ ทำให้ผู้ลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาซื้อหุ้นไทยในเดือนกันยายนสูงสุดในรอบ 22 เดือน ส่งผลให้เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจาก Sensitivity Analysis พบว่าหุ้นของบริษัทในกลุ่มส่งออกและท่องเที่ยวอาจได้รับผลกระทบเชิงลบต่อคาดการณ์กำไรในอนาคต ซึ่งตรงกันข้ามกับหุ้นของบริษัทในกลุ่ม domestic play และกลุ่มที่มีสัดส่วนนำเข้าเพื่อผลิตสูงที่อาจได้อานิสงส์จากต้นทุนที่ลดลง ขณะที่ SET Index ปรับเพิ่มขึ้นด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นในเดือนที่ผ่านมา ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทยเดือนกันยายน 2567 ณ สิ้นกันยายน 2567 SET Index ปิดที่ 1,83 จุด เพิ่มขึ้น 6.6% จากสิ้นเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564 ทำให้เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.3% ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้น และกลุ่มที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai ปรับมาอยู่ที่ 62,503 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า และปรับเพิ่มขึ้น 35.8% จากเดือนที่แล้ว ทำให้ 9 เดือนแรกของปี 2567 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน อยู่ที่ 46,481 ล้านบาท มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ (PCE) และใน mai 2 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. เอสอีไอ เมดิคัล (SEI) และ บมจ. พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ (PMC) Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2567 อยู่ที่ระดับ 8 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.0 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 17.5 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 15.6 เท่า อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนกันยายน 2567 อยู่ที่ระดับ 28% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.04% ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เดือนกันยายน 2567 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 707,472 สัญญา เพิ่มขึ้น 9% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ SET50 Index Futures และ Single Stock Futures และในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 474,728 สัญญา ลดลง 13.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures ที่มา ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

Fed เตรียมลดดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุม พ.ย. – คาดลดดอกเบี้ยต่อเนื่องสิ้นปีนี้

Fed เตรียมลดดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุม พ.ย. – คาดลดดอกเบี้ยต่อเนื่องสิ้นปีนี้

          หุ้นวิชั่น - Fed Speaks ช่วงเช้ามืด ประธาน Fed Powell กล่าวสุนทรพจน์เผย ส่งสัญญาณธนาคารกลางสหรัฐจะกลับไปลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% การประชุม ในเดือน พ.ย. (จากการประชุมรอบรอบล่าสุดที่ Fed ลดดอกเบี้ยครั้งแรกลง 50 bps และตลาดคาดอาจจะเห็นการลดต่อในระดับ50 bps) โดยรวมทำให้ประเมินจาก Dotplot ที่คาดจะเห็นการลดดอกเบี่ยในปีนี้อีก 50 bps ทำให้ประเมินการประชุมอีก 2 ครั้ง คือรอบ พ.ย. และ ธ.ค. Fed จะลดดอกเบี้ยครั้งละ 25 bps ยังย้ำดอกเบี้ยขาลง ที่มา: บล.กรุงศรี

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

จับตา 10 หุ้นไฟแนนซ์ mai เฟดลดดอกเบี้ย หนุนโอกาสโต

จับตา 10 หุ้นไฟแนนซ์ mai เฟดลดดอกเบี้ย หนุนโอกาสโต

          จากรายงานการประชุมของ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% สู่ระดับ 4.75-5.00% ซึ่งถือเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจและลดความเสี่ยงในด้านการจ้างงาน แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งก็ตาม ทั้งนี้ เฟดยังส่งสัญญาณว่าอาจมีการลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมภายในสิ้นปีนี้           ทีมข่าวหุ้นวิชั่นได้สัมภาษณ์ คุณวิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยของบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด (GBS) ซึ่งได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มตลาดภายหลังจากการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ โดยระบุว่า ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าการลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลดีต่อ ต้นทุนทางการเงิน ของธุรกิจที่ลดลง และกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับผลดีอย่างชัดเจนคือ กลุ่มการเงิน (Finance) หรือไฟแนนซ์ เนื่องจากการลดต้นทุนการกู้ยืมจะช่วยกระตุ้นการลงทุนและการขยายตัวของธุรกิจในกลุ่มนี้           ทั้งนี้ การปรับลดดอกเบี้ยยังมีโอกาสส่งผลบวกต่อ ตลาดหุ้น เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่าจะเกิดการเติบโตของเศรษฐกิจ และมีการโยกย้ายเงินทุนเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น           นอกจากนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ยังมองว่ากลุ่ม อสังหาริมทรัพย์ อาจได้รับอานิสงส์จากการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้เช่นกัน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมในภาคที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังคงมีความท้าทายในการยื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัย เนื่องจาก หนี้ครัวเรือน ในประเทศยังคงอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้การอนุมัติสินเชื่อเป็นไปได้ยาก           ด้วยปัจจัยเหล่านี้ ฝ่ายวิเคราะห์จึงยังให้น้ำหนักมากกว่ากับ กลุ่มไฟแนนซ์ ที่จะได้รับประโยชน์อย่างชัดเจนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมที่ลดลงจะเป็นแรงหนุนสำคัญให้กับกลุ่มการเงิน ทั้งในแง่ของการลงทุนและการขยายตัวของธุรกิจ           สำหรับกลุ่มไฟแนนซ์ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ปัจจุบันมีบริษัทที่น่าจับตามองอยู่หลายแห่ง โดย 10 บริษัทหลัก ประกอบไปด้วยบริษัทที่มีบทบาทสำคัญในการให้บริการทางการเงินในหลากหลายด้าน อาทิ สินเชื่อ การลงทุน และบริการจัดการสินทรัพย์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ที่จะช่วยลดต้นทุนทางการเงิน และกระตุ้นการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต ดังต่อไปนี้ รายงานโดย มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว HOONVISION