#DAOL


บลจ.ดาโอ เปิดขายกองทุน DAOL-TAIWANEQ รับการโตเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีไต้หวัน

บลจ.ดาโอ เปิดขายกองทุน DAOL-TAIWANEQ รับการโตเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีไต้หวัน

          “บลจ.ดาโอ” ชี้ เศรษฐกิจไต้หวันโดดเด่นจากอุตสาหรรมเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์ที่มีส่วนสำคัญใน Supply Chain ของโลก หนุนกำไรตลาดเติบโต เป็นจังหวะลงทุน เปิดขาย ‘กองทุนเปิด ดาโอ ไต้หวัน อิควิตี้ (DAOL-TAIWANEQ)’ 14-20 พฤศจิกายน 2567  โอกาสสร้างรับผลตอบแทนจาก Mega Trends ใน AI”           คุณมนชญา รัชตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ดาโอ จำกัด หรือ บลจ.ดาโอ (DAOL INVESTMENT MANAGEMENT) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไต้หวันยังเติบโตได้ดี โดยธนาคารกลางไต้หวันคาดการณ์การเติบโตของ Real GDP ในปี 2024 อยู่ที่ 3.82% เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน และคาดการณ์ปี 2025 จะเติบโตที่ 3.08% ขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัว (GDP per Capita) ของไต้หวันมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และคาดว่าจะแซงหน้าญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ภายในปีนี้           ปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไต้หวัน จะมาจากการพัฒนาเทคโนโลยี AI ให้มีศักยภาพในการประมวลผลที่สูงขึ้น และการเติบโตอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่คาดว่า จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจาก 5.27 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2023 เป็นมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 โดยมีการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ 5-6% ซึ่งไต้หวันมีส่วนแบ่งตลาดระดับโลกในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ด้านการผลิตชิป (Foundry) อยู่สูงถึง 78%, และมากกว่า 50% ในด้านการบรรจุและทดสอบชิป (IC Packaging and Testing) และมากกว่า 20% ในด้านการออกแบบชิป (IC Design)           นอกจากนี้ ไต้หวันยังมีการลงทุนเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์มากกว่า 7.16 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนาความสามารถในการประมวลผลของชิปให้สูงขึ้น โดยโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็เป็นบริษัทของไต้หวันนั้น คือ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company Limited (TSMC) ผู้ผลิตชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์อันดับ 1 ของโลก และเป็นผู้นำตลาดด้านการผลิตชิปขั้นสูง โดยปัจจุบัน TSMC เป็นเพียงบริษัทเดียวของโลกที่สามารถผลิตชิปขนาดเล็กที่สุด 3 nm และยังมีแผนการพัฒนาที่จะผลิตชิป 2 nm ภายในปี 2025 ซึ่งจะทำให้มีความสามารถในการทิ้งห่างคู่แข่ง และยากที่จะเลียนแบบได้           นอกจากนั้น ไต้หวันยังมีบริษัทที่ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์  ซึ่งเป็นที่ต้องการในกลุ่มอุปกรณ์สมาร์ทโฟน และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ขณะที่เทรนด์ของเทคโนโลยี อย่างช่น Internet of Things ,5G , AI และรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) จะยังคงสนับสนุนแนวโน้มการเติบโตนี้ต่อไป           ด้านภาคการส่งออกของไต้หวัน ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ไอที ยังเป็นสินค้าส่งออกหลัก ซึ่งกว่า 40% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด เป็นสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ที่ไต้หวันส่งออกให้คู่ค้าหลักอย่างจีน สหรัฐอเมริกา และประเทศในกลุ่มอาเซียน ส่งผลบวกต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกในระยะยาว และส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไต้หวัน           ด้วยเศรษฐกิจไต้หวันที่ยังมีความสามารถในเติบโตสนับสนุนให้ตลาดหุ้นไต้หวันมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ดัชนี TWSE มีผลกำไรที่โดดเด่นถึง 35% แซงหน้าตลาดหุ้นหลักในเอเชียทั้งหมด และทำผลงานได้ดีกว่า S&P500 และ Nasdaq 100 ของสหรัฐฯ ในช่วงเวลาเดียวกัน           บลจ.