#DELTA


DELTA จับมือ CCET ยกระดับนวัตกรรมระบบอัตโนมัติเพื่ออุตสาหกรรมอัจฉริยะ

DELTA จับมือ CCET ยกระดับนวัตกรรมระบบอัตโนมัติเพื่ออุตสาหกรรมอัจฉริยะ

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ, ประเทศไทย, 16 ธันวาคม 2567 — บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (SET Ticker: Delta) ผู้นำระดับโลกด้านการจัดการพลังงานและผู้ให้บริการโซลูชันสีเขียวอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย IoT และ บริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (SET Ticker: CCET) ผู้นำด้านอุตสาหกรรม 4.0+ และเป็นบริษัทชั้นนำด้านการผลิตอุปกรณ์และชิ้นส่วนอีเล็คโทรนิคส์ (Electronics manufacturing Services (EMS)) ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อยกระดับการทำงานร่วมกันด้านระบบอัตโนมัติในภาคอุตสาหกรรม ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันในการพัฒนาประสิทธิภาพ นวัตกรรม และความยั่งยืนในอุตสาหกรรม EMS           นายคงสิทธิ์ โจวกิจเจริญ ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แคล-คอมพ์ฯ และเดลต้าต่างดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมายาวนานกว่า 35 ปี และประสบความสำเร็จในธุรกิจของตนเป็นอย่างดี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แคล-คอมพ์ฯ มุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพองค์กรอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับการใช้ automated smart manufacturing ในทุกกระบวนการผลิต และใช้ระบบดิจิทัลในการบริหารจัดการ ตามความมุ่งมั่นเพื่อการรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันในอุตสาหกรรม EMS  ในขณะที่เดลต้าก็ประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในด้านการอนุรักษ์พลังงานและลดการปล่อยคาร์บอน ผลิตภัณฑ์ยานยนต์ และโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI ด้วยเหตุนี้ เราจึงรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมมือกับเดลต้าในการพัฒนาและยกระดับกระบวนการผลิตอัจฉริยะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมผลักดันอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยสู่อีกขั้นของความสำเร็จ”           นายวิคเตอร์ เจิ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้วางรากฐานความร่วมมืออย่างเป็นทางการกับแคล-คอมพ์ฯ ผ่าน MOU ฉบับนี้ ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการผลิตอัจฉริยะและการพัฒนาตามแนวทางอุตสาหกรรม 4.0+ ในภาคอุตสาหกรรม EMS การผนวกรวม โซลูชันระบบอัตโนมัติ และ AI ที่ทันสมัยของเดลต้าเข้ากับกระบวนการผลิตของแคล-คอมพ์ฯนั้น จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เพิ่มประสิทธิผลในสายการผลิต และสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ยั่งยืน เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือภายใต้ MOU นี้จะเปิดโอกาสให้ทั้งสองบริษัทได้ร่วมกันพัฒนา และมุ่งสู่การเป็นโรงงานอัจฉริยะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้นได้”           จากความร่วมมือที่แน่นแฟ้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา MOU ฉบับนี้ได้ยกระดับโครงการความสำเร็จต่าง ๆ ระหว่างเดลต้าและแคล-คอมพ์ฯ ให้เป็นทางการ ไม่ว่าจะเป็นการใช้หุ่นยนต์ SCARA เทคโนโลยี DIATwin และโครงการประหยัดพลังงาน ความสำเร็จเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่ชัดเจน ทั้งด้านประสิทธิภาพการดำเนินงาน และความยั่งยืน อีกทั้งยังเป็นรากฐานสำคัญในการต่อยอดความร่วมมือด้านเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติขั้นสูงอย่าง DIAEAP-IMM           แพลตฟอร์ม CCET 4.0+ (Cell & Connection & Equipment E-System & Transportation) ของแคล-คอมพ์ฯ ซึ่งประกอบด้วยโซลูชัน AI และศูนย์ข้อมูลควบคุมการผลิต ที่ผนวกรวมกับโซลูชัน DIAEAP-IMM ของเดลต้า เป็นหัวใจสำคัญของความร่วมมือครั้งนี้ โดยมุ่งเน้นพัฒนาระบบอัตโนมัติสำหรับงานฉีดพลาสติก แพลตฟอร์มขั้นสูงนี้รวมความสามารถด้าน IoT การติดตามแบบเรียลไทม์ และการวิเคราะห์ด้วย AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดของเสีย และยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ การผสานเทคโนโลยีจากทั้งสององค์กรจะช่วยพัฒนาระบบใหม่ที่สามารถควบคุมตัวแปรได้แม่นยำ เพิ่มประสิทธิภาพการไหลตัวของแม่พิมพ์ และลดความผิดพลาดในการผลิตได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ด้วยศักยภาพในการประมวลข้อมูลดิบให้เป็นข้อมูลเชิงลึกที่พร้อมใช้งาน DIAEAP-IMM จะช่วยให้ผู้ผลิตสามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ไร้ตำหนิและรักษามาตรฐานคุณภาพได้อย่างต่อเนื่อง           ความร่วมมือครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรม EMS ด้วยการผนวกจุดแข็งด้านระบบอัตโนมัติของเดลต้าเข้ากับศักยภาพการผลิตของแคล-คอมพ์ฯ ทั้งสององค์กรมุ่งมั่นที่จะสร้างบรรทัดฐานใหม่ของการผลิตที่ชาญฉลาดและยั่งยืน พร้อมขับเคลื่อนนวัตกรรมและการดูแลสิ่งแวดล้อมให้ทัดเทียมมาตรฐานและเทรนด์การผลิตระดับโลก [PR News]

DELTA พี/อี 82 เท่า เสี่ยงเกินไป ปีหน้ากำไรโตแค่ 13%

DELTA พี/อี 82 เท่า เสี่ยงเกินไป ปีหน้ากำไรโตแค่ 13%

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บทวิเคราะห์ บล.กรุงศรี ประมาณการกำไรปี 2025 ของ DELTA อาจมี downside risk ราว 12% เนื่องจากนโยบาย Global Minimum Tax 15% ที่รัฐบาลไทยอนุมัติเมื่อไม่นานนี้ และจะมีผลบังคับใช้ในปี 2025 เป็นต้นไป นอกจากนี้ ราคาหุ้นของ DELTA ในปัจจุบันมีระดับ P/E ที่สูงถึง 82 เท่า ราคาหุ้นปรับตัวเกินราคาเป้าหมายของเราเป็นอย่างมาก ทำให้เราปรับลดคำแนะนำของ DELTA ลงเป็น REDUCE จาก NEUTRAL บนราคาเป้าหมายเดิมที่ 110 บาท ได้รับผลกระทบจาก Global Minimum Tax          คณะรัฐมนตรีไทยได้อนุมัติ พ.ร.ก. เพื่อบังคับใช้ภาษีขั้นต่ำ 15% สำหรับธุรกิจข้ามชาติที่มีรายได้ต่อปีอย่างน้อย 750 ล้านยูโร (26 พันล้านบาท) ตามแผน Global Minimum Tax จากนโยบายของ OECD ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อ DELTA เนื่องจากบริษัทเข้าเกณฑ์ดังกล่าว          ปัจจุบันบริษัทมีค่าใช้จ่ายภาษีคิดเป็น 3% ของกำไรก่อนหักภาษี เนื่องจากบริษัทได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งหาก DELTA ถูกเรียกเก็บภาษี 15% ในปี 2025 จะส่งผลให้ประมาณการกำไรปี 2025 (24 พันล้านบาท) ลดลง 12% เหลือ 21 พันล้านบาท (+3% YoY) เนื่องจากค่าใช้จ่ายภาษีจะเพิ่มขึ้น 4 เท่า ทั้งนี้ DELTA กำลังหารือร่วมกับ BOI เพื่อหาวิธีบรรเทาผลกระทบดังกล่าว บริษัทมีมุมมองต่อแนวโน้มใน 4Q24 ที่อ่อนตัวลง          บริษัทได้ปรับลดแนวโน้มสำหรับ 4Q24 ลงเล็กน้อย โดยคาดว่ารายได้จะทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย qoq โดยมีแรงหนุนจากความต้องการสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ AI และ Data Center ที่ยังแข็งแกร่ง แต่ความต้องการสินค้าจากอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้ายังคงอ่อนแอ          ในขณะเดียวกัน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอาจเพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ อันเนื่องมาจากต้นทุนเพิ่มเติมและรายการย้อนกลับของสินค้าคงคลังที่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ดังนั้น เราคาดว่ากำไรของ DELTA จะอ่อนตัวลง qoq ใน 4Q24F แต่ยังคงเติบโต yoy ปรับลดคำแนะนำเป็น “ขาย” ราคาเป้าหมายคงที่ 110 บาท          แม้ว่าความต้องการสินค้าและรายได้ของ DELTA จะยังคงแข็งแกร่ง แต่มีความเสี่ยงต่อกำไรปี 2025 จากภาษีและค่าใช้จ่าย R&D ที่สูงขึ้น ราคาหุ้นอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์โดยมี P/E สูงถึง 82 เท่า (+1.5SD ของค่าเฉลี่ย) ซึ่งดูเหมือนจะสูงเกินไปสำหรับการเติบโตของกำไรเพียง 13% (CAGR) ในช่วงปี 2025-2026          ดังนั้น เราจึงปรับลด DELTA เป็น “ขาย” (จาก “ถือ”) โดยราคาเป้าหมายเดิมที่ 110 บาท อ้างอิง 57 เท่า P/E (+0.5SD ของค่าเฉลี่ย)

เปิดโผ หุ้น AI โอกาสโต! DELTA-GULF-TRUE-INSET น่าจับตา

เปิดโผ หุ้น AI โอกาสโต! DELTA-GULF-TRUE-INSET น่าจับตา

           หุ้นวิชั่น - บริษัท หลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึงในบทวิเคราห์ ถึงประเด็นที่ “เจนเซ่น หวง” (Jensen Huang) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เอ็นวิเดีย” (NVIDIA) ยักษ์ผู้ผลิตชิป AI ที่มีมูลค่าบริษัทกว่า 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เตรียมเยือนประเทศไทย ในงาน “AI Vision for Thailand” ภายใต้ธีม “The First Step for Thailand Sovereign AI” วันที่ 4 ธ.ค. 2567 ณ Embassy Room, Park Hyatt Bangkok พร้อมประกาศแผนลงทุน ดันไทยขึ้นฮับ AI ภูมิภาค ในงาน AI Vision for Thailand ทั้งนี้ธุรกิจของบริษัทในตลาดหุ้นไทยที่อิงกับ NVIDIA ได้แก่ อีเล็คทรอนิคส์ คอมพิวเตอร์ , AI, Cloud และ Data Center เราคัด 3 หุ้นได้ประโยชน์ จากการนี้ ประกอบด้วย DELTA, GULF และ TRUE            ขณะที่ บริษัท หลักทรัพย์ บัว หลวง จำกัด (มหาชน) ระบุถึง เมื่อการเยือนของ Jensen Huang ในเดือนธันวาคมนี้ใกล้เข้ามาแล้ว (คาดว่าสัปดาห์หน้า) ถึงเวลาแล้วที่จะมองไปที่เฟส 1 ของการเปลี่ยนแปลง Gen AI ในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับการสนับสนุนจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของความต้องการ GPU เมื่อข้อจำกัดในอุปทานทำให้ GPU ขาดแคลน ผู้ที่เริ่มต้นก่อนอย่าง JTS และ LTS จะสามารถเก็บเกี่ยวผลกำไรได้อย่างมากในระยะนี้            JTS กำลังสร้าง GPU Farm และโมเดล AI Training โดยใช้ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับ KT เพื่อจัดหาผลิตภัณฑ์ NVIDIA GPUs นอกจากการใช้งานของตนเองแล้ว แพลตฟอร์ม Gen AI ของ JTS จะทำหน้าที่เป็นสตูดิโอสำหรับการฝึกฝนและปรับใช้งานสำหรับลูกค้า ช่วยให้ธุรกิจสามารถใช้งาน AI ได้โดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของตนเอง            LTS: SIAM AI เป็นพันธมิตร Nvidia Cloud รายแรก (และรายเดียว) ของประเทศไทย ผ่านความร่วมมือกับ SIAM AI ทำให้ LTS ได้ประโยชน์จากการเป็นพันธมิตร ซึ่งช่วยให้เข้าถึง GPU ได้ก่อนใคร แตกต่างจากโมเดลการจัดจำหน่ายแบบดั้งเดิม โมเดลปัจจุบันของ NVIDIA คือ "By Invitation Only" ซึ่งให้ข้อได้เปรียบแก่พันธมิตรในการได้รับ GPU ที่จัดสรรในตลาดที่มีข้อจำกัดนี้            INSET วางเป้าหมายปี 2025 เติบโตจากธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับ Cloud และ AI โดยมุ่งเน้นการลงทุนใน Data Center ในประเทศไทย จากความพร้อมด้านประสบการณ์ในการก่อสร้างส่วนงานอาคารหลายโครงการ และการเข้าร่วมประมูลงานจากผู้ประกอบการที่สนใจลงทุนในไทย โดยคาดว่าจะมีการประกาศรายชื่อผู้ชนะการประมูลตั้งแต่ปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า นอกจากนี้ INSET ยังมีโอกาสลุ้นงานในกลุ่ม ICT ที่เกี่ยวข้องกับโครงข่ายต่างๆ เพิ่มเติม            PROEN การเข้ามาของกลุ่ม DAMAC ผู้ให้บริการ Data Center ระดับโลกจากดูไบที่มีลูกค้าทั่วโลก ได้ประกาศลงทุนร่วมกับ PROEN ภายใต้แบรนด์ EDGNEX ด้วยเป้าหมายเริ่มต้น 20MW ในปี 2025-2026 (พร้อมที่ดินรองรับแล้ว) และขยายเพิ่มเป็นหลัก 100MW ในระยะยาว โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา PROEN ได้โอน OTT DC ขนาด 5MW ซึ่งเป็นโครงการแรกให้กลุ่ม DAMAC และรับรู้รายได้-กำไรในช่วง 4Q24 ซึ่งเพิ่มโอกาสให้ PROEN เห็นการ Turnaround ตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป โครงการดังกล่าวจะเปิดให้บริการลูกค้าเฟสแรกในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 และเฟส 2-3 จะเปิดครบในกลางปี 2025 โดยจะมีรายได้จากบริการหลังการขายและระบบประมวลผลเพิ่มเติม

ผ่อนคลายปมการเมือง DELTA เริ่มตั้งหลัก

ผ่อนคลายปมการเมือง DELTA เริ่มตั้งหลัก

          หุ้นวิชั่น - ตลาดหุ้นไทยปรับตัวกลับขึ้นหลังปรับตัวลงแรงวานก่อน ได้รับแรงหนุนจากปัจจัยการเมืองที่คลี่คลายลงหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติ ”ไม่รับคำร้อง” ในกรณีคุณทักษิณ และพรรคเพื่อไทย ในประเด็นล้มล้างการปกครอง ในส่วนของ DELTA ที่ถูกทางตลท. คุมการซื้อขายมองว่าได้รับปัจจัยลบไปพอสมควรแล้ว คาดเห็นความผันผวนน้อยลง ในส่วนของปัจจัยต่างประเทศกังวลสถานการณ์รัสเซียยูเครน หลังรัสเซียมีการยิงขีปนาวุธตอบโต้ทำให้ตลาดเกิดความกังวลสงครามลุกลาม และอุปทาน น้ำมันที่อาจได้รับผลกระทบ ติดตามความเห็นเจ้าหน้าที่เฟดเพื่อหาทิศทางดอกเบี้ย           เล็งดัชนี แนวรับ 1,440 – 1,435 แนวต้าน 1,450 – 1,460

