ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#AU


AU อัปเกรดเมนูโตไม่หยุด บุกแฟรนไชส์ต่างประเทศ

AU อัปเกรดเมนูโตไม่หยุด บุกแฟรนไชส์ต่างประเทศ

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง AU ว่า ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองเป็นกลางต่อแนวโน้มไตรมาสแรก แต่มองเป็นบวกต่อแนวโน้มทั้งปี 68 งวด 4Q67 มีกำไร 86 ลบ. +82%YoY +3%QoQ (เป็นไปตามคาด) โดยมีรายได้ 433 ลบ. +37%YoY +1%QoQ จาก 3 ปัจจัยสนับสนุนหลัก คือ 1) ขยายสาขา After You สู่ 62 แห่ง (+2 แห่ง YoY +1 แห่ง QoQ) 2) การเติบโตของ SSSG +9% จากยอดขายต่อบิลที่สูงขึ้น และ 3) การเริ่มวางจำหน่ายสินค้าใน 7-Eleven ตั้งแต่วันที่ 3 ก.ค. 67 ขณะที่ %GPM ปรับลดลงสู่ 64.7% (4Q66 = 65%, 3Q67 = 65.4%) เนื่องจากรายได้จากการขายสินค้าใน 7-Eleven ที่มาร์จิ้นต่ำกว่ามีสัดส่วนเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม %SG&A ปรับลดลงสู่ 26.1% (4Q66 = 30.5%, 3Q67 = 26.6%) จาก Economies of Scale โดยทั้งปี 67 บริษัทมีรายได้ 1,577 ลบ. +30%YoY และกำไร 296 ลบ. +66%YoY ความคิดเห็น: เรามีมุมมองเป็นกลางต่อแนวโน้ม 1Q68 คาดหดตัว QoQ เนื่องจากผลกระทบของการเข้าสู่ช่วงรอมฎอนในเดือน มี.ค. ซึ่งส่วนใหญ่กระทบต่อสาขาในภาคใต้ และสะท้อน SSSG ภาพรวมเป็นลบ 2-3% แต่คาดยังคงเติบโต YoY จากรายได้ของการขายสินค้าใน 7-Eleven ตั้งแต่ปลายปีก่อน และเพิ่งเพิ่มกำลังผลิตจนสามารถวางจำหน่ายครบทุก 1.5 หมื่นสาขาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา (จากช่วงแรกเพียง 7-8 พันสาขา) รวมทั้งยังมีรายได้จากการเป็น Partner กับสายการบินไทย ทั้งนี้ เรายังคงมีมุมมองบวกต่อแนวโน้มทั้งปี 68 ที่คาดจะเติบโตต่อเนื่องจาก 1) แผนขยายสาขาร้าน After You 5-6 แห่ง 2) การวางจำหน่ายสินค้าใน 7-Eleven ที่เป็น Categories ใหม่เพิ่มเติม ทั้งในรูปแบบ Own Brand และ Collaboration 3) การเปิดร้านแฟรนไชส์ในต่างประเทศ 1-2 แห่ง และ 4) แผนการทำเมนูใหม่ๆ ซึ่งบริษัทกำลังริเริ่มไปทำเมนูอาหารคาว ทั้งนี้ เราคาดกำไรปี 68 ราว 332 ลบ. +12%YoY และราคาเหมาะสม 13.50 บาท มีอัพไซด์ 35% แนะนำ "ซื้อ"

AU เป้าโตต่อ 30% สาขาแตะ 98 แห่งปีนี้

AU เป้าโตต่อ 30% สาขาแตะ 98 แห่งปีนี้

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด ระบุ AU รายงานกำไรสุทธิ 4Q67 เติบโต 83% YoY ที่ 86 ล้านบาท โดยมีแรงหนุนจาก 1. รายได้ 4Q67 อยู่ที่ 433 ล้านบาท เติบโต 37% YoY และ 2. EBITDA Margin ใน 4Q67 ที่ 34.6% เพิ่มขึ้นจาก 32.1% ใน 4Q66 จากการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ กลบผลลบจากการที่ Gross Profit Margin ในปี 67 ลดลงมาอยู่ที่ 64.7% จาก 65% ใน 4Q66 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนรายได้จาก Modern Trade ที่มี Margin น้อยกว่า           ส่วนกำไรสุทธิปี 67 ของ AU เติบโต 66% YoY ที่ 296 ล้านบาท หนุนจาก 1. ยอดขายที่เติบโต และ 2. อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น โดยบริษัทมีรายได้จากการขายปี 67 เพิ่มขึ้น 30% YoY ที่ 1,577 ล้านบาท ตามรายได้จากร้านขนมหวานและเครื่องดื่มที่เพิ่มขึ้น, ยอดขายสาขาเดิมเฉลี่ย (SSSG) เติบโต 11.0%, การเพิ่มขึ้นของสาขา After You จำนวน 2 สาขา และร้านอื่นๆ อีก 7 สาขา, การเติบโตของยอดขายผ่านช่องทาง Modern Trade โดยเฉพาะช่องทางร้านสะดวกซื้อ 7-11 ที่เริ่มวางขายตั้งแต่เดือน ก.ค.67 เป็นต้นมา และการออกสินค้าใหม่ในทุกไตรมาส ในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) อยู่ที่ 65.7% เพิ่มขึ้นจาก 64.8% ในปี 66 ผลจากการเกิด Economy of Scale ของโรงงานผลิตเนื่องจาก Volume สินค้าที่ผลิตเพิ่มขึ้นอย่างมาก           AU วางเป้าหมายการเติบโตของรายได้ปี 68 ไว้ราว 20-30% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก 1. SSSG ที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องจาก 11% ในปี 67 โดยมีแรงหนุนจากการเปิดตัวเมนูใหม่ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้า 2. การขยายสาขาเชิงกลยุทธ์ โดย AU ตั้งเป้าหมายการขยายสาขาไว้ที่ 98 สาขาภายในปี 68 นี้ (เพิ่มจาก 84 สาขา) แบ่งเป็น 6 สาขาสำหรับ After You (ปัจจุบัน 62 สาขา), 5 สาขาสำหรับ Luggaw (ปัจจุบัน 15 สาขา) และ 2 สาขาสำหรับ Specialty Coffee (ปัจจุบัน 5 สาขา) 3. แผนการเพิ่มสินค้าในร้านสะดวกซื้อและ Modern Trade ที่มีแผนเปิดตัวสินค้าใหม่ราว 4-5 รายการ และวางแผนไปยังช่องทางอื่นๆ 4. แผนการขยายไปยังต่างประเทศโดยมีแผนเปิดสาขาในดูไบและกัมพูชา รวมถึงอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนามที่อยู่ในขั้นตอนการเจรจา

AU - TPS โตแรง 3 ปีซ้อน! เดินหน้าขยายธุรกิจปี 68

AU - TPS โตแรง 3 ปีซ้อน! เดินหน้าขยายธุรกิจปี 68

           หุ้นวิชั่น –  เปิดโผหุ้น บจ. mai "อาฟเตอร์ ยู" หรือ AU และ "เดอะแพรคทิเคิลโซลูชั่น" หรือ TPS โชว์ผลงานเด่น รายได้-กำไรเติบโตมากกว่า 10% ติดต่อกัน 3 ปีซ้อน AU เดินหน้าขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศ พร้อมจับมือ 7-Eleven ขยายช่องทางจำหน่าย ส่วน TPS ตั้งเป้าเป็นผู้นำไอทีโซลูชั่นครบวงจร ดันรายได้โต 20-25% สร้างสถิติใหม่ต่อเนื่อง            ผู้สื่อข่าวรายงานจากตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่มีอัตราการเติบโตของรายได้และกำไรสุทธิเกิน 10% ติดต่อกัน 3 ปีซ้อน ได้แก่ บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU และ บริษัท เดอะแพรคทิเคิลโซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TPS ซึ่งทั้งสองบริษัทมีแผนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องในปี 2568 บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU ผู้ประกอบธุรกิจ 1. ร้านขนมหวาน 2. การขายสินค้าและวัตถุดิบ 3. การขายและการจัดงานนอกสถานที่ 4. แฟรนไชส์ AU เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีการเติบโตของรายได้รวมและกำไรสุทธิอย่างต่อเนื่องมากกว่า 10% ติดต่อกัน 3 ปีซ้อน โดยมีผลประกอบการย้อนหลังดังนี้: กำไรสุทธิ: 118.48 ล้านบาท (ปี 2565), 178.17 ล้านบาท (ปี 2566), และ 296.20 ล้านบาท (ปี 2567) ปี 2565 เติบโต 2,564.67% จากปี 2564 ปี 2566 เติบโต 50.38% จากปี 2565 ปี 2567 เติบโต 66.25% จากปี 2566 รายได้รวม: 954.47 ล้านบาท (ปี 2565), 1,233.76 ล้านบาท (ปี 2566), และ 1,603.14 ล้านบาท (ปี 2567) ปี 2565 เติบโต 51.78% จากปี 2564 ปี 2566 เติบโต 29.26% จากปี 2565 ปี 2567 เติบโต 29.94% จากปี 2566 จำนวนสาขา: สิ้นปี 2564 มี 40 สาขา และเพิ่มขึ้นเป็น 62 สาขาในสิ้นปี 2567 (เพิ่มขึ้น 22 สาขา)            สำหรับทิศทางในการดำเนินธุรกิจในปี 2568 บริษัทมีแผนขยายแฟรนไชส์ร้านขนมหวาน อาฟเตอร์ ยู ไปยัง ประเทศอินโดนีเซีย และเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ พร้อมทั้งมีแผนขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ่าน ผู้แทนจำหน่าย (Distributor) ใน ประเทศมาเลเซีย และเวียดนาม นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงมองหาโอกาสเติบโตในต่างประเทศเพิ่มเติม เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้จากในประเทศเพียงอย่างเดียว รวมถึงเพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว            บริษัทจะมุ่งเน้นขยายสาขาร้านอาฟเตอร์ ยู และแบรนด์ลูกต่างๆ ในปี 2568 บริษัทมีแผนขยายสาขาเพิ่มเติม ได้แก่ ร้านขนมหวาน อาฟเตอร์ ยู จำนวน 8 สาขา ร้านผลไม้ ลูกก๊อ จำนวน 5 สาขา ร้านกาแฟ มิกก้า จำนวน 3 สาขา โดยมุ่งเน้นการขยายสาขาไปยังพื้นที่ที่เป็นศูนย์กลางของนักท่องเที่ยว และย่านที่พักอาศัยที่มีกำลังซื้อและมีลูกค้าจำนวนมาก เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น และขยายการขายสินค้าผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด โดยวางขายสินค้าผ่านร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven            ในปี 2568 บริษัทมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้ากลุ่มขนมปังไปยังสาขาร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ให้ครอบคลุมทุกสาขาทั่วประเทศ พร้อมทั้งเพิ่มความหลากหลายของรสชาติสินค้าในแต่ละสาขา นอกจากนี้ บริษัท ยังมีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์อื่นเพื่อจำหน่ายผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด            บริษัท เดอะแพรคทิเคิลโซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TPS ผู้ประกอบธุรกิจ เป็นผู้ให้คำปรึกษา ออกแบบ จัดหา ติดตั้ง และจำหน่ายผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ( Information Technology Solutions Provider : ITP ) TPS มีการเติบโตต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ดังนี้: กำไรสุทธิ: 75.83 ล้านบาท (ปี 2565), 116.37 ล้านบาท (ปี 2566), และ 135.47 ล้านบาท (ปี 2567) ปี 2565 เติบโต 95.73% จากปี 2564 ปี 2566 เติบโต 53.46% จากปี 2565 ปี 2567 เติบโต 16.42% จากปี 2566 รายได้รวม: 986.86 ล้านบาท (ปี 2565), 1,362.81 ล้านบาท (ปี 2566), และ 1,606.31 ล้านบาท (ปี 2567) ปี 2565 เติบโต 67.48% จากปี 2564 ปี 2566 เติบโต 38.10% จากปี 2565 ปี 2567 เติบโต 17.87% จากปี 2566            สำหรับปี 2568  บริษัทจะมุ่งสู่การเป็นผู้นำให้บริการไอทีโซลูชั่นครบวงจร ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 20-25% สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นพัฒนา 4 กลุ่มงานหลัก ทั้ง  1. Network Infrastructure ได้แก่ ระบบ LAN, Wi-Fi Network และระบบภายในห้อง Datacenter ซึ่งเป็นกลุ่มงานหลักที่ TPS มีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างยิ่ง 2.งาน Cyber Security ซึ่ง TPS ยังคงให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นระบบที่ช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับองค์กร            และ TPS มุ่งสู่การเป็นผู้นำในการให้บริการโซลูชั่นในด้าน Cybersecurity พร้อมกับพัฒนาทีมงานให้มีศักยภาพเพิ่มมากขึ้น 3.ระบบ System ได้แก่ เทคโนโลยี AI, Cloud, Compute, Storage และระบบ Virtual Machine ต่างๆ และ 4.งานด้าน Customer Service โดยมุ่งเน้นเป็นหนึ่งในผู้นำการให้บริการหลังการขายแบบครบวงจร สรุปภาพรวม            ทั้ง AU และ TPS เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ที่มีการเติบโตของรายได้และกำไรสุทธิอย่างต่อเนื่อง โดย AU ขยายธุรกิจด้านขนมหวานและเครื่องดื่มไปยังต่างประเทศ พร้อมขยายสาขาภายในประเทศ ขณะที่ TPS มุ่งพัฒนาโซลูชั่นด้านไอทีและระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยตั้งเป้าหมายสร้างสถิติรายได้ใหม่ในปี 2568 ที่มา https://www.settrade.com และ https://www.set.or.th/ รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

AU ปักเป้า 98 สาขาในปี 68 เมนูใหม่ดันยอด - พิกัด 12.5 บ.

AU ปักเป้า 98 สาขาในปี 68 เมนูใหม่ดันยอด - พิกัด 12.5 บ.

              หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุถึง AU ว่าSSSG และการขยายสาขาผลักดันการเติบโต เราคงคำแนะนำ "ซื้อ" โดยมีราคาเป้าหมาย 12.50 บาท ด้วยเหตุผลดังนี้ คาดการณ์การเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งในปี FY25F ซึ่งขับเคลื่อนโดยยอดขายสาขาเดิมที่ยังคงเป็นบวก การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง และการขยายช่องทางการขายราคาหุ้นที่ลดลง 20% ในช่วงที่ผ่านมาเป็นโอกาสในการสะสมหุ้น AU เพื่อรับผลตอบแทนจากการเติบโตของกำไรที่คาดการณ์ไว้               บริษัทคงเป้าหมายรายได้เติบโต 20-30% หลังจากเข้าฟัง Opportunity Day เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานของ AU ในปี FY25F โดยเป้าหมายการเติบโตของรายได้ที่ 20-30% ของผู้บริหารสอดคล้องกับการคาดการณ์ของเราที่ 20% โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนดังนี้ยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง +11% ในปี FY24 ได้รับแรงหนุนจากเมนูใหม่ที่ประสบความสำเร็จ เช่น มะยงชิดคาคิโกริ และแบล็กฟอเรสต์ทริเฟิล การขยายสาขาเชิงกลยุทธ์               ตั้งเป้าหมาย 98 สาขา ภายใน FY25F (เพิ่มขึ้นจาก 84 สาขา)เพิ่ม 6 สาขา สำหรับ After You (ปัจจุบัน 62 สาขา)เพิ่ม 5 สาขา สำหรับ Luggaw (ปัจจุบัน 15 สาขา)เพิ่ม 2 สาขา สำหรับ Specialty Coffee (ปัจจุบัน 5 สาขา) การเพิ่มสินค้าในร้านสะดวกซื้อและค้าปลีกสมัยใหม่ แผนเปิดตัว SKU ใหม่ 4-5 รายการ ใน 7-Eleven (จากปัจจุบัน 2 SKU)ขยายไปยังช่องทางอื่นๆการเติบโตในภูมิภาค แผนเปิด แฟรนไชส์ในดูไบ (FY25F) และ กัมพูชา (ปลาย FY25F/ต้น FY26F)มีการเจรจาต่อเนื่องใน อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม               คาดกำไรเติบโต 19% YoY ในปี FY25F นำโดยการเพิ่มช่องทางการขาย เราคาดการณ์ว่ากำไรใน 1Q25F จะเพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ โดยคงประมาณการกำไรสุทธิปี FY25F ไว้ที่ 351 ล้านบาท (+19% YoY) โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนดังนี้: รายได้จากร้าน Dessert Café ที่เพิ่มขึ้นได้รับแรงหนุนจาก SSSG +5% จากเมนูใหม่และการขยายสาขา 5 แห่ง รายได้จาก 7-Eleven ที่เพิ่มขึ้น               AU จัดจำหน่ายสินค้าให้กับ ทุกสาขา และเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ (ปัจจุบัน 2 SKU) คาดว่ายอดขายสินค้าและวัตถุดิบจะคิดเป็น 17% ของรายได้รวมในปี FY25F (เพิ่มจาก 13% ในปี FY24) เป้าหมายระยะยาวที่ 20-25%               คงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 12.50 บาท (DCF) AU ซื้อขายที่ 21x PER FY25F ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต -1.5SD ราคาหุ้น AU ลดลง 20% ในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากความกังวลว่ากำลังซื้อที่อ่อนแอลงจะส่งผลกระทบต่อยอดขายอาหารนี่เป็นโอกาสในการสะสมหุ้นเพื่อรับผลตอบแทนจากการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งในอนาคต ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก ตำแหน่งทางการตลาดของแบรนด์ที่แข็งแกร่งยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่เป็นบวกการมีส่วนร่วมของนักท่องเที่ยวที่มากขึ้น (30% ของทั้งหมด)การขยายช่องทางการขายใหม่ๆ เราคงคำแนะนำ "ซื้อ" โดยมีราคาเป้าหมาย 12.50 บาท ความเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่การเติบโตของรายได้ที่ช้าลง ต้นทุนที่สูงขึ้น

abs

ปตท. แข็งแกร่งร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน

โกลเบล็กทำนายแม่น ATP30 - AU มาตามนัด

โกลเบล็กทำนายแม่น ATP30 - AU มาตามนัด

          หุ้นวิชั่น – บล.โกลเบล็ก เคาะหุ้นผลงานเด่น ATP30 กำไรโต 57.11% มาตามคาดการณ์ ชี้ศักยภาพเติบโตต่อ รับอานิสงส์ EEC ขยายตัว โชว์ Backlog 1,943 ล้านบาท พร้อมแผนเพิ่มรถไฟฟ้าอีก 21 คัน ด้าน AU กำไรพุ่ง 66% เตรียมขยายสาขาใหม่ 7-10 แห่ง เพิ่มโอกาสสร้างรายได้ แนะนำ "ซื้อ" ให้ราคาเหมาะสม 13.50 บาท           นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด (GBS) เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า จากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่ประกาศผลประกอบการปี 2567 พบว่า บริษัท เอทีพี 30 จำกัด (มหาชน) หรือ ATP30 และ บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU รายงานผลประกอบการออกมาตามที่ฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์           ATP30 รายงานผลประกอบการปี 2567 มีรายได้รวม 730.61 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 45.53 ล้านบาท เติบโต 57.11% จากปี 2566 โดยฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองเชิงบวกต่อศักยภาพการเติบโตของรายได้จากการให้บริการรถรับส่งพนักงานในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งครอบคลุมจังหวัดชลบุรี ฉะเชิงเทรา และระยอง โดยบริษัทมีแนวโน้มได้รับอานิสงส์จากมาตรการ EEC Free Visa รวมถึงการขยายฐานการผลิตของภาคอุตสาหกรรมสู่พื้นที่ดังกล่าว           ขณะนี้ฝ่ายวิเคราะห์อยู่ระหว่างการปรับปรุงบทวิเคราะห์และแนวโน้มการเติบโตของ ATP30 ในปี 2568 โดยก่อนหน้านี้ได้ให้ราคาเหมาะสมที่ 1.25 บาท พร้อมคงคำแนะนำ "ซื้อ"           โดย ณ สิ้นปี 2567 บริษัทได้ให้บริการลูกค้า 65 รายด้วยรถโดยสารให้บริการจำนวน 729 คัน ประกอบด้วย รถบัสจำนวน 277 คัน, รถมินิบัสจำนวน 51 คัน, รถตู้จำนวน 383 คัน, รถกระบะจำนวน 2 คัน และรถไฟฟ้าจำนวน 16 คัน อาทิ รถตู้มินิแวนจำนวน 3 คัน, รถบัสไฟฟ้าจำนวน 3 คัน และรถมินิบัสไฟฟ้าจำนวน 10 คัน นอกจากนี้บริษัทมี Backlog มูลค่า 1,943.00 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในอนาคต พร้อมแผนขยายกองรถบัสไฟฟ้าเพิ่มอีก 21 คันในปี 2568           ส่วน AU ประกาศผลประกอบการปี 2567 มีรายได้ 1,603.14 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 296.20 ล้าน เพิ่มขึ้น 118 ล้านบาท หรือเติบโต 66% จากปี 2566  ฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์รายได้และกำไรปี 2568 อยู่ที่ 1,810 ล้านบาท (+14% YoY) และ 332 ล้านบาท (+12% YoY) ตามลำดับ โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลัก 2 ประการ ได้แก่ (1) การขยายสาขา After You ราว 7-10 สาขา ส่งผลให้มีสาขารวม 70-73 แห่ง และ (2) การรับรู้รายได้จากการวางขายสินค้าในร้าน 7-Eleven ตลอดทั้งปี รวมถึงแผนการเพิ่มกำลังการผลิตให้ครอบคลุม 7-Eleven 14,000 สาขา ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน ไตรมาส 1/2568           ปัจจุบัน After You มีรายได้จากการวางขายสินค้าใน 7-Eleven ประมาณ 30 ล้านบาทต่อไตรมาส  ซึ่งยังครอบคลุมเพียง 8,000-9,000 สาขา ในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หากสามารถขยายการวางขายสินค้าไปยัง ทุกสาขาของ 7-Eleven คาดว่าจะทำให้มีรายได้ส่วนเพิ่มราว 150-200 ล้านบาทต่อปี (เฉพาะกลุ่มสินค้าขนมปังเนยโสด ยังไม่รวมสินค้าอื่นๆ ที่จะเพิ่มเข้ามา)           นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับปัจจัยสนับสนุนเพิ่มเติมจากการขยายตลาดต่างประเทศ ผ่านการขายแฟรนไชส์หรือหาตัวแทนจำหน่าย (Distributor) ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจา การทยอยออกสินค้าใหม่ ฝ่ายวิเคราะห์ คงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 13.50 บาท

AU กำไรโตสนั่น 66% ภาคบริการอาหารติดเครื่องไปต่อ

AU กำไรโตสนั่น 66% ภาคบริการอาหารติดเครื่องไปต่อ

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน AU ขนมหวานโดยกำไรสุทธิปี 67 ได้ 296 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 118 ล้านบาท หรือเติบโต 66% ส่วนยอดขายรวมทำได้ 1,577 ล้านบาท โต30%           บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU แจ้งผลประกอบการต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า ในปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 296 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 118 ล้านบาท หรือร้อยละ 66 จากในปี 2566 ที่ 178 ล้านบาท สอดคล้องกับรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะรายได้จากการขายขนมหวานและเครื่องดื่ม และรายได้จากการขายสินค้าฯ และวัตถุดิบ           อัตรากำไรสุทธิในปี 2567 เท่ากับร้อยละ 18.5 เพิ่มขึ้นจากอัตรากำไรสุทธิที่ร้อยละ 14.5 ในปี 2566 เนื่องจากการเติบโตของรายได้ในทุกธุรกิจ รวมถึงต้นทุนต่อหน่วยที่ลดลงเนื่องจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economy of Scale) ประกอบกับความสามารถของบริษัทฯ ในการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ           ส่วนรายได้จากการขายขนมหวานและเครื่องดื่มในปี 2567 มีมูลค่า 1,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 235 ล้านบาท หรือร้อยละ 22 จากในปี 2566 เนื่องจากการเติบโตของยอดขายสำขำเดิม (SSSG) ยอดขายต่อบิลที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนของร้านอาฟเตอร์ยู และจำนวนสาขาร้านต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น           รายได้จากการขายสินค้าฯ และวัตถุดิบในปี 2567 มีมูลค่า 203 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 119 ล้านบาท หรือร้อยละ 142 จากในปี 2566 โดยมีสาเหตุมาจากการเติบโตของยอดขายผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด (Modern Trade) โดยเฉพาะช่องทางร้านสะดวกซื้อ 7-11 ซึ่งเริ่มวางขายสินค้าภายในเดือนกรกฎาคม ปี 2567 ประกอบกับยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้าเก่าและใหม่ โดยเฉพาะการบินไทย ซึ่งเป็นลูกค้าใหม่ตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2567           รายได้จากการขายและการจัดงานนอกสถานที่ในปี 2567 มีมูลค่า 55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5 ล้านบาท หรือร้อยละ 10 จากในปี 2566 เนื่องจากการเติบโตของยอดขายต่อบูธ           รายได้จากค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ในปี 2567 มีมูลค่า 19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1 ล้านบาท หรือร้อยละ 6 จากในปี 2566 เนื่องจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากส่วนแบ่งค่าธรรมเนียมในส่วนของร้านขนมหวาน After You ที่ฮ่องกงและกัมพูชา คาดการณ์ตลาด ธุรกิจเครือข่ายบริการร้านอาหารไทยปี 2567-2570           ภาคการบริการร้านอาหารในประเทศไทยเริ่มมีการฟื้นตัวหลังจากการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ตลาดธุรกิจบริการร้านอาหารมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยในปี 2567 มูลค่าตลาดอยู่ที่ 350.9 พันล้านบาท และคาดการณ์ว่าในระหว่างปี 2567 ถึงปี 2570 จะเติบโตเฉลี่ยรายปีอยู่ที่ร้อยละ 8.2 ส่งผลให้ในปี 2570 ตลาดธุรกิจบริการร้านอาหารมีมูลค่าอยู่ที่ 444.7 พันล้านบาท           ในปี 2567 บริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากลูกค้าต่างชาติร้อยละ 34.8 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 26.9 ในปี 2566 (คำนวณจากยอดขาย) โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากการเพิ่มขึ้นของกลุ่มลูกค้าชาวมาเลเซีย

AU ขนมหวานซ่อนมูลค่า โกลเบล็กแนะ

AU ขนมหวานซ่อนมูลค่า โกลเบล็กแนะ "ซื้อ" อัพไซต์ 60%

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง AU ว่า "ซื้อ" (ราคาเหมาะสม 13.50 บาท) มีอัพไซต์ 60% แนวโน้มกำไร 4Q67 อาจต่ำกว่าที่คาดไว้เดิม แต่อมองบวกต่อแนวโน้มปี 68           • คาดแนวโน้มกำไร 4Q67 คงเติบโตต่อเนื่อง YoY แต่อาจทรงตัว QoQ (จากเดิมคาดโต QoQ) โดยแม้เข้าสู่ High Season ของธุรกิจ แต่คาดจะได้รับผลกระทบจากฝนตกหนักในโซนภาคเหนือและภาคใต้ อย่างไรก็ตาม คาดยังคงเติบโต YoY จากการขยายสาขาใหม่ต่อเนื่องสู่ 63 แห่ง (+3 แห่ง YoY +2 แห่ง QoQ) รวมทั้งการเริ่มวางขายสินค้าใน 7-Eleven เมื่อช่วง ก.ค. 67 โดยเดิมเราประมาณการกำไรปี 67 ราว 296 ลบ. +66% YoY (9M67 คิดเป็น 71%) ซึ่งอาจมี Downside Risk จากประมาณการดังกล่าว (คาดประกาศงบ 4Q67 วันที่ 24 ก.พ. 68)           • ความเห็น : ฝ่ายวิเคราะห์มองเป็นกลางต่อแนวโน้ม 4Q67 ที่อาจต่ำกว่าที่คาดไว้เดิม แต่ยังคงมองบวกต่อแนวโน้มปี 68 ที่คาดจะเติบโตต่อเนื่อง โดยผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 68 เติบโตราว 25-30% ซึ่งมีความกระตือรือร้นกว่าที่ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าจะเติบโตประมาณ 10-15% โดยคาดจะเติบโตดีตั้งแต่ 1Q68 เป็นต้นไป โดยมีเหตุผลสนับสนุนคือ 1) ผลิตภัณฑ์ใหม่ "ขนมปังคัสตาร์ดไข่เค็มหน้าฝอยทอง" ที่เพิ่งออกมีกระแสดี 2) เพิ่งรองรับสิทธิ์ Easy E-Receipt ได้เป็นปีแรก 3) โรงงานสำหรับผลิตสินค้าเพื่อส่งร้าน 7-Eleven เสร็จแล้ว และยังมีแผน OEM หรือร่วมมือกับพาร์ทเนอร์เพื่อส่งสินค้าเข้าสู่ร้าน 7-Eleven เพิ่มเติม 4) ขยายสาขา After You อีก 8-10 แห่ง และ 5) แผนขยายแฟรนไชส์ไปยังต่างประเทศอีก 2 แห่ง ทั้งนี้คงประมาณการกำไรปี 68 ราว 332 ลบ. +15% YoY และราคาเหมาะสม 13.50 บาท มีอัพไซต์ 60% แนะนำ "ซื้อ"

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

[Vision Exclusive] AU ความหวานทรงพลัง เด้งรับวาเลนไทน์ทำเงิน

[Vision Exclusive] AU ความหวานทรงพลัง เด้งรับวาเลนไทน์ทำเงิน

           หุ้นวิชั่น - AU ความหวานฮอตติดกระแส รับอานิสงส์วาเลนไทน์ทำเงิน ฟากนักวิเคราะห์ "วิลาสินี บุญมาสูงทรง" ชี้ไอซีซั่นดันยอดพองโต อัพประมาณการกำไรปี 67 เป็น 296 ลบ. +66% เคาะ "ซื้อ" ส่องพิกัด 13.50 บาท            นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด (GBS) เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า หุ้นในกลุ่มบริการ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารและขนมหวาน คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากเทศกาลวาเลนไทน์ เนื่องจากคู่รักจะนิยมรับประทานอาหารนอกบ้านในช่วงวันพิเศษดังกล่าว            คาด บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU จะได้รับประโยชน์จากเทศกาลวาเลนไทน์เช่นกัน และ AU ถือเป็นหุ้นที่น่าสนใจในแง่ของการเติบโต โดยเฉพาะในช่วงไฮซีซั่นที่เริ่มจากปลายปีและต่อเนื่องไปจนถึงต้นปี            ฝ่ายวิเคราะห์คาดกำไร 4Q67 เติบโตต่อเนื่องทั้ง YoY และ QoQ จากการเข้าสู่ High Season และปรับประมาณการกำไรปี 2567 เพิ่มขึ้น 10% สู่ 296 ลบ. +66% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศในช่วงปลายปีและฤดูกาลท่องเที่ยวของต่างชาติ สะท้อน SSSG เดือน ต.ค.-พ.ย. ที่ผ่านมายังเป็นบวก            โดยหลักยังคงได้แรงหนุนจากสาขาภาคใต้ (หาดใหญ่) ที่ได้รับกระแส Viral ในสินค้ากลุ่มโทสต์จากชาวมาเลเซีย รวมทั้งปัจจัยหนุนเฉพาะตัว คือ 1) ธุรกิจร้านขนมหวานยังมีแผนขยายสาขาอีก 2 สาขา โดยเน้นเปิดในพื้นที่ที่มีกำลังซื้อสูงและคนหนาแน่น 2) เพิ่งเปิด After You สาขาแรกที่พนมเปญ 3) รีแบรนด์ร้าน Mikka Cafe เป็น Mikka Coffee Roasters เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้า Premium มากขึ้น 4) เปิดร้านแบบ Pop-up Store ตามสถานที่ท่องเที่ยว และ 5) ร่วมมือกับ "การบินไทย" ให้บริการเสิร์ฟขนมปังแบรนด์ After You (มีสัญญาจนถึงช่วงพ.ค. 68)            ฝ่ายวิเคราะห์ปรับประมาณการรายได้และกำไรปี 2567 เพิ่มขึ้น 10% สู่ 1,592 ลบ. +31% YoY และ 296 ลบ. +66% YoY ตามลำดับ   และคาดการณ์กำไรปี 2568 ราว 332 ลบ. +12% YoY คาดการณ์รายได้ ราว 1,810 ลบ. +14% YoY จากปัจจัยสนับสนุนหลัก 2 ประการ คือ 1) แผนขยายสาขา After You ราว 7-10 สาขา สู่ทั้งหมด 70-73 สาขา และ 2) รับรู้รายได้จากการวางขายสินค้าในร้าน 7-Eleven เต็มปี            รวมทั้งแผนการเพิ่มกำลังการผลิตให้ครอบคลุมร้าน 7-Eleven 14,000 สาขา คาดแล้วเสร็จภายในช่วง 1Q68 โดยหากเทียบกับช่วง 3Q67 ที่มีรายได้จากกลุ่มดังกล่าวราว 30 ลบ./ไตรมาส ซึ่งปัจจุบันครอบคลุม 7-Eleven เพียง 8,000-9,000 สาขา ในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเราประเมินเบื้องต้นหากวางจำหน่ายสินค้าครอบคลุม 7-Eleven ทุกสาขา คาดจะทำให้มีรายได้ส่วนเพิ่มราว 150-200 ลบ./ปี (เฉพาะกลุ่มสินค้าขนมปังเนยสด ยังไม่รวมแผนการนำสินค้าอื่นๆเข้ามาขายเพิ่มเติม)            นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนอื่นๆเพิ่มเติม อาทิ การขยายในตลาดต่างประเทศทั้งในรูปแบบการขายแฟรนไชส์ หรือหา Distributor เพื่อจำหน่ายสินค้า (ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการเจรจา) การทยอยออกสินค้าใหม่ๆ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ Easy e-receipt ซึ่งจะเริ่มใช้สิทธิช่วง 16 ม.ค.-28 ก.พ. 2568            คงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเหมาะสม 13.50 บาท อัพไซต์ 26%: บริษัทมีศักยภาพการเติบโตต่อเนื่องในช่วง 4-5 ปีจากนี้ราว 10-20% ต่อปี จากแบรนด์ที่ติดตลาด แผนการขยายสาขา ขายแฟรนไชส์ การวางขายสินค้าใน Modern Trade ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ได้รับกระแสนิยมทุกปี โดยราคาหุ้นมีอัพไซต์จากราคาปัจจุบันราว 26% ฝ่ายวิเคราะห์จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

AU คาดงบ Q4 สะดุด แต่ไม่เป็นอุปสรรค จับตากำไรนิวไฮ 2 ปีซ้อน

AU คาดงบ Q4 สะดุด แต่ไม่เป็นอุปสรรค จับตากำไรนิวไฮ 2 ปีซ้อน

              หุ้นวิชั่น - บล.เคจีไอ ประเมินหุ้น AU ในขณะที่ฝ่ายวิจัยคาดว่ากําไรสุทธิของ AU ใน 4Q67F จะเติบโต แข็งแกร่ง 72% YoY แต่น่าจะลดลงเล็กน้อย QoQ อยู่ที่ 81 ล้านบาท โดยปัจจัยหลักมาจากรายได้จากร้านขายขนมหวาน และเครื่องดื่ม (dessert café) ลดลง 13% QoQ ด้วยเหตุจากภาวะน้ำท่วม โดยเฉพาะในภาคใต้ของไทย               อย่างไรก็ดีผลบวกของรายได้ไม่ใช่จากธุรกิจร้านขายขนมหวาน และ เครื่องดื่ม (non-café) ดีขึ้นอย่างมากทําให้กําไรยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่การขยายกําลังการผลิตจะปลดล็อกขีดจํากัดการผลิตของ non-café และหนุนกําไรปี 2568F ให้เติบโตต่อเนื่องสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 342 ล้านบาท ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคาดว่ากําไรของ AU จะกลับมาเติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ ใน 1Q68F คาดกําไรจะทําสถิติสูงสุดอีกครั้งในปี2568F               ฝ่ายวิจัยคาดผลประกอบการที่สะดุดใน 4Q67F ไม่น่าจะเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของ AU ในปี2568 โดยคาดว่ากําไรสุทธิ จะทําสถิติสูงสุดใหม่เป็นปีที่สองติดต่อกัน อยู่ที่342 ล้านบาท โดยที่รายได้จากธุรกิจ non-caféจะยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักโดยเพิ่มขึ้น 53% YoY ทั้งนี้ สายการผลิตใหม่ (+30% ของ capacity ทั้งหมด) ได้เริ่มดําเนินการผลิตแล้วในเดือนมกราคม 2568 โดยจะปลดล็อกขีดจํากัดด้านการผลิตของ สินค้าnon-café ต่าง ๆ ได้นอกจากนี้บริษัทมีแผนจะเปิดตัวขนมปังเนยสด (butter bun) รสชาติใหม่ๆ เร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้ คาดว่ากําไรของ AU จะกลับมาเติบโตทั้ง YoY และ QoQ ใน 1Q68F

AU แกร่ง! สินค้าใหม่-ช่องทางจำหน่าย หนุนรายได้ปี68 โต

AU แกร่ง! สินค้าใหม่-ช่องทางจำหน่าย หนุนรายได้ปี68 โต

           หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี ส่องหุ้น AU โดยคงคำแนะนํา ซื้อ ด้วยราคาเป้าหมายที่ 12.50 บาท สำหรับ AU จาก (i) คาดว่าผลประกอบการใน 4Q24F จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากการเติบโตของ SSSG ที่ยังคงเป็นบวก, การขยายฐานลูกค้า OEM ที่มากขึ้น , และมาร์จิ้นที่ปรับตัวดีขึ้น (ii) ฝ่ายวิจัยคาดว่าผลประกอบการใน 1Q25F จะเติบโตทั้ง yoy และ qoq และคงประมาณการกำไรสุทธิสําหรับปี2025F ที่ 351 ล้านบาท (+19% YoY) จากแบรนด์ที่แข็งแรง และการเพิ่มสินค้าใหม่ต่อเนื่องยังสามารถสร้างการเติบโตของ SSSG และการขยายช่องทางจำหน่าย ทั้งนี้ ปัจจุบัน AU ซื้อ ขายอยู่ทเพียง 22x PER FY25F เท่านั้น ซึ่งคิดเป็น -1SD ของค่าเฉลี่ยในอดีต             คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 12.50 บาท อิงจากการประเมินมูลค่าด้วยวิธีDCF (2.5% Rf, 8% market risk premium, และ 0.9 Beta) ปัจจัยเสี่ยงมาจากการเติบโตที่ชะลอตัวกว่าคาดและ ต้นทุนที่สูงขึ้น

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

AU ขนมหวานฮอต! ปี68 กำไรโตต่อ เป้า 13.50 บาท

AU ขนมหวานฮอต! ปี68 กำไรโตต่อ เป้า 13.50 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง ว่า AU “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 13.50 บาท “คาดกำไร 4Q67 โตต่อเนื่อง YoY QoQ และปรับประมาณการกำไรปี 67 เพิ่มขึ้น 10% เติบโต 66%YoY” งวด 3Q67 มีกำไร 83 ลบ. +55%YoY +15%QoQ (เติบโตดีกว่าที่คาดว่าจะทรงตัว QoQ) โดยมีรายได้428 ลบ. +27%YoY +14%QoQ มีปัจจัยเติบโตหลักจาก 2 ส่วนธุรกิจ คือ1) ธุรกิจร้านขนมหวาน After You (สัดส่วน 82%) +17%YoY จากการขยายสาขาสู่61 สาขา (+2 สาขาYoY +0 สาขา QoQ) ประกอบกับ SSSG คงเติบโต 4.5% และยอดขายต่อบิลที่สูงขึ้นจากกำลังซื้อที่เติบโตดีและกระแส Viral ในสินค้ากลุ่มโทสต์จากชาวมาเลเซีย และ 2) ธุรกิจขายสินค้า (สัดส่วน 15%) +182%YoY เติบโตดีจากการเริ่มวางขาย "ขนมปังเนยโสด" ในร้าน 7-Eleven เมื่อช่วง ก.ค.ที่ผ่าน มาซึ่งได้กระแสตอบรับดีมาก ส่วน %GPM ลดลงเล็กน้อยสู่ 65.4% (3Q66 = 66.0%, 2Q67 = 66.5%) จากการวางขายสินค้าในร้านสะดวกซื้อที่มีอัตราก าไรต่ ากว่า ทั้งนี้9M67 มีก าไร210 ลบ. +60%YoY และคิดเป็น 78% ของประมาณการทั้งปี67 เดิมที่268 ลบ. +51%YoY           คาดกำไร 4Q67 เติบโตต่อเนื่องทั้ง YoY และ QoQ จากการเข้าสู่ High Season และปรับประมาณการกำไรปี 67 เพิ่มขึ้น 10% สู่ 296ลบ. +66%YoY : โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศในช่วงปลายปีและฤดูกาลท่องเที่ยวของต่างชาติ สะท้อน SSSG เดือนต.ค.-พ.ย.ที่ผ่านมายังเป็นบวก โดยหลักยังคงได้แรงหนุนจากสาขาภาคใต้ (หาดใหญ่) ที่ได้รับกระแส Viral ในสินค้ากลุ่มโทสต์จากชาวมาเลเซีย รวมทั้งปัจจัยหนุนเฉพาะตัว คือ 1) ธุรกิจร้านขนมหวานยังมีแผนขยายสาขาอีก 2 สาขา โดยเน้นเปิดในพื้นที่ที่มีก าลังซื้อสูงและคนหนาแน่น 2) เพิ่งเปิด AfterYou สาขาแรกที่พนมเปญ 3) รีแบรนด์ร้าน Mikka Cafe เป็น Mikka Coffee Roasters เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้า Premium มากขึ้น 4) เปิดร้านแบบ Pop-up Store ตามสถานที่ท่องเที่ยว และ 5) ร่วมมือกับ "การบินไทย" ให้บริการเสิร์ฟขนมปังแบรนด์ After You(มีสัญญาจนถึงช่วงพ.ค.68)           ทั้งนี้ เราปรับประมาณการรายได้และกำไรปี 67 เพิ่มขึ้น 10% สู่ 1,592 ลบ. +31%YoY และ 296 ลบ. +66%YoY ตามลำดับ สะท้อนกำไร 3Q67 สูงกว่าคาด 14% และก าไร 9M67 คิดเป็น 78% ของประมาณการเดิม คาดการณ์กำไรปี 68 ราว 332 ลบ. +12%YoY : คาดการณ์รายได้และกำไรปี 68 ราว 1,810 ลบ. +14%YoY และ 332 ลบ. +12%YoY ตามลำดับ จากปัจจัยสนับสนุนหลัก 2 ประการ คือ 1) แผนขยายสาขา After You ราว 7-10 สาขา สู่ทั้งหมด 70-73 สาขา และ 2) รับรู้รายได้จากการวางขายสินค้าในร้าน 7-Eleven เต็มปี รวมทั้งแผนการเพิ่มกำลังการผลิตให้ครอบคลุมร้าน 7-Eleven 14,000 สาขา คาดแล้วเสร็จภายในช่วง 1Q68 โดยหากเทียบกับช่วง 3Q67 ที่มีรายได้จากกลุ่มดังกล่าวราว 30 ลบ./ไตรมาส ซึ่งปัจจุบันครอบคลุม 7-Eleven เพียง 8,000-9,000 สาขา ในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเราประเมินเบื้องต้นหากวางจำหน่ายสินค้าครอบคลุม 7-Eleven ทุกสาขา คาดจะทำให้มีรายได้ส่วนเพิ่มราว 150-200 ลบ./ปี (เฉพาะกลุ่มสินค้าขนมปังเนยโสด ยังไม่รวมแผนการนำสินค้าอื่นๆเข้ามาขายเพิ่มเติม)           นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนอื่นๆเพิ่มเติม อาทิ การขยายในตลาดต่างประเทศทั้งในรูปแบบการขายแฟรนไชส์ หรือหา Distributor เพื่อจำหน่ายสินค้า (ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการเจรจา) การทยอยออกสินค้าใหม่ๆ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ Easy e-receipt ซึ่งจะเริ่มใช้สิทธิช่วง 16 ม.ค.-28 ก.พ.68           คงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเหมาะสม 13.50 บาท อัพไซต์ 26% คงประเมินราคาเหมาะสมของ AU ที่ 13.50 บาท ด้วยวิธี Discounted Cash Flow (DCF) บนสมมติฐาน WACC 8% และ Terminal Growth 3% โดยแม้ปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขายที่ PE 34x สูงกว่ากลุ่มที่ราว 25-30x (PE: M = 16x, ZEN = 24x, MAGURO = 33x, OKJ = 44x) แต่บริษัทมีศักยภาพการเติบโตต่อเนื่องในช่วง 4-5 ปีจากนี้ราว 10-20% ต่อปี จากแบรนด์ที่ติดตลาด แผนการขยายสาขา ขายแฟรนไชส์ การวางขายสินค้าใน Modern Trade ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ได้รับกระแสนิยมทุกปี โดยราคาหุ้นมีอัพไซต์จากราคาปัจจุบันราว 26% จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

AU-SPA ขึ้นแท่น Soft Power ไทย

AU-SPA ขึ้นแท่น Soft Power ไทย

หุ้นวิชั่น - KSS คัด Investment Theme ปี 2025 AU-SPA ติดโผ Soft Power หนึ่งในแผนช่วยต่อยอดความสามารถการแข่งขัน ชี้ละคร หนัง มวย อาหาร โดดเด่น ชี้มี Upside ต่อประมาณการระยะกลาง-ยาว ส่วน BBIK หนุน New S Curve ใหม่ ศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไทยมาแรง ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุถึง Investment Theme ปี 2025 : 1) Domestic Recovery: กลุ่มได้ประโยชน์การฟื้นตัวเศรษฐกิจภายใน GDP ไทยปี 2024 คาดเร่งตัวมากสุดของปีในงวด 4Q24F และเติบโตขึ้นต่อเนื่องในปี 2025F ด้วยแรงหนุนการเบิกจ่ายงบรัฐฯ ภาคบริการการท่องเที่ยวกลับสู่ระดับ Pre-COVID และการขับเคลื่อนมาตรการเศรษฐกิจรัฐบาลในส่วนการบริโภคและการลงทุน จะหนุนหุ้นอิงกำลังซื้อ+เศรษฐกิจภายใน (KBANK, SCB, KTB, CPALL, BJC, HMPRO, MTC, JMT, MOSHI) 2) Thailand New Investment Cycle : สัญญาณการลงทุนรอบใหม่ของไทยเริ่มกลับมา งบลงทุนรัฐฯ+เอกชนกลับมาขยายตัว > 5%y-y ครั้งแรกในรอบ 8.5 ปี ขณะที่ปี 2025F จะเป็นรอบการลงทุนครั้งใหญ่ของประเทศไทยทั้งแรงขับเคลื่อนภาครัฐฯและภาคเอกชน ร่วมกันลงทุนโครงการ Mega Projects และการต่อยอด New S Curve ใหม่ๆ ของประเทศกว่า 1.5-2.0 ล้านล้านบาท ที่จะกลับมาขับเคลื่อนพร้อมๆ กัน i) Mega Projects: การผลักดันโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงนโยบายที่เกี่ยวข้อง เช่นการซื้อสัมปทานรถไฟฟ้าคืนจากเอกชนเพื่อผลักดันนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท และเพิ่มความยืดหยุ่นการขยายโครงข่ายระยะกลางยาว หลังรัฐบาลผ่านช่วงกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นให้เริ่มกลับมาเติบโตได้ โครงสร้างพื้นฐานจะเป็นจุดช่วยต่อยอดให้การเติบโตเศรษฐกิจประเทศระยะกลาง-ยาวแข็งแกร่งและมั่นคงมากขึ้น (BTS, STECON, PYLON, GLOBAL, KTB, SCB, KBANK) ii) Soft Power : หนึ่งในแผนช่วยต่อยอดความสามารถการแข่งขันประเทศของรัฐฯ คือ การนำ Soft Power มาช่วยสร้างความแตกต่าง ทำให้เราคาดจะการผลักดันพลัง Soft Power ไทยที่มีศักยภาพ อาทิ ละคร หนัง มวย อาหาร หุ้นที่มีความเชื่อมโยงกับจุดเด่นดังกล่าวจะมีภาพ Upside ต่อประมาณการระยะกลาง-ยาว (AU, SPA, CENTEL, ONEE, PLANB) iii) Infrastructure Technology : New S Curve ใหม่ของไทยในส่วนการขึ้นเป็นหนึ่งในศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล จะยังมีภาพสร้างความเชื่อมั่นได้ต่อเนื่อง อิงข้อมูลล่าสุด เราประเมินกระแสลงทุน Data Center ของไทยใน 4-5 ปีข้างหน้า เฉลี่ย 55% เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนที่เราน าเสนอไว้ราว 45% ขณะที่มีแนวโน้มเติบโตสูงจาก Upside ทั้งฐานเดิมที่มีโอกาสเร่งขึ้นกว่าตลาดคาด จากผลบวก AI Adoption ที่กำลังขับเคลื่อนปริมาณการใช้ข้อมูลในระบบเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) นอกจากนี้ ยังคาดหวังการเข้ามารายใหม่ๆ ในส่วนผู้ให้บริการ Application อาทิ Facebook, Tiktok (WHA, GULF, GPSC, ADVANC, TRUE, DELTA, INSET, BBIK) iv) Entertainment Complex : อีกด้าน New S Curve ของไทยที่จะมีภาพการเดินหน้าเต็มที่ในปี 2025F คาดกลไกการเดินหน้าออกกฎหมายที่เข้ามาเป็นแรงหนุนตลอดทั้งปี จะสร้างความเชื่อมั่นตลาดต่อการต่อยอดนักท่องเที่ยวจากภาพปี 2025F ที่กลับสู่ระดับ Pre-COVID ให้ยกระดับขึ้นไปอีกสอดคล้องกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียที่ต่อยอดได้สำเร็จ อาทิ สิงคโปร์ มาเก๊า (AOT, BTS, VGI, BJC, CPN, AWC, BA, MBK) 3) Winners of Trump 2.0 : แม้ปัจจัยภายนอกปี 2025F คาดมีความผันผวนมากขึ้น โดยเฉพาะความเสี่ยงนโยบาย Trump 2.0 อย่างไรก็ตาม เราประเมินยังมีชุดหุ้นที่มีโอกาสได้ประโยชน์ i) Tradewars mitigation: การเร่งย้ายฐานการผลิตสู่ประเทศที่มีสถานะเป็นกลาง เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบการกีดกันทางการค้า (WHA, AMATA) ii) US Based Business: กลุ่มที่มีฐานธุรกิจอยู่ในประเทศสหรัฐฯ ช่วยให้ได้ประโยชน์ทางบวกจากนโยบายหลัก Trump 2.0 “Make America Greatest Again” (IVL, BANPU, EPG) 4) Turnaround/High Growth 2025F : หุ้นที่ธุรกิจพลิกกลับมาฟื้นตัวหรือเติบโตสูงในปีถัดไปมักให้ผลตอบแทนที่ Outperform ตลาดโดยรวม (JMT, MALEE, INSET, MONO, BTS, VGI, PTTGC, DUSIT, SAWAD, MOSHI, SHR)

AU กำไรเดินหน้าทุบสถิติ โบรกอัพเป้าผลงานปี 68 เคาะพิกัด 12.20 บ.

AU กำไรเดินหน้าทุบสถิติ โบรกอัพเป้าผลงานปี 68 เคาะพิกัด 12.20 บ.

        หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง AU ว่ากำไรจะยังทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องในปีหน้า รายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่ร้านขายขนมหวาน (non-café) โตก้าวกระโดดจากช่องทางการขายใหม่ ๆรายได้จากการขายกลุ่ม non-café จะเป็นปัจจัยหลักขับเคลื่อนการเติบโตใน 4Q67F- ปี 2568F เนื่องจากAU ขยายช่องทางการขายใหม่ ๆ โดยที่มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ช่วยกระตุ้นยอดขายในกลุ่มนี้พุ่งขึ้นถึง 180% YoY และ 170% QoQ อยู่ที่ 62 ล้านบาทใน 3Q67 นอกจากนี้ AU ยังได้รับคำสั่งซื้อ (8 เดือน ช่วงวันที่ 1 ตุลาคม 2567 - 31 พฤษภาคม 2568) จากการบินไทยให้จัดหาขนมปังเนยโสด (butter bun) สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศและเที่ยวบินขาออกไปยังจีน ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม และญี่ปุ่น ทั้งนี้ คาดว่ายอดขายจากทั้งสองช่องทางใหม่นี้จะทำให้ยอดขายในกลุ่ม non-café พุ่งขึ้น 132% อยู่ที่ 195 ล้านบาทในปี 2567F และเพิ่มขึ้นอีก 53% อยู่ที่ 298 ล้านบาทในปี 2568F อีกหนึ่งปัจจัยหนุนมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น โดยสัดส่วนยอดขายจากลูกค้าต่างชาติของ AU เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ 40.5% ใน 3Q67 จากเดิมเพียง 20% ช่วงก่อนโควิด-19 โดยที่ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองเชิงบวกต่อการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนลูกค้านี้เนื่องจากการเติบโตของลูกค้านักท่องเที่ยวช่วยหนุนการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (same store sales growth: SSSG) เป็นเลขสองหลักใน 9M67 ในขณะที่อุปสงค์ในประเทศค่อนข้างชะลอตัว ในส่วนของ SSSG ที่สูงกว่าคาดยังช่วยชดเชยการเปิดสาขาใหม่ที่ค่อนข้างช้าในปี 2567F อยู่ที่ 63 สาขาจาก 61 สาขาในปี 2566 ทั้งนี้ คาดรายได้จากร้านขายขนมหวาน (dessert café) จะเติบโต 26% YoY ในปี 2567F และ 13% ในปี 2568Fปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2567F ขึ้น 14% และปี 2568F ขึ้น 12% คาดว่ากำไรใน 4Q67F ของ AU จะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากยอดขายกลุ่ม non-café ที่สูงขึ้นเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยว และคาดจะเปิดร้านขายขนมหวานใหม่สองสาขา เมื่อรวมยอดขายกลุ่ม non-caféที่สูงขึ้น ฝ่ายวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มประมาณการรายได้จากยอดขายขึ้น 9% ในปี 2567F และ 15% ในปี 2568F ซึ่งส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิใหม่เพิ่มขึ้น 14% อยู่ที่ 300 ล้านบาท (+69% YoY) ในปี 2567F และ 12% อยู่ที่ 342 ล้านบาท (+14% YoY) ในปี 2568F ทั้งนี้ เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของธุรกิจกลุ่ม non-café ต่ำกว่ากลุ่มธุรกิจร้านขายขนมหวานและการคาดว่าอาจมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปีหน้า ฝ่ายวิเคราะห์จึงปรับลด GPM ลง 0.8ppts อยู่ที่ 65.5% ในปี 2567F และ 3.6ppts อยู่ที่ 63.0% ในปี 2568F Valuation & action ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 2568 ขึ้นเล็กน้อยที่ 12.20 บาท (อิงจาก PER ที่ 29x หรือ -1.0 S.D.) จากเดิม 12.10 บาท (PER ที่ 32x)

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

ธุรกิจอาหาร 6.57แสนล. AU ฮอต! ขนมหวานติดตลาด

ธุรกิจอาหาร 6.57แสนล. AU ฮอต! ขนมหวานติดตลาด

          หุ้นวิชั่น - KResearch คาดมูลค่าคลาดธุรกิจร้านอาหาร เครื่องดื่มปี 68 ที่ 6.57 แสนล้าน โต 4.6% ชี้ท่องเที่ยวในประเทศหนุน "อาฟเตอร์ ยู" ติดโผ หุ้นเด่น ฮอตขนมหวานติดตลาด ใส่เกียร์ขยายสาขา ขายแฟรนไชส์ทำเงิน แนะ “ซื้อ” เป้า 12.50 บาท           ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) ระบุว่า แนวโน้มธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจร้านอาหารและร้านเครื่องดื่มในปี 2568 คาดมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 657,000 ล้านบาท เติบโต 4.6% จากปี 2567 จากภาคการท่องเที่ยวในประเทศที่ยังเติบโต การขยายสาขาของผู้ประกอบการไปยังภูมิภาค รวมถึงไลฟ์ สไตล์ของผู้บริโภคและความต้องการอาหารและเครื่องดื่มใหม่ที่เพิ่มขึ้นช่วยหนุนการเติบโตของตลาด แต่ธุรกิจมีการแข่งขันสูงทำให้การลงทุนยังต้องระวัง           ธุรกิจร้านอาหารในปี 2568 คาดมูลค่าตลาดอยู่ที่ 572,000 ล้านบาท เติบโต 4.8% จากปี 2567 กลุ่มร้านอาหารข้างทาง (Street Food) มีอัตราการเติบโตดีกว่ากลุ่มอื่น เนื่องจากได้รับความนิยมจากคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะที่ธุรกิจร้านเครื่องดื่ม (รวมร้านเบเกอรี่และไอศกรีม) ในปี 2568 คาดมูลค่าตลาดอยู่ที่ 85,320 ล้านบาท เติบโต 3.2% จากปี 2567           แนวโน้มธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มในประเทศ ในปี 2568 คาดว่า ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 657,000 ล้านบาท เติบโต 4.6% แต่เป็นอัตราการเติบโตที่ชะลอตัวจากปี 2567           การเติบโตของธุรกิจได้รับปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากภาคการท่องเที่ยวทั้งการเดินทางท่องเที่ยวคนไทยและชาวต่างชาติที่คาดว่ายังเติบโตต่อเนื่องจากปี 2567 โดยการท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism) เป็นที่นิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติกอปรกับไทยมีร้านอาหารที่ติดอยู่ในมิชลินไกด์ กว่า 482 ร้านอาหาร จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพบว่า การใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่มของนักท่องเที่ยวมีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 2 ของการใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวทั้งหมด           นอกจากนี้การเติบโตของมูลค่าตลาดยังเป็นผลมาจากราคาที่ปรับสูงขึ้นตามภาวะแนวโน้มต้นทุนทางธุรกิจที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมไปถึงการขยายสาขาของผู้ประกอบการและกลยุทธ์การตลาดกระตุ้นให้รายได้ต่อครั้งการสั่งอาหารเพิ่มขึ้น การแข่งขันของธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม           ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มในประเทศมีการแข่งขันรุนแรงในทุกระดับราคาและประเภทของอาหาร ประเทศไทยมีความหนาแน่นของร้านอาหารต่อประชากรอยู่ที่ 9.6 ร้านต่อประชากร 1,000 คน ซึ่งนับว่าเป็นอัตราส่วนที่สูง โดยในปี 2568 คาดว่าร้านอาหารและเครื่องดื่มจะมีจำนวนประมาณ 6.9 แสนร้าน ในปี 2568 ผู้ประกอบการรายใหม่ทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่และผู้ประกอบรายเล็ก (บุคคล) ยังให้ความสนใจเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ประกอบการในตลาดมีแผนที่จะขยายสาขาในกลุ่มแบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มเดิม รวมถึงการเปิดแบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มใหม่ครอบคลุมทุกเช็กเม้นท์ของตลาด และส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มร้านอาหารเอเชีย           นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของจำนวนร้านอาหารและเครื่องดื่มยังมาจากแนวโน้มการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ อาทิ ห้างสรรพสินค้า และอาคารสำนักงานเปิดใหม่เป็นปัจจัยสนับสนุนจำนวนร้านอาหารเพิ่มขึ้นเช่นกัน ทิศทางลงทุนของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดที่มีกิจกรรมการท่องเที่ยวสูง อาทิ ชลบุรี เชียงใหม่และสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ศักยภาพ โดยจำนวนร้านอาหารและเครื่องดื่มในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 24% ของจำนวนร้านอาหารและเครื่องดื่มทั่วประเทศ           นอกจากนี้ การแข่งขันในธุรกิจยังมาจากการเข้ามาลงทุนของชาวต่างชาติ โดยในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มยังได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในธุรกิจมากขึ้นสะท้อนได้จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า มูลค่าทุนจดทะเบียนร้านอาหารและเครื่องดื่มจำแนกตามสัญชาติเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ต้นปี 2567 กลุ่มร้านอาหารและเครื่องดื่มจากจีนมีมูลค่าการลงทุนที่เร่งตัวขึ้น และแนวโน้มการเข้ามาลงทุนน่าจะเพิ่มสูงขึ้น           ทั้งนี้การแข่งขันในธุรกิจที่รุนแรงก็ทำให้เกิดการหมุนเวียนเปิด-ปิดกิจการของผู้ประกอบการใหม่และเก่าเป็นจำนวนไม่น้อยเช่นกัน สะท้อนจากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า ร้านอาหารปิดตัวเร่งขึ้นโดยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ร้านอาหารมีการจดทะเบียนยกเลิกธุรกิจสูงถึง 89% (YoY) ขณะที่การเปิดตัวใหม่ไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แนวโน้มธุรกิจร้านอาหาร           ในปี 2568 คาดว่า มูลค่าตลาดร้านอาหาร (รวมร้านอาหารประเภทร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ ร้านอาหารที่ให้บริการจำกัด และร้านอาหารข้างทางหรือ Street Food ที่มีหน้าร้าน) จะมีมูลค่ารวมประมาณ 572,000 ล้านบาท เติบโต 4.8% จากปี 2567           การเติบโตของร้านอาหารแต่ละรูปแบบมีปัจจัยเฉพาะที่ต่างกัน อาทิ ทำเลที่ตั้งของร้าน ความหนาแน่นของร้านอาหารทั้งที่เป็นประเภทเดียวกันและต่างกันในแต่ละพื้นที่ รวมถึงราคา คุณภาพ/รสชาติของอาหาร และการให้บริการ รวมไปถึงเทรนด์การบริโภคของผู้บริโภค การนำเสนอเมนูใหม่ๆ และมีเอกลักษณ์ก็มีผลต่อการเติบโตของร้านอาหาร - ร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ (Full Service Restaurants) คาดว่าจะเติบโต 2.9%จากปี 2567 หรือมีมูลค่า 213,000 ล้านบาท โดยร้านอาหารประเภทบุฟเฟต์ยังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคที่มองเรื่องความคุ้มค่าและไลฟ์ สไตล์ที่เปลี่ยนไป สำหรับกลุ่มร้านอาหารประเภทอะลาคาร์ท (A La Carte)อย่างกลุ่ม Casual Dining อาทิ ร้านอาหารญี่ปุ่น เกาหลี ไทย และตะวันตก ในกลุ่มราคาระดับกลางจะเจอกับความท้าทายจากกำลังซื้อและการแข่งขันจากร้านที่เปิดให้บริการจ านวนมาก - ร้านอาหารที่ให้บริการ จำกัด (Limited Service Restaurants) คาดว่าจะเติบโต 3.8% จากปี 2567 หรือมีมูลค่า 93,000 ล้านบาท การขยายตัวจะมาจากการขยายสาขาของผู้ประกอบการอย่างกลุ่มพิซซ่า และไก่ทอด และจากผู้ประกอบการที่ให้บริการในรูปแบบ Full Service ได้ปรับรูปแบบร้านอาหารมาเป็นแบบ Quick service มากขึ้น เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่ายขึ้นและเป็นการลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจ - ร้านอาหารข้างทาง (Street Food) ที่มีหน้าร้าน คาดว่าจะเติบโต 6.8% จากปี 2567 หรือมีมูลค่า 266,000 ล้านบาท เนื่องจากเป็นเมนูพื้นฐานที่เข้าถึงได้ง่ายและราคาไม่สูง ทำให้ร้านอาหารกลุ่มนี้ยังขยายตัวดีกอปรกับร้านอาหารแนว Street Food ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวไทยและชาวต่างชาติ แนวโน้มธุรกิจร้านเครื่องดื่ม           ในปี 2568 คาดว่า มูลค่าตลาดร้านเครื่องดื่ม (รวมร้านเบเกอรี่และไอศกรีม) จะมีมูลค่ารวมประมาณ 85,320 ล้านบาท เติบโต 3.2% จากปี 2567 การเติบโตส่วนหนึ่งมาจากการขยายสาขาของผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่ และผู้ประกอบการรายเล็ก (บุคคล) ยังมีการเปิดร้านใหม่ รวมถึงการขยายแฟรนไชส์ร้านเครื่องดื่มของชาวต่างชาติที่น่าจะเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยมากขึ้น นอกจากนี้เครื่องดื่มและเบเกอรี่ใหม่ๆจากต่างประเทศที่เข้ามาทำตลาด มีส่วนกระตุ้นความต้องการบริโภคเครื่องดื่มและเบเกอรี่มากขึ้น ความเสี่ยงของธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม • กำลังซื้อของผู้บริโภคยังฟื้นไม่เต็มที่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม โดยแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งสร้างความเสี่ยงต่อภาวะการมีงานทำและกำลังซื้อของผู้บริโภค • ต้นทุนการดำเนินธุรกิจมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในปี 2568 ต้นทุนรอบด้านของธุรกิจร้านอาหารมีแนวโน้มสูงขึ้น ทั้งค่าสาธารณูปโภคและค่าเช่า รวมถึงต้นทุนสำคัญ ได้แก่ - ต้นทุนค่าแรง โดยผู้ประกอบการยังต้องติดตามนโยบายของภาครัฐในการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในปี 2568ซึ่งคงจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก - ต้นทุนวัตถุดิบอาหารซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญของธุรกิจร้านอาหารคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของต้นทุนธุรกิจ ด้วยสภาวะอากาศที่ไม่ปกติเกิดขึ้นในหลายประเทศทำให้ราคาวัตถุดิบอาจปรับขึ้นได้โดยเฉพาะกลุ่มวัตถุดิบนำเข้าอย่างนมผง เนย ชีส โกโก้ และแป้งสาลี โดยราคาซื้อขายล่วงหน้าในปี 2568 ยังทรงตัวสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนในกลุ่มร้านเบเกอรี่และอาหารตะวันตกค่อนข้างมาก • พฤติกรรมของผู้บริโภคที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของธุรกิจบริการโดย “ความแปลกใหม่+ประสบการณ์+สุขภาพ+ราคาสมเหตุสมผล” ได้กลายมาเป็นมาตรฐานใหม่ของผู้บริโภคในปัจจุบัน และเทรนด์ความต้องการของผู้บริโภคที่ไม่ได้มีรูปแบบตายตัว ความจงรักภักดีต่อแบรนด์ต่ำและเปลี่ยนแปลงตามกระแสอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับรูปแบบธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว           ขณะที่ นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ได้เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ธุรกิจร้านอาหารที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่น่าสนใจ ได้แก่ บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU จากแผนการขยายสาขา ขายแฟรนไชส์ การวางขายสินค้าใน Modern Trade ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ได้รับกระแสนิยมทุกปี อีกทั้ง 9 เดือนแรกปี 2567 AU สามารถทำยอดขายได้ถึง 210.22 ล้านบาท           ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด AU ในไตรมาส 4/2567 บริษัทจะยังคงเติบโต YoY, QoQ จากการขยายรายได้ในทุกช่องทาง ได้แก่ รักษา SSSG ที่เป็นบวก (เทียบกับ 4.5% ใน ไตรมาส 3/2567) และขยายสาขาเพิ่ม 1-2 แห่ง เป็น 63 สาขาในปี 2567           โดยมีเป้าหมายเพิ่มอีก 10 สาขาในปี 2568 รายได้จากการขายสินค้า AU ขยายการขายใน 7-Eleven เพื่อให้ครอบคลุม 14,000 สาขาภายในต้นปี 2568 (จากปัจจุบันที่ 8,000 สาขา) รวมถึงการจับมือกับการบินไทยในการจำหน่ายขนมปังของ After You ในเที่ยวบินตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2024 ถึง 31 พฤษภาคม 2025 และวางแผนขยายฐานลูกค้า OEM เพื่อเพิ่มสัดส่วนช่องทางนี้จากปัจจุบัน 13% ในไตรมาส 3/2567 ฝ่ายวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2567-2569 ขึ้น 9-14% การปรับเพิ่มนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขาย 4-7% ซึ่งขับเคลื่อนโดยยอดขายสำหรับร้านขนมหวานที่เติบโตกว่าคาด และการขยายช่องทางการขายสินค้าผ่านช่องทางต่างๆ เช่น 7-Eleven และสายการบินไทย           อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น (65.5% ในปี 2567, 64.7% ในปี 2568-2569) เนื่องจากประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้นและผลประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด ดังนั้นคาดว่าอัตรากำไรสุทธิจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 18.4% ในปี 2567-2569 เพิ่มขึ้นจาก 14.6% ในปี 2566           คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายใหม่ 12.50 บาท (DCF) ด้วยราคาเป้าหมายที่ปรับขึ้นเป็น 12.50 บาท (จากเดิม 11.50 บาท) อิงจาก DCF โดยสมมติฐาน Rf 2.5%, RPM 8% และ Beta 0.9 ซึ่งเทียบเท่ากับ 29 เท่า PER ปี 2024F และ PEG ที่ 1.5 เท่า โดยพิจารณาจากการเติบโตกำไร 19% YoY ที่มา https://www.settrade.com/th/research/businessanalysis

บล.กรุงศรีเสิร์ฟเป้าใหม่ AU 12.50 บ.ผุดสาขาใหม่อัพยอด

บล.กรุงศรีเสิร์ฟเป้าใหม่ AU 12.50 บ.ผุดสาขาใหม่อัพยอด

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาดบริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU 4Q24 บริษัทจะยังคงเติบโต YoY, QoQ จากการขยายรายได้ในทุกช่องทาง ได้แก่ รักษา SSSG ที่เป็นบวก (เทียบกับ 4.5% ใน 3Q24) และขยายสาขาเพิ่ม 1-2 แห่ง เป็น 63 สาขาในปี 2024F โดยมีเป้าหมายเพิ่มอีก 10 สาขาในปี 2025F รายได้จากการขายสินค้า AU ขยายการขายใน 7-Eleven เพื่อให้ครอบคลุม 14,000 สาขาภายในต้นปี 2025F (จากปัจจุบันที่ 8,000 สาขา) รวมถึงการจับมือกับการบินไทยในการจำหน่ายขนมปังของ After You ในเที่ยวบินตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2024 ถึง 31 พฤษภาคม 2025 และวางแผนขยายฐานลูกค้า OEM เพื่อเพิ่มสัดส่วนช่องทางนี้จากปัจจุบัน 13% ใน 3Q24 แม้อัตรากำไรขั้นต้นจะลดลงเล็กน้อยเป็น 65.4% ใน 3Q24 (จาก 66.4% ใน 2Q24) เนื่องจากอัตรากำไรที่ต่ำลงจากการขายในร้านสะดวกซื้อ แต่บริษัทยังคงบันทึกอัตรากำไรสุทธิสูงสุดที่ 19.5% อันเป็นผลมาจากการประหยัดต่อขนาดและค่าใช้จ่ายในการขาย บริหาร และทั่วไป (SG&A) ที่ลดลงเมื่อเทียบกับยอดขายที่ปรับขึ้น ปรับเพิ่มประมาณการผลประกอบการสะท้อนรายได้และมาร์จิ้นที่ดีกว่าคาด จากผลประกอบการ 3Q24 ที่ดีกว่าที่คาดไว้ 10%           เราจึงได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี FY24-26F ขึ้น 9-14% การปรับเพิ่มนี้สะท้อนให้เห็นถึง (i) การเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขาย 4-7% ซึ่งขับเคลื่อนโดยยอดขายสำหรับร้านขนมหวานที่เติบโตกว่าคาด และการขยายช่องทางการขายสินค้าผ่านช่องทางต่างๆ เช่น 7-Eleven และสายการบินไทย (ii) อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น (65.5% ในปี FY24F, 64.7% ในปี FY25-26F) เนื่องจากประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้นและผลประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด ดังนั้น เราคาดว่าอัตรากำไรสุทธิจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 18.4% ในปี FY24-26F เพิ่มขึ้นจาก 14.6% ในปี 2023           คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายใหม่ 12.50 บาท (DCF) ด้วยราคาเป้าหมายที่ปรับขึ้นเป็น 12.50 บาท (จากเดิม 11.50 บาท) อิงจาก DCF โดยสมมติฐาน Rf 2.5%, RPM 8% และ Beta 0.9 ซึ่งเทียบเท่ากับ 29 เท่า PER ปี 2024F และ PEG ที่ 1.5 เท่า โดยพิจารณาจากการเติบโตกำไร 19% YoY

MAGURO-AUเสิร์ฟกำไรล้นเต็มคำ

MAGURO-AUเสิร์ฟกำไรล้นเต็มคำ

หุ้นอาหารไซส์มินิ เสิร์ฟกำไรแน่น MAGURO กวาดกำไร 9 เดือน 62.4 ล้านบาท เร่งขยายสาขาทำเงิน ล่าสุดเปิดแบรนด์ใหม่ “CouCou” อัพยอด ฟาก AU ปั๊มเงินเข้าพอร์ตแล้ว 210 ล้านบาท โบรกคาดนักท่องเที่ยวหนุนยอดขนมหวาน ชูพิกัด12.10 บาท          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) อุตสาหกรรมอาหาร ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/2567 เติบโตดี โดย บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO บริษัทมีกำไรสุทธิ 29.3 ล้านบาท เติบโต 54.2% ขณะที่ 9 เดือนแรกปี 2567 มีกำไรสุทธิ 62.4 ล้านบาท เติบโต 6.2% ทั้งนี้ MAGURO มีรายได้รวม ในไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ 355.7 ล้านบาท เติบโต 33.2% และ 9 เดือนแรกปี 2567 ทำได้ 973.7 ล้านบาท เติบโต 26.8%          กําไรสุทธิของบริษัทสําหรับ 9 เดือนของปี 2567 ได้รวมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (One-time expenses) จํานวน 7.1 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการนําบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หากไม่นับรว, ค่าใช้จ่ายนี้ บริษัทจะมีกําไรสุทธิสําหรับ 9 เดือนของปี 2567 อยู่ที่ 68.0ล้านบาท หรืออัตรากําไรสุทธิ7.0% (บนสมมติฐานอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล 20%)          MAGURO ได้เปิดตัวโครงการ The Flavorhood ตั้งอยู่บนประดิษฐ์มนูธรรม บนพื้นที่ 2 ไร่ ที่ประกอบไปด้วย 3 ร้านอาหารในเครือ MAGURO ที่มีการตกแต่งผสมผสานระหว่างความร่วมสมัย แต่ยังคง กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น รวมถึงสวนในโครงการที่มีทั้งรูปแบบ Japanese Garden และ Modern Tropical Garden          ล่าสุด MAGURO เปิดตัวแบรนด์ล่าสุด  ลำดับที่ 5 “CouCou” (คุคูว์) ร้านอาหารรูปแบบ All-Day Dining สไตล์ตะวันตก ณ The Flavorhood ประดิษฐ์มนูธรรม เจาะกลุ่มลูกค้าผู้ที่ชื่นชอบการรับประทานอาหารแบบ All-Day Dining ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับ ปีใหม่ เป็นแบรนด์สุดท้ายของปีนี้ ปัจจุบัน MAGURO Group มีร้านอาหารในเครือ รวมทั้งหมด 35 ร้านจาก 3 แบรนด์ คือ 1.) MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิสไตล์ระดับพรีเมียม 18 ร้าน 2.) SSAMTHING TOGETHER ร้านปิ้งย่างสไตล์เกาหลี วัตถุดิบพรีเมียม 6 ร้าน 3.) HITORI SHABU ร้านชาบูและสุกียากี้ หม้อเดี่ยวสไตล์คันไซ 11 ร้าน รวมถึงรูปแบบ Specialty เรื่อง Suki ภายใต้ชื่อแบรนด์ HITORI SUKIYAKI ร้านสุกียากี้คันไซแบบดั้งเดิมใน รูปแบบ Authentic Japanese Sukiyaki Course ในรูปแบบ Stand Alone ซึ่งเปิดสาขาแรกที่เอกมัย 12 ไป เมื่อกลางเดือน กรกฎาคมที่ผ่านมา ขณะที่ บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU ไตรมาส 3/2567  มีรายได้ที่ 428 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนที่ 338 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% และ 9 เดือนแรกปี 2567 มีรายได้ 1,144 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน 900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27%  กำไรสุทธิไตรมาส 3/2567 ทำได้ 83 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน 54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% ส่วน 9 เดือนแรกปี 2567 มีกำไรสุทธิ 210 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน 131 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60% โดยมีสาขา ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 ที่ 61 สาขา เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนที่ 59 สาขา ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ AU โดยมีราคาเป้าหมายที่ 11.50 บาท โดย AU รายงานการเติบโตของกำไรที่ +55% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน และ +15% จากไตรมาสก่อนหน้า ในไตรมาส 3/2567 เป็นจำนวน 81 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าการประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์ 10% คาดว่ากำไรในไตรมาส 4/2567 จะเติบโตทั้งจากช่วงเดียวกันกับปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า จากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ การเปิดร้านค้าเพิ่มเติมอีก 3 สาขาทำให้เครือข่ายขยายตัวเป็น 66 สาขา และยอดขายที่แข็งแกร่งในร้านสะดวกซื้อและช่องทางอื่นๆ นอกจากนี้ในไตรมาส 4/2564 AU มีความชัดเจนในด้านกำไรที่แข็งแกร่งซึ่งได้รับการสนับสนุนจากการวางตำแหน่งแบรนด์ที่มั่นคง การขยายช่องทางการขาย และการมีส่วนร่วมที่เพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวซึ่งคิดเป็น 30% ของรายได้กลุ่ม คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 11.50 บาท ส่วน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินทิศทางธุรกิจของ AUว่า AU รายงานกำไรในไตรมาส 3/2567 ที่ 83 ล้านบาท (+54% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน และ +15% จากไตรมาสก่อนหน้า) ซึ่งเป็นสถิติกำไรสูงสุดรายไตรมาส โดยที่กำไรสูงกว่าประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์และ consensus ถึง 11% และ 8% ตามลำดับ ขณะที่ กำไรสุทธิใน 9 เดือนแรกปี 2567 คิดเป็น 80% ของประมาณการกำไรทั้งปีของฝ่ายวิเคราะห์ที่ 262 ล้านบาท ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงให้คำแนะนำ “ซื้อ” โดยประเมินราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 12.10 บาท (อิงจาก PER ที่ 32x หรือ – 0.75SD) โดยที่ฝ่ายวิเคราะห์มองว่ากำไรของ AU ในไตรมาส 4/2567 น่าจะคงมีโมเมนตัมบวก ซึ่งทำให้มี upside ต่อประมาณการกำไรปี 2567 ขณะที่ ปัจจัยบวกต่าง ๆในไตรมาส 4/2567 ประกอบด้วย การเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 1-2 แห่งภายในประเทศ จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นซึ่งจะช่วยหนุนยอดขายร้านขายขนมหวานและการเปิดสาขาใหม่ในกัมพูชาในเดือนตุลาคมซึ่งได้ผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า

abs

ออกแบบและติดตั้งระบบเครือข่ายและระบบสื่อสารอย่างครบวงจร

"อาฟเตอร์ ยู" กำไร 9 เดือน 210ล. จับกระแสความหวาน เป้า 12.10บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน หลังจาก บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/2567  มีรายได้ที่ 428 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนที่ 338 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% และ 9 เดือนแรกปี 2567 มีรายได้ 1,144 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน 900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27%           ขณะที่กำไรสุทธิไตรมาส 3/2567 ทำได้ 83 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน 54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% ส่วน 9 เดือนแรกปี 2567 มีกำไรสุทธิ 210 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน 131 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60% โดยมีสาขา ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 ที่ 61 สาขา เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนที่ 59 สาขา           และมีนักวิเคราะห์ออกบทวิเคราะห์เกี่ยวกับทิศทางธุรกิจ AU ต่อไปนี้           ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ AU โดยมีราคาเป้าหมายที่ 11.50 บาท โดย AU รายงานการเติบโตของกำไรที่ +55% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน และ +15% จากไตรมาสก่อนหน้า ในไตรมาส 3/2567 เป็นจำนวน 81 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าการประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์ 10%           ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งนี้เกิดจากการเติบโตของ SSSG ที่ 4.5% ซึ่งได้รับแรงผลักดันจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่และการเพิ่มยอดขายในร้านสะดวกซื้อ ซึ่งเกิดจากการเพิ่มขึ้นของการรับประทานในร้านและการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงการขยายเครือข่ายสาขามาที่ 61 สาขาในไตรมาส 3/2567 ส่งผลให้ยอดขายของร้านขนมหวานอยู่ที่ 350 ล้านบาท (+17% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน , +4% จากไตรมาสก่อนหน้า)           และยอดขายที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างมากในร้านสะดวกซื้อ ส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้น +180% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน และ +170% จากไตรมาสก่อนหน้า เป็น 62 ล้านบาท และอัตรากำไรที่ดีกว่าที่คาด โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 65.4% ขณะเดียวกันอัตราส่วน SG&A ต่อยอดขายปรับดีขึ้นเป็น 41.8% ส่งผลให้มาร์จิ้นสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 19.5%           และกำไร 9 เดือนแรกปี 2567 คิดเป็น 79% ของประมาณการกำไรทั้งปีของฝ่ายวิเคราะห์ในปี 2567 ดังนั้น มี upside ต่อประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์ ซึ่งแสดงถึงความเสี่ยงในการปรับประมาณการขึ้น           คาดว่ากำไรในไตรมาส 4/2567 จะเติบโตทั้งจากช่วงเดียวกันกับปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า จากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ การเปิดร้านค้าเพิ่มเติมอีก 3 สาขาทำให้เครือข่ายขยายตัวเป็น 66 สาขา และยอดขายที่แข็งแกร่งในร้านสะดวกซื้อและช่องทางอื่นๆ นอกจากนี้ในไตรมาส 4/2564 AU มีความชัดเจนในด้านกำไรที่แข็งแกร่งซึ่งได้รับการสนับสนุนจากการวางตำแหน่งแบรนด์ที่มั่นคง การขยายช่องทางการขาย และการมีส่วนร่วมที่เพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวซึ่งคิดเป็น 30% ของรายได้กลุ่ม คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 11.50 บาท           ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินทิศทางธุรกิจของ AUว่า AU รายงานกำไรในไตรมาส 3/2567 ที่ 83 ล้านบาท (+54% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน และ +15% จากไตรมาสก่อนหน้า) ซึ่งเป็นสถิติกำไรสูงสุดรายไตรมาส โดยที่กำไรสูงกว่าประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์และ consensus ถึง 11% และ 8% ตามลำดับ ขณะที่ กำไรสุทธิใน 9 เดือนแรกปี 2567 คิดเป็น 80% ของประมาณการกำไรทั้งปีของฝ่ายวิเคราะห์ที่ 262 ล้านบาท           รายได้จากการขายเพิ่มขึ้นแข็งแกร่ง 27% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน และ 14% จากไตรมาสก่อนหน้า สู่ระดับสูงสุดที่ 428 ล้านบาท (เทียบกับคาดไว้ที่ 385 ล้านบาท) รายได้จากร้านขายขนมหวานและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 350 ล้านบาทด้วยอัตราการเติบโตของรายได้ในสาขาเดิม (same-store-sales growth : SSSG) อยู่ที่ 4.5% ในขณะที่สัดส่วนลูกค้าชาวต่างชาติพุ่งขึ้นอยู่ที่ 40.5% ในไตรมาสนี้จาก 31.0% ในไตรมาส 3/2566 และ 34.1% ในไตรมาส 2/2567 โดยมีสาเหตุหลักจากการซื้อสินค้าแบบซื้อกลับบ้านจากนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย           โดยที่สัดส่วนลูกค้าชาวต่างชาติยังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 20% ในช่วงก่อนโควิด ขณะที่ยอดขายสินค้านอกร้านขายขนมหวานพุ่งขึ้นอยู่ที่ 62 ล้านบาท (+180% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อนและ +170% จากไตรมาสก่อนหน้า) จากการเปิดตัวสินค้าใหม่ในร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven (ขนมปังเนยโสดและขนมปังชั้น) ในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ลดลง 0.6 ppts YoY และ 1.0 ppts QoQ อยู่ที่ 65.4% (เทียบกับคาดไว้ที่ 66.5%) เนื่องจากส่วนผสมของรายได้           โดยสัดส่วนรายได้นอกร้านขายขนมหวานที่มีอัตรากำไรต่ำเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ดี สัดส่วนค่าใช้จ่าย SG&A ต่อยอดขายก็ลดลงทั้งจากช่วงเดียวกันกับปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า อยู่ที่ 41.8% (เทียบกับคาดไว้ที่ 42.7%) จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นและบริษัทสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น           ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงให้คำแนะนำ “ซื้อ” โดยประเมินราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 12.10 บาท(อิงจาก PER ที่ 32x หรือ - 0.75SD) โดยที่ฝ่ายวิเคราะห์มองว่ากำไรของ AU ในไตรมาส 4/2567 น่าจะคงมีโมเมนตัมบวก ซึ่งทำให้มี upside ต่อประมาณการกำไรปี 2567           ขณะที่ ปัจจัยบวกต่าง ๆในไตรมาส 4/2567 ประกอบด้วย การเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 1-2 แห่งภายในประเทศ จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นซึ่งจะช่วยหนุนยอดขายร้านขายขนมหวานและการเปิดสาขาใหม่ในกัมพูชาในเดือนตุลาคมซึ่งได้ผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า

AU กำไรฉ่ำดีกว่าคาด โบรกแนะซื้อ ราคาเป้า 11.50 บ.

AU กำไรฉ่ำดีกว่าคาด โบรกแนะซื้อ ราคาเป้า 11.50 บ.

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.กรุงศรีคงคำแนะนำ "ซื้อ" สำหรับ AU โดยมีราคาเป้าหมายที่ 11.50 บาท (1) AU รายงานการเติบโตของกำไรที่ +55% yoy และ +15% qoq ใน 3Q24 เป็นจำนวน 81 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าการประมาณการของเรา 10% ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งนี้เกิดจากการเติบโตของ SSSG ที่ 4.5% ซึ่งได้รับแรงผลักดันจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่และการเพิ่มยอดขายในร้านสะดวกซื้อ (2) กำไร 9M24 คิดเป็น 79% ของประมาณการกำไรทั้งปีของเราในปี 2024F ดังนั้น มี upside ต่อประมาณการของเรา โดยเราคาดกำไรจะเติบโตทั้ง yoy และ qoq ใน 4Q24 (3) AU มีความชัดเจนในด้านกำไรที่แข็งแกร่งซึ่งได้รับการสนับสนุนจากการวางตำแหน่งแบรนด์ที่มั่นคง การขยายช่องทางการขาย และการมีส่วนร่วมที่เพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวซึ่งคิดเป็น 30% ของรายได้กลุ่ม 3Q24 กำไรเติบโตที่ +55% YoY และ +15% QoQ สู่ระดับ 81 ล้านบาท ดีกว่าคาด 10%            การเติบโตในกำไรนี้เกิดจากอัตรากำไรที่ดีขึ้น การเติบโตอย่างแข็งแกร่ง yoy และ qoq ได้รับการสนับสนุนจาก (i) SSSG ที่ 4.5% ซึ่งเกิดจากการเพิ่มขึ้นของการรับประทานในร้านและการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงการขยายเครือข่ายสาขามาที่ 61 สาขาใน 3Q24 ส่งผลให้ยอดขายของร้านขนมหวานอยู่ที่ 350 ล้านบาท (+17% yoy, +4% qoq); (ii) ยอดขายที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างมากในร้านสะดวกซื้อ ส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้น +180% yoy และ +170% qoq เป็น 62 ล้านบาท; และ (iii) อัตรากำไรที่ดีกว่าที่คาด โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 65.4% ขณะเดียวกันอัตราส่วน SG&A ต่อยอดขายปรับดีขึ้นเป็น 41.8% ส่งผลให้มาร์จิ้นสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 19.5% โอกาสในการปรับประมาณการให้สูงขึ้น และคาดว่ากำไรจะยังคงแข็งแกร่งใน 4Q24F            สำหรับ 9M24 กำไรอยู่ที่ 210 ล้านบาท (+61% yoy) ซึ่งคิดเป็น 79% ของประมาณการกำไรทั้งปีของเราที่ 267 ล้านบาท (+50% yoy) ซึ่งแสดงถึงความเสี่ยงในการปรับประมาณการขึ้น เราคาดว่ากำไรใน 4Q24F จะเติบโตทั้ง yoy และ qoq จากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ การเปิดร้านค้าเพิ่มเติมอีก 3 สาขาทำให้เครือข่ายขยายตัวเป็น 66 สาขา และยอดขายที่แข็งแกร่งในร้านสะดวกซื้อและช่องทางอื่นๆ คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 11.50 บาท (DCF)            ปัจจุบัน AU มีการซื้อขายที่ 29x PER ปี 2025 โดยคาดการณ์การเติบโตของกำไรที่ 15% YoY ใน FY25 AU สมควรที่จะซื้อขายที่ระดับพรีเมียม เนื่องจากการดำเนินงานคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ และส่งมอบ SSSG ที่เป็นบวกและมาร์จิ้นที่เหนือกว่าคู่แข่ง ความเสี่ยงหลัก ได้แก่ การเติบโตของรายได้ที่ช้ากว่าที่คาดและต้นทุนที่สูงเกินไป หมายเหตุ การวิเคราะห์ความไวของเราแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลง 1% ใน GPM จะส่งผลให้กำไร FY25F เปลี่ยนแปลงได้ 5%

AU ขนมหวานฮอต 9 เดือน กวาดกำไร210ล.

AU ขนมหวานฮอต 9 เดือน กวาดกำไร210ล.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/2567 มีรายได้ที่ 428 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนที่ 338 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% และ 9 เดือนแรกปี 2567 มีรายได้ 1,144 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน 900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27%           ขณะที่กำไรสุทธิไตรมาส 3/2567 ทำได้ 83 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน 54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% ส่วน 9 เดือนแรกปี 2567 มีกำไรสุทธิ 210 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน 131 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60% โดยมีสาขา ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 ที่ 61 สาขา เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนที่ 59 สาขา           โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้จากร้านขนมหวานและเครื่องดื่มที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม(SSSG) และยอดขายต่อบิลที่สูงขึ้น ประกอบกับจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีการเติบโตของยอดขายผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด (Modern Trade) โดยเฉพาะช่องทางร้านสะดวกซื้อ 7-11 ซึ่งเริ่มวางขายสินค้าในเดือนกรกฎาคม ปี2567 และในช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 บริษัทมีแผนขยายสาขาร้านอาฟเตอร์ ยู เพิ่มเติมรวมทั้งสิ้น 1-2 สาขา โดยบริษัทมุ่งเน้นการขยายสาขาไปยังพื้นที่ที่เป็นศูนย์กลางของนักท่องเที่ยว และย่านที่พักอาศัยที่มีกำลังซื้อและมีลูกค้าจำนวนมากเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น           นอกจากนี้บริษัทมีแผนรีแบรนด์ร้านกาแฟมิกก้าจาก Mikka Café เป็น Mikka Coffee Roasters เพื่อพัฒนา และส่งเสริมแบรนด์ในการต่อยอดให้มิกก้าเป็นผู้นำตลาด และครองใจลูกค้าอย่างยั่งยืน โดยการเพิ่มความหลากหลายของเมนู เพื่อให้ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่มมากยิ่งขึ้น           บริษัทมีแผนเปิดร้านภายใต้คอนเซ็ปต์ After You Dairy Farm ที่ร้านอาหาร Midwinter เขาใหญ่ ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2568 โดยเมนูเครื่อมดื่มบางเมนูเป็นการใช้ผลิตภัณฑ์ Grass Fed Milk จากร้าน Dairy Home และมีสินค้าพิเศษที่ขายในร้านได้แก่ Dairy Home Honeycomb และ Dairy Home Chocolate Malt

abs

Hoonvision

“After You” แบรนด์ไทยฮอต ติดเทรนด์ต่างแดน

“After You” แบรนด์ไทยฮอต ติดเทรนด์ต่างแดน

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด มองแนวโน้มธุรกิจ บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU  คาดผลประกอบการ Q3/67 โตต่อเนื่อง YoY แต่อ่อนตัว QoQ เล็กน้อยจากปัจจัยฤดูกาลโดย AU ได้โมเมนตัมบวกจากกำลังซื้อที่ฟื้นโตดี สะท้อน SSSG ช่วงเดือนก.ค.-ส.ค.ที่ผ่านมายังคงเติบโต 6-7% ส่วนเดือนก.ย. แม้มีฝนตกหนักกว่าปกติ แต่ได้แรงหนุนจากสาขาหาดใหญ่ที่มีชาวมาเลเซียเข้ามาซื้อสินค้ากลุ่มโทสต์จากกระแส Viral ทำให้ SSSG มีโอกาสพลิกกลับมา  Flat หรือเป็นบวกเล็กน้อย           อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการอาจอ่อนตัว QoQ จากปัจจัยฤดูกาล แต่คาดจะอ่อนตัวลงไม่มาก เนื่องจากการขยายช่องทางขายในร้าน 7-Eleven ที่เริ่มวางขาย “ขนมปังเนยโสด” เมื่อ 1 ก.ค. 67 ได้กระแสตอบรับค่อนข้างดีมาก โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตราว 10,000 ชิ้น/วัน เบื้องต้นคาดการณ์รายได้กลุ่มดังกล่าวราว 10-15 ลบ./เดือน มาช่วยหนุนผลประกอบการเพิ่มเติม นอกจากนี้ ช่วงเดือน ก.ย. มีการขยายสาขาใหม่ 1 แห่งที่เยาวราชซึ่งเป็นแหล่งของนักท่องเที่ยวและมีกำลังซื้อสูง           ฝ่ายวิเคราะห์ปรับคาดการณ์กำไรปี 67 เพิ่มราว 20% สู่ 268 ลบ. +50% YoY และปรับประมาณการรายได้ปี 67 เพิ่ม 6% สู่ 1,473 ลบ. +21% YoY หลังจากผลประกอบการครึ่งปีหลัง 67 คิดเป็น 57% ของประมาณการเดิม จากกำลังซื้อที่ฟื้นโตดี ประกอบกับกระแส Viral สินค้าแบรนด์ After You ในต่างประเทศ อาทิ อินโดนิเซีย และมาเลเซีย นอกจากนี้ ช่วง Q4/67 มีแผนขยายสาขาอีกราว 3 แห่ง และแฟรนไชส์ที่กัมพูชา 1 แห่ง ส่วนการขายสินค้าในร้าน 7-Eleven ยังคงได้กระแสตอบรับดีต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัทกำลังขยายลังผลิตเพิ่มจาก 10,000 ชิ้น/วัน สู่ 20,000 ชิ้น/วัน และหากแล้วเสร็จคาดจะมีการเพิ่มรายการสินค้าใหม่ๆวางขายเพิ่มเติม           คงคำแนะนำ “ซื้อ” และปรับราคาเหมาะสมเพิ่มสู่ 13.50 บาท อัพไซต์ 42% ปรับราคาเหมาะสมของ AU เพิ่มขึ้นสู่ 13.50 บาท (จากเดิม 11.70 บาท) จากคาดการณ์กำไรใหม่ที่เพิ่มขึ้น โดยฝ่ายวิเคราะห์คงประเมินราคาเหมาะสมด้วยวิธี Discounted Cash Flow (DCF) บนสมมติฐาน WACC 8% และ Terminal Growth 3% โดยแม้ปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขายที่ PE 34x สูงกว่ากลุ่มที่ราว 25x (PE: M = 16x, ZEN = 24x, MAGURO = 33x)           อย่างไรก็ตาม PE ปรับตัวลงมาจากที่เคยขึ้นไปสูงสุดกว่า 100x และบริษัทมีศักยภาพการเติบโตต่อเนื่องในช่วง 4-5 ปีจากนี้ราว 10-20% ต่อปี จากแผนการขยายสาขา ขายแฟรนไชส์ การวางขายสินค้าใน Modern Trade ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ได้รับกระแสนิยมทุกปี  โดยราคาหุ้นมีอัพไซต์จากราคาปัจจุบันราว 42% จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

พฤอา
311234567891011121314151617181920212223242526272829301234567891011