ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#DSI


DSI บุกทลายเหมืองบิตคอยน์เถื่อน สมุทรสาคร สูญกว่า 500 ล้าน!

DSI บุกทลายเหมืองบิตคอยน์เถื่อน สมุทรสาคร สูญกว่า 500 ล้าน!

           หุ้นวิชั่น - วันนี้ (วันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2568) พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย ร้อยตำรวจเอก เขมชาติ ประกายหงษ์มณี ผู้อำนวยการกองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ นายพีระพล ปูรณะโชติ รองผู้ว่าการภาคกลางและใต้ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) นายธนะ โชคพระสมบัติ ผู้ช่วยผู้ว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 3 (ภาคกลาง) และ ร้อยตำรวจเอก เขตรัฐ ชาญศิลป์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ลงพื้นที่ตรวจค้นโกดัง จำนวน 3 แห่ง ต้องสงสัยว่าใช้เป็นสถานที่ ลักลอบใช้ไฟฟ้าเพื่อตั้งเหมืองขุดเงินดิจิทัลผิดกฎหมายในจังหวัดสมุทรสาคร ภายใต้ชื่อปฏิบัติการ “รื้อเหมืองขุดบิตคอยน์ลับ” (Bitforge Operation : เป็นแพลตฟอร์มขุดเหรียญคริปโตระบบออโตขุด USDC และ USDT)            การปฏิบัติการ “รื้อเหมืองขุดบิตคอยน์ลับ” ในครั้งนี้สืบเนื่องจากกรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับการร้องเรียนจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 3 (ภาคกลาง) ว่าพบการใช้ไฟฟ้าผิดปกติในโกดังหลายแห่ง โดยตรวจสอบพบว่าเป็นเครือข่ายขุดบิตคอยน์เถื่อนที่ใช้ไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งได้ดำเนินการมาแล้วประมาณ 3 ปี ทำให้รัฐเสียหายกว่า 500 ล้านบาท โดยขอให้ดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงได้มอบหมายให้กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศเป็นหน่วยงานรับผิดชอบทำการสืบสวน            โดยพบว่ามีเครือข่ายผู้ลักลอบกระทำความผิด ใช้โกดังลักษณะทำเป็นโรงงาน จำนวน 3 แห่ง ซึ่งบางแห่งเป็นโกดังร้างไม่มีบุคคลอาศัยอยู่ กระจายตัวในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร เจ้าหน้าที่กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศจึงได้ขอหมายค้นเข้าทำการตรวจค้น ผลการตรวจค้น ทั้ง 3 จุด พบเครื่องขุดสกุลเงินดิจิทัล จุดที่ 1 โกดังในพื้นที่ตำบลนาดี อำเภอเมือง จำนวน 396 เครื่อง จุดที่ 2 ในพื้นที่ตำบลบ้านเกาะ อำเภอเมือง จำนวน 462 เครื่อง จุดที่ 3 ตำบลท่าทราย อำเภอเมือง จำนวน 930 เครื่อง รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,788 เครื่อง            พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุว่า ปฏิบัติการครั้งนี้เราสามารถ ยึดเครื่องมืออุปกรณ์ในการขุดบิตคอยน์จำนวนมากที่สุดเท่าที่มีการจับกุมมา ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่เพียงแต่ทำให้รัฐสูญเสียรายได้แต่ยังกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและพลังงานของประเทศ ถือว่าเป็นอาชญากรรม ทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลให้ความสำคัญ โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษจะดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องตามกฎหมาย อย่างเด็ดขาดพร้อมจะขยายผลการสืบสวนเพิ่มเติม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำผิดในลักษณะเดียวกันอีกในอนาคต และขอความร่วมมือเจ้าของและผู้พักอาศัยในอาคารพาณิชย์ช่วยสังเกตพื้นที่โดยรอบ หากพบสิ่งผิดปกติหรือสถานที่ต้องสงสัย ให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที ทั้งนี้ หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าเกี่ยวข้อง จะมอบหมายให้ กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินคดีอย่างถึงที่สุดเพื่อรักษาผลประโยชน์และความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ

DSI ส่งสำนวนอัยการคดีหมอบุญ ฉ้อโกงประชาชนเสียหายกว่า 14,200 ลบ.

DSI ส่งสำนวนอัยการคดีหมอบุญ ฉ้อโกงประชาชนเสียหายกว่า 14,200 ลบ.

          ตามที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้รับโอนสำนวนการสอบสวนคดีอาญาจาก กองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณี นายแพทย์บุญ (สงวนนามสกุล) กับพวก ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันกระทำความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง เป็นคดีพิเศษที่ 136/2567 เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ           โดย กองกิจการอำนวยความยุติธรรม ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ร่วมกันทำการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน จากผู้กล่าวหาและผู้เสียหาย จำนวนกว่า 605 ราย ปรากฏมูลค่าความเสียหาย 14,246,048,033 บาท และสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดเข้าสู่สำนวนแล้ว จำนวน 13 ราย           หลังจากเมื่อวันศุกร์ที่ 24 มกราคมที่ผ่านมาคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษในคดีดังกล่าวได้มีการประชุมและมีมติเห็นควรเสนอให้พนักงานอัยการสั่งฟ้องผู้ต้องหาจำนวน 16 ราย ในความผิดฐาน“ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนตามพระราชกำหนด การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และที่แก้ไขเพิ่มเติมและร่วมกันฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา”           ล่าสุดวันนี้ (วันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2568) พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มอบหมายให้ ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ/หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ เลขานุการคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 136/2567 นำสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษดังกล่าว จำนวน 342 แฟ้ม รวมเอกสารกว่า 130,000 แผ่น พร้อมความเห็นควรสั่งฟ้อง นายแพทย์บุญ (สงวนนามสกุล) กับพวก รวม 16 ราย ซึ่งถูกจับกุมแล้ว จำนวน 13 ราย (อีก 3 รายหลบหนีอยู่ระหว่างติดตามตัวรวมทั้งนายแพทย์บุญฯ ด้วย) ไปส่งมอบให้แก่พนักงานอัยการคดีพิเศษ สำนักงานคดีพิเศษเพื่อให้พนักงานอัยการมีความเห็นทางคดีต่อไป           ทั้งนี้ การดำเนินการสอบสวนคดีพิเศษให้มีความรวดเร็ว ต่อเนื่อง และเป็นธรรม เป็นนโยบายหลักประการสำคัญของ พันตำรวจตรี ยุทธนา  แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการสอบสวนคดีพิเศษและให้เป็นที่เชื่อถือ ศรัทธา ของสังคมในการป้องกันปราบปรามสืบสวนสอบสวนคดีในความรับผิดชอบ เพื่อให้การบริหารองค์การมีความยั่งยืนตามหลักธรรมาภิบาลต่อไป

DSI แจ้งความดำเนินคดีกับ “เอก สายไหมต้องรอด กับพวก” ฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา

DSI แจ้งความดำเนินคดีกับ “เอก สายไหมต้องรอด กับพวก” ฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา

          หุ้นวิชั่น - ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อสาธารณะว่า เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2567 นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ และ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ได้เดินทางมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษ และให้สัมภาษณ์แก่นักข่าวและสื่อมวลชนว่า เมื่อประมาณช่วงปี พ.ศ. 2564 ถึง 2565 มีบุคคลซึ่งนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ได้กล่าวใส่ความว่า “เทวดา” ในหน่วยงานของรัฐหลายหน่วยซึ่งหมายความรวมถึง กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ให้ความคุ้มครองดูแล บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด เพื่อมิให้ถูกดำเนินคดี เมื่อบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด ได้มีการกระทำความผิดตามกฎหมาย ซึ่ง กรมสอบสวนคดีพิเศษ เห็นว่ากรณีดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญที่ประชาชนให้ความสนใจอย่างกว้างขวางและอาจจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศจึงได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับในเรื่องดังกล่าวและผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่าเรื่องดังกล่าวไม่มีมูลความจริง           แต่ด้วยพฤติการณ์ของ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ กับพวก ได้กล่าวยืนยันในข้อเท็จจริงในลักษณะที่ทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนทั่วไปหลงเชื่อและเข้าใจผิดได้ว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทางอาญาที่เป็นคดีพิเศษรวมถึงคดีพิเศษอันเกี่ยวกับคดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน (คดีแชร์ลูกโซ่) คอยให้ความช่วยเหลือ หรืออำนวยความสะดวกหรือกระทำการใด ๆ ในลักษณะที่เป็นการมิชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์กับ บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด ผู้ต้องหาในคดีพิเศษ การแถลงข้อมูลและใส่ความดังกล่าวไม่มีมูลความจริงและปราศจากพยานหลักฐานอ้างอิงทำให้กรมสอบสวนคดีพิเศษในฐานะหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายโดยตรงได้รับความเสียหายการกระทำของบุคคลดังกล่าวกับพวกอาจจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของประเทศ การกระทำมิได้ประสงค์ จะให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวนด้วยความสุจริตกรมสอบสวนคดีพิเศษจึงมอบหมายให้ผู้อำนวยการกองกฎหมายร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้ดำเนินคดีอาญากับ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ และผู้ที่เกี่ยวข้องในความผิดฐาน หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 และมาตรา 328 ต่อไป           ทั้งนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ มีความตระหนักดีว่าหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเป็นหน่วยงานของรัฐ ซึ่งสามารถถูกตรวจสอบได้จากภาคประชาชนและองค์กรสาธารณะที่ให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง หรือแสดงความเห็นด้วยความสุจริตใจ ติชม ด้วยความเป็นธรรมตามวิสัยของประชาชนทั่วไปอันมิใช่เป็นการสร้างข้อมูลอันเป็นเท็จมีเจตนาแฝงซ่อนเร้นด้วยผลประโยชน์อันไม่ชอบด้วยประการอื่นหากกรมสอบสวนคดีพิเศษละเลยไม่ร้องทุกข์ดำเนินคดีย่อมจะกระทบต่อความเชื่อมั่นที่สาธารณชนหรือประชาชนที่สุจริตได้มีการให้ข้อมูล เบาะแส ติชม ตามทำนองคลองธรรมของระเบียบกฎหมายได้

DSI เร่งเครื่อง! ประชุมคดี 'หมอบุญ' ฉ้อโกง มูลค่าความเสียหายกว่า 12,000 ล้านบาท

DSI เร่งเครื่อง! ประชุมคดี 'หมอบุญ' ฉ้อโกง มูลค่าความเสียหายกว่า 12,000 ล้านบาท

             หุ้นวิชั่น - วันนี้ (วันศุกร์ที่ 3 มกราคม 2568) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 1 อาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผู้อำนวยการกองกิจการอำนวยความยุติธรรม พร้อมด้วยคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้ประชุมร่วมกับ พล.ต.ต. อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 และคณะ กรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับโอนสำนวนการสอบสวนคดีอาญาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในคดีนายแพทย์บุญ (สงวนนามสกุล) กับพวก ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันกระทำความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง เป็นคดีพิเศษที่ 136/2567              ร้อยตำรวจเอก วิษณุฯ ได้กล่าวสรุปผลการประชุมว่า “กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับสอบสวนคดีดังกล่าวไว้เป็นคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2567 ในวันนี้จึงได้มีการประชุมร่วมกันกับคณะพนักงานสอบสวนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติในฐานะผู้รับผิดชอบเดิม เพื่อรับฟังสรุปผลการดำเนินการที่ผ่านมารวมทั้งได้ร่วมกันกำหนดแนวทางการประสานความร่วมมือในการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อให้เกิดความครบถ้วน รวดเร็วและมีประสิทธิภาพในการสืบสวนสอบสวนและสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นกับผู้ได้รับผลกระทบทางคดีให้มากที่สุด ซึ่งมีจำนวนกว่า 495 ราย ทั้งนี้ แม้มีกำหนดระยะเวลาการดำเนินงานไม่มากเนื่องจากทางคดีมีการจับกุมผู้กระทำความผิดเข้าสู่กระบวนการแล้ว จำนวน 13 ราย แต่ด้วยมูลค่าความเสียหายและผลกระทบที่เกิดขึ้นจำนวนมากกว่า 12,000 ล้านบาท กรมสอบสวนคดีพิเศษจะเร่งรัดทำการสืบสวนสอบสวนด้วยความสุจริต รอบคอบและรัดกุมเพื่อติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดที่เหลืออยู่ และยึดอายัดทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดรวมไว้ในสำนวนการสอบสวนก่อนสรุปและมีความเห็นทางคดีส่งพนักงานอัยการคดีพิเศษ ภายในเดือนมกราคม 2568”

abs

ปตท. แข็งแกร่งร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน

DSI ส่งฟ้อง ชนินทร์-ศรัทธา และยสบวร คดีใช้ข้อมูลวงในขายหุ้น STARK ละเมิดกฎหมายหลักทรัพย์

DSI ส่งฟ้อง ชนินทร์-ศรัทธา และยสบวร คดีใช้ข้อมูลวงในขายหุ้น STARK ละเมิดกฎหมายหลักทรัพย์

          หุ้นวิชั่น - DSI ส่งสำนวนสั่งฟ้องผู้ต้องหาร่วมกันใช้ข้อมูลภายในของบริษัทสตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) “STARK” ทำการขายหลักทรัพย์ STARK ก่อนที่จะมีการเปิดเผยข้อเท็จจริงดังกล่าวต่อสาธารณชน           วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม 2567) กองคดีการเงินการธนาคารและการฟอกเงิน กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ดำเนินการส่งสำนวนคดีพิเศษที่ 2/2567 กรณีสำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวโทษต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อให้สอบสวนดำเนินคดี กรณีผู้ต้องหา จำนวน 3 ราย ได้แก่ นายชนินทร์ (สงวนนามสกุล) นายศรัทธา (สงวนนามสกุล)และนางสาวยสบวร (สงวนนามสกุล) กรณีร่วมกันใช้ข้อมูลภายในของ บริษัท สตาร์ค่ะคอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทำการขายหลักทรัพย์ STARK ก่อนที่จะมีการเปิดเผยข้อเท็จจริงดังกล่าว ต่อสาธารณชน อันเข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 242 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา โดยอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษได้มีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาจำนวน 3 ราย ตามข้อกล่าวหาดังกล่าว และเสนอสำนวนให้พนักงานอัยการพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

DSI เปิดตู้คอนเทนเนอร์ท่าเรือแหลมฉบัง พบบุหรี่ไฟฟ้าลักลอบนำเข้าจากจีน กว่า 10 ล้านบาท

DSI เปิดตู้คอนเทนเนอร์ท่าเรือแหลมฉบัง พบบุหรี่ไฟฟ้าลักลอบนำเข้าจากจีน กว่า 10 ล้านบาท

            เนื่องด้วยปัจจุบันมีการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในสังคมไทยเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับบุหรี่ไฟฟ้ายังคงเป็นสินค้าที่ไม่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าและจำหน่ายในประเทศ จึงเกิดขบวนการลักลอบนำบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาเพื่อจำหน่าย ในราชอาณาจักร ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม รวมถึงสุขภาพของประชาชนโดยกำลังระบาดเข้าไปในกลุ่มวัยรุ่นรวมทั้งเด็กและเยาวชนทำให้เกิดความกังวลใจของพ่อแม่ผู้ปกครอง ซึ่งในระยะยาวอาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงได้เล็งเห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการปราบปราม การลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าประกอบกับได้มีการร้องขอจากภาคีอุตสาหกรรมยาสูบให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว             พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงได้มอบหมายให้ กองคดีภาษีอากร บูรณาการร่วมกับ กรมศุลกากร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการสืบสวนสอบสวนขบวนการลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า เข้ามาภายในราชอาณาจักร ภายใต้การอำนวยการของ นายธานินทร์ เปรมปรีดิ์ ผู้อำนวยการกองคดีภาษีอากร ได้สั่งการให้ พันตำรวจตรี กล้าหาญ คล่องพยาบาล รองผู้อำนวยการกองคดีภาษีอากร นายปัณฑ์พิสิษฐ์ วิสาลเสสถ์ผู้อำนวยการส่วนคดีภาษีอากร 2 พร้อมคณะ ได้ทำการสืบสวนกรณีดังกล่าว จากการสืบสวนทราบว่าจะมี การลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาภายในราชอาณาจักรผ่านทางท่าเรือแหลมฉบัง วันที่ 22 - 23 ธันวาคม 2567 โดยซุกซ่อนมาในตู้คอนเทนเนอร์ปะปนกับสินค้าอื่น             ในวันนี้ (24 ธันวาคม 2567) พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ลงพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง พร้อมด้วยคณะพนักงานสืบสวนกองคดีภาษีอากร ร่วมกับสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง โดย นายวุฒิ เร่งประดุงทอง ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง พร้อมเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบสินค้าต้องสงสัยต้นทางมาจากประเทศจีน ผลการตรวจสอบพบบุหรี่ไฟฟ้าจำนวน 47,495 ชิ้น มูลค่ารวมกว่า 10 ล้านบาท ถูกซุกซ่อนปะปนมากับสินค้าอื่นเข้ามาอยู่ภายในตู้คอนเทนเนอร์ อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงได้ร่วมกับกรมศุลกากรยึดอายัดของกลางดังกล่าวไว้และจะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

DSI ปล่อยโดรน

DSI ปล่อยโดรน "Vtol" ตรวจบุกรุกป่าสงวนฯ

          DSI ลงพื้นที่นำอากาศยานไร้คนขับแบบ Vtol ตรวจสอบกรณีมีการร้องเรียนเอกชนถือครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองพระยาอาจโดยมิชอบด้วยกฎหมาย มูลค่าความเสียหายหลายร้อยล้านบาท           ตามที่ พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และพันตำรวจตรี จตุพล บงกชมาศ ผู้อำนวยการกองปฏิบัติการคดีพิเศษภาค ได้มอบหมายและกำชับให้ศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษ เขตพื้นที่ 8 เฝ้าระวังอาชญากรรมพิเศษในพื้นที่รับผิดชอบ ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต กระบี่ พังงา ชุมพร ระนอง นครศรีธรรมราช และจังหวัด สุราษฎร์ธานี โดยเป็นกลุ่มจังหวัดที่เป็นพื้นที่แหล่งทรัพยากรธรรมชาติเป็นจำนวนมาก จึงมีโอกาสสูงที่จะเกิดอาชญากรรมที่เป็นคดีพิเศษ โดยเฉพาะกรณีเกี่ยวกับการบุกรุกยึดถือแหล่งทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่รับผิดชอบ นั้น           โดยวานนี้ (วันอังคารที่ 17 ธันวาคม 2567) นายศุภชัย คำคุ้ม ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษ เขตพื้นที่ 8 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษ เขตพื้นที่ 8 และคณะ ได้สนธิกำลังร่วมกับ นายไกรศรี สว่างศรี ผู้อำนวยการส่วนแผนที่และเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ กองเทคโนโลยีและศูนย์ข้อมูลการตรวจสอบ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ นำอากาศยานไร้คนขับแบบ Vtol ที่สามารถทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศแบบความละเอียดถูกต้องสูง ร่วมกับระบบ DSI Crime Map ทำการบินสำรวจจัดทำแผนที่เกิดเหตุ บริเวณพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าปลายคลองพระยา ตำบลปลายพระยา อำเภอปลายพระยา จังหวัดกระบี่ ซึ่งมีกรณีกล่าวหาว่า บริษัทแห่งหนึ่ง ได้ถือครองที่ดินตามเอกสารสิทธิ์ที่ดินประเภทหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) จำนวน 21 แปลง เนื้อที่กว่า 766 ไร่ ทับซ้อนพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าว โดยรับเรื่องเป็นสำนวนสืบสวนที่ 161/2567 ในการลงพื้นที่ มีหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 12 (สาขากระบี่) ศูนย์ป้องกันและปราบปรามที่ 4 ภาคใต้ เจ้าหน้าที่สำนักพัฒนาที่ดินเขต 11 (สุราษฎร์ธานี) เจ้าหน้าที่สถานีพัฒนาที่ดินกระบี่ เจ้าหน้าที่ที่ดินจังหวัดกระบี่ สาขาอ่าวลึก เจ้าหน้าที่ป่าไม้หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ กบ.5 (ปลายพระยา) และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ได้แก่ นายอำเภอปลายพระยา และผู้ใหญ่บ้านที่เกี่ยวข้อง ร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้ด้วย           จากการตรวจสอบลงพื้นที่ตรวจสอบพบว่า บริษัทดังกล่าว มีการถือครองที่ดินทับซ้อนกับพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติฯ ตามคำร้อง โดยเอกสารสิทธิ์ที่ดิน ที่ใช้อ้างในการครอบครอง ทั้งที่มีขึ้นก่อนและหลังประกาศกำหนดให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติ ป่าปลายคลองพระยา ที่ต้องสืบสวนขยายผลการได้มาซึ่งเอกสารดังกล่าวให้ชัดเจน หากเกิดจากเป็นการกระทำที่มิชอบ ย่อมเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 หรืออาจเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 หรืออาจเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดินและที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 9 ซึ่งมีโทษตามมาตรา 108 ทวิ และความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง และจะมีมูลค่าความเสียหายหลายร้อยล้านบาท หลังจากนี้ศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษ เขตพื้นที่ 8 จะเร่งรัดการสืบสวนเพื่อพิจารณาตามพระราชบัญญัติการสอบสวนพิเศษ พ.ศ. 2547 หากเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษ จะเสนอผู้บังคับบัญชามีคำสั่งให้ทำการสอบสวนเป็นพิเศษโดยเร็ว [PR News]

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

DSI รวบครบ หมอ พยาบาล นายหน้าร่วมขบวนการอุ้มบุญเถื่อน !!

DSI รวบครบ หมอ พยาบาล นายหน้าร่วมขบวนการอุ้มบุญเถื่อน !!

          หุ้นวิชั่น - วานนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม 2567) ศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว ภายใต้การอำนวยการของ นายวิทวัส สุคันธรส ผู้อำนวยการศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว ได้จับกุม นางสาวอมลยา (สงวนนามสกุล) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5636/2567 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 จับกุมได้ที่บริเวณคอนโดมิเนียม ถนนลาดพร้าว แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร นำส่งพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กองคดีการค้ามนุษย์ ดำเนินคดีกรณีดังกล่าว สืบเนื่องจาก กองคดีการค้ามนุษย์ ภายใต้การอำนวยการของ พันตำรวจตรี สิริวิชญ์ เกษมทรัพย์ ผู้อำนวยการกองคดีการค้ามนุษย์ ได้สืบสวนสอบสวนคดีพิเศษที่ 235/2565กรณีกลุ่มบุคคลกระทำการเป็นขบวนการนายหน้าจัดให้มีการรับตั้งครรภ์แทนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (อุ้มบุญ) ทางคดีมีพยานหลักฐานว่า นางสาวอมลยา (สงวนนามสกุล) ทำหน้าที่เป็นนายหน้าจัดหาหญิงมารับจ้างอุ้มบุญโดยผิดกฎหมาย จึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาเพื่อออกหมายจับ นางสาวอมลยาฯ ในความผิดฐาน ร่วมกันดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทน เพื่อประโยชน์ทางการค้าร่วมกันดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทน เพื่อประโยชน์ทางการค้า และร่วมกันกระทำเป็นคนกลาง หรือนายหน้า โดยเรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน เพื่อเป็นการตอบแทนในการให้มีการรับตั้งครรภ์แทน ซึ่งศาลอาญาได้ออกหมายจับตามคำร้อง และกองคดีการค้ามนุษย์ได้ประสานงานกับศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว เพื่อติดตามจับกุมผู้ต้องหาดังกล่าว           อนึ่ง สัปดาห์ที่ผ่านมา ศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว ยังได้จับกุม นางสาววนากานต์ (สงวนนามสกุล) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5638/2567 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 นางสาววรารัตน์ (สงวนนามสกุล) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5640/2567 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีเดียวกันได้ที่บริเวณโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในพื้นที่ แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร และจับกุมนางสาวกรรณิการ์ (สงวนนามสกุล) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5639/2567 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 ได้ที่หน้ากรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งทั้ง 3 ราย เป็นแพทย์และพยาบาลที่ทำการฝังตัวอ่อนในครรภ์ของหญิงอุ้มบุญ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ จึงแจ้งข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้ให้บริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันทางการแพทย์จะดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนให้แก่สามี และภรรยา โดยไม่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ ให้ดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนให้แก่สามีและภรรยารายนั้นและร่วมกันดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้าร่วมกันดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า โดยจับกุมผู้ต้องหารายนี้ เป็นรายที่ 4           การดำเนินการในการติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีพิเศษ เป็นไปตามข้อสั่งการของ พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่กำหนดให้ศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว ซึ่งเป็นหน่วยงานขึ้นตรงการบังคับบัญชา จัดชุดปฏิบัติการติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ โดยเฉพาะหมายจับที่ใกล้ขาดอายุความ เพื่อนำตัวผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดที่ยังหลบหนี เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป

DSI เปิดเวทีเสวนา STARK: ถอดบทเรียน

DSI เปิดเวทีเสวนา STARK: ถอดบทเรียน "แผนประทุษกรรม" สู่วิธีป้องกัน-เยียวยาผู้เสียหายกว่า 14,000 ล้านบาท

          หุ้นวิชั่น -  วันนี้ (2 ธันวาคม 2567) ณ ห้องประชุม 10-09 อาคารกระทรวงยุติธรรม พันตำรวจตรี ยุทธนาแพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษและคณะทำงานศึกษาแผนประทุษกรรมกรณีบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)” ได้จัดงานเสวนาทางวิชาการเรื่อง “แผนประทุษกรรมกรณี บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (STARK)” ขึ้น ซึ่งกรณีดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นมาจากการกระทำความผิดในตลาดทุนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหลายเหตุการณ์ในประเทศไทย ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุนและก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนและสังคมโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้มีพฤติการณ์การตกแต่งบัญชีและใช้งบการเงินอันเป็นเท็จในลักษณะที่มุ่งหวังหลอกลวงนักลงทุนผ่านการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนและเสนอขายหุ้นกู้ โดยการกระทำดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียหายรวมกว่า 4,700 ราย และมีมูลค่าความเสียหายสูงกว่า 14,000 ล้านบาท                     เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนามาตรการป้องกันในเชิงรุกที่ครอบคลุมและทันเหตุการณ์ยิ่งขึ้นรวมถึงเพื่อพัฒนามาตรการเยียวยาผู้เสียหายให้เหมาะสมกับบริบทและรูปแบบสภาพแวดล้อมในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานศึกษาแผนประทุษกรรมกรณี บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (STARK) โดยมีนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา เป็นประธานคณะทำงาน มีผู้แทนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงาน ก.ล.ต. สำนักงานอัยการสูงสุด กรมบังคับคดี สภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ ผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านต่าง ๆ ทั้งทางด้านกฎหมายและด้านตลาดทุน รวมถึงตัวแทนผู้เสียหายจากการลงทุนหุ้นสามัญเป็นคณะทำงาน และมีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการคณะทำงาน โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ (1) เพื่อเป็นกรณีศึกษา โดยมีกรณีศึกษาของบริษัท สตาร์คฯ เป็นศูนย์กลางของการถอดบทเรียน (2) เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายและกรอบการดำเนินงานเพื่อป้องกันและปราบปรามคดีที่มีผลกระทบอย่างรุนแรง ต่อประชาชน เศรษฐกิจ และสังคม และ (3) เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นที่มีประสิทธิภาพในการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของตลาดทุนและตลาดเงินในการสร้างระบบการกำกับดูแลตรวจสอบและแจ้งเตือนล่วงหน้า อันจะยังผลให้ตลาดทุนและตลาดเงินมีเสถียรภาพ ความน่าเชื่อถือ และความโปร่งใสตรวจสอบได้ตามมาตรฐานสากล                       หลังจากคณะทำงานศึกษาแผนประทุษกรรมฯได้มีการประชุมร่วมกันทั้งสิ้น 7 ครั้ง เพื่อยกร่างรายงานศึกษาการถอดบทเรียนแผนประทุษกรรมกรณีดังกล่าว โดยได้เชิญหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงาน ปปง. รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านการตรวจสอบบัญชี มาให้ข้อคิดเห็นในแง่มุมต่างๆ อีกทั้งยังมีการสืบค้นข้อมูลงานวิจัยต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศเพื่อให้ร่างรายงานศึกษาการถอดบทเรียนฯ มีข้อมูลข้อเท็จจริงที่ครบถ้วนในทุกมิติ นำไปสู่การร่างเอกสารรายงานศึกษาการถอดบทเรียน ประกอบด้วย 4 บท ได้แก่ (1) ข้อเท็จจริงและลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ บริษัท สตาร์คฯ เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ด้วยวิธีการ Backdoor Listing จนถึงการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด (2) มาตรการป้องกันที่มีอยู่ในปัจจุบัน ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ และที่ควรมีเพิ่มเติมในอนาคต ซึ่งครอบคลุมในเรื่องของการกำกับดูแลผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำงบการเงิน กรรมการอิสระ การจัดทำลักษณะ/พฤติการณ์ที่มีความเสี่ยงสูงอันอาจนำไปสู่การกระทำความผิด (red flag) และผู้ให้เบาะแส (whistle blower)      (3) มาตรการปราบปรามและแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพในการอำนวยความยุติธรรมของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อลดความซ้ำซ้อนและระยะเวลาในภาพรวมที่ใช้ในการสืบสวนสอบสวน และ (4) มาตรการเยียวยา ซึ่งรวมถึงแนวทางในการติดตามเรียกคืนทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิดเพื่อคืนให้กับผู้เสียหาย ตลอดจนบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่จะช่วยเหลือบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยมีแนวคิดในเรื่องการจัดตั้งกองทุนต่าง ๆ                     การจัดงานเสวนาในวันนี้ ได้รับเกียรติจากท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิด นายพงศ์เทพ  เทพกาญจนา อดีตรองนายกรัฐมนตรี/ประธานคณะทำงาน นายธวัชชัย  พิทยโสภณ รองเลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) เป็นผู้ร่วมเสวนา  โดยมีเนื้อหาประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลักคือ (1) การนำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงที่ได้จากการศึกษา และ (2) การรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ  โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 200 คน ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กร สมาคม สถาบันการศึกษา            กลุ่มผู้เสียหาย และประชาชนทั่วไป ซึ่งเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องหรืออาจเข้าข่ายเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการพัฒนามาตรการป้องกัน มาตรการปราบปราม และมาตรการเยียวยา กรณีการกระทำความผิดในตลาดทุน ซึ่งคณะทำงานฯ จะนำข้อคิดเห็นและข้อสังเกตต่าง ๆ ที่ได้จากงานเสวนาในครั้งนี้ ไปใช้ในการปรับปรุงร่างรายงานศึกษาการถอดบทเรียนฯ เพื่อให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นและจะเปิดเผยต่อสาธารณชนให้ทราบต่อไป

DSI ชี้ PTT-OR อยู่ในขั้นสืบสวน ยันเอกสารที่เผยแพร่สื่อ ไม่ใช่ของ DSI

DSI ชี้ PTT-OR อยู่ในขั้นสืบสวน ยันเอกสารที่เผยแพร่สื่อ ไม่ใช่ของ DSI

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

ก.ล.ต. กล่าวโทษอดีตกรรมการและผู้บริหาร IEC กับพวก รวม 4 ราย ต่อ DSI กรณีทุจริตทำให้ IEC เสียหาย

ก.ล.ต. กล่าวโทษอดีตกรรมการและผู้บริหาร IEC กับพวก รวม 4 ราย ต่อ DSI กรณีทุจริตทำให้ IEC เสียหาย

วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน 2567 | ฉบับที่ 238 / 2567            ก.ล.ต. กล่าวโทษอดีตกรรมการและผู้บริหาร บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิล เอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) (IEC) กับพวกรวม 4 ราย ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ในข้อหาร่วมกันกระทำผิดหน้าที่โดยทุจริต ผ่านการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานขยะชีวมวลและ Plastic Recycling ที่อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้แก่ตนเองหรือผู้อื่น ทำให้ IEC ได้รับความเสียหาย            สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับเรื่องจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ในช่วงกลางปี 2564 ขอให้ ก.ล.ต. ตรวจสอบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานกรณีมีพฤติการณ์อันควรสงสัยว่า IEC* มีการจัดซื้อที่ดินเพื่อสร้างโรงไฟฟ้าส่อไปทางทุจริตและแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเกี่ยวข้องกับกรณีที่ ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษต่อ DSI ไปก่อนหน้านั้นแล้ว** ดังนั้น ก.ล.ต. จึงได้ดำเนินการตรวจสอบการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ) และดำเนินการกล่าวโทษนายภูษณ ปรีย์มาโนช และนางสัณห์จุฑา วิชชาวุธ อดีตกรรมการและผู้บริหาร IEC กับพวกอีก 2 ราย ได้แก่ พลโท อนุธัช บุนนาค และนายสราญ เลิศเจริญวงษา โดยปรากฏข้อเท็จจริงและหลักฐานที่พิจารณาได้ว่า ในช่วงปี 2557 – 2558 บุคคลทั้ง 4 ราย ได้ร่วมกันกระทำการทุจริตผ่านธุรกรรมการจัดซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานขยะชีวมวลและ Plastic Recycling ที่อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี ในราคาสูงเกินสมควร และให้ IEC จ่ายเงินค่าจ้างในการจัดหาสิทธิกำจัดขยะ เพื่อให้ IEC เข้าทำสัญญารับช่วงสิทธิกำจัดขยะ โดยนายภูษณและนางสัณห์จุฑารู้อยู่แล้วว่า IEC ไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้ เนื่องจากโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าของ IEC ถูกยกเลิกไปแล้ว อันเป็นเหตุให้ IEC ได้รับความเสียหายทั้งสิ้น 156.8 ล้านบาท            การกระทำของบุคคลดังกล่าวเข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 281/2 วรรคสอง ประกอบมาตรา 89/7 และมาตรา 307 มาตรา 308 มาตรา 311 มาตรา 313 และมาตรา 315 แห่งพ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ประกอบมาตรา 83 และมาตรา 86 แห่งประมวลกฎหมายอาญา แล้วแต่กรณี ก.ล.ต. จึงกล่าวโทษบุคคลทั้ง 4 รายต่อ DSI เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป            การถูกกล่าวโทษข้างต้นมีผลให้ผู้ถูกกล่าวโทษเข้าข่ายมีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจและไม่สามารถดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนตลอดระยะเวลาที่ถูกกล่าวโทษดำเนินคดี นับตั้งแต่วันที่ ก.ล.ต. มีหนังสือกล่าวโทษบุคคลดังกล่าวต่อ DSI***            ทั้งนี้ ภายหลังการกล่าวโทษของ ก.ล.ต. กระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาต่อไปเป็นการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ และการพิจารณาของศาลยุติธรรม ตามลำดับ โดย ก.ล.ต. จะติดตามความคืบหน้าในการดำเนินคดี และจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ เพื่อสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ในกระบวนการภายหลัง ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษแล้ว __________________ หมายเหตุ: * ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเพิกถอนหุ้นสามัญของบริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิล เอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) (IEC) จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2562 ** ข่าว ก.ล.ต. ฉบับที่ 104/2560 เรื่อง “ก.ล.ต. กล่าวโทษอดีตผู้บริหาร IEC กับพวกรวม 25 ราย กรณีร่วมกันกระทำผิดหน้าที่โดยทุจริต และแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้ ทำให้บริษัทเสียหาย” https://www.sec.or.th/TH/Pages/News_Detail.aspx?SECID=6831 *** ประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 3/2560 เรื่อง การกำหนดลักษณะขาดความน่าไว้วางใจของกรรมการและผู้บริหารของบริษัทลงวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2560

พฤอา
311234567891011121314151617181920212223242526272829301234567891011