#BANPU


จับตา!หุ้นเข้า SET50 BANPU-SAWAD-COM7-CCET

จับตา!หุ้นเข้า SET50 BANPU-SAWAD-COM7-CCET

          หุ้นวิชั่น -  หุ้นวิชั่น -ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า หุ้นที่คาดการณ์ว่าจะเข้า SET50 รอบครึ่งแรกปี 68 ได้แก่ BANPU, SAWAD, COM7 และ CCET ขณะที่หุ้นที่คาดว่าจะออกจาก SET50 ได้แก่ BCP CENTEL EA TIDLOR โดยเชื่อว่ามูลค่าหลักทรัพย์ที่ไม่ติดอันดับเป็น สาเหตุที่ทำให้หลุดออกจาก SET50   กรณีของ CCET ที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบครึ่งแรกปี 68 นั้น เชื่อว่าจะทำให้เกิดเงินทุนไหลเข้าดัชนี SET50 538.84 ล้านบาท ขณะที่ TIDLOR ที่คาดออกจาก SET50 จะทำให้มีเงินทุนไหลออกจากดัชนี SET50  324.74 ล้านบาท   สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET100 รอบครึ่งแรกปี 68 ได้แก่ CCET, JTS, PR9 และ COCOCO ส่วนหุ้นที่คาดว่า จะออกจาก SET100 ได้แก่ MBK, RBF, TIPH และ TOA โดยสาเหตุที่น่าจะทำให้ MBK และ TOA หลุดออกจาก SET100 เนื่องจาก Turnover ratio 1% ไม่ครบ 9 ใน 12 เดือน ส่วน TIPH ที่คาดออก เพราะมูลค่าซื้อขายไม่ผ่านเกณฑ์ 25% ของค่าเฉลี่ยรวมทั้งตลาด 9 ใน 12 เดือน ขณะที่ RBF คาดออก เพราะมูลค่าหลักทรัพย์ไม่ติดอันดับ ทั้งนี้คาดว่า CCET จะเข้า SET100 จะทำให้เกิดเงินทุนไหลเข้าดัชนี SET100 46.15 ล้านบาท และ MBK จะทำให้มีเงินทุนไหลออกจากดัชนี SET100 19.98 ล้านบาท             โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะประกาศรายชื่อหุ้นเข้าออก SET50 และ SET100 รอบครึ่งแรกปี 68 ในช่วงวันที่ 13 - 18 ธันวาคม 67 นี้ และเริ่มใช้วันที่ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 68   ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า จากข้อมูลหุ้นที่เข้า SET50 ในช่วงเวลา 8 ปีที่ผ่านมา หรือ 16 รอบของการปรับหุ้นเข้าและออกใน SET50 พบว่า หากซื้อหุ้นที่เข้า SET50 ล่วงหน้าก่อนวันเริ่มใช้ SET50 รอบใหม่ 1 เดือน จะให้ ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 3.83% ขณะที่หากซื้อหุ้นที่เข้า SET50 ล่วงหน้าก่อนวันเริ่มใช้ SET50 รอบใหม่ 2 สัปดาห์ ผลตอบแทนเฉลี่ยจะอยู่ที่ 2.15% จากข้อมูลดังกล่าวชี้ว่า ผลตอบแทนเฉลี่ยของการเปลี่ยนแปลงหุ้นใน SET50 นั้น หุ้นที่มีโอกาสเข้า SET50 จะให้ผลตอบแทนเชิงบวก         นอกจากนี้ยังพบว่า หุ้นที่ได้รับการปรับประมาณการเพิ่มขึ้น มีการซื้อขายอยู่ในโซนล่าง และมี Upside สูง เป็นหุ้นที่น่าสนใจ ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI จึงทำการเปรียบเทียบ % Upside to target price ของ Bloomberg consensus กับค่า Z Score 12M FWD PE 5 ปีย้อนหลัง พบว่า หุ้นที่มีการซื้อขายอยู่ในโซนล่าง มี % Upside to target price สูง และมี SETESG Rating ระดับ A ขึ้นไป ได้แก่ COM7 มี Upside 10.6% , BANPU มี Upside 5.7% ขณะที่ค่า Z-Scores 12M FWD PE 5 ปี อยู่ที่ -0.99 และ -0.02 ตามลำดับ             เมื่อเปรียบเทียบ การปรับประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) กับราคาเป้าหมาย (Target price) ย้อนหลัง 1 เดือน จะได้หุ้นที่ถูกปรับประมาณการเพิ่มขึ้น ได้แก่ CCET (EPS ถูกปรับขึ้น 6.5%, Target price ถูกปรับขึ้น 52.9%) และหากเปรียบเทียบการปรับประมาณการกำไรต่อหุ้นกับราคาเป้าหมายย้อนหลัง 6 เดือน จะได้หุ้นที่ถูกปรับประมาณการเพิ่มขึ้น ได้แก่ CCET (EPS  ถูกปรับขึ้น 26.9%, Target price ถูกปรับขึ้น 81.4% และ COM7 (EPS ถูกปรับขึ้น 8.0%, Target price ถูกปรับขึ้น 35.0%)   ขณะที่หุ้นที่มีราคาปรับลงมากที่สุด โดยเปรียบเทียบย้อนหลัง 1 เดือนล่าสุด ได้แก่ BANPU ราคาปรับลง 7.3% และ SAWAD ปรับลง 3.6% และเมื่อพิจารณาข้อมูลการซื้อขายสุทธิของผู้บริหาร ตั้งแต่ต้นปี 67 ถึงปัจจุบัน จะได้หุ้นที่มียอดซื้อขายสุทธิของผู้บริหารมากสุด ได้แก่ SAWAD 323.24 ล้านบาท, CCET 14.45 ล้านบาท และ BANPU 8.54 ล้านบาท

บ้านปู เน็กซ์ ควง ดูราเพาเวอร์  เดินหน้าโรงงานแบตเตอรี่

บ้านปู เน็กซ์ ควง ดูราเพาเวอร์ เดินหน้าโรงงานแบตเตอรี่

          หุ้นวิชั่น –  บ้านปู เน็กซ์ บริษัทลูกของบ้านปู ผู้ให้บริการ Net Zero Solutions ชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ร่วมกับดูราเพาเวอร์* ผู้นำด้านระบบแบตเตอรี่จัดเก็บพลังงานแบบลิเธียมไอออนระดับโลกสำหรับการใช้งานด้านพลังงานหมุนเวียนและยานยนต์ไฟฟ้า เดินหน้าเปิดโรงงานประกอบแบตเตอรี่ดีพี เน็กซ์ อย่างเป็นทางการ ส่งเสริมการเดินทางและขนส่งด้วยพลังงานสะอาด และรองรับการเติบโตของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ในประเทศไทย และเอเชียแปซิฟิก   โรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดชลบุรี ซึ่งนอกจากพร้อมสนับสนุนตลาดรถบัสไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ขยายอย่างรวดเร็วในภูมิภาคแล้ว ยังสอดรับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศไทยด้วย รวมถึงมีส่วนช่วยขับเคลื่อนอนาคตที่ยั่งยืนและการเติบโตทางเศรษฐกิจ   โรงงานประกอบแบตเตอรี่ดีพี เน็กซ์ ดำเนินกิจการภายใต้บริษัทร่วมทุน (JV) ระหว่างบ้านปู เน็กซ์ และดูราเพาเวอร์ ผนึกความเชี่ยวชาญของสองบริษัททั้งองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีล้ำสมัยและความเข้าใจตลาด เพื่อส่งมอบแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงและตรงกับความต้องการในภูมิภาค โดยใช้เทคโนโลยีการผลิตอัจฉริยะแบบกึ่งอัตโนมัติ (semi-automated intelligent production) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับที่ใช้ในโรงงานแบตเตอรี่ของดูราเพาเวอร์ สามารถส่งมอบแบตเตอรี่ที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะด้านของรถบัสไฟฟ้า รถบรรทุกไฟฟ้า รวมถึงรถขนส่งเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ด้วยการออกแบบให้มีน้ำหนักเบา รองรับการชาร์จเร็ว และกักเก็บพลังงานได้ยาวนาน ทั้งยังมีมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด อาทิ UNECE No. 100 ฉบับที่ 3 ซึ่งเป็นข้อกำหนดตามมาตรฐานยุโรปในการอนุมัติยานยนต์ไฟฟ้าที่วิ่งบนถนน หรือ IEC 62660 ซึ่งเป็นมาตรฐานการทดสอบประสิทธิภาพสำหรับเซลล์แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนทุติยภูมิ (secondary lithium-ion cells) ที่ใช้ในยานยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ แบตเตอรี่จากโรงงานดีพี เน็กซ์ ยังผ่านการทดสอบแบบเจาะทะลุ ซึ่งเป็นการทดสอบประสิทธิภาพความปลอดภัยของแบตเตอรี่ โรงงานแห่งนี้สามารถประกอบแบตเตอรี่ได้มากกว่า 15,000 ชุดต่อปีตามความต้องการของตลาด โดยมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตสูงสุดเป็น 1 กิกะวัตต์ชั่วโมงในอนาคตเพื่อรองรับความต้องการของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในภูมิภาค โดยร้อยละ 80 ของแบตเตอรี่ที่ผลิตทั้งหมดจะถูกจำหน่ายในประเทศ ขณะที่อีกร้อยละ 20 จะถูกส่งออกไปยังตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย และสหรัฐอเมริกา โรงงานนี้มีโซลูชันแบตเตอรี่ที่ครอบคลุมทั้งลิเธียมนิกเกิลแมงกานีสโคบอลต์ออกไซด์ (NMC) และลิเธียมไอออนฟอสเฟต (LFP) สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าหลากหลายประเภทในอุตสาหกรรมการเดินทางและขนส่ง ไม่ว่าจะเป็น ·       ยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์: รถบรรทุก รถบัส รถยก รถพ่วง รถดัมพ์ รถกึ่งพ่วง และรถลากเครื่องบิน ·       ยานยนต์ไฟฟ้าเฉพาะทาง: โดยจัดหาแบตเตอรี่สำหรับการใช้งานเฉพาะด้าน เช่น รถตุ๊กตุ๊ก ผู้ผลิตเรือหรือต่อเรือ และยานพาหนะที่ใช้สำหรับการขนส่งในท่าเรือ ·       รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่สำหรับระบบสลับแบตเตอรี่ในรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ·       ระบบกักเก็บพลังงาน (ESS)             นายสมิทธิพร เศรษฐปราโมทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด กล่าวว่า “เอเชียแปซิฟิกถือเป็นผู้นำในตลาดรถบัสไฟฟ้าระดับโลกที่คาดว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 44.74 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 เป็น 73.88 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2572** ซึ่งโรงงานแห่งนี้สอดรับกับทิศทางการเติบโตดังกล่าว และเป้าหมายของประเทศไทยที่มุ่งจะเพิ่มรถบัสและรถบรรทุกไฟฟ้าเป็น 33,000 คัน หรือ 40% ของยานยนต์ที่จดทะเบียนบนท้องถนนภายในปี 2573*** ทั้งยังสร้างโอกาสให้กับซัพพลายเออร์แบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่อีกด้วย โรงงานประกอบแบตเตอรี่แห่งนี้จึงไม่เพียงเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของบ้านปู เน็กซ์ สู่การเป็น Net-Zero Solutions Provider ให้กับองค์กรทั่วเอเชียแปซิฟิก แต่ยังจะช่วยส่งเสริมตลาดแรงงานไทยผ่านการจ้างงานในท้องถิ่นมากกว่า 300 ตำแหน่งตามเป้าหมายการผลิตในระยะยาว”           นายเคลวิน ลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ดูราเพาเวอร์ กล่าวว่า “โรงงานดีพี เน็กซ์ จะขยายศักยภาพของดูราเพาเวอร์ในการนำเสนอโซลูชันแบตเตอรี่ชั้นนำให้กับลูกค้าทั่วโลก ซึ่งมีความพร้อมด้านกระบวนการผลิตและประกอบแบตเตอรี่ เสริมด้วยจุดเด่นด้านนวัตกรรมที่แข็งแกร่ง โดยนำเทคโนโลยีล้ำสมัยและความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมาใช้เพื่อส่งมอบแบตเตอรี่คุณภาพสูงตามความต้องการที่แตกต่างกันของลูกค้าแต่ละกลุ่ม ทำให้เราสามารถนำเสนอโซลูชันพลังงานที่สะอาดและยั่งยืนให้กับลูกค้าในประเทศไทย ตอกย้ำวิสัยทัศน์ของเราในการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก”   บ้านปู เน็กซ์ และดูราเพาเวอร์ ร่วมกันนำเสนอโซลูชันแบตเตอรี่ที่ล้ำสมัยและมีมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดให้กับลูกค้าจากหลากหลายอุตสาหกรรม อีกทั้งสนับสนุนให้องค์กรต่างๆ เปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น เพื่อทรานส์ฟอร์มธุรกิจและขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้คาร์บอน โดยโรงงานแห่งนี้จะมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยควบคู่ไปกับการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน  

เก็งโผหุ้นเข้า SET50 BANPU, SAWAD, COM7, TCAP

เก็งโผหุ้นเข้า SET50 BANPU, SAWAD, COM7, TCAP

            หุ้นวิชั่น - ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า ได้ประเมินหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 ในรอบครึ่งแรกปี 68 เบื้องต้น ได้แก่ BANPU, SAWAD, COM7, TCAP และหุ้นที่คาดว่าจะออกจาก SET50 ได้แก่ BCP, CENTEL, EA, TIDLOR โดยคาดว่ามูลค่าหลักทรัพย์ที่ไม่ติดอันดับเป็นสาเหตุที่ทำให้หลุดออกจาก SET50 ทั้งนี้ประเมินจากข้อมูล ณ วันที่ 25 ตุลาคม 2567 หากข้อมูลครบ จะคำนวณใหม่อีกครั้ง             สำหรับหุ้นคาดว่าจะเข้า SET100 ในรอบครึ่งแรกปี 68 ได้แก่ JTS, CCET, COCOCO, PR9 ขณะที่คาดว่าหุ้นที่จะออกจาก SET100 ได้แก่ MBK, RBF, TIPH, TOA สาเหตุที่คาดว่า MBK และ TOA จะหลุดออกจาก SET100 เนื่องจาก Turnover ratio 1% ไม่ครบ 9 ใน 12 เดือน ส่วน TIPH จะหลุดจาก SET100 เพราะมูลค่าซื้อขายไม่ผ่านเกณฑ์ 25% ของค่าเฉลี่ยรวมทั้งตลาด 9 ใน 12 เดือน และ RBF ที่หลุด เพราะมูลค่าหลักทรัพย์ไม่ติดอันดับ โดยประเมินจากข้อมูล ณ วันที่ 25 ตุลาคม 2567 หากข้อมูลครบ จะคำนวณใหม่อีกครั้ง             โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) น่าจะประกาศรายชื่อหุ้นเข้าออก SET50 และ SET100 ในรอบ ครึ่งแรกปี 68 ในช่วงวันที่ 13 - 18 ธ.ค.2567 และเริ่มใช้วันที่ 1 ม.ค.- มิ.ย. 2568             ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า จากข้อมูลหุ้นที่เข้า SET50 ในช่วงเวลา 8 ปีที่ผ่านมา หรือ 16 รอบของการปรับหุ้นเข้าและออกใน SET50 พบว่าหากซื้อหุ้นที่เข้า SET50 ล่วงหน้า 1 เดือน ก่อนวันเริ่มใช้ SET50 รอบใหม่ จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 3.83% ขณะที่หากซื้อหุ้นที่เข้า SET50 ล่วงหน้า 2 สัปดาห์ ก่อนวันเริ่มใช้ SET50 รอบใหม่ ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 2.15% ดังนั้น จากข้อมูลดังกล่าวพบว่าผลตอบแทนเฉลี่ยของการเปลี่ยนแปลงหุ้นใน SET50 นั้น หุ้นที่มีโอกาสเข้า SET50 จะให้ผลตอบแทนในเชิงบวก             ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI มองว่า หุ้นที่ได้รับการปรับประมาณการเพิ่มขึ้น อีกทั้งมีการซื้อขายอยู่ในโซนล่าง และมี เปอร์เซ็น upside สูง เป็นหุ้นที่น่าสนใจ โดยเมื่อเปรียบเทียบเปอร์เซ็น upside ของราคาหุ้นต่อราคาเป้าหมายของ Bloomberg consensus กับค่า Z Score ช่วง 12 เดือน FWD PE 5 ปีย้อนหลัง หุ้นที่มีการซื้อขายอยู่ในโซนล่างมีเปอร์เซ็น upside ของราคาหุ้นต่อราคาเป้าหมายของ Bloomberg consensus สูง และมี SETESG Rating ในระดับ A ขึ้นไป ได้แก่ TCAP (7.7%) และ BANPU (0.5%) ในขณะที่ค่า Z-Scores 12 เดือน FWD PE 5 ปีจะอยู่ที่ -0.95 และ 0.003 ตามลำดับ             ขณะที่เมื่อเปรียบเทียบการปรับประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) กับราคาเป้าหมายย้อนหลัง 1 เดือน จะได้หุ้นที่ถูกปรับประมาณการเพิ่มขึ้นได้แก่ COM7 ขณะที่หุ้นที่ราคาลงมามากที่สุด โดยเปรียบเทียบย้อนหลัง 1 เดือนล่าสุดได้แก่ BANPU (-11.3%) และเมื่อพิจารณาข้อมูลการซื้อขายสุทธิของผู้บริหาร ตั้งแต่ต้นปี 2567 ถึงปัจจุบัน จะได้หุ้นที่ มียอดซื้อขายสุทธิของผู้บริหารมากสุด ได้แก่ SAWAD 323.24 ล้านบาท และ BANPU 8.54 ล้าน บาท

[PR News] บ้านปู เน็กซ์ รุกพลังงานสะอาด เข้าลงทุน ‘Amp Japan’

[PR News] บ้านปู เน็กซ์ รุกพลังงานสะอาด เข้าลงทุน ‘Amp Japan’

            กรุงเทพฯ – บ้านปู เน็กซ์ บริษัทลูกของบริษัท บ้านปู ผู้ให้บริการโซลูชันพลังงานสะอาดชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เดินหน้าเติมเต็มพอร์ตโฟลิโอธุรกิจพลังงานสะอาด ประกาศเข้าลงทุนในบริษัท แอมป์ จำกัด (แอมป์ เจแปน) บริษัทชั้นนำในประเทศญี่ปุ่นผู้พัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจนถึงการนำออกสู่ตลาด ซึ่งดำเนินงานภายใต้บริษัท แอมป์ เอเนอร์จี จำกัด โดยมีกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อความยั่งยืนและการลดคาร์บอนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Asia-Pacific Sustainable & Decarbonisation Infrastructure Equity Fund หรือ SDIEF) ที่สนับสนุนโดยบริษัท อาราเวสต์และเอสเอ็มบีซี กรุ๊ป (Aravest and SMBC Group) ร่วมลงทุนมีมูลค่ารวม 145 ล้านเหรียญสหรัฐ             “แอมป์ เจแปน” ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ แอมป์ เอเนอร์จี แพลตฟอร์มการพัฒนาเพื่อการเปลี่ยนผ่านพลังงานระดับโลก มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงโตเกียว ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2559 ได้สร้างและพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ (Solar Farm) แล้วกว่า 300 เมกะวัตต์ และกำลังพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลมเพิ่มอีก 800 เมกะวัตต์ ทั้งยังเป็นหนึ่งในบริษัทแรกๆ ของประเทศญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จในตลาดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภาคธุรกิจ (Corporate PPA) และตลาดอื่นๆ ที่ไม่อยู่ภายใต้มาตรการกำหนดราคาซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนแบบคงที่ หรือ Feed-in Tariff (FIT) ครอบคลุมทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่สำหรับภาคธุรกิจ พลังงานลม และระบบกักเก็บพลังงานจากแบตเตอรี่ การร่วมลงทุนครั้งนี้ เพื่อการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม 800 เมกะวัตต์ สู่เป้าหมายกำลังผลิตของแอมป์ เจแปน เป็น 2 กิกะวัตต์ภายในทศวรรษนี้             นายสมิทธิพร เศรษฐปราโมทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด กล่าวว่า “ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่บ้านปู เน็กซ์ ให้ความสำคัญและมุ่งขยายการเติบโตภายใต้กลุ่มธุรกิจพลังงานหมุนเวียน และเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดพลังงานหมุนเวียนระดับโลกที่ตั้งเป้าหมายให้มีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในสัดส่วน 36 – 38% ภายในปี 2573 โดยมุ่งเพิ่มการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593* สำหรับบ้านปู เน็กซ์ มุ่งมั่นที่จะเป็น Net Zero Solutions Provider ในเอเชียแปซิฟิก โดยหนึ่งในกลยุทธ์ของเราคือการร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำ เพื่อสร้างอนาคตด้านพลังงานที่ยั่งยืน เราจะร่วมกับแอมป์ เจแปน ในการยกระดับเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และการวิเคราะห์ข้อมูล เราเชื่อว่าความร่วมมือเชิงกลยุทธ์นี้จะช่วยเร่งการเติบโตทางธุรกิจและเพิ่มความหลากหลายให้กับพอร์ตโฟลิโอพลังงานหมุนเวียนของเรา”             นายมาร์ติน สไตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอมป์ จำกัด (แอมป์ เจแปน) กล่าวว่า “ความมุ่งมั่นจากนักลงทุนทั้งรายใหม่และรายปัจจุบันทำให้เราเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนในญี่ปุ่น และช่วยให้เราก้าวสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม ขอขอบคุณทีมงานที่แข็งแกร่งของแอมป์ เจแปน นักลงทุนที่สนับสนุนการเติบโตของเราอย่างต่อเนื่อง รวมถึงลูกค้าและพันธมิตรทุกฝ่ายสำหรับความสำเร็จในครั้งนี้”             นายเดฟ โรเจอร์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอมป์ เอเนอร์จี จำกัด กล่าวว่า “เรารู้สึกภูมิใจอย่างยิ่งกับทีมงานของเราในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาแพลตฟอร์มระดับโลกของแอมป์ เอเนอร์จี มายาวนานกว่า 8 ปี และประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการโซลาร์ฟาร์มกว่า 300 เมกะวัตต์ทั่วประเทศ โดยแอมป์ เอเนอร์จี มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงานระดับโลก เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ผู้ลงทุนรายใหม่มาร่วมสนับสนุนการเติบโตอย่างต่อเนื่องของแอมป์ เจแปน ซึ่งจะมีส่วนสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านของประเทศญี่ปุ่นไปสู่การผลิตไฟฟ้าที่สะอาดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น”             นายโรหิต นันทะ ประธานกรรมการบริหาร กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน อาราเวสต์-เอสเอ็มบีซี กล่าวว่า “ตลาดพลังงานหมุนเวียนของญี่ปุ่นมีความยืดหยุ่นสูงและเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เราเห็นศักยภาพของระบบ Feed-in Premium (FIP) ที่ราคาขายไฟจะปรับขึ้นลงตามสภาพอุปสงค์และอุปทาน รวมถึงศักยภาพของตลาดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภาคธุรกิจ เรารู้สึกยินดีที่จะได้มีส่วนร่วมลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขององค์กรต่างๆ ในญี่ปุ่น และได้ร่วมงานกับแอมป์ เจแปน ตลอดจนทีมผู้เชี่ยวชาญภาคสนามภายใต้การนำของคุณมาร์ติน สไตน์ ทั้งยังได้สนับสนุนการขยายการเติบโตให้กับอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียนของญี่ปุ่นต่อไป”             ทั้งนี้ บ้านปู เน็กซ์ จะสานต่อความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ให้บริการ Net Zero Solutions เพื่อขับเคลื่อนการเข้าถึงพลังงานสะอาดอย่างไร้ขีดจำกัดเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้คาร์บอนและสร้างเสริมโลกที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

[PR News] BKV บริษัทย่อยบ้านปู เปิดราคา IPO ที่ 18 ดอลลาร์ เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก

[PR News] BKV บริษัทย่อยบ้านปู เปิดราคา IPO ที่ 18 ดอลลาร์ เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก

          เดนเวอร์ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2567–BKV Corporation (“BKV”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบ้านปู ("BANPU")ได้แจ้งราคาเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO Price) จำนวน 15,000,000  หุ้น ที่ราคา 18 เหรียญสหรัฐ ต่อหุ้น และนำหุ้นสามัญเข้าจดทะเบียนใน New York Stock Exchange (NYSE) โดยหลักทรัพย์ดังกล่าวสามารถทำการซื้อขายผ่าน NYSE เป็นครั้งแรกในวันที่ 26 กันยายน 2567 (ตามเวลาท้องถิ่นในสหรัฐอเมริกา) โดยใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “BKV” คาดว่าการปิดรายการการจำหน่ายหุ้น IPO จะดำเนินการแล้วเสร็จภายในวันที่ 27 กันยายน 2567 หลังจากปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ ที่เกี่ยวข้องครบถ้วนแล้ว           คำแถลงการจดทะเบียนที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายหุ้น IPO นี้ได้ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา (U.S. SEC) แล้ว และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2567 โดยสามารถดาวน์โหลดหนังสือชี้ชวนจากเว็บไซต์ของ U.S. SEC www.sec.gov โดยค้นหาภายใต้ชื่อ BKV Corporation           นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บ้านปูให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศยุทธศาสตร์ โดยมี BKV เป็นกุญแจสำคัญในการเดินหน้าธุรกิจก๊าซธรรมชาติเพื่ออำนวยประโยชน์ที่ยั่งยืนให้แก่ลูกค้า นักลงทุน และผู้มีส่วนได้เสีย เราภูมิใจและตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งกับก้าวต่อไปที่ยิ่งใหญ่ของบริษัทฯ ทั้งนี้ บ้านปูยังมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนเป้าหมายในการลดคาร์บอน (Decarbonization) เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และคงความโดดเด่นในการดำเนินธุรกิจด้วยเป้าหมายในการส่งมอบนวัตกรรมโซลูชันพลังงานที่สะอาดและเชื่อถือได้ทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก”           ภายใต้การบริหารงานของ BKV ธุรกิจพลังงานของบ้านปูในสหรัฐฯ เติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 เริ่มต้นจากการดำเนินกิจการก๊าซธรรมชาติจากแหล่งก๊าซบาร์เนตต์ (Barnett) ในรัฐเท็กซัส และแหล่งก๊าซมาร์เซลลัส (Marcellus) ในรัฐเพนซิลเวเนีย ต่อยอดสู่บริษัทร่วมทุน BKV-BPP ลงทุนในกิจการของโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I และ Temple II ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม (Combined Cycle Gas Turbines: CCGT) นอกจากนี้ BKV ยังดำเนินโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCUS) และการพัฒนาก๊าซธรรมชาติที่มีคาร์บอนเป็นกลาง (Carbon-Sequestered Gas: CSG) ด้วยคุณภาพระดับพรีเมียม รวมทั้งการร่วมทุนกับ BKV-BPP Power ในการจัดสรรพื้นที่ที่มีอยู่เดิมในพื้นที่แหล่งก๊าซบาร์เนตต์ รัฐเท็กซัส ก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Ponder Solar)