#AU


AU กำไรเดินหน้าทุบสถิติ โบรกอัพเป้าผลงานปี 68 เคาะพิกัด 12.20 บ.

AU กำไรเดินหน้าทุบสถิติ โบรกอัพเป้าผลงานปี 68 เคาะพิกัด 12.20 บ.

        หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง AU ว่ากำไรจะยังทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องในปีหน้า รายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่ร้านขายขนมหวาน (non-café) โตก้าวกระโดดจากช่องทางการขายใหม่ ๆรายได้จากการขายกลุ่ม non-café จะเป็นปัจจัยหลักขับเคลื่อนการเติบโตใน 4Q67F- ปี 2568F เนื่องจากAU ขยายช่องทางการขายใหม่ ๆ โดยที่มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ช่วยกระตุ้นยอดขายในกลุ่มนี้พุ่งขึ้นถึง 180% YoY และ 170% QoQ อยู่ที่ 62 ล้านบาทใน 3Q67 นอกจากนี้ AU ยังได้รับคำสั่งซื้อ (8 เดือน ช่วงวันที่ 1 ตุลาคม 2567 - 31 พฤษภาคม 2568) จากการบินไทยให้จัดหาขนมปังเนยโสด (butter bun) สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศและเที่ยวบินขาออกไปยังจีน ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม และญี่ปุ่น ทั้งนี้ คาดว่ายอดขายจากทั้งสองช่องทางใหม่นี้จะทำให้ยอดขายในกลุ่ม non-café พุ่งขึ้น 132% อยู่ที่ 195 ล้านบาทในปี 2567F และเพิ่มขึ้นอีก 53% อยู่ที่ 298 ล้านบาทในปี 2568F อีกหนึ่งปัจจัยหนุนมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น โดยสัดส่วนยอดขายจากลูกค้าต่างชาติของ AU เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ 40.5% ใน 3Q67 จากเดิมเพียง 20% ช่วงก่อนโควิด-19 โดยที่ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองเชิงบวกต่อการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนลูกค้านี้เนื่องจากการเติบโตของลูกค้านักท่องเที่ยวช่วยหนุนการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (same store sales growth: SSSG) เป็นเลขสองหลักใน 9M67 ในขณะที่อุปสงค์ในประเทศค่อนข้างชะลอตัว ในส่วนของ SSSG ที่สูงกว่าคาดยังช่วยชดเชยการเปิดสาขาใหม่ที่ค่อนข้างช้าในปี 2567F อยู่ที่ 63 สาขาจาก 61 สาขาในปี 2566 ทั้งนี้ คาดรายได้จากร้านขายขนมหวาน (dessert café) จะเติบโต 26% YoY ในปี 2567F และ 13% ในปี 2568Fปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2567F ขึ้น 14% และปี 2568F ขึ้น 12% คาดว่ากำไรใน 4Q67F ของ AU จะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากยอดขายกลุ่ม non-café ที่สูงขึ้นเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยว และคาดจะเปิดร้านขายขนมหวานใหม่สองสาขา เมื่อรวมยอดขายกลุ่ม non-caféที่สูงขึ้น ฝ่ายวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มประมาณการรายได้จากยอดขายขึ้น 9% ในปี 2567F และ 15% ในปี 2568F ซึ่งส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิใหม่เพิ่มขึ้น 14% อยู่ที่ 300 ล้านบาท (+69% YoY) ในปี 2567F และ 12% อยู่ที่ 342 ล้านบาท (+14% YoY) ในปี 2568F ทั้งนี้ เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของธุรกิจกลุ่ม non-café ต่ำกว่ากลุ่มธุรกิจร้านขายขนมหวานและการคาดว่าอาจมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปีหน้า ฝ่ายวิเคราะห์จึงปรับลด GPM ลง 0.8ppts อยู่ที่ 65.5% ในปี 2567F และ 3.6ppts อยู่ที่ 63.0% ในปี 2568F Valuation & action ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 2568 ขึ้นเล็กน้อยที่ 12.20 บาท (อิงจาก PER ที่ 29x หรือ -1.0 S.D.) จากเดิม 12.10 บาท (PER ที่ 32x)

ธุรกิจอาหาร 6.57แสนล. AU ฮอต! ขนมหวานติดตลาด

ธุรกิจอาหาร 6.57แสนล. AU ฮอต! ขนมหวานติดตลาด

          หุ้นวิชั่น - KResearch คาดมูลค่าคลาดธุรกิจร้านอาหาร เครื่องดื่มปี 68 ที่ 6.57 แสนล้าน โต 4.6% ชี้ท่องเที่ยวในประเทศหนุน "อาฟเตอร์ ยู" ติดโผ หุ้นเด่น ฮอตขนมหวานติดตลาด ใส่เกียร์ขยายสาขา ขายแฟรนไชส์ทำเงิน แนะ “ซื้อ” เป้า 12.50 บาท           ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) ระบุว่า แนวโน้มธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจร้านอาหารและร้านเครื่องดื่มในปี 2568 คาดมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 657,000 ล้านบาท เติบโต 4.6% จากปี 2567 จากภาคการท่องเที่ยวในประเทศที่ยังเติบโต การขยายสาขาของผู้ประกอบการไปยังภูมิภาค รวมถึงไลฟ์ สไตล์ของผู้บริโภคและความต้องการอาหารและเครื่องดื่มใหม่ที่เพิ่มขึ้นช่วยหนุนการเติบโตของตลาด แต่ธุรกิจมีการแข่งขันสูงทำให้การลงทุนยังต้องระวัง           ธุรกิจร้านอาหารในปี 2568 คาดมูลค่าตลาดอยู่ที่ 572,000 ล้านบาท เติบโต 4.8% จากปี 2567 กลุ่มร้านอาหารข้างทาง (Street Food) มีอัตราการเติบโตดีกว่ากลุ่มอื่น เนื่องจากได้รับความนิยมจากคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะที่ธุรกิจร้านเครื่องดื่ม (รวมร้านเบเกอรี่และไอศกรีม) ในปี 2568 คาดมูลค่าตลาดอยู่ที่ 85,320 ล้านบาท เติบโต 3.2% จากปี 2567           แนวโน้มธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มในประเทศ ในปี 2568 คาดว่า ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 657,000 ล้านบาท เติบโต 4.6% แต่เป็นอัตราการเติบโตที่ชะลอตัวจากปี 2567           การเติบโตของธุรกิจได้รับปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากภาคการท่องเที่ยวทั้งการเดินทางท่องเที่ยวคนไทยและชาวต่างชาติที่คาดว่ายังเติบโตต่อเนื่องจากปี 2567 โดยการท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism) เป็นที่นิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติกอปรกับไทยมีร้านอาหารที่ติดอยู่ในมิชลินไกด์ กว่า 482 ร้านอาหาร จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพบว่า การใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่มของนักท่องเที่ยวมีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 2 ของการใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวทั้งหมด           นอกจากนี้การเติบโตของมูลค่าตลาดยังเป็นผลมาจากราคาที่ปรับสูงขึ้นตามภาวะแนวโน้มต้นทุนทางธุรกิจที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมไปถึงการขยายสาขาของผู้ประกอบการและกลยุทธ์การตลาดกระตุ้นให้รายได้ต่อครั้งการสั่งอาหารเพิ่มขึ้น การแข่งขันของธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม           ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มในประเทศมีการแข่งขันรุนแรงในทุกระดับราคาและประเภทของอาหาร ประเทศไทยมีความหนาแน่นของร้านอาหารต่อประชากรอยู่ที่ 9.6 ร้านต่อประชากร 1,000 คน ซึ่งนับว่าเป็นอัตราส่วนที่สูง โดยในปี 2568 คาดว่าร้านอาหารและเครื่องดื่มจะมีจำนวนประมาณ 6.9 แสนร้าน ในปี 2568 ผู้ประกอบการรายใหม่ทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่และผู้ประกอบรายเล็ก (บุคคล) ยังให้ความสนใจเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ประกอบการในตลาดมีแผนที่จะขยายสาขาในกลุ่มแบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มเดิม รวมถึงการเปิดแบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มใหม่ครอบคลุมทุกเช็กเม้นท์ของตลาด และส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มร้านอาหารเอเชีย           นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของจำนวนร้านอาหารและเครื่องดื่มยังมาจากแนวโน้มการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ อาทิ ห้างสรรพสินค้า และอาคารสำนักงานเปิดใหม่เป็นปัจจัยสนับสนุนจำนวนร้านอาหารเพิ่มขึ้นเช่นกัน ทิศทางลงทุนของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดที่มีกิจกรรมการท่องเที่ยวสูง อาทิ ชลบุรี เชียงใหม่และสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ศักยภาพ โดยจำนวนร้านอาหารและเครื่องดื่มในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 24% ของจำนวนร้านอาหารและเครื่องดื่มทั่วประเทศ           นอกจากนี้ การแข่งขันในธุรกิจยังมาจากการเข้ามาลงทุนของชาวต่างชาติ โดยในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มยังได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในธุรกิจมากขึ้นสะท้อนได้จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า มูลค่าทุนจดทะเบียนร้านอาหารและเครื่องดื่มจำแนกตามสัญชาติเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ต้นปี 2567 กลุ่มร้านอาหารและเครื่องดื่มจากจีนมีมูลค่าการลงทุนที่เร่งตัวขึ้น และแนวโน้มการเข้ามาลงทุนน่าจะเพิ่มสูงขึ้น           ทั้งนี้การแข่งขันในธุรกิจที่รุนแรงก็ทำให้เกิดการหมุนเวียนเปิด-ปิดกิจการของผู้ประกอบการใหม่และเก่าเป็นจำนวนไม่น้อยเช่นกัน สะท้อนจากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า ร้านอาหารปิดตัวเร่งขึ้นโดยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ร้านอาหารมีการจดทะเบียนยกเลิกธุรกิจสูงถึง 89% (YoY) ขณะที่การเปิดตัวใหม่ไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แนวโน้มธุรกิจร้านอาหาร           ในปี 2568 คาดว่า มูลค่าตลาดร้านอาหาร (รวมร้านอาหารประเภทร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ ร้านอาหารที่ให้บริการจำกัด และร้านอาหารข้างทางหรือ Street Food ที่มีหน้าร้าน) จะมีมูลค่ารวมประมาณ 572,000 ล้านบาท เติบโต 4.8% จากปี 2567           การเติบโตของร้านอาหารแต่ละรูปแบบมีปัจจัยเฉพาะที่ต่างกัน อาทิ ทำเลที่ตั้งของร้าน ความหนาแน่นของร้านอาหารทั้งที่เป็นประเภทเดียวกันและต่างกันในแต่ละพื้นที่ รวมถึงราคา คุณภาพ/รสชาติของอาหาร และการให้บริการ รวมไปถึงเทรนด์การบริโภคของผู้บริโภค การนำเสนอเมนูใหม่ๆ และมีเอกลักษณ์ก็มีผลต่อการเติบโตของร้านอาหาร - ร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ (Full Service Restaurants) คาดว่าจะเติบโต 2.9%จากปี 2567 หรือมีมูลค่า 213,000 ล้านบาท โดยร้านอาหารประเภทบุฟเฟต์ยังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคที่มองเรื่องความคุ้มค่าและไลฟ์ สไตล์ที่เปลี่ยนไป สำหรับกลุ่มร้านอาหารประเภทอะลาคาร์ท (A La Carte)อย่างกลุ่ม Casual Dining อาทิ ร้านอาหารญี่ปุ่น เกาหลี ไทย และตะวันตก ในกลุ่มราคาระดับกลางจะเจอกับความท้าทายจากกำลังซื้อและการแข่งขันจากร้านที่เปิดให้บริการจ านวนมาก - ร้านอาหารที่ให้บริการ จำกัด (Limited Service Restaurants) คาดว่าจะเติบโต 3.8% จากปี 2567 หรือมีมูลค่า 93,000 ล้านบาท การขยายตัวจะมาจากการขยายสาขาของผู้ประกอบการอย่างกลุ่มพิซซ่า และไก่ทอด และจากผู้ประกอบการที่ให้บริการในรูปแบบ Full Service ได้ปรับรูปแบบร้านอาหารมาเป็นแบบ Quick service มากขึ้น เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่ายขึ้นและเป็นการลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจ - ร้านอาหารข้างทาง (Street Food) ที่มีหน้าร้าน คาดว่าจะเติบโต 6.8% จากปี 2567 หรือมีมูลค่า 266,000 ล้านบาท เนื่องจากเป็นเมนูพื้นฐานที่เข้าถึงได้ง่ายและราคาไม่สูง ทำให้ร้านอาหารกลุ่มนี้ยังขยายตัวดีกอปรกับร้านอาหารแนว Street Food ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวไทยและชาวต่างชาติ แนวโน้มธุรกิจร้านเครื่องดื่ม           ในปี 2568 คาดว่า มูลค่าตลาดร้านเครื่องดื่ม (รวมร้านเบเกอรี่และไอศกรีม) จะมีมูลค่ารวมประมาณ 85,320 ล้านบาท เติบโต 3.2% จากปี 2567 การเติบโตส่วนหนึ่งมาจากการขยายสาขาของผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่ และผู้ประกอบการรายเล็ก (บุคคล) ยังมีการเปิดร้านใหม่ รวมถึงการขยายแฟรนไชส์ร้านเครื่องดื่มของชาวต่างชาติที่น่าจะเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยมากขึ้น นอกจากนี้เครื่องดื่มและเบเกอรี่ใหม่ๆจากต่างประเทศที่เข้ามาทำตลาด มีส่วนกระตุ้นความต้องการบริโภคเครื่องดื่มและเบเกอรี่มากขึ้น ความเสี่ยงของธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม • กำลังซื้อของผู้บริโภคยังฟื้นไม่เต็มที่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม โดยแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งสร้างความเสี่ยงต่อภาวะการมีงานทำและกำลังซื้อของผู้บริโภค • ต้นทุนการดำเนินธุรกิจมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในปี 2568 ต้นทุนรอบด้านของธุรกิจร้านอาหารมีแนวโน้มสูงขึ้น ทั้งค่าสาธารณูปโภคและค่าเช่า รวมถึงต้นทุนสำคัญ ได้แก่ - ต้นทุนค่าแรง โดยผู้ประกอบการยังต้องติดตามนโยบายของภาครัฐในการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในปี 2568ซึ่งคงจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก - ต้นทุนวัตถุดิบอาหารซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญของธุรกิจร้านอาหารคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของต้นทุนธุรกิจ ด้วยสภาวะอากาศที่ไม่ปกติเกิดขึ้นในหลายประเทศทำให้ราคาวัตถุดิบอาจปรับขึ้นได้โดยเฉพาะกลุ่มวัตถุดิบนำเข้าอย่างนมผง เนย ชีส โกโก้ และแป้งสาลี โดยราคาซื้อขายล่วงหน้าในปี 2568 ยังทรงตัวสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนในกลุ่มร้านเบเกอรี่และอาหารตะวันตกค่อนข้างมาก • พฤติกรรมของผู้บริโภคที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของธุรกิจบริการโดย “ความแปลกใหม่+ประสบการณ์+สุขภาพ+ราคาสมเหตุสมผล” ได้กลายมาเป็นมาตรฐานใหม่ของผู้บริโภคในปัจจุบัน และเทรนด์ความต้องการของผู้บริโภคที่ไม่ได้มีรูปแบบตายตัว ความจงรักภักดีต่อแบรนด์ต่ำและเปลี่ยนแปลงตามกระแสอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับรูปแบบธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว           ขณะที่ นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ได้เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ธุรกิจร้านอาหารที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่น่าสนใจ ได้แก่ บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU จากแผนการขยายสาขา ขายแฟรนไชส์ การวางขายสินค้าใน Modern Trade ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ได้รับกระแสนิยมทุกปี อีกทั้ง 9 เดือนแรกปี 2567 AU สามารถทำยอดขายได้ถึง 210.22 ล้านบาท           ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด AU ในไตรมาส 4/2567 บริษัทจะยังคงเติบโต YoY, QoQ จากการขยายรายได้ในทุกช่องทาง ได้แก่ รักษา SSSG ที่เป็นบวก (เทียบกับ 4.5% ใน ไตรมาส 3/2567) และขยายสาขาเพิ่ม 1-2 แห่ง เป็น 63 สาขาในปี 2567           โดยมีเป้าหมายเพิ่มอีก 10 สาขาในปี 2568 รายได้จากการขายสินค้า AU ขยายการขายใน 7-Eleven เพื่อให้ครอบคลุม 14,000 สาขาภายในต้นปี 2568 (จากปัจจุบันที่ 8,000 สาขา) รวมถึงการจับมือกับการบินไทยในการจำหน่ายขนมปังของ After You ในเที่ยวบินตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2024 ถึง 31 พฤษภาคม 2025 และวางแผนขยายฐานลูกค้า OEM เพื่อเพิ่มสัดส่วนช่องทางนี้จากปัจจุบัน 13% ในไตรมาส 3/2567 ฝ่ายวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2567-2569 ขึ้น 9-14% การปรับเพิ่มนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขาย 4-7% ซึ่งขับเคลื่อนโดยยอดขายสำหรับร้านขนมหวานที่เติบโตกว่าคาด และการขยายช่องทางการขายสินค้าผ่านช่องทางต่างๆ เช่น 7-Eleven และสายการบินไทย           อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น (65.5% ในปี 2567, 64.7% ในปี 2568-2569) เนื่องจากประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้นและผลประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด ดังนั้นคาดว่าอัตรากำไรสุทธิจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 18.4% ในปี 2567-2569 เพิ่มขึ้นจาก 14.6% ในปี 2566           คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายใหม่ 12.50 บาท (DCF) ด้วยราคาเป้าหมายที่ปรับขึ้นเป็น 12.50 บาท (จากเดิม 11.50 บาท) อิงจาก DCF โดยสมมติฐาน Rf 2.5%, RPM 8% และ Beta 0.9 ซึ่งเทียบเท่ากับ 29 เท่า PER ปี 2024F และ PEG ที่ 1.5 เท่า โดยพิจารณาจากการเติบโตกำไร 19% YoY ที่มา https://www.settrade.com/th/research/businessanalysis

บล.กรุงศรีเสิร์ฟเป้าใหม่ AU 12.50 บ.ผุดสาขาใหม่อัพยอด

บล.กรุงศรีเสิร์ฟเป้าใหม่ AU 12.50 บ.ผุดสาขาใหม่อัพยอด

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาดบริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU 4Q24 บริษัทจะยังคงเติบโต YoY, QoQ จากการขยายรายได้ในทุกช่องทาง ได้แก่ รักษา SSSG ที่เป็นบวก (เทียบกับ 4.5% ใน 3Q24) และขยายสาขาเพิ่ม 1-2 แห่ง เป็น 63 สาขาในปี 2024F โดยมีเป้าหมายเพิ่มอีก 10 สาขาในปี 2025F รายได้จากการขายสินค้า AU ขยายการขายใน 7-Eleven เพื่อให้ครอบคลุม 14,000 สาขาภายในต้นปี 2025F (จากปัจจุบันที่ 8,000 สาขา) รวมถึงการจับมือกับการบินไทยในการจำหน่ายขนมปังของ After You ในเที่ยวบินตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2024 ถึง 31 พฤษภาคม 2025 และวางแผนขยายฐานลูกค้า OEM เพื่อเพิ่มสัดส่วนช่องทางนี้จากปัจจุบัน 13% ใน 3Q24 แม้อัตรากำไรขั้นต้นจะลดลงเล็กน้อยเป็น 65.4% ใน 3Q24 (จาก 66.4% ใน 2Q24) เนื่องจากอัตรากำไรที่ต่ำลงจากการขายในร้านสะดวกซื้อ แต่บริษัทยังคงบันทึกอัตรากำไรสุทธิสูงสุดที่ 19.5% อันเป็นผลมาจากการประหยัดต่อขนาดและค่าใช้จ่ายในการขาย บริหาร และทั่วไป (SG&A) ที่ลดลงเมื่อเทียบกับยอดขายที่ปรับขึ้น ปรับเพิ่มประมาณการผลประกอบการสะท้อนรายได้และมาร์จิ้นที่ดีกว่าคาด จากผลประกอบการ 3Q24 ที่ดีกว่าที่คาดไว้ 10%           เราจึงได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี FY24-26F ขึ้น 9-14% การปรับเพิ่มนี้สะท้อนให้เห็นถึง (i) การเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขาย 4-7% ซึ่งขับเคลื่อนโดยยอดขายสำหรับร้านขนมหวานที่เติบโตกว่าคาด และการขยายช่องทางการขายสินค้าผ่านช่องทางต่างๆ เช่น 7-Eleven และสายการบินไทย (ii) อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น (65.5% ในปี FY24F, 64.7% ในปี FY25-26F) เนื่องจากประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้นและผลประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด ดังนั้น เราคาดว่าอัตรากำไรสุทธิจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 18.4% ในปี FY24-26F เพิ่มขึ้นจาก 14.6% ในปี 2023           คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายใหม่ 12.50 บาท (DCF) ด้วยราคาเป้าหมายที่ปรับขึ้นเป็น 12.50 บาท (จากเดิม 11.50 บาท) อิงจาก DCF โดยสมมติฐาน Rf 2.5%, RPM 8% และ Beta 0.9 ซึ่งเทียบเท่ากับ 29 เท่า PER ปี 2024F และ PEG ที่ 1.5 เท่า โดยพิจารณาจากการเติบโตกำไร 19% YoY

MAGURO-AUเสิร์ฟกำไรล้นเต็มคำ

MAGURO-AUเสิร์ฟกำไรล้นเต็มคำ

หุ้นอาหารไซส์มินิ เสิร์ฟกำไรแน่น MAGURO กวาดกำไร 9 เดือน 62.4 ล้านบาท เร่งขยายสาขาทำเงิน ล่าสุดเปิดแบรนด์ใหม่ “CouCou” อัพยอด ฟาก AU ปั๊มเงินเข้าพอร์ตแล้ว 210 ล้านบาท โบรกคาดนักท่องเที่ยวหนุนยอดขนมหวาน ชูพิกัด12.10 บาท          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) อุตสาหกรรมอาหาร ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/2567 เติบโตดี โดย บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO บริษัทมีกำไรสุทธิ 29.3 ล้านบาท เติบโต 54.2% ขณะที่ 9 เดือนแรกปี 2567 มีกำไรสุทธิ 62.4 ล้านบาท เติบโต 6.2% ทั้งนี้ MAGURO มีรายได้รวม ในไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ 355.7 ล้านบาท เติบโต 33.2% และ 9 เดือนแรกปี 2567 ทำได้ 973.7 ล้านบาท เติบโต 26.8%          กําไรสุทธิของบริษัทสําหรับ 9 เดือนของปี 2567 ได้รวมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (One-time expenses) จํานวน 7.1 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการนําบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หากไม่นับรว, ค่าใช้จ่ายนี้ บริษัทจะมีกําไรสุทธิสําหรับ 9 เดือนของปี 2567 อยู่ที่ 68.0ล้านบาท หรืออัตรากําไรสุทธิ7.0% (บนสมมติฐานอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล 20%)          MAGURO ได้เปิดตัวโครงการ The Flavorhood ตั้งอยู่บนประดิษฐ์มนูธรรม บนพื้นที่ 2 ไร่ ที่ประกอบไปด้วย 3 ร้านอาหารในเครือ MAGURO ที่มีการตกแต่งผสมผสานระหว่างความร่วมสมัย แต่ยังคง กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น รวมถึงสวนในโครงการที่มีทั้งรูปแบบ Japanese Garden และ Modern Tropical Garden          ล่าสุด MAGURO เปิดตัวแบรนด์ล่าสุด  ลำดับที่ 5 “CouCou” (คุคูว์) ร้านอาหารรูปแบบ All-Day Dining สไตล์ตะวันตก ณ The Flavorhood ประดิษฐ์มนูธรรม เจาะกลุ่มลูกค้าผู้ที่ชื่นชอบการรับประทานอาหารแบบ All-Day Dining ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับ ปีใหม่ เป็นแบรนด์สุดท้ายของปีนี้ ปัจจุบัน MAGURO Group มีร้านอาหารในเครือ รวมทั้งหมด 35 ร้านจาก 3 แบรนด์ คือ 1.) MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิสไตล์ระดับพรีเมียม 18 ร้าน 2.) SSAMTHING TOGETHER ร้านปิ้งย่างสไตล์เกาหลี วัตถุดิบพรีเมียม 6 ร้าน 3.) HITORI SHABU ร้านชาบูและสุกียากี้ หม้อเดี่ยวสไตล์คันไซ 11 ร้าน รวมถึงรูปแบบ Specialty เรื่อง Suki ภายใต้ชื่อแบรนด์ HITORI SUKIYAKI ร้านสุกียากี้คันไซแบบดั้งเดิมใน รูปแบบ Authentic Japanese Sukiyaki Course ในรูปแบบ Stand Alone ซึ่งเปิดสาขาแรกที่เอกมัย 12 ไป เมื่อกลางเดือน กรกฎาคมที่ผ่านมา ขณะที่ บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU ไตรมาส 3/2567  มีรายได้ที่ 428 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนที่ 338 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% และ 9 เดือนแรกปี 2567 มีรายได้ 1,144 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน 900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27%  กำไรสุทธิไตรมาส 3/2567 ทำได้ 83 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน 54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% ส่วน 9 เดือนแรกปี 2567 มีกำไรสุทธิ 210 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน 131 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60% โดยมีสาขา ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 ที่ 61 สาขา เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนที่ 59 สาขา ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ AU โดยมีราคาเป้าหมายที่ 11.50 บาท โดย AU รายงานการเติบโตของกำไรที่ +55% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน และ +15% จากไตรมาสก่อนหน้า ในไตรมาส 3/2567 เป็นจำนวน 81 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าการประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์ 10% คาดว่ากำไรในไตรมาส 4/2567 จะเติบโตทั้งจากช่วงเดียวกันกับปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า จากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ การเปิดร้านค้าเพิ่มเติมอีก 3 สาขาทำให้เครือข่ายขยายตัวเป็น 66 สาขา และยอดขายที่แข็งแกร่งในร้านสะดวกซื้อและช่องทางอื่นๆ นอกจากนี้ในไตรมาส 4/2564 AU มีความชัดเจนในด้านกำไรที่แข็งแกร่งซึ่งได้รับการสนับสนุนจากการวางตำแหน่งแบรนด์ที่มั่นคง การขยายช่องทางการขาย และการมีส่วนร่วมที่เพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวซึ่งคิดเป็น 30% ของรายได้กลุ่ม คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 11.50 บาท ส่วน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินทิศทางธุรกิจของ AUว่า AU รายงานกำไรในไตรมาส 3/2567 ที่ 83 ล้านบาท (+54% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน และ +15% จากไตรมาสก่อนหน้า) ซึ่งเป็นสถิติกำไรสูงสุดรายไตรมาส โดยที่กำไรสูงกว่าประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์และ consensus ถึง 11% และ 8% ตามลำดับ ขณะที่ กำไรสุทธิใน 9 เดือนแรกปี 2567 คิดเป็น 80% ของประมาณการกำไรทั้งปีของฝ่ายวิเคราะห์ที่ 262 ล้านบาท ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงให้คำแนะนำ “ซื้อ” โดยประเมินราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 12.10 บาท (อิงจาก PER ที่ 32x หรือ – 0.75SD) โดยที่ฝ่ายวิเคราะห์มองว่ากำไรของ AU ในไตรมาส 4/2567 น่าจะคงมีโมเมนตัมบวก ซึ่งทำให้มี upside ต่อประมาณการกำไรปี 2567 ขณะที่ ปัจจัยบวกต่าง ๆในไตรมาส 4/2567 ประกอบด้วย การเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 1-2 แห่งภายในประเทศ จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นซึ่งจะช่วยหนุนยอดขายร้านขายขนมหวานและการเปิดสาขาใหม่ในกัมพูชาในเดือนตุลาคมซึ่งได้ผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

"อาฟเตอร์ ยู" กำไร 9 เดือน 210ล. จับกระแสความหวาน เป้า 12.10บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน หลังจาก บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/2567  มีรายได้ที่ 428 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนที่ 338 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% และ 9 เดือนแรกปี 2567 มีรายได้ 1,144 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน 900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27%           ขณะที่กำไรสุทธิไตรมาส 3/2567 ทำได้ 83 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน 54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% ส่วน 9 เดือนแรกปี 2567 มีกำไรสุทธิ 210 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน 131 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60% โดยมีสาขา ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 ที่ 61 สาขา เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนที่ 59 สาขา           และมีนักวิเคราะห์ออกบทวิเคราะห์เกี่ยวกับทิศทางธุรกิจ AU ต่อไปนี้           ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ AU โดยมีราคาเป้าหมายที่ 11.50 บาท โดย AU รายงานการเติบโตของกำไรที่ +55% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน และ +15% จากไตรมาสก่อนหน้า ในไตรมาส 3/2567 เป็นจำนวน 81 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าการประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์ 10%           ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งนี้เกิดจากการเติบโตของ SSSG ที่ 4.5% ซึ่งได้รับแรงผลักดันจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่และการเพิ่มยอดขายในร้านสะดวกซื้อ ซึ่งเกิดจากการเพิ่มขึ้นของการรับประทานในร้านและการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงการขยายเครือข่ายสาขามาที่ 61 สาขาในไตรมาส 3/2567 ส่งผลให้ยอดขายของร้านขนมหวานอยู่ที่ 350 ล้านบาท (+17% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน , +4% จากไตรมาสก่อนหน้า)           และยอดขายที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างมากในร้านสะดวกซื้อ ส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้น +180% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน และ +170% จากไตรมาสก่อนหน้า เป็น 62 ล้านบาท และอัตรากำไรที่ดีกว่าที่คาด โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 65.4% ขณะเดียวกันอัตราส่วน SG&A ต่อยอดขายปรับดีขึ้นเป็น 41.8% ส่งผลให้มาร์จิ้นสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 19.5%           และกำไร 9 เดือนแรกปี 2567 คิดเป็น 79% ของประมาณการกำไรทั้งปีของฝ่ายวิเคราะห์ในปี 2567 ดังนั้น มี upside ต่อประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์ ซึ่งแสดงถึงความเสี่ยงในการปรับประมาณการขึ้น           คาดว่ากำไรในไตรมาส 4/2567 จะเติบโตทั้งจากช่วงเดียวกันกับปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า จากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ การเปิดร้านค้าเพิ่มเติมอีก 3 สาขาทำให้เครือข่ายขยายตัวเป็น 66 สาขา และยอดขายที่แข็งแกร่งในร้านสะดวกซื้อและช่องทางอื่นๆ นอกจากนี้ในไตรมาส 4/2564 AU มีความชัดเจนในด้านกำไรที่แข็งแกร่งซึ่งได้รับการสนับสนุนจากการวางตำแหน่งแบรนด์ที่มั่นคง การขยายช่องทางการขาย และการมีส่วนร่วมที่เพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวซึ่งคิดเป็น 30% ของรายได้กลุ่ม คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 11.50 บาท           ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินทิศทางธุรกิจของ AUว่า AU รายงานกำไรในไตรมาส 3/2567 ที่ 83 ล้านบาท (+54% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน และ +15% จากไตรมาสก่อนหน้า) ซึ่งเป็นสถิติกำไรสูงสุดรายไตรมาส โดยที่กำไรสูงกว่าประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์และ consensus ถึง 11% และ 8% ตามลำดับ ขณะที่ กำไรสุทธิใน 9 เดือนแรกปี 2567 คิดเป็น 80% ของประมาณการกำไรทั้งปีของฝ่ายวิเคราะห์ที่ 262 ล้านบาท           รายได้จากการขายเพิ่มขึ้นแข็งแกร่ง 27% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน และ 14% จากไตรมาสก่อนหน้า สู่ระดับสูงสุดที่ 428 ล้านบาท (เทียบกับคาดไว้ที่ 385 ล้านบาท) รายได้จากร้านขายขนมหวานและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 350 ล้านบาทด้วยอัตราการเติบโตของรายได้ในสาขาเดิม (same-store-sales growth : SSSG) อยู่ที่ 4.5% ในขณะที่สัดส่วนลูกค้าชาวต่างชาติพุ่งขึ้นอยู่ที่ 40.5% ในไตรมาสนี้จาก 31.0% ในไตรมาส 3/2566 และ 34.1% ในไตรมาส 2/2567 โดยมีสาเหตุหลักจากการซื้อสินค้าแบบซื้อกลับบ้านจากนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย           โดยที่สัดส่วนลูกค้าชาวต่างชาติยังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 20% ในช่วงก่อนโควิด ขณะที่ยอดขายสินค้านอกร้านขายขนมหวานพุ่งขึ้นอยู่ที่ 62 ล้านบาท (+180% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อนและ +170% จากไตรมาสก่อนหน้า) จากการเปิดตัวสินค้าใหม่ในร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven (ขนมปังเนยโสดและขนมปังชั้น) ในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ลดลง 0.6 ppts YoY และ 1.0 ppts QoQ อยู่ที่ 65.4% (เทียบกับคาดไว้ที่ 66.5%) เนื่องจากส่วนผสมของรายได้           โดยสัดส่วนรายได้นอกร้านขายขนมหวานที่มีอัตรากำไรต่ำเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ดี สัดส่วนค่าใช้จ่าย SG&A ต่อยอดขายก็ลดลงทั้งจากช่วงเดียวกันกับปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า อยู่ที่ 41.8% (เทียบกับคาดไว้ที่ 42.7%) จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นและบริษัทสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น           ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงให้คำแนะนำ “ซื้อ” โดยประเมินราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 12.10 บาท(อิงจาก PER ที่ 32x หรือ - 0.75SD) โดยที่ฝ่ายวิเคราะห์มองว่ากำไรของ AU ในไตรมาส 4/2567 น่าจะคงมีโมเมนตัมบวก ซึ่งทำให้มี upside ต่อประมาณการกำไรปี 2567           ขณะที่ ปัจจัยบวกต่าง ๆในไตรมาส 4/2567 ประกอบด้วย การเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 1-2 แห่งภายในประเทศ จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นซึ่งจะช่วยหนุนยอดขายร้านขายขนมหวานและการเปิดสาขาใหม่ในกัมพูชาในเดือนตุลาคมซึ่งได้ผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า

AU กำไรฉ่ำดีกว่าคาด โบรกแนะซื้อ ราคาเป้า 11.50 บ.

AU กำไรฉ่ำดีกว่าคาด โบรกแนะซื้อ ราคาเป้า 11.50 บ.

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.กรุงศรีคงคำแนะนำ "ซื้อ" สำหรับ AU โดยมีราคาเป้าหมายที่ 11.50 บาท (1) AU รายงานการเติบโตของกำไรที่ +55% yoy และ +15% qoq ใน 3Q24 เป็นจำนวน 81 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าการประมาณการของเรา 10% ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งนี้เกิดจากการเติบโตของ SSSG ที่ 4.5% ซึ่งได้รับแรงผลักดันจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่และการเพิ่มยอดขายในร้านสะดวกซื้อ (2) กำไร 9M24 คิดเป็น 79% ของประมาณการกำไรทั้งปีของเราในปี 2024F ดังนั้น มี upside ต่อประมาณการของเรา โดยเราคาดกำไรจะเติบโตทั้ง yoy และ qoq ใน 4Q24 (3) AU มีความชัดเจนในด้านกำไรที่แข็งแกร่งซึ่งได้รับการสนับสนุนจากการวางตำแหน่งแบรนด์ที่มั่นคง การขยายช่องทางการขาย และการมีส่วนร่วมที่เพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวซึ่งคิดเป็น 30% ของรายได้กลุ่ม 3Q24 กำไรเติบโตที่ +55% YoY และ +15% QoQ สู่ระดับ 81 ล้านบาท ดีกว่าคาด 10%            การเติบโตในกำไรนี้เกิดจากอัตรากำไรที่ดีขึ้น การเติบโตอย่างแข็งแกร่ง yoy และ qoq ได้รับการสนับสนุนจาก (i) SSSG ที่ 4.5% ซึ่งเกิดจากการเพิ่มขึ้นของการรับประทานในร้านและการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงการขยายเครือข่ายสาขามาที่ 61 สาขาใน 3Q24 ส่งผลให้ยอดขายของร้านขนมหวานอยู่ที่ 350 ล้านบาท (+17% yoy, +4% qoq); (ii) ยอดขายที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างมากในร้านสะดวกซื้อ ส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้น +180% yoy และ +170% qoq เป็น 62 ล้านบาท; และ (iii) อัตรากำไรที่ดีกว่าที่คาด โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 65.4% ขณะเดียวกันอัตราส่วน SG&A ต่อยอดขายปรับดีขึ้นเป็น 41.8% ส่งผลให้มาร์จิ้นสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 19.5% โอกาสในการปรับประมาณการให้สูงขึ้น และคาดว่ากำไรจะยังคงแข็งแกร่งใน 4Q24F            สำหรับ 9M24 กำไรอยู่ที่ 210 ล้านบาท (+61% yoy) ซึ่งคิดเป็น 79% ของประมาณการกำไรทั้งปีของเราที่ 267 ล้านบาท (+50% yoy) ซึ่งแสดงถึงความเสี่ยงในการปรับประมาณการขึ้น เราคาดว่ากำไรใน 4Q24F จะเติบโตทั้ง yoy และ qoq จากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ การเปิดร้านค้าเพิ่มเติมอีก 3 สาขาทำให้เครือข่ายขยายตัวเป็น 66 สาขา และยอดขายที่แข็งแกร่งในร้านสะดวกซื้อและช่องทางอื่นๆ คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 11.50 บาท (DCF)            ปัจจุบัน AU มีการซื้อขายที่ 29x PER ปี 2025 โดยคาดการณ์การเติบโตของกำไรที่ 15% YoY ใน FY25 AU สมควรที่จะซื้อขายที่ระดับพรีเมียม เนื่องจากการดำเนินงานคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ และส่งมอบ SSSG ที่เป็นบวกและมาร์จิ้นที่เหนือกว่าคู่แข่ง ความเสี่ยงหลัก ได้แก่ การเติบโตของรายได้ที่ช้ากว่าที่คาดและต้นทุนที่สูงเกินไป หมายเหตุ การวิเคราะห์ความไวของเราแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลง 1% ใน GPM จะส่งผลให้กำไร FY25F เปลี่ยนแปลงได้ 5%

AU ขนมหวานฮอต 9 เดือน กวาดกำไร210ล.

AU ขนมหวานฮอต 9 เดือน กวาดกำไร210ล.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/2567 มีรายได้ที่ 428 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนที่ 338 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% และ 9 เดือนแรกปี 2567 มีรายได้ 1,144 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน 900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27%           ขณะที่กำไรสุทธิไตรมาส 3/2567 ทำได้ 83 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน 54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% ส่วน 9 เดือนแรกปี 2567 มีกำไรสุทธิ 210 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน 131 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60% โดยมีสาขา ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 ที่ 61 สาขา เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนที่ 59 สาขา           โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้จากร้านขนมหวานและเครื่องดื่มที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม(SSSG) และยอดขายต่อบิลที่สูงขึ้น ประกอบกับจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีการเติบโตของยอดขายผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด (Modern Trade) โดยเฉพาะช่องทางร้านสะดวกซื้อ 7-11 ซึ่งเริ่มวางขายสินค้าในเดือนกรกฎาคม ปี2567 และในช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 บริษัทมีแผนขยายสาขาร้านอาฟเตอร์ ยู เพิ่มเติมรวมทั้งสิ้น 1-2 สาขา โดยบริษัทมุ่งเน้นการขยายสาขาไปยังพื้นที่ที่เป็นศูนย์กลางของนักท่องเที่ยว และย่านที่พักอาศัยที่มีกำลังซื้อและมีลูกค้าจำนวนมากเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น           นอกจากนี้บริษัทมีแผนรีแบรนด์ร้านกาแฟมิกก้าจาก Mikka Café เป็น Mikka Coffee Roasters เพื่อพัฒนา และส่งเสริมแบรนด์ในการต่อยอดให้มิกก้าเป็นผู้นำตลาด และครองใจลูกค้าอย่างยั่งยืน โดยการเพิ่มความหลากหลายของเมนู เพื่อให้ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่มมากยิ่งขึ้น           บริษัทมีแผนเปิดร้านภายใต้คอนเซ็ปต์ After You Dairy Farm ที่ร้านอาหาร Midwinter เขาใหญ่ ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2568 โดยเมนูเครื่อมดื่มบางเมนูเป็นการใช้ผลิตภัณฑ์ Grass Fed Milk จากร้าน Dairy Home และมีสินค้าพิเศษที่ขายในร้านได้แก่ Dairy Home Honeycomb และ Dairy Home Chocolate Malt

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

“After You” แบรนด์ไทยฮอต ติดเทรนด์ต่างแดน

“After You” แบรนด์ไทยฮอต ติดเทรนด์ต่างแดน

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด มองแนวโน้มธุรกิจ บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU  คาดผลประกอบการ Q3/67 โตต่อเนื่อง YoY แต่อ่อนตัว QoQ เล็กน้อยจากปัจจัยฤดูกาลโดย AU ได้โมเมนตัมบวกจากกำลังซื้อที่ฟื้นโตดี สะท้อน SSSG ช่วงเดือนก.ค.-ส.ค.ที่ผ่านมายังคงเติบโต 6-7% ส่วนเดือนก.ย. แม้มีฝนตกหนักกว่าปกติ แต่ได้แรงหนุนจากสาขาหาดใหญ่ที่มีชาวมาเลเซียเข้ามาซื้อสินค้ากลุ่มโทสต์จากกระแส Viral ทำให้ SSSG มีโอกาสพลิกกลับมา  Flat หรือเป็นบวกเล็กน้อย           อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการอาจอ่อนตัว QoQ จากปัจจัยฤดูกาล แต่คาดจะอ่อนตัวลงไม่มาก เนื่องจากการขยายช่องทางขายในร้าน 7-Eleven ที่เริ่มวางขาย “ขนมปังเนยโสด” เมื่อ 1 ก.ค. 67 ได้กระแสตอบรับค่อนข้างดีมาก โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตราว 10,000 ชิ้น/วัน เบื้องต้นคาดการณ์รายได้กลุ่มดังกล่าวราว 10-15 ลบ./เดือน มาช่วยหนุนผลประกอบการเพิ่มเติม นอกจากนี้ ช่วงเดือน ก.ย. มีการขยายสาขาใหม่ 1 แห่งที่เยาวราชซึ่งเป็นแหล่งของนักท่องเที่ยวและมีกำลังซื้อสูง           ฝ่ายวิเคราะห์ปรับคาดการณ์กำไรปี 67 เพิ่มราว 20% สู่ 268 ลบ. +50% YoY และปรับประมาณการรายได้ปี 67 เพิ่ม 6% สู่ 1,473 ลบ. +21% YoY หลังจากผลประกอบการครึ่งปีหลัง 67 คิดเป็น 57% ของประมาณการเดิม จากกำลังซื้อที่ฟื้นโตดี ประกอบกับกระแส Viral สินค้าแบรนด์ After You ในต่างประเทศ อาทิ อินโดนิเซีย และมาเลเซีย นอกจากนี้ ช่วง Q4/67 มีแผนขยายสาขาอีกราว 3 แห่ง และแฟรนไชส์ที่กัมพูชา 1 แห่ง ส่วนการขายสินค้าในร้าน 7-Eleven ยังคงได้กระแสตอบรับดีต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัทกำลังขยายลังผลิตเพิ่มจาก 10,000 ชิ้น/วัน สู่ 20,000 ชิ้น/วัน และหากแล้วเสร็จคาดจะมีการเพิ่มรายการสินค้าใหม่ๆวางขายเพิ่มเติม           คงคำแนะนำ “ซื้อ” และปรับราคาเหมาะสมเพิ่มสู่ 13.50 บาท อัพไซต์ 42% ปรับราคาเหมาะสมของ AU เพิ่มขึ้นสู่ 13.50 บาท (จากเดิม 11.70 บาท) จากคาดการณ์กำไรใหม่ที่เพิ่มขึ้น โดยฝ่ายวิเคราะห์คงประเมินราคาเหมาะสมด้วยวิธี Discounted Cash Flow (DCF) บนสมมติฐาน WACC 8% และ Terminal Growth 3% โดยแม้ปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขายที่ PE 34x สูงกว่ากลุ่มที่ราว 25x (PE: M = 16x, ZEN = 24x, MAGURO = 33x)           อย่างไรก็ตาม PE ปรับตัวลงมาจากที่เคยขึ้นไปสูงสุดกว่า 100x และบริษัทมีศักยภาพการเติบโตต่อเนื่องในช่วง 4-5 ปีจากนี้ราว 10-20% ต่อปี จากแผนการขยายสาขา ขายแฟรนไชส์ การวางขายสินค้าใน Modern Trade ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ได้รับกระแสนิยมทุกปี  โดยราคาหุ้นมีอัพไซต์จากราคาปัจจุบันราว 42% จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision