#CKP


CKPower คว้าเรตติ้งสูงสุด SET ESG Ratings ปี 2567 ระดับ

CKPower คว้าเรตติ้งสูงสุด SET ESG Ratings ปี 2567 ระดับ "AAA"

           หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ 19 ธ.ค. 2567 - บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKPower (ชื่อย่อหลักทรัพย์: CKP) หนึ่งในผู้นำในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคและมีคาร์บอนฟุตพรินต์ที่ต่ำที่สุดรายหนึ่ง ได้รับการประเมินหุ้นยั่งยืน "SET ESG Rating" ในระดับ AAA เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน  (คะแนนรวม 90-100) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของประเทศไทย ในกลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร (Resources) ประจำปี 2567 จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเป็น 1 ใน 228 บริษัทจดทะเบียนที่ผ่านเกณฑ์และได้รับการประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings และเป็น  1 ใน 56 บริษัทจดทะเบียนที่ได้รับการประมินระดับ AAA สะท้อนการดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสีย โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจและบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ซึ่งขับเคลื่อนผ่านกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน "ซี เค พี" หรือแผนการดำเนินงาน 5 ปี สู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (พ.ศ.2565-2569)  ที่มีการขับเคลื่อนในทุกกระบวนการ ตั้งเป้าหมาย ติดตามแผนงานปฏิบัติการ ที่สามารถวัดผลการดำเนินงาน พร้อมการทวนสอบและเปิดเผยข้อมูลอย่างครบถ้วนตามมาตรฐานสากล [PR News]

CKP กวาดรายได้กว่า8พันล้านใน9 เดือนแรก รับอานิสงส์บวกจากปัจจัยฤดูกาล

CKP กวาดรายได้กว่า8พันล้านใน9 เดือนแรก รับอานิสงส์บวกจากปัจจัยฤดูกาล

           กรุงเทพฯ 11 พ.ย. 2567 นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKPower (ชื่อย่อหลักทรัพย์: CKP) หนึ่งในผู้นำในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคและมีคาร์บอนฟุตพรินต์ต่ำที่สุดรายหนึ่ง เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานโดยรวมทั้งในไตรมาส 3/2567 และงวด 9 เดือนปี 2567 ที่แข็งแกร่งและมีความมั่นคงทางการเงิน โดยในไตรมาส 3 มีรายได้รวม 2,901.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.5 ขณะที่งวด 9 เดือนของปี 2567 มีรายได้รวม 8,012.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ร้อยละ 29.6 เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.0 รวมถึงมีอัตรากำไรก่อนค่าใช้จ่ายทางการเงิน ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin) อยู่ที่ร้อยละ 44.4 เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน            สำหรับปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนของปีนี้ มาจากรายได้จากการขายไฟฟ้าของ บริษัท ไฟฟ้าน้ำงึม 2 จำกัด (NN2) ที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 32.5 และ 42.2 ตามลำดับ จากปรากฎการณ์ลานีญาและอิทธิพลจากพายุยางิที่ทำให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำมากขึ้น โดยเฉพาะในเดือนกันยายน 2567 ส่งผลให้ NN2 สามารถประกาศความพร้อมจ่ายไฟฟ้าได้มากขึ้น นอกจากนี้ค่าเชื้อเพลิงของบริษัท บางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น จำกัด (BIC) ยังลดลงตามสถานการณ์ราคาก๊าซธรรมชาติ                        "จากปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำงึม 2 ในปัจจุบันที่อยู่ในระดับสูง จะทำให้การบริหารจัดการน้ำในช่วงที่เหลือของปี 2567 และช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 มีความคล่องตัว นอกจากนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐอเมริกา และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศไทย ทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด (XPCL) ลดลง ซึ่งส่งผลดีต่อส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมของ CKPower ในไตรมาส 4 ต่อเนื่องไปถึงปี 2568" นายธนวัฒน์ กล่าว            สำหรับฐานะการเงินของ CKPower มีความแข็งแกร่งต่อเนื่อง ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 73,653 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.1 จากสิ้นปี 2566 มีอัตราส่วนสภาพคล่องอยู่ที่ 1.98 เท่า เพิ่มขึ้น 0.30 เท่าจากสิ้นปี 2566 ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวมก็ยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 0.54 เท่า เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจากสิ้นปี 2566 สะท้อนถึงความเพียงพอของสภาพคล่องและความสามารถในการชำระหนี้ที่อยู่ในระดับสูงของบริษัท            ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา CKPower ได้รับคะแนนกำกับดูแลกิจการ (CG Score) ในระดับ "ดีเลิศ" ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย สะท้อนการบริหารจัดการบริษัทที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายอย่างรอบด้าน ครอบคลุมมิติบรรษัทภิบาล สังคม และสิ่งแวดล้อม (ESG) พร้อมกันนี้ในช่วงเดียวกัน บริษัทได้รับเกียรติบัตรจากโครงการ ESG DNA ชุดความรู้ด้านความยั่งยืน สำหรับบุคลากรทุกระดับ จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในฐานะ 1 ใน 50 องค์กรต้นแบบที่ได้เข้าร่วมโครงการและมีพนักงานเข้าอบรมผ่านเกณฑ์แล้วกว่าร้อยละ 79.7 ของหลักสูตร ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับหลักการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน การรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสีย ทุกภาคส่วนอย่างยั่งยืน            “CKPower ยังคงมุ่งมั่นผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้กับประเทศไทย พร้อมกับสานต่อกลยุทธ์ด้านการจัดการพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามมาตรฐานสากล รวมถึงแนวปฏิบัติการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ที่สามารถหวังผลในระยะยาวอย่างเป็นรูปธรรมภายในปี 2593" นายธนวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย เกี่ยวกับ “บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKPower”            บริษัทประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานประเภทต่าง ๆ 3 ประเภท จำนวน 18 แห่ง รวมขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 3,640 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย (1) โรงไฟฟ้าพลังน้ำ 3 แห่ง คือ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำงึม 2 ภายใต้ บริษัท ไฟฟ้าน้ำงึม 2 จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้น 46% (ถือผ่าน บริษัท เซาท์อีสท์ เอเชีย เอนเนอร์จี จำกัด) ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 615 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี ภายใต้ บริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้น 42.5% ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 1,285 เมกะวัตต์ และ โครงการไฟฟ้าพลังน้ำ หลวงพระบาง ภายใต้ บริษัท หลวงพระบาง พาวเวอร์ จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้น 50% ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 1,460 เมกะวัตต์ (2) โรงไฟฟ้าระบบโคเจนเนอเรชั่น 2 แห่ง ภายใต้ บริษัท บางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้น 65% ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 238 เมกะวัตต์ และ (3) โรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ 13 แห่ง ภายใต้ บริษัท บางเขนชัย จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้น 100% จำนวน 11 แห่ง ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 28 เมกะวัตต์ ภายใต้บริษัท นครราชสีมา โซล่าร์ จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้น 30% จำนวน 1 แห่ง ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 6 เมกะวัตต์ และภายใต้บริษัท เชียงราย โซล่าร์ จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้น 30% จำนวน 1 แห่ง ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 8 เมกะวัตต์ [PR News]

[PR News] CKP คว้ารางวัล “องค์กรผู้นำด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก”

[PR News] CKP คว้ารางวัล “องค์กรผู้นำด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก”

           กรุงเทพฯ (16 ต.ค. 67) – บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKPower (ชื่อย่อหลักทรัพย์: CKP) หนึ่งในผู้นำในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคและมีคาร์บอนฟุตพรินต์ที่ต่ำที่สุดรายหนึ่ง ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณ "องค์กรผู้นำด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก" (Climate Action Leading Organization: CALO) ประเภทดีเด่น จาก นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีผลการประเมินในด้านการตรวจวัดและทวนสอบข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมีแผนการลดก๊าซเรือนกระจก ตอกย้ำการดำเนินงานของ ซีเค พาวเวอร์ ที่มุ่งมั่นและแสดงเจตนารมณ์ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ชุมชน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนตลอดห่วงโซ่คุณค่า            นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ซีเค พาวเวอร์ ให้ความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ตามกรอบเป้าหมาย SDGs ของสหประชาชาติ โดยที่ผ่านมาได้มีการจัดทำนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นโยบายอนุรักษ์พลังงาน ที่ครอบคลุมการทำงานทั่วทั้งองค์กร ซึ่งในมิติการอนุรักษ์พลังงานได้มีการส่งเสริมให้บุคลากรในทุกหน่วยงานภายในองค์กรคิดค้นนวัตกรรมด้านการลดการใช้พลังงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมกันนี้มีแผนเพิ่มสัดส่วนการผลิตพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ รวมถึงสนับสนุนการเพิ่มพื้นที่ป่าและพื้นที่สีเขียวอย่างต่อเนื่องในอนาคต ซึ่งการดำเนินงานดังกล่าวขับเคลื่อนการทำงานผ่าน คณะกรรมการขับเคลื่อนความยั่งยืน ในการกำหนดทิศทางและเป้าหมายโดยมีบุคลากรและพนักงานของบริษัทร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ตามกลยุทธ์ความยั่งยืน (C-K-P) โดยในปี 2566 กลุ่มบริษัท ซีเค พาวเวอร์ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียง 0.069 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) ต่อการผลิตไฟฟ้า 1 เมกะวัตต์-ชั่วโมง (MWh) ซึ่งลดลง 0.26% จากเป้าหมาย รวมถึงหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากถึง 4.4 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี”            “ก้าวต่อจากนี้ ซีเค พาวเวอร์ วางเป้าหมายการเติบโตในด้านการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและรากฐานความมั่นคงทางพลังงาน ตลอดจนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศไทยก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ทั้งนี้สำหรับผลการประเมินในด้านการตรวจวัดและการลดก๊าซเรือนกระจกในระดับดีเด่น จากคณะกรรมการเครือข่ายคาร์บอนนิวทรัลประเทศไทย (TCNN) องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) จะเป็นฟันเฟืองที่สำคัญในการเดินหน้าสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ที่สามารถหวังผลในระยะยาวอย่างเป็นรูปธรรมภายในปี 2593 ตามกรอบแผนงาน CKP NET ZERO EMISSIONS 2050” นายธนวัฒน์ กล่าวเสริม            ซีเค พาวเวอร์  เป็น 1 ใน 2 บริษัทจากกลุ่มทรัพยากรที่ได้รับรางวัล “องค์กรผู้นำด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก (CALO)” ประจำปี 2567 ประเภทดีเด่น จากการได้รับผลการประเมินระดับเงิน (Silver) อย่างน้อย 2 ระดับ จากเกณฑ์การประเมิน 3 ด้าน คือ ด้านการตรวจวัดและทวนสอบ (Measure) การลด (Reduce) และการชดเชย (Contribute) จากการตัดสินของคณะกรรมการเครือข่ายคาร์บอนนิวทรัลประเทศไทย (Thailand Carbon Neutral Network: TCNN) เป็นหนึ่งในเครือข่ายขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เพื่อขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจกขององค์กรภาคส่วนต่างๆ และยกย่ององค์กรที่แสดงถึงความเป็นผู้นำในการบริหารจัดการธุรกิจอย่างมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรผ่านการแสดงเจตนารมณ์ที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในระดับองค์กร ผ่านเป้าหมายและแผนการดำเนินงานที่ชัดเจน

เป้าใหม่ CKP 5.2 บาท โบรกเคาะกำไร Q3 1.6 พันล.

เป้าใหม่ CKP 5.2 บาท โบรกเคาะกำไร Q3 1.6 พันล.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จํากัด (มหาชน) (KSS) คาดว่า CKP จะมีกำไรสุทธิ 1.6 พันล้านบาทใน 3Q24F เพิ่มขึ้น 59% yoy และเพิ่มขึ้น 22 เท่า qoq โดยมาจากรายได้ที่สูงขึ้น ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่มากขึ้น และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้น คาด CKP มีแนวโน้มที่จะเข้าสู่รอบการเติบโตของกำไรไปจนถึงปี 2025F ซึ่งมีแรงหนุนจากสภาพอากาศลานีญาและสถานการณ์ที่ดีขึ้นที่ XPCL ดังนั้นจึงปรับคำแนะนำ CKP เป็น "Buy" (จาก "Trading Buy") ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 5.2 บาท (จาก 4.3 บาท, rolled over ไปปี 2025F)

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

โบรกส่องเป้า CKP 4 บาท

โบรกส่องเป้า CKP 4 บาท

          หุ้นวิชั่น - บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ออกบทวิเคราะห์ โดยปรับคำแนะนำเป็น "ถือ" จากเดิม ซื้อ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP โดยลดราคาเป้าหมายมาที่ 4 บาท (เดิม 4.50 บาท) อิง DCF (WACC 5.5%, TG 0%) สะท้อนประมาณการใหม่ หลังโรงไฟฟ้าไซยะบุรีหยุดผลิตไฟฟ้าบางช่วง           ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินกำไรปกติไตรมาส 3/2567 ที่ 857 ล้านบาท (-13% YoY, +475% QoQ) YoY ลดลงจากปริมาณน้ำที่มากเกินไปไหลเข้าเขื่อนไซยะบุรีส่งผลให้หยุดผลิตไฟฟ้าไปราว 17 วัน ในขณะที่ QoQ ฟื้นตัวจากปัจจัยฤดูกาล โดยประเมินการผลิตไฟฟ้าของโครงการหลักดังนี้ 1) โรงไฟฟ้าไซยะบุรีผลิตไฟฟ้า -16% YoY, +43% QoQ และ 2) โรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 ผลิตไฟฟ้า +20% YoY, +4% QoQ โดยฝ่ายวิเคราะห์ปรับประมาณการกำไรปกติปี 2567 ลงมาที่ 1.3 พันล้านบาท (-14% YoY) ลดลงจากประมาณการเดิม -28% หลังโครงการไซยะบุรีต้องหยุดผลิตไฟฟ้าไปราว 17 วัน และหยุดในช่วงที่เป็น peak season ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินการผลิตไฟฟ้าของโครงการไซยะบุรีในปี 2567 ที่ 6,398 GWh (-7% YoY)           ในขณะที่ปี 2568 ประเมินกำไรปกติที่ราว 2.0 พันล้านบาท (+53% YoY) ใกล้เคียงประมาณการเดิม คาดหวัง normal operation โดยไม่มีการหยุดผลิตไฟฟ้าของโครงการไซยะบุรี           ฝ่ายวิเคราะห์คาดกำไร 3/2567 ฟื้นตัวไม่ดีเท่าที่ควรหลังน้ำไหลเข้าเขื่อนไซยะบุรีมากเกินไป จึงประเมินกำไรปกติไตรมาส 3/2567 ที่ 857 ล้านบาท (-13% YoY, +475% QoQ) YoY ลดลงจากปริมาณน้ำที่มากเกินไปไหลเข้ําเขื่อนไซยะบุรีส่งผลให้หยุดผลิตไฟฟ้าไปราว 17 วัน (10 วันใน ส.ค. และ 7 วันในก.ย.) ในขณะที่ QoQ ฟื้นตัวจากปัจจัยฤดูกาล โดยประเมินการผลิตไฟฟ้าของโครงการหลักดังนี้ 1) โรงไฟฟ้าไซยะบุรีผลิตไฟฟ้าได้ 2,031GWh (-16% YoY, +43% QoQ) และ 2) โรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 ผลิตไฟฟ้า 532GWh (+20% YoY, +4% QoQ) ปรับประมาณการกำไรปกติปี 2567 ลงหลังไซยะบุรีหยุดผลิตไฟฟ้าไปบ้างช่วงในช่วง peak season ปรับประมาณการกําไรปกติปี 2567 ลงมาที่ 1.3 พันล้านบาท (-14% YoY) ลดลงจากประมาณการเดิม -28% หลังโครงการไซยะบุรีต้องหยุดผลิตไฟฟ้าไปราว 17 วัน และหยุดในช่วงที่เป็น peak season ส่งผลให้ capacity factor ลดลง โดยฝ่ายวิเคราะห์ประเมินการผลิตไฟฟ้าของโครงการไซยะบุรีในปี 2567 ที่ 6,398GWh (-7% YoY) ในขณะที่ปี 2568 ประเมินกําไรปกติที่ราว 2.0 พันล้านบาท (+53% YoY) ใกล้เคียงประมาณการเดิม คาดหวัง normaloperation โดยไม่หยุดผลิตไฟฟ้าของโครงการไซยะบุรี           ราคาหุ้น underperform SET ราว -11% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จากความเสี่ยงกรณีนำมามากซึ่งทำให้โครงการไซยะบุรีต้องหยุดผลิตไฟฟ้ํา ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินยังเป็นเรื่องท้าทายที่ราคาหุ้นจะกลับไป outperform SET ได้ แม้มี La Nina ช่วยหนุน แต่การพลาดโอกาสในการทำกำไรในช่วง peak season ทำให้ key catalyst อ่อนลง จึงปรับคำแนะนพลงจาก “ซื้อ” เป็น “ถือ” ต้องกําร catalyst ใหม่ซึ่งในระยะ สั้นยังไม่เด่น รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision