#CRC


ครม. อนุมัติมาตรการ Easy e-receipt  แจกเงินดิจิทัลเฟส 2 - ขยายเวลาลดภาษี ผับ บาร์

ครม. อนุมัติมาตรการ Easy e-receipt แจกเงินดิจิทัลเฟส 2 - ขยายเวลาลดภาษี ผับ บาร์

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.กรุงศรี เผย ครม. มีมติเห็นชอบแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 2 ให้กลุ่มผู้สูงอายุ, อนุมัติมาตรการ Easy e-receipt และขยายเวลาลดภาษีสรรพสามิต ผับ บาร์ ไนต์คลับ อีก 1 ปี เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว บทวิเคราะห์มองเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่ม Domestic Play ที่จะได้ประโยชน์ อาทิ ค้าปลีก, ไฟแนนซ์, ร้านอาหาร และท่องเที่ยว (CRC, CPALL, SAWAD, CENTEL, ERW)

KSS คาด SET “Rebound” ต้าน 1433 จุด ชู BJC, CRC, KTB

KSS คาด SET “Rebound” ต้าน 1433 จุด ชู BJC, CRC, KTB

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “Rebound” ต้าน 1429/1433 จุด รับ 1415/1411 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งขึ้น ดัชนีS&P500 +0.38% หุ้นเทคฯนำตลาด Broadcom ยังมีโมเมนตัม ขณะที่ปัจจัยมหภาค Flash PMI สหรัฐฯ ธ.ค. 24 ภาคบริการขยายตัว ดีกว่าคาด เร่งขึ้นสู่ 58.5 จุด ชดเชยฝั่งภาคผลิตที่ต่ำกว่าคาด หนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นภาพ Goldilocks to Soft Landing แต่ตลาดน่าจะเริ่มรอสัญญาณช่วงถัดไปโดยเฉพาะมุมมองดอกเบี้ยและเศรษฐกิจจากการประชุม Fed (ไทยทราบผลเช้า 19 ธ.ค.) บ่งชี้จาก US Bond Yield 10 ปีที่ยังแกว่ง 4.4%           ขณะที่เอเชียการฟื้นตัวจีนยังค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ความน่าสนใจระยะสั้นที่จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนยังไม่มาก ด้านไทยหลังตลาดปรับตัวลดลง 6 วันติด ส่งผลให้ Current Equity Risk Premium (ERP) แตะ 3.8% > ค่าเฉลี่ย 3.1% ส่วน Forward ERP ขึ้นไป 4.4% > Avg + 1 S.D. (4.05%) น่าจะเริ่มเป็นจุดกลับมาสร้างความน่าสนใจตลาดหุ้นไทย ผสาน ภายในลุ้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม           ประเมิน SET วันนี้ Rebound หุ้นนำ คือ กลุ่ม Domestic ธนาคาร ค้าปลีก กลุ่มที่เป็นเป้า Domestic Long Term Funds อาทิ สื่อสาร วันนี้แนะนำ BJC, CRC, KTB

“คุณสู้ เราช่วย” ดีกับเศรษฐกิจ โบรกชี้เป้า CPALL - CRC

“คุณสู้ เราช่วย” ดีกับเศรษฐกิจ โบรกชี้เป้า CPALL - CRC

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.พาย ชี้เงินเฟ้อสหรัฐฯตามตลาดคาด รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ สภาพคล่องสูงขึ้น (ดีกับเศรษฐกิจ) ปัจจัยนอกประเทศ           ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 99 จุด (-0.2%) แต่ดัชนี S&P500 , Nasdaq ปิดบวกหลังจากที่สหรัฐฯรายงานเงินเฟ้อสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 1.8% หลังมีรายงานว่า EU ประกาศคว่ำบาตรรัสเซีย           เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯรายงานเงินเฟ้อประจำเดือน พ.ย. พบว่าขยายตัว 2.7%YoY 0.3%MoM และเงินเฟ้อพื้นฐานขยายตัว 3.3%YoY , 0.3%MoM ทั้งคู่ที่กล่าวไปข้างต้นสอดคล้องกับที่ Bloomberg Consensus ประเมินไว้ โดยการลดลงของเงินเฟ้อ (ขยายตัวน้อยลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้) ได้แรงหนุนหลักจากการปรับลงของราคาพลังงาน โดยเฉพาะน้ำมันเตา (-19.5%YoY) รวมไปถึงราคารถมือสองและรถบรรทุก (-3.4%YoY) แต่ทั้งนี้เงินเฟ้อสหรัฐฯแม้จะปรับลงจากจุดสูงสุดราว 9%YoY มาอยู่ที่ 2.7%YoY แต่ตัวเลข 2.7%YoY นั้นก็ถือว่าเร่งขึ้นจากเดือนก่อนที่ 2.6%YoY เป็นผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯเริ่มขยับขึ้นต่อเนื่อง พร้อมกับการแข็งค่าของ Dollar Index ส่วน CME FED Watch ล่าสุดให้น้ำหนักลดดอกเบี้ยเดือน ธ.ค. ราว 98.6% แต่ปี 25 ทั้งปีประเมินว่าจะลดดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้ง ลดลงจาก Dot Plot ของ FED ที่ 4 ครั้ง สะท้อนมุมมองที่เข้มงวดมากขึ้นจากตลาด ซึ่งอาจเกิดจากความคาดหวังเงินเฟ้อจะไม่ปรับลงแรง รวมไปถึงการปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศต่างๆภายใต้นโยบายของ Trump จะเป็นอีกแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ ส่วนค่าเงินบาทนั้นกลับมาอ่อนค่าทดสอบ 33.8 บาท / ดอลลาร์สหรัฐฯ จากก่อนหน้าที่ 33.6 บาท / ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนนึงเชื่อว่าเกิดจาก Dollar Index ที่แข็งค่า ด้านปัจจัยในประเทศ           วานนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ออกโครงการเห็นชอบแก้หนี้ SME , กลุ่มเปราะบาง ประกอบไปด้วย (1) มาตรการปรับโครงสร้างหนี้แบบลดภาระดอกเบี้ยโดยเน้นการตัดต้นเงินลูกหนี้ รูปแบบการให้ความช่วยเหลือเน้นที่ลดภาระผ่อนชำระค่างวดโดยค่างวดทั้งหมดจะนำไปตัดเงินต้น (2) ช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่ม Non Bank รูปแบบการช่วยเหลือจะได้แก่ลดภาระการผ่อนชำระค่างวดเป็น 70% ของค่างวดก่อนเข้าร่วมมาตรการพร้อมลดดอกเบี้ย 10% จากดอกเบี้ยก่อนเข้าร่วมตลอดระยะเวลา 3 ปี ความเห็นเราสำหรับสถาบันการเงินคุณภาพสินเชื่อดีขึ้นและภาระสำรองหนี้ฯลดลง ทำให้กล้าจะปล่อยสินเชื่อใหม่มากขึ้นแต่ในช่วง 3 ปีแรก รายได้ดอกเบี้ยรับปรับลดลงสินเชื่อลดลงจากการชำระคืนหนี้กระทบความสามารถการทำกำไร อย่างไรก็ดีผลกระทบส่วนหนึ่งจะถูกชดเชยจากการลดเงินนำส่งค่าธรรมเนียม FIDF ด้านเศรษฐกิจด้วยสภาพคล่องที่สูงขึ้นจะเป็นปัจจัยหนุนการบริโภค บวกกับกลุ่มค้าปลีก (BJC CRC CPALL) วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1435 – 1450 เชิงกลยุทธ์การลงทุนยังแนะ Trading ได้เช่นเดิมรอการฟื้นตัวช่วงถัดไป แนะนำที่กลุ่มค้าปลีก (BJC CRC CPALL DOHOME) ท่องเที่ยว (AOT CENTEL MINT) ธนาคาร (BBL KBANK KTB SCB) ศูนย์การค้า (CPN) ส่งออก (ITC TU) CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท)           รายงานกำไรงวด 3Q24 ที่ 5.6 พันล้านบาท (+27%YoY) หลังหักรายการพิเศษจะมีกำไรปกติ 6.2 พันล้านบาท (+45%YoY) ดีกว่าที่เราและตลาดคาด 9% หนุนจากยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 ที่เติบโต 3.3%YoY จากยอดขายกลุ่มอาหารพร้อมทานและ Personal Care ที่เติบโตดี รวมกับการเติบโตของกำไรของ CPAXT จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Makro +1.5% และ Lotus’s +2.3%) ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 4Q24 จะเติบโต YoY และ QoQ ต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยว CRC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 40.00 บาท)           รายงานกำไรสุทธิ 3Q24 ที่ 2.1 พันล้านบาท (+86%YoY) หลังตัดรายการพิเศษจะมีกำไรปกติที่ 1.6 พันล้านบาท (+24%YoY, +1%QoQ) ดีกว่าที่เราและ BB consensus คาด 17% ทำให้กำไร 9M24 คิดเป็น 68% ของประมาณการกำไรปี2024 กำไร 3Q24 ที่โต YoY มาจากรายได้จากการส่งเสริมการขายที่เพิ่มขึ้น การควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดี บวกกับอัตราภาษีจ่ายที่ลดลง แม้ว่าการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่ -3%YoY (ไทย -2%, เวียดนาม -6%, อิตาลี -4%) ขณะที่แนวโน้มช่วง QTD ของ 4Q24 มีทิศทางการฟื้นตัวและพลิกกลับมาเป็นบวกได้ในช่วง 10 วันของเดือนพ.ย. 2024

CRC ไฮซีซั่น-มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดัน แนะ

CRC ไฮซีซั่น-มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดัน แนะ"ซื้อ" เป้า 41 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัดสรุปสาระสำคัญจากการประชุม Opportunity Day ของ Central Retail Corporation (CRC) เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567 แนวโน้ม SSSG ในช่วง 4Q67 (จากตุลาคมถึงธันวาคม 2567) SSSG (Same Store Sales Growth) ของธุรกิจในไทยเป็นบวก 1-3% YoY โดยดีขึ้นจาก -2% YoY ใน 3Q67 โดยธุรกิจแฟชั่นเติบโต 4-5% YoY (จาก 3Q67 ที่ทรงตัว) จากการเข้าสู่ High Season และการปรับปรุงสาขา Flagship ของเซ็นทรัลชิดลม ซึ่งจะเปิดเต็มรูปแบบในวันที่ 12 ธันวาคม 2567 ส่วนธุรกิจ Hardline ลดลง 4-6% YoY (จาก -7% ใน 3Q67) และธุรกิจ Food เติบโต 1-3% YoY ใกล้เคียงกับ 3Q67 แผนการขยายสาขาใน 4Q67 บริษัทจะเปิดสาขาใหม่ในธุรกิจ Hardline และ Food ได้แก่ ไทวัสดุ 1 สาขา, Tops 6 สาขา, GO Wholesale 1 สาขาในไทย, และในเวียดนามจะเปิด GO! Mall 2 สาขา และ Mini go! 3 สาขา การเติบโตในปี 2568 บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของยอดขายในปี 2568 ที่ 4-6% YoY หรือไม่น้อยกว่า 2 เท่าของ GDP ประเทศไทย โดยการเติบโตส่วนใหญ่จะมาจากการเปิดสาขาใหม่และการรีโนเวทสาขาของไทวัสดุและ Go Wholesale รวมถึงการขยายสาขา Go ในเวียดนาม การลงทุน (CAPEX) คาดการณ์ CAPEX ในปี 2568 อยู่ที่ 2.2-2.4 หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 2567 โดยจะเน้นการลงทุนในไทยและเวียดนาม ส่วนในยุโรปบริษัทมีแผนขยายพื้นที่ห้างรีนาเซนเต มิลาน และสร้าง "Beauty Hall" ขนาดใหญ่ที่สุดในมิลาน คาดเปิดในปี 2570 หนี้สินและการบริหารการเงิน ณ สิ้น 3Q67 บริษัทมีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสูงประมาณ 93,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากปลายปี 2566 โดยได้มีการกู้เงินเพื่อขยายสาขา แต่ยังรักษาอัตราส่วน Net debt/EBITDA และ Net debt/equity อยู่ในระดับต่ำกว่ากำหนดของบริษัท (3.0x และ 2.5x ตามลำดับ) ใน 3Q67 บริษัทใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นแหล่งเงินลงทุนมากขึ้น และมีการปรับหนี้สินจากอัตราดอกเบี้ยลอยตัวเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ (85:15) เพื่อรับผลประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาลง แนวโน้มผลประกอบการ คาดว่าใน 4Q67 กำไรจะเติบโตโดดเด่น QoQ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากฤดูกาลที่ดีขึ้นและการปรับปรุงสาขาต่างๆ เสร็จสิ้น รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้น โดยคาดว่ากำไรปกติใน 4Q67 จะทรงตัว YoY จากฐานที่สูงในปีก่อน มุมมองของนักวิเคราะห์ คาดว่ากำไรปกติในปี 2567 จะอยู่ที่ 8,300 ล้านบาท (+2% YoY) และในปี 2568 จะอยู่ที่ 9,200 ล้านบาท (+11% YoY) คงคำแนะนำ "ซื้อ" โดยมีราคาเหมาะสมที่ 41.00 บาทต่อหุ้น โดยคาดว่าราคาหุ้นจะฟื้นตัวต่อเนื่องจากการเข้าสู่ High Season และแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

CRC ฟื้นได้ดีท่องเที่ยว หนุนรายได้ทุกสาขา

CRC ฟื้นได้ดีท่องเที่ยว หนุนรายได้ทุกสาขา

          หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล.ดาโอ ระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” และ roll-over ไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2025E ที่ 45.00 บาท โดยอิง 2025E PER ที่ 27.5x (หรือเท่ากับ -0.5SD below 3-yr average PER) เรามีมุมมองเป็นกลางต่อการประชุมนักวิเคราะห์สำหรับ 3Q24 ที่จัดขึ้นวันที่ 14 พ.ย. 2024 ที่ผ่านมา โดยมีประเด็นสำคัญคือ 1) 4Q24E QTD SSSG รวมเป็นลบ -1-2% โดยไทยคาดที่ +2-3%, เวียดนาม -12-13% จากผลกระทบของค่าเงิน, และอิตาลี -5-6% โดยมีแนวโน้มดีขึ้นใน พ.ย. จากสาขาในมิลาน renovate เสร็จ (sales mix: TH 72%, VN 21%, IT 7%) 2) ยังคงเป้า SG&A/sales ใน 2024E อยู่ที่ไม่เกิน 27.5% (โดยใน 9M24 ควบคุมได้ดีอยู่ที่ 27.4%) 3) คาดเริ่มเห็นผลกระทบจาก renovation ลดลงชัดเจนใน 4Q24E จากสาขามิลานในอิตาลีเสร็จสิ้นในเดือน ต.ค. และสาขาชิดลมในไทยเสร็จในเดือน ธ.ค. 2024E ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E/25E ขึ้น +4% อยู่ที่ 8.7/9.9 พันล้านบาท โต +8%/+14% YoY จากเดิมที่ 8.3/9.5 พันล้านบาท จากรายการพิเศษใน 3Q24 โดยกำไร 9M24 คิดเป็น 69% ต่อประมาณการทั้งปีใหม่ของเรา แนวโน้ม 4Q24E คาดขยายตัวได้ทั้ง YoY และ QoQ จากการ renovate สาขาที่เริ่มเสร็จสิ้นและเข้าสู่ high season ต่อเนื่องไปใน 1Q25E ที่เป็นช่วงเทศกาล           ราคาหุ้นกลับมา perform ใกล้เคียง SET มากขึ้น ในช่วง 1 เดือน จากผลการดำเนินงานที่ออกมาขยายตัวดีแม้เป็น low season ในภาวะเศรษฐกิจที่ยังกดดัน อย่างไรก็ดีเรายังแนะนำซื้อจากคาดกำไร 4Q24E-1Q25E กลับมาขยายตัวได้ จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และฟื้นตัวหลังปรับปรุงสาขา และปัจจัยฤดูกาล

