#BCP


บางจากฯ ใจดี! คงราคาน้ำมัน แจกโปรพิเศษรับปีใหม่

บางจากฯ ใจดี! คงราคาน้ำมัน แจกโปรพิเศษรับปีใหม่

           บางจากฯ ร่วมมอบความสุข ลดค่าครองชีพ ช่วงเทศกาลปีใหม่ ไม่ปรับขึ้นราคาน้ำมัน ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2567 – 2 มกราคม 2568 พร้อมมอบของสมนาคุณและสิทธิประโยชน์มากมายสำหรับลูกค้าสมาชิกบางจากกรีนไมลส์            นายเสรี อนุพันธนันท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจการตลาด บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ บางจากฯ ขอมอบความสุข ร่วมลดค่าใช้จ่ายให้ลูกค้าผู้บริโภคด้วยหลากหลายโปรแกรมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ได้แก่ เติมความสุขให้เต็มถัง ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2567 – 2 มกราคม 2568 บางจากฯ จะตรึงราคาน้ำมันไม่ปรับขึ้นแม้ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกจะปรับขึ้น และหากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลง บางจากฯ จะปรับลดราคาลงด้วย เพื่อร่วมแบ่งเบาค่าใช้จ่ายให้ผู้ที่เดินทางกลับภูมิลำเนาและฉลองเทศกาลแห่งความสุขกับครอบครัว เติมความสุขให้ลูกค้าและชุมชน โดยคัดสรรผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผลผลิตทางการเกษตรที่ทั้งอร่อย และมีประโยชน์ “ข้าวกล้องป๊อบ 4 ภาค” นำมาสมนาคุณลูกค้าสมาชิกบางจากกรีนไมลส์ที่เติมบางจากแก๊สโซฮอล์ชนิดใดก็ได้ครบทุก 1,200 บาท รับฟรี ข้าวกล้องป๊อบ 4 ภาค 1 ซอง มูลค่า 15 บาท ตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2567 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 ที่สถานีบริการน้ำมันบางจากทั่วประเทศที่ร่วมรายการ ข้าวกล้องป๊อบ 4 ภาค แปรรูปจากข้าวกล้องสายพันธุ์พื้นเมือง 4 ภาค ด้วยนวัตกรรมไร้น้ำมัน ไม่ทอด คงคุณค่าทางอาหาร แคลอรี่ต่ำ มีไฟเบอร์ ปลอดกลูเต็น ดีต่อสุขภาพ และยังช่วยสร้างรายได้ให้ชุมชนกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เติมความสุข เติมแรงให้ทั้งรถทั้งคน สมาชิกบางจากกรีนไมลส์เติมน้ำมันบางจากดีเซลทุกชนิดครบทุก 1,200 บาท รับฟรีทันทีเครื่องดื่ม M-150 จำนวน 1 ขวด มูลค่า 12 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 – 28 กุมภาพันธ์ 2568 ที่สถานีบริการน้ำมันบางจากทั่วประเทศที่ร่วมรายการ เติมความสุขสดชื่นกับน้ำดื่มขวดใหญ่ รับน้ำดื่มขนาด 1.5 ลิตร 1 ขวด มูลค่า 15 บาท ฟรี เมื่อเติมน้ำมันบางจากชนิดใดก็ได้ครบทุก 900 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567 - 28 กุมภาพันธ์ 2568 ที่สถานีบริการน้ำมันบางจากทั่วประเทศที่ร่วมรายการ เติมความสุขอย่างมั่นใจก่อนการเดินทาง ในโครงการ “ตรวจรถฟรี ขับขี่ ปลอดภัยกับ FURiO Care” ซึ่งบางจากฯ ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก บริการตรวจเช็ครถฟรี 11 รายการ พร้อมให้คำแนะนำที่ศูนย์ FURiO Care และ WASH PRO ในสถานีบริการน้ำมันบางจากที่ร่วมโครงการ ตั้งแต่ วันที่ 1 ธันวาคม 2567 – 31 มกราคม 2568 และน้ำมันหล่อลื่น FURiO ราคาพิเศษลดสูงสุด 40% ตรวจสอบสาขาที่ร่วมรายการและรายละเอียดได้ที่ https://www.bcpcarcare.com/th/Promotion/detail/HNY2024 เติมความสุขอย่างอุ่นใจก่อนเดินทาง สมาชิกบางจากกรีนไมลส์ใช้เพียง 9 คะแนน แลกรับแผนความคุ้มครอง “กรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่สุขกายสุขใจ (ไมโครอินชัวรันส์)” สมัครได้ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2567 – 28 กุมภาพันธ์ 2568 โดยกรมธรรม์มีระยะเวลาคุ้มครอง 30 วัน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.bcpgreenmiles.com เติมความสดชื่นกับอินทนิล ซื้อเครื่องดื่ม 2 แก้ว รับฟรีอีก 1 แก้ว ระหว่างวันที่ 23 - 27 ธันวาคม 2567 และสมาชิกบางจากกรีนไมลส์เติมน้ำมันครบ 100 บาท นำใบเสร็จรับส่วนลด 5 บาท เมื่อซื้อเครื่องดื่มและสินค้าที่ร้านอินทนิล ตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2567– 1 มกราคม 2568 ที่ร้านอินทนิลที่ร่วมรายการ นอกจากนั้นยังมีเมนูใหม่ล่าสุดเป็น Boost Up Smoothies ‘น้ำผลไม้อินจู๊ซ’ เครื่องดื่มผักผลไม้ปั่นกับบูสเตอร์ มีประโยชน์ สดชื่นดีต่อสุขภาพ มี 5 รสชาติ ให้เลือก เริ่มจำหน่ายวันที่ 16 ธันวาคม 2567 เติมพลังไฟให้รถ เติมความสดชื่นให้คน ด้วยจุดบริการ EV Charging Station ในสถานีบริการน้ำมันบางจาก ที่มีมากกว่า 355 สาขา 1,076 หัวจ่าย บนเส้นทางหลักทุกระยะ 100 กิโลเมตร ครอบคลุมทุกทิศทั่วไทย ทั้งขาเข้าและขาออกเมือง รองรับรถ EV หลากหลายรุ่น หลากหลายแบรนด์ ระหว่างชาร์จก็พักดื่มกาแฟผ่อนคลายที่ร้านอินทนิล หรือช้อปปิ้งในร้านสะดวกซื้อได้ ดูรายละเอียดจุดบริการ EV Charging Station ได้ที่ Bangchak Mobile Application            ด้วยแนวคิด สร้างสรรค์พลังไม่รู้จบ บางจากฯ จึงพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการมาอย่างไม่หยุดนิ่ง จนล่าสุดนี้ได้รับรางวัลและการรับรองด้านการตลาด ได้แก่ รางวัลพระราชทานในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สาขาความเป็นเลิศด้านสินค้า/การบริการ (Thailand Corporate Excellence Awards 2024) รางวัล Superbrands Thailand 2024 สำหรับแบรนด์บางจาก ที่ได้รับต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 และแบรนด์อินทนิลที่ได้รับต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 เทศกาลปีใหม่นี้จึงขอเชิญชวนทุกท่านแวะเติมความสุขรับปีใหม่ เติมพลังงานสะอาดให้รถ เติมพลังดีๆ ให้คน ที่สถานีบริการน้ำมันบางจาก ซึ่งท่านจะได้รับผลิตภัณฑ์น้ำมันคุณภาพสูง บริการอย่างใส่ใจ ห้องน้ำสะอาดเพียงพอ ธุรกิจเสริมทั้งอาหาร เครื่องดื่มและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ครบครัน การเดินทางของทุกท่านยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจากการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพสูงของบางจากฯ ทั้งน้ำมันเกรดพรีเมียมได้แก่ บางจากไฮพรีเมียม 97 และบางจากไฮพรีเมียมดีเซล S และน้ำมันเกรดมาตรฐาน ได้แก่ บางจากแก๊สโซฮอล์ 91, 95, E20 และ E85 บางจาก ไฮดีเซล S และร้านกาแฟอินทนิลที่ใช้ภาชนะย่อยสลายได้ 100%

OPEC+ ขยายเวลาลดการผลิต หุ้นโรงกลั่นน่าลงทุนไหม?

OPEC+ ขยายเวลาลดการผลิต หุ้นโรงกลั่นน่าลงทุนไหม?

           หุ้นวิชั่น - บล. ดาโอ ระบุว่า ประเทศสมาชิก OPEC+ บางประเทศตกลงขยายเวลาลดกำลังการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจจนถึงปี 2026E ที่ประชุมระดับรัฐมนตรีของผู้ผลิตน่ามันรายใหญ่ทั้งในและนอกกลุ่มโอเปค (OPEC and non-OPEC Ministerial Meeting: ONOMM) ครั้งที่ 38 เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.2024 มีข้อตกลงที่จะขยายการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจ (voluntary production cuts) ของ 8 ประเทศสมาชิก (รวมถึง ซาอุดิอาระเบีย, รัสเซีย, อิรัก, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE), คูเวต, คาซัคสถาน, อัลจีเรียและโอมาน) ออกไปจนถึงปี 2026E โดยแบ่งออกเป็น 1) voluntary production cuts จำนวน 1.65 ล้านบาร์เรลต่อวัน (mbd) (ซึ่งประกาศมาตั้งแต่ เม.ย.2023) จะมีผลจนถึง ธ.ค.2026 และ 2) voluntary production cuts จำนวน 2.2 mbd (ซึ่งประกาศในเดือน พ.ย.2023) จะขยายเวลาจนถึงเดือน มี.ค.2025 ก่อนที่จะทยอยปรับลดขนาดรายเดือนจนถึงสิ้นเดือน ก.ย.2026 เพื่อสนับสนุนความมีเสถียรภาพของตลาด โดยการปรับเพิ่มรายเดือนสามารถที่จะหยุดหรือกลับรายการได้ขึ้นอยู่กับสภาวะตลาด ทั้งนี้ การประชุม ONOMM ครั้งที่ 39 จะจัดขึ้นในวันที่ 28 พ.ค.2025 (ที่มา: Reuters, Bloomberg)            มีมุมมองเป็นกลางต่อแนวโน้มราคาน้ำมันดิบ โดยเรามองว่าการขยายเวลาการทยอยถอน voluntary production cuts ออกไปจะทำให้ผลกระทบจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นต่อตลาดน้ำมันโลกจำกัดมากขึ้น            อย่างไรก็ดี เชื่อว่าตลาดน้ำมันโลกยังมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะอุปทานล้นตลาด (oversupply) ในปี 2025E จากภาพรวมอุปสงค์การใช้น้ำมันที่ฟื้นตัวช้ากว่าอุปทานใหม่ที่เข้ามา (โดยเฉพาะจากกลุ่ม non-OPEC+) และเรายังเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวลง YoY ในปี 2025E โดยปัจจุบัน            สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยของเราอยู่ที่ USD80.0/bbl ในปี 2024E และ USD73.0/bbl ในปี 2025E ทั้งนี้เราเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะซื้อขายในกรอบ USD70/bbl-USD75/bbl สำหรับช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้            ยังคงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” สำหรับกลุ่มพลังงาน และชอบหุ้นโรงกลั่นที่น่าจะเห็นการฟื้นตัว QoQ ของผลประกอบการใน 4Q24E            โดยชอบหุ้น SPRC (ซื้อ/เป้า 8.50 บาท), TOP (ซื้อ/เป้า 55.00 บาท) และ BCP (ซื้อ/เป้า 40.00 บาท)            ทั้งนี้ เชื่อว่าผลประกอบการของกลุ่มโรงกลั่นน่าจะผ่านจุดต่ำสุดของปีไปแล้วใน 3Q24 และจะกลับมารายงานกำไรสุทธิได้ใน 4Q24E หนุนโดย 1) การฟื้นตัวของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) และ 2) ผลขาดทุนสต๊อกน้ำมัน (stock loss) ที่เป็นไปได้ที่ลดลงตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่มีความผันผวนน้อยลง QoQ ใน 4Q24E

ก.ล.ต. ฟันบอร์ด BCP อินไซเดอร์ ESSO

ก.ล.ต. ฟันบอร์ด BCP อินไซเดอร์ ESSO

          หุ้นวิชั่น - ก.ล.ต. เปิดเผยการดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิดรายนายจำเริญ โพธิยอด กรณีซื้อหุ้นบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BCP) โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน โดยให้ผู้กระทำความผิดชำระเงินรวม 2,622,557 บาท และกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร           สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์) เมื่อเดือนมีนาคม 2566 และตรวจสอบเพิ่มเติม พบการกระทำเข้าข่ายเป็นความผิดเกี่ยวกับการซื้อหุ้นโดยรู้หรือครอบครองข้อมูลภายในของบุคคลรายนายจำเริญ ซึ่งขณะนั้นเป็นกรรมการของ BCP ได้ล่วงรู้ข้อมูลภายในเกี่ยวกับการที่ BCP จะเข้าซื้อหุ้นบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (ESSO) และทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ ESSO จากการทำหน้าที่กรรมการในการประชุมคณะกรรมการบริษัทของ BCP ในวันที่ 16 ธันวาคม 2565 ซึ่งภายหลังการล่วงรู้ข้อมูลภายในดังกล่าว นายจำเริญได้ซื้อหุ้น BCP ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตนเองเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2565 จำนวน 300,000 หุ้น ก่อนที่ BCP จะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการที่ BCP จะเข้าซื้อหุ้น ESSO และทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ ESSO ต่อตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2566 เวลา 8.40 น. ทำให้นายจำเริญได้รับผลประโยชน์จากมูลค่าหุ้น BCP ที่มีราคาเพิ่มขึ้นภายหลังจากที่ BCP ได้เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต่อตลาดหลักทรัพย์           การกระทำของนายจำเริญข้างต้น เป็นการซื้อหุ้น BCP โดยรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน อันเป็นความผิดตาม มาตรา 242(1) ประกอบมาตรา 243(1) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งต้องระวางโทษตามมาตรา 296 วรรคหนึ่ง และมาตรา 296/2 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2559           คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับ กับผู้กระทำความผิดรายนายจำเริญ โดยกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่ง ได้แก่ ค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงิน ในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ ชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 2,622,557 บาท และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือ บริษัทหลักทรัพย์ เป็นเวลา 12 เดือน           การกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารดังกล่าวข้างต้นจะมีผลนับตั้งแต่วันที่ผู้กระทำความผิดลงนามในบันทึกการยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด หากผู้กระทำความผิดไม่ยินยอม ก.ล.ต. จะมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแพ่งเพื่อกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งในอัตราสูงสุด ที่กฎหมายบัญญัติโดยไม่ต่ำกว่าอัตราที่ ค.ม.พ. กำหนด           ทั้งนี้ เงินค่าปรับทางแพ่งและเงินค่าชดใช้คืนผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับจากการกระทำความผิดเป็นรายได้แผ่นดินที่นำส่งกระทรวงการคลัง

BCP ลงนามข้อตกลงจัดหา SAF ร่วมกับเชลล์

BCP ลงนามข้อตกลงจัดหา SAF ร่วมกับเชลล์

          บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (บางจากฯ) เปิดเผยว่า ได้มีการลงนามในข้อตกลงจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel - SAF) กับบริษัท เชลล์ อินเตอร์เนชั่นแนล อีสเทิร์น เทรดดิ้ง (เชลล์) ซึ่งตั้งอยู่ในสิงคโปร์ โดยบางจากฯ จะจัดส่ง SAF ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISCC EU/CORSIA ให้กับเชลล์           SAF เป็นเชื้อเพลิงทางเลือกสำหรับการบินที่ใช้พลังงานจากฟอสซิล ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการบินได้อย่างมีนัยสำคัญ เป็นปัจจัยสำคัญในการบรรลุเป้าหมายปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2050 ขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ระหว่างบางจากฯ และเชลล์ถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมการใช้ SAF           บางจากฯ ผู้นำในอุตสาหกรรม SAF ของประเทศไทย ได้ประกาศแผนธุรกิจการผลิต SAF ตั้งแต่เดือนกันยายน 2565 และกำลังก่อสร้างหน่วยผลิต SAF ในโรงกลั่นน้ำมันบางจาก พระโขนง กรุงเทพมหานครฯ ด้วยกำลังการผลิต 1,000,000 ลิตรต่อวัน โดยมีน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วเป็นวัตถุดิบหลัก คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568           นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ข้อตกลงนี้เป็นเครื่องตอกย้ำวิสัยทัศน์ของบางจากฯ ในการรังสรรค์โลกยั่งยืนด้วยนวัตกรรมสีเขียว การร่วมงานกับพันธมิตรที่มีความน่าเชื่อถืออย่างเชลล์ทำให้เราสามารถขยายขอบข่ายการดำเนินงานในการผลิตเชื้อเพลิงการบินที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือนี้เป็นก้าวสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ภายในปีค.ศ. 2050 ในขณะที่เรายังคงมุ่งมั่นบุกเบิกนวัตกรรมพลังงานที่ยั่งยืนเพื่อขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำ"           Mr. Tan Chee Chung ประธานบริษัท เชลล์ อินเตอร์เนชั่นแนล อีสเทิร์น เทรดดิ้ง (เชลล์) กล่าวเสริมว่า “เชลล์และบางจากฯ มีความร่วมมืออันยาวนานและใกล้ชิดในประเทศไทย ผมรู้สึกยินดีที่ได้เห็นความสัมพันธ์นี้พัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง”           ข้อตกลงนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันของบางจากฯ และเชลล์ในการส่งเสริมความยั่งยืนของอุตสาหกรรมการบิน โดยการผสานความเชี่ยวชาญและทรัพยากรของทั้งสององค์กร ซึ่งจะช่วยตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของน้ำมันอากาศยานที่ยั่งยืนและร่วมสนับสนุนอนาคตคาร์บอนต่ำ

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

กลุ่มบางจาก รายได้ 9 เดือน นิวไฮ Q4 ค่าการกลั่นสูง

กลุ่มบางจาก รายได้ 9 เดือน นิวไฮ Q4 ค่าการกลั่นสูง

          หุ้นวิชั่น - 7 พฤศจิกายน 2567 - กลุ่มบริษัทบางจาก รายงานผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกปี 2567 รายได้รวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ รับรู้ Synergy สะสม 4,400 ล้านบาท แม้ได้รับผลกระทบจาก Inventory Loss คาดว่าไตรมาส 4 ค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้น           กลุ่มบริษัทบางจากรายงานผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกปี 2567 มีรายได้รวม 447,631 ล้านบาท EBITDA 33,499 ล้านบาท โดยหลักมาจากรายได้ของธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติที่สร้างสถิติสูงสุดจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น พร้อมสร้างสถิติใหม่ของรายได้จากการขายและการให้บริการในกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมันและกลุ่มธุรกิจการตลาดจากการรับรู้ผลการดำเนินงานของบริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) หรือ BSRC และสามารถรับรู้ Synergy สะสม 4,400 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 2,500 ล้านบาท           นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 ที่สร้างสถิติใหม่ของรายได้จากการขายและการให้บริการ รวม 447,631 ล้านบาท เติบโตกว่าร้อยละ 84 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมียอดจำหน่ายน้ำมันเติบโตก้าวกระโดดกว่า 10,000 ล้านลิตร และกลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติที่สร้างสถิติรายได้สูงสุดจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น มี EBITDA 33,499 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรส่วนของบริษัทใหญ่ 2,168 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.30 บาท และมีการรับรู้ Inventory Loss (รวม NRV) 4,683 ล้านบาท หรือ 1.88 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากค่าการกลั่นพื้นฐานและราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลง แต่คาดว่าบริษัทจะมีรายได้ทั้งปีบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้มากกว่า 500,000 ล้านบาท           โดยตลอดระยะเวลากว่า 1 ปี ภายหลังจากการได้มาซึ่งบริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) หรือ BSRC เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2566 กลุ่มบริษัทบางจากประสบความสำเร็จในการสร้าง Synergy เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากการรับรู้ Synergy ให้บริษัทฯ มียอดสะสมสูงถึง 4,400 ล้านบาทภายใน 9 เดือนแรกของปี 2567 ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 2,500 ล้านบาทอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของกลยุทธ์ที่กลุ่มบริษัทบางจากได้วางไว้ และสร้างความมั่นใจในการปรับเป้าหมาย Synergy ใหม่ให้สูงขึ้นเป็น 5,000 ล้านบาทในปี 2567 และ 5,500 ล้านบาทในปี 2568 และในปีถัด ๆ ไป เป็นการตอกย้ำถึงศักยภาพและความมุ่งมั่นของกลุ่มบริษัทบางจาก ในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน สำหรับไตรมาส 4 คาดกว่าค่าการกลั่นจะปรับตัวสูงขึ้น และกำลังเข้าช่วงฤดูหนาว ซึ่งจะส่งผลให้แนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้น           นางสาวภัทร์ภูรี ชินกุลกิจนิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานบัญชีและการเงิน บางจากฯ รายงานผลการดำเนินงานที่สำคัญแต่ละกลุ่มธุรกิจใน 9 เดือนแรกของปี 2567 ดังนี้           กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน มีรายได้ 373,716 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 85 มี EBITDA 4,832 ล้านบาท ปรับลดลงร้อยละ 58 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีอัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมาอยู่ที่ 254,000 บาร์เรลต่อวัน เติบโตกว่าร้อยละ 51 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้จะมีการหยุดซ่อมบำรุงหน่วยกลั่นของโรงกลั่นน้ำมันบางจาก พระโขนง ตามวาระ (Turnaround Maintenance) ในช่วงกลางปี 2567 แต่มีกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากโรงกลั่นน้ำมันบางจาก ศรีราชา มาช่วยชดเชย จากการรับรู้ผลการดำเนินงานเต็ม 9 เดือน ช่วยหนุนกำลังการผลิตของกลุ่มบริษัทบางจากให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความท้าทายของราคาน้ำมันที่ผันผวนจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวจากค่าการกลั่นพื้นฐานลดลงจาก Crack Spread ของกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักปรับตัวลดลง ประกอบกับการรับรู้ Inventory Loss 4,683 ล้านบาท จากราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยที่ปรับตัวลดลง และรับรู้กำไรจากสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันล่วงหน้าลดลง โดยมีค่าการกลั่นพื้นฐานที่ 3.8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว นอกจากนี้ บริษัท บีซีพี เทรดดิ้ง (BCPT) มีธุรกรรมการซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันเพิ่มขึ้น และการขยายตลาดน้ำมันดิบแบบ Overseas Trading (Out-Out) ที่เติบโตขึ้น และยังเร่งขยายเครือข่ายซื้อขายน้ำมัน Out-Out อย่างต่อเนื่องทั้งน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ และเพิ่มช่องทางซื้อขายเพื่อเสริมความคล่องตัวในธุรกิจ           กลุ่มธุรกิจการตลาด มีรายได้ 295,610 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 91 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมี EBITDA 5,029 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 68 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันรวมทุกช่องทาง 10,247 ล้านลิตร เติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่าร้อยละ 97 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการผสานกันของเครือข่ายสถานีบริการและฐานลูกค้าตามการขยายตัวและฐานลูกค้าอุตสาหกรรมที่ครอบคลุมมากขึ้น และการรับรู้ผลการดำเนินงานเต็ม 9 เดือนของปี 2567 ของ BSRC รวมถึงการปรับกลยุทธ์การตลาดให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า การปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้มีความทันสมัย และการปรับปรุงคุณภาพของสถานีบริการอย่างต่อเนื่อง โดยได้ปรับเปลี่ยนโลโก้ของสถานีบริการ BSRC แล้วเสร็จไปมากกว่าร้อยละ 80 นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาน้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพสูง Premium 97 และ Premium Diesel ยืนหนึ่งในความเป็นพลังสะอาด ที่มาพร้อมความแรง และสามารถปกป้องเครื่องยนต์ได้ 100% ส่งผลให้ส่วนแบ่งการตลาดผ่านสถานีบริการรวมเติบโตขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 29 ในส่วนของค่าการตลาดสุทธิรวมปรับลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 0.86 บาทต่อลิตร จากการรับรู้ Inventory Loss ตามราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ปรับตัวลดลง โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2567 มีสถานีบริการรวม 2,141 สถานี และจุดชาร์จ EV กว่า 321 สถานี           กลุ่มธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาด มีรายได้ 3,402 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 8 และมี EBITDA 3,743 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรับรู้รายได้จากการขายไฟฟ้าปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงการรับรู้ผลการดำเนินงานเต็ม 9 เดือน จากการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติ 4 แห่งในสหรัฐอเมริกา 857 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในลาวที่มีปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 82 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีการหยุดการผลิตไฟฟ้าเพื่อเตรียมขายไฟฟ้าไปยังการไฟฟ้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ซึ่งช่วยบรรเทาผลกระทบการสิ้นสุด Adder ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยได้ทั้งหมด อีกทั้งมีการรับรู้กำไรหลังหักภาษีจากการจำหน่ายไปซึ่งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น 2,159 ล้านบาท จำนวน 9 โครงการในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา           กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ มีรายได้ 15,532 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 63 และมี EBITDA 654 ล้านบาท ได้รับแรงหนุนจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 58 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการผลิตภัณฑ์ B100 ที่เพิ่มขึ้นจาก BSRC ในขณะที่ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอล มีกำไรขั้นต้นเติบโต สอดคล้องกับปริมาณการผลิตและจำหน่ายเอทานอลที่เพิ่มขึ้น และราคาขายเอทานอลที่ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาต้นทุนวัตถุดิบหลักที่ยังอยู่ในระดับสูง           กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ มีรายได้ 29,501 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 33 และมี EBITDA 19,808 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 42 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง และมีการรับรู้ผลการดำเนินงานจากแหล่งปิโตรเลียม Statfjord หนุนปริมาณการขายเติบโตกว่าร้อยละ 38 ที่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2566 ประกอบกับแหล่งผลิต Brage สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการรับรู้ผลการดำเนินงานเต็มครึ่งปีจากแหล่งผลิต Hasselmus ที่เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนตุลาคม 2566           ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2567 กลุ่มบริษัทบางจาก มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 154,193 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 63 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมี EBITDA 7,427 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 31 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และลดลงร้อยละ 46 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาสนี้ บริษัทฯ รับรู้ผลขาดทุนส่วนของบริษัทใหญ่ 2,093 ล้านบาท           สำหรับฐานะการเงินของกลุ่มบริษัทบางจาก ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 30,707 ล้านบาท และมีสินทรัพย์รวม 329,441 ล้านบาท ลดลง 10,988 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ 31 ธันวาคม 2566 มีหนี้สินรวม 243,875 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 3,478 ล้านบาท และส่วนผู้ถือหุ้นรวม 85,566 ล้านบาท ลดลง 14,466 ล้านบาท โดยหลักมาจากหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน (Perpetual Bond) ที่ถูกจัดประเภทใหม่เป็นหุ้นกู้ที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปี ภายหลังจากที่บริษัทฯ ยืนยันการไถ่ถอนหุ้นกู้ดังกล่าวในเดือนตุลาคม 2567 โดยเป็นส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนของบริษัทใหญ่ 58,437 ล้านบาท และมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นในระดับที่ยังแข็งแรงที่ 1.18 เท่า           นายชัยวัฒน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ในรอบ 9 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทฯ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากการรับรู้ Synergy สูงถึง 4,400 ล้านบาท จากเป้าหมายเดิมประจำปีที่ตั้งไว้ที่ 2,500 ล้านบาท และช่วยสร้างความมั่นใจในการปรับเป้าหมาย Synergy ใหม่ให้สูงขึ้นเป็น 5,000 ล้านบาทในปี 2567 และ 5,500 ล้านบาทในปี 2568 และในปีถัด ๆ ไป ซึ่งคาดว่าจะสามารถเติบโตได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ เป็นการตอกย้ำถึงศักยภาพและความมุ่งมั่นของกลุ่มบริษัทบางจากในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และยังได้รับการประกาศปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทขึ้นเป็น “A+” จากระดับ “A” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 สูงสุดตั้งแต่ที่เคยได้รับการจัดอันดับเครดิต โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตที่ "คงที่" สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของโครงสร้างธุรกิจและฐานะการเงินของกลุ่มบริษัทบางจาก”

BCP จับมือ CPF ร่วมสร้างพลังงานแห่งอนาคต นำน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วผลิต SAF

BCP จับมือ CPF ร่วมสร้างพลังงานแห่งอนาคต นำน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วผลิต SAF

           เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2567 บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF จัดพิธีลงนามในบันทึกความร่วมมือด้านความยั่งยืนทางธุรกิจ ในเรื่องการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืนจากน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว ระหว่าง นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากฯ และนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ โดยมี นางกลอยตา ณ ถลาง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ งานบริหารความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท บางจากฯ และนางกอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสูงสุดสายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ ซีพีเอฟ ลงนามเป็นสักขีพยาน พร้อมด้วยผู้บริหารบางจากฯ ซีพีเอฟ และบริษัท บีเอสจีเอฟ จำกัด บริษัทในกลุ่มบริษัทบางจาก ร่วมงาน ณ อาคาร ซีพี ทาวเวอร์ ถนนสีลม            ภายใต้ความร่วมมือนี้ บางจากฯ และซีพีเอฟ จะร่วมกันบริหารจัดการการน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว รวมถึงไขมันต่าง ๆ จากธุรกิจผลิตอาหารและไขมันจากบ่อบำบัดน้ำเสียของซีพีเอฟและบริษัทในเครือ เพื่อผลิตเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel – SAF) โดยบีเอสจีเอฟ            นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากฯ กล่าวว่า “ขอบคุณ CPF ซึ่งเป็นครัวไทยรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งในประเทศ ที่เข้าร่วมโครงการ “ทอดไม่ทิ้ง” เพื่อนำไปผลิต SAF พลังงานแห่งอนาคต นอกจากจะเป็นการสร้างเศรษฐกิจตามแนวทาง BCG แล้ว ยังเป็นการสร้างความร่วมมือที่ครอบคลุมด้าน ESG ซึ่งถือเป็นแกนหลักของความยั่งยืนในปัจจุบัน เพราะไม่เพียงแค่ช่วยส่งเสริมในด้านการดำเนินธุรกิจ แต่ยังมีผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างแท้จริง ถือเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ทั้งสองบริษัทสามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนได้            ความร่วมมือระหว่างบางจากฯ และซีพีเอฟในครั้งนี้ ช่วยสร้างประโยชน์ในหลายมิติ นอกจากการเพิ่มมูลค่าให้กับของเสียจากกระบวนการผลิตอาหาร ซึ่งเป็นแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนที่สมบูรณ์แบบ ยังส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ผ่านการนำน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วจากร้านอาหารในเครือซีพีเอฟ เช่น เชสเตอร์, ห้าดาว กระทะเหล็ก ข้าวมันไก่ ไห่หนาน ฯลฯ เข้าร่วมโครงการ "ไม่ทอดซ้ำ" และ "ทอดไม่ทิ้ง" ซึ่งเป็นโครงการที่บีเอสจีเอฟร่วมดำเนินการกับพันธมิตรหลักผู้ริเริ่มโครงการ คือ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข มาตั้งแต่ ปี 2565 โดยมีเป้าหมายในการร่วมกันขยายเครือข่ายผู้ประกอบการที่มีความตระหนักในการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมในการดูแลสิ่งแวดล้อม สร้างคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดีให้คนไทย ปัจจุบันมีหน่วยงานภาคราชการ เอกชน และผู้ประกอบการ ให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการและส่งต่อน้ำมันปรุงอาหารเพื่อผลิต SAF มากกว่า 800 จุดทั่วประเทศ ซึ่งการแปรรูปน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วเป็น SAF จะช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมการบินให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 80% เมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงการบินแบบดั้งเดิม ช่วยตอบโจทย์การแก้ไขวิกฤตสภาวะภูมิอากาศ”            ด้านนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟมุ่งมั่นนำนวัตกรรมมาพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่ดีต่อกายและดีต่อใจ ขณะที่บางจากฯ มีนวัตกรรมที่สามารถนำน้ำมันปรุงอาหาร ที่ใช้แล้วจากกระบวนการผลิต เพื่อผลิตเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน หรือ SAF ซึ่งเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างรู้ค่าและหมุนเวียนกลับมาใช้ประโยชน์อย่างสูงสุด ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับแนวคิด Sustainovation ของซีพีเอฟที่นำนวัตกรรมมาช่วยตอบโจทย์ความมั่นคงทางอาหารและการบริโภคอย่างยั่งยืน จึงเกิดความร่วมมือในครั้งนี้ โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว (Used Cooking Oil : UCO) รวมถึงไขมันต่าง ๆ จากธุรกิจผลิตอาหาร และไขมันจากบ่อบำบัดน้ำเสียของซีพีเอฟ นำไปผลิตน้ำมัน SAF นอกจากนี้ ยังมีแนวการศึกษาที่อาจมีการขยายผลไปยังธุรกิจของกลุ่มซีพีเอฟในต่างประเทศในอนาคต            “ความร่วมมือในครั้งนี้ จะเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของทั้งสองบริษัท และถือเป็นหนึ่งในการดำเนินการด้านการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ climate action โดยการบริหารการลดของเสียจากกระบวนการผลิตที่จะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมให้มีมูลค่า ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างครบวงจร หรือ Circular Economy”            สำหรับความคืบหน้าของการเตรียมเดินเครื่องหน่วยผลิต SAF ของบีเอสจีเอฟ ในพื้นที่โรงกลั่นน้ำมันบางจาก พระโขนง ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง กำลังดำเนินการตามแผนไปประมาณกว่า 70% ณ ปัจจุบัน และจะเริ่มผลิตในช่วงต้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 ด้วยกำลังการผลิตเริ่มต้น 1 ล้านลิตรต่อวัน [PR News]

[PR News] ทริส เพิ่มเรทติ้ง BCP เป็น A+ ฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง

[PR News] ทริส เพิ่มเรทติ้ง BCP เป็น A+ ฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง

          บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ได้รับการปรับอันดับจาก ทริส เรทติ้ง เพิ่มเครดิตองค์กรขึ้นเป็น “A+” จาก “A” สูงสุดตั้งแต่บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับเครดิต โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตที่ "คงที่" ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 30 กันยายน 2567 การปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือในครั้งนี้สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของโครงสร้างธุรกิจของบางจากฯ ที่ยกระดับขึ้นจากการเติบโตของธุรกิจโรงกลั่นและค้าน้ำมันและธุรกิจการตลาด หลังจากการรวมบริษัทบางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) (BSRC) เข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัทบางจาก รวมถึงการขยายธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) มีส่วนช่วยสร้างการเติบโต อีกทั้งความหลากหลายของธุรกิจยังช่วยลดความผันผวนของผลการดำเนินงาน จากราคาน้ำมันหรือค่าการกลั่นได้ดีขึ้น           นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำถึงความสำเร็จและศักยภาพในการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ โดยในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา หลังจากเข้าซื้อกิจการ BSRC ได้มีการรับรู้ผลประโยชน์จาก Synergy เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สูงกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ ทำให้กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและค้าน้ำมันและกลุ่มธุรกิจการตลาดของบางจากฯ เติบโตและเเข็งแกร่งมากขึ้น นอกจากนี้ ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่ลงทุนผ่านบริษัท OKEA ASA ที่ประเทศนอร์เวย์ ยังมีการเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง เป็นไปตามเป้าหมายการผลิตที่วางไว้ ทำให้บางจากมีความสามารถในการแข่งขันและความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เรามุ่งมั่นที่จะรักษาวินัยทางการเงิน และพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนและมั่นคง”

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

SAF พลังงานทางเลือกสำหรับโลกที่ยั่งยืน

SAF พลังงานทางเลือกสำหรับโลกที่ยั่งยืน

          น้ำมัน SAF (Sustainable Aviation Fuel) หรือ น้ำมันเชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน คือเชื้อเพลิงชนิดหนึ่งที่ใช้ในอุตสาหกรรมการบิน โดยผลิตจากวัตถุดิบที่ยั่งยืน เช่น น้ำมันพืชใช้แล้ว ไขมันสัตว์ เศษอาหาร หรือวัตถุดิบชีวภาพอื่นๆ ซึ่งสามารถช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงฟอสซิลแบบดั้งเดิม           SAF ถูกพัฒนาเพื่อช่วยลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมของการบิน ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง โดย SAF สามารถผสมกับเชื้อเพลิงการบินแบบดั้งเดิมได้และใช้งานกับเครื่องบินที่มีอยู่ในปัจจุบันโดยไม่ต้องปรับปรุงเทคโนโลยีของเครื่องยนต์ การใช้น้ำมัน SAF เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการลดคาร์บอนในอุตสาหกรรมการบินและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ที่เน้นการรักษาสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก           ทั้งนี้ Used Cooking Oil (UCO) หรือ น้ำมันพืชใช้แล้ว เป็นหนึ่งในวัตถุดิบสำคัญที่ใช้ในการผลิตน้ำมัน SAF น้ำมันพืชใช้แล้วที่เหลือจากการปรุงอาหารสามารถนำมาแปรรูปได้           โดย ASTM (American Society for Testing and Materials) ได้รับรองมาตรฐาน SAF โดยสามารถผสมในน้ำมันเครื่องบินได้ในอัตราส่วน 10-50% ขึ้นอยู่กับกระบวนการผลิตเฉพาะ           ขณะที่ ภาครัฐกำลังเดินหน้าในการจัดทำ Oil Plan 2024 ในส่วนของภาคขนส่งทางอากาศ โดยมีการส่งเสริมการผลิตและการใช้เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคการบิน มุ่งใช้ศักยภาพวัตถุดิบจากในประเทศ เช่น น้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว (Used Cooking Oil: UCO) น้ำมันปาล์มดิบ และเอทานอล คาดว่าจะสามารถเริ่มมีสัดส่วนการผสม SAF ที่ 1% ในปี พ.ศ. 2569 บริษัทในตลาดหุ้นที่กำลังเดินหน้าในเรื่องของน้ำมัน SAF ได้แก่: BCP BBGI OR PTTGC BAFS EA UAC BCP และ BBGI เดินหน้าน้ำมัน SAF           นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รับเชิญร่วมเสวนาในงานสัมมนา “60 YEARS OF EXCELLENCE” ครบรอบ 60 ปี สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (Thailand Management Association: TMA)           นายชัยวัฒน์ ได้กล่าวถึงความท้าทายในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนว่าต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐบาล ธุรกิจและประชาชน โดยเฉพาะภาคประชาชนที่สามารถมีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงผ่านการเลือกบริโภคอย่างรับผิดชอบและสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันให้ภาครัฐและธุรกิจเดินหน้าดำเนินการได้อย่างเต็มที่ สร้างวัฒนธรรมที่ใส่ใจในสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ในขณะที่ภาคธุรกิจ ต้องผนวกหลักการด้าน ESG เข้ากับกลยุทธ์ธุรกิจ การลงทุนในนวัตกรรมสีเขียว การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการสร้างความร่วมมือข้ามภาคส่วน ที่สำคัญคือต้องอาศัยแนวทางแห่งสมดุลที่ผสานการเติบโตขององค์กรเข้ากับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างลงตัว ในขณะที่ภาครัฐบาล มีหน้าที่กำหนดทิศทางและโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงมาตรการที่สร้างแรงจูงใจและกรอบการดำเนินงานที่เอื้อต่อองค์กรและบุคคลในการขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน           ภายในงาน บางจากฯ ได้ร่วมนำบูธนิทรรศการนำเสนอนวัตกรรมสีเขียวของกลุ่มบริษัทบางจากในการขับเคลื่อนการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนและสร้างระบบนิเวศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เช่น การบุกเบิกการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) และ Carbon Markets Club คลับรักษ์โลกลดก๊าซเรือนกระจกแห่งแรกของไทย เพื่อสนับสนุนการซื้อขายคาร์บอนเครดิตและการเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ           นายกิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ BBGI เปิดเผยว่า บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับบริษัท ธนโชค ออยล์ ไลท์ ลงนามข้อตกลงร่วมทุนจัดตั้งบริษัท บีเอสจีเอฟ จำกัด (BSGF) โดยมีสัดส่วนการลงทุนจากบางจากฯ 51%, ธนโชค ออยล์ ไลท์ 29%, และบีบีจีไอ 20% เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน หรือ SAF (Sustainable Aviation Fuel) จากน้ำมันใช้แล้วจากการปรุงอาหาร (Used Cooking Oil) ซึ่งถือเป็นรายแรกและรายเดียวในประเทศไทยที่ดำเนินการในลักษณะนี้           ขณะนี้โรงงานผลิต SAF กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยมีความคืบหน้าแล้วกว่า 50-60% และคาดว่าจะสามารถเดินเครื่องผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานได้ในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2568 โรงงานดังกล่าวจะมีกำลังการผลิตสูงถึง 1 ล้านลิตรต่อวัน ทำให้เป็นหน่วยผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน SAF จากน้ำมันใช้แล้วจากการปรุงอาหารแห่งแรกในประเทศไทย           ปัจจุบัน กลุ่มบางจากฯ ได้รับความสนใจจากลูกค้าสายการบินที่ติดต่อขอซื้อน้ำมัน SAF อย่างต่อเนื่อง โดยราคาขายน้ำมัน SAF ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 60-80 บาทต่อลิตร ซึ่งอ้างอิงตามราคาจาก Argus ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านการรายงานข้อมูลด้านพลังงานและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ราคานี้ขึ้นอยู่กับความต้องการใช้งานของน้ำมัน SAF และที่ผ่านมาส่วนต่างราคาก็มีการปรับลดลงตามความผันผวนของตลาด ที่มา: บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)