ดาโอ มองเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนในตลาดหุ้นไต้หวัน จึงขอแนะนำ กองทุนเปิด ดาโอ ไต้หวัน อิควิตี้ (DAOL-TAIWANEQ) เปิดเสนอขายวันที่ วันที่ 14-20 พฤศจิกายน 2567 (ความเสี่ยงระดับ 6 : ความเสี่ยงสูง) ลงทุนตรงผ่าน iShares MSCI Taiwan ETF (EWT US) ซึ่งเป็น ETF บนตลาด NYSE ARCA ที่บริหารโดย BlackRock, Inc. บริษัทจัดการการลงทุนที่ใหญ่สุดในโลกและเป็นผู้นำในตลาด ETF มายาวนานกว่า 20 ปี กองทุนมีการลงทุนตามดัชนี MSCI Taiwan 25/50 ในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลางหลากหลายกลุ่มธุรกิจตามการเติบโตของเศรษฐกิจไต้หวัน รายชื่อหุ้นบริษัทชั้นนำที่ลงทุน 1.)TAIWAN SEMICONDUCTOR MANUFACTURING 2.)HON HAI PRECISION INDUSTRY LTD 3.)MEDIATEK INC 4.)FUBON FINANCIAL HOLDING LTD 5.)QUANTA COMPUTER INC 6.)DELTA ELECTRONICS INC 7.)CTBC FINANCIAL HOLDING LTD 8.)CATHAY FINANCIAL HOLDING LTD 9.)UNITED MICRO ELECTRONICS CORP 10.)ASE TECHNOLOGY HOLDING LTD           “ด้วยกลยุทธ์แบบ Full Replication เพื่อให้พอร์ตลงทุนออกมาใกล้เคียงกับดัชนีที่สุด ทำให้กองทุน iShares MSCI Taiwan ETF ทำผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 36.51% ย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 5.87% ย้อนหลัง 5 ปีอยู่ที่ 16.36% และย้อนหลัง 10 ปีอยู่ที่ 11.19% (ข้อมูล BlackRock ณ วันที่ 30 กันยายน 2567)”           ปัจจุบันราคาของตลาดหุ้นไต้หวันมีความน่าสนใจ ด้วย Forward PE ของตลาดไต้หวันอยู่ที่ระดับ 17 เท่า ถูกกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ และอินเดีย ขณะที่กำไรปี 2024 และ 2025 มีแนวโน้มเติบโตดี จากเศรษฐกิจไต้หวันที่ได้แรงหนุนจากอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งคาดว่า จะเติบโตมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030 ‘กองทุนเปิด ดาโอ ไต้หวัน อิควิตี้’ จึงเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนที่เป็น Mega Trends ใน AI ซึ่งเป็นห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ ที่มีส่วนแบ่งการตลาดกว่า 90% ในชิปขั้นสูง” คุณมนชญา กล่าว           สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมพร้อมรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนดาโอ จำกัด (บลจ.ดาโอ) โทรศัพท์ 02-351-1800 กด 2 หรือผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อหน่วยลงทุน ของ บลจ. ดาโอ  คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต เนื่องจากกองทุนมีการลงทุนในต่างประเทศและไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน โดยป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้  ที่มา Asian Development Outlook (ADO) September 2024 IMF as of August 2024 WSTS (Historical and 2024 Forecast Data), A&M (Projection), as of September 2024 Chip shortages: a 5nm European fab is not the answer’, Yole Group, as of September 2024 Taiwan International Trade Administration, as of September 2024 Bloomberg, as of 15 August 2024 [PR News]

กองทรัสต์ KTBSTMR เตรียมจ่ายผลตอบแทน Q3/67 ย้ำสินทรัพย์คุณภาพแข็งแกร่ง

กองทรัสต์ KTBSTMR เตรียมจ่ายผลตอบแทน Q3/67 ย้ำสินทรัพย์คุณภาพแข็งแกร่ง

           นายพลสิทธิ ภูมิวสนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดาโอ รีท แมเนจเมนท์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ ‘DAOL REIT’  ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์  เปิดเผยว่า ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เคทีบีเอสที มิกซ์ หรือ ‘KTBSTMR’ ได้พิจารณาจ่ายประโยชน์ตอบแทนไตรมาสที่ 3 ปี 2567 สำหรับรอบผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 – 30 กันยายน 2567 ในอัตรา 0.1760 บาทต่อหน่วยทรัสต์ เป็นเงินประมาณ 53.06 ล้านบาท หรือ คิดเป็นอัตราเงินจ่ายประโยชน์ตอบแทนแบบปรับปรุงเต็มปี (Annualized) ที่ประมาณ 7.0%/1 เมื่อเทียบกับราคาพาร์ (ที่ 10.00 บาท/หน่วย) และคิดเป็นประมาณ 10.53%/2 เมื่อเทียบกับราคาตลาด (ณ วันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 ที่ 6.65 บาท/หน่วย)            โดยการจ่ายผลตอบแทนไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ยังสะท้อนถึงการบริหารสินทรัพย์ที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ทำให้ DAOL REIT กำหนดจ่ายประโยชน์ตอบแทนในวันที่ 6 ธันวาคม 2567 และกำหนดรายชื่อผู้ถือหน่วยที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ตอบแทน (Record Date) ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567            ทั้งนี้ ทรัพย์สินทุกโครงการมีผลประกอบการที่ดีสม่ำเสมอ ส่งผลให้กองทรัสต์มีรายได้สูง แม้ว่าปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในอัตราที่สูง โดยเมื่อพิจารณาข้อมูลในส่วนของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ของกองทรัสต์ล่าสุด (ณ วันที่ 30 กันยายน 2567) จะมีมูลค่าต่อหน่วยถึง 10.3389 บาท ซึ่งมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผู้จัดการกองทรัสต์ มีแผนการเข้าลงทุนเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ด้วยการสรรหาทรัพย์สินที่มีศักภาพในการเติบโตของรายได้  เพื่อสร้างกระแสรายได้ของกองทรัสต์ให้สูงขึ้น และมีการเน้นพัฒนาโครงการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม  โดยมีการเริ่มติดตั้งการใช้พลังงานทดแทน อย่างการติดตั้งระบบ Solar energy ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนในการดำเนินการของกองทรัสต์            “ด้วยการบริหารที่คำนึงถึงคุณภาพ เนื่องจากทรัพย์สินมีศักยภาพสูงมีโอกาสในการเติบโตของรายได้จากการประกอบกิจการที่สูงขึ้น จึงมีการดูแลทรัพย์สินให้อยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอ เพื่อเน้นจุดเด่นของ KTBSTMR ในการกระจายความเสี่ยง ทั้งทางด้านความหลากหลายของประเภททรัพย์สิน  ทำเลที่ตั้งของโครงการ และการกระจายตัวของประเภทอุตสาหกรรม รวมถึงขนาดพื้นที่ของทรัพย์สินด้วย”  นายพลสิทธิ กล่าวว่า            ปัจจุบัน KTBSTMR เป็นกองทรัสต์อิสระแบบผสม ปัจจุบันมีทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) รวมกว่า 3,765 ล้านบาท มีนโยบายกระจายการลงทุนในทรัพย์สินหลากหลายประเภท ได้แก่ คลังสินค้า (Warehouse) โรงงาน (Factory) อาคารสำนักงาน (Office) ศูนย์การค้าประเภทคอมมูนิตี้มอลล์ (Community Mall)  และ ศูนย์รับฝากข้อมูล (Data Center) เป็นต้น            ในด้านการจัดหาทรัพย์สินเพื่อการลงทุนในอนาคต ทาง DAOL REIT  ได้มีการสรรหาและคัดกรองทรัพย์สินที่มีศักยภาพเพื่อเตรียมความพร้อมในการลงทุนเพิ่มของกองทรัสต์อยู่ตลอดเวลา  และ เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสให้แก่เจ้าของทรัพย์สินในการนำโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้ ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ประเภท อาคารคลังสินค้า / โรงงาน  อาคารศูนย์การค้า  อาคารสำนักงาน  อาคารศูนย์รับฝากข้อมูล(ดาต้าเซ็นเตอร์) โรงแรมทั้งในกรุงเทพหรือต่างจังหวัด หรือ โครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ  ในการนำเสนอให้แก่กองทรัสต์พิจารณาเข้าลงทุน เจ้าของทรัพย์สินสามารถนำส่งข้อมูลเบื้องต้น เพื่อให้บริษัทฯ ได้พิจารณาข้อมูลและนำเสนอโอกาสในการลงทุนที่เหมาะสมแก่เจ้าของทรัพย์สินได้  โดยเจ้าของทรัพย์สินสามารถศึกษารายละเอียดและนำส่งข้อมูลได้เว็บไซด์ของกองทรัสต์ที่ www.ktbstmr.com  หรือ email : [email protected] หรือ ติดต่อผ่าน DAOL Contact Center 02-351-1800 กด 3เมื่อทาง DAOL REIT ได้รับข้อมูลแล้วจะรีบติดต่อไปยังเจ้าของทรัพย์สินเพื่อประสานงานกันต่อไป ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจกองทรัสต์ KTBSTMR เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน สำหรับผู้ที่สนใจกองทรัสต์ KTBSTMR สามารถซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากเว็บไซด์ของกองทรัสต์ที่ www.ktbstmr.com หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม จากบริษัท ดาโอ รีท แมเนจเมนท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผ่าน DAOL Contact Center 02-351-1800 กด 3 หมายเหตุ /1 อัตราเงินจ่ายประโยชน์ตอบแทนปรับปรุงให้เต็มปี = (เงินจ่ายประโยชน์ตอบแทน/ราคาพาร์) x (366/92) /2 อัตราเงินจ่ายประโยชน์ตอบแทนปรับปรุงให้เต็มปี = (เงินจ่ายประโยชน์ตอบแทน/ราคาปิดตลาด ณ วันที่ 6 พฤศจิกายน 2567) x (366/92) คำเตือน : ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลในหนังสือชี้ชวนก่อนการตัดสินใจลงทุน

[PR News] บลจ.ดาโอ ชวนลงทุนหุ้นสหรัฐฯ

[PR News] บลจ.ดาโอ ชวนลงทุนหุ้นสหรัฐฯ

          “บลจ.ดาโอ” เปิดเสนอขาย กองทุนเปิด ดาโอ ยูเอส อิควิตี้ โกรท (DAOL-USEQG) สร้างโอกาสรับผลตอบแทนจากบริษัทของสหรัฐฯ กับโอกาสการเติบโตบน Mega Trends 8 ธีมหลักภายใต้การบริหารจากผู้จัดการกองทุนที่เชี่ยวชาญ Baillie Gifford  เปิดขาย IPO วันที่ 3-10 ตุลาคม 2567           คุณนิสารัตน์ ชมภูพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ดาโอ จำกัด หรือ บลจ.ดาโอ (DAOL INVESTMENT MANAGEMENT) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีความน่าสนใจลงทุน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตสูง ปัจจัยสนับสนุนหลัก คือ การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% มาอยู่ที่ 4.75-5.00% ในการประชุมครั้งล่าสุดเดือนกันยายน 2567 พร้อมกับถ้อยแถลงประธาน FED ที่ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังขยายตัวได้แข็งแกร่ง ไม่เห็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญในขณะนี้ ขณะเดียวกัน FED Dot Plot ก็บ่งชี้ว่า FED มีโอกาสลดดอกเบี้ยได้อีก 2 ครั้ง สู่ระดับ 4.00-4.25% ในปี 2567 และอีก 4 ครั้งในปี 2568 สู่ระดับ 3.00-3.25% ซึ่งถือว่าจะเป็นการเข้าสู่วัฎจักรดอกเบี้ยขาลงหลังดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงมาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา           คาดว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ย จะมีผลให้อัตราผลตอบแทนจากพันธบัตร (Bond Yield) ปรับตัวลดลงตาม ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกกับกำไรของบริษัทจดทะเบียน เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่ถูกลง Valuation มีโอกาสได้รับการ Rerating เพิ่มขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มหุ้นที่อัตราการเติบโตโดดเด่น (Growth Stock) ทั้งนี้เมื่อดูจากสถิติย้อนหลังในอดีต จะเห็นได้ว่ากลุ่มดังกล่าวจะเป็นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดหลัง FED ปรับลดอัตราดอกเบี้ย อย่างเช่น หุ้นเติบโตในกลุ่ม บริการด้านการสื่อสาร (Communication Services) และกลุ่มเทคโนโลยี ที่มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ +3.46%, +1.49 ในหนึ่งสัปดาห์หลังการปรับลดดอกเบี้ย,  +3.83%, +6.42% ในหนึ่งเดือนถัดมา และ +7.10%, +1.91% ในสามเดือนถัดมา ในขณะที่ดัชนี S&P 500 มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ -0.56%, +2.45% และ +2.10% ตามลำดับ           นอกจากนี้ยังคาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ปี 2567 คาดเติบโต 9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เป็นการเติบโตสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2564 และคาดการณ์เติบโตต่อเนื่องในปี 2568 เป็น 15% กลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตได้ดี ได้แก่ Info Tech , Comm Services และ Consumer Discretionary ซึ่งจัดเป็นหุ้นในกลุ่ม Growth Stock           บลจ.ดาโอ จึงขอแนะนำโอกาสลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ผ่าน ‘กองทุนเปิด ดาโอ ยูเอส อิควิตี้ โกรท (DAOL-USEQG)’ เปิดเสนอขายวันที่ วันที่ 3-10 ตุลาคม 2567 (ความเสี่ยงระดับ 6 : ความเสี่ยงสูง)  ลงทุนผ่าน กองทุนหลัก Baillie Gifford Worldwide - US Equity Growth Fund ซึ่งบริหารจัดการโดย Baillie Gifford ที่มีความเชี่ยวชาญการลงทุนหุ้นสหรัฐฯ กองทุนมีนโยบายลงทุนในหุ้นเติบโตชั้นดีของสหรัฐอเมริกาในหลากหลายกลุ่มธุรกิจตามการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศสหรัฐฯ มุ่งเน้นการลงทุนระยะยาว (Investment Horizon 5 ปีขึ้นไป)           ทั้งนี้ด้วยกลยุทธ์การลงทุนที่มองโอกาสเติบโตในอนาคต ผู้จัดการกองทุนเล็งเห็นการเติบโตจาก Mega Trends 8 ธีมที่น่าสนใจ ได้แก่ 1.) การซื้อ-ขายสินค้าและบริการ 2.) การสร้างเนื้อหา และใช้อัลกอริธึมเพื่อดึงดูดผู้บริโภค 3.) การทำธุรกิจรูปแบบใหม่ และมีความแตกต่าง 4.)ธุรกิจการแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม 5.)ธุรกิจที่พัฒนาและนำเทคโนโลยีมาใช้ในระบบการขนส่ง 6.) ธุรกิจการจัดสรรเงินทุนกับธุรกิจ 7.)ธุรกิจการเรียนออนไลน์และการศึกษาแบบดิจิทัล และ 8.)ธุรกิจทางการเงินและบริการที่ตอบโจทย์ยุคดิจิทัล ตัวอย่างหุ้นที่กองทุนหลักเลือกลงทุน The Trade Desk บริษัทเทคโนโลยีด้านการโฆษณาออนไลน์ Amazon.com บริษัทอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่ ขายสินค้ำหลากหลายประเภท Meta Platforms บริษัทเทคโนโลยีที่พัฒนาและให้บริการโซเชียลมีเดีย NVIDIA บริษัทเทคโนโลยีออกแบบผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกราฟิกการ์ด Shopify แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ที่สร้างร้านค้าออนไลน์           “ด้วยกลยุทธ์ลงทุนแบบ Bottom-up เน้นหาบริษัทที่เป็นหุ้นเติบโตมีความสามารถเพิ่มผลตอบแทน และสร้างมูลค่าให้กับกองทุน ทำให้กองทุน Baillie Gifford Worldwide US Equity Growth Fund ทำผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 6.7% ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 21.5% ย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ -15.3% และย้อนหลัง 5 ปีอยู่ที่ 10.6% (ที่มา Baillie Gifford ข้อมูล ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2567)”           “การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ FED เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเมื่อพิจารณาระดับราคาหุ้น แม้ว่าดัชนี S&P500 ได้พุ่งทำจุดสูงสุดใหม่หลายครั้งในปีนี้ แต่หากไม่รวมหุ้นกลุ่ม Magnificent 7 จะพบว่า ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ Forward P/E ประมาณ 19.2 เท่า ซึ่งต่ำกว่าดัชนี S&P500 โดยรวมที่ 21.3 เท่า ดังนั้นด้วยความโดดเด่นของบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโต อีกทั้งการลงทุนเชิงรุกที่เน้นลงทุนระยะยาวในหุ้นบริษัทที่มีการเติบโตที่โดดเด่น จำนวน 30-50 หลักทรัพย์ในพอร์ต ‘กองทุนเปิด ดาโอ ยูเอส อิควิตี้ โกรท (DAOL-USEQG)’ จึงเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีจาก Mega Trends ในอนาคต ที่ บลจ.ดาโอ อยากแนะนำ ” คุณนิสารัตน์  กล่าว สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมพร้อมรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ดาโอ จำกัด (บลจ.ดาโอ) โทรศัพท์ 02-351-1800 กด 2 หรือผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อหน่วยลงทุน ของ บลจ. ดาโอ คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต เนื่องจากกองทุนมีการลงทุนในต่างประเทศและไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน โดยป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ ที่มา Projection Materials, Federal Open Market Committee, Board of Governors of the Federal Reserve System released, as of September 2024 CME Group as of 19 September 2024 FirstCall, I/B/E/S, FactSet, and Goldman Sachs Global Investment Research as of 6 September 2024 Bloomberg as of 19 September 2024 Baillie Gifford As at 30 June 2024

[PR News] บลจ.ดาโอ ตั้ง

[PR News] บลจ.ดาโอ ตั้ง"อนุวัฒน์ อิ่มแสงรัตน์" นั่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่

          บลจ.ดาโอ แต่งตั้ง “นายอนุวัฒน์ อิ่มแสงรัตน์” ขึ้นดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Chief Executive Officer: CEO) คนใหม่ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 เดินหน้าพา บลจ.ดาโอ เติบโตทุกด้าน           บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ดาโอ จำกัด (บลจ.ดาโอ) แต่งตั้ง “นายอนุวัฒน์ อิ่มแสงรัตน์” ดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Chief Executive Officer: CEO) คนใหม่ มีผลวันที่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ด้วยเป้าหมายที่ต้องการเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่ให้บริการด้านการบริหารกองทุนชั้นนำในประเทศไทย ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์ และบริการทางการเงินเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และสามารถสร้างผลตอบแทนอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน           “นายอนุวัฒน์” มีประสบการณ์ทำงานนานกว่า 29 ปี ในธุรกิจตลาดทุน ทั้งในบริษัทหลักทรัพย์ บริษัทประกัน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน และเป็นผู้บริหารด้านการตลาดกองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ของ บลจ.ชั้นนำ มานานกว่า 24 ปี           “ผมรู้สึกภูมิใจที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับ บลจ.ดาโอ ซึ่งมีผู้บริหาร และทีมงานที่เป็นมืออาชีพ และมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจกองทุนรวม ผมพร้อมที่จะสานต่อวิสัยทัศน์ในการสร้างสรรค์กองทุนรวมที่มีความหลากหลาย ทั้งในและต่างประเทศ ที่เหมาะสมกับสภาวะตลาด และเป้าหมายการลงทุนของลูกค้า ทั้งกองทุนรวมแบบดั้งเดิม (Traditional Investment Fund) กองทุนรวมทางเลือก (Alternative Investment Fund) และกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) ด้วยการสร้างแพลตฟอร์มความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน (Sustainable Wealth Platform) เพื่อบรรลุเป้าหมายในการสร้างความมั่งคั่งให้กับลูกค้าควบคู่ไปกับการเติบโตของบริษัทอย่างยั่งยืน ภายใต้วิสัยทัศน์ DAOL, your lifetime financial partner ดาโอ เพื่อนคู่คิดทางการเงินของคุณ” นายอนุวัฒน์ กล่าว           ปัจจุบัน บลจ.ดาโอ มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) อยู่ที่ประมาณ 4,800 ล้านบาท โดยมีผลิตภัณฑ์กองทุนที่ครอบคลุมการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลายหลายทั้ง หุ้น ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ การลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก โดยใช้กลยุทธ์การกระจายความเสี่ยง (Strategic and Tactical Asset Allocation) จากทีมผู้จัดการกองทุนและนักวิเคราะห์ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ สำหรับในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บลจ.ดาโอ มีแผนที่จะเสนอขายกองทุนรวมใหม่อีกจำนวน 2 กองทุน และตั้งเป้าหมายขยาย AUM เพิ่มขึ้นอีก 1,500 ล้านบาท

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน