#CBG


ตลาดเครื่องดื่มบูม หุ้นไหนเด่น เช็กด่วน!

ตลาดเครื่องดื่มบูม หุ้นไหนเด่น เช็กด่วน!

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า ส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศ POSITIVE           ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินส่วนแบ่งการตลาดของ OSP ขยายตัว 0.3ppt mom เป็น 44.8% ในเดือนตุลาคม เนื่องจากยอดขายฟื้นตัวหลังน้ำท่วมลดลง ในทางตรงกันข้าม ส่วนแบ่งตลาดของ CBG ลดลง 0.7ppt mom เหลือ 25.1% ในเดือนตุลาคม แต่ผู้บริหารมั่นใจว่าจะได้ส่วนแบ่งตลาด 26% ในเดือนธันวาคม เนื่องจากเข้าร่วมในแคมเปญ 2 ขวด 18 บาท ในร้านสะดวกซื้อ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2024 ถึงมกราคม 2025 CBG ยังตั้งเป้าจะได้รับส่วนแบ่งตลาดเพิ่ม 3ppt ในปี 2025 เป็น 29% เราคงคำแนะนำ "ซื้อ" สำหรับ CBG (TP THB89) และ OSP (TP THB23) CBG จะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มใน 4Q24           แม้ CBG จะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในเดือนตุลาคม แต่ฝ่ายบริหารระบุว่ายอดขายเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศจะเติบโตได้ดีใน 4Q24 โดยประเมินยอดขายจะเพิ่มขึ้น 37% yoy เป็น 261 ล้านขวดใน 4Q24 เนื่องจากมีราคาขายต่ำสุด (10 บาท เทียบกับของแบรนด์อื่นในตลาดที่ 12 บาท) นอกจากนี้ เนื่องจาก 4Q24 เป็นช่วงที่ดีที่สุดของปี ยอดขายในกัมพูชาน่าจะแข็งแกร่ง (ส่วนแบ่งรายได้ 15%) เมื่อดูต้นทุนราคาอลูมิเนียม (8% ของ COGS) น่าจะค่อนข้างทรงตัว qoq เนื่องจาก CBG ล็อคราคาไว้จนถึง 1Q25 เราประมาณการกำไร 4Q24 แบบระมัดระวังจะเพิ่มขึ้น 1% yoy เป็น 656 ล้านบาท สำหรับ OSP ตลาดในเมียนมายังดีอยู่ใน 4Q24           OSP คาดว่าจะได้รับส่วนแบ่งตลาดภายในประเทศต่อไปในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม นอกจากนี้ยอดขายน่าจะยังคงแข็งแกร่งในเมียนมาร์ (ส่วนแบ่งรายได้ 10%) เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่น เราคาดกำไรหลัก 4Q24F จะเพิ่มขึ้น 30% เป็น 770 ล้านบาท CBG เป็นหุ้นเด่น ความเสี่ยงหลังคือความผันผวนของราคาวัตถุดิบ           CBG ซื้อขายที่ 25x 2025F P/E ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 37x สำหรับ OSP มี Valuation ที่ไม่แพง P/E 19x ปี 2025F หรือ -1.5SD ของค่าเฉลี่ยระยะยาว OSP สมควรที่จะเทรดที่ Valuation ต่ำกว่า CBG เพราะคาดว่า OSP อาจเสียส่วนแบ่งตลาดในระยะยาว เนื่องจากสินค้ามีราคาสูงกว่า แต่นักลงทุนอาจมองว่าหุ้นน่าสนใจหากคาดกำไรเติบโตแข็งแกร่งใน 4Q24 ความเสี่ยงที่สำคัญคือราคาวัตถุดิบมีความผันผวน โดยเฉพาะโซดาแอชและอลูมิเนียม

CBG

CBG "ถูกดี" ไม่กระทบตลาด คาดผลงานโค้งท้ายโตเด่น เป้า 85 บ.

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ► ฝ่ายวิเคราะห์เข้าประชุมพิเศษเมื่อวานนี้ บริษัทชี้แจงกรณีมีผู้ร้องยื่นไปที่ DSI ให้ตรวจสอบกรณีร้านโชว์ห่วย (ร้าน "ถูกดี") หลอกลงทุน โดยบริษัทยืนยันว่าร้าน "ถูกดี" ดำเนินธุรกิจสุจริตและถูกต้องตามกฎหมาย โดยเราสรุปสาระสำคัญดังนี้ Our Take ► กรณีการฟ้องร้องดังกล่าวไม่มีความเกี่ยวข้องกับ CBG เนื่องจาก CBG ไม่ได้มีการถือหุ้นระหว่างกัน และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจของร้าน "ถูกดี" หรือมีการลงทุนในธุรกิจดังกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งเป็นธุรกิจส่วนตัวของคุณเสถียร (ผู้ถือหุ้นใหญ่ CBG) เท่านั้น ขณะที่ยอดขายในร้าน "ถูกดี" ของ CBG มีสัดส่วนน้อยไม่ถึง 3% ของรายได้เครื่องดื่มชูกำลังในประเทศของบริษัท หรือไม่ถึง 1% ของรายได้รวม จึงไม่ส่งผลกระทบต่อยอดขายในกรณีเลวร้ายสุดที่ร้าน "ถูกดี" ถูกฟ้องร้อง ► บริษัทยืนยันว่าร้าน "ถูกดี" ดำเนินธุรกิจถูกต้องตามกฎหมาย สะท้อนได้จากผู้ร่วมดำเนินธุรกิจมากกว่า 3,000 รายที่ยังดำเนินธุรกิจอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ ประเด็นดังกล่าวเคยถูกผู้ร้องรายเดิมยื่นฟ้องร้องร้าน "ถูกดี" ผ่านคณะกรรมการการแข่งขันการค้า (กขค.) มาแล้วในปี 2566 ซึ่งทางกขค. มีคำตัดสินว่าร้าน "ถูกดี" ไม่มีความผิด ► ปัจจุบัน DSI ยังไม่รับเรื่องในการพิจารณาคดีดังกล่าว โดยอยู่ระหว่างการขอคำชี้แจงจากทางร้าน "ถูกดี" และมีแนวโน้มเป็นบวก บริษัทคาดว่าจะไม่มีการฟ้องร้องใดๆ เนื่องจากไม่ได้มีมูลเหตุอย่างเพียงพอที่จะทำให้ DSI รับเรื่องพิจารณาคดี และเป็นเรื่องในอดีตที่ทาง กขค. เคยพิจารณาแล้ว ► ขณะที่ปัจจัยกดดันด้านต้นทุนอลูมิเนียม กรณีจีนยกเลิกการคืนภาษีสำหรับการส่งออกอลูมิเนียมและทองแดง 13% (นำเข้าอลูมิเนียมจากจีนจะมีราคาต้นทุนสูงขึ้น 13%) โดย Supplier ของ CBG อยู่ระหว่างการพิจารณาราคาขายใหม่ อย่างไรก็ตาม ปกติ CBG จะนำเข้าจากจีนและญี่ปุ่น โดยใน 3Q67 บริษัทมีการนำเข้าจากญี่ปุ่น 100% ทำให้ใน 1Q68 เป็นต้นไปบริษัทจะหันไปซื้อจากญี่ปุ่น และทำให้แนวโน้มราคาต้นทุนอลูมิเนียมจะใกล้เคียงกับช่วง 3Q67 หรือที่ระดับราคา LME 2,500 – 2,600 USD/ตัน ซึ่งเป็นระดับราคาที่บริษัทยังสามารถบริหารจัดการได้ ► บริษัท Guidance แนวโน้มยอดขายเครื่องดื่มชูกำลังและจัดจำหน่ายสุราข้าวหอมในประเทศทำระดับสูงสุดใหม่ต่อเนื่องในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน ขณะที่ต้นทุนจะลดลงจากราคาอลูมิเนียมที่ปรับลง (ซื้อจากจีนตอนที่ราคายังต่ำ) และอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้นจะหนุน GPM ทำให้เราคงประเมินแนวโน้มกำไรปกติ 4Q67 จะเติบโตทั้ง QoQ และ YoY ► ขณะที่เป้าการเติบโตรายได้ในปี 2568 บริษัทยังคงเป้าหมายไว้ที่ระดับไม่น้อยกว่า 20% YoY จากการเติบโตในตลาดในประเทศมากกว่า 20% และตลาดต่างประเทศที่ระดับ 8-10% ซึ่งยังสูงกว่าประมาณการรายได้ปี 2568 ที่คาดไว้ที่ 22,854 ล้านบาท (+8.4% YoY) ของเรามีความหมายสำคัญ ► ราคาหุ้นปรับลง 5% ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา สะท้อนปัจจัยกดดันดังกล่าว ซึ่งเรามองว่าตลาดกังวลมากไป ไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานที่แนวโน้มกำไรเติบโตเด่นใน 4Q67 และความกังวลดังกล่าวจะคลี่คลายมากขึ้นหลังจากนี้ เรามองราคาที่ย่อลงมาเป็นโอกาสในการเข้าเก็งกำไร คงคำแนะนำ TRADING ราคาเป้าหมาย 85.00 บาท มี Upside gain 11.5%

โบรกแนะโอกาสสะสม CBG Q4/67 ทำนิวไฮรอบ14ไตรมาส

โบรกแนะโอกาสสะสม CBG Q4/67 ทำนิวไฮรอบ14ไตรมาส

          หุ้นวิชั่น - บล.ดาโอ ระบุว่า ร้านถูกดีมีมาตรฐาน ชี้แจงกรณีบุคคลร้องเรียน DSI ไม่เป็นความจริง ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นกลางต่อประเด็นดังกล่าว โดยได้สอบถามไปยัง CBG ซึ่งชี้แจงว่า ร้าน “ถูกดี มีมาตรฐาน” เป็นธุรกิจส่วนตัวของคุณเสถียร เศรษฐสิทธิ์ และ CBG ไม่ได้ถือหุ้นในร้านดังกล่าว ปัจจุบันร้านมีสาขากว่า 5,000 แห่งทั่วประเทศไทย           มองว่าผลกระทบต่อ CBG จำกัด เนื่องจากสัดส่วนรายได้จากร้าน “ถูกดี มีมาตรฐาน” คิดเป็นเพียง 1% ของรายได้รวม อีกทั้งผู้บริโภคยังสามารถซื้อสินค้าของ CBG ผ่านช่องทางอื่นทดแทนได้ สำหรับสินค้าแอลกอฮอล์ของบริษัท ตะวันแดง 1999 จำกัด โรงเหล้าเป็นผู้จัดจำหน่ายโดยตรงไปยังร้านดังกล่าว ซึ่งเป็นช่องทาง Modern Trade ในขณะที่ CBG รับผิดชอบการจัดจำหน่ายในช่องทาง Traditional Trade เท่านั้น แนวโน้มการลงทุน มองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาเป็นโอกาส “เข้าซื้อสะสม” โดยมีปัจจัยหนุนระยะสั้น (short term catalyst) ดังนี้: 1. แนวโน้มกำไร ไตรมาส 4/2567 ทำสถิติสูงสุดในรอบ 14 ไตรมาส หนุนโดย o ฤดูกาลที่เป็น High Season ของเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศ o ผลบวกจากมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท ที่สนับสนุนธุรกิจการกระจายสินค้า (distribution business) o รายได้ต่างประเทศเติบโตต่อเนื่อง 2. อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ขยายตัว YoY และทรงตัว QoQ ประมาณการกำไร • ปี 2024E: กำไรสุทธิ 2,939 ล้านบาท (+53% YoY) • ปี 2025E: กำไรสุทธิ 3,508 ล้านบาท (+19% YoY) จากรายได้และ GPM ที่ขยายตัวต่อเนื่อง Valuation           คงราคาเป้าหมายที่ 95.00 บาท อิง 2025E PER 27.0x ปัจจุบัน CBG เทรดที่ 2025E PER 21.9x ซึ่งยังไม่สะท้อนการเติบโตของ EPS CAGR +35% ระหว่างปี 2023-2025 และยังมีปัจจัยหนุนระยะสั้นจากกำไร ไตรมาส 4/2567 ที่จะสูงสุดในรอบ 14 ไตรมาส

CBG ยอดขายโตไม่หยุด เคาะพื้นฐาน 95 บาท

CBG ยอดขายโตไม่หยุด เคาะพื้นฐาน 95 บาท

หุ้นวิชั่น  - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า Nielsen รายงาน Market Share เครื่องดื่มชูกำลังเดือน ต.ค. by volume ดังนี้CBG อยู่ที่ 25.5% (-80 bps MoM, +180 bps YoY)Carabao Dang อยู่ที่ 25.1% (-70 bps MoM, +220 bps YoY) มีมุมมองเป็นบวกจากประเด็นข้างต้น แม้ market share จะปรับตัวลดลง MoM เล็กน้อยจากแผนการจัด promotion ใน CVS แต่ยังเติบโต YoY อย่างไรก็ตาม รายได้เครื่องดื่มชูกำลังในประเทศ ต.ค. ยังทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง จาก volume ขายที่ดี เราคาด market share เดือน พ.ย. - ธ.ค. จะปรับตัวขึ้น จากการรุกทำการตลาดใน CVS เพิ่มขึ้น (คาดปิดปี 2024E Market share จะอยู่ที่ 26%) ทั้งนี้ เราคาดกำไร 4Q24E อยู่ที่ 879 ล้านบาท (+35% YoY, +18% QoQ) สูงสุดในรอบ 14 ไตรมาส หนุนโดย 1) high season คาดรายได้เครื่องดื่มชูกำลังในประเทศทำ All Time High ต่อ,ได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากแจกเงิน 10,000 บาทกลุ่มเปราะปรางหนุน distribution business โตต่อเนื่อง และรายได้ต่างประเทศเติบโตต่อเนื่อง และ 2) GPM ขยายตัว YoY ทรงตัว QoQ คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E ที่ 2,939 ล้านบาท (+53% YoY) สำหรับปี 2025E เราคาดกำไรสุทธิที่ 3,508 ล้านบาท (+19% YoY) จากรายได้ที่ขยายตัวต่อเนื่อง YoY และ GPM ขยายตัว เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” และคงราคาเป้าหมายที่ 95.00 อิง 2025E PER 27.0x (ใกล้เคียง -1SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี)

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

นักลงทุนคอแห้ง! หุ้นเครื่องดื่มไตรมาส 3 เสิร์ฟกำไรแบบจัดเต็ม

นักลงทุนคอแห้ง! หุ้นเครื่องดื่มไตรมาส 3 เสิร์ฟกำไรแบบจัดเต็ม

อุตสาหกรรมเครื่องดื่ม สำหรับไตรมาส 3/2567 บริษัท มาลีกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือMALEE รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567  บริษัท และบริษัทย่อยมีผลกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นใหญ่ในไตรมาส 3/2567 เท่ากับ 61 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 3/2566 ที่มีผลกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นใหญ่ 9 ล้านบาท ผลการดำเนินงานเติบโต 551% YoY เป็นผลมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น 6% YoY จากกลยุทธ์ที่เน้นการเติบโตของสินค้าภายใต้แบรนด์ Malee ที่เป็น Focus SKU มีการยกเลิกขายสินค้าบางรายการ มีการปรับเพิ่มราคาสินค้าบางกลุ่มสินค้า และในกลุ่มลูกค้า CMG (Contract Manufacturing) ที่เป็นผลิตภัณฑ์ตามสัญญาและรับจ้างผลิต ตลอดจนความมีประสิทธิภาพในการควบคุมต้นทุนขายที่ดีขึ้น บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน)หรือSSC  รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567    กำไรสุทธิของบริษัท เท่ากับ 404 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 156 ล้านบาท หรือคิดเป็น 63.1% จากผลกำไรสุทธิ 248 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของยอดขายและการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทมีผลกำไรต่อหุ้นเป็นจำนวน 1.52 บาท เพิ่มขึ้น 0.59 บาทต่อหุ้น เมื่อเทียบกับผลกำไรต่อหุ้น 0.93 บาทในงวดเดียวกันของปีก่อน บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือCBG รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567 กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทฯ เท่ากับ 741 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +40% YoY สะท้อนยอดขายที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนที่ปรับตัวลดลง การควบคุมค่าใช้จ่าย มีรายได้จากการขายรวมเท่ากับ 5,098 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +8% YoY โดยในจำนวนนี้เป็นรายได้จากการดำเนินการผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนเองจำนวน 3,020 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +8% YoY จากยอดขายเครื่องดื่มบำรุงกำลังคาราบาวแดงในประเทศที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากส่วนแบ่งทางการตลาดที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลจากการที่บริษัทฯ ยังคงดำเนินกลยุทธ์หลักคงราคาขายปลีกที่ 10 บาท รวมถึงการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การกระจายสินค้าให้มีเครือข่ายที่กว้างขวางและครอบคลุมมากขึ้นผ่านคู่ค้ารายย่อยระดับอำเภอและระดับตำบล เพื่อขยายช่องทางการจัดจำหน่าย บริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน)หรือ TACC รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567  บริษัท มีกำไรสุทธิในไตรมาส 3 และสำหรับงวด 9 เดือน ปี 2567 จำนวน 66.31 และ 205.68 ล้านบาท ตามลำดับ เพิ่มขึ้น 6.42 และ 36.95 ล้านบาท (คิดเป็น 10.73% และ 21.90%) จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 59.89 และ 168.73 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 13.89% และ 14.16% ของรายได้ของไตรมาส 3 ปี 2567 และ 2566 (ลดลง 0.27%) และคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 14.45% และ 13.55% ของรายได้สำหรับงวด 9 เดือน ปี 2567 และ 2566 (เพิ่มขึ้น 0.90%)  กลุ่มบริษัทฯ คาดว่ารายได้ทั้งปี 2567 จะเติบโตร้อยละ 10 จากปีก่อน จากกลยุทธ์การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าหลัก เพิ่มฐานลูกค้าใหม่ นำเสนอสินค้าใหม่จับเทรนด์ผู้บริโภครักสุขภาพ บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน)หรือCOCOCO รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567  สำหรับไตรมาสที่ 3 ปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 172.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.57 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 12.81% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่ลดลง 54.84 ล้านบาท หรือคิดเป็นการลดลง 24.14% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากปัจจัยภายนอกจากสถานการณ์ความผันผวนของตลาดการเงินโลกจากความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศและแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอนยังคงมีผลกระทบต่อตลาดเงินและค่าเงินบาทในระยะสั้น ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศมีความผันผวน ส่งผลให้การรับรู้กำไรสุทธิลดลง สำหรับงวด 9 เดือนปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 603.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 252.45 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 72% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยเป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการของตลาด บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือ ICHI รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567  กำไรสุทธิของบริษัทฯ ในไตรมา 13/2567 และ โตรมาร 3/2566 เท่ากับ 357.3 ล้านบาท และ 328.0 ล้านบาทหรือ คิดเป็นอัตราทำไรสุทธิของรายได้จากการขาย เท่ากับ 16.7% และ 15.8% ตามลำดับ กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 20.3 ล้านบาท หรือเท่ากับ 6.9% สำหรับทำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 เท่ากับ 1.099.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 16.7% กำไร สุทธิเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่เท่ากับ 805.3 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 13.6%ของรายได้จากการขาย กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 294.6 ล้านบาทหรือเท่ากับ 36.6% บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน)หรือSAPPE รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567 รายงานผลประกอบการ กำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ในไตรมาส 3/2567 เท่ากับ 300.3 ล้านบาท หรือคิดเป็น 19.2% ต่อรายได้จากการขาย ลดลง 5.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันกับปีก่อนหน้าที่ 319.1 ล้านบาทบริษัทฯ มีรายได้จากการขายในไตรมาสนี้เท่ากับ 1,566.2 ล้านบาท ลดลง 6.0% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมาจากการลดลงของรายได้จากการขายตลาดต่างประเทศเป็นหลัก ภายในปี 2567 บริษัทฯ ยังคงมีแผนการออกสินค้าใหม่ทั้งหมดมากกว่า 20 รายการ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะส่งผลให้รายได้จากการขายเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน)หรือSSC  รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567    กำไรสุทธิของบริษัท เท่ากับ 404 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 156 ล้านบาท หรือคิดเป็น 63.1% จากผลกำไรสุทธิ 248 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของยอดขายและการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทมีผลกำไรต่อหุ้นเป็นจำนวน 1.52 บาท เพิ่มขึ้น 0.59 บาทต่อหุ้น เมื่อเทียบกับผลกำไรต่อหุ้น 0.93 บาทในงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากเหตุผลที่อธิบายข้างต้น บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน)หรือHTC รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567   บริษัทฯ มีกำไรสุทธิแสดงไว้ในงบการเงินรวมเป็นจำนวนเท่ากับ 129.2 ล้านบาท ลดลง 3.6% YoY และลดลง 18.7% QoQ จากปริมาณการขายที่ลดลงจากสภาวะอากาศเย็นและน้ำท่วม และต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 6.9% ลดลง 0.3 จุดเปอร์เซ็นต์ YoY และ QoQ บริษัทฯ คาดการณ์ว่าสภาวะตลาดเครื่องดื่มพร้อมดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ในภาคใต้จะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 4/2567 จากสภาวะการท่องเที่ยวปลายปีที่ปรับตัวดีขึ้น และสภาวะอากาศที่เข้าสู่ฤดูหนาว อีกทั้งจะเริ่มได้รับผลบวกจากการปรับราคาในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเต็มทั้งไตรมาส 4/2567 บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP มีการรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567  บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) รายงานผลขาดทุนสุทธิสำหรับไตรมาส 3 ปี 2567 ที่ 361 ล้านบาท ลดลง 156.3% จากปีก่อน (YoY) และลดลง 159.8% จากไตรมาสก่อน (QoQ) เนื่องจากมีการบันทึกผลขาดทุนสุทธิจากการจำหน่ายเงินลงทุนในธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายขวดแก้วในประเทศเมียนมาตามแผนยุทธศาสตร์การลงทุนตามที่ได้ส่งข่าวแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไปเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2567 และการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน รวมเป็นจำนวน 1,033 ล้านบาท ซึ่งหากไม่รวมรายการพิเศษดังกล่าว บริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงานปกติที่ 672 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.5% YoY และลดลง 27.2% Qo

CBG ยอดขายแกร่งถึงปี 69 คาราบาวแดงหยุดไม่อยู่

CBG ยอดขายแกร่งถึงปี 69 คาราบาวแดงหยุดไม่อยู่

          หุ้นวิชั่น- ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล(ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ว่าในไตรมาส 3/67 CBG ทำกำไรสุทธิได้ 741 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% yoy และ 7% qoq สอดคล้องกับประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์ฯและ Bloomberg consensus โดยกำไรที่เพิ่มขึ้น yoy หนุนโดยยอดขายเครื่องดื่มบำรุงกำลังที่ เติบโตแข็งแกร่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ยังเพิ่มสูงขึ้น           CBG ทำกำไรสุทธิรวม 2.1 พันล้าน บาท เพิ่มขึ้น 62% yoy งวด 9 เดือนของปี 67 คิดเป็น 74% และ 73% ของประมาณการทั้งปีของฝ่ายวิเคราะห์ฯและ Bloomberg consensus ตามลำดับ           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI มองว่า สิ่งที่โดดเด่นของผลประกอบการในไตรมาส 3/67 คือ ยอดขายเครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 8% yoy และ 23% qoq เป็น 1.8 พันล้านบาท จากส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ข้อมูลของ Nielsen ระบุว่าส่วนแบ่งตลาดด้านปริมาณขายของเครื่องดื่ม “คาราบาวแดง” ทำสถิติ สูงสุดใหม่ที่ 25.8% ในเดือนก.ย.67 เทียบกับ 22.6% ในเดือนก.ย.66           นอกจากนี้ ยอดขายที่เติบโตสูงยังทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด ส่งผลให้ GPM จากการขายเครื่องดื่มบำรุงกำ ลังของ CBG เพิ่มขึ้น 420bp yoy และ 90 bp qoq เป็น 39.8% ในไตรมาส 3/67 ส่วนในต่างประเทศ CBG มียอดขายเติบโต 7.5% yoy เนื่องจากยอดขายในตลาดสำคัญอย่างกัมพูชา, ลาว, เมียนมา และเวียดนาม (CLMV) กลับมาขยายตัวถึง 24% yoy           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI มองว่า ส่วนแบ่งตลาดของเครื่องดื่มคาราบาวแดงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อ เนื่องจากความได้เปรียบด้านราคา คาราบาวแดงจำหน่ายราคาขวดละ 10 บาท ทำให้ได้เปรียบคู่แข่งที่จำหน่ายในราคาสูงกว่า จึงเชื่อว่ายอดขายในประเทศจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง สำหรับตลาดต่างประเทศเห็นแนวโน้มสดใสเช่นกัน หนุนโดยการฟื้นตัวของยอดขายในกัมพูชา นอกจากนี้ หากโรงงานในเมียนมาของ CBG สามารถเริ่มผลิตได้ตามแผนในไตรมาส 2/68 คาดว่าจะช่วยให้ยอดขายในครึ่งแรกปี 68 และปี 69 เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้ CBG สามารถแข่งขันอย่างเท่าเทียมในตลาดเมียนมา เนื่องจากนโยบายจำกัดสินค้านำเข้าของเมียนมา ส่งผลกระทบต่อส่วนแบ่งตลาดของ CBG มาตั้งแต่กลางปี 65           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ยังแนะนำ “ซื้อ” และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 94.50 บาท หลังเลื่อนระยะเวลาเป้าหมายการลงทุนเป็นสิ้นปี 68 ยังคงเลือก CBG เป็น Top pick ในกลุ่มเครื่องดื่มของไทย เพราะผลกำไรมีแนวโน้มเติบโตสูงจากยอดขายเครื่องดื่มบำรุงกำลังที่แข็งแกร่งในไทย อีกทั้งโรงงานในเมียนมาใกล้จะเปิดดำเนินงาน           อย่างไรก็ตาม CBG อาจมี downside risk หากราคาวัตถุดิบพุ่งสูงขึ้นและมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายในตลาดส่งออกที่สำคัญ ส่วนปัจจัยบวกคือการที่ CBG มีส่วนแบ่งตลาดในเมียนมาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลังเปิดโรงงานในประเทศนี้ รวมถึงความสำเร็จในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่

โบรกคาด CBG ปีหน้าโตแกร่ง แนะ “ซื้อ” พร้อมเพิ่ม TP ขึ้น 17% เป็น 89 บ.

โบรกคาด CBG ปีหน้าโตแกร่ง แนะ “ซื้อ” พร้อมเพิ่ม TP ขึ้น 17% เป็น 89 บ.

            หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.กรุงศรี แนะอัปเกรด CBG เป็น “ซื้อ” และเพิ่ม TP ขึ้น 17% เป็น 89 บาท หลังจากปรับประมาณการตามเป้าผู้บริหารสำหรับปี 2025 ในการบรรยายสรุปของนักวิเคราะห์เมื่อวานนี้ ซึ่งรวมถึง (1) ยอดขายที่เติบโต 20% yoy นำโดยกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังและธุรกิจจัดจำหน่ายบุคคลที่สาม (2) อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น (yoy) ด้วยการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง และ (3) อัตราส่วนต้นทุนการขายและบริหารต่อยอดขายที่ลดลง เนื่องจากยอดขายเติบโตอย่างรวดเร็ว เราคงกำไร FY24F ไว้แต่เพิ่มกำไรหลัก FY25F ขึ้น 12.1% ตามคำแนะนำเชิงบวก CBG คาดหวังว่าจะได้ส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศเพิ่มขึ้น             CBG มีราคาเครื่องดื่มชูกำลังต่ำสุดที่ 10 บาท/ขวด ส่วนแบ่งการตลาดในประเทศของ CBG เพิ่มขึ้น 1.9ppt qoq เป็น 25.8% และฝ่ายบริหารคาดว่าจะสูงถึง 26% ภายในสิ้นปี 2024 ในปี 2025 พวกเขาคาดว่าส่วนแบ่งการตลาดในประเทศสำหรับเครื่องดื่มชูกำลังจะเพิ่มขึ้น 3ppt เป็น 29% และทำให้เราตั้งสมมติฐานของการเติบโตของยอดขายเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศเป็น 16% ในปี FY25F สำหรับธุรกิจระหว่างประเทศ ฝ่ายบริหารคาดว่ารายได้จะเติบโตเพียง 2% yoy สาเหตุหลักมาจากสภาวะที่เปราะบางในเมียนมาร์ สำหรับธุรกิจจัดจำหน่ายบุคคลที่สาม คาดยอดขายเติบโต 24% yoy นำโดยสุราข้าวหอม สิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การเติบโตของยอดขาย 20% ในปี 2025 การผลิตแก้วและกระป๋องใกล้เต็มกำลังการผลิตในปี 2025             นอกจากนี้พวกเขาวางแผนที่จะใช้แก้วและอลูมิเนียมน้อยลงในบรรจุภัณฑ์ ซึ่งจะลดต้นทุนได้ 1-2% ด้วยเหตุผลเหล่านี้เราจึงเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นปี FY25F ขึ้น 0.2ppt เป็น 26% และเนื่องจากยอดขายเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปีงบฯ 25F เราจึงลดอัตราส่วนต้นทุน SG&A/ยอดขายรวมลง 0.8pt เหลือ 11.5% ความเสี่ยงหลักคือความผันผวนของราคาวัตถุดิบและสงครามราคา             กำหนด TP ของเราไว้ที่ 27.8x P/E ปี 2025F ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 37.3x เล็กน้อย (เนื่องจากกำไรน้อยลงในช่วงการระบาดใหญ่) มองโลกในแง่ดีด้วยความระมัดระวังต่อคำเป้าผู้บริหารล่าสุด เราสังเกตว่ายอดขายเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศของ CBG มักจะเติบโต 1-2% ต่อปี และคำแนะนำการเติบโตของยอดขาย 16% ในปี 2568F อาจเป็นความทะเยอทะยานแต่ก็สามารถบรรลุได้ CBG ซื้อขายที่ 24.1x 2025F P/E ความเสี่ยงที่สำคัญคือราคาวัตถุดิบที่ผันผวนโดยเฉพาะอลูมิเนียม

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

CBG มาร์เก็ตแชร์นิวไฮ ปี68 เบียร์โต 100% หนุน

CBG มาร์เก็ตแชร์นิวไฮ ปี68 เบียร์โต 100% หนุน

          CBG คาดการณ์ยอดขายไตรมาส 4/2567 ทำสถิติสูงสุดใหม่ จากยอดขายในประเทศและกลุ่ม CLMV ที่ขยายตัวต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังคงราคาขาย “คาราบาวแดง” ที่ 10 บาทเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด สิ้นปี แตะ 26% จากปัจจุบันที่ 25.8% ทำนิวไฮในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ส่วนปีหน้าคาดยอดขายเบียร์โต 100%  ส่วนกำไรไตรมาส 3/2567 พุ่ง 741 ล้านบาทที่  40%              นายร่มธรรม เสถียรธรรมะ กรรมการ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG เปิดเผยกับทีมข่าว "หุ้นวิชั่น" ว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/2567 คาดว่ายอดขายในประเทศจะเติบโตโดดเด่น และอาจสร้างสถิติใหม่ (all-time high) พร้อมกันนี้ ยอดขายในกลุ่ม CLMV ก็มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง หลังจากไตรมาส 3/2567 ที่เริ่มฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยบริษัทยังคงยืนยันราคาจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลังแบรนด์ “คาราบาว” ที่ 10 บาทต่อขวด โดยไม่มีแผนปรับขึ้นราคาในเร็ว ๆ นี้ ส่งผลให้ส่วนแบ่งการตลาดของคาราบาวขยายตัวอยู่ที่ 25.8% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 26% ภายในสิ้นปี 2567           สำหรับปี 2568 บริษัท คาดว่ายอดขาย(ไม่รวมเบียร์) จะเติบโต 20% มาจากการจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ  นอกจากนี้ในส่วนของยอดขายเบียร์ จะเติบโตต่อเนื่องจากปี 567 คาดว่าจะสามารถเติบโตได้กว่า 100% ซึ่งจะทำให้รายได้จากส่วนของบรรจุภัณฑ์ และยอดขาย รับจ้างจัดจำหน่ายให้แก่บุคคลภายนอกเติบโตเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ การใช้ผลิตภัณฑ์เบียร์เป็นเครื่องมือการตลาดของ CBG ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่ง ของการรับรู้แบรนด์อีกด้วย           ส่วนผลประกอบการประจำไตรมาส 3/2567 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวมเท่ากับ 5,098 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +8% YoY โดยในจำนวนนี้เป็นรายได้จากการดำเนินการผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนเองจำนวน 3,020 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +8% YoY จากยอดขายเครื่องดื่มบำรุงกำลังคาราบาวแดงในประเทศที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากส่วนแบ่งทางการตลาดเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลจากการที่บริษัทฯ ยังคงดำเนินกลยุทธ์หลักคงราคาขายปลีกที่ 10 บาท รวมถึงการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การกระจายสินค้าให้มีเครือข่ายที่กว้างขวางและครอบคลุมมากขึ้นผ่านคู่ค้ารายย่อยระดับอำเภอและระดับตำบลเพื่อขยายช่องทางการจัดจำหน่าย นอกจากนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการรับจ้างจัดจำหน่ายให้แก่บุคคลภายนอกจำนวน 1,824 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +26% YoY จากการจัดจำหน่ายสินค้าประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นหลักที่ยังคงได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่รายได้จากการจำหน่ายสินค้ากลุ่มอื่นๆ เท่ากับ 175 ล้านบาท ลดลง -56% YoY เนื่องจากในไตรมาส 3/2566 บริษัทได้จำหน่ายขวดแก้ว กระป๋องอะลูมิเนียม และบรรจุภัณฑ์ต่างๆ ให้แก่บริษัทคู่ค้า ซึ่งเป็นผู้ผลิตเบียร์คาราบาวและเบียร์ตะวันแดงในปริมาณมากเพื่อเตรียมความพร้อมในการออกสินค้าใหม่สู่ตลาดในช่วงไตรมาส 4/2566           บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจำนวน 1,431 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +13% YoY คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นที่ 28% เพิ่มขึ้นจากช่วงระยะเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 27% ในขณะที่ส่วนผสมของความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ตามยอดขาย (Product mix) จากสัดส่วนของรายได้จากการรับจ้างจัดจำหน่ายให้แก่บุคคลภายนอกซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่า เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า เป็นผลมาจากกำไรขั้นต้นของสินค้าที่ดำเนินการผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนเองปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้าและไตรมาสก่อนหน้า ถึงแม้ว่าราคาน้ำตาลซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักทยอยปรับตัวสูงขึ้นตามสภาวะตลาดในระหว่างปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ สามารถบริหารจัดการวัตถุดิบอื่นรวมถึงต้นทุนบรรจุภัณฑ์ เช่น เศษแก้ว เพื่อลดต้นทุนได้เป็นอย่างดี ตลอดจนต้นทุนพลังงานที่ใช้ในกระบวนการผลิตที่ปรับตัวลดลง ประกอบกับปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับยอดขายทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV ที่กลับมาฟื้นตัวดีขึ้น ส่งผลต่อต้นทุนผลิตที่ลดลงจากประหยัดต่อขนาด (Economies of scale)           กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทฯ เท่ากับ 741 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +40% YoY สะท้อนยอดขายที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนที่ปรับตัวลดลง การควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดตามที่กล่าวข้างต้น รวมถึงการแบ่งปันสิทธิผู้สนับสนุนการแข่งขันฟุตบอล EFL ให้แก่บริษัทคู่ค้าในกลุ่มธุรกิจผู้ผลิตเบียร์คาราบาวและเบียร์ตะวันแดงเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารและทำการตลาด

CBG  โบรกฯส่อง Q3 กำไรแกร่ง  มอง Q4 ยอดขาย หนุนโตต่อ

CBG โบรกฯส่อง Q3 กำไรแกร่ง มอง Q4 ยอดขาย หนุนโตต่อ

         หุ้นวิชั่น - บล.เคจีไอ ประเมินหุ้น CBG รายงานกําไรสุทธิใน Q3/67 อยู่ที่ 741 ล้านบาท (+40% YoY และ +7% QoQ ใกล้เคียงกับที่ฝ่ายวิจัยและนักวิเคราะห์ในตลาดคาด การที่กําไรแข็งแกร่งขึ้นได้แรงหนุนจากการได้ส่วน แบ่งการตลาดของเครื่องดื่มชูกําลังในประเทศเพิ่มขึ้น การฟื้นตัวของรายได้จากการส่งออก และผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ของบุคคลภายนอกได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ อัตรากําไรขั้นต้น (GPM) ดีขึ้นจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการดําเนินงานและการประหยัดต่อขนาดยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งในขับเคลื่อนการเติบโต ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคาดว่ากําไรของ CBG จะยังมีโมเมนตัมบวกต่อเนื่องใน Q4/67 โดยเติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากยอดขายในประเทศและที่กัมพูชาสูงขึ้น          ฝ่ายวิจัยคงคําแนะนํา“ซื้อ” ประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี2568 ที่ 86.50 บาท (อิงจากPER ที่26x หรือ-1.0S.D.) ในขณะนี้ คาดว่ากําไรของ CBG จะยังคงมีโมเมนตัมเป็นบวกใน Q4/67 โดยเติบโตทั้ง YoY และ QoQ หนุนจากยอดขายในประเทศและที่กัมพูชาสูงขึ้น

ดิจิทัลหมื่นบาทมาแล้ว มีหุ้นอะไรได้ประโยชน์?

ดิจิทัลหมื่นบาทมาแล้ว มีหุ้นอะไรได้ประโยชน์?

          หุ้นวิชั่น - บล. DAOL เผยคาดใช้จ่ายกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคมากสุดหลังเริ่มแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท           วานนี้ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เริ่มจ่ายเงินให้กับผู้มีสิทธิรับเงิน 10,000 บาท ตามโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล โดยมีการเริ่มทยอยโอนเงินเข้าบัญชีพร้อมเพย์และบัญชีธนาคารที่แจ้งไว้ให้กับผู้มีสิทธิ์ และจะดำเนินการต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 30 ก.ย. นี้ รวม 6 วัน จำนวน 14.5 ล้านราย หรือคิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 145,000 ล้านบาท จากการสำรวจความคิดเห็นประชาชน พบว่าประชาชนส่วนใหญ่จะนำเงินไปใช้เพื่อการบริโภคและอุปโภคในชีวิตประจำวัน อาทิ ของใช้ในบ้าน, สินค้าเพื่อการศึกษา, สินค้าเพื่อการเกษตร, สินค้าไอที โทรศัพท์มือถือ DAOL: คงน้ำหนักการลงทุนกลุ่ม Commerce เป็น "มากกว่าตลาด"           โครงการแจกเงิน 10,000 บาทจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม โดยคาดว่าจะส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ซึ่งจะช่วยหนุนและเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่ม Commerce โดยตรง เรายังมองเป็นบวกต่อกลุ่ม Commerce ว่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมได้ โดยจะเป็นประโยชน์ทางอ้อมต่อการบริโภคโดยรวมของกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งมีสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคสูง           ฝ่ายวิเคราะห์ ชอบ CPAXT (ซื้อ/เป้า 36.00 บาท), CPALL (ซื้อ/เป้า 84.00 บาท) และ CRC (ซื้อ/เป้า 40.00 บาท) ตามลำดับ จากการคาดการณ์การใช้จ่ายจะอยู่ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นหลัก           รองมาเป็นกลุ่ม Home Improvement HMPRO (ซื้อ/เป้า 15.00 บาท), GLOBAL (ถือ/เป้า 16.00 บาท) และ DOHOME (ถือ/เป้า 11.00 บาท) จากจำนวนสาขาที่มีในพื้นที่ที่มีผู้ได้รับสิทธิ์มากที่สุด ตามลำดับ หุ้นอื่นๆ ที่ได้ประโยชน์           และยังชอบกลุ่มผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคโดยตรง คือ NEO (ซื้อ/เป้า 64.00 บาท) มีสัดส่วนรายได้จากสินค้าอุปโภค 100%, OSP (ซื้อ/เป้า 28.00 บาท) มีสัดส่วนรายได้สินค้าอุปโภคที่ 9% ของรายได้รวม และ SFLEX (ซื้อ/เป้า 4.80 บาท) ได้ประโยชน์ต่อเนื่องจากยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีการใช้ flexible packaging เพิ่มขึ้น, CBG (ซื้อ/เป้า 88.00 บาท) กลุ่มเปราะบางเป็นลูกค้าหลักของเครื่องดื่มชูกำลังแบรนด์คาราบาวแดง คาดช่วยหนุนรายได้เครื่องดื่มชูกำลังในประเทศใน 4Q24E โตต่อ YoY, QoQ

abs

Hoonvision