ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#หุ้นแบงก์


4 หุ้นแบงก์ เฮ! รับมาตรการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อ ‘รถกระบะ’

4 หุ้นแบงก์ เฮ! รับมาตรการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อ ‘รถกระบะ’

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.ธนชาต ระบุ กระทรวงการคลัง ออกมาตรการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” ค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะ วงเงิน 5 พันล้านบาท โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จะค้ำประกันและจ่ายส่วนต่างของภาระหนี้กับราคาขายทอดตลาดให้กับสถาบันการเงินตามเงื่อนไข และรัฐจะเป็นผู้ออกค่าธรรมเนียมค้ำประกันให้ 3 ปีแรก ส่วนปีที่ 4-7 คิดค่าธรรมเนียมเพียง 1.5% ต่อปี           สำหรับเงื่อนไข วงเงินค้ำประกันต่อรายสูงสุดจะอยู่ที่ 1.5 ล้านบาท เริ่มเปิดรับคำขอ 1 เม.ย. – 30 ธ.ค. 2568 คาดกระตุ้นยอดขายเพิ่ม 6,250 คัน           มองเป็น “บวก” ต่อกลุ่มธนาคารที่มีสัดส่วนสินเชื่อเช่าซื้อ อย่าง TISCO (32%), KKP (43%), TTB (29%), SCB (6%)           สำหรับ THANI ASK TIDLOR จะได้ประโยชน์ไม่มากเนื่องจากส่วนใหญ่เป็นรถบรรทุกที่ไม่ใช่ รถกระบะปิคอัพ

ถอดรหัสหุ้นแบงก์-นอนแบงก์  หลัง FED คงดอกเบี้ย

ถอดรหัสหุ้นแบงก์-นอนแบงก์ หลัง FED คงดอกเบี้ย

              หุ้นวิชั่น - บล.เอเซียพลัส เปิดมุมมองหลังการคงดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างประเทศข้างต้น มองเป็นกลางต่อพอร์ตสินเชื่อ ในต่างประเทศของ BBL (สัดส่วนสินเชื่อต่างประเทศ 25% แบ่งเป็น 10% ในอินโดฯ และ ประเทศอื่นๆ อีก 15%)               ส่วนทิศทางดอกเบี้ยนโยบายไทย ในมุมฝ่ายวิจัยมองว่าในช่วง 2H68 มีโอกาสลดได้อีก 1 ครั้ง อย่างไรก็ดีหากการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ช้ากว่าคาด อาจเห็นการลง ดอกเบี้ยนโยบายได้มากกว่านั้น (ตลาดเริ่มมีมองไปที่ 1.00% -1.25%)               โดยตามความเห็นของฝ่ายวิจัย ปัจจัยที่จะเปิด Downside ต่อเศรษฐกิจไทย มาจากความเสี่ยงจากสงครามการค้า และการเดินทางเข้าไทยของนักท่องเที่ยวต่างชาติ (สัดส่วน ราว 12% ของ GDP ไทย) มาน้อยกว่าคาดการณ์ อันเป็นผลกระทบจากการชะลอตัว ของนักท่องเที่ยวจีน หลังเกิดเหตุ ซิง ซิง (จีนมาไทย 2M68 ลบ 13% YoY)               ทั้งนี้ ธ.พ. ใหญ่ 3 อันดับแรก ที่มีสัดส่วนสินเชื่อ Floating rate สูง จะรับผลจากการเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากกว่ากลุ่มฯ ได้แก่ BBL ตามด้วย KTB และ KBANK โดย BBL จะมีความสัมพันธ์กับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศ ในขณะที่ KTB และ KBANK มีความสัมพันธ์กับดอกเบี้ยนโยบายไทยมากสุดในกลุ่มฯ และในทางตรงข้ามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทย ที่ลดลงจะดีต่อ KKP และ TISCO รวมถึง Non – Bank(Bond yield ลง) อย่าง MTC SAWAD และ TIDLOR               ส่วน ธ.พ. ใหญ่ ยังมีความน่าสนใจเชิง PBV ต่ำและ Div Yield ราว 6% -9% เน้นตั้งรับ KTB, BBLและ TTB มองว่าการจัดการคุณภาพสินทรัพย์ของ 3 ธนาคาร ทำได้ดีกว่ากลุ่มฯ ช่วยให้การตั้งสำรองลดลง ชดเชยผลจากรายได้ที่อ่อนแอ ตามวัฎจักรดอกเบี้ย               ด้าน ธ.พ. เล็ก ชอบ TISCO มากกว่า KKP ในขณะที่ Non – Bank เลือก MTC > TIDLOR (อยู่ระหว่างปรับเป็น Holding ราคาหุ้นอาจผันผวนระหว่างดำเนินการ) > SAWAD

เช็ก 8 หุ้นแบงก์ จ่ายปันผล 2H67

เช็ก 8 หุ้นแบงก์ จ่ายปันผล 2H67

          หุ้นวิชั่น - 8 หุ้นกลุ่มธนาคาร ได้มีการประกาศจ่ายเงินปันผล รอบครึ่งปีหลังของปี 2567 นำโดย SCB ประกาศจ่ายเงินปันผลสูงสุด ที่ 8.44 บาท/หุ้น

เช็กหุ้นแบงก์ หลังกนง.ปรับลดดอกเบี้ย รอด หรือ ร่วง?

เช็กหุ้นแบงก์ หลังกนง.ปรับลดดอกเบี้ย รอด หรือ ร่วง?

             หุ้นวิชั่น - บล.ดาโอ มองเป็นลบต่อกลุ่มธนาคาร ฝ่ายวิชั่นมองเป็นลบต่อกลุ่มธนาคาร เพราะรายได้ดอกเบี้ยจะมีโอกาสลดลงทันที โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ ทั้งนี้ ธปท. จะมีการปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2025 อย่างเป็นทางการในการประชุม กนง. รอบหน้า วันที่ 30 เม.ย. 2025              โดยคาดว่าจะปรับมาอยู่ที่มากกว่า 2.5% เล็กน้อย จากปัจจุบันคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 2.9% เพราะภาคการผลิตที่ลดลง นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่รุนแรงขึ้น และการแข่งขันจากสินค้าจากต่างประเทศ รวมถึงยังมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากนโยบายการค้าที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้รวมเรื่อง Tariff ที่เกิดขึ้นแล้วกับจีน แต่ยังไม่ได้รวมที่จะมีเพิ่มเติมในเดือน เม.ย. 2025 ซึ่งถือว่ายังมีความเสี่ยงอยู่              ด้านอัตราเงินเฟ้ออยู่ในขอบล่างของกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 1-3% โดยในปี 2025 คาดว่าเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 1.1% และปี 2026 อยู่ที่ 1.2% ทรงตัวในระดับต่ำ แต่ยังไม่เห็นสัญญาณของภาวะเงินฝืด เนื่องจากยังเห็นการปรับขึ้นราคาสินค้า              ฝ่ายวิจัยได้รวมผลกระทบจากการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E ไปแล้ว โดยหุ้นที่ได้รับผลกระทบต่อกำไรสุทธิเรียงจากมากไปน้อยคือ BBL, KTB, KBANK และ SCB ขณะที่หุ้นที่ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงคือ KKP และ TISCO อย่างไรก็ตาม หากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกทุกๆ 0.25% จะมี downside ต่อประมาณการกำไรสุทธิของกลุ่มราว -3%              ฝ่ายวิจัยยังคงน้ำหนักเป็น “มากกว่าตลาด” เลือก KTB, BBL เป็น Top pick โดยให้น้ำหนักการลงทุนของกลุ่มธนาคารเป็น “มากกว่าตลาด” เพราะแนวโน้มการเติบโตของกำไรปี 2025E จะยังเติบโตได้ต่อเนื่องอีก +4% YoY ขณะที่ valuation ยังถูก โดยเทรดที่ระดับเพียง 0.68x PBV (-1.25SD below 10-yr average PBV) ขณะที่เรายังคงเลือก KTB, BBL เป็น Top pick KTB ราคาเป้าหมายที่ 27.50 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.82x (-0.25SD below 10-yr average PBV) เพราะกำไรสุทธิปี 2025E จะอยู่ที่ 4.6 หมื่นล้านบาท เติบโตได้อีก +6% YoY ขณะที่แนวโน้มกำไรสุทธิ 1Q25E จะเพิ่มขึ้น YoY/QoQ จากสำรองฯ ที่จะลดลงได้ต่อเนื่อง ส่วนภาพรวม NPL มีแนวโน้มที่ดีกว่ากลุ่มเพราะเน้นการปล่อยสินเชื่อให้ภาครัฐเป็นหลัก BBL ราคาเป้าหมายที่ 186.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.60x (-1.00SD below 10-yr average PBV) เพราะมีความแข็งแกร่งทางด้านการเงินที่รองรับความเสี่ยงได้ดีกว่าคู่แข่ง เพราะมี coverage ratio สูงที่สุดที่ 334% ด้าน Valuation เทรดที่ PBV ถูกที่สุดในกลุ่มเพียง 0.53x หรือที่ระดับ -1.25SD ย้อนหลัง 10 ปี และถูกกว่ากลุ่มที่เทรดที่ PBV ที่ 0.68x

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

เช็ก 2 หุ้นเด่น กลุ่มแบงก์ หลังสินเชื่อ ม.ค. ลดลง

เช็ก 2 หุ้นเด่น กลุ่มแบงก์ หลังสินเชื่อ ม.ค. ลดลง

          หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี ส่องกลุ่มแบงก์ มีมุมมอง Neutral ต่อการรายงานสินเชื่อเดือน ม.ค. 25 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ ลดลง -0.6% m-m จากสินเชื่อธุรกิจ SME และรายย่อย เพราะ สินเชื่อบางประเภททลดลงเป็นไปตามปัจจัยฤดูกาล เดือนนี้SCB เป็นธนาคารเดียว ที่รายงานสินเชื่อเพิ่มขึ้น +0.3% m-m ขณะที่ธนาคารที่รายงานสินเชื่อหด ตัว คือ KTB -0.2% m-m / TISCO -0.3% m-m / KKP -1.3% m-m / TTB -1.7% m-m และ KBANK -1.9% m-m           สำหรับ BBL เป็นธนาคารเดียวที่รายงานสินเชื่อทรงตัว m-m ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคงน้ำหนักการลงทุนกลุ่มธนาคารที่ NEUTRAL คง KBANK (BUY, TP 178บ.) และ KTB (BUY, TP 27บ.) เป็น Top pick

สินเชื่อแบงก์Q1ยังดี SCB-KTB ปันผลค้ำ

สินเชื่อแบงก์Q1ยังดี SCB-KTB ปันผลค้ำ

             หุ้นวิชั่น - ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 68 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานผลสำรวจภาวะและแนวโน้มสินเชื่อในไตรมาส 1/68 พบว่าสถาบันการเงินคาดการณ์ความต้องการสินเชื่อในไตรมาสแรกจะเพิ่มขึ้น qoq จากลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และ SME โดยสินเชื่อภาคธุรกิจจะมาจากความต้องการใช้สินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนและเพื่อการลงทุน              ขณะเดียวกัน พบว่าธนาคารมีแนวโน้มผ่อนคลายมาตรฐานการให้สินเชื่อแก่ภาคธุรกิจเล็กน้อย ผู้ให้บริการสินเชื่อมองว่าธุรกิจบางกลุ่มมีแนวโน้มสดใส และผู้ขอสินเชื่อน่าจะวางหลักทรัพย์ค้ำประกันที่มีคุณภาพมากขึ้น เพื่อให้ธนาคารอนุมัติสินเชื่อ              ความต้องการสินเชื่อรถยนต์ในไตรมาส 1/68 น่าจะเพิ่มขึ้น qoq เนื่องจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์จัดโปรโมชั่นมากขึ้น นอกจากนี้ สถาบันการเงินเชื่อว่าความต้องการสินเชื่อส่วนบุคคลจะเพิ่มขึ้นตามการบริโภคส่วนบุคคล แต่ความต้องการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อบัตรเครดิตจะทรงตัว qoq ดังนั้น การที่ความต้องการสินเชื่อรถยนต์และสินเชื่อส่วนบุคคลแบบไม่มีหลักประกันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น น่าจะทำให้สถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดการให้สินเชื่อของทั้งสองกลุ่มนี้ ขณะที่ระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย เพราะตลาดอสังหาฯค่อนข้างซบเซา              ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า แม้ราคารถมือสองจะปรับขึ้น 10.8% ตั้งแต่เดือนพ.ย. 67 แต่ธนาคารยังคงใช้เกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อที่ระมัดระวังสำหรับสินเชื่อรถยนต์ และเลือกจะขยายพอร์ตสินเชื่อรถในกลุ่มผู้มีรายได้สูงเป็นหลัก ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยหนุนการเติบโตของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยในปี 68 จะมาจากการซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียมใหม่ที่มีราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท และธนาคารบางแห่งน่าจะเน้นสินเชื่อบ้านที่มีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) อยู่ในระดับที่ปลอดภัยมากขึ้น นอกจากนี้ สถาบันการเงินยังระมัดระวังกับการทำธุรกิจสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล เพราะยังมีปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง              ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ยังแนะนำให้คงน้ำหนักการลงทุน (Neutral) ในกลุ่มธนาคาร เพราะคาดว่า PPOP จะเติบโตลดลง -1.5%/+1.5%/+3.8% ในปี 68/69/70              ขณะที่เลือก SCB และ KTB เป็นหุ้น Top pick เพราะเชื่อว่า ธนาคารทั้งสองแห่งจะมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงที่ 5.4-9.1% ต่อปี และมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ 2-12% ในปี 68-70 แม้ว่าอุตสาหกรรมโดยรวมจะมีสินเชื่อเติบโตชะลอตัว นอกจากนี้ เชื่อว่าทั้ง SCB และ KTB สามารถบริหารจัดการเงินทุนได้ดีกว่าธนาคารอื่นที่ทำการศึกษา ซึ่งจะส่งผลให้ ROE เพิ่มสูงขึ้นในปี 68-70              อย่างไรก็ตาม กลุ่มธนาคารจะมี downside risk หาก NPL เพิ่มสูงขึ้นและธปท.ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก ส่วน upside risk จะมาจากการที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาไทยมากขึ้น เพราะจะช่วยกระตุ้นการบริโภค รวมถึงความตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ลดลงและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล

กฎสินเชื่อใหม่รวมรายได้ผู้ค้ำ หุ้นแบงก์รับโชคยังไง เช็กดู!

กฎสินเชื่อใหม่รวมรายได้ผู้ค้ำ หุ้นแบงก์รับโชคยังไง เช็กดู!

         หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า ธปท. ออกหลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ฉบับปรับปรุงใหม่ โดยมีประเด็นสำคัญในเรื่องของสินเชื่อที่มีแนวปฏิบัติในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อโดยรวมรายได้ของผู้ค้ำประกันอยู่เป็นวงกว้างในปัจจุบัน ได้แก่ สินเชื่อที่เกิดจากการให้เช่าซื้อหรือการให้เช่าแบบลีสซิ่ง สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ชาวต่างชาติซึ่งเป็นคู่สมรสของลูกหนี้เป็นผู้ผ่อนชำระหลัก รวมถึงสินเชื่ออื่น ๆ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดต่อไป ให้ผู้ให้บริการสามารถพิจารณาอนุมัติสินเชื่อโดยนำรายได้ของผู้ค้ำประกันมาพิจารณารวมเป็นรายได้ของลูกหนี้ได้ ตามนโยบายของผู้ให้บริการแต่ละแห่ง          โดยผู้ค้ำประกันดังกล่าวต้องเป็นเครือญาติ คู่สมรส หรือ เป็นบุคคลที่อยู่กินกันฉันสามีภริยากับลูกหนี้ โดยมีพฤติการณ์ซึ่งเป็นที่รับรู้ของบุคคลในครอบครัวหรือบุคคลภายนอกว่ามีสถานะดังกล่าวซึ่งผู้ให้บริการมั่นใจได้ว่าบุคคลนั้นจะร่วมรับผิดชอบชำระหนี้กับลูกหนี้ได้          ทั้งนี้ สำหรับการให้สินเชื่อที่มีบุคคลเป็นผู้ค้ำประกัน ผู้ให้บริการควรคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ค้ำประกัน เพื่อให้กรณีที่ลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ และผู้ให้บริการใช้สิทธิเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้แทน ผู้ค้ำประกันจะได้ไม่มีภาระหนี้ที่ต้องชำระเกินความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ค้ำประกัน (ที่มา: ธปท.)          มองเป็นบวกต่อหลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ฉบับปรับปรุงใหม่ โดยให้รวมรายได้ของผู้ค้ำประกันในการอนุมัติสินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน ซึ่งเป็นการผ่อนคลายในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ โดยการรวมรายได้ของผู้ค้ำประกันที่เป็นบุคคลภายในครอบครัวได้ (เดิมไม่ได้) เช่น เครือญาติ คู่สมรส หรือเป็นบุคคลที่อยู่กินกันฉันสามีภริยากับลูกหนี้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้กู้สามารถได้รับการอนุมัติเงินสินเชื่อได้มากขึ้น ส่งผลดีต่อธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ รวมถึงอุตสาหกรรมรถยนต์          โดยธนาคารที่มีสินเชื่อเช่าซื้อเรียงตามสัดส่วนสินเชื่อเช่าซื้อจากมาก-น้อยคือ เช่น KKP (45% ของสินเชื่อรวม), TISCO (43% ของสินเชื่อรวม), TTB (29% ของสินเชื่อรวม), BAY (21% ของสินเชื่อรวม), SCB (6% ของสินเชื่อรวม)          ทั้งนี้เรายังคงน้ำหนักการลงทุนลงเป็น “เท่ากับตลาด” โดยเลือก KTB (ซื้อ/เป้า 24.50 บาท) และ BBL (ซื้อ/เป้า 186.00 บาท) เป็น Top pick ส่วน KKP (ถือ/เป้า 50.00 บาท), TISCO (ถือ/เป้า 96.00 บาท) และ TTB (ซื้อ/เป้า 2.22 บาท) จะได้ sentiment เชิงบวกต่อราคาหุ้นจากประเด็นดังกล่าว

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

ส่องกลยุทธ์ ‘หุ้นแบงก์’ โอกาส หรือ ความเสี่ยง?

ส่องกลยุทธ์ ‘หุ้นแบงก์’ โอกาส หรือ ความเสี่ยง?

          หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี มองธีมการลงทุนกลุ่มธนาคารเป็น value play มากกว่า growth story เพราะธนาคารคงปันผลระดับสูง dividend yield คาดที่ 4-9% ต่อปี และ ราคาหุ้นธนาคารส่วนใหญ่ซื้อขายต่ำกว่า Book Value โดยภาพรวมปี 2025F ฝ่ายวิจัยมองการจัดการคุณภาพสินทรัพย์เป็นประเด็นหลัก           ดังนั้นการลดลงของค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) จะเป็นตัวหลักในการผลักดันการเติบโตกำไรสุทธิ รวมถึงการบริหารจัดการเงินทุน ทั้งการเพิ่ม dividend payout ratio และการซื้อหุ้นคืน จะช่วยเพิ่ม ROE ในอนาคตได้ KBANK และ KTB เป็น Top Picks           ฝ่ายวิจัยชอบ KBANK และ KTB เพราะi) กำไรสุทธิ 2025F คาดเติบโต+9% y-y มากกว่ากลุ่มที่ +2% y-y ii) ค่าใช้จ่ายสำรอง(credit cost) ของ KBANK มีโอกาสลดลงมากสุดในกลุ่ม และความเสี่ยง เรื่องค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) ของ KTB จำกัด เพราะการเติบโตในสินเชื่อภาครัฐ iii) KBANK และ KTB มีโอกาสเห็นการปรับเพิ่ม dividend payout ratio และ ROE

ช่วยลูกหนี้ “คุณสู้ เราช่วย” หุ้นแบงก์ใดได้โชค เช็กเลย!

ช่วยลูกหนี้ “คุณสู้ เราช่วย” หุ้นแบงก์ใดได้โชค เช็กเลย!

          หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอ ระบุว่า ธปท. ออกมาตรการแก้หนี้ช่วยเหลือลูกหนี้ในโครงการคุณสู้ เราช่วย โดยมี 2 มาตรการคือ มาตรการจ่ายตรง คงทรัพย์ และมาตรการ จ่าย ปิด จบ โดยลูกหนี้ที่จะเข้าร่วมได้ต้องทำสัญญาสินเชื่อก่อน 1 ม.ค. 24 และมีสถานะเป็นลูกหนี้ค้างชำระ 31-365 วัน ขณะที่ลูกหนี้ที่จะเข้าร่วมต้องเข้าไปลงทะเบียนผ่าน ธปท. ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค. 24-28 ก.พ. 25 โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1) มาตรการจ่ายตรง คงทรัพย์ มียอดหนี้ที่ 8.9 แสนล้านบาท (น้อยกว่าข่าวก่อนหน้านี้ที่ 1.3 ล้านล้านบาท) โดยธนาคารจะจ่าย FIDF ที่เท่าเดิมที่ 0.46% ขณะที่ภาครัฐจะตั้งกองกลางโดยนำเงินจาก FIDF fee ที่ 0.23% มาใส่ที่ราว 3.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากธนาคารไหนแก้หนี้ให้ลูกหนี้ได้เท่าไรก็สามารถมาเบิกดอกเบี้ยได้ 50% โดยมาตรการนี้จะครอบคลุมลูกหนี้ 5 กลุ่มคือ สินเชื่อบ้าน/Home for cash ไม่เกิน 5 ล้านบาท, สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์/Car for cash ไม่เกิน 8 แสนบาท, สินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์/Car for cash ไม่เกิน 5 หมื่นบาท, SME ไม่เกิน 5 ล้านบาท และบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลที่รวมหนี้บ้านและหนี้รถ โดยปีแรกชำระ 50% ของค่างวด, ปีที่สองชำระ 70% และปีที่สามชำระ 90% ขณะที่ลูกหนี้ไม่สามารถขอสินเชื่อใหม่ได้ในช่วง 12 เดือนแรก และต้องติด Flag ใน NCB 2) มาตรการ จ่าย ปิด จบ มียอดหนี้ที่ 1 พันล้านบาท โดยให้กับลูกหนี้ NPL บุคคลธรรมดาในทุกประเภทสินเชื่อ โดยมีภาระหนี้คงค้างไม่เกิน 5,000 บาท ซึ่งลูกหนี้ต้องชำระบางส่วนเพื่อเป็นการปิดบัญชี          เป็นกลางต่อกลุ่มธนาคาร เพราะรายละเอียดคล้ายกับข่าวก่อนหน้า โดย 1) มาตรการจ่ายตรง คงทรัพย์ มีเพียงวงเงินที่ลดลงเหลือ 8.9 แสนล้านบาท และเพิ่มวงเงินสินเชื่อบ้านและ SME เป็น 5 ล้านบาท จากเดิมที่ 3 ล้านบาท ขณะที่ผลกระทบต่องบกำไรขาดทุนทั้งปี 2025E คาดว่าจะไม่กระทบแบบมีนัยสำคัญ เพราะ 1H25E จะโดนผลกระทบต่อ Loan yield ที่จะลดลง จาก EIR ที่ลดลงเพราะไม่มีการรับรู้ดอกเบี้ย 3 ปี แต่ช่วง 2H25E จะเห็นการลดลงของสำรองฯหลังจากที่ลูกหนี้กลับมาจ่ายได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด อย่างไรก็ดี รอความชัดเจนในการลงบัญชีเพราะตอนนี้ยังไม่ทราบว่าจะมีการบันทึกเป็นดอกเบี้ยค้างรับหรือไม่ ซึ่งต้องรอรายละเอียดเพิ่มเติมจาก ธปท. อีกที ส่วน 2) มาตรการ จ่าย ปิด จบ เรามองเป็นบวกเพราะสินเชื่อส่วนบุคคล-บัตรเครดิต โดยปกติทุกธนาคารจะมีการ write-off ค่อนข้างเร็วประมาณ 6-12 เดือน โดยสินเชื่อที่เข้ามาตรการนี้จะเป็นหนี้เสียค้างเกิน 1 ปี ทำให้กลุ่มธนาคารมีโอกาสได้เงินคืนจากลูกหนี้กลุ่มนี้เข้ามาเพิ่มเติมได้บ้างเล็กน้อย ทั้งนี้ธนาคารขนาดใหญ่ที่มีสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยเรียงจากมาก-น้อยคือ TTB (62%), KTB (46%), SCB (40%), KBANK (28%) ยังคงน้ำหนักเป็น “มากกว่าตลาด”           เลือก KTB, KBANK เป็น Top pick เราให้น้ำหนักการลงทุนของกลุ่มธนาคารเป็น “มากกว่าตลาด” เพราะแนวโน้มการเติบโตของกำไรปี 2024E-2025E จะยังเติบโตได้ต่อเนื่องอีก 5-6% YoY ขณะที่ valuation ยังถูก โดยเทรดที่ระดับเพียง 0.67x PBV (-1.25SD below 10-yr average PBV) ขณะที่เรายังคงเลือก KBANK, KTB เป็น Top pick - KTB ราคาเป้าหมายที่ 24.50 บาท อิง PBV 2025E ที่ 0.85x (-0.75SD below 10-yr average PBV) เพราะกำไรสุทธิปี 2024E อยู่ที่ 4.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นสูงที่สุดในกลุ่มธนาคารที่ +18% YoY ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไรสุทธิ 4Q24E จะเพิ่มขึ้น YoY แต่จะลดลง QoQ จาก OPEX ที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล และ KTB เน้นปล่อยสินเชื่อภาครัฐมากขึ้น ซึ่งเป็นสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำและรองรับกับสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงได้ - KBANK ราคาเป้าหมายที่ 176.00 บาท บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.70x (-1.00SD below 10-yr average PBV) เพราะคุณภาพของสินทรัพย์ที่ดีขึ้น และเราคาดหวัง JV AMC กับ BAM จะช่วยลด NPL ได้ในระยะยาว และคาดกำไร 4Q24E จะเพิ่มขึ้น YoY จากสำรองฯที่ลดลง โดยปัจจุบันซื้อขายเพียง 0.66x PBV (-1.25SD below 10-yr average PBV) ถูกกว่า SCB ที่ 0.81x PBV

หุ้นแบงก์ทำไมจะโตช้า ปรับพอร์ตยังไง ควรเช็ก!

หุ้นแบงก์ทำไมจะโตช้า ปรับพอร์ตยังไง ควรเช็ก!

          หุ้นวิชั่น- ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า เมื่อวันที่ 29 พ.ย.67 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานภาวะสินเชื่อไตรมาส 3/67 พบว่า สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค รวมถึงสินเชื่อธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกมีคุณภาพลดลงอีก ทั้งนี้สินเชื่อรายย่อยทุกกลุ่มมีอัตราส่วน NPL เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมี NPL เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ทรงตัว qoq ที่ 89.6% ในไตรมาส 2/67 นอกจากนี้ ยอดตัดหนี้สูญโดยรวมเพิ่มขึ้น 27% yoy แต่ลดลง 10% qoq ส่วนหนี้ปรับโครงสร้างเพิ่มขึ้น 15% yoy และ 18% qoq สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการเคลียร์งบดุลของธนาคาร           กลุ่มสินเชื่อรายย่อยมีสัดส่วนสินเชื่อ stage 2 หรือสินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (underperforming) เพิ่มสูงขึ้นจึงทำให้มาตรฐานการให้สินเชื่อของธนาคารเข้มงวดขึ้นตามรายงานในแบบสำรวจภาวะและแนวโน้มสินเชื่อของธปท.           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI เชื่อว่า ความต้องการสินเชื่อรายย่อยในไตรมาส 4/67 จะมาจากกลุ่มสินเชื่อรถ เนื่องจากมีการจัดงาน Motor Show ในเดือนธ.ค.67 และสินเชื่อบัตรเครดิตเพราะเป็นไฮ-ซีซั่นของการใช้จ่ายในประเทศ ขณะเดียวกัน ผลสำรวจชี้ว่าความต้องการสินเชื่อธุรกิจจะยังมาจากสินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน จึงเชื่อว่ายอดสินเชื่อรวมในไตรมาส 4/67 จะเติบโตเล็กน้อย qoq แต่สินเชื่อทั้งปี 67 น่าจะยังติดลบ หลังยอดสินเชื่อรวมงวด 9 เดือนของปีนี้ลดลง           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI คาดว่า ยอดสินเชื่อรวมของกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะเติบโต 2.6-3.0% ในปี 68-69 เพราะธนาคารมีเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดและ GDP ไทยยังขยายตัวต่ำ (ฝ่ายวิเคราะห์ฯคาดโต 3% ในปี 68) นอกจากนี้ ประมาณการว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) จะลดลงจาก 3.51% ในปี 67 เป็น 3.45% และ 3.41% ในปี 68-69 ตามลำดับ ภายใต้สมมติฐานที่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในช่วงครึ่งปีแรก 68 อีกทั้งเชื่อว่ารายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยน่าจะยังเติบโตอ่อนตัวในอัตรา 3.9% ในปี 68-69 จะส่งผลให้กำไรก่อนตั้งสำรอง (PPOP) ในช่วงเดียวกันเติบโตเพียง 1.15-1.83%           อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตราการสำรองหนี้สูญจะลดลงเหลือ 144bp ในปี 68 และ 134bp ในปี 69 เทียบจาก 152bp ในปี 67 ดังนั้นจึงทำประมาณการ ROE ของกลุ่มธนาคารในปี 68-69 อยู่ที่ 8.9-9.0% เทียบจาก 10.1-12.3% ในปี 58-61           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI มองว่า ธนาคารพาณิชย์ไทยยังขาดปัจจัยหนุนที่แข็งแกร่ง จึงยังแนะนำให้คงน้ำหนักการลงทุน (Neutral) กลุ่มนี้ เนื่องจากอัตราการเติบโตของ PPOP และ ROE ในปี 68-69 มีแนวโน้มชะลอตัว ฝ่ายวิเคราะห์ฯถอด KBANK ออกจากหุ้น Top pick หลังราคาหุ้น outperform ดัชนี SET และ SETBANK ถึง 10.3% YTD และ 8.5% YTD (1 ม.ค.-22 พ.ย.67) ตามลำดับ           ขณะที่เพิ่ม SCB เข้ามาเป็นหุ้น Top pick เพราะคาดว่าธนาคารจะมี EPS เติบโต 7% และมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงที่ 9.6-10.3% ในปี 68-69 โดยกลุ่มธนาคารจะมี downside risk หาก NPL เพิ่มขึ้นและมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ส่วน upside risk จะมาจากการที่นักท่องเที่ยวเดินทางมาไทยมากขึ้น, ความตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ลดลงและรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

โบรกฯจับตา “กลุ่มแบงก์” แก้หนี้ครัวเรือน พารอด หรือ ร่วง ?

โบรกฯจับตา “กลุ่มแบงก์” แก้หนี้ครัวเรือน พารอด หรือ ร่วง ?

          หุ้นวิชั่น – บล.เอเชียพลัส ส่องกลุ่มแบงก์ วิเคราะห์จากการรวบรวมข่าวตามสื่อในประเทศ เกี่ยวกับการแก้หนี้ครัวเรือน โดยเบื้องต้นสมาคมธนาคารไทยเตรียมจะออกมาตรการเร็วๆ นี้ ซึ่งการช่วยเหลือจะเน้นไปที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี, สินเชื่อรถ (ยอดสินเชื่อลูกหนี้ต่อรายประมาณ 8 – 9 แสนบาท), สินเชื่อบ้าน (ยอดสินเชื่อลูกหนี้ต่อรายไม่เกิน 3 ล้านบาท) ที่มีปัญหาชำระหนี้ มียอดค้างชำระไม่เกิน 360 วัน หรือ 1 ปี (Stage 2 + NPL) และเป็นผู้ที่มีปัญหาการชำระหนี้มาแล้วก่อนที่มาตรการนี้จะออกมา (ลด Moral hazard) โดยแนวทางการช่วยเหลือจะทำผ่านการพักชำระดอกเบี้ย (ระยะเวลา 3 ปี) หากสามารถทำได้ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ก็จะได้รับการยกเว้นดอกเบี้ยในส่วนที่พักไว้           แต่หากไม่สามารถชำระได้ตลอดเงื่อนไข ดอกเบี้ยที่พักไว้จะยังคงอยู่เช่นเดิม ส่วนเงินต้นจะมีการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อลดค่างวด ทั้งนี้ ลูกหนี้ที่เข้าร่วมมาตรการจะต้องหยุดก่อหนี้ระยะหนึ่ง หากไม่สามารถทำได้ก็จะยุติการพักดอกเบี้ย           กล่าวโดยสรุปด้วยระยะเวลาพักดอกเบี้ยที่ค่อนข้างนาน และมีเงื่อนไขในการยกเว้น ดอกเบี้ยให้ แต่ด้วยความช่วยเหลือ อาจขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแต่ละ ธ.พ. (ช่วง COVID-19 ณ สิ้นงวด Q3/63 พบว่า TISCO มีสัดส่วนมูลหนี้ภายใต้การช่วยเหลือ ต่ำกว่ากลุ่มฯ) และความสมัครใจของลูกหนี้ จึงให้มุมมองลบเล็กน้อย คำแนะนำการลงทุน โดย ธ.พ. ที่ให้ Div yield สูง           ฝ่ายวิจัยชอบ TISCO, SCB มากกว่า TTB และ KKP ในทางตรงข้าม ธ.พ. ที่จะได้รับผลกระทบจากการลดดอกเบี้ยนโยบาย มากกว่ากลุ่ม ชอบ KTB, BBL มากกว่า KBANK จาก Coverage ratio สูงกว่า และสัดส่วนสินเชื่อที่เข้าเงื่อนไขการช่วยเหลือลูกหนี้ต่ำกว่ากลุ่มฯ

พฤอา
242526272812345678910111213141516171819202122232425262728293031123456