ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#ECF


ก.ล.ต.เตือนผถห.กู้ ECF จำนวน 7 รุ่น ใช้สิทธิประชุมฯ วันที่ 9 เม.ย.68

ก.ล.ต.เตือนผถห.กู้ ECF จำนวน 7 รุ่น ใช้สิทธิประชุมฯ วันที่ 9 เม.ย.68

           สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ ECF จำนวน 7 รุ่น ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ศึกษาข้อมูล ซักถามผู้ออกหุ้นกู้หรือผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วน และเพียงพอต่อการตัดสินใจลงมติ ในวันที่ 9 เมษายน 2568            ตามที่บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) (ECF) ในฐานะผู้ออกหุ้นกู้ ECF255A ECF255B ECF256A ECF246A ECF262A ECF265A และ ECF28NA จะจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 9เมษายน 2568 เวลา 14.00 น. ด้วยวิธีการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-meeting) โดยมีเรื่องพิจารณาอนุมัติ ดังนี้            (1) ขอผ่อนผันให้การที่ผู้ออกหุ้นกู้ปรับเงื่อนไขการชำระหนี้หุ้นกู้ และ/หรือ เข้าเจรจากับสถาบันการเงิน หรือเจ้าหนี้อื่น เพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้ที่มีลักษณะเป็นการผ่อนผันการชำระหนี้ของผู้ออกหุ้นกู้ รวมทั้งการเลื่อน หรือเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาชำระหนี้ ไม่ให้ถือว่าเป็นเหตุผิดนัดตามข้อกำหนดสิทธิ            (2) ขยายระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ 6 รุ่น ดังนี้ - รุ่น ECF255A ECF255B ECF256A และ ECF246A ขยายระยะเวลาออกไปอีก 1 ปี  6 เดือน - รุ่น ECF262A ขยายระยะเวลาออกไปอีก 9 เดือน - รุ่น ECF265A ขยายระยะเวลาออกไปอีก 6 เดือน            (3) ขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้ 6 รุ่น โดยมีการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในช่วงระยะเวลาที่ได้ขยายอายุหุ้นกู้ออกไป ดังนี้ - รุ่น ECF255A ECF255B ECF256A ECF246A และ ECF265A เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยใหม่เป็น ร้อยละ 7.50 ต่อปี จากเดิม ร้อยละ 7.05, 7.30, 7.30, 7.40, และ 7.15 ตามลำดับ  - รุ่น ECF262A เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยใหม่เป็น ร้อยละ 7.70 ต่อปี จากเดิม ร้อยละ 7.60            (4) ขอเปลี่ยนแปลงวันกำหนดชำระดอกเบี้ยจากเดิม ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน เป็นชำระดอกเบี้ยทุก 6 เดือน            (5) ขอยกเลิกหน้าที่ของผู้ออกหุ้นกู้ในการรายงานผลการทบทวนการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทโดยไม่ต้องจัดให้มีการทบทวนผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือตามข้อกำหนดสิทธิ            สำหรับหุ้นกู้ ECF28NA บริษัทเปิดเผยในหนังสือนัดประชุมว่า ไม่มีการขอขยายระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอนและไม่ปรับอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ เนื่องจากวันครบกำหนดไถ่ถอนของหุ้นกู้รุ่นดังกล่าวอยู่ในลำดับสุดท้าย คือวันที่ 17 พฤศจิกายน 2571 รวมทั้งดอกเบี้ยหุ้นกู้รุ่นนี้เป็นแบบขั้นบันไดซึ่งกำหนดไว้สูงกว่าหุ้นกู้รุ่นอื่น ๆ            ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้กำหนดให้ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้วิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ และผลกระทบที่ผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับจากการมีมติอนุมัติ หรือไม่อนุมัติ ให้ชัดเจนในแต่ละทางเลือก พร้อมเหตุผลประกอบโดยมีความเห็นของผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ประกอบด้วย ก.ล.ต. จึงขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ และใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นกู้ในการรักษาประโยชน์ของตนเอง พร้อมทั้งสอบถามข้อมูลต่าง ๆ จากผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้มีข้อมูลครบถ้วนประกอบการตัดสินใจออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ด้วย หมายเหตุ : บริษัทหลักทรัพย์ สยามเวลธ์ จำกัด เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ 5 รุ่น ได้แก่ ECF255A ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 11 พฤษภาคม 2568 ECF255B ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 17 พฤษภาคม 2568 ECF262A ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2569 ECF265A ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 11 พฤษภาคม 2569 ECF28NA ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 17 พฤศจิกายน 2571 บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ECF256A และ ECF246A ทั้ง 2 รุ่น ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 9 มิถุนายน 2568

ECF รับเงินเพิ่มทุนตามนัด พร้อมจดทะเบียนสำเร็จ

ECF รับเงินเพิ่มทุนตามนัด พร้อมจดทะเบียนสำเร็จ

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายพชรฐณพงษ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) หรือ ECF แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า ตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ครั้งที่ 6/2568 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ได้มีมติอนุมัติการกำหนดรายชื่อและจำนวนหุ้นที่จัดสรรให้แก่ผู้ลงทุน กำหนดราคาเสนอขายหุ้น กำหนดวันจองซื้อและชำระค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ซึ่งจัดสรรให้แก่ผู้ลงทุน ครั้งที่ 1           โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 30,432,136 หุ้น ให้แก่ Advance Opportunities Fund 1 ในราคาเสนอขายหุ้นละ 0.25 บาท (เท่ากับมูลค่าที่ตราไว้) คิดเป็นมูลค่าการเสนอขายรวมเท่ากับ 7,608,034 บาท โดยกำหนดวันจองและชำระค่าหุ้นระหว่างวันที่ 31 มีนาคม 2568 – 4 เมษายน 2568 ตามที่ได้แจ้งแล้วนั้น           เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับชำระมูลค่าการเสนอขายรวม 5,000,000 บาท จึงทำให้จำนวนหุ้นที่จัดสรรลดลงเหลือ 20,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท บริษัทฯ ขอเรียนว่า บริษัทฯ ได้รับชำระเงินค่าจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าวจาก Advance Opportunities Fund 1 เรียบร้อยแล้ว และบริษัทฯ ได้ดำเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้วตามรายละเอียดข้างต้น ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์เป็นที่เรียบร้อยแล้วในวันที่ 3 เมษายน 2568

ECF ปรับเกมรุกปี 68 เร่งเครื่องธุรกิจ เต็มกำลัง เผยปี 67 รายได้ 1,363.43 ล.

ECF ปรับเกมรุกปี 68 เร่งเครื่องธุรกิจ เต็มกำลัง เผยปี 67 รายได้ 1,363.43 ล.

           ECF เผยทิศทางธุรกิจปี 2568 ปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ มุ่งเน้นขายสินค้า มาร์จิ้นสูง ควบคู่การบริหารจัดการต้นทุน เพิ่มความสามารถการทำกำไร เร่งเครื่องธุรกิจย่อย โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบู เฟส 2 ธุรกิจตรวจสอบอัตลักษณ์ ขยายฐานรายได้เพิ่ม คาดเริ่มเห็นความชัดเจน ไตรมาส 2 ปี 2568 ขณะที่ผลประกอบการปี 2567 รายได้ 1,363.43 ล้านบาท            นายพชรฐณพงษ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) (ECF) เปิดเผยทิศทางธุรกิจปี 2568 บริษัทฯ วางกลยุทธ์การปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ มุ่งเน้นการบริหารจัดการต้นทุน การบริหารและการขายอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมลดค่าใช้จ่ายในทุกด้าน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินและเพิ่มความสารมารถในการทำกำไร นอกจากนี้ บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการจำหน่ายสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูงในตลาดที่มีศักยภาพ เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน และขยายฐานรายได้อย่างต่อเนื่อง            นอกจากนี้บริษัทฯ มุ่งเน้นการเพิ่มรายได้จากธุรกิจใหม่ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้ามินบู ซึ่งมีแผนเร่งดำเนินงานเฟส 2 ให้สามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ได้รวดเร็วขึ้น รวมถึงการพัฒนาธุรกิจการตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคล (KYC business) ซึ่งจะเร่งขยายฐานลูกค้าภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่บริษัทฯ            สำหรับผลประกอบการปี 2567 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,363.43  ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,374.50 ล้านบาท หรือ ลดลง 2%            ทั้งนี้ ภาพรวมผลประกอบการปรับตัวลดลง ผลจากปริมาณคำสั่งซื้อจากกลุ่มลูกค้าประเทศอินเดียลดลงอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากมีการประกาศใช้มาตรฐานผลิตภัณฑ์ที่รัฐบาลอินเดียประกาศให้เริ่มมีผลบังคับใช้และบริษัทฯ อยู่ระหว่างการปรับตัวต่อมาตรฐานดังกล่าว รวมถึงสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว อีกทั้ง ต้นทุนขาย ต้นทุนในการจัดจำหน่าย ค่าใช้จ่ายในการบริหาร ต้นทุนทางการเงิน ต้นทุนวัตถุดิบ ต้นทุนการปรับปรุงกระบวนการผลิต ต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้น จากการเปลี่ยนแปลงนโยบายแรงงาน และ อัตราค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น            “อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าการปรับกลยุทธ์ดังกล่าว จะเป็นก้าวสำคัญในการพลิกฟื้นผลการดำเนินงานให้กลับมาเป็นบวก โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นความชัดเจนตั้งแต่ไตรมาสที่ 2/2568 เป็นต้นไป พร้อมสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว” นายพชรฐณพงษ กล่าว [PR News]