ดิจิทัลหมื่นบาทมาแล้ว มีหุ้นอะไรได้ประโยชน์?

ดิจิทัลหมื่นบาทมาแล้ว มีหุ้นอะไรได้ประโยชน์?

          หุ้นวิชั่น - บล. DAOL เผยคาดใช้จ่ายกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคมากสุดหลังเริ่มแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท           วานนี้ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เริ่มจ่ายเงินให้กับผู้มีสิทธิรับเงิน 10,000 บาท ตามโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล โดยมีการเริ่มทยอยโอนเงินเข้าบัญชีพร้อมเพย์และบัญชีธนาคารที่แจ้งไว้ให้กับผู้มีสิทธิ์ และจะดำเนินการต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 30 ก.ย. นี้ รวม 6 วัน จำนวน 14.5 ล้านราย หรือคิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 145,000 ล้านบาท จากการสำรวจความคิดเห็นประชาชน พบว่าประชาชนส่วนใหญ่จะนำเงินไปใช้เพื่อการบริโภคและอุปโภคในชีวิตประจำวัน อาทิ ของใช้ในบ้าน, สินค้าเพื่อการศึกษา, สินค้าเพื่อการเกษตร, สินค้าไอที โทรศัพท์มือถือ DAOL: คงน้ำหนักการลงทุนกลุ่ม Commerce เป็น "มากกว่าตลาด"           โครงการแจกเงิน 10,000 บาทจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม โดยคาดว่าจะส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ซึ่งจะช่วยหนุนและเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่ม Commerce โดยตรง เรายังมองเป็นบวกต่อกลุ่ม Commerce ว่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมได้ โดยจะเป็นประโยชน์ทางอ้อมต่อการบริโภคโดยรวมของกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งมีสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคสูง           ฝ่ายวิเคราะห์ ชอบ CPAXT (ซื้อ/เป้า 36.00 บาท), CPALL (ซื้อ/เป้า 84.00 บาท) และ CRC (ซื้อ/เป้า 40.00 บาท) ตามลำดับ จากการคาดการณ์การใช้จ่ายจะอยู่ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นหลัก           รองมาเป็นกลุ่ม Home Improvement HMPRO (ซื้อ/เป้า 15.00 บาท), GLOBAL (ถือ/เป้า 16.00 บาท) และ DOHOME (ถือ/เป้า 11.00 บาท) จากจำนวนสาขาที่มีในพื้นที่ที่มีผู้ได้รับสิทธิ์มากที่สุด ตามลำดับ หุ้นอื่นๆ ที่ได้ประโยชน์           และยังชอบกลุ่มผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคโดยตรง คือ NEO (ซื้อ/เป้า 64.00 บาท) มีสัดส่วนรายได้จากสินค้าอุปโภค 100%, OSP (ซื้อ/เป้า 28.00 บาท) มีสัดส่วนรายได้สินค้าอุปโภคที่ 9% ของรายได้รวม และ SFLEX (ซื้อ/เป้า 4.80 บาท) ได้ประโยชน์ต่อเนื่องจากยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีการใช้ flexible packaging เพิ่มขึ้น, CBG (ซื้อ/เป้า 88.00 บาท) กลุ่มเปราะบางเป็นลูกค้าหลักของเครื่องดื่มชูกำลังแบรนด์คาราบาวแดง คาดช่วยหนุนรายได้เครื่องดื่มชูกำลังในประเทศใน 4Q24E โตต่อ YoY, QoQ