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

ตลท.เตือนลงทุน DELTA ต้องรอบคอบ ราคาพุ่งต่อเนื่อง P/E สูงถึง 91.11 เท่า

ตลท.เตือนลงทุน DELTA ต้องรอบคอบ ราคาพุ่งต่อเนื่อง P/E สูงถึง 91.11 เท่า

          ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ผู้ลงทุนพิจารณาข้อมูลประกอบอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อขาย DELTA เนื่องจากราคาปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยมีอัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ (P/E) ที่ 91.11 เท่า และอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) อยู่ที่ 25.36 เท่า           ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ติดตามความเคลื่อนไหวของราคาและพัฒนาการของหลักทรัพย์ DELTA โดยพบว่าราคาหลักทรัพย์ DELTA ปรับตัวเพิ่ม 47% (ณ ราคาปิดวันที่ 7 พฤศจิกายน นี้) เทียบกับ ราคาปิดตลาด ณ วันที่ 30 ก.ย. ที่ 107 บาท ส่วนหนึ่งได้อานิสงส์จากข่าวการลงทุนของบริษัทต่างประเทศด้าน Data center ในประเทศไทย และผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2567 มีกำไรสุทธิ 5,910.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน           โดยราคาปิดวันนี้ที่ 157 บาท (7 พฤศจิกายน 2567) จุดสูงสุดระหว่างวันอยู่ที่ 160.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3,311 ล้านบาท           ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ผู้ลงทุนพิจารณาข้อมูลปัจจัยพื้นฐานและข้อมูลสารสนเทศที่ชี้แจงผ่านระบบตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมทั้งความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้จากความผันผวนของราคาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

DELTA คว้ารางวัล “สุดยอดซีอีโอรุ่นใหญ่” CEO ECONMASS AWARDS 2024

DELTA คว้ารางวัล “สุดยอดซีอีโอรุ่นใหญ่” CEO ECONMASS AWARDS 2024

          กรุงเทพฯ ประเทศไทย 1 พฤศจิกายน 2567 — บมจ. เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) ผู้นำระดับโลกด้านการจัดการพลังงานและผู้ให้บริการโซลูชันสีเขียวอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย IoT ประกาศว่า นายวิคเตอร์ เจิ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทเดลต้า ประเทศไทย ได้รับรางวัล CEO Econmass Awards 2024 ประเภท “สุดยอดซีอีโอรุ่นใหญ่ หรือ Top Senior CEO Award” จากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งรางวัลดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (UTCC) เพื่อประกาศเกียรติคุณและยกย่องซีอีโอผู้มีวิสัยทัศน์ทั้ง 18 ท่าน ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยและมุ่งมั่นต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน           นายวิคเตอร์ เจิ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทเดลต้า ประเทศไทย กล่าวว่า "ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการยกย่องดังกล่าวจากท่านนายกรัฐมนตรี และขอขอบคุณพนักงาน เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ ทุกคนสำหรับความทุ่มเทและการสนับสนุนอย่างเต็มที่ เรามุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะขับเคลื่อนการเติบโตอย่างมีความรับผิดชอบ พัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน และเสริมสร้างอนาคตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้กับประเทศไทยและทั่วโลก”           ในพิธีมอบรางวัล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ให้เกียรติเป็นผู้มอบรางวัลแก่นายวิคเตอร์ เจิ้ง รวมถึงผู้ได้รับรางวัลท่านอื่น ๆ  โดยเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการส่งเสริมนวัตกรรมและการเติบโตอย่างยั่งยืนในภาคเอกชนของประเทศไทย ทั้งนี้ การที่นายวิคเตอร์ เจิ้ง ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในเจ็ดของผู้บริหารที่ได้รับรางวัล “Top Senior CEO” สะท้อนถึงความเป็นผู้นำที่โดดเด่นและมีความสามารถของเขาในการบริหารบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ ที่คอยผลักดันแนวคิดใหม่ ๆ ด้านเทคโนโลยี และสร้างมาตรฐานใหม่ในด้านการดำเนินงานตามหลักสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ของบริษัทฯ           บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ ประเทศไทย มีความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญในด้านความยั่งยืน โดยได้รับการจัดอันดับในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices) และดัชนีความยั่งยืนระดับโลก FTSE4Good ซึ่งเป็นสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและการบริหารงานที่โปร่งใสและมีจริยธรรม โดยโครงการสำคัญ ๆ ที่ทางบริษัทได้ทำประกอบไปด้วย การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน นอกจากนี้ เดลต้า ยังมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ โซลูชันพลังงานอัจฉริยะและโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับรางวัล CEO Econmass นั้นถูกจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อประกาศเกียรติคุณ ยกย่อง และเชิดชูเกียรติผู้บริหารภาคเอกชนที่มีวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์และความสามารถในการปรับตัว ซึ่งช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาเศรษฐกิจให้ก้าวหน้าทั้งในระดับประเทศและสากล           นางสาวดวงพร อุดมทิพย์ นายกสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจไทย กล่าวว่า “รางวัล CEO Econmass Awards สะท้อนถึงความร่วมมืออันแข็งแกร่งระหว่างสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3  สถาบัน (กกร.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สมาคมขอแสดงความยินดีกับซีอีโอทุกท่านที่ได้รับรางวัลในปีนี้ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารางวัล CEO Econmass Awards 2024 จะเป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน”           คณะกรรมการมอบรางวัลประกอบด้วยตัวแทนจากคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3  สถาบัน (กกร.) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม ได้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของเดลต้าต่อการดำเนินงานตามมาตรฐาน ESG ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายความยั่งยืนระดับชาติที่นายกรัฐมนตรีให้การสนับสนุน โดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน ประกอบไปด้วย หอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI) และสมาคมธนาคารไทย (TBA) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2520 เพื่อรวบรวมมุมมองของภาคเอกชนในด้านการค้า อุตสาหกรรม และการเงิน โดยมีเป้าหมายสำคัญในการให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลเพื่อรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและการค้า พร้อมทั้งให้ข้อเสนอแนะในการวางแผนพัฒนาและกำหนดนโยบายเพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย           รางวัลอันทรงเกียรตินี้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ ต่อกลยุทธ์การพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาว โดยบริษัทยังคงทุ่มเทในการสนับสนุนอนาคตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของประเทศไทย ผ่านความร่วมมือกับผู้นำในอุตสาหกรรมและพันธมิตรจากภาครัฐ [PR News]

DELTA อนุมัติซื้อเครื่องจักร มูลค่า 885.17 ล้านบาท

DELTA อนุมัติซื้อเครื่องจักร มูลค่า 885.17 ล้านบาท

          หุ้นวิชั่น - บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (DELTA) ขอแจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 7/2567 เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2567 ได้มีมติอนุมัติการทำรายการเกี่ยวโยงดังนี้ ไตรมาส 1 ปี 2568 อนุมัติการซื้อเครื่องจักรของบริษัทฯ กับบุคคลเกี่ยวโยง ไตรมาส 4 ปี 2567 อนุมัติการซื้อเครื่องจักรของบริษัทย่อยในอินเดียกับบุคคลเกี่ยวโยง ไตรมาส 4 ปี 2567 อนุมัติการซื้อเครื่องจักรของบริษัทย่อยในสโลวาเกียกับบุคคลเกี่ยวโยง           ทั้งนี้ เมื่อรวมขนาดรายการทั้ง 3 รายการแล้ว มีมูลค่าตอบแทนรวมประมาณ 885.17 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.16 ของสินทรัพย์ที่มีตัวตนสุทธิของบริษัทฯ ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 แต่เมื่อรวมกับการทำรายการกับบุคคลเกี่ยวโยงภายในระยะเวลา 6 เดือนอีกร้อยละ 1.45 ทำให้มีขนาดรายการคิดเป็นร้อยละ 2.61 ของสินทรัพย์ที่มีตัวตนสุทธิของบริษัทฯ จึงอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องเปิดเผยข้อมูลต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย           กรรมการผู้มีส่วนได้เสียที่เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยง ได้แก่ นายเจง อัน นายเคอ จื่อ ชิง นายจาง ช่าย ซิง           ทั้งนี้ กรรมการที่มีส่วนได้เสียทั้ง 3 ท่านไม่ได้เข้าร่วมในการออกเสียงลงคะแนน           คณะกรรมการบริษัทฯ (โดยไม่มีกรรมการที่มีส่วนได้เสีย) ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการเข้าทำรายการดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทฯ และเป็นไปตามเงื่อนไขการค้าทั่วไป มีเงื่อนไขที่เป็นธรรม สมเหตุสมผล ไม่ก่อให้เกิดการถ่ายเทผลประโยชน์ คณะกรรมการจึงเห็นชอบอนุมัติให้ดำเนินการเข้าทำรายการดังกล่าว ทั้งนี้ ไม่มีกรรมการหรือกรรมการตรวจสอบรายใดที่มีความเห็นแตกต่างจากความเห็นของคณะกรรมการแต่ประการใด

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

DELTA โชว์กำไรไตรมาส 3/67 มีกำไร 5.98 พันล้านบาท

DELTA โชว์กำไรไตรมาส 3/67 มีกำไร 5.98 พันล้านบาท

          หุ้นวิชั่น - DELTA เผยผลประกอบการไตรมาส 3/2567 กำไรจากการดำเนินงานแตะ 5,989 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไร 13.9% โดยมียอดขาย 43,225 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนโดยความต้องการเพาเวอร์ซิสเต็มสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์และดีซี เพาเวอร์ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังคงบริหารห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืนเพื่อส่งมอบโซลูชันที่ตอบโจทย์ทิศทางอุตสาหกรรมในอนาคต และมีกำไรสุทธิต่อหุ้นอยู่ที่ 0.47 บาท           บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA  รายงานกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาส 3/2567 นี้จำนวน 5,989 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรร้อยละ 13.9 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 12.5 ของงวดเดียวกันในปีก่อน เนื่องจากความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นจากยอดขายในกลุ่มสินค้าที่เติบโตสูง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ บันทึกรายการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน สืบเนื่องจากทิศทางเงินบาทแข็งค่า ส่งผลให้กำไรสุทธิในไตรมาสนี้เท่ากับ 5,911 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 13.7 และมีกำไรสุทธิต่อหุ้นอยู่ที่ 0.47 บาท เติบโตร้อยละ 8.9 เมื่อเทียบกับ 0.44 บาทต่อหุ้นในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน           ยอดขายสินค้าและบริการในไตรมาสนี้อยู่ที่ 43,225 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากฐานสูงในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนในอัตราร้อยละ 6.8 และเติบโตต่อเนื่องร้อยละ 3.5 จากไตรมาสที่แล้ว ขับเคลื่อนโดยกลุ่มเพาเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ที่ขยายตัวอย่างโดดเด่น ทั้งจากเพาเวอร์ซิสเต็มสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์และผลิตภัณฑ์ดีซี เพาเวอร์ ซึ่งมีความต้องการสูงตามแนวโน้มการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่แพร่หลายมากขึ้น ส่งผลต่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและระบบเครือข่ายเพื่อรองรับการประมวลผลสมรรถนะสูง นอกจากนี้ กลุ่มพัดลมและระบบจัดการความร้อน และเพาเวอร์ซัพพลายสำหรับระบบอัตโนมัติในอุตสาหกรรม มีการเติบโตดีในไตรมาสนี้           ขณะเดียวกัน กลุ่มโซลูชันสำหรับยานยนต์ไฟฟ้ายังส่งสัญญาณการฟื้นตัวอย่างจำกัดจากช่วงครึ่งปีแรก และปรับตัวลดลงจากฐานสูงในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว สืบเนื่องจากดีมานด์ในอุตสาหกรรมยานยนต์โลกอ่อนตัวลง ส่งผลให้ลูกค้าเพิ่มความระมัดระวังในการบริหารสินค้าคงคลัง และปรับแผนการขายให้สอดคล้องกับสภาวะตลาด นอกจากนี้ กลุ่มเพาเวอร์ซิสเต็มสำหรับโครงสร้างพื้นฐานเทเลคอมยังคงประสบสภาวะยอดขายชะลอตัว ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่มีความท้าทาย บริษัทฯ ขับเคลื่อนธุรกิจอย่างรัดกุม พร้อมบริหารห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน เพื่อมุ่งเน้นการส่งมอบโซลูชันและเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ทิศทางอุตสาหกรรมแห่งอนาคต           กำไรขั้นต้นในไตรมาสนี้มีจำนวน 11,927 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.4 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขับเคลื่อนโดยยอดขายกลุ่มผลิตภัณฑ์เพาเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ร่วมกับการบริหารสินค้าคงคลังของกลุ่มสินค้าหลักอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ภาพรวมอัตรากำไรขั้นต้นทรงตัวได้ดีในระดับสูงและเพิ่มขึ้นกว่าไตรมาสก่อน รวมถึงไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูง ควบคู่กับการกลับรายการตั้งสำรองสินค้าคงคลังเพิ่มเติมในไตรมาสนี้           ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (รวมการวิจัยและพัฒนา) มีจำนวน 5,938 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 44.9 จากปีก่อนหน้า เนื่องจากค่าใช้จ่ายด้านการขายในส่วนค่าธรรมเนียมจ่ายเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับการเติบโตของรายได้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านการบริหารเพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้จากค่าเสื่อมราคา ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรและค่าบริการวิชาชีพ รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านการตลาด งานประชาสัมพันธ์และอีเว้นท์ต่าง ๆ

SET ลุ้นดัชนี 1,470 จุด เงินบาทชะลออ่อนค่า หนุนแรงขายต่างชาติลด

SET ลุ้นดัชนี 1,470 จุด เงินบาทชะลออ่อนค่า หนุนแรงขายต่างชาติลด

           หุ้นวิชั่น - ทีมช่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ระบุว่า SET ยังรอปัจจัยหนุนใหม่ ซึ่งคาดหวังจากมาตรการด้านการคลังของจีนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ในวันเสาร์นี้ ขณะที่เงินบาทที่ชะลอการอ่อนค่า ส่งผลดีให้แรงขายต่างชาติลดลง ทำให้คาดดัชนีมีโอกาสขึ้นทดสอบจุดสูงเดิมบริเวณ 1470 จุด ส่วนกรอบล่างคาดแนวรับ 1450 และ 1440 จุด ยังรองรับได้ ประเด็นสำคัญ วันนี้ ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ เลือกหุ้นเด่น            WHA: มีมุมมองบวกต่อ backlog จนถึงปี 2568 โดยคาดกำไรจะเติบโต 12.7% ในปี 2567 และ 16.2% ในปี 2568 ด้วย FDI และการออกบัตรส่งเสริมที่ยังเติบโตต่อเนื่องในปี 2567 อีกทั้งเชื่อว่า WHA อยู่ในตำแหน่งที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดรายหนึ่งเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ในกลุ่มนิคมฯ            DELTA: 2H67 คาดกำไรจะเพิ่มขึ้น HoH และ YoY จากยอดขายกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่ยังคงเติบโตดี อีกทั้งยังมี upside จากการพัฒนาและการขายผลิตภัณฑ์ power supply ที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่พัฒนาโดย DELTA Thailand เอง ซึ่งจะทำให้บริษัทไม่ต้องจ่ายค่า technical fee ให้กับทาง DELTA Taiwan ทั้งนี้แนะนำราคาเข้าซื้อวันนี้ไม่เกิน 112 บาท

DELTA ค่าเงินบาทกดกำไร Q3

DELTA ค่าเงินบาทกดกำไร Q3

          หุ้นวิชั่น รายงานว่า บล.กรุงศรี คาดการณ์กำไรหลักของ DELTA ใน 3Q24 จะอยู่ที่ 5.6 พันล้านบาท (+12% yoy, -5% qoq) การลดลงเล็กน้อย qoq มาจากการแข็งค่าของเงินบาท ยังคงมุมมองบวกต่อ DELTA เนื่องจากคาดว่าความต้องการ Data center และ AI จะยังคงแข็งแกร่งต่อไป อย่างไรก็ตาม เนื่องจากราคาหุ้นมี upside จำกัด จึงปรับลดคำแนะนำจากซื้อเป็น Neutral โดยคงราคาเป้าหมายที่ 110 บาท กำไร 3Q24 อ่อนตัวเล็กน้อย qoq จากผลกระทบของค่าเงินบาท           คาดว่ารายได้สกุล USD จะเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็น 1.2 พันล้าน (+7% yoy, qoq) จากความต้องการที่แข็งแกร่งของ Data center และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ AI อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับ USD มากกว่า 5% รายได้สกุลเงินบาทของ DELTA จะเติบโตเล็กน้อยเป็น 42.5 พันล้านบาท (+5% yoy, +2% qoq) GPM 3Q24 คาดว่าจะลดลงเป็น 26.1% จาก 26.9% ใน 2Q24 เนื่องจาก 1) เงินบาทแข็งค่าขึ้น 2) คาดว่าจะไม่มีการกลับรายการของสินค้าคงเหลือ และ 3) ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงมีสัดส่วนรายได้มากขึ้น SG&A ควรเพิ่มขึ้นตามผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ AI เนื่องจากบริษัทต้องจ่ายค่าธรรมเนียมทางเทคนิคให้กับ DELTA ไต้หวัน ส่งผลให้คาดว่ากำไรหลักจะอยู่ที่ 5.6 พันล้านบาท (+12% yoy, -5% qoq) ภาพระยะกลางยังคงสดใส           ยังคงมองบวกต่อแนวโน้มระยะยาวของ DELTA เนื่องจากคาดว่าความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ AI ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงจะเติบโตขึ้นและคิดเป็น 10% ของรายได้ภายในสิ้นปีนี้ และจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีหน้า ด้าน Data center ยังมีแนวโน้มสดใส โดยเห็นได้จากการลงทุนด้าน Data center ใหม่ของ Google มูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในประเทศไทย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยยังคงเป็นพื้นที่เชิงกลยุทธ์สำหรับ Data นี่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกสำหรับ DELTA เนื่องจากบริษัทเป็นผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ ODM ให้กับ Google และสามารถให้บริการโซลูชันด้านโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ อีกด้วย ปรับคำแนะนำเป็น NEUTRAL ที่ราคาเป้าหมายเดิม 110 บาท           กำไรหลักช่วง 9M24 คิดเป็น 75% ของประมาณการทั้งปี ดังนั้น เราเชื่อว่ากำไรหลักของบริษัทในปี 2024 จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 20% และเติบโต 17% ในปี 2025 สินค้าที่เกี่ยวข้องกับ AI และ Data center ยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักของบริษัท อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นมี upside จำกัด ทำให้เราปรับลดคำแนะนำจากซื้อเป็น Neutral ราคาเป้าหมายที่ 110 บาท อิง P/E 57 เท่า (+0.5SD)

abs

Hoonvision

INSET พร้อมเติบโตตามอุตสาหกรรม Data Center

INSET พร้อมเติบโตตามอุตสาหกรรม Data Center

          หุ้นวิชั่น - INSET พร้อมเติบโตตามการขยายตัวของอุตสาหกรรม Data Center โดยในอีก 4-5 ปีข้างหน้า เราคาดว่าอุตสาหกรรมนี้จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด สอดคล้องกับการเติบโตของธุรกิจดิจิทัลและ AI ที่มีบทบาทสำคัญในทุกภาคส่วน ซึ่งจะเปิดโอกาสให้บริษัทรับงานก่อสร้าง Data Center มากขึ้น คาดว่าจะเริ่มเห็นการประมูลโครงการตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป แต่การรับรู้รายได้จะเกิดขึ้นในปี 2569           นายศักดิ์บวร พุกกะณะสุต กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินฟราเซท จำกัด (มหาชน) หรือ INSET เปิดเผยกับ หุ้นวิชั่น ว่า อุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทยยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยล่าสุด Google ได้ประกาศแผนการลงทุนมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 35,000 ล้านบาท ในประเทศไทยระหว่างปี 2568-2572 เพื่อสร้าง Data Center และ Cloud Region แห่งใหม่ ซึ่งเป็นการลงทุนสำคัญที่ช่วยผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้           การลงทุนนี้ไม่เพียงแต่จะยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีในประเทศ แต่ยังเปิดโอกาสให้ประเทศไทยรองรับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจดิจิทัลขั้นสูง เช่น 5G, ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI), คลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud), Internet of Things (IoT) และ Smart City           นอกจากนี้ การสร้าง Data Center และ Cloud Region ของ Google ยังช่วยดึงดูดผู้ประกอบการด้านบริการข้อมูลระดับโลกเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น เนื่องจากประเทศมีความโดดเด่นในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน อัตราค่าไฟฟ้าที่แข่งขันได้ และการใช้พลังงานสะอาด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดการลงทุนของผู้ประกอบการยุคใหม่           สำหรับ INSET ซึ่งให้บริการก่อสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Center) บริษัทมีความเชี่ยวชาญในด้านการออกแบบและก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ Data Center ที่รองรับ Big Data, เทคโนโลยี 5G, Cloud Computing และระบบ AI การขยายตัวของผู้ให้บริการดิจิทัลและคลาวด์ในระดับโลกทำให้เกิดความต้องการ Data Center ที่มีประสิทธิภาพสูงและมีเสถียรภาพ ซึ่ง INSET สามารถตอบโจทย์นี้ได้           ด้วยความพร้อมของบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในโครงการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล INSET อยู่ในตำแหน่งที่ดีในการเข้าร่วมประมูลงานก่อสร้าง Data Center ทั้งจาก Google และผู้ให้บริการเทคโนโลยีรายใหญ่อื่นๆ บริษัทคาดว่าจะเข้าร่วมการประมูลงานตั้งแต่ปลายปีนี้ไปจนถึงปีหน้า มูลค่ารวมกว่า 2,000 ล้านบาท สอดคล้องกับการเติบโตของอุตสาหกรรม โดยคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการเหล่านี้ในปี 2569           อนึ่ง INSET เป็นผู้ให้บริการก่อสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Center) และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ, ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและโครงข่ายโทรคมนาคม และธุรกิจซ่อมบำรุงและให้บริการในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม ส่วนความเห็นนักวิเคราะห์           กระแสเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่าง Cloud, AI และในอนาคตในส่วนระบบ Automation แม้ไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศต้นน้ำที่ได้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาโดยตรง แต่กระแสหลักนี้จะสร้างโอกาสให้ไทยในช่วง 4-5 ปีนับจากนี้ ด้วยศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านเทคโนโลยี กล่าวคือ Data Center ในไทยมีจุดเด่นจากพื้นที่ตั้งเป็นศูนย์กลางภูมิภาค ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ 4G, 5G ที่ครอบคลุม ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติต่ำ และกระแสไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและมั่นคง ทำให้ไทยเป็นจุดสนใจจากการขยาย Data Center จากสิงคโปร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางเดิมที่เริ่มมีข้อจำกัด           จากการรวบรวมตัวเลขโดย KSS ในส่วนเม็ดเงินลงทุน Data Center ที่มีโอกาสเกิดขึ้นในประเทศหลักๆ เราประเมินว่าปัจจุบันมีเม็ดเงินมหาศาลรอลงทุน Data Center ในไทยช่วง 4-5 ปีจากนี้ ไม่น้อยกว่า 200,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงราว 1.1% ของมูลค่า GDP ประเทศไทยในปัจจุบัน โดยหากทยอยลงทุนในช่วง 4-5 ปี จะส่งผลบวกต่อ GDP ราว 0.2-0.25% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมประโยชน์ด้านดิจิทัลอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นอีกมากมายต่อประเทศ ถือเป็นหนึ่งใน S-Curve ใหม่ของไทย และเป็น Upside ของเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาว ซึ่งเชื่อว่าตลาดยังแทบไม่รวมในประมาณการ GDP มุมมองเชิงกลยุทธ์           ประเมินว่า Upside จากแรงขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มีจุดเด่นสำคัญ คือ ปริมาณข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจะเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) ซึ่งน่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจสูงกว่าที่ตลาดคาดคิดไว้ และเป็น Thematic Theme ระยะกลาง-ยาว 1-5 ปี KSS มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่อยู่ในระบบนิเวศของ Data Center โดยฝั่ง Data Center เราแนะนำผู้ได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานที่ขยายตัวโดยตรง อาทิ GULF, INTUCH, ADVANC, TRUE, INSET, DELTA, STPI (Non-Coverage)           กลุ่ม Digital Tech ที่ Data Center จะนำมาสู่ Upside งานประเภท Cloud Adoption และ AI รวมถึง Automation Adoption ระยะยาวที่จะหนุนอุตสาหกรรมเข้าสู่รอบใหญ่ของการขยายตัวอีกครั้ง อาทิ BE8, BBIK           ส่วนกระแส Cycle เทคโนโลยี AI ที่ผลักดันอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ พัฒนาให้มี AI พื้นฐานติดเครื่องมากขึ้น จะสร้างโอกาสฟื้นตัวจากรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ตามกระแส AI ซึ่งเราคาดไม่ต่างจากยุค 3G, 4G ที่เคยหนุนหุ้นที่ได้ประโยชน์ อาทิ HANA, ADVICE (Non-Coverage), SYNEX (Non-Coverage) Best Picks: GULF, TRUE, DELTA, INSET, BE8, HANA, ADVICE ที่มา : บล.กรุงศรี