“เฟอร์นิเจอร์” ปี68 โต2.9% CHIC-ECF โหนกระแส

“เฟอร์นิเจอร์” ปี68 โต2.9% CHIC-ECF โหนกระแส

          หุ้นวิชั่น - Krungthai COMPASS คาด “แนวโน้มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์” ปี 68 โต 2.9% ตลาดในประเทศ ส่งออกขยายตัว จับตา Eco-friendly Furniture ตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่ สอดรับนโยบาย ESG จับตา บจ.CHIC,ECF,FANCY,EURO,ILM,MODERN,ROCK,SIAM           ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS เปิดเผยถึง “แนวโน้มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์” ว่า มูลค่าตลาดเฟอร์นิเจอร์โดยรวมในปี 2567-68 มีแนวโน้มขยายตัว 4.5% YoY และ 2.9% YoY ตามลำดับ แบ่งเป็นมูลค่าตลาดเฟอร์นิเจอร์ในประเทศ (70% ของมูลค่าตลาดรวม) คาดจะทยอยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วยอัตรา 2.0% YoY และ 2.9% YoY ตามลำดับ ส่วนตลาดส่งออก (30% ของมูลค่าตลาดรวม) คาดขยายตัวที่ 10.4% YoY และ 2.7% YoY ตามลำดับ           ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ยังมีความเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ 1) กำลังซื้อในประเทศที่ยังเปราะบาง อาจทำให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อเฟอร์นิเจอร์ออกไป 2) การแข่งขันที่อยู่ในระดับสูง และยังมีแนวโน้มที่จะถูกตีตลาดจากเฟอร์นิเจอร์ของประเทศคู่แข่ง 3) ต้นทุนการผลิตที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงค่าแรงที่อาจปรับขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งจะบั่นทอนความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ และยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ อาทิ นโยบายการค้าในตลาดโลก และค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่า           ในระยะข้างหน้า ธุรกิจควรต่อยอดการผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่มีความยั่งยืน เช่น Eco-friendly Furniture เพื่อตอบโจทย์ความต้องการลูกค้ายุคใหม่ และสอดรับกับแนวนโยบายด้าน ESG รวมถึงนโยบายการค้าในตลาดโลกล สรุปบทวิเคราะห์           ในปี 2567-68 คาดว่าตลาดเฟอร์นิเจอร์โดยรวมมีแนวโน้มขยายตัว 4.5% YoY และ 2.9% YoY ตามลำดับ แบ่งเป็น 1) ตลาดในประเทศ (สัดส่วน 70% ของมูลค่าตลาดรวม) คาดว่าจะฟื้นตัวได้อย่างจำกัดด้วยอัตราการขยายตัว 2.0% YoY และ 2.9% YoY ตามลำดับ เนื่องจากความต้องการใช้เฟอร์นิเจอร์สำหรับที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มถูกกดดันจากภาคอสังหาฯ ที่ยอดขายใหม่ยังไม่ฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม ยังได้รับอานิสงส์จากความต้องการใช้เฟอร์นิเจอร์ในกลุ่มสำนักงานและกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาชดเชยได้บางส่วน และ 2) ตลาดส่งออก (สัดส่วน 30% ของมูลค่าตลาดรวม) คาดว่าจะขยายตัวที่ 10.4% YoY และ 2.7% YoY ตามลำดับ โดยได้รับอานิสงส์จากการส่งออกเฟอร์นิเจอร์ไปตลาดที่มีศักยภาพสูง เช่น สหรัฐฯ ที่กลับมาขยายตัวตามทิศทางมูลค่าตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ ที่ทยอยปรับตัวดีขึ้น           อย่างไรก็ตาม ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ของไทยยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ 1) กำลังซื้อในประเทศที่ยังเปราะบาง และภาวะหนี้ครัวเรือนที่สูง ซึ่งกดดันทั้งภาคอสังหาฯ และความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อเฟอร์นิเจอร์ออกไป 2) การแข่งขันที่อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะการจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ เนื่องจากการเข้ามาในธุรกิจทำได้ง่าย ไม่มีข้อกำหนดหรือขั้นตอนที่ซับซ้อน รวมถึงการแข่งขันจากเฟอร์นิเจอร์จีนที่เข้ามาทำตลาดกับผู้บริโภคชาวไทยโดยตรงผ่านทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งอาจกดดันยอดขายของผู้ประกอบการไทย และ 3) ความสามารถในการทำกำไรถูกกดดันจากต้นทุนการผลิต เช่น ราคาไม้ยางพาราและราคาอะลูมิเนียมที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงค่าแรงงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามการปรับขึ้นค่าแรง ซึ่งส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น           นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ต้องติดตาม อาทิ นโยบายการค้าต่างประเทศของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ อาจทำให้ทิศทางและนโยบายการค้าเปลี่ยนแปลง การแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ก็เป็นปัจจัยที่กดดัน ทำให้การแข่งขันในตลาดส่งออกเฟอร์นิเจอร์ของไทยมีความยากลำบากมากขึ้น           ในระยะข้างหน้า ผู้ประกอบการในธุรกิจเฟอร์นิเจอร์อาจต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญจากมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้าเข้มงวดขึ้น เช่น มาตรฐาน CARB, มาตรการ EUDR และมาตรการ CBAM รวมถึงกระแสของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ดังนั้น ผู้ประกอบการควรพิจารณานำแนวคิดด้าน ESG มาผนวกกับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับนโยบายการค้าในตลาดโลก และช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว อาทิเช่น เฟอร์นิเจอร์ในกลุ่ม Eco-Friendly หรือ Green Furniture เป็นต้น           มูลค่าตลาดเฟอร์นิเจอร์โดยรวมในปี 2567-68 มีโอกาสขยายตัว 4.5% YoY และ 2.9% YoY ตามลำดับ ดังนั้น ตลาดในประเทศที่มีสัดส่วนประมาณ 70% ของมูลค่าตลาดรวม คาดว่าจะฟื้นตัวได้อย่างจำกัดด้วยอัตรา 2.0% YoY และ 2.9% YoY ตามลำดับ ขณะที่ตลาดส่งออกซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 30% ของมูลค่าตลาดรวม จะมีส่วนช่วยพยุงตลาดได้บ้าง โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ 10.4% YoY และ 2.7% YoY ตามลำดับ           ในปี 2567-68 คาดว่ามูลค่าตลาดในประเทศจะฟื้นตัวได้อย่างจำกัดด้วยอัตราการขยายตัว 2.0% YoY และ 2.9% YoY ตามลำดับ เนื่องจากถูกกดดันจากภาคอสังหาฯ ที่ยอดขายใหม่ยังไม่ฟื้นตัว และกระทบต่อความต้องการเฟอร์นิเจอร์สำหรับที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม ยังได้รับแรงหนุนจากความต้องการใช้เฟอร์นิเจอร์สำนักงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าตลาดสำนักงานให้เช่าในช่วงปี 2567-68 จะมีพื้นที่สำนักงานใหม่สร้างเสร็จเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 375,000 ตร.ม. ต่อปี ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนให้ความต้องการใช้เฟอร์นิเจอร์ในอาคารสำนักงานสูงขึ้น และยังได้รับอานิสงส์จากความต้องการใช้เฟอร์นิเจอร์ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่มีการปรับปรุงห้องพักและสงซื้อเฟอร์นิเจอร์เพิ่มเติบโตเพื่อรองรับการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยว           ส่วนมูลค่าส่งออกเฟอร์นิเจอร์ คาดว่าในปี 2567-68 จะขยายตัวที่ 10.4% YoY และ 2.7% YoY ตามลำดับ โดยได้รับอานิสงส์จากการส่งออกไปยังตลาดที่มีศักยภาพสูง อย่างสหรัฐฯ ที่มีสัดส่วนตลาดเกือบ 50% จะกลับมาขยายตัวตามรายจ่ายในการก่อสร้างที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ ที่ทยอยปรับตัวดีขึ้น โดย Technavio ได้คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยปีละ 4.4% CAGR (ปี 2566-71) ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนให้ความต้องการซื้อและนำเข้าเฟอร์นิเจอร์เพื่อตกแต่งที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคในสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น           ต้นทุนของธุรกิจผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์แบ่งเป็น 43% คือต้นทุนค่าสินค้า อีก 21% คือต้นทุนค่าแรงงาน และส่วนที่เหลือ 36% เป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าสาธารณูปโภค ค่าโฆษณาและส่งเสริมการขาย           โดยในช่วง 1-2 ปีนี้ อัตราการทำกำไรของธุรกิจมีแนวโน้มถูกกดดันจากต้นทุนการผลิต ได้แก่ 1) ราคาไม้ยางพาราที่ปรับตัวสูงขึ้นจาก 1.42-2.21 บาท/กิโลกรัมในปี 2564 มาอยู่ที่ 1.53-2.37 บาท/กิโลกรัมในปี 2567 2) ราคาวัตถุดิบกลุ่มโลหะ ได้แก่ ราคาอะลูมิเนียมที่ยังสูงกว่า ค่าเฉลี่ยปี 2561-63 ราว 30-35% ขณะที่ราคาเหล็กแม้จะมีทิศทางปรับตัวลดลง แต่ยังมีความผันผวนอยู่มาก ทำให้ความเสี่ยงต่อ Stock Loss เพิ่มขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของผู้ประกอบการ นอกจากนี้ 3) ค่าแรงงานที่มีโอกาสปรับขึ้นตามนโยบายปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำของรัฐบาล จะส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น           การแข่งขันของธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะการจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ เนื่องจากการเข้ามาในธุรกิจทำได้ง่าย ไม่มีระเบียบหรือขั้นตอนที่ซับซ้อน ซึ่งสะท้อนจากจำนวนผู้ประกอบการที่ดำเนินกิจการอยู่ในตลาดมากกว่า 5,000 ราย โดยส่วนใหญ่กว่า 90% เป็นผู้ประกอบการรายย่อย (Micro) และขนาดย่อม (Small) และเมื่อพิจารณาตามลักษณะการดำเนินธุรกิจ พบว่า ราว 53% ของจำนวนผู้ประกอบการทั้งหมดเป็นผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์           นอกจากนี้ ตลาดในประเทศและตลาดส่งออกต้องเผชิญกับการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นจากเฟอร์นิเจอร์ของจีนซึ่งได้เปรียบด้านราคา และปัจจุบันผู้ประกอบการจากจีนได้เข้ามาทำตลาดกับผู้บริโภคชาวไทยโดยตรงผ่าน 2 ช่องทางสำคัญ ได้แก่ 1) การขายทางออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ อาทิ Temu และ 2) การร่วมเป็นพันธมิตรกับตัวแทนจำหน่ายในไทย โดยนำเข้าเฟอร์นิเจอร์จากจีนที่ได้รับสิทธิ Free Trade Area (FTA) ภาษีนำเข้า 0% ซึ่งนับเป็นปัจจัยที่กดดันความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยได้           สำหรับผู้ประกอบการจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ประกอบไปด้วย บริษัท ชิค รีพับบลิค จำกัด (มหาชน) หรือ CHIC เป็นศูนย์รวมจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ สินค้าตกแต่งบ้าน ของใช้ในบ้าน ที่นอนและเครื่องนอน อย่างครบวงจร (One Stop Shopping) ในรูปแบบ Stand Alone ภายใต้ชื่อ "ชิค รีพับบลิค (CHIC)" และ "รีน่า เฮย์ (Rina Hey)"           บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) หรือ ECF เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์จากไม้ปาร์ติเคิลบอร์ด ไม้เอ็มดีเอฟแบบประกอบด้วยตนเอง เฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพารา กระดาษปิดผิว ไม้ยางพาราแปรรูปอบแห้ง และให้บริการตัดแผ่นปิดขอบไม้ (พีวีซี) เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเฟอร์นิเจอร์ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีหนึ่งในบริษัทย่อยที่ลงทุนด้านพลังงานทดแทน           บริษัท แฟนซีวู๊ด อินดัสตรีส จำกัด (มหาชน) หรือ FANCY ผู้ผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ไม้และแปรรูปไม้ยางพารา           บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน)  หรือ EURO ผู้ประกอบธุรกิจการจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านครบวงจร ครอบคลุมทั้งเฟอร์นิเจอร์ชุดครัว เฟอร์นิเจอร์สำนักงาน เฟอร์นิเจอร์นอกอาคาร ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและแสงสว่าง สินค้าและวัสดุเพื่อการตกแต่ง ของใช้ เครื่องนอน เครื่องออกกำลังกาย และสินค้าหรืออุปกรณ์เทคโนโลยี ภายใต้ชื่อร้าน "Euro Creations" และร้านภายใต้แบรนด์อื่นๆ           บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILM ผู้ประกอบธุรกิจร้านค้าปลีกจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านครบวงจรในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ร้านค้า "Index Living Mall" และแบรนด์อื่น ๆ รวมทั้งจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางอื่นๆ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ที่ครอบคลุมลูกค้าทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ และประกอบธุรกิจพื้นที่ให้เช่าภายใต้รูปแบบคอมมูนิตี้มอลล์ ภายใต้แบรนด์ "The Walk" "Little Walk" และ "Index Mall" รวมถึงพื้นที่เช่าในสาขาของ Index Living Mall           บริษัท โมเดอร์นฟอร์มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MODERN ผู้ผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ครบวงจรครอบคลุมทั้งเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน เฟอร์นิเจอร์บ้าน เฟอร์นิเจอร์ชุดครัว และเฟอร์นิเจอร์นอกอาคาร โดยจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายในประเทศผ่านทีมขายตรง ผ่านโชว์รูม และตัวแทนจำหน่ายในภูมิภาคต่างๆ ตลอดจนส่งออกต่างประเทศ นอกจากนี้ยังนำเข้าเฟอร์นิเจอร์และเป็นผู้นำเข้าวัสดุอุปกรณ์เฟอร์นิเจอร์และวัสดุเพื่อการตกแต่งภายในจากต่างประเทศ โดยบริษัทมีการให้บริการทั้งก่อนและหลังการขาย           บริษัท ร้อกเวิธ จำกัด (มหาชน) หรือ ROCK ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน           บริษัท สยามสตีลอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ SIAM ผู้ผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์เหล็กภายใต้เครื่องหมายการค้า LUCKY KINGDOM OKAMURA CHITOSE และ PILOT และเฟอร์นิเจอร์ไม้ ทั้งแบบลอยตัว และแบบ built-in ภายใต้เครื่องหมายการค้า KINGDOM และมีบริการรับตกแต่งภายใน ทั้งในอาคารสำนักงาน และบ้านพักอาศัย รวมทั้งผลิตและจำหน่ายอาคารสำเร็จรูปอเนกประสงค์ LUCKY Hi-Tech Building System           อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนจากกระบวนการผลิตและการกำจัดของเสียหลังจากไม่นำมาใช้งานแล้ว ท่านข้อมูลจาก European Environmental Bureau (EEB) ระบุว่า ในแต่ละปีมีเฟอร์นิเจอร์ในประเทศต่างๆ ในสหภาพยุโรปถูกเผาหรือฝังกลบไม่ต่ำกว่า 10 ล้านตัน ขณะที่ข้อมูลรายงานจาก MyToolShed (UK) ระบุว่า โดยเฉลี่ยการผลิตเฟอร์นิเจอร์แต่ละชนิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่บรรยากาศประมาณ 47 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเทียบเท่ากับการเผาไหม้ของน้ำมัน 20 ลิตร           จากประเด็นด้าน ESG ที่มีความเข้มข้นขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการในธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ โดยเฉพาะผู้ส่งออกทั่วโลกต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญจากมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศที่เป็นผู้นำเข้าสินค้าเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่ของโลก อาทิ มาตรฐาน CARB ของสหรัฐฯ รวมถึงมาตรการ EUDR และ CBAM ของสหภาพยุโรปที่จะบังคับใช้อย่างเข้มงวดในระยะถัดไป ดังนั้น ผู้ประกอบการควรพิจารณานำแนวคิดด้าน ESG มาผนวกกับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับนโยบายการค้าในตลาดโลกและช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

abs

ปตท. แข็งแกร่งร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน

ECF ผนึก KYC Now ตั้ง บ.ร่วมทุน แตกไลน์ธุรกิจใหม่เสริมแกร่ง

ECF ผนึก KYC Now ตั้ง บ.ร่วมทุน แตกไลน์ธุรกิจใหม่เสริมแกร่ง

           นายพชรฐณพงษ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) หรือ ECF ผู้ผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ครบวงจร จำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยว่า บริษัทฯ แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าการประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 ได้มีมติอนุมัติ ให้บริษัทจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) หรือ ECF กับบริษัท เควายซี นาว จำกัด (KYC Now) ร่วมพัฒนาและให้บริการตรวจสอบอัตลักษณ์ ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ และให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบอัตลักษณ์ เช่น ตรวจสอบหนังสือเดินทาง การตรวจสอบใบหน้าเทียบกับฐานข้อมูล เป็นต้น รวมทั้งประกอบธุรกิจให้คำแนะนำ ออกแบบและติดตั้งระบบซอฟแวร์และฮาร์ดแวร์ รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง            โดยคาดกระบวนกาจัดตั้งบริษัทร่วมทุนจะแล้วเสร็จ และรับรู้รายได้เข้ามาภายในไตรมาส 4/2567 ความร่วมมือทางธุรกิจในครั้งนี้ ถือเป็นการผนึกความแข็งแกร่งของทั้งสองธุรกิจ โดย KYC Now ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบอัตลักษณ์คิดค้นนวัตกรรมโดยทีมคนไทยที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในยุคดิจิทัลในปัจจุบัน ที่การทำธุรรรมออนไลน์เป็นที่แพร่หลาย การตรวจสอบอัตลักษณ์ที่รวดเร็ว แม่นยำ และปลอดภัยเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง            บริษัทร่วมทุนแห่งนี้จะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างในตลาดและตอบสนองความต้องการของทั้งภาคธุรกิจและบุคคลทั่วไป การร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของ ECF ในการก้าวเข้าสู่ธุรกิจที่มีศักยภาพสูง และเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ดียิ่งขึ้น เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรมต่างๆทั้งในภาคธุรกิจและภาครัฐ "ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับไอทีเป็นธุรกิจ S-Curve และมีฐานผู้ใช้บริการจำนวนมาก ดูได้จากจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศแต่ละปี และยังมีหน่วยงานภาครัฐ เอกชนอีกหลายแห่ง"นายพชรฐณพงษ กล่าว            นายณธกร ธนาชัยหิรัญ ผู้ก่อตั้ง บริษัท เควายซี นาว จำกัด กล่าวเสริมว่า KYC Now รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ ECF การผนึกกำลังกันของทั้งสองบริษัท จะช่วยให้เราสามารถนำเสนอบริการตรวจสอบอัตลักษณ์ที่ครอบคลุมและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคดิจิทัลที่การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลมีความสำคัญอย่างยิ่ง เราเชื่อมั่นว่าการร่วมมือกันครั้งนี้จะช่วยยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการทำธุรกรรมออนไลน์ของประเทศไทย และสร้างสรรค์อนาคตที่ดียิ่งขึ้นให้กับทุกภาคส่วน            นายพชรฐณพงษ เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจใหม่ที่จะเข้ามาเสริมฐานธุรกิจโดยรวมให้แข็งแกร่งขึ้น โดยจะเห็นภาพชัดเจนตั้งแต่ปี 2568 ส่วนธุรกิจผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์มีสัญญาณการเติบโตที่ดีและคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างชัดเจนในไตรมาส 4/2567 หลังจากบริษัทปรับแผนการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยกระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้วในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา            และคาดว่าในปี 2568 ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์จะได้รับแรงสนับสนุนจากการส่งออก โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ มีประธานาธิบดีคนใหม่ และสถานการณ์สงครามการค้าต่างประเทศเอื้อต่อคำสั่งซื้อสำหรับการผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์เพื่อการส่งออก เบื้องต้นบริษัทคาดการณ์การเติบโตของธุรกิจผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ในระดับ 12-15% จากปี 2567

ECF ผนึก KYC Now ตั้งบริษัทร่วมทุน แตกไลน์ธุรกิจใหม่ เสริมแกร่ง

ECF ผนึก KYC Now ตั้งบริษัทร่วมทุน แตกไลน์ธุรกิจใหม่ เสริมแกร่ง

           ECF เดินหน้าขยายธุรกิจสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ประกาศจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัท เควายซี นาว จำกัด (KYC Now) ผู้ให้บริการตรวจสอบอัตลักษณ์ด้วยทีมงานคนไทย ร่วมพัฒนาและให้บริการตรวจสอบอัตลักษณ์ที่ครอบคลุมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เสริมความแข็งแกร่งผ่านการผสมผสานระหว่าง 2 ธุรกิจ ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยการทำธุรกรรมออนไลน์ของประเทศไทย และสร้างสรรค์อนาคตที่ดียิ่งขึ้นให้กับทุกภาคส่วน             นายพชรฐณพงษ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) (ECF) ผู้ผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ครบวงจร จำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยว่า บริษัทฯ แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าการประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 ได้มีมติอนุมัติ ให้บริษัทจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) (ECF) กับบริษัท เควายซี นาว จำกัด (KYC Now) ร่วมพัฒนาและให้บริการตรวจสอบอัตลักษณ์ ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ และให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบอัตลักษณ์ เช่น ตรวจสอบหนังสือเดินทาง การตรวจสอบใบหน้าเทียบกับฐานข้อมูล เป็นต้น รวมทั้งประกอบธุรกิจให้คำแนะนำ ออกแบบและติดตั้งระบบซอฟแวร์และฮาร์ดแวร์ รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง            ความร่วมมือทางธุรกิจในครั้งนี้ ถือเป็นการผนึกความแข็งแกร่งของทั้งสองธุรกิจ โดย KYC Now ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบอัตลักษณ์คิดค้นนวัตกรรมโดยทีมคนไทยที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในยุคดิจิทัลในปัจจุบัน ที่การทำธุรกรรมออนไลน์เป็นที่แพร่หลาย การตรวจสอบอัตลักษณ์ที่รวดเร็ว แม่นยำ และปลอดภัยเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง บริษัทร่วมทุนแห่งนี้จะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างในตลาดและตอบสนองความต้องการของทั้งภาคธุรกิจและบุคคลทั่วไป            การร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของ ECF ในการก้าวเข้าสู่ธุรกิจที่มีศักยภาพสูง และเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ดียิ่งขึ้น เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ทั้งในภาคธุรกิจและภาครัฐ            นายณธกร ธนาชัยหิรัญ ผู้ก่อตั้ง บริษัท เควายซี นาว จำกัด กล่าวเสริมว่า KYC Now รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ ECF การผนึกกำลังกันของทั้งสองบริษัท จะช่วยให้เราสามารถนำเสนอบริการตรวจสอบอัตลักษณ์ที่ครอบคลุมและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคดิจิทัลที่การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลมีความสำคัญอย่างยิ่ง เราเชื่อมั่นว่าการร่วมมือกันครั้งนี้จะช่วยยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการทำธุรกรรมออนไลน์ของประเทศไทย และสร้างสรรค์อนาคตที่ดียิ่งขึ้นให้กับทุกภาคส่วน" [PR News]

พฤอา
311234567891011121314151617181920212223242526272829301234567891011