#เงินดิจิทัล


ครม. อนุมัติมาตรการ Easy e-receipt  แจกเงินดิจิทัลเฟส 2 - ขยายเวลาลดภาษี ผับ บาร์

ครม. อนุมัติมาตรการ Easy e-receipt แจกเงินดิจิทัลเฟส 2 - ขยายเวลาลดภาษี ผับ บาร์

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.กรุงศรี เผย ครม. มีมติเห็นชอบแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 2 ให้กลุ่มผู้สูงอายุ, อนุมัติมาตรการ Easy e-receipt และขยายเวลาลดภาษีสรรพสามิต ผับ บาร์ ไนต์คลับ อีก 1 ปี เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว บทวิเคราะห์มองเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่ม Domestic Play ที่จะได้ประโยชน์ อาทิ ค้าปลีก, ไฟแนนซ์, ร้านอาหาร และท่องเที่ยว (CRC, CPALL, SAWAD, CENTEL, ERW)

จับตาแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 กระตุ้นเครื่องดื่ม ค้าปลีก

จับตาแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 กระตุ้นเครื่องดื่ม ค้าปลีก

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยสำหรับปัจจัยในประเทศวานนี้มีรายงาน GDP ไตรมาส 3/2567 ขยายตัว 3.0% เติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 2.3% และสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 2.4-2.6% การขยายตัวดังกล่าวมาจาก: - การใช้จ่ายภาครัฐ ที่เติบโต 6.3% YoY จากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ - การส่งออก ที่เติบโตแข็งแกร่ง - ภาคการท่องเที่ยว ที่ขยายตัวต่อเนื่อง - อย่างไรก็ตาม การบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวเพียง 3.4% ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 4.9% - การลงทุนภาคเอกชน ยังคงหดตัว แนวโน้ม GDP ปี 2567 : สำนักงานสภาพัฒน์ประเมิน GDP ปี 2567 จะขยายตัว 2.6% สูงกว่าคาดการณ์ก่อนหน้าที่ 2.5% Outlook ปี 2568 : คาดว่า GDP ปี 2568 จะขยายตัว 3.0% โดยมีปัจจัยหนุน ได้แก่ - การลงทุนภาครัฐ - การบริโภคภาคเอกชนตามกำลังซื้อในประเทศที่สูงขึ้น - ภาคการท่องเที่ยว - การส่งออกตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจคู่ค้า - ความคาดหวังต่อการกลับมาฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชน อัตราเงินเฟ้อคาดอยู่ในกรอบ 0.3-1.3% **ปัจจัยเสี่ยง**: - ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ - ปัญหาเชิงโครงสร้าง - หนี้ภาคครัวเรือนในระดับสูง **กลยุทธ์การลงทุน** : เน้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการขยายตัวใน : 1. การบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาครัฐ เช่น - ค้าปลีก : CPALL, GLOBAL, MOSHI - รับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง : CK, SCC, TASCO - ธนาคาร : BBL, KTB **ติดตามประเด็นวันนี้**: - การประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ: คาดหวังมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 ให้ผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นบวกต่อกลุ่มค้าปลีก: BJC, CPAXT อาหารและเครื่องดื่ม : CBG มาตรการแก้ไขหนี้ภาคครัวเรือน โดยเฉพาะหนี้เสียในพอร์ตที่อยู่อาศัย, เช่าซื้อ และ SMEs ผ่านการปรับลดเงินนำส่งกองทุน FIDF จากเดิม 0.46% เหลือ 0.23% ซึ่งช่วยลดภาระและเพิ่มสภาพคล่องให้กับธนาคาร กลุ่มธนาคารที่ได้ประโยชน์: BBL, KTB, KBANK, SCB, TTB

โบรกฯเจาะ 11 หุ้นได้ประโยชน์ จับตาแจกเงินดิจิทัลเฟส 2

โบรกฯเจาะ 11 หุ้นได้ประโยชน์ จับตาแจกเงินดิจิทัลเฟส 2

          หุ้นวิชั่น - บล.เอเชียพลัส จับตาความคืบหน้าการแจกเงินดิจิทัลเฟส 2 ล่าสุด รมช.คลังเผยว่าเตรียมนำนโยบายดังกล่าว โดยจะเป็นการรับเงินสดก้อนเดียว 10,000 บาท เสนอต่อที่ประชุม ครม. 19 พ.ย.นี้ ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมเงินไว้แล้ว 1.8 แสนล้านบาท ส่วนกลุ่มที่จะได้รับเงินนั้น คาดว่าจะมีช่วงอายุ 50 ปีหรือ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งมองว่ากลุ่มผู้สูงอายุ เป็นกลุ่มที่มีความเหมาะสม เพราะเป็นกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อนมากกว่ากลุ่มอื่น เพราะมีความสามารถในการหารายได้ที่ต่ำกว่ากลุ่มอื่น อย่างไรก็ตามกลุ่มดังกล่าวจะต้องเป็น ผู้ที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น “ทางรัฐ” เท่านั้น และกลุ่มเปราะบางที่ได้รับเงินในเฟสแรก ไปแล้วจะถือว่าหมดสิทธิ จากประเด็นดังกล่าว รมช.คลังคาดจะเป็นตัวชูโรงให้ ตัวเลข GDP ในไตรมาส 4/2567 จะอยู่ ที่ระดับ 4.3-4.4%YOY เสริมด้วยการอัดฉีดหลายมาตรการกระตุ้นที่เตรียมไว้ในช่วงปลายปี ส่วนหุ้นที่คาดจะได้ประโยชน์และ SENTIMENTเชิงบวก คือ กลุ่มเกษตร-อาหาร CPF CBG OSP ICHI M กลุ่มค้าปลีก CPALL CRC BJC CPAXT กลุ่มเช่าซื้อ MTC SAWAD

BINANCE TH เผยเลือกตั้งสหรัฐฯ 2024 คือจุดเปลี่ยนสำคัญของโลกการเงินดิจิทัล

BINANCE TH เผยเลือกตั้งสหรัฐฯ 2024 คือจุดเปลี่ยนสำคัญของโลกการเงินดิจิทัล

           หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ (1 พฤศจิกายน 2567) - การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปีนี้ นับเป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์สำหรับอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลและบล็อกเชนทั่วโลก โดยเป็นครั้งแรกที่สกุลเงินดิจิทัลได้รับความสนใจจนกลายเป็นหนึ่งในประเด็นของเวทีการเลือกตั้งสหรัฐฯ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีต่างเปิดเผยทัศนะที่ชัดเจนต่อสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ดิจิทัลในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต            Public Citizen องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร (Non-Profit Organization) เปิดเผยว่า เงินสนับสนุนในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เกือบครึ่งหนึ่งมาจากภาคสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความต้องการของอุตสาหกรรมในการผลักดันให้เกิดความชัดเจนด้านกฎระเบียบ ดังนั้น เมื่อการเลือกตั้งเดินทางมาถึงช่วงโค้งสุดท้าย ความสนใจของสาธารณชนจึงหันไปที่นโยบายของผู้สมัครแต่ละคน ที่อาจส่งผลต่อทิศทางของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต โดย โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้สมัครที่แสดงจุดยืนในการสนับสนุนสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างชัดเจน ในขณะที่ กมลา แฮร์ริส ที่ถึงแม้ว่าจะสนับสนุนนวัตกรรมดิจิทัลเช่นกัน แต่ยังคงเน้นให้ความสำคัญกับการคุ้มครองผู้บริโภคและนักลงทุนเป็นหลัก            นายนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของแพลตฟอร์มศูนย์ซื้อขายและนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (BINANCE TH) กล่าวว่า “เรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล ที่จะแสดงให้เห็นว่าสินทรัพย์ดิจิทัลไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือเก็งกำไรสำหรับนักลงทุนเท่านั้น แต่ปัจจุบัน สินทรัพย์ดิจิทัลได้กลายมาเป็นองค์ประกอบสำคัญของแผนขับเคลื่อนเทคโนโลยีของประเทศ ซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทั้งสองคนไม่สามารถเพิกเฉยได้ นี่เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ให้เห็นว่าสินทรัพย์ดิจิทัลกำลังก้าวข้ามเข้าสู่การยอมรับที่กว้างขวางยิ่งขึ้นในระดับสากล” ทรัมป์ ปะทะ แฮร์ริส: ศึกนโยบายคริปโตที่มีอนาคตทางเศรษฐกิจเป็นเดิมพัน            โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ปรับเปลี่ยนจุดยืนของตนที่มีต่อสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเห็นได้ชัด จากเดิมที่เคยมีข้อกังขาในเรื่องนี้ ปัจจุบันเขากลับหันมาให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง พร้อมประกาศตนเป็น “ประธานาธิบดีแห่งสินทรัพย์ดิจิทัล” โดยทรัมป์ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าหากชนะการเลือกตั้ง เขาจะจัดตั้งสภาที่ปรึกษาบิทคอยน์และคริปโต รวมถึงสนับสนุนการขุดบิทคอยน์ พร้อมทั้งการลดกฎเกณฑ์ข้อบังคับ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อประโยชน์ต่อนักลงทุนและธุรกิจ ทั้งนี้ การสนับสนุนสินทรัพย์ดิจิทัลของทรัมป์ยังแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในเชิงปฏิบัติอีกด้วย เห็นได้จากการที่สมาชิกครอบครัวของทรัมป์ได้ริเริ่มโครงการ DeFi ในชื่อ "World Liberty Financial" ซึ่งยิ่งตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นที่ทรัมป์มีต่ออุตสาหกรรมนี้อย่างแท้จริง            ทางด้าน กมลา แฮร์ริส เพิ่งเริ่มต้นยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และบล็อกเชน โดยจากวาระการหาเสียงล่าสุด แฮร์ริสได้ให้คำมั่นสัญญาที่จะส่งเสริมนวัตกรรมควบคู่ไปกับการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างเข้มงวด ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดีอย่างยิ่งสำหรับวงการคริปโต            “การที่สินทรัพย์ดิจิทัลกลายเป็นหัวข้อสำคัญในการประชันวิสัยทัศน์ถือเป็นสัญญาณเชิงบวก พร้อมทั้งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการกำหนดกฎระเบียบข้อบังคับที่เหมาะสม ไบแนนซ์ ทีเอช ในฐานะผู้นำด้านสินทรัพย์ดิจิทัล เราเชื่อมั่นว่าการกำหนดนโยบายที่มีประสิทธิภาพ จะเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับการสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ยั่งยืน โปร่งใส และแข็งแกร่ง” นายนิรันดร์ กล่าวเสริม เมื่อใดสหรัฐฯ เปลี่ยน เมื่อนั้นนโยบายคริปโตทั่วโลกขยับตาม            ในฐานะที่สหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก สหรัฐฯ จึงมีบทบาทสำคัญต่อการกำหนดกฎระเบียบข้อบังคับสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลในระดับสากล โดยเศรษฐศาสตร์การเมืองของสหรัฐฯ มักส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อตลาดคริปโตทั่วโลก รวมถึงยังมีอิทธิพลเหนือความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการตัดสินใจด้านกฎเกณฑ์ในหลายประเทศ ยกตัวอย่างเช่น การอนุมัติ Spot ETFs โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ซึ่งเป็นตัวเร่งให้เกิดการยอมรับและเสริมสร้างความชอบธรรมของสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วโลก ในทำนองเดียวกันนั้น นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ อย่าง การปรับอัตราดอกเบี้ย ที่มีผลต่อกระแสเงินทุนและการเคลื่อนไหวของตลาด ทั้งในตลาดการเงินแบบดั้งเดิม และตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเช่นเดียวกัน            นอกจากนี้ การเลือกตั้งรัฐสภาของสหรัฐฯ ยังมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางนโยบายเกี่ยวกับคริปโตในอนาคตด้วยเช่นกัน โดยทัศนคติของฝ่ายนิติบัญญัติที่มีต่อสินทรัพย์ดิจิทัลอาจเป็นปัจจัยหลักในการผลักดันหรือชะลอการออกกฎหมายที่สำคัญ เช่น การร่างกฎหมาย FIT21 ที่มุ่งเน้นสร้างความชัดเจนในด้านการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นต้น ก้าวต่อไปของอุตสาหกรรมคริปโต            ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ นโยบายด้านคริปโตของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมคริปโตทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย เพราะทั้งทรัมป์และแฮร์ริสต่างได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งบ่งชี้ว่าสินทรัพย์ดิจิทัลกำลังกลายเป็นประเด็นที่พรรคการเมืองทั้งสองฝ่ายให้ความสนใจ ดังนั้น คำถามที่สำคัญจริงๆ อาจไม่ใช่ว่า ‘สหรัฐฯ จะเข้ามาควบคุมคริปโตหรือไม่’ แต่แท้จริงแล้วคือ ‘สหรัฐฯ จะดำเนินนโยบายเกี่ยวกับคริปโตอย่างไรเพื่อรักษาความเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจดิจิทัลของโลกต่างหาก            ทั้งนี้ ในขณะที่สหรัฐฯ กำลังพยายามหาจุดสมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรมและการคุ้มครองผู้ใช้ รัฐบาลทั่วโลกก็กำลังให้ความสำคัญกับการควบคุมอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างจริงจังด้วยเช่นกัน ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบระดับโลกนี้ จึงถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทย ในการนำอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลก้าวไปข้างหน้า ผ่านการเปิดรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและการวางแผนเชิงกลยุทธ์ ซึ่งจะช่วยเสริมแกร่งให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลระดับภูมิภาค            แม้ว่าในปัจจุบัน สหรัฐฯ เองจะยังคงมีความไม่แน่นอนทางการเมืองในระยะสั้น แต่ในระยะยาวนั้นยังแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มเชิงบวก จากการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นจากภาครัฐ ภาคสถาบัน และนักลงทุนรายย่อย ที่จะมีส่วนช่วยผลักดันอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนให้แก่อุตสาหกรรมคริปโต            “ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะเป็นเช่นไร ในระยะยาวอุตสาหกรรมคริปโตจะยังคงเติบโตอย่างมั่นคงต่อไป จากการที่ได้ถูกนำไปใช้งานในโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความก้าวหน้าทางด้านสังคมและเศรษฐกิจในอนาคต” นายนิรันดร์ เน้นย้ำเพิ่มเติม            นายนิรันดร์ กล่าวสรุปว่า “ประเทศไทยมีจุดยืนพิเศษที่สามารถได้รับประโยชน์จากการเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วโลก โดยในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ไบแนนซ์ ทีเอช จะมุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ปลอดภัย รวมถึงนวัตกรรมอันล้ำสมัย มาสู่ประเทศไทย ผ่านด้วยกลยุทธ์การดำเนินงานที่ชัดเจนและมีวิสัยทัศน์ โดยเรามุ่งมั่นที่จะมีบทบาทในการสร้างการยอมรับในสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างแพร่หลายและส่งเสริมการเข้าถึงทางการเงิน เพื่อให้ประเทศไทยยังคงเป็นแนวหน้าในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลระดับโลกต่อไป” สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชม เว็บไซต์ https://www.binance.th/th 

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน