#หุ้นเด่น


TPS ยิ้ม! รัฐดันไทยศูนย์กลางบล็อกเชน

TPS ยิ้ม! รัฐดันไทยศูนย์กลางบล็อกเชน

         หุ้นวิชั่น - สำหรับบมจ.เดอะแพรคทิเคิลโซลูชั่น (TPS) สัญญาณดีส่งท้ายปี 67 เมื่อภาครัฐเตรียมผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีบล็อกเชนระดับโลก เพราะ มีธุรกิจไซเบอร์ซีเคียวริตี้ (Cyber Security) และบล็อกเชน (Blockchain) ที่กำลังไปได้สวย รวมทั้งตอนนี้ มี Backlog แน่นกว่า 1,931.50 ล้านบาท แถมด้วย ออเดอร์ใหม่เข้ามาแบบรัวๆ ฟากซีอีโอสุดขยัน “บุญสม กิจเกษตรสถาพร” พร้อมลุยประมูลงานใหญ่ มาร์จิ้นสูง ชนิดไปต่อไม่รอใคร! เพื่อเป้าหมายการเป็น Tech Company  อย่างครบวงจร ส่งมอบผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย...อย่างนี้ ไม่ต้องให้เดา ผลงานปีนี้เข้าเป้าแบบชิลๆ ไปเลยคร้า!!

ท่องเที่ยวคึกคัก โบรกชอบ AOT AWC BJC CPALL

ท่องเที่ยวคึกคัก โบรกชอบ AOT AWC BJC CPALL

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ข้อมูลจากสeนักงานตรวจคนเข้าเมือง พบว่า นักท่องเที่ยวช่วงปลายปีเร่งขึ้น 19 ธ.ค. อยู่ที่ 1.25 แสนคน vs ช่วง 1-15 ธ.ค. 24 เฉลี่ยอยู่ที่ 1.05 แสนคน ขณะที่หนุน YTD (1 ม.ค. -19 ธ.ค. 24) อยู่ที่ 33.96 ล้านคน หากช่วงที่เหลือของปียังอยู่ในโมเมนตัมดังกล่าว นักท่องเที่ยวทั้งปีคาดอยู่ในกรอบตลาดประเมิน 35.5-36 ล้านคน ประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้นท่องเที่ยว หุ้นอิงภาคบริการ อาทิ AOT AWC BJC CPALL

คืบแผนเปิด Entertainment Complex หุ้นไหนเด่น เช็กจ้ะ!

คืบแผนเปิด Entertainment Complex หุ้นไหนเด่น เช็กจ้ะ!

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) รมช. คลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้าการพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร หรือ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ (Entertainment Complex) คาดว่า กระทรวงการคลังจะเสนอ ครม. ราวต้นปี 2025 เราประเมินความคืบหน้าดังกล่าวจะหนุนตลาดเริ่ม เชื่อมั่นต่อโอกาสเติบโตภาคบริการระยะกลางเพิ่มขึ้น ประเมินหุ้นเด่นในธีมเด่นดังกล่าว AWC, BTS, VGI, AOT, BA, MBK ระยะสั้นเน้น BTS ที่กำลังเข้าสู่ช่วง Turnaround เป็นอีกแรงเสริม และ AWC

หุ้นท่องเที่ยวรับโชค ได้ประโยชน์  ‘Easy E-Receipt’ เช็กเลย!

หุ้นท่องเที่ยวรับโชค ได้ประโยชน์ ‘Easy E-Receipt’ เช็กเลย!

หุ้นวิชั่น - บล.ดาโอ ส่องหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก Easy E-Receipt มองกลุ่ม Tourism (ERW, CENTEL, MINT, SHR) และร้านอาหาร (MAGURO, OKJ) ได้ผลบวกจากค่าที่พักโรงแรมสามารถนำมาหักภาษีได้และคาดเห็นมีโรงแรมเข้าร่วมโครงการมากขึ้น ส่วน CENTEL และ MINT จะได้ประโยชน์เพิ่มเติมจากร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการ และกลุ่มร้านอาหาร MAGURO และ OKJ ได้ผลบวกจากโอกาสมียอดผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นจากโครงการดังกล่าว นอกจากนี้ กลุ่ม Commerce (กลุ่มผู้ค้าปลีกสินค้าอิเล็กทรอนิกซ์,  IT และห้างสรรพสินค้าจะได้ผลบวกมากสุด) มองบวกต่อโครงการ Easy e-Receipt ที่จะช่วยหนุนให้เกิดการใช้จ่ายในประเทศเพิ่มขึ้น ฝ่ายวิจัยประเมินว่ากลุ่มค้าปลีกที่มี basket size ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่ม Home improvement (HMPRO, GLOBAL) และผู้ค้าปลีกสินค้าอิเล็กทรอนิกซ์ IT (COM7)จะได้ผลบวกมากสุด และ ห้างสรรพสินค้า (CRC,CPN) จาก traffic ที่สูงขึ้น จากระยะเวลาโครงการที่ไม่นาน บนสมมติฐานระยะเวลาโครงการเหมือนกับในปี 2024 ที่ผ่านมาที่ให้สามารถใช้จ่ายได้ไม่ได้นานมากรวมทั้งสิ้นที่ 46 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-15 ก.พ. 2024 แต่มีการให้สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีในปี 2024 ที่สูงขึ้น เป็น 50,000 บาท (ปี 2024 = 50,000 บาท, ปี 2023 = 40,000 บาท, ปี 2022 = 30,000 บาท) ฝ่ายวิจัยแนะ Top picks จากประเด็นข้างต้นคือ HMPRO (ซื้อ/13.00 บาท), CRC (ซื้อ/45.00 บาท), CPN (ซื้อ /72.00 บาท), CENTEL (ซื้อ /44.00 บาท), MAGURO (ซื้อ /26.00 บาท) 

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

หุ้น รพ. แนวโน้มปีหน้า รอด หรือ ร่วง ?

หุ้น รพ. แนวโน้มปีหน้า รอด หรือ ร่วง ?

        หุ้นวิชั่น - ฝ่ายวิจัย คงน้ำหนักการลงทุนของกลุ่ม รพ. "มากกว่าตลาด" เนื่องจาก กลุ่ม รพ. มีความ defensive มีความเสี่ยงต่ำในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่ราคาหุ้นปรับลดลงสะท้อนข่าวลบมากไป แนวโน้มปี2568 คาดผลประกอบการยังเติบโตดี ภาพระยะกลางถึงยาว มองเป็นบวกจากมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่ภาครัฐสนับสนุนให้ เป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ฝ่ายวิจัย เลือก BCH (TP20.40บาท) และ BDMS (TP37.60บาท) เป็นหุ้น Top pick และแนะนำ “ซื้อ” มองว่าราคาปรับลดลงสะท้อนข่าวลบมากไป สำหรับ BDMS คาดปี 2568 เติบโตดีต่อเนื่อง ตามการเติบโตของ Center of Excellence การขยาย ฐานลูกค้าต่างประเทศเพิ่ม BCH ในปี 2568 คลายปมประเด็นประกันสังคมสำหรับอัตราการเบิกจ่ายเงินชดเชยโรคร้ายแรง และคาดว่าลูกค้าคูเวตจะกลับมารักษา ราคาลงสะท้อนข่าวลบมากไป เลือก BDMS และ BCH เป็นหุ้นเด่น คงน้ำหนักการลงทุนของกลุ่ม รพ. ”มากกว่าตลาด” เนื่องจาก กลุ่ม รพ. มีความdefensive มีความเสี่ยงต่ำ ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่ราคาหุ้นปรับลดลงสะท้อนข่าวลบมากไป จากประเด็น Co-payment ซึ่งมองว่ากระทบจำกัด แนวโน้มปี2568 คาดผลประกอบการยังเติบโตดี ภาพระยะกลางถึงยาวมองเป็นบวกจากมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่ภาครัฐสนับสนุนให้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ฝ่ายวิจัยเลือก BCH(TP20.40บาท) และ BDMS (TP37.60บาท) เป็นหุ้น Top pick ด้วย แนวโน้มผลประกอบการปี 2568 ที่คาดเติบโตดี ขณะที่ราคาปรับลดลงสะท้อนข่าวลบมากไป

SPAไฮซีซั่นท่องเที่ยว หนุนกำไรพอง แนะ

SPAไฮซีซั่นท่องเที่ยว หนุนกำไรพอง แนะ "ซื้อ" เป้า 8.50 บ.

 หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุถึง SPA ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น การขยายสาขาผลักดันผลประกอบการใน 4Q24 ฝ่ายวิเคราะห์มองว่า SPA เป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบัน 2024YTD มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 33.4 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 27% YoY, คิดเป็น 90% ของระดับก่อนโควิด) และนักท่องเที่ยวจีนกลับมาแล้ว 65% ของระดับก่อนโควิด ซึ่งส่งผลบวกต่อ SPA เนื่องจากลูกค้าต่างชาติสร้างรายได้ถึง 70% ของรายได้รวม โดยนักท่องเที่ยวจากเอเชียตะวันออกคิดเป็น 50% ของรายได้ SPA ทั้งนี้ แรงส่งจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวคาดว่าจะช่วยรักษาระดับ SSSG ให้ใกล้เคียงกับ 3Q24 ที่ 8% นอกจากนี้ SPA ยังขยายสาขาเพิ่มอีก 2 สาขา ทำให้สิ้นปี 2024F จะมีสาขารวม 79-80 สาขา (เพิ่มจาก 77 สาขาในไตรมาส 3/24 เทียบกับที่เรา คาดการณ์ไว้ที่ 79 สาขา) สำหรับปี 2025F บริษัทได้คัดเลือกทำเลสำหรับสาขาใหม่แล้ว 4-5 แห่ง และอยู่ระหว่างเจรจาเพิ่มเติม คาดกำไรเติบโต YoY, QoQ ใน 4Q24F ด้วยแนวโน้ม SSSG ที่เป็นบวกและผลจากการขยายสาขา คาดว่ากำไรหลักใน 4Q24F จะเติบโต QoQ ตามปัจจัยฤดูกาล สำหรับเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากใน 4Q23 บริษัทมีบันทึกรายการสิทธิประโยชน์ทางภาษีจำนวน 56 ล้านบาท หากไม่รวมรายการดังกล่าว เราคาดกำไรก่อนภาษีของ SPA ใน 4Q24F จะเติบโต YoY ทั้งนี้ ผลประกอบการ 9M24 อยู่ที่ 217 ล้านบาท (+13% YoY) คิดเป็น 69% ของประมาณการทั้งปีของเรา ดังนั้น เรายังคงประมาณการผลประกอบการ โดยคาดอยู่ที่ 313 ล้านบาท สำหรับปี 2024F และ 365 ล้านบาท (+16% YoY) สำหรับปี 2025F คงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 8.50 บาท (DCF) ปัจจุบัน SPA ซื้อขายอยู่ที่ 25x 2025F PER คิดเป็น -1SD ของค่าเฉลี่ยในอดีต โดยเราคาดผลประกอบการเติบโตเฉลี่ย 16% ต่อปีระหว่างปี 2024-2026F ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยว การขยายสาขาและมาร์จิ้นที่ดีขึ้น ดังนั้น ยังคงแนะนำ "ซื้อ" ด้วยราคาเป้าหมาย 8.50 บาท

ราคาน้ำมันปิดลบ ชี้หุ้นสายการบิน AAV รับอานิสงส์

ราคาน้ำมันปิดลบ ชี้หุ้นสายการบิน AAV รับอานิสงส์

  หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) น้ำมันดิบ Brent -0.98% d-d ปิดที่ USD 72.67/barrel น้ำมัน WTI -0.91%d-d ปิดที่ USD 69.38/barrel แรงกดดันจากคาดการณ์ Demand การบริโภคน้ำมัน จากมุมมองธนาคารกลางสำคัญมีโอกาสลดดอกเบี้ยในระยะยาวช้าลง และ Dollar index แข็งค่าแรงเป็นปัจจัยกดดัน มองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ แต่ในทางตรงข้ามจะบวกต่อหุ้นสายการบิน AAV กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ฯลฯ

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

โบรกแนะหุ้นตัวไหน ช่วง SET แกว่งตัวลง เช็กเลย!

โบรกแนะหุ้นตัวไหน ช่วง SET แกว่งตัวลง เช็กเลย!

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.เคจีไอ คาดทิศทางตลาดหุ้นวันนี้ แกว่งลงต่อ - ติดตามผลประชุม กนง. บ่ายวันนี้ เมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นไทยร่วงแรงกว่าที่เราคาด... ดัชนีฯ ปิดลบ 1.70% หลุดระดับทางจิตวิทยาที่ 1,400 จุด เพราะ 1. แรงขายหุ้น CPAXT และหุ้นอื่นๆ ในกลุ่มยังไม่หยุด จากความกังวลต่อการลงทุนในโครงการมิกซ์ยูส ‘The Happitat at Forestias’ 2. หุ้นเชื่อมโยงเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจจีนยังคงปรับลดลง สะท้อนตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่กลับมาชะลอตัว และความไม่แน่นอนของสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ฝ่ายวิจัยฯ ประเมิน SET Index วันพุธแกว่งลงต่อ เนื่องจาก 1. ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับลงเมื่อคืนนี้ นักลงทุนชะลอเพื่อติดตามผลประชุม US FOMC คืนวันนี้ โดยแม้ตลาดได้คาดไว้แล้วว่า Fed จะลดดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ 4.50% แต่ประเด็นสำคัญที่น่าติดตามได้แก่ ประมาณการดอกเบี้ยปี 2568-2569 (dot-plot projection) รวมทั้งการปรับประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐฯ 2. บ่ายวันนี้ กนง. จะแถลงผลประชุม ทางเราคาด กนง. จะลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ 2.00% แต่ consensus คาดคงดอกเบี้ย (17 จาก 19 คนใน Bloomberg survey มองคงดอกเบี้ย) ในแง่ของ valuations ของดัชนีฯ นั้น หลังจากดัชนีฯ หลุดระดับ 1,400 (ซึ่งเป็นระดับที่เราเคยมองว่าจะรับอยู่... หลังปัจจัยแวดล้อมของตลาดเป็นลบมากขึ้น) เราประเมินด้วยตัวเลข earnings yield gap (EYG) พบว่าทางลงของดัชนีฯ ถัดไปอยู่แถว 1,350 จุด อิงบอนด์ยิลด์ 10 ปีของไทยที่ 2.50% และระดับ EYG ที่ใส่ความเสี่ยงไปมากแล้ว ที่ mean + 1.5SD... กลยุทธ์ช่วงสั้น แนะนำรอให้แรงขายชะลอ จึงเข้าสะสมหุ้นธีมเด่น เช่น • ค้าปลีก (เน้นหุ้น CRC เป็นหลัก*) • หุ้นไฟแนนซ์ที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง • หุ้นธีมท่องเที่ยว หุ้นเด่นวันนี้ ตามปัจจัยพื้นฐาน 1. RATCH* (เป้าพื้นฐาน 33.5 บาท) o มุมมองด้านเทคนิค: ประเมินราคาหุ้นพักลงมาบริเวณค่าเฉลี่ย 200 วัน (EMA) ประเมินแนวรับ 31 บาท / แนวต้าน 32.5 – 33.0 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 34 บาท (Stop loss 30.25 บาท) o Sentiment บวก: จากการประกาศผลผู้ชนะประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน และลุ้น กนง. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ล่าสุด กกพ. ประกาศรายชื่อบริษัทที่ชนะประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนเฟส 2 RATCH* + SCG ชนะประมูลโซลาร์ฟาร์มรวม 5 โครงการ (338MW) o Valuation: PBV 0.73 เท่า (-1 SD ตั้งแต่ปี 2561 - ปัจจุบัน) Dividend yield +5% 2. KTC* (เป้าพื้นฐาน 54 บาท) o มุมมองด้านเทคนิค: ราคาเริ่มฟื้นตัวหลังพักฐาน ลุ้นทำจุดสูงใหม่ แนวรับ 48.25 บาท / แนวต้าน 49.5 – 51 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านจุดสูงเดิมไปได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 52.0 บาท (Stop loss 47 บาท) o Sentiment บวก: จากทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาลง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนการเติบโตของสินเชื่อและคุณภาพสินทรัพย์ o Valuation: PBV 3.3 เท่า (ต่ำกว่า -1 SD ที่ 3.4 เท่า) 3. SAWAD* (เป้าพื้นฐาน 46 บาท) o มุมมองด้านเทคนิค: ประเมินราคาเริ่มฟื้นตัวหลังพักบริเวณค่าเฉลี่ย 200 วัน ประเมินแนวรับ 40.75 บาท / แนวต้าน 42 - 43 บาท กรณีฟื้นตัวผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 44.5 บาท (Stop loss 39.25 บาท) o Sentiment บวก: จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐฯ และแนวโน้มดอกเบี้ยลง โดยเฉพาะมาตรการแก้หนี้ครัวเรือนจะช่วยหนุนราคาสินทรัพย์ เช่น รถมือสอง และลดผลขาดทุนรถยึด o Valuation: Forward PE 10.7 เท่า (ต่ำกว่า -1 SD ที่ราว 11.5 เท่า)

นทท. แน่นทุบสถิติ โบรกมอง  AAV - CENTEL – MINT เด่นสุด

นทท. แน่นทุบสถิติ โบรกมอง AAV - CENTEL – MINT เด่นสุด

         หุ้นวิชั่น - บล.ดาโอ มองเป็นบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยวจากตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นทุก ประเทศใน Top 5 โดยจำนวนนักท่องเที่ยวรวมทำจุดสูงสุดในรอบ 50 สัปดาห์ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นได้ดีเพราะการเข้าสู่ช่วง High season ของไทย ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนเริ่มฟื้นตัวได้ดีต่อเนื่องอีก +11% WoW และนักท่องเที่ยวรัสเซียมีการเพิ่มขึ้นได้สูงสุดในรอบ 11 สัปดาห์ (CENTEL มีสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวรัสเซียมากสุดที่ 5% รองลงมาเป็น ERW ที่ 3%) โดยประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวรวมเฉลี่ยรายสัปดาห์ในช่วง 16-22 ธ.ค. 24 จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่องจนถึง 1Q24E จากการเข้ามาของนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) โดยเฉพาะตลาดภูมิภาคยุโรป ประกอบกับมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีผลต่อจำนวนที่นั่งเข้าไทย ( Seat Capacity) ระหว่างเดือน ก.ค. มาจนถึง ธ.ค. ที่จะเพิ่มขึ้น 10% รวมถึงการกระตุ้นและส่งเสริมให้สายการบินเพิ่มจำนวนเที่ยวบินมากยิ่งขึ้น ขณะที่ในเดือน ธ.ค. 24 ยังมีหลายเทศกาลเข้ามาช่วยหนุน ทั้งนี้ ภาพรวมของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปี 2024E ยังอยู่ในกรอบประมาณการนักท่องเที่ยวรวมและ นักท่องเที่ยวจีนที่เราประเมินไว้ โดยหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากนักท่องเที่ยวจีนที่ เพิ่มขึ้น เรียงลำดับจากมากไปน้อยตามสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวจีน ได้แก่ ERW, CENTEL, MINT, SHRคงประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวรวม ปี 2024E เพิ่มขึ้น +28% YoY และนักท่องเที่ยวจีน +84% YoY ฝ่ายวิจัยยังคง ประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวรวมปี 2024E จะอยู่ที่ 36 ล้านคน เพิ่มขึ้น +28% YoY และคาดจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะอยู่ที่ 6.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึง +84% YoY ขณะที่คาดจำนวนนักท่องเที่ยวรวมปี 2025E จะอยู่ที่ 39 ล้านคน เพิ่มขึ้น +8% YoY และคาดจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะอยู่ที่ 8 ล้านคน เพิ่มขึ้น +23% YoY Valuation/Catalyst/Risk ฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “มากกว่าตลาด” โดย Top pick ของกลุ่ม ท่องเที่ยวยังชอบ AAV, CENTEL และ MINT AAV (ซื้อ/เป้า 3.60 บาท) คาดกำไรปกติ 4Q24E จะดีโดดเด่นจากการเข้าสู่ high season ส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารและค่าตั๋วโดยสารจะเพิ่มขึ้นได้ดี CENTEL (ซื้อ/เป้า 44.00 บาท) จาก 4Q24E-1Q25E โตได้ต่อเนื่องจากการ เข้าสู่ High season ด้าน Valuation ซื้อขายที่ 2024E EV/EBITDA ที่ 11.7x (-1.25SD below 8-yr average EV/EBITDA) ถูกกว่า ERW ที่ 14.6x ขณะที่ กำไรปกติปี 2025E จะเติบโตได้สูงที่สุด (+18% YoY) เมื่อเทียบกับ MINT และ ERW MINT (ซื้อ/เป้า 34.00 บาท) จาก valuation ยังถูกกว่ากลุ่มฯซื้อขาย 2024E EV/EBITDA ที่ 10x (-2.00SD below 10-yr average EV/EBITDA) ถูกกว่า ERW และ CENTEL ที่ average EV/EBITDA ขณะที่คาดกำไรปกติ 4Q24E จะโต YoY ได้ต่อเพราะเป็น High season ที่ไทยและมัลดีฟส์เข้ามาช่วยหนุน ประกอบกับมีแผนการจัดตั้ง REIT ที่จะช่วยลดความผันผวนได้หลาย

เช็กด่วน หุ้นโรงพยาบาลรับเต็ม! มติจ่ายค่ารักษาพยาบาลกรณีโรคยาก

เช็กด่วน หุ้นโรงพยาบาลรับเต็ม! มติจ่ายค่ารักษาพยาบาลกรณีโรคยาก

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.67 ที่ประชุมบอร์ดประกันสังคมมีมติเห็นชอบจ่ายอัตราค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยกรณีโรคยากให้กับโรงพยาบาล (รพ.) เอกชนคงที่ 12,000 บาท/AdjRW มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.68 เป็นต้นไป • ความเห็น มองเป็นบวกกับกลุ่มรพ.ประกันสังคม BCH (สัดส่วน 34%) CHG (สัดส่วน 33%) และ RJH (สัดส่วน 51%) อย่างไรก็ตาม แนวโน้ม 4Q67 อาจถูกกระทบ จากการบันทึกค่ารักษาที่อาจได้รับต่่ากว่า 12,000 บาท/AdjRW ในช่วงที่เหลือของงบประมาณปี 67 (ปัจจุบันได้รับถึงเดือนมิ.ย.67) เพื่อไม่ให้ต้องกลับรายการในปี 68 โดยเราชื่นชอบ BCH เนื่องจากยังมีปัจจัยช่วยหนุนผลประกอบการปี 68 เพิ่มเติม อาทิ ได้รับการติดต่อจากคูเวตเพื่อขอทราบรายละเอียดราคาค่าบริการ ท่าให้มีความมั่นใจ เกี่ยวกับการส่งตัวผู้ป่วยคูเวตว่าจะติด 1 ใน 3 รพ.เป้าหมาย และรพ.ใหม่ทั้ง 3 แห่งมีโอกาส พลิกมีก่าไรในปี 68 ทั้งนี้ Bloomberg Consensus คาดก่าไรปี 67-68 ของ BCH ราว 1,481 ลบ. +5%YoY (9M67 คิดเป็น 70%) และ 1,728 ลบ. +17%YoY ตามล่าดับ และราคาเหมาะสม 21 บาท มี Upside26% แนะน่า "ซื้อ"

abs

Hoonvision

JMTผลงานโตเด่น จับตาโค้งท้ายพีค แนะ

JMTผลงานโตเด่น จับตาโค้งท้ายพีค แนะ "ซื้อ" เป้า 21.6 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) ผลประกอบการจะเติบโตโดดเด่นในปี 25F โดยสิ้นงวด ก.ย. 24 JMT มีพอร์ตหนี้เสียในมูลค่ารวม 534,864 ล้านบาท โดย 87% เป็น Unsecured NPL และ 13% เป็น Secured NPL ขณะที่การซื้อหนี้ 9M24 มีเพียง 807 ล้านบาท เทียบกับ 9M23 ที่ใช้เงินซื้อ 6,380 ล้านบาท เราแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 21.6 บาท          โดยมองว่าผลประกอบการใน 4Q24F จะเป็นช่วงพีคที่สุดของปีโดยปี 24F ประเมินกำไรสุทธิที่ 1.66 พันล้านบาท -16% YoY ชะลอตัวลงจาก 1.การเพิ่มค่าใช้จ่ายเพื่อปรับปรุงกระบวนการติดตามหนี้ราว 500 ล้านบาท ในช่วงมิ.ย. เป็นต้นมา เพื่อลดค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองในระยะยาว ค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการจัดเก็บหนี้ด้อยคุณภาพที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย Cash collection ที่ชะลอตัว ส่วนหนึ่งมาจากการปรับเกณฑ์การขายหนี้ด้อยคุณภาพของ ธปท. ที่ทำให้สถาบันการเงินขาย NPL และ NPA ได้น้อยลง เนื่องจากต้องมีการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งก่อนและหลังเป็นหนี้เสีย ก่อนที่จะขายหนี้ออกมาได้จึงใช้เวลานานและมีปริมาณหนี้น้อยลงมาขายสู่ตลาด         สำหรับแนวโน้มการเติบโตเฉลี่ยแบบ CAGR ของกำไรสุทธิในปี 24-26F คิดเป็น 10% โดยผลประกอบการจะเติบโตโดดเด่นในปี 25F ที่ประเมินกำไรสุทธิราว 2.05 พันล้านบาท +23% YoY เนื่องจาก 1. คาดหวังก่อตั้ง AMC กับพาร์ทเนอร์สถาบันการเงินอีกแห่ง หนุนส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีเพียง JK AMC แนวโน้มค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองที่ลดลงจากการจัดเก็บหนี้ที่ดีขึ้น โดยวางแผนซื้อหนี้เพิ่ม 2-3 พันล้านบาท ได้ประโยชน์จากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ภายใต้บรรยากาศการปรับลดดอกเบี้ยของ ธปท. อย่างน้อย 1-2 ครั้งในปี 2025 หนุนรายได้ในทุกกลุ่มธุรกิจขยายตัว YoY

“เคจีไอ” ฉายภาพหุ้น MAJOR – PLANB ลุ้นปีหน้าโตต่อเนื่อง

“เคจีไอ” ฉายภาพหุ้น MAJOR – PLANB ลุ้นปีหน้าโตต่อเนื่อง

         หุ้นวิชั่น - บล.เคจีไอ ส่องหุ้นกลุ่มมีเดีย โดยฝ่ายวิจัยมองว่าได้สังเกตว่ากลุ่มสื่อโฆษณาของประเทศไทยเผชิญเส้นทางต่าง ๆ ที่แตกต่างกันในช่วงการเปลี่ยนผ่านสู่การโฆษณาดิจิทัลช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ การโฆษณาในโรงภาพยนตร์และการโฆษณาผ่านสื่อนอกบ้าน (OOH) เป็นสื่อแบบดั้งเดิมเพียงสองสื่อที่สามารถเติบโตได้ และฝ่ายวิจัยเชื่อว่าสองสื่อนี้จะโตต่อเนื่องในปี 2568 ส่วนสื่อโฆษณารูปแบบดั้งเดิมอื่นๆ คาดว่าจะลดลงต่ออีก ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคงให้น้ำหนักลงทุนกลุ่มนี้ “ เท่ากับตลาด ฯ” (Neutral) โดยเลือก MAJOR เป็นหุ้นเด่นสุดในกลุ่ม เพราะฝ่ายวิจัยคาดว่าจะเห็นกําไรเติบโตโดดเด่นในปีหน้าด้วยสัดส่วน รายได้จากโรงภาพยนตร์มากขึ้น โดยแนะนําซื้อ ประเมินราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 17.80 บาท มองแนวโน้มไตรมาส4/2567 มองแนวโน้มกําไรใน Q4/67 ฝ่ายวิจัยคาดว่ากําไรรวมใน Q4/67  ของกลุ่มสื่อโฆษณาที่เราศึกษาอยู่จะดีขึ้นทั้ง YoY และ QoQ เนื่องจากเป็น ช่วงการใช้จ่ายเม็ดเงินโฆษณาสูงสุดในปีของธุรกิจสื่อ ซึ่งจะดันให้margin ดีขึ้น จากนั้น กําไรใน Q1/68อาจชะลอตัว QoQ เนื่องจากเป็นช่วง low season ของธุรกิจนี้แต่เรายังคาดว่าจะเห็นการเติบโต YoY จากเม็ดเงินโฆษณามากขึ้นและภาพยนตร์โด่งดังหลาย ๆ เรื่องรอเข้าฉายอยู่ ฝ่ายวิจัยคาดกําไรสุทธิใน Q4/67  ของ MAJOR ฟื้นตัวโดดเด่น QoQ เป็นเพราะผลการดําเนินงานแข็งแกร่งจาก หนังไทย น่าจะช่วยหนุนรายได้จากโรงภาพยนตร์และอัตรากําไรขั้นต้นดีขึ้น ในขณะเดียวกัน กําไรน่าจะทรงตัว YoY จากฐานสูงเป็นเพราะมีหนังไทยหลาย ๆเรื่องประสบความสําเร็จอย่างมากใน Q4/66 ขณะที่กําไรสุทธิใน Q4/67 ของ PLANB คาดว่าจะเป็นจุดสูงสุดของปีโดยที่ คาดกําไรเติบโตปานกลาง QoQ และ YoY ในเบื้องต้นเป็นเพราะ margin ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม คาดกําไรใน Q1/68 ลดลง QoQ จาก ปัจจัยฤดูกาล แต่ดีขึ้น YoY เพราะการเพิ่มขึ้นของพื้นที่สื่อโฆษณาน่าจะช่วยหนุนรายได้และ margin ของสื่อ OOH ให้สูงขึ้น พร้อมฉายภาพแนวโน้มกําไร ปี 2568         ฝ่ายวิจัยคาดว่ากําไรปี2568 ของ MAJOR จะเติบโต 26% YoY จากหนังเด็ดโด่งดังของค่าย Hollywoodหลากหลายเรื่องรอจะเข้าฉาย และโมเมนตัมบวกของหนังไทยมาแรงต่อเนื่อง น่าจะดันรายได้โรงภาพยนตร์สูงขึ้น (ยอดขายตั๋วและยอดขายเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยว) เรายึดแนวอนุรักษ์นิยม โดยประเมินจํานวนผู้เข้าชมอยู่ราว 37.6 ล้านคน (เทียบกับเป้าหมายของบริษัทที่ 40 ล้านคน) และคาดว่าบริษัทจะสามารถปรับเพิ่มราคาตั๋วเฉลี่ยขึ้นในปี2568 ได้ประเด็นนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อรายได้จากการโฆษณาของบริษัท (คิดเป็น 13% ของรายได้) และอัตรากําไรขั้นต้นด้วย           และฝ่ายวิจัยมองว่า PLANB จะได้รับประโยชน์จากการเป็นผู้เล่นหลักในสื่อ OOH ในปี2568 แต่ทว่า คาด utilization rate จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย (76.5% ในปี2568F เทียบกับ 75.2% ในปี2567F) เพราะปัจจุบันอยู่สูงที่ >70-75% อย่างไรก็ดีPLANB อาจยังได้รับประโยชน์จากการปรับราคาสื่อขึ้น ซึ่งจะช่วยหนุนให้GPM ดี ขึ้นด้วย นอกจากนี้บริษัทตั้งเป้าแทนที่ static billboard บางส่วนด้วยป้ายสื่อดิจิทัลในทําเลที่เป็นกลยุทธ์ หลัก ๆ ถึงแม้ว่ารายได้จากการจัดกิจกรรมแข่งขันฟุตบอลและมวย การตลาดแบบมีส่วนร่วม (16% ของรายได้รวมปี2568F) น่าจะลดลง22% YoY เนื่องจากการไม่มีรายได้จากการบริหารสิทธิ์งานโอลิมปิกแล้ว

เจาะนโยบายรัฐฯปีหน้า โอกาสหุ้นได้ประโยชน์

เจาะนโยบายรัฐฯปีหน้า โอกาสหุ้นได้ประโยชน์

หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี จับตานโยบายรัฐบาล จากนายกฯ แถลงผลงาน 3 เดือน พร้อมให้มุมมองปี 2025 ภายใต้แนวทาง “โอกาสไทย ทำได้จริง” มีเรื่องเป็นประเด็นใหม่ ดังนี้ 1.) โครงการ บ้านเพื่อคนไทย จะมีการใช้ที่ดินรัฐฯ ที่ใกล้แนวรถไฟฟ้า แต่ไม่มีการใช้ประโยชน์ สร้างบ้าน ให้ประชาชนที่ยังไม่มีบ้าน เริ่มลงทะเบียน 20 ม.ค. ฝ่ายวิจัยประเมินจิตวิทยาบวกหุ้นที่มีโอกาสเห็น Upside งานก่อสร้างที่มีฐานรายได้ไม่ใหญ่ อาทิ PYLON SEAFCO 2.) โครงการรถไฟฟ้า 20 บาท เรื่องใหม่ คือ การยืนยันผลักดันให้เกิดขึ้นในปี 2025F ฝ่ายวิจัยประเมินเป็นบวกต่อ BTS ที่ได้ประโยชน์จากนโยบายดังกล่าวชัดเจนกว่า BEM 3.) โครงการกองทุนหมู่บ้าน SML พัฒนาหมู่บ้าน กระจายอ านาจสู่ชุมชน ฝ่ายวิจัยประเมินบวกต่อหุ้น Domestic ที่อิงกำลังซื้อฐานราก CPALL. CPAXT, BJC, GLOBAL 4.) โครงการ ODOS ให้ทุนการศึกษา หนึ่งอ าเถอ หนึ่งทุน ฝ่ายวิจัยประเมินบวกระยะกลาง-ยาว ส่วนนโยบายเศรษฐกิจเดิมที่ยังยืนยันเดินหน้าต่อเนื่อง อาทิ - การนำธุรกิจนอกระบบ (49% ของ GDP) เข้ามาอยู่ในระบบ - การผลักดันลงทุนอุตสาหกรรม S Curve ใหม่ อาทิ Data Center, EV, Semi-conductor เน้นการผ่อนคลายกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค และ - Digital Wallet จะดำเนินโครงการเงินหมื่นฟื้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 โดยเงินสดจะถึงมือ ผู้สูงอายุประมาณ 4 ล้านรายไม่เกินตรุษจีนนี้(ปลาย ม.ค. 25) หลังจากนั้น จะดำเนินการระยะที่ 3 สำหรับบุคคลทั่วไป เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องพร้อมกับยกระดับประเทศไทยให้ก้าวสู่ยุคดิจิทัล สำหรับโครงการที่ยืนยันจะดำเนินการต่อ ประเมินเป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทย โดย Digital Wallet จะช่วยเศรษฐกิจระยะสั้น ส่วนระยะกลาง-ยาว คือ การดึงเม็ดเงินใหม่ๆ เศรษฐกิจนอกระบบ+เม็ดเงินต่างประเทศเข้ามาต่อเนื่อง ขณะที่หนุนหุ้น Domestic ได้ประโยชน์การบริโภค ค้าปลีก เน้น CPALL, BJC, HMPRO ได้ประโยชน์จากการลงทุน นิคม เน้น WHA ธนาคาร เน้น KBANK, SCB, BBL

ความเชื่อมั่นผู้บริโภคโตต่อเนื่อง หนุนหุ้นค้าปลีก BJC – CRC - CPALL

ความเชื่อมั่นผู้บริโภคโตต่อเนื่อง หนุนหุ้นค้าปลีก BJC – CRC - CPALL

   หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บทวิเคราะห์ บล.พาย ระบุว่า เมื่อวานที่ผ่านมามหาวิทยาลัยหอการค้าไทยรายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือน พ.ย. พบว่าปรับดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ปัจจัยหนุนมาจากผู้บริโภคเริ่มเห็นว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลช่วยผ่อนคลายสถานการณ์เศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้นและการท่องเที่ยวก็เริ่มปรับดีขึ้นหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมที่ภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มคลี่คลาย แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยกดดันมาจากผู้บริโภคมีความรู้สึกว่าเศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้าและรายได้ในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่ด้วยการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นก็มองเป็นบวกเล็กน้อยกับหุ้นในกลุ่มอิงการบริโภค อาทิ ค้าปลีก (BJC CRC CPALL)          ส่วนสหรัฐฯเมื่อคืนรายงานดัชนีราคาผู้ผลิตพบว่าขยายตัว 3%YoY , 0.4%MoM ซึ่งสูงกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ที่ 2.6%YoY ขณะที่ไม่รวมพลังงานและอาหารก็ขยายตัวมากกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ ทั้ง นี้หลังรายงานพบว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯปรับขึ้นและ Dollar Index แข็งค่าอย่างมีนัยยะสำคัญ ด้านเงินบาทกลับมาอ่อนค่าทดสอบระดับ 33.92 บาท / ดอลลาร์สหรัฐฯ โดย CME FED Watch ให้น้ำหนัก 96.7% สำหรับการปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือน ธ.ค. อย่างไรก็ตามกับทั้งปี 25 ให้น้ำหนักลดดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้ง ทั้งนี้ด้วยการปรับขึ้นมาทั้งดัชนีราคาผู้ผลิตและดัชนีราคาผู้บริโภคส่งผลให้ปัจจัยด้านเงินเฟ้อและดอกเบี้ยกลับมาเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอีกครั้งเพราะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของกระแสเงินทุน ด้านการแถลงนโยบาย 100 วันของนายกรัฐมนตรีพบว่าเน้นย้ำเรื่องการแก้ปัญหา PM 2.5 พร้อมเดินหน้ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย โดยเน้นย้ำปี 25 จะให้น้ำหนักกับการลงทุนด้าน AI และ Semiconductor พร้อมเสริมเงิน Digital เฟส 2 ไม่เกินช่วงตรุษจีน          วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1430 – 1450 ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยช่วงปลายปีหนุนจากกระแสเงินทุนภายในประเทศและเศรษฐกิจไทยค่อยๆฟื้นตัว เน้นที่กลุ่มค้าปลีก (BJC CRC CPALL) ศูนย์การค้า (CPN) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) ท่องเที่ยว (AOT CENTEL MINT) คืนนี้ไม่มีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามโดยสัปดาห์หน้ารอติดตามผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯจะเป็นปัจจัยสำคัญส่งท้ายปี CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท) รายงานกำไรงวด 3Q24 ที่ 5.6 พันล้านบาท (+27%YoY) หลังหักรายการพิเศษจะมีกำไรปกติ 6.2 พันล้านบาท (+45%YoY) ดีกว่าที่เราและตลาดคาด 9% หนุนจากยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 ที่เติบโต 3.3%YoY จากยอดขายกลุ่มอาหารพร้อมทานและ Personal Care ที่เติบโตดี รวมกับการเติบโตของกำไรของ CPAXT จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Makro +1.5% และ Lotus’s +2.3%) ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 4Q24 จะเติบโต YoY และ QoQ ต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยว BBL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 168.00 บาท) คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตชะลอตัวที่ 2%/4.3% ในปี 2025-26 ด้าน ROE ปรับลดลงที่ 7.9%/7.8% ในปี 2025-26 จาก 8.1% ในปี 2024 และคาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง 5.3-5.6% ในปี 2024-26 ด้านแนวโน้มผลการดำเนินงานใน 4Q เราคาดกำไรจะลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาลที่ค่าใช้จ่ายการดำเนินงานเพิ่มขึ้น และรายได้ดอกดเบี้ยลดลง แต่กำไรจะปรับสูงขึ้น YoY จากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นหลัก

KSS คาด SET “แกว่งสร้างฐาน” เคาะต้าน 1448 จุด แนะ BTS, KTB, SPRC

KSS คาด SET “แกว่งสร้างฐาน” เคาะต้าน 1448 จุด แนะ BTS, KTB, SPRC

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “แกว่งสร้างฐาน” ต้าน 1445/1448 จุด รับ 1432/1427 จุด ดัชนี S&P500 -0.54% เงินเฟ้อผู้ผลิต PPI สหรัฐ ก.ย. 24 สูงกว่าคาด+ 3%y-y, 0.4%m-m vs prev. 2.6%y-y, 0.2%m-m ส่งผลให้US Bond Yield 10 ปี+6 bps สู่ 4.33% สูงสุดใน 2 สัปดาห์ทั้งนี้ ภาคแรงงานที่เริ่มเปราะบางขึ้น ผู้ขอรับสวิสดิการว่างงานครั้งแรก แย่กว่าคาด เพิ่มสู่ 2.42 แสนราย สูงสุดใน 6 สัปดาห์ แม้ระยะสั้นอาจมีความผันผวนจากภาพ PPI แต่ประเมินไม่เปลี่ยนภาพหลักวงจรดอกเบี้ยขาลง และสหรัฐพยายามประคองเศรษฐกิจ Soft Landing ใน ระยะกลาง         ด้านจีน หลังประชุม CEWC พบว่า ยังไม่มีการแถลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้แรงขับเคลื่อนเอเชียแผ่วลง แต่จุดประคอง SET คาดอยู่ที่ภายใน แม้โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ ที่นายกแถลงดูจะเน้นโครงการสร้างโอกาส ระยะกลาง-ยาวให้ประชาชน แต่โครงการเดิมที่ยังเดินหน้าต่อ อาทิ Digital Wallet เฟส 2 และ 3 , การเร่งสร้าง New S Curve ผสาน สัญญาณ รฟท.เร่งประมูลโครงการ Mega Projects รถไฟ รางคู่ ระยะ 2 > 1.0 แสนล้านบาท ในปี2025F ประเมิน SET สร้างฐาน หุ้นนำ คือ หุ้น Domestic ที่ได้ประโยชน์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไปยังองค์ประกอบ การบริโภค การลงทุนวันนี้แนะนํา BTS, KTB, SPRC

โรงกลั่นฟื้นตัวไตรมาส4 โบรกชู SPRC กำไรแกร่ง

โรงกลั่นฟื้นตัวไตรมาส4 โบรกชู SPRC กำไรแกร่ง

หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล.ดาโอระบุว่า ยังคงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” สำหรับกลุ่มพลังงาน กลุ่มโรงกลั่นมีความน่าสนใจมากที่สุด จากผลประกอบการ 4Q24E ที่จะฟื้นตัวดี โดยเลือก SPRC (ซื้อ/เป้า 8.50 บาท) เป็น Top pick โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้ 1) ราคาน้ำมันมีแรงกดดันจากภาวะล้นตลาด โดยล่าสุด IEA ระบุว่าปี 2025E จะมีอุปทานน้ำมันส่วนเกิน 0.95 ล้านบาร์เรลต่อวัน (mbd) (ประมาณเกือบ 1% ของอุปทานน้ำมันทั่วโลก) และจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.4 mbd หาก OPEC+ ปรับเพิ่มกำลังผลิตในเดือนเม.ย. 2025E โดยเราคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปี 2025E จะลดลงเป็น USD73/bbl จากระดับ USD79-80/bbl ในปี 2024E, 2) ราคาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติจะสูงขึ้นไม่ได้มากจากปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติคงคลังที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวในสหภาพยุโรป (EU), 3) ค่าการตลาด (marketing margin) ของกลุ่มค้าปลีกน้ำมันไทยมีแนวโน้มทรงตัวแต่ยังคงมีความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ (regulatory risk), 4) ค่าการกลั่นตลาด (market GRM)/ค่าการกลั่นพื้นฐาน (operating GRM) มีแนวโน้มสูงขึ้นใน 4Q24E ตามส่วนต่างราคา crack spread โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์กึ่งหนักกึ่งเบา (middle distillate) ที่ดีขึ้น ดัชนีกลุ่มพลังงานปรับตัวลงและ underperform SET –8% ในช่วง 6 เดือน ตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัว  ทั้งนี้ เลือก SPRC (ซื้อ/เป้า 8.50 บาท) เป็น Top pick ของกลุ่มพลังงานโดยเชื่อว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนผลประกอบการที่อ่อนแอใน 3Q24 ไปมากแล้ว เราเชื่อว่าบริษัทจะกลับมารายงานกำไรสุทธิได้ใน 4Q24E ตามแนวโน้ม market GRM/operating GRM ที่ฟื้นตัวและผลขาดทุนจากสต๊อก (stock loss) ที่เป็นไปได้ที่ลดลง

ASL คาด SET sideway กรอบ 1,440-1,460 เกาะติด CPI-PPI

ASL คาด SET sideway กรอบ 1,440-1,460 เกาะติด CPI-PPI

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด มุมมองตลาดเช้านี้ “แกว่งตัว sideway ในกรอบ 1,440-1,460" โดยติดตามข้อมูลเงิน CPI-PPI ที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจของเฟด รวมถึงปัจจัยในประเทศยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ชัดเจน แนะนํา selective buy หุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว  หุ้นเด่นประจำเดือน ธ.ค. : OR (เป้า 15.20 บ.), ITC (เป้า 22.10 บ.), CPALL (เป้า 65.00 บ.)  กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง - MTC SAWAD TISCO  กลุ่มท่องเที่ยว - AOT AAV / AWC ERW MINT SHR CENTEL  กลุ่มส่งออก - AAI ITC CPF TU STA DELTA CCET  กลุ่ม Trade war / นิคม - AMATA WHA PIN  กลุ่มกระแสลงทุน Data Center – AIT BE8 BBIK INSET GULF  กลุ่ม Domestic play - ADVANC BJC CPALL CPAXT CPN HMPRO OSP           ตลาดระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่สหรัฐฯ จะเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ว่าเฟดจะยุติวงจรการผ่อนคลายนโยบายการเงินในเดือนม.ค. ปีหน้าหรือไม่ หลังจากเจ้าหน้าที่เฟดหลายรายได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เฟดควรชะลอการผ่อนคลายนโยบายการเงินเมื่อพิจารณาจากเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว โดยคาดว่า Headline CPI พ.ย. จะอยู่ที่ +2.7% YoY จากเดือนก่อนที่ +2.6% YoY ขณะที่ Core CPI คาดที่ 3.3% YoY ทรงตัวจากเดือนก่อน ส่วน PPI คาดว่า Headline จะอยู่ที่ +2.5% YoY เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ +2.4% YoY ส่วน Core คาดที่ 3.3% YoY เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ 3.1% YoY ทั้งนี้ หากออกมาสอดคล้องกับการคาดการณ์ นักลงทุนก็จะมีความมั่นใจมากขึ้นว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ในการประชุมสัปดาห์หน้า โดยข้อมูลล่าสุดจาก FedWatch Tool บ่งชี้ว่าตลาดให้น้ำหนักราว 86% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 17-18 ธ.ค.            อย่างไรก็ตาม กลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ ปรับตัวลง รวมถึงดัชนี semiconductor ปรับตัวลง 2.5% หลัง 1. หุ้นบริษัทออราเคิล (Oracle) รายงานผลประกอบการที่ต่ำกว่าตลาดคาด และ 2. สำนักงานควบคุมกฎระเบียบตลาดของจีน (SAMR) ได้เริ่มสอบสวน NVIDIA ที่อาจละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดของจีน ขณะที่ตลาดมองว่าการดำเนินการดังกล่าวของจีนเป็นการตอบโต้สหรัฐฯ ที่ประกาศห้ามการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ไปยังบริษัทจีนจำนวน 140 แห่ง ซึ่งรวมถึงบริษัทผลิตชิปของจีน ด้านแถลงการณ์จากกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน หลังการประชุม 9-10 ธ.ค. ที่ผ่านมา ได้สร้างความเชื่อมั่นแก่ตลาดในเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น โดยทางการจีนจะใช้มาตรการทางการคลังในเชิงรุกมากขึ้น รวมทั้งใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายในปีหน้าเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ หนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจีนทำ new low และตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้น เป็น sentiment เชิงบวกต่อกลุ่ม China play แนะนำเก็งกำไร SCGP, SCC, PTTGC, TOP, IVL, TKN, CPF

เลือกเลือกหุ้นปัง ถือข้ามปี | จัดเต็มการลงทุน

เลือกเลือกหุ้นปัง ถือข้ามปี | จัดเต็มการลงทุน

https://www.youtube.com/watch?v=6SsRfydCjEY เลือกเลือกหุ้นปัง ถือข้ามปี | จัดเต็มการลงทุน ติดตามรายการ จัดเต็มการลงทุน ทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 9.00-9.30 น. ทาง ททบ.5 #

CGSI ชี้หุ้นไทยครึ่งปีแรก 68 ไหว…ไม่ไหว เช็กดู!

CGSI ชี้หุ้นไทยครึ่งปีแรก 68 ไหว…ไม่ไหว เช็กดู!

          หุ้นวิชั่น - ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งปีแรก 68 ยังไม่คึกคัก เชื่อว่านักลงทุนต้องการรอดูท่าทีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯจะปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนและประเทศอื่นๆครั้งใหญ่หรือไม่ นอกจากนี้ นายทรัมป์อาจมีมาตรการลดภาษีให้กับคนอเมริกัน ซึ่งจะช่วยหนุนตลาดหุ้นสหรัฐ จึงเชื่อว่าสถานการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลให้เงินลงทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไทย           ทั้งนี้ นโยบายเศรษฐกิจของนายทรัมป์ ยังอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯลดลงช้ากว่าที่ตลาดคาดการณ์ ซึ่งปัจจุบัน Bloomberg คาดว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 75bp เป็น 3.75% ภายในสิ้นปี 68 ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI จึงคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งเดียวในปี 68 เป็น 2.00% จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.25%           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI เชื่อว่า รัฐบาลไทยจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อลดผลกระทบจากปัจจัยลบภายนอก ประกอบด้วย โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 2 ที่รัฐจะแจกเงินให้คนไทยที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปในเดือนม.ค.68 ซึ่งตามรายงานข่าวระบุว่ารัฐบาลคาดว่าจะแจกเงินเฟส 2 ราว 4 หมื่นล้านบาท, มีแผนจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานภายในเดือนก.ย.68 เพื่อซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ, มีแผนปรับโครงสร้างหนี้ที่มีปัญหาหรือหนี้ที่ค้างชำระไม่เกิน 1 ปีในกลุ่มสินเชื่อบ้าน สินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อ SME ซึ่งมีมูลค่ารวม 1.3 ล้านล้านบาท, มีแผนปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาท/วัน เป็นต้น           สำหรับสถานการณ์การเมืองของไทยนั้น พรรคเพื่อไทยและน.ส.แพทองธาร ชินวัตรถูกยื่นคำร้องมากกว่า 10 คำร้อง ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI เชื่อว่ารัฐบาลจะไม่ได้รับผลกระทบ เพราะนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย แม้จะดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ดังนั้นหากประเมินในกรณีแย่สุดคือ พรรคเพื่อไทยถูกยุบพรรค สมาชิกพรรคที่ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค ก็ยังสามารถย้ายไปสังกัดพรรคใหม่ได้           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า จากปัจจัยลบภายนอกที่ไม่สดใส จึงมองว่าหุ้น Domestic play และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า จึงชอบกลุ่มอุปโภคบริโภค, กลุ่มค้าปลีก, กลุ่มการแพทย์, กลุ่มธนาคารและกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ขณะที่แนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนกลุ่มน้ำมันและก๊าซ, กลุ่มปิโตรเคมีและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์           โดยคาดว่า EPS ของตลาดหุ้นไทยจะเติบโต 3% yoy ในปี 67 และโต 11% ในปี 68 ขณะที่ยังคงเป้าดัชนี SET สิ้นปี 68 อยู่ที่ 1,630 จุด ซึ่งเท่ากับ P/E 16 เท่าในปี 68 หรือ -0.75SD ของค่าเฉลี่ยห้าปี โดยมีหุ้น Top pick คือ AMATA, BCH, CBG, CPN, CRC, MTC และ SCB           ทั้งนี้ ธีมหุ้นการลงทุนในปีหน้ามี 6 ธีมได้แก่ ธีมหุ้น ESG จะเป็นที่ต้องการมากขึ้นจากกองทุน Thai ESG (TESG) , ธีมหุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เชื่อว่ากลุ่มค้าปลีก กลุ่มธนาคาร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและกลุ่มสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค และกลุ่ม Home improvement น่าจะได้ประโยชน์จากโครงการนี้, ธีมหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก FDI , ธีมหุ้นสถานบันเทิงครบวงจร , ธีมหุ้นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และธีมหุ้น Value play           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI มอง Upside risk ตลาดหุ้นไทยปี 68 จะมาจากการที่เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวแข็งแกร่งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและยอดส่งออกที่เติบโตสูงกว่าคาด ขณะที่ Downside risk จะมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น, ความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์สูงขึ้น, การปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งในและต่างประเทศช้ากว่าคาดและเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไทย

อินโนเวสท์ เอกซ์ ล็อกเป้าลงทุน คัดธีมหุ้นเด่น เช็กด่วน!

อินโนเวสท์ เอกซ์ ล็อกเป้าลงทุน คัดธีมหุ้นเด่น เช็กด่วน!

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวผันผวน โดยปัจจัยในประเทศยังค่อนข้างจำกัด ขณะที่ยังต้องติดตามนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก กลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 1 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้ หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคและท่องเที่ยวแนะนำกลุ่มพาณิชย์: CPALL, CPAXT, CRC, HMPRO, TNP และกลุ่มท่องเที่ยว: AWC, AOT, MINT หุ้น Earnings Play ซึ่งมองว่ามีโมเมนตัมกำไรใน 4Q67 จะเติบโตดีทั้ง YoY และ QoQ อีกทั้งเราแนะนำ Outperform เลือก: GULF, OSP, AMATA, AU, TIDLOR, BCP หุ้นที่จ่ายปันผลสูงและคาดได้อานิสงส์จากการเป็นเป้าหมายสะสมของกองทุนวายุภักษ์และกองทุนที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีช่วงปลายปี อาทิ SSF, RMF และ THAIESGแนะนำหุ้น SET100 ที่คาดให้ Dividend Yield ขั้นต่ำปีละ 3.5% และมี ESG Rating สูงตั้งแต่ระดับ AA-AAA และ CG ระดับ 5 ดาว อีกทั้งมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตได้ในปี 2025 ได้แก่ BBL, ADVANC, HMPRO            Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจเก็งกำไรหุ้นที่ Laggard ซึ่งมีเทคนิคมีแนวโน้มฟื้นตัว อาทิ BEM, BDMS, MINT, AP / หุ้นที่คาดมีโอกาสเข้าคำนวณ SET50 ในงวด 1H68 อาทิ BANPU, CCET, COM7 / หุ้นที่ได้อานิสงส์บวกจากสถานการณ์น้ำท่วมใต้ แนะนำ HMPRO, CPALL และ TASCOขณะที่ระมัดระวังการลงทุนสำหรับหุ้นกลุ่มยานยนต์และกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่โมเมนตัมกำไรใน 4Q67 ยังอ่อนแอ

ASL ส่อง “BEM” Valuation น่าสนใจ upside สูง

ASL ส่อง “BEM” Valuation น่าสนใจ upside สูง

 หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท เอเอสแอล จำกัด เปิดเผยถึงแนวโน้ม BEM Valuation น่าสนใจ upside สูง ผลประกอบการ 3Q67 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1.067 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% YoY ซึ่งดีกว่าคาดเล็กน้อย โดยมีปัจจัยหลักมาจากรายได้ค่าบริการที่เพิ่มขึ้น ตามปริมาณผู้โดยสารและการปรับขึ้นอัตราค่าบริการ รวมถึงธุรกิจทางพิเศษที่ยังเติบโตเล็กน้อยจากปริมาณรถที่เพิ่มขึ้น ทั้งทางพิเศษศรีรัชและอุดรรัถยา อัตรากำไรสุทธิ ณ สิ้นงวดอยู่ที่ 23.16% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 21.99% ขณะที่ Net IBD/E ณ สิ้นงวดอยู่ที่ 1.87 เท่า จากปีที่แล้วที่ 1.69 เท่า เนื่องจากการมีเงินกู้ยืมและหุ้นกู้ที่เพิ่มขึ้น แต่ยังคงต่ำกว่าระดับ 2.5 เท่า ธุรกิจมีความน่าสนใจ เมื่อเทียบกับราคาปัจจุบันที่ -6.3% YTD จึงมองว่าเป็นจังหวะที่น่าสะสมในระยะกลางถึงยาว โดยคาดว่าแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 4 ปี 2567 (4Q67F) จะเติบโต YoY จากจำนวนผู้ใช้รถไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นและการปรับขึ้นค่าบริการ ส่วนธุรกิจทางด่วนคาดว่าจะทรงตัว QoQ ขณะที่กำไรสุทธิจะเติบโต YoY แต่จะชะลอตัว QoQ เนื่องจากไม่ได้รับปันผลจาก TTQ และ CKP แนวโน้มผลประกอบการทั้งปี 2567 ตามการคาดการณ์ของ Bloomberg คาดว่าจะมีกำไรทั้งปี 3.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.8% YoY ทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) ส่วนในปี 2568 คาดว่าจะมีกำไร 4.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.2% YoY โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 11.36 บาท ซึ่งมี Upside มากกว่า 50% ในเชิง Sentiment การเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ 2 โครงการ ได้แก่ One Bangkok และ Dusit Central Park จะช่วยหนุนจำนวนผู้ใช้รถไฟฟ้า MRT สถานีลุมพินี และทางด่วนด้านพระราม 4 รวมถึงรอความคืบหน้าของนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย แนวรับ ที่ 7.35-7.30 บาท แนวต้าน ที่ 7.55/8.05 บาท

มาตรการกระตุ้นรัฐฯ หนุนบริโภคในประเทศ ชู CPAXT-CRC เด่น

มาตรการกระตุ้นรัฐฯ หนุนบริโภคในประเทศ ชู CPAXT-CRC เด่น

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) อัพเดตแนวโน้มกลุ่ม Commerce มีสัญญาณว่าการจับจ่ายใช้สอยในประเทศดีขึ้นภาวะการจับจ่ายใช้สอยมีสัญญาณดีขึ้น จากการที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขยับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 56.0 ในเดือนตุลาคม 2567 หลังจากที่ปรับลดลงติดต่อกันมาเจ็ดเดือน (Figure 2)ซึ่งดัชนีที่เพิ่มขึ้นเป็นเพราะสามารถตั้งรัฐบาลชุดใหม่ได้ ซึ่งจะเปิดทางให้มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเป็นระลอก           คาดว่ามาตรการกระตุ้นล่าสุดของรัฐบาล (แจกเงินเฟส 1: จ่าย 10,000 บาท/หัว ให้กลุ่มเป้าหมาย 14.5 ล้านคน มูลค่ารวมประมาณ 1.45 แสนล้านบาท) จะช่วยหนุนการใช้จ่ายในประเทศในเดือนกันยายน2567 และ 4Q67 โดยเม็ดเงินส่วนใหญ่จากโครงการนี้น่าจะไปลงที่ร้านค้าขนาดเล็กในชุมชนที่ขายสินค้าจำเป็น (โดยเฉพาะหมวดอาหาร และ เครื่องดื่ม) ซึ่งจากผลการสำรวจของภาครัฐ ประมาณ 95% ของผู้ตอบแบบสอบถามจะใช้เงิน 10,000 บาทที่ได้รับแจกเพื่อซื้ออาหาร และเครื่องดื่มจากร้านค้าขนาดเล็กในชุมชน (Figure 9 และ Figure 10) คาดว่าอุปสงค์ในประเทศจะดีขึ้นต่อเนื่องจาก i) มาตรการแจกเงินเฟส 2 (คาดว่าจะมีมูลค่ารวม 4 หมื่นล้านบาท) ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการบริโภคใน 1Q68 ii) มาตรการ Easy e-receipt (คาดว่าจะมีมูลค่ารวม1 แสนล้านบาท อิงจากสมมติฐานว่าผู้เสียภาษี 50% เข้าร่วมโครงการ) ซึ่งคาดว่าจะประกาศ และ มีผลใน 1Q68 iii) การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาล หลังจากที่อัตราการเบิกจ่ายชะลอลงในปีงบประมาณ 2567           และ มีการตั้งงบลงทุนเพิ่ม 34% YoY ในปีงบประมาณ 2568 (Figure 13 – 14) และ iv) จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 35 ล้านคนในปี 2567 เป็น 38 ล้านคนในปี 2568 (เกือบจะกลับมาเท่าระดับก่อน COVID ระบาดแล้ว); Figure 12 โมเมนตัม same store sales growth ของบริษัทในกลุ่ม commerce ของไทยดีขึ้นจากการตรวจสอบล่าสุดของ same-store-sales growth ของบริษัทส่วนใหญ่ในกลุ่ม commerce ที่ศึกษาอยู่ (C.P. All (CPALL.BK/CPALL TB)*, CP Axtra (CPAXT.BK/CPAXT PCL)), Central Retail Corporation (CRC.BK/CRC TB)*, Dohome (DOHOME.BK/DOHOME TB)*, Siam Global House (GLOBAL.BK/GLOBAL TB)* และ Home Product Center (HMPRO.BK/HMPRO TB)*)           ดีขึ้นในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2567 (Figure 11) โดยเฉพาะร้านค้าในประเทศไทยซึ่งเป็นบวกในระดับเลขตัวเดียวต่ำ ๆ ยกเว้น GLOBAL (ซึ่งทรงตัว) และ HMPRO ในส่วนของห้าง Homepro (ซึ่งติดลบในระดับเลขตัวเดียวต่ำ ๆ) ทั้งนี้จากมาตรการกระตุ้นที่ออกมาเป็นระลอก และ ช่วงเทศกาลใน 4Q67 เราจึงคาดว่าโมเมนตัม ของ same-store-sales น่าจะดีต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของไตรมาสนี้ และ ปี 2568F           กลุ่ม commerce จะได้ประโยชน์ บริษัทในกลุ่มที่เน้นจำหน่ายอาหาร และ เครื่องดื่ม (75% ของยอดขาย CPALL / 94% ของยอดขาย CPAXT (ค้าส่ง) / 83% ของยอดขาย CPAXT (ค้าปลีก); Figure 15 – 16) น่าจะได้อานิสงส์จากมาตรการแจกเงินของรัฐบาล ในขณะที่บริษัทในกลุ่มที่เน้นจำหน่ายสินค้าที่มีราคาสูง และจับกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงสูงน่าจะได้อานิสงส์จากมาตรการ Easy E-receipt ฝ่ายวิเคราะห์คิดว่าผลบวกจากฐานที่ต่ำเพราะ COVID-19 น่าจะหมดไปแล้ว ดังนั้นจึงคาดว่ากำไรน่าจะกลับมาโตในระดับปกติจากปี 2568 เป็นต้นไป ดังนั้นนักลงทุนจึงควรติดตามประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และ กลยุทธ์ทางธุรกิจของบริษัทในกลุ่ม โดยมองว่าอาจจะมีการปรับ de-rate PER ในระยะต่อไปเพื่อสะท้อนถึงการเติบโของกำไรที่กลับมาอยู่ระดับปกติ Valuation & action           ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่ม commerce ที่ “มากกว่าตลาด” เนื่องจากคาดว่ารัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นมาเป็นระลอกใน 4Q67 และ 1Q68 ซึ่งจะช่วยหนุนการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค เลือก CPAXT (แนะนำ “ซื้อ” โดยประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ที่ 39.0 บาท อิงจาก PER ที่ 33.0X) และ CRC (แนะนำ “ซื้อ” โดยประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ที่ 36.0 บาท อิงจาก PER ที่ 24.0X) คาดว่า CPAXT จะได้อานิสงส์จากมาตรการแจกเงินของรัฐบาลทั้งเฟส 1 และ 2 เพราะประเภทสินค้าที่จำหน่าย และโครงสร้างลูกค้าในธุรกิจค้าส่ง ในขณะเดียวกัน คาดว่า CRC จะได้อานิสงส์จากมาตรการ easy E-SECTOR UPDATE Thailand

MOSHI ค้าปลีกโตเด่น SSSG-สาขาใหม่หนุน เป้า 64 บาท

MOSHI ค้าปลีกโตเด่น SSSG-สาขาใหม่หนุน เป้า 64 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MOSHI **Positive view from Company update**          **SSSG พ.ย.** เร่งตัวขึ้นเป็น +23% y-y และ QTD +26% y-y เทียบกับ 3Q24 ที่ +5.7% y-y ดีขึ้นกว่าช่วงต้นเดือนพ.ย. ที่บวก Mid teen y-y และกรณีไม่รวม collection NCT Dream ซึ่งสำเร็จมากในต.ค. และยังมีขายต่อในพ.ย. SSSG พ.ย. บวก +20% y-y ดีขึ้นจากต.ค. ที่ +12-13% y-y โดยเป็นผลทั้งจาก 1) การปรับ Display ดึงจุดเด่นการมองเห็นสินค้าไปในราว 70 สาขา (น้ำหอม, ก้านหอม, เครื่องเขียน, กลุ่มเครื่องประดับ ฯลฯ) 2) จำนวนวันเสาร์-อาทิตย์ของพ.ย. ปีนี้มี 9 วัน เทียบกับปีที่แล้ว 8 วัน 3) การเพิ่มจำนวนสินค้าและเพิ่มยอดขายต่อตร.ม. ให้สูงขึ้น           **เพิ่มจำนวนสินค้า + เพิ่มสินค้า High value**: SSSG ที่เริ่มเห็นโมเมนตัมบวก ฟื้นจาก -8.5% y-y ใน 2Q24 ที่มีปัญหาสินค้าขาดแคลนชั่วคราว มาบวก 5.7% y-y ใน 3Q24 และดีต่อถึงพ.ย. มองกลยุทธ์ที่น่าสนใจในการผลักดัน SSG นอกจากแผนเพิ่มจำนวนสินค้าใหม่ๆ ที่มากกว่าปกติราว 20% จาก 1 หมื่นเป็น 1.2 หมื่น SKUs บริษัทยังทำงานเชิงลึก พัฒนากำไรต่อพื้นที่ให้สูงขึ้น ลดสินค้ากลุ่ม Low value กลุ่มกำไรต่ำ และทยอยเพิ่มสินค้ากลุ่ม High value ที่เราเห็นในร้านคือ กลุ่มของเล่น ที่มีสินค้า High value เพิ่มทั้งของเล่นทั่วไปและ Art toy รวมถึงปรับปรุงวัสดุผลิตภัณฑ์/การออกแบบของแต่ละกลุ่มสินค้าให้ดูตอบโจทย์เพิ่ม ทั้งผ่านการเพิ่มพื้นที่ขายและผ่าน Display ใหม่ และโดยรวมยังคุม Position ของร้านค้าที่มีสินค้าราคาย่อมเยา เข้าถึงผู้บริโภคได้            **การแข่งขันยังจำกัดมาก**: หลัง KKV สาขาแรกเปิดตัว 31 ต.ค. ที่เดอะมอลล์ บางกะปิ บริษัทเผยว่า ยอดขายสาขานี้ยังดีมาก ไม่เห็นผลกระทบ โดยยอดขายช่วงแรกบวก 8% y-y และเพิ่มเป็น 13% ช่วงปลายพ.ย. และล่าสุด KKV พึ่งเปิดเพิ่มอีก 3 สาขา 28 พ.ย. (เดอะมอลล์ ท่าพระและงามวงศ์วาน และเทอร์มินัล พระราม 3) โดยยอดขาย 3 สาขานี้ของ MOSHI หลัง KKV เปิดยังบวก 20% ทั้งนี้ได้สำรวจ 3 ใน 4 สาขาของ KKV พบว่า สาขาบางกะปิ ลูกค้าหนาแน่นสุด ส่วนสาขาเดอะมอลล์ ท่าพระ และเทอร์มินัล คนน้อยกว่าบางกะปิมาก และค่อนข้างยืนยันภาพการแข่งขันยังจำกัดมาก โดยรวมลูกค้าส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักแบรนด์เลยเน้นซื้อขนมทั่วไป ซึ่งไม่ใช่สินค้าทับซ้อนหลักกับ MOSHI เชื่อว่าคู่แข่งยังต้องใช้เวลาในการสร้างแบรนด์ รวมถึงต้องปรับรูปแบบสินค้าและราคาให้ตอบโจทย์ผู้บริโภค ขณะที่ MOSHI ปรับตัวล่วงหน้าแล้ว ทั้งเพิ่มกลุ่มสินค้า Exclusive/ปรับ Display/การเตรียมทำร้านใหญ่ขึ้น และการเร่งขยายสาขาปีหน้า 40 แห่ง **ความเห็นและคำแนะนำ**            ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมอง “Positive” และคงกำไรปี 2024F ที่ 495 ลบ. (+23% y-y) และ 622 ลบ. (+26% y-y) และเริ่มมี Upside ราว 4% จาก SSSG 4Q24 ที่ดีกว่าคาด มองเป็นหุ้นในกลุ่มค้าปลีกที่แนวโน้มยังเด่นทั้งระยะสั้น และโอกาสเติบโตระยะกลางยาว ทั้งองค์ประกอบ SSSG และสาขาใหม่ มอง TP 25F (DCF) 64.00 บาท

CPALL คาด Q4 รายได้พุ่ง อานิสงส์ไฮซีซันท่องเที่ยว-การบริโภคในประเทศ

CPALL คาด Q4 รายได้พุ่ง อานิสงส์ไฮซีซันท่องเที่ยว-การบริโภคในประเทศ

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.เอเอสแอล ระบุแนวโน้ม 4Q24F เป็นช่วงพีคของผลประกอบการตาม high season ของภาคการท่องเที่ยว รวมถึงได้อานิสงส์จากการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐอย่างการแจกเงิน 1 หมื่นบาท และ SSSG ยังคงขยายตัวจากไตรมาสก่อนที่ +3.3% พร้อมทั้งคาดหวังยังคงรักษาระดับของ GPM จากสินค้าพร้อมทาน ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลและเพื่อสุขภาพแนวโน้มเติบโต อีกทั้งรักษาระดับ Cost to income ไว้ได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้คาดหวังรับรู้รายได้จาก CPAXT ที่ขยายตัวตามการเข้าสู่ช่วง high season ตามฤดูกาลท่องเที่ยว และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น ทำให้ลูกค้ากลุ่ม HoReCa สั่งซื้อสินค้ามากขึ้น นอกจากนี้ในระยะถัดไป คาดหวังการเกิด synergy หลังการควบรวมกันมากขึ้น           ส่วนภาพทั้งปี 67-68F เท่ากับ 2.35 หมื่นล้านบาท +27%YoY และ 2.67 หมื่นล้านบาท +13.7%YoY ตามลำดับ โดยมีราคาเป้าหมายที่ 89.67 บาท ในเชิง sentiment ขานรับที่ประชุม ครม. เห็นชอบการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวนา ในโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการ และพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว โดยช่วยเหลือในอัตราไร่ละ 1,000 บาท เป็นบวกต่อกลุ่มลูกค้าฐานราก นอกจากนี้ CPALL ถือเป็นหนึ่งในหุ้นหลักของ SET ที่ยัง Laggard หุ้น Big Cap ราว 3.6% ในรอบ 60 วัน มองว่าในระยะถัดไปมีโอกาสที่จะเป็นหุ้นเป้าหมายกองทุนวายุภักษ์และ ThaiESG

คว่ำบาตรอิหร่านเพิ่ม เขย่าหุ้นโรงกลั่นแค่ไหน?

คว่ำบาตรอิหร่านเพิ่ม เขย่าหุ้นโรงกลั่นแค่ไหน?

          หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอ ระบุว่า เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐอเมริกา (US) ได้ประกาศเพิ่มมาตรการคว่ำบาตร (sanction) อิหร่านเพิ่มเติม โดยมุ่งเป้าไปที่บริษัทและกองเรือรวม 35 ลำซึ่งรัฐบาล US กล่าวว่าขนส่งปิโตรเลียมของอิหร่านที่ผิดกฎหมายไปยังตลาดต่างประเทศโดยเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่กระทรวงการคลัง US เรียกว่า "กองเรือเงา" (Shadow fleet) ทั้งนี้ การคว่ำบาตรดังกล่าวต่อยอดจากมาตรการคว่ำบาตรที่บังคับใช้ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 11 ต.ค.2024 และเป็นการตอบโต้ 1) การโจมตีอิสราเอลของอิหร่านเมื่อวันที่ 1 ต.ค.2024 และ 2) การประกาศยกระดับนิวเคลียร์ของอิหร่าน (ที่มา: Reuters, Bloomberg) มีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มราคาน้ำมันในระยะสั้นจากความเป็นไปได้ที่การ sanction อิหร่านเพิ่มเติมจะส่งผลให้การส่งออกน้ำมันของอิหร่านในอนาคตอาจจะลดลงได้ ทั้งนี้ วานนี้ ราคาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้า Brent ปรับตัวสูงขึ้น 2.5% เป็น USD73.6/bbl เรายังสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยที่ USD80.0/bbl ลดลงจาก USD81.9/bbl ในปี 2023 และคงน้ำหนักการลงทุน "เท่ากับตลาด" ทั้งนี้  สำหรับภาพรวมระยะสั้นเชื่อว่ากลุ่มโรงกลั่นจะรายงานกำไรที่ฟื้นตัว QoQ ใน 4Q24E ตามแนวโน้มส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) ที่ดีขึ้นและผลขาดทุนจากสต๊อกที่เป็นไปได้ที่ลดลง โดยเราชอบ SPRC (ซื้อ/เป้า 8.50 บาท), TOP (ซื้อ/เป้า 55.00 บาท), และ BCP (ซื้อ/เป้า 40.00 บาท)

CRC ไฮซีซั่น-มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดัน แนะ

CRC ไฮซีซั่น-มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดัน แนะ"ซื้อ" เป้า 41 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัดสรุปสาระสำคัญจากการประชุม Opportunity Day ของ Central Retail Corporation (CRC) เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567 แนวโน้ม SSSG ในช่วง 4Q67 (จากตุลาคมถึงธันวาคม 2567) SSSG (Same Store Sales Growth) ของธุรกิจในไทยเป็นบวก 1-3% YoY โดยดีขึ้นจาก -2% YoY ใน 3Q67 โดยธุรกิจแฟชั่นเติบโต 4-5% YoY (จาก 3Q67 ที่ทรงตัว) จากการเข้าสู่ High Season และการปรับปรุงสาขา Flagship ของเซ็นทรัลชิดลม ซึ่งจะเปิดเต็มรูปแบบในวันที่ 12 ธันวาคม 2567 ส่วนธุรกิจ Hardline ลดลง 4-6% YoY (จาก -7% ใน 3Q67) และธุรกิจ Food เติบโต 1-3% YoY ใกล้เคียงกับ 3Q67 แผนการขยายสาขาใน 4Q67 บริษัทจะเปิดสาขาใหม่ในธุรกิจ Hardline และ Food ได้แก่ ไทวัสดุ 1 สาขา, Tops 6 สาขา, GO Wholesale 1 สาขาในไทย, และในเวียดนามจะเปิด GO! Mall 2 สาขา และ Mini go! 3 สาขา การเติบโตในปี 2568 บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของยอดขายในปี 2568 ที่ 4-6% YoY หรือไม่น้อยกว่า 2 เท่าของ GDP ประเทศไทย โดยการเติบโตส่วนใหญ่จะมาจากการเปิดสาขาใหม่และการรีโนเวทสาขาของไทวัสดุและ Go Wholesale รวมถึงการขยายสาขา Go ในเวียดนาม การลงทุน (CAPEX) คาดการณ์ CAPEX ในปี 2568 อยู่ที่ 2.2-2.4 หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 2567 โดยจะเน้นการลงทุนในไทยและเวียดนาม ส่วนในยุโรปบริษัทมีแผนขยายพื้นที่ห้างรีนาเซนเต มิลาน และสร้าง "Beauty Hall" ขนาดใหญ่ที่สุดในมิลาน คาดเปิดในปี 2570 หนี้สินและการบริหารการเงิน ณ สิ้น 3Q67 บริษัทมีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสูงประมาณ 93,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากปลายปี 2566 โดยได้มีการกู้เงินเพื่อขยายสาขา แต่ยังรักษาอัตราส่วน Net debt/EBITDA และ Net debt/equity อยู่ในระดับต่ำกว่ากำหนดของบริษัท (3.0x และ 2.5x ตามลำดับ) ใน 3Q67 บริษัทใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นแหล่งเงินลงทุนมากขึ้น และมีการปรับหนี้สินจากอัตราดอกเบี้ยลอยตัวเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ (85:15) เพื่อรับผลประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาลง แนวโน้มผลประกอบการ คาดว่าใน 4Q67 กำไรจะเติบโตโดดเด่น QoQ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากฤดูกาลที่ดีขึ้นและการปรับปรุงสาขาต่างๆ เสร็จสิ้น รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้น โดยคาดว่ากำไรปกติใน 4Q67 จะทรงตัว YoY จากฐานที่สูงในปีก่อน มุมมองของนักวิเคราะห์ คาดว่ากำไรปกติในปี 2567 จะอยู่ที่ 8,300 ล้านบาท (+2% YoY) และในปี 2568 จะอยู่ที่ 9,200 ล้านบาท (+11% YoY) คงคำแนะนำ "ซื้อ" โดยมีราคาเหมาะสมที่ 41.00 บาทต่อหุ้น โดยคาดว่าราคาหุ้นจะฟื้นตัวต่อเนื่องจากการเข้าสู่ High Season และแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

โบรก แนะหุ้นเด่นรับแผนกลยุทธ์ตลท. 3 ปี  โอกาสโต-ธีม CARBON มาแรง!

โบรก แนะหุ้นเด่นรับแผนกลยุทธ์ตลท. 3 ปี โอกาสโต-ธีม CARBON มาแรง!

หุ้นวิชั่น -  บล.เอเชียพลัส หาหุ้นเด่น รับแผนกลยุทธ์ตลาดหลักทรัพย์ ปี 2568 - 2570 อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์วางแผนยุทธศาสตร์ 3 ปี (2568-2570) เน้น 3 ด้าน คือ 1. มุ่งมั่น เพื่อโอกาสการเติบโต 2. ร่วมพัฒนาเพื่อความทั่วถึง 3. สรรสร้างคนและอนาคต กับ โครงการ FLAGSHIP PROJECT 1. JUMP+ 2. BOND CONNECT 3. CARBON ECOSYSTEM รายละเอียดดังภาพทางด้านล่าง           ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่าเป็นแผนระยะยาวที่ดี อย่าง JUMP+ คาดจะช่วยหนุนหุ้นพื้นฐาน ดีที่ถูกทิ้งไว้ด้านหลัง ได้รับความสนใจและมีมูลค่าเพิ่มได้ ส่วน BOND CONNECT กับ CARBON ECOSYSTEM ช่วยเพิ่มขนาดตลาด และผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย ขึ้น ผนวกกับการหนุนให้เกิดการ CROSS SELLING ที่ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น ฝ่ายวิจัยฯ ทำการศึกษา พบว่า ในดัชนี SET100 มีหุ้นถึง 34 บริษัทที่ PBV< 1 JUMP+ หุ้นใน SET100 มีถึง 34 บริษัท PBV ต่ำ 1 ที่มา: SET, สายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส (ณ 28/11/24)           ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ จึงค้นหาหุ้นเด่น รับแผนกลยุทธ์ตลาดหลักทรัพย์ ปี 68 – 70 คือ หุ้นพื้นฐานดี PBV ถูก ราคาหุ้นในปีนี้ย่อตัวลงมาลึก IRPC,PTTGC, BANPU, TOP, BBL, BCPG, SCC, AP, KKP, QH, BJC, PTT, HANA, SJWD           หุ้นเด่นรับธีม CARBON ECOSYSTEM : STA, THCOM, GUNKUL, TPCH, WHAUP, GPSC, DITTO

ASL คาด SET แกว่งในกรอบ 1,412-1,440 จุด ไร้ปัจจัยใหม่หนุน

ASL คาด SET แกว่งในกรอบ 1,412-1,440 จุด ไร้ปัจจัยใหม่หนุน

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ประเมิน SET index มองแกว่งตัวในกรอบ 1,412-1,440 จุด อาจเห็นการแกว่งตัวผันผวน เนื่องจากไร้ปัจจัยชี้นำหลังตลาดหุ้นสหรัฐปิดทำการ ด้านปัจจัยในประเทศยังมีความเสี่ยงในแง่ของความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง คาดหวังแนวโน้มของ Dollar ที่อ่อนค่า และ US bond yield ที่เป็นขาลงช่วยพยุงตลาด ประเด็นการลงทุน ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดทำการเนื่องในวันขอบคุณ พระเจ้า OPEC+ ได้เลื่อนการประชุม ไปเป็นวันที่ 5 ธ.ค. Update ปัจจัยในประเทศ สัปดาห์หน้าติดตาม CH: PMI ภาคการผลิตจาก Caixin EU: อัตราการว่างงาน, ยอดค้าปลีก, GDP3Q67 (ประมาณการครั้งที่2) US: PMI การผลิต-บริการ, การจ้างงานภาคเอกช,Nonfarm-payrolls, อัตราการว่างงาน TH: เงินเฟ้อ พ.ย.          ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดทำการเนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า และคืนนี้จะเปิดทำการเพียงครึ่งวัน คาดว่าปริมาณการซื้อขายจะยังเบาบาง ทั้งนี้ข้อมูลจาก Salesforce บริษัทซอฟต์แวร์รายใหญ่ของสหรัฐฯ ได้เปิดเผยข้อมูลยอดขายทางออนไลน์ในช่วงครึ่งแรกของวันหยุด ได้เพิ่มขึ้นราว 4% เทียบกับปีก่อนที่ 2% ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าผู้บริโภคให้ความสนใจโปรโมชันลดราคาสินค้าจากบรรดาบริษัทค้าปลีก รวมถึงข้อมูลจากสมาคมยานยนต์อเมริกัน (AAA) คาดการณ์ว่า การเดินทางในช่วงเทศกาลวันหยุดเนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า ในสหรัฐฯ จะทำสถิติสูงสุดระดับใหม่มองเป็นบวกต่อการลงทุนในกองทุนสหรัฐฯ ด้านกลุ่ม OPEC+ ได้เลื่อนการประชุม ไปเป็นวันที่ 5 ธ.ค. จากเดิมที่ 1 ธ.ค. โดยมีการคาดการณ์ว่าจะมีมติเลื่อนแผนการปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันออกไปเป็นเดือนก.พ.2568 ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ที่ซบเซาในตลาด ขณะที่ปัจจัยในประเทศ 1. ก.คมนาคมเตรียมเสนอโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน เข้าสู่ที่ประชุมครม. ได้แก่ M9ตอน ทางยกระดับบางขุนเทียน-บางบัวทอง ระยะทาง 35.85 กม. วงเงินลงทุน 56,035 ล้านบาท, M5 สายรังสิต-บางปะอิน ระยะทาง 22 กม.วงเงินลงทุน 31,358 ล้านบาท, โครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้ม ช่วง รังสิต - มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ระยะทาง 8.84 กม. วงเงินลงทุน 6,473.98 ล้านบาท, โครงการให้บริการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มูลค่าของโครงการรวม 15,253 ล้านบาท รวมถึงมีอีก 9 โครงการที่เตรียมเสนอในช่วงต้นปี 68 มองเป็น sentiment เชิงบวกต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง แนะนำ CK PYLON 2. ก.ท่องเที่ยวฯ ประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวในปี 68 ในกรณี best case ที่ 40 ล้านคน ส่วน basecase อยู่ที่ 38-39 ล้านคน ทั้งนี้เตรียมความพร้อมให้เป็น Tourism Hub ผ่านการจัดทำ พ.ร.บ. โรงแรม นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในรูปแบบ New Man Made เพื่อดึงดูด นักท่องเที่ยวมากขึ้น เช่น Entertainment complex ที่อยู่ระหว่างรอเสนอเข้าครม. ส่วนประเด็นTourist tax ขณะนี้อยู่ระหว่างหารือ ซึ่งได้ตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาข้อมูลอย่างจริงจัง คาดว่าจะได้ความชัดเจนช่วงปลาย 1Q68 ในเชิงกลยุทธ์มองเป็นบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยว เราชอบ AOT AAV ERW AWC MINT CPN CRC

เจาะหุ้นส่งออกไทย เช็กด่วน! ตัวไหนรับโชค

เจาะหุ้นส่งออกไทย เช็กด่วน! ตัวไหนรับโชค

หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล.ดาโอ ระบุว่า ส่งออกโดยรวม ต.ค. 2024 ขยายตัว MoM ยกเว้นอาหารสัตว์เลี้ยง กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยตัวเลขส่งออกสำคัญดังนี้ 1) ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงเดือน ต.ค. 2024 อยู่ที่ 260 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (+18% YoY, -1% MoM) และตัวเลข 10M24 อยู่ที่ 2,520 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (+25% YoY) 2) ส่งออกอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปเดือน ต.ค. 2024 อยู่ที่ 366 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (+27% YoY, +5% MoM) และตัวเลข 10M24 อยู่ที่ 3,186 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (+11% YoY) 3) ส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและไก่แปรรูปเดือน ต.ค. 2024 อยู่ที่ 407 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (+12% YoY, +12% MoM) และตัวเลข 10M24 อยู่ที่ 3,593 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (+5% YoY) 4) ส่งออกยางพาราเดือน ต.ค. 2024 อยู่ที่ 456 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (+33% YoY, +5% MoM) และตัวเลข 10M24 อยู่ที่ 4,124 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (+38% YoY) (ที่มา: กระทรวงพาณิชย์) มีมุมมองเป็นบวกจากส่งออกส่วนใหญ่ขยายตัวดี MoM โดยส่งออกอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปคาดได้อานิสงส์จากราคาทูน่าที่อยู่ในระดับเหมาะสมและการเร่งทำการตลาดต่อเนื่อง ส่งออกไก่ยังได้ผลบวกต่อเนื่องจาก high season ในไตรมาส 3 ก่อนที่จะทยอยชะลอตัวในช่วงที่เหลือของปี และส่งออกยางได้ปัจจัยหนุนจากผลผลิตยางที่เข้าสู่ตลาดมากขึ้น ขณะที่ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงชะลอเล็กน้อย -1% MoM เชื่อว่าเป็นผลจากลูกค้าบางส่วนที่ยังมีปัญหาจองพื้นที่เรือ • สำหรับทิศทาง 4Q24E 1) กลุ่ม Pet Food เบื้องต้นประเมินกำไรปกติจะขยายตัวต่อเนื่อง YoY จากฐานต่ำใน 4Q23 ที่ยังมีผลกระทบจาก inventory destocking ของลูกค้า แต่มีโอกาสทรงตัว QoQ จากผลกระทบการจองพื้นที่เรือของลูกค้าในช่วงต้นไตรมาส, 2) TU เราคาดการณ์กำไรปกติจะโต YoY, QoQ หนุนโดยธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปยังดีต่อเนื่อง, 3) NER เบื้องต้นประเมินกำไรปกติจะอ่อนตัว YoY จากปริมาณขายลดลงจากฐานสูง แต่จะกลับมาดีขึ้น QoQ ตามปัจจัยฤดูกาลจากปริมาณยางที่ทยอยเข้าสู่ตลาดมากขึ้น, และ 4) GFPT ประเมินกำไรปกติปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง YoY จากต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ลดลง แต่จะกลับมาอ่อนตัว QoQ เป็นผลจากปัจจัยฤดูกาลหลังผ่านช่วง high season • ทั้งนี้กลุ่ม Pet Food คงน้ำหนัก “Neutral” และ Top pick คือ ITC (ซื้อ/เป้า 30.00 บาท) จากแนวโน้มกำไรปกติปี 2025E ขยายตัวสูงกว่าที่ +6% YoY เทียบกับ AAI ที่ +2% ขณะที่ลูกค้าใหม่รายใหญ่ของ AAI ยังมีโอกาสล่าช้า สำหรับหุ้นตัวอื่นๆ ในกลุ่มนี้ แนะนำ - TU (ซื้อ/เป้า 18.50 บาท) มี catalyst จากโรงงานใหม่ทยอย ramp up และราคาทูน่าที่กลับมาอยู่ใน comfort level ของบริษัทมากขึ้น ทำให้ลดแรงกดดันในการปรับราคาขายลง - NER (ถือ/เป้า 5.50 บาท) หลังราคายางทยอยกลับสู่ระดับปกติ โดยปรับตัวลง -16% QTD นอกจากนี้การขยายกำลังการผลิตของโรงงานใหม่ในโกตดิวัวร์และไทย จะเริ่มได้เร็วสุดในปี 2026E - GFPT (ซื้อ/เป้า 16.00 บาท) จากราคาไก่ในประเทศมีโอกาสกลับมาฟื้นตัวหลังผ่านช่วงฤดูฝน ขณะที่ valuation ปัจจุบันยังน่าสนใจ เทรดที่ 2025E PER เพียง 6x

นักท่องเที่ยวล่าสุดเพิ่ม 2% หุ้นได้ประโยชน์ เช็กเลย!

นักท่องเที่ยวล่าสุดเพิ่ม 2% หุ้นได้ประโยชน์ เช็กเลย!

หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล.ดาโอระบุว่า นักท่องเที่ยวสัปดาห์ล่าสุด (18-24 พ.ย.) เพิ่มขึ้น +0.2% WoW จากจีน, รัสเซียและอินเดีย รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยข้อมูลจำนวนนักท่องเที่ยวสัปดาห์ที่ผ่านมา (18-24 พ.ย.) มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 749,306 คน (+0.2% WoW/+18% YoY) คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 107,044 คน โดยประเทศมี % เพิ่มขึ้นตามลำดับดังนี้ 1) เกาหลีใต้ 38,959 คน (+14% WoW/+6% YoY) , 2) จีน 122,020 คน (+7% WoW/+56% YoY), 3) รัสเซีย 50,071 คน (+3% WoW) และ 4) อินเดีย 46,259 คน (+2% WoW/+21% YoY) ส่วนประเทศมี % ลดลงคือ มาเลเซีย 81,886 คน (-3% WoW/+2% YoY) โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) ฟื้นตัวด้านการเดินทาง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่และเกาหลีใต้ ขณะที่นักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) ชะลอตัวด้านการเดินทาง ซึ่งเป็นแนวโน้มปกติก่อนที่นักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นอีกครั้งในเดือน ธ.ค. สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-24 พ.ย. 24 ทั้งสิ้น 31,313,787 คน เพิ่มขึ้น +28% YoY (ที่มา: กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา) มองเป็นบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยวจากตัวเลขนักท่องเที่ยวจีน, รัสเซียและอินเดีย เพิ่มขึ้น WoW โดยจำนวนนักท่องเที่ยวรวมทำจุดสูงสุดในรอบ 15 สัปดาห์ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นได้ดีเพราะการเข้าสู่ช่วง High season ของไทย ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนเริ่มฟื้นตัวได้ดีต่อเนื่องอีก +7% WoW และนักท่องเที่ยวรัสเซียมีการเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่องมา 6 สัปดาห์ติดต่อกัน (CENTEL มีสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวรัสเซียมากสุดที่ 5% รองลงมาเป็น ERW ที่ 3%) ส่วนนักท่องเที่ยวอินเดียเริ่มฟื้นตัวได้เล็กน้อย โดยเราประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวรวมเฉลี่ยรายสัปดาห์ในช่วง 25-31 พ.ย. 24 จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง จากการเข้ามาของนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) โดยเฉพาะตลาดภูมิภาคยุโรป ประกอบกับมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีผลต่อจำนวนที่นั่งเข้าไทย (Seat Capacity) ระหว่างเดือน ก.ค. มาจนถึง ธ.ค. ที่จะเพิ่มขึ้น 10% รวมถึงการกระตุ้นและส่งเสริมให้สายการบินเพิ่มจำนวนเที่ยวบินมากยิ่งขึ้น ขณะที่เราคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเริ่มมากขึ้นอีกในเดือน ธ.ค. 24 ที่มีหลายเทศกาลเข้ามาช่วยหนุน ทั้งนี้ ภาพรวมของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปี 2024E ยังอยู่ในกรอบประมาณการนักท่องเที่ยวรวมและนักท่องเที่ยวจีนที่เราประเมินไว้ โดยหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้น เรียงลำดับจากมากไปน้อยตามสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวจีน ได้แก่ ERW, CENTEL, MINT, SHR คงประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวรวมปี 2024E เพิ่มขึ้น +21% YoY และนักท่องเที่ยวจีน +84% YoY เรายังคงประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวรวมปี 2024E จะอยู่ที่ 34 ล้านคน เพิ่มขึ้น +21% YoY และคาดจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะอยู่ที่ 6.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึง +84% YoY Valuation/Catalyst/Risk ให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “เท่ากับตลาด” โดย Top pick ของกลุ่มท่องเที่ยวเรายังชอบ AAV, CENTEL และ MINT AAV (ซื้อ/เป้า 3.60 บาท) คาด 4Q24E จะดีโดดเด่นจากการเข้าสู่ high season ส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารและค่าตั๋วโดยสารจะเพิ่มขึ้นได้ดี CENTEL (ซื้อ/เป้า 44.00 บาท) 4Q24E-1Q25E โตได้ต่อเนื่องจากการเข้าสู่ High season ด้าน Valuation ซื้อขายที่ 2024E EV/EBITDA ที่ 11.7x (-1.25SD below 8-yr average EV/EBITDA) ถูกกว่า ERW ที่ 14.6x ขณะที่กำไรปกติปี 2025E จะเติบโตได้สูงที่สุดเมื่อเทียบกับ MINT และ ERW MINT (ซื้อ/เป้า 34.00 บาท) จาก valuation ยังถูกกว่ากลุ่มฯซื้อขาย 2024E EV/EBITDA ที่ 10x (-2.00SD below 10-yr average EV/EBITDA) ถูกกว่า ERW และ CENTEL ที่ average EV/EBITDA ขณะที่คาดกำไรปกติ 4Q24E จะโต YoY ได้ต่อเพราะเป็น High season ที่ไทยและมัลดีฟส์เข้ามาช่วยหนุน

จับตามาตรการของขวัญปีใหม่ CRC, COM7, HMPRO รับทรัพย์

จับตามาตรการของขวัญปีใหม่ CRC, COM7, HMPRO รับทรัพย์

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) จับตาสมาคมผู้ค้าปลีกไทยเรียกร้องรัฐบาล ขอให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เช่น ช้อปดีมีคืน และ Easy E-Receipt มองหนุนตลาดคาดหวังมาตรการของขวัญปีใหม่ที่นายกจะแถลง 12 ธ.ค. มองจิตวิทยาบวกต่อหุ้นค้าปลีกที่มียอดขายต่อบิลสูง อาทิ CRC, COM7, HMPRO

KSS คาด SET “Sideways Up” มองต้าน 1455 จุด ชูหุ้นนำ CRC, GULF, SAWAD

KSS คาด SET “Sideways Up” มองต้าน 1455 จุด ชูหุ้นนำ CRC, GULF, SAWAD

                  หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “Sideways/Up” ต้าน 1450/1455 จุด รับ 1435/1432 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อ ดัชนี S&P500 +0.3% ขับเคลื่อนจาก US Bond Yield 10 ปีดิ่งแรง -8 bps Dollar Index ติดแนวต้าน 107 จุด หลังตลาดมีมุมมองทางบวกต่อ การแต่งตั้งคุณ Bessent ดำรงตำแหน่ง รมว.คลังคนใหม่ ซึ่งท่าทีที่ชัดต่อการสนับสนุนการจัดเก็บภาษีนำเข้า (Tariff) อย่างค่อยเป็นค่อยไปผสาน ราคาน้ำมันร่วงเฉลี่ย -3% จากกระแสข่าวการหยุดยิงระหว่างอิสราเอล และ กลุ่มเฮซบอลเลาะห์ ถือเป็นภาพบวกต่อการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงโลก และ EM Asia ที่ตลาดกังวลผลกระทบนโยบายกีดกันการค้าในช่วงก่อนหน้า ภายในวันนี้ติดตามรายงานยอดส่งออก ต.ค. 24 คาดหลายสินค้าที่ยังมีโมเมนตัมที่ดียังพอมีแรงส่ง อาทิอาหารสัตว์เลี้ยง ไก่ ยาง ผสาน ภายในรัฐฯ เร่งการฟื้นตัว คาดใส่เงินกระตุ้นผ่ายมาตรการต่างๆช่วงต้นปี 25 ราว 0.5% ของ GDP           วันนี้คาด SET แกว่งขึ้น หุ้นนำ คือ กลุ่ม Bond Yield ดิ่งหนุน อาทิ เช่าซื้อ โรงไฟฟ้า สื่อสาร กลุ่ม Domestic ที่ได้จิตวิทยาบวกน้ำมันลง+มาตรการกระตุ้นภายในเพิ่มขึ้น อาทิ ค้าปลีก และหุ้น China Plays วันนี้แนะ CRC, GULF, SAWAD

SET แกว่งสร้างฐาน กลยุทธ์หุ้นกลุ่มไหนน่าสะสม?

SET แกว่งสร้างฐาน กลยุทธ์หุ้นกลุ่มไหนน่าสะสม?

https://youtu.be/lTPL0wECGSc

KSS คาด SET วันนี้ “Sideways Up” ต้าน 1471 จุด แนะ ADVANC, BTS, GULF

KSS คาด SET วันนี้ “Sideways Up” ต้าน 1471 จุด แนะ ADVANC, BTS, GULF

 หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “Sideways Up” ต้าน 1463/1471 จุด รับ 1440/1435 จุด ดัชนี S&P500 ปิดบวก 0.35% จาก เศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นภาพ Goldilocks - Soft Landing หลัง Flash PMI บริการ พ.ย. 24 สูงกว่าคาด เพิ่มสู่ 57.0 จุด สูงสุดใน 31 เดือน แต่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค พ.ย. 24 (U of Michigan – รอบสุดท้าย) ต่ำคาด 71.8 จุด ผสาน ราคาน้ำมันเฉลี่ย +1.4% ขณะที่ภายในความกังวลต่อเสถียรภาพการเมืองคลายลง หลังศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องวินิจฉัย "ทักษิณ-เพื่อไทย" ล้มล้างการปกครอง หนุนการเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะสั้น – กลาง มีความต่อเนื่อง เช้านี้เงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่าสู่ 34.4 บาท ผสาน MSCI Rebalance มีผลราคาปิดวันนี้ แม้ Net Flows เป็นกลาง แต่การเพิ่มน้ำหนักกระจายหลายหุ้น Big Cap อาทิGULF, ADVANC, SCB, TRUE, INTUCH (รวมกัน 15% ของมูลค่าตลาด) vs หุ้นออกจากดัชนี SCGP และหุ้นถูกลดน้ำหนัก BEM, BDMS, SCC (รวมกัน 5% ของมูลค่าตลาด) คาดวันนี้ SET แกว่งขึ้นโดยมีหุ้นนำ คือ หุ้น Domestic (ธนาคาร ค้าปลีก เช่าซื้อ โรงไฟฟ้า สื่อสาร) ผสาน หุ้นพลังงานต้นน้ำ วันนี้ แนะ ADVANC, BTS, GULF

CBG ยอดขายโตไม่หยุด เคาะพื้นฐาน 95 บาท

CBG ยอดขายโตไม่หยุด เคาะพื้นฐาน 95 บาท

หุ้นวิชั่น  - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า Nielsen รายงาน Market Share เครื่องดื่มชูกำลังเดือน ต.ค. by volume ดังนี้CBG อยู่ที่ 25.5% (-80 bps MoM, +180 bps YoY)Carabao Dang อยู่ที่ 25.1% (-70 bps MoM, +220 bps YoY) มีมุมมองเป็นบวกจากประเด็นข้างต้น แม้ market share จะปรับตัวลดลง MoM เล็กน้อยจากแผนการจัด promotion ใน CVS แต่ยังเติบโต YoY อย่างไรก็ตาม รายได้เครื่องดื่มชูกำลังในประเทศ ต.ค. ยังทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง จาก volume ขายที่ดี เราคาด market share เดือน พ.ย. - ธ.ค. จะปรับตัวขึ้น จากการรุกทำการตลาดใน CVS เพิ่มขึ้น (คาดปิดปี 2024E Market share จะอยู่ที่ 26%) ทั้งนี้ เราคาดกำไร 4Q24E อยู่ที่ 879 ล้านบาท (+35% YoY, +18% QoQ) สูงสุดในรอบ 14 ไตรมาส หนุนโดย 1) high season คาดรายได้เครื่องดื่มชูกำลังในประเทศทำ All Time High ต่อ,ได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากแจกเงิน 10,000 บาทกลุ่มเปราะปรางหนุน distribution business โตต่อเนื่อง และรายได้ต่างประเทศเติบโตต่อเนื่อง และ 2) GPM ขยายตัว YoY ทรงตัว QoQ คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E ที่ 2,939 ล้านบาท (+53% YoY) สำหรับปี 2025E เราคาดกำไรสุทธิที่ 3,508 ล้านบาท (+19% YoY) จากรายได้ที่ขยายตัวต่อเนื่อง YoY และ GPM ขยายตัว เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” และคงราคาเป้าหมายที่ 95.00 อิง 2025E PER 27.0x (ใกล้เคียง -1SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี)

หยวนต้าคาด SET Sideways up ในกรอบ 1,430-1,450 จุด พลังงานหนุน

หยวนต้าคาด SET Sideways up ในกรอบ 1,430-1,450 จุด พลังงานหนุน

                 หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน คาด SET Index เคลื่อนไหว Sideways to Sidewaysup ในกรอบ 1,430-1,450 จุด นอกเหนือจากหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทร อกนิกส์ที่จะยัง เคลื่อนไหวผันผวน โดยเฉพาะหุ้น DELTA ฝ่ายวิเคราะห์ประเมิน SET Index จะได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นในกลุ่มพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่น ที่มีแนวโน้มตอบรับเชิงบวกต่อราคาสินค้าพลังงานที่เร่งตัวขึ้น จากความกังวลต่อสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน แนะนำติดตามการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญคดีคุณทักษิณวันนี้ คาดเป็นจังหวะเข้าสะสมหุ้นในกลุ่ม DomesticPlay หากศาลรับคำร้อง          ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ปกคลุมตลาดตลาดหุ้นไทยไม่แย่แม้ปรับตัวลดลง -1.5% การปรับตัวลดลงของ SET Index วานนี้ที่ -22.0 จุด เทียบเท่า -1.5% ส่วนหลักเป็นผลมาจากการปรับตัวลดลงของกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์นำโดย DELTA (-16.4%) หลังถูกตลท. บังคับใช้มาตรการก ากับการซื้อขายระดับ 1 แต่หากสังเกตการเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมอื่นโดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น วัสดุก่อสร้าง (+0.8%), อาหารและเครื่องดื่ม (+0.4%),สื่อสาร (+0.8%) และปิโตรเคมี (+1.1%) เป็นต้น บรรยากาศการลงทุนจึงดูดีกว่าตลาดหุ้นเอเชียโดยรวม ที่ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในเชิงลบ จากความกังวลต่อปัจจัยเชิงภูมิรัฐศาสตร์ของสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นราคาสินค้าพลังงานปรับตัวขึ้นเด่นจากความกังวลต่อสงครามที่เพิ่มขึ้น ราคาสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำและ Dollar Index วานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังสื่อรายงานว่ารัสเซียได้ใช้ขีปนาวุธรูปแบบใหม่ในการโจมตียูเครน ต่อยอดความกั ง ว ลต่ อ ค ว า ม รุ น แ ร ง ข อ ง ส ง ค ร า ม ที่ เ พิ่ม ขึ้ น ห ลั งปร ะธานาธิบดีรัส เซีย ได้ลงนามแก้ ไขหลักการใช้อาวุธนิวเคลียร์ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในช่วงกลางสัปดาห์          นอกจากนี้ อีกหนึ่งสินทรัพย์ที่ปรับตัวขึ้นเด่นคือพลังงาน นำ โดยราคาน้ำมันดิบ BRENT ที่เร่งตัวขึ้น +2.0% เป็น US$74.23/bbl สูงที่สุดในรอบ 2 สัปดาห์ ตามด้วยราคาก๊าซธรรมชาติสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องอีก +4.5% เป็น 3.33USD/MMBtu คาด เป็นปัจจัยหนุนการ เก็งกำไรหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่นต่อเนื่อง         ในวันนี้จับตาการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญคดีคุณทักษิณวันนี้ อ้างอิงสถิติทางการเมืองเมื่อศาลรัฐธรรมนูญรับพิจารณาคดีสำคัญ หากศาลรัฐธรรมนูญรับคดีคุณทักษิณ-เพื่อไทยคาดตลาดอาจ เกิดความผันผวนในระยะสั้น (กรณีคุณประยุทธ์ SET INDEX ลงไปทำ Low ระหว่างวันที่ -9 จุด ก่อนจะกลับมาปิด -2 จุด) หากเกิดขึ้น เราประเมินจะส่งผลให้ตลาดผันผวนเชิงลบเพียงระยะสั้นและจะเป็นจังหวะเข้าสะสมหรือเก็งกำไรระยะสั้น ทั้งนี้ หาก ศาลไม่รับคำร้องจะเป็นบวกโดยตรงต่อ Domestic Play และหุ้นที่เชื่อมโยงทางการเมือง เช่น ค้าปลีก, รับเหมาก่อสร้าง, การเงิน, F&B เป็นต้น

สินเชื่อ ต.ค.เพิ่ม 0.2% หุ้นแบงก์ไหนเด่น เช็กเลย!

สินเชื่อ ต.ค.เพิ่ม 0.2% หุ้นแบงก์ไหนเด่น เช็กเลย!

        หุ้นวิชั่น- บทวิเคราะห์ บล.ดาโอระบุว่า ภาพรวมสินเชื่อเดือน ต.ค. 24 ทั้ง 7 ธนาคารที่เรา cover อยู่ที่ 10.7 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น +0.2% MoM ส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อรายใหญ่ ขณะที่สินเชื่อภาครัฐทรงตัว ส่วนสินเชื่อรายย่อยที่มาจากสินเชื่อเช่าซื้อยังคงลดลงต่อเนื่อง โดยธนาคารที่มีสินเชื่อเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือ BBL เพิ่มขึ้น +1.6% MoM จากสินเชื่อรายใหญ่และต่างประเทศ รองลงมาเป็น KBANK, TISCO เพิ่มขึ้น +0.3% MoM จากสินเชื่อรายใหญ่เป็นหลัก ส่วนสินเชื่อรายย่อยและ SME ยังคงหดตัวลง ขณะที่ธนาคารที่มีสินเชื่อลดลงมากที่สุด MoM คือ KKP -0.7% MoM ลดลงจากสินเชื่อเช่าซื้อทั้งในส่วนของรถใหม่และรถมือสอง รองลงมาเป็น TTB ลดลง -0.5% MoM จากสินเชื่อรายใหญ่และรายย่อย แต่สินเชื่อ High yield ยังเพิ่มขึ้น ส่วนภาพรวมของเงินฝากเดือน ต.ค. 24 อยู่ที่ 12.5 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น +1.8% MoM โดยธนาคารที่เงินฝากเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือ KTB เพิ่มขึ้นถึง +5.7% MoM จากเงินฝาก CASA ของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ รองลงมาเป็น SCB, KKP เพิ่มขึ้น +3.5%, +3.4% จากเงินฝาก CASA เป็นหลัก ส่วนเงินฝากที่ลดลงมากที่สุดคือ KBANK ลดลง -3.7% MoM จากเงินฝากประจำที่ลดลง (ที่มา: ข้อมูลบริษัท) บล.ดาโอ มองเป็นบวกต่อกลุ่มธนาคาร มีมุมมองเป็นบวกต่อสินเชื่อในเดือน ต.ค. 24 ที่กลับมาฟื้นตัวในรอบ 6 เดือนได้ที่ +0.2% MoM จากเดือน ก.ย. 24 ที่ลดลง -0.5% MoM โดยการเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อรายใหญ่เป็นหลัก ขณะที่สินเชื่อเช่าซื้อยังลดลงตามทิศทางของยอดขายรถยนต์ที่มีการปรับตัวลดลง และจากกำลังซื้อชะลอตัว รวมถึงหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ทำให้กลุ่มธนาคารมีการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ขณะที่เราคาดว่าสินเชื่อรายใหญ่และภาครัฐจะมี Momentum ที่เพิ่มขึ้นได้ในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. 24 ตามโครงการใหญ่ๆของภาครัฐที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้เรายังคงประมาณการการเติบโตของสินเชื่อรวมทั้งปี 2024E ของกลุ่มไว้ที่ +1% YoY (10M24 อยู่ที่ -1.6% YTD) ด้าน NPL เราคาดว่ามีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เราเชื่อว่าจะทยอยเพิ่มขึ้นไม่น่ากังวลมากนัก เพราะแต่ละธนาคารมีการตั้งสำรองฯจำนวนมากมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และมีการทยอยขายหนี้เสียออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยคาด NPL ในปี 2024E จะอยู่ที่ 3.29% จาก 2.92% ในปี 2023          ยังคงน้ำหนักเป็น “มากกว่าตลาด” เลือก KTB, KBANK เป็น Top pick ขณะที่ BBL จะได้รับผลบวกจากสินเชื่อที่เติบโตได้สูงสุดในเดือน ต.ค. 24 เราให้น้ำหนักการลงทุนของกลุ่มธนาคารเป็น “มากกว่าตลาด” เพราะแนวโน้มการเติบโตของกำไรปี 2024E-2025E จะยังเติบโตได้ต่อเนื่องอีก 5-6% YoY ขณะที่ valuation ยังถูก โดยเทรดที่ระดับเพียง 0.65x PBV (-1.25SD below 10-yr average PBV) ขณะที่เรายังคงเลือก KBANK, KTB เป็น Top pick ขณะที่ BBL จะได้รับผลบวกจากสินเชื่อที่เติบโตได้ในเดือน ต.ค. 24 - KTB ราคาเป้าหมายที่ 24.50 บาท อิง PBV 2025E ที่ 0.85x (-0.75SD below 10-yr average PBV) เพราะกำไรสุทธิปี 2024E อยู่ที่ 4.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นสูงที่สุดในกลุ่มธนาคารที่ +18% YoY ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไรสุทธิ 4Q24E จะเพิ่มขึ้น YoY แต่จะลดลง QoQ จาก OPEX ที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล และ KTB เน้นปล่อยสินเชื่อภาครัฐมากขึ้น ซึ่งเป็นสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำและรองรับกับสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงได้ - KBANK ราคาเป้าหมายที่ 176.00 บาท บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.70x (-1.00SD below 10-yr average PBV) เพราะคุณภาพของสินทรัพย์ที่ดีขึ้น และเราคาดหวัง JV AMC กับ BAM จะช่วยลด NPL ได้ในระยะยาว และคาดกำไร 4Q24E จะเพิ่มขึ้น YoY จากสำรองฯที่ลดลง โดยปัจจุบันซื้อขายเพียง 0.64x PBV (-1.25SD below 10-yr average PBV) ถูกกว่า SCB ที่ 0.81x PBV

AOT ผู้โดยสารโตต่อ โบรกชี้เป้า72 บาท

AOT ผู้โดยสารโตต่อ โบรกชี้เป้า72 บาท

        หุ้นวิชั่น- บทวิเคราะห์ บล.ดาโอ ยังคงแนะนำ “ซื้อ”   AOT และราคาเป้าหมาย 72.00 บาท อิง DCF (WACC 7%, terminal growth 3.5%) AOT รายงาน 4QFY24 มีกำไรสุทธิ 4.3 พันล้านบาท (+25% YoY, -6% QoQ) ใกล้เคียง consensus โดยยังคงเติบโตดี YoY จากจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นเป็น 29 ล้านคน (+14% YoY, +1% QoQ) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเติบโตจากผู้โดยสารระหว่างประเทศ ขณะที่ผู้โดยสารในประเทศยังทรงตัว นับว่ายังทำได้ดีแม้เป็นช่วง low season ส่วนกำไรลดลง QoQ เนื่องจากเริ่มได้รับผลกระทบจากการขอคืนพื้นที่บางส่วนจากคิงเพาเวอร์ รวมถึงการยกเลิกดิวตี้ฟรีขาเข้า ทำให้รายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ลดลง ดังนั้น ส่งผลให้ FY24 กำไรสุทธิ 1.9 หมื่นล้านบาท +118% YoY AOT แจ้งเรื่องการขอคืนพื้นที่บางส่วนเพิ่มเติมจากคิงเพาเวอร์ (KPS) เพื่อนำมาใช้ก่อสร้างอาคาร East Expansion ที่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยเราประเมินจะมีผลกระทบต่อรายได้ปี FY25E-FY27E ราวปีละ 300-350 ล้านบาท หรือคิดเป็นผลกระทบต่อกำไรลดลงราว -1% ซึ่งมีผลกระทบจำกัด ดังนั้น เราจึงยังคงประมาณการกำไร FY25E ที่ 2.3 หมื่นล้านบาท +20% YoY โดยประเมินจำนวนผู้โดยสารที่ 132 ล้านคน +11% YoY จากการท่องเที่ยวที่ดีขึ้น และการเปิด Runway 3 สนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้รองรับจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารได้เพิ่มมากขึ้น ราคาหุ้น underperform SET -3%/-10% ในช่วง 3 และ 6 เดือน จากข่าวการขอคืนพื้นที่จากคิงเพาเวอร์ และการยกเลิก duty free ขาเข้า แต่ราคาหุ้นทรงตัวใกล้เคียง SET ในช่วง 1 เดือน         ทั้งนี้ ยังแนะนำ ซื้อ โดยประเมินว่าราคาหุ้นจะกลับมา outperform ได้ดีในช่วง 1Q-2QFY25E ที่เข้าสู่ช่วง high season ของการท่องเที่ยว ทำให้กำไรกลับมาเติบโตโดดเด่น รวมถึงมีโอกาสที่ภาครัฐจะออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยเพิ่มจำนวนผู้โดยสารให้ AOT ได้

นักท่องเที่ยวเพิ่ม2% หุ้นอะไรรับโชค เช็กเลย!

นักท่องเที่ยวเพิ่ม2% หุ้นอะไรรับโชค เช็กเลย!

หุ้นวิชั่น- บทวิเคราะห์ บล.ดาโอระบุว่า นักท่องเที่ยวสัปดาห์ล่าสุด (11-17 พ.ย.) เพิ่มขึ้น +2% WoW จากจีนและรัสเซีย รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยข้อมูลจำนวนนักท่องเที่ยวสัปดาห์ที่ผ่านมา (11-17 พ.ย.) มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 747,944 คน (+2% WoW/+22% YoY) คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 106,849 คน โดยประเทศมี % เพิ่มขึ้นตามลำดับดังนี้ 1) จีน 113,842 คน (+10% WoW/+57% YoY), 2) รัสเซีย 48,439 คน (+2% WoW) ส่วนประเทศมี % ลดลงตามลำดับดังนี้ 1) อินเดีย 51,478 คน (-12% WoW/+18% YoY), 2) มาเลเซีย 84,425 คน (-6% WoW/+1% YoY) และ 3) เกาหลีใต้ 34,090 คน (-2% WoW/-1% YoY) โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น +5% WoW จากการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลลอยกระทงของนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดหลัก เช่น จีน และญี่ปุ่น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ขยับขึ้นมาเป็นกลุ่มที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นอันดับที่ 1 ในขณะที่นักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) ยังคงเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-10 พ.ย. 24 ทั้งสิ้น 30,465,481 คน เพิ่มขึ้น +29% YoY (ที่มา: กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา)           มองเป็นบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยวจากตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนและรัสเซียเพิ่มขึ้น WoW โดยจำนวนนักท่องเที่ยวรวมทำจุดสูงสุดในรอบ 14 สัปดาห์ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นได้ดีเพราะการเข้าสู่ช่วง High season ของไทย และ บล.ดาโอ ชู Top pick ท่องเที่ยว AAV, CENTEL , MINT ไฮซีซั่นหนุน AAV (ซื้อ/เป้า 3.60 บาท) คาด 4Q24E จะดีโดดเด่นจากการเข้าสู่ high season ส่งผลให้จ านวนผู้โดยสารและค่าตั๋วโดยสารจะเพิ่มขึ้นได้ดี CENTEL (ซื้อ/เป้า 44.00 บาท) 4Q24E-1Q25E โตได้ต่อเนื่องจากการเข้าสู่ High season ด้าน Valuation ซื้อขายที่ 2024E EV/EBITDA ที่ 11.7x (-1.25SD below 8-yr average EV/EBITDA) ถูกกว่า ERW ที่ 14.6x ขณะที่กำไรปกติปี 2025E จะเติบโตได้สูงที่สุดเมื่อเทียบกับ MINT และ ERW MINT (ซื้อ/เป้า 34.00 บาท) จาก valuation ยังถูกกว่ากลุ่มฯซื้อขาย 2024E EV/EBITDA ที่ 10x (-2.00SD below 10-yr average EV/EBITDA) ถูกกว่า ERW และ CENTEL ที่ average EV/EBITDA ขณะที่คาดกำไรปกติ 4Q24E จะโต YoY ได้ต่อเพราะเป็น High season ที่ไทยและมัลดีฟส์เข้ามาช่วยหนุน

CHOW ปรับทัพสู่ Holding เหล็กแกร่ง-ธุรกิจไฟฟ้าปัง!

CHOW ปรับทัพสู่ Holding เหล็กแกร่ง-ธุรกิจไฟฟ้าปัง!

         หุ้นวิชั่น - บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) ประกาศความพร้อมขับเคลื่อนองค์กรสู่มิติใหม่ ภายใต้โครงสร้าง Holding Company เสริมแกร่งพอร์ตการลงทุน 3 ธุรกิจหลัก พร้อมเปิดโอกาสการเติบโตในอนาคต นายปรมัตถ์ จุฬวนิช ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กแท่งยาว (Steel Billet) และธุรกิจพลังงานทดแทน ประเภทพลังงานแสงอาทิตย์ กล่าวว่า บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) เปิดศักราชใหม่ทางธุรกิจด้วยการประกาศความสำเร็จในการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งประวัติศาสตร์ ก้าวสู่การเป็นบริษัทลงทุนเต็มรูปแบบ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการขยายธุรกิจและสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ตอบรับการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ธุรกิจโลกโดยการปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งสำคัญนี้จะทำให้ CHOW ขึ้นสู่ความแข็งแกร่งในทุกมิติ ธุรกิจเหล็ก: ยกระดับสู่ความเป็นเลิศด้านการผลิต บริษัทฯ ประกาศจัดตั้ง "บริษัท เชาว์ สตีล แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด" เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเหล็กโดยเฉพาะ พร้อมรับการถ่ายโอนทรัพย์สินมูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญจาก บมจ.เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ การปรับโครงสร้างครั้งนี้จะเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ การควบคุมต้นทุน และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้ดียิ่งขึ้น ธุรกิจพลังงานทดแทน: ขยายการลงทุนในประเทศและระดับนานาชาติ บริษัท เชาว์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) ยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมทั้งในประเทศไทย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย โดยมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตและพอร์ตการลงทุนในโครงการใหม่ๆ เพื่อรองรับความต้องการพลังงานสะอาดที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก และสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศต่างๆ ธุรกิจการเงิน: นวัตกรรมทางการเงินเพื่อเศรษฐกิจฐานราก การจัดตั้ง "บริษัท กัปตัน แคช โฮลดิ้ง จำกัด" นับเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจสู่ภาคการเงิน มุ่งเน้นการให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลและ Nano Finance เพื่อเพิ่มการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของประชาชนฐานราก สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในระดับรากหญ้า การปรับโครงสร้างสู่การเป็น Holding Company นับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการบริหารจัดการทางการเงินของ CHOW โดยบริษัทได้วางแผนการบริหารเงินทุนอย่างรอบด้าน ครอบคลุมทั้งการจัดสรรทรัพยากรและการบริหารความเสี่ยง ส่งผลให้กลุ่มบริษัทฯ สามารถกำหนดแหล่งเงินทุนให้เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะของแต่ละธุรกิจ เพิ่มความโปร่งใสในการบริหารจัดการ พร้อมทั้งเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน เพิ่มความคล่องตัวในการตอบสนองต่อความต้องการของตลาด และสร้างโอกาสในการขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพ "การปรับโครงสร้างครั้งสำคัญนี้จะเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งในการขับเคลื่อนธุรกิจของ CHOW สู่อนาคต เราพร้อมที่จะแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจที่สอดคล้องกับเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งด้านดิจิทัล พลังงานสะอาด และนวัตกรรมทางการเงิน โดยมุ่งเน้นการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจในระดับสากล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน" นายปรมัตถ์ กล่าว

ศก.ไทยฟื้น หลัง GDP Q3 โตดี แถมโค้งท้ายปีมีลุ้น! คัดหุ้นได้ประโยชน์

ศก.ไทยฟื้น หลัง GDP Q3 โตดี แถมโค้งท้ายปีมีลุ้น! คัดหุ้นได้ประโยชน์

          หุ้นวิชั่น - วานนี้ สศช. เผย GDP GROWTH ไทยใน 3Q67 +3.0%YOY (สูงกว่าตลาดคาดที่ 2.4%YOY) และ +1.2%QOQ (สูงกว่าตลาดคาดที่ 0.8%QOQ) โดยมี แรงหนุนเด่นๆ มาจากการลงทุนภาครัฐ (+25.9%YOY), การใช้จ่ายภาครัฐ (+6.3%YOY), การ ส่งออก (+10.5%YOY), การบริโภค (+3.4%YOY) ขณะที่การลงทุนเอกชนหดตัว น้อยลง (-2.5%YOY) ทำให้ล่าสุดเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวขึ้นมายืนเหนือช่วงโควิดมา 7 ไตรมาสติดต่อกันแล้ว ทั้งนี้ สศช. ปรับประมาณการเศรษฐกิจในปี 2567 ลดลงเหลือ 2.6% (เดิม 2.3 –2.8%) โดย GDP 4Q67 ต้องเติบโตอย่างน้อย +3.6%YOY ขณะที่ ปี 2568 คาดเศรษฐกิจไทย เติบโตราว 2.3 –3.3%          สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วง 4Q67 คาดมีแนวโน้มดีขึ้น จากความต่อเนื่องของ การใช้จ่ายภาครัฐเร่งตัวขึ้น (G#) โดยนับตั้งแต่ 1 ต.ค. –15 พ.ย. 67 ของปีงบฯ 2568 รัฐบาลมีการเบิกจ่ายงบลงทุนไปแล้วราว 9.7% ของทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกัน ของงบฯ ปี 2567 ชัดเจน ซึ่งน่าจะช่วยหนุนให้การลงทุนภาคเอกชนค่อยๆ ดีขึ้นด้วย นอกจากนี้ ยังคาดว่าภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวช่วง HIGH SEASON และน่าจะเห็นรัฐบาล เร่งกระตุ้นภาคการบริโภคช่วงปลายปี (C) โดยในช่วงบ่ายวันนี้ (19 พ.ย. 67) รอติดตามการประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจนัดแรก โดย สศช. จะเสนอกระตุ้นเศรษฐกิจรูปแบบการลงทุน เพื่อลดความผันผวนและผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการผลิต (สินค้าทุน, สินค้าคงทน) และคาดว่ากระทรวงการคลังจะเสนอแพคเกจ กระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ อาทิ มาตรการของขวัญปีใหม่ช่วงสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า มาตรการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 2 ให้กับกลุ่มกลุ่มผู้สูงอายุ ช่วงอายุ 50 ปี หรือ 60 ปีขึ้นไป มาตรการแก้หนี้ภาคประชาชน สรุป เศรษฐกิจไทยปีนี้มีแนวโน้มฟื้นตัวแบบขั้นบันได และคาดเห็นแรงกระตุ้นภาคการบริโภคช่วงปลายปี ภาคท่องเที่ยวฟื้นตัว บวกกับการเบิกจ่ายการลงทุนของภาครัฐ งบฯ ปี 2568 มีสัญญาณเร่งตัวขึ้น ซึ่งน่าจะช่วยหนุนให้การลงทุนภาคเอกชนค่อยๆ ดี ขึ้นด้วย แนะนำหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์ อาทิ BJC CPALL CPAXT, SCC SCCC CK TASCO, WHA AMATA, CENTEL MINT, KBANK KTB BBL TISCO SCB

มาแล้ว! AOT โบรกฯมองโตต่อเนื่อง นทท.เพิ่ม-แผนขยายสนามบินหนุน

มาแล้ว! AOT โบรกฯมองโตต่อเนื่อง นทท.เพิ่ม-แผนขยายสนามบินหนุน

         หุ้นวิชั่น - บล.เคจีไอ ส่องหุ้น AOT วิเคราะห์แนวโน้มเป็นบวกต่อเนื่องในระยะยาว เมื่อมองต่อไปข้างหน้า ฝ่ายวิจัยคิดว่า AOT น่าจะเติบโตต่อเนื่องทั้ง YoY และ QoQ ใน 1Q68F (ตุลาคม - ธันวาคม 2567) เนื่องจากเป็นฤดูท่องเที่ยวของประเทศไทย นอกจากนี้แนวโน้มระยะยาวของบริษัทยังจะได้แรงหนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กำลังเพิ่มขึ้นไปถึงระดับก่อน COVID ระบาดได้เป็นอย่างน้อย โดยในปัจจุบันจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 88% ของระดับก่อน COVID ระบาดแล้ว ดังนั้น ฝ่ายวิจัยยังเห็นถึงโอกาสที่จำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นได้ในอีกสองสามปีข้างหน้า นอกจากนี้ AOT จะขยายสนามบินสุวรรณภูมิฝั่งตะวันออกเพื่อรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอีก 15 ล้านคน/ปี และยังมีแผนจะขยายอาคารผู้โดยสารด้านใต้ (South Terminal) เพื่อรองรับผู้โดยสาร 70 ล้านคน/ปี ในขณะเดียวกันบริษัทยังมีแผนจะพัฒนาสนามบินดอนเมืองเฟส 3 เพื่อรองรับผู้โดยสาร 50 ล้านคน/ปี ในอนาคตด้วย ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี FY67F เอาไว้ที่ 2.05 หมื่นล้านบาทในปี FY67F และปี FY68F ไว้ที่ 2.42 หมื่นล้านบาท ฝ่ายวิจัยยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”  โดยประเมินราคาเป้าหมาย DCF ปี FY68 ที่ 72.00 บาท (WACC 9%; TG 3%)

SIRI โบรกฯจับตาโครงการใหม่ โค้งท้าย 15.4 พันล้าน หนุนโต เคาะเป้าที่ 2.34 บ.

SIRI โบรกฯจับตาโครงการใหม่ โค้งท้าย 15.4 พันล้าน หนุนโต เคาะเป้าที่ 2.34 บ.

         หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี ส่องหุ้น SIRI มีมุมมอง slightly positive ต่อข้อมูลใน meeting จาก i) 4Q24F outlook ทั้ง presale, transfer สูง ทำให้แนวโน้ม 4Q24F Norm. profit โตได้ y-y, q-q และน่าจะเป็น Norm. profit ที่สูงสุดรายไตรมาสในปีนี้ ii) 4Q24F คาดบันทึก extra gain จากดีลโรงแรม Standard เข้ามา ซึ่งจะเป็น upside ต่อ กำไรสุทธิ 2024F ได้อีก iii) แผนธุรกิจปี2025F คาดใกล้เคียงปีนีในด้านเปิดโครงการใหม่ สะท้อนแผนธุรกิจที่ถือว่า aggressive กว่ากลุ่มฯ 1.iv) IBD/E ยังบริหารจัดการได้และมีโอกาสลดลงมาที่ 1.55x-60x (จาก 1.70x ใน Sep-24) โดยสภาพคล่องเพียงพอต่อการชำระคืน bond ที่จะครบกำหนดใน 4Q24F           ฝ่ายวิจัยคง TP25F ที่ 2.34 บาท คง Buy และเป็น top pick โดยน้ำหนัก 4Q24-2025F เด่น จากโครงการ flagship หลายโครงการรอเปิดตัว, business direction ที่aggressive เป็นโอกาส upside ของกำไรสุทธิจุดเด่นของ SIRI มาจากฐานลูกค้า low-rise ตลาดบนที่กำลังซื้อดีกว่ากลุ่มอื่น และมี% GPM สูง           จับตาแผนเปิดโครงการใหม่ 4Q24F = 15.4 พันลบ. เป็นมูลค่า low-rise :condo ที่ 75% : 25% โดย project hightlight เป็นบ้านเดี่ยว segment บน เช่น Narinsiri กรุงเทพกรีฑา มูลค่า 1.9 พันลบ. (36units), Narinsiri พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา มูลค่า 3.0 พันลบ. (56units)และ Setthasiri Bangna km.10 มูลค่า 2.3 พันลบ. (71units)          นอกจากนี้ SIRI ตั้งเป้า 4Q24F presale สูงราว 12.0 พันลบ. (flat y-y, โต q-q) ตั้งเป้า transfer สูงราว 11.0-12.0 พันลบ. (flat y-y, โต q-q) โดย QTD presale = 4.9 พันลบ., QTD transfer = 3.2 พันลบ. ทั้งนี้ แนวโน้ม Norm. profit4Q24F น่าจะอยู่ในช่วง 1.4-1.5 พันลบ. เพิ่มขึ้น y-y, q-q และ น่าจะเป็นไตรมาสที่ก าไรสุทธิสูงสุดรายไตรมาสของปีนี้ ทั้งนี้ net profit อาจมี upside จาก extra gain ของการขายสัดส่วนเงินลงทุนในโรงแรม The Standard

เจาะหุ้นกลุ่ม รพ. หลังประกันสังคม ชะลอผ่าตัดกระเพาะรักษาโรคอ้วน

เจาะหุ้นกลุ่ม รพ. หลังประกันสังคม ชะลอผ่าตัดกระเพาะรักษาโรคอ้วน

        หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรีฯ เจาะกลยุทธ์การลงทุน มองว่าในระยะสั้น รพ.ประกันสังคม มีประเด็นกดดันจากสำนักงานประกันสังคมขอให้ รพ.คู่สัญญากับประกันสังคม ชะลอให้บริการผ่าตัดกระเพาะรักษาโรคอ้วน โดยฝ่ายวิจัย ตรวจสอบกับ BCH และ CHG พบว่ามี สัดส่วนรายได้ให้บริการดังกล่าวน้อยกว่า 5% ของรายได้ประกันสังคม ประกอบกับไตรมาสสุดท้าย จะมีจำนวน Elective surgery ไม่มาก เพื่อลดความเสี่ยงจากงบประมาณค่ารักษาส่วน RW>2 จึงมองว่าประเด็นดังกล่าว จะมีผลกระทบเล็กน้อยต่อทั้ง BCH และ CHG สำหรับหุ้นเด่นกลุ่มฯ เลือก BDMS (TP 38 บาท) ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยน้ำหนักลงทุน Bullish สำหรับกลุ่มการแพทย์ เนื่องจาก 1) ความชัดเจนค่ารักษาประกันสังคมส่วน RW>2 จะลดความเสี่ยง Downside ต่อประมาณการกำไรรวมของกลุ่ม รพ. 2) การเพิ่มสิทธิประโยชน์รักษาโรครุนแรงของโครงการรัฐ ช่วยเพิ่มอัตราการใช้บริการและ Intensity ค่ารักษา 3) มีโอกาสขยายฐานลูกค้าต่างชาติใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ 4) คาดกำไรรวมกลุ่มฯ (+10%CAGR 24-26) เติบโตต่อเนื่อง นอกจากนี้ Valuation ของกลุ่มฯ ซื้อขาย PE ปี 25F เฉลี่ย 26 เท่าหรือเทียบเท่า -1.0SD Forward PE สำหรับหุ้นเด่นเลือก BDMS (Buy TP 38)

จับตาแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 กระตุ้นเครื่องดื่ม ค้าปลีก

จับตาแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 กระตุ้นเครื่องดื่ม ค้าปลีก

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยสำหรับปัจจัยในประเทศวานนี้มีรายงาน GDP ไตรมาส 3/2567 ขยายตัว 3.0% เติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 2.3% และสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 2.4-2.6% การขยายตัวดังกล่าวมาจาก: - การใช้จ่ายภาครัฐ ที่เติบโต 6.3% YoY จากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ - การส่งออก ที่เติบโตแข็งแกร่ง - ภาคการท่องเที่ยว ที่ขยายตัวต่อเนื่อง - อย่างไรก็ตาม การบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวเพียง 3.4% ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 4.9% - การลงทุนภาคเอกชน ยังคงหดตัว แนวโน้ม GDP ปี 2567 : สำนักงานสภาพัฒน์ประเมิน GDP ปี 2567 จะขยายตัว 2.6% สูงกว่าคาดการณ์ก่อนหน้าที่ 2.5% Outlook ปี 2568 : คาดว่า GDP ปี 2568 จะขยายตัว 3.0% โดยมีปัจจัยหนุน ได้แก่ - การลงทุนภาครัฐ - การบริโภคภาคเอกชนตามกำลังซื้อในประเทศที่สูงขึ้น - ภาคการท่องเที่ยว - การส่งออกตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจคู่ค้า - ความคาดหวังต่อการกลับมาฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชน อัตราเงินเฟ้อคาดอยู่ในกรอบ 0.3-1.3% **ปัจจัยเสี่ยง**: - ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ - ปัญหาเชิงโครงสร้าง - หนี้ภาคครัวเรือนในระดับสูง **กลยุทธ์การลงทุน** : เน้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการขยายตัวใน : 1. การบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาครัฐ เช่น - ค้าปลีก : CPALL, GLOBAL, MOSHI - รับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง : CK, SCC, TASCO - ธนาคาร : BBL, KTB **ติดตามประเด็นวันนี้**: - การประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ: คาดหวังมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 ให้ผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นบวกต่อกลุ่มค้าปลีก: BJC, CPAXT อาหารและเครื่องดื่ม : CBG มาตรการแก้ไขหนี้ภาคครัวเรือน โดยเฉพาะหนี้เสียในพอร์ตที่อยู่อาศัย, เช่าซื้อ และ SMEs ผ่านการปรับลดเงินนำส่งกองทุน FIDF จากเดิม 0.46% เหลือ 0.23% ซึ่งช่วยลดภาระและเพิ่มสภาพคล่องให้กับธนาคาร กลุ่มธนาคารที่ได้ประโยชน์: BBL, KTB, KBANK, SCB, TTB

CPALL ส่องกำไรQ4แกร่ง โบรกชี้เป้า 80 บาท

CPALL ส่องกำไรQ4แกร่ง โบรกชี้เป้า 80 บาท

      หุ้นวิชั่น- ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ในไตรมาส 3/67 CPALL ทำกำไรสุทธิได้ 5.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% yoy ลดลง 10% qoq แต่หากไม่รวมรายการพิเศษ ซึ่งหลักๆคือกำไร/ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของ CPAXT และค่าใช้จ่ายในการควบรวมกิจการ พบว่า CPALL จะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติสูงถึง 6.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% yoy และ 1% qoq สูงกว่าประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์ฯ และ Bloomberg consensus ราว 4% และ 9% ตามลำดับ โดยมีปัจจัยหนุนจากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) สูงกว่าคาดของธุรกิจร้านสะดวกซื้อและกำไรที่แข็งแกร่งกว่าคาดของ CPAXT ดังนั้นกำไรสุทธิในงวด 9 เดือนของปี 67 จึงเพิ่มขึ้นแตะ 1.82 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% yoy หรือคิดเป็น 76% ของประมาณการทั้งปี           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า ร้าน 7-Eleven ในไทยมีอัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) บวก 3.3% ในไตรมาส 3/67 หนุนโดยยอดซื้อต่อบิลที่เพิ่มขึ้น 2.4% yoy และจำนวนลูกค้าที่เข้ามาในร้านเพิ่มขึ้น 0.5% yoy โดยในไตรมาสนี้ CPALL เปิดร้าน 7-Eleven ในไทยอีก 199 สาขา พร้อมทั้งเปิดสาขาเพิ่มในกัมพูชา 11 สาขาและลาว 3 สาขา จึงทำให้จำนวนสาขาโดยรวมในไทยเพิ่มเป็น 15,053 สาขา, กัมพูชา 98 สาขา และลาว 9 สาขา           ส่วนอัตรากำไรจากการขายสินค้าทรงตัว qoq ที่ 27.7%ไตรมาส 3/67 ยังเป็นสถิติสูงสุด เนื่องจากสินค้าที่ไม่ใช่อาหารมี GPM เพิ่มขึ้น 20bp qoq เพราะส่วนผสมการขายที่ดีขึ้นช่วยชดเชยอัตรากำไรจากสินค้าอาหารที่ลดลง 10bp qoq ตามฤดูกาล ขณะที่ GPM โดยรวมจากการจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้น 70bp yoy ดังนั้นแม้ธุรกิจร้านสะดวกซื้อจะมีอัตราส่วน SG&A/รายได้สูงขึ้น 40bp yoy และ 20bp qoq เป็น 27.5% จากค่าใช้จ่ายพนักงานและค่าโฆษณาที่เพิ่มขึ้น แต่ไตรมาส 3/67 ธุรกิจนี้ยังคงมีกำไรสุทธิเติบโตแข็งแกร่งถึง 30% yoy เป็น 4.4 พันล้านบาท คิดเป็น 79% ของกำไรสุทธิโดยรวมของ CPALL ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI คาดว่า CPALL จะยังมีกำไรสุทธิเติบโตแข็งแกร่งในไตรมาส 4/67 แม้อาจชะลอตัวลงจากไตรมาส 3/67 หลังผลดีจากค่าไฟฟ้าที่ลดลงค่อยๆหมดไป นอกจากนี้ กำไรสุทธิจาก CPAXT น่าจะเติบโตเพียงเล็กน้อย เนื่องจากฐานกำไร ของ Lotus’s ขยายใหญ่ขึ้น จึงปรับประมาณการกำไรสุทธิในปี 67-69 ขึ้น 1.5-2.3% สะท้อน GPM ที่แข็งแกร่งของร้านสะดวกซื้อ ขณะที่เลื่อนระยะเวลาการลงทุนเป็นสิ้นปี 68 ส่งผลให้ราคาเป้าหมายของ CPALL เพิ่มเป็น 80 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”จากแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งและฐานกำไรที่ใหญ่ขึ้น           อย่างไรก็ตาม CPALL อาจมี downside risk หากมีการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและต้นทุนอาหารสดเพิ่มสูงขึ้นส่วนปัจจัยบวกคือการที่บริษัทขยายสาขาในกัมพูชาและสปป.ลาวเร็วกว่าคาดและส่วนแบ่งกำไรจาก CPAXT สูงกว่าคาด เพราะได้ประโยชน์จาก synergy ระหว่าง Makro และ Lotus มากกว่าคาด

โบรกฯเจาะ 11 หุ้นได้ประโยชน์ จับตาแจกเงินดิจิทัลเฟส 2

โบรกฯเจาะ 11 หุ้นได้ประโยชน์ จับตาแจกเงินดิจิทัลเฟส 2

          หุ้นวิชั่น - บล.เอเชียพลัส จับตาความคืบหน้าการแจกเงินดิจิทัลเฟส 2 ล่าสุด รมช.คลังเผยว่าเตรียมนำนโยบายดังกล่าว โดยจะเป็นการรับเงินสดก้อนเดียว 10,000 บาท เสนอต่อที่ประชุม ครม. 19 พ.ย.นี้ ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมเงินไว้แล้ว 1.8 แสนล้านบาท ส่วนกลุ่มที่จะได้รับเงินนั้น คาดว่าจะมีช่วงอายุ 50 ปีหรือ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งมองว่ากลุ่มผู้สูงอายุ เป็นกลุ่มที่มีความเหมาะสม เพราะเป็นกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อนมากกว่ากลุ่มอื่น เพราะมีความสามารถในการหารายได้ที่ต่ำกว่ากลุ่มอื่น อย่างไรก็ตามกลุ่มดังกล่าวจะต้องเป็น ผู้ที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น “ทางรัฐ” เท่านั้น และกลุ่มเปราะบางที่ได้รับเงินในเฟสแรก ไปแล้วจะถือว่าหมดสิทธิ จากประเด็นดังกล่าว รมช.คลังคาดจะเป็นตัวชูโรงให้ ตัวเลข GDP ในไตรมาส 4/2567 จะอยู่ ที่ระดับ 4.3-4.4%YOY เสริมด้วยการอัดฉีดหลายมาตรการกระตุ้นที่เตรียมไว้ในช่วงปลายปี ส่วนหุ้นที่คาดจะได้ประโยชน์และ SENTIMENTเชิงบวก คือ กลุ่มเกษตร-อาหาร CPF CBG OSP ICHI M กลุ่มค้าปลีก CPALL CRC BJC CPAXT กลุ่มเช่าซื้อ MTC SAWAD

GULF เนื้อแท้กำไรแกร่ง เคาะพื้นฐาน65บาท

GULF เนื้อแท้กำไรแกร่ง เคาะพื้นฐาน65บาท

         หุ้นวิชั่น - บล. ดาโอ ระบุว่า ปรับคำแนะนำลงเป็น “ถือ” (เดิม “ซื้อ”) แต่ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 65.00 บาท (เดิม 60.00 บาท) ปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2025E อิง SOTP ประเมินราคาหุ้นปรับตัวขึ้นจาก theme amalgamation และสะท้อนการเติบโตไปมาก (ราคาหุ้น +52% จากวันปรากาศดีล) โดย ณ ราคาปัจจุบันเทรดอยู่ที่ 2025PER 37X ในขณะที่ consensus ประเมินการเติบโตราว 18% ในปี 2025E ทั้งนี้ บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 3Q24 ที่ 6.0 พันล้านบาท (ใกล้เคียง consensus คาด) อย่างไรก็ตามหากตัดรายการพิเศษ Fx ออก กำไรปกติอยู่ที่ 4.7 พันล้านบาท (+12% YoY, ทรงตัว QoQ) โดย YoY ได้แรงหนุนจากการ COD โครงการใหม่ GPD และ HKP และส่วนแบ่งกำไรจาก Jackson มากขึ้น ในขณะที่ QoQ ทรงตัวแม้โรงไฟฟ้า IPP มีค่า AP ที่ต่ำลง และโรงไฟฟ้า SPP ถูกค่าก๊าซกดดัน อย่างไรก็ตามได้รับชดเชยจากโครงการ Jackson (ราคาขายไฟเฉลี่ยเพิ่มขึ้นและมีการกลับรายการ property tax) เบื้องต้นเรายังคงประมาณการกำไรปกติปี 2025E ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท (20% YoY) แนวโน้ม 4Q24E คาดกำไรอยู่ระดับใกล้เคียง QoQ แม้มีปัจจัยฤดูการโรงไฟฟ้าผลิตไฟฟ้าน้อยลงแต่คาดได้รับเชยจากโรงไฟฟ้า GPD (663MW COD-4Q24) และผลประกอบการของ INTUCH ที่ดีขึ้นจาก ADVANC ช่วยประคอง ราคาหุ้น outperform SET ราว +48% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา จากประเด็นการจัดโครงสร้างการลงทุนของกลุ่ม ทำให้เกิด amalgamation GULF + INTUCH อย่างไรก็ตามคาดว่าราคาหุ้นสะท้อนประเด็นดังกล่าวไปมาก และปัจจุบันเทรดที่ราคา premium ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับการเติบโตที่ตลาดประเมิน (2025PER 37X ในขณะที่ consensus ประเมินการเติบโตราว 18% ในปี 2025E) จึงปรับคำแนะนำลงเป็น “ถือ”

“เอเชียพลัส” คาด SET ผันผวน กรอบ 1442 –1462 จุด-คัด 3 หุ้นเด่น

“เอเชียพลัส” คาด SET ผันผวน กรอบ 1442 –1462 จุด-คัด 3 หุ้นเด่น

        หุ้นวิชั่น - บล.เอเชียพลัส จับการลงทุนวันนี้ มองว่าทิศทางของ FUND FLOW ที่ไหลเข้า USD ASSET หลังการเลือกตั้งปธน. มีส่วนอย่างสำคัญทำให้เงินบาทอ่อนค่าโดยล่าสุดอยู่ที่บริเวณ 35 บาท/USD แต่หากพิจารณาผ่านข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่าง BOND YIELD 10 ปี ของสหรัฐฯ-ไทย ซึ่งปัจจุบันมีส่วนต่าง 2.02% ถือ เป็น NEW HIGH ของปีนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะยังเห็นเงินบาทอ่อนค่าได้ ต่อเนื่อง สภาวะดังกล่าวทำให้ทิศทางของ FUND FLOW มีโอกาสไหลออกจากบ้านเราได้ต่อ ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ล่าสุดตัวเลข PPI เดือน ต.ค. ออกมาสูงกว่าคาด ชี้นำว่าเงินเฟ้อจะยังไม่กลับเข้ามาในกรอบเป้าหมาย ทำให้FED มีท่าที่ไม่รีบลดดอกเบี้ย ซึ่งเป็นแรงหนุนให้USD แข็งค่าต่อ สำหรับในบ้านเรารอดูมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ล่าสุด DIGITAL WALLETเฟสต่อไป น่าจะจ่ายให้กับกลุ่มผู้สูงอายุที่ได้ลงทะเบียนไว้ แรงกดดันจาก FUND FLOW ที่ยังไหลออกได้ต่อ ขณะที่แรงหนุนจากปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานอ่อนแรง คาด SET INDEX ผัวผวนในกรอบ 1442 –1462 จุด TOP PICK เลือก CPALL, PLANB และ SCGP

เจาะ “PR9” หลัง Q3 กำไรโต โบรกฯมอง Q4 มีลุ้นไฮซีซั่น

เจาะ “PR9” หลัง Q3 กำไรโต โบรกฯมอง Q4 มีลุ้นไฮซีซั่น

 หุ้นวิชั่น - บล.เอเชียพลัส เจาะหุ้น PR9  ประเมินจากการรายงานกำไรสุทธิงวด Q3/67 อยู่ที่ 208 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49%YOY โดยมี ปัจจัยหนุนจากโรคระบาดตามฤดูกาล และการเพิ่มขึ้นของรายได้ผู้ป่วยต่างชาติ อย่างมีนัยสำคัญจากการขยายฐานผู้ป่วยกลุ่มตะวันออกกลาง รวมถึงอัตรากำไร ที่ปรับตัวดีขึ้นจากการให้บริการผู้ป่วยโรคยากซับซ้อน และควบคุมค่าใช้จ่ายได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ฝ่ายวิจัยมองแนวโน้มผลการดำเนินงานงวด Q4/67 คาดเติบโตต่อเนื่องหนุนจากไฮซีซั่น ที่มีผู้ป่วยเข้ามาใช้บริการตรวจสุขภาพ รวมถึงศูนย์ศัลยกรรมและเลสิคเพิ่มขึ้น ฝ่ายวิจัยประเมินราคาเหมาะสมใหม่ปี 2568 ที่ 28.4 บาท อิงวิธี DCF ให้น้ำหนักการ ลงทุน OUTPERFORM แนวโน้มผลประกอบการ Q4/67 โตต่อเนื่อง ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการของ PR9 ในงวด Q4/67 โดย คาดว่าจะเติบโตได้ในระดับ YoY และ QoQ ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากปัจจัยเชิงฤดูกาลที่มักส่งผลให้มีผู้เข้ารับบริการตรวจสุขภาพจำนวนมาก โดยในอดีตเคยมี ผู้ใช้บริการสูงถึง 400-500 คน/วัน นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้บริการในศูนย์ศัลยกรรมความงามและศูนย์เลสิค ควบคู่กับการขยายตัวอย่าง ต่อเนื่องของกลุ่มผู้ป่วยโรคยากซับซ้อนทั้งชาวไทยและต่างชาติ ในด้านการพัฒนา ศักยภาพการให้บริการ PR9 มีแผนเปิดศูนย์การแพทย์แผนจีนภายในงวด Q4/67 ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการขอใบอนุญาตและได้เตรียมความพร้อมด้าน บุคลากรทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ขณะเดียวกัน PR9 ได้มีการประชาสัมพันธ์ศูนย์ผ่าตัดหัวใจที่มีจุดเด่นด้านทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสถาบัน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี สะท้อนจากจำนวนผู้เข้ารับการผ่าตัดที่เพิ่มขึ้นในงวด Q3/67 ทั้งนี้การพัฒนาศักยภาพการให้บริการดังกล่าว คาดว่าจะช่วยยกระดับมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยและเป็นโอกาสในการขยายฐานลูกค้าทั้งใน ประเทศและต่างประเทศ ฝ่ายวิจัยประเมินราคาเหมาะสมปี 2568 ที่ 28.4 บาท โดยมองจากภาพรวมกำไรสุทธิงวด 9M67 อยู่ที่ 506 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37%YoY คิดเป็น สัดส่วน 79% ของประมาณการกำไรสุทธิทั้งปีฝ่ายวิจัยจึงปรับประมาณการกำไร ปี 2567 และ 2568 เพิ่มขึ้น 7% และ 10.4% ตามลำดับ เพื่อสะท้อนอัตราการทำกำไรที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2567 อยู่ที่ 687 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23%YoY และประมาณการอัตราการเติบโตของกำไรในช่วงปี 2567-2571 เฉลี่ย อยู่ที่ 14% ต่อปี ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยประเมินว่า PR9 มีศักยภาพการเติบโตสูงจากการขยายฐานผู้ป่วยกลุ่มตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีค่ารักษาพยาบาลต่อหัวสูงประกอบกับการมีมาตรฐานการรักษาในระดับสากลและอัตราค่าบริการที่ สมเหตุสมผล คาดว่าจะสามารถดึงดูดผู้ป่วยกลุ่มนี้ให้เข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติให้เพิ่มขึ้นเป็น

จับตา 7 หุ้น หลัง “ทรัมป์” ไม่เน้นพลังงานสะอาด

จับตา 7 หุ้น หลัง “ทรัมป์” ไม่เน้นพลังงานสะอาด

         หุ้นวิชั่น - ทีมขาวหุ้นวิชั่นรายงาน จากบล.เอเชียพลัส ได้ประเมิน 7 หุ้น จากนโยบายของทรัมป์ ที่ไม่เน้นพลังงานสะอาด มองจากปัจจัยตลาดหุ้นจากภายนอกดูแผ่วลง โดยมองจากการเดินหน้านโยบายของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงไป ถือเป็นปัจจัย สำคัญที่ส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลก และอาจเป็นความเสี่ยงน่าจับตา เริ่มจากสหรัฐฯ ในประเด็น “ปัญหาภาวะโลกร้อนเสี่ยงรุนแรงขึ้น” หลังนโยบายของTRUMP ว่าที่ ปธน. สหรัฐฯ คนใหม่ ไม่เน้นสนับสนุนพลังงานสะอาด          โดยล่าสุดเมื่อ 8 พ.ย. 67 ตามเวลาท้องถิ่นนิวยอร์กไทม์ส รายงานว่า ทีมถ่ายโอนอำนาจของทรัมป์ เตรียมการออกคำสั่งฝ่ายบริหาร และคำประกาศถอนตัวจากข้อตกลงปารีสลดขนาด พื้นที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติเพื่อเปิดทางให้กับการขุดเจาะน้ำมันและทำเหมือง ขณะที่การประชุม COP29 สร้างความหวาดหวั่นว่าไม่น่าได้ข้อตกลงเป็นชิ้นเป็นอัน และเพิ่มแรงกดดันให้ยุโรปและจีน รับบทผู้นำควบคุมโลกร้อนให้คืบหน้ายิ่งขึ้น ฝ่ายวิจัยมองว่า การคำนึงถึงปัญหาภาวะโลกร้อนที่ลดลง อาจกดดันหุ้นกลุ่มอิง THAILAND ESG อาทิ GUDF GPSC BGRIM BANOU BCP CKP PTT เป็นต้น

KGI คัด 3 หุ้นเด่นวันนี้  แนะเก็งกำไร CBG – SAV – SFLEX

KGI คัด 3 หุ้นเด่นวันนี้ แนะเก็งกำไร CBG – SAV – SFLEX

         หุ้นวิชั่น - บล.เคีไอ ประเมิน 3 หุ้นเด่นวันนี้ แนะเข้าเก็งกำไร ได้แก่  CBG ให้เป้าพื้นฐาน 86.5 บาท โดยมองจากปัจจัยหนุน 1) มุมมองด้านเทคนิค ราคาหุ้นมีโอกาส Break กรอบ Sideway ทำจุดสูงใหม่ ประเมินแนวรับ 79.75 บาท / แนวต้าน 81.25 – 82 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 85 บาท (Stop loss 78 บาท) 2) Earnings momentum ยังเดินหน้าบวกต่อรายงานกำไร Q3/67 โต YoY QoQ เด่นตามคาด และฝ่ายวิจัยประเมินแนวโน้มกำไร Q4/67 จะโตต่อเนื่องจากการเป็น High season ทั้งยอดขายในประเทศ (คาดการท่องเที่ยวโตเด่น + มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากช่วยหนุนยอดขายของ CBG* และรวมถึงธุรกิจในเครืออย่าง ธุรกิจค้าปลีกและแอลกอฮอล์) และ ต่างประเทศ (โดยเฉพาะกัมพูชา) 3) Valuation ยังมี Upside Forward PE บนประมาณการฯปี 2568 =24.6 เท่า (ต่ำกว่า -1 S.D. ที่ราว +/- 26 เท่า)           ฝ่ายวิจัยแนะนำ SAV ให้เป้าพื้นฐาน 27 บาท มองจากปัจจัยหนุนจาก  1) มุมมองด้านเทคนิค ราคาหุ้นแกว่งตัวในกรอบ Uptrend channel ประเมินแนวรับ 22.6 บาท / แนวต้าน 23.3 – 23.8 บาท กรณีแกว่งตัวขึ้นยืนเหนือกรอบแนวต้านนี้ได้ท ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 24.7 บาท (Stop loss 22.0 บาท) 2) แนวโน้ม Earnings momentum บวกต่อเนื่องในช่วง High season การท่องเที่ยว รายงานกำไร Q3/67 โต YoY QoQ ดีกว่าคาด จากจำนวนเที่ยวบินที่เดินทางผ่านน่านฟ้ากัมพูชามากขึ้น แม้เผชิญปัจจัยลบเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่า (SAV รับรู้รายได้เป็นดอลลาร์สหรัฐฯ) คาดแนวโน้มผลการดำเนินงานจะดีขึ้นต่อเนื่องใน Q4/67 – Q1/68 ที่เป็น High season ของการท่องเที่ยว รวมทั้งปัจจุบันค่าเงินบาทเริ่มอ่อนค่าเทียบ Q3/67           และยังแนะนำ SFLEX ให้เป้าพื้นฐาน 5.8 บาท มองจากปัจจัยหนุนจาก 1) มุมมองด้านเทคนิค ราคาหุ้น Sideway สร้างฐาน ขณะที่ MACD RSI เริ่มฟื้นตัวก่อน ประเมินแนวรับ 3.12 บาท / แนวต้าน 3.20 – 3.24 บาท กรณีฟื้นตัวผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 3.32 บาท (Stop loss 3.10 บาท) 2) คาดแนวโน้มผลการดำเนินงาน Q3/67 โตเด่น YoY QoQ ฝ่ายวิจัยประเมินแนวโน้มกำไร Q3/67 จะโตเด่นจาก i) อัตรากำไรที่ยืนสูงต่อเนื่องจาก ต้นทุนเม็ดพลาสติกที่ตกต่ำ (ภาวะ Oversupply และคาดจะ Oversupply ต่อเนื่องตลอดปี 2568) ii) รับส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษที่เวียดนาม (JV กับ SCGP*) โดย Q3 เป็น High season ของธุรกิจ 3) Valuation ถูก Forward PE ปีนี้ ต่ำเพียง 10.9 เท่า (ต่ำกว่า -1. S.D. ที่ราว +/-13 เท่า)

CBG  โบรกฯส่อง Q3 กำไรแกร่ง  มอง Q4 ยอดขาย หนุนโตต่อ

CBG โบรกฯส่อง Q3 กำไรแกร่ง มอง Q4 ยอดขาย หนุนโตต่อ

         หุ้นวิชั่น - บล.เคจีไอ ประเมินหุ้น CBG รายงานกําไรสุทธิใน Q3/67 อยู่ที่ 741 ล้านบาท (+40% YoY และ +7% QoQ ใกล้เคียงกับที่ฝ่ายวิจัยและนักวิเคราะห์ในตลาดคาด การที่กําไรแข็งแกร่งขึ้นได้แรงหนุนจากการได้ส่วน แบ่งการตลาดของเครื่องดื่มชูกําลังในประเทศเพิ่มขึ้น การฟื้นตัวของรายได้จากการส่งออก และผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ของบุคคลภายนอกได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ อัตรากําไรขั้นต้น (GPM) ดีขึ้นจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการดําเนินงานและการประหยัดต่อขนาดยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งในขับเคลื่อนการเติบโต ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคาดว่ากําไรของ CBG จะยังมีโมเมนตัมบวกต่อเนื่องใน Q4/67 โดยเติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากยอดขายในประเทศและที่กัมพูชาสูงขึ้น          ฝ่ายวิจัยคงคําแนะนํา“ซื้อ” ประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี2568 ที่ 86.50 บาท (อิงจากPER ที่26x หรือ-1.0S.D.) ในขณะนี้ คาดว่ากําไรของ CBG จะยังคงมีโมเมนตัมเป็นบวกใน Q4/67 โดยเติบโตทั้ง YoY และ QoQ หนุนจากยอดขายในประเทศและที่กัมพูชาสูงขึ้น

โบรกฯส่อง “CPAXT” Q3 สดใส ลุ้น Q4 ไฮซีซั่น

โบรกฯส่อง “CPAXT” Q3 สดใส ลุ้น Q4 ไฮซีซั่น

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน จากบทวิเคราะห์ของ บล.เอเชียพลัส ส่องหุ้น  CPAXT รายงานกำไรสุทธิงวด Q3/67 ที่ 1.95 พันล้านบาท (-10% QOQ, +16% YOY) ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายพิเศษราว 458 ล้านบาท แต่หากไม่รวมรายการพิเศษ กำไรปกติอยู่ที่ 2.4 พันล้านบาท (+11% QoQ, +45% YoY) เพราะได้แรงหนุนจากทั้งยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น โดยเฉพาะจากการขายอาหารสด แม้กำไรปกติช่วง 9M67 มีสัดส่วน 67% ของคาดการณ์ทั้งปี แต่ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรปี 2567 – 68 ไว้ตามเดิม ที่ 1.06 หมื่นล้านบาท (+23% YoY) และ 1.26 หมื่นล้านบาท (+20% YoY) เพราะเชื่อว่ากำไรปกติใน Q4/67 จะโตแรง จากผลบวกของฤดูกาล และกำลังซื้อที่ดีขึ้น          โดยฝ่ายวิจัยยังคงราคาเป้าหมายสำหรับปี 2568 ไว้ที่ 40.00 บาท (อิง PER 32.9 เท่า, ค่าเฉลี่ย 7 ปีย้อนหล้ง) และคงคำแนะนำ “Outperform” โดยมีปัจจัยหนุนสำหรับ CPAXT เนื่องจาก 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกต่อกำไรปกติในงวด Q3/67 ที่ออกมาดีกว่าคาด, และ 2) ระยะถัดไปกำไรใน Q4/67 จะเดินหน้าสู่จุดพีคของปีนี้ในงวด Q4/67 ซึ่งเป็น high season ซึ่งทำให้คาดว่ากำไรโดยรวมทั้งปี 2567 มีแนวโน้มจะโตดีกว่าหุ้นกลุ่ม พาณิชย์อื่นๆที่ฝ่ายวิจัยศึกษา ฝ่ายวิจัยแนะนำ “Outperform”  ให้ราคาเป้าหมายสำหรับปี 2568 ไว้ที่ 40.00 บาท 

จับตา 25 หุ้น โบรกฯคาดได้ประโยชน์ ศก.จีนฟื้น

จับตา 25 หุ้น โบรกฯคาดได้ประโยชน์ ศก.จีนฟื้น

          หุ้นวิชั่น - บล.เอเชียพลัส ได้วิเคราะห์ 25 หุ้น ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน มีความหวังมากขึ้น หลังตัวเลขเศรษฐกิจที่ทยอยออกมา ในเดือน ต.ค. 67 เริ่มเห็นสัญญาดีขึ้น เริ่มจาก PMI ภาคการผลิต-บริการและ ล่าสุดวานนี้ จีนเผยตัวเลขส่งออกพุ่งขึ้น +12.7%YOY ซึ่งสูงกว่าคาด และขยายตัวมากสุด ในรอบ 27 เดือน ตามการฟื้นตัวของภาคการผลิตโลก           นอกจากนี้ยังคาดหวังว่า ในการประชุม NPC วันนี้ (8 พ.ย. 67) จะมีการสรุปแผนและ แถลง “มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจจีนเพิ่มเติม” ออกมา โดยเฉพาะนโยบายการคลัง อัดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบราว 10 ล้านล้านหยวน เพื่อช่วยแก้ปัญหาหนี้รัฐบาลท้องถิ่น และ ภาคอสังหาริมทรัพย์จีน รวมถึงนโยบายอื่นๆ กรณีเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวได้จริง คาดหนุนให้ DEMAND โลกดีขึ้น พร้อมกับส่งผ่านอานิสงค์เชิงบวกมายังบ้านเรา ทั้งในแง่การค้าระหว่างประเทศ และภาคท่องเที่ยว ขณะที่ราคาน้ำมันมีโอกาสที่จะขยับขึ้นตาม ฝ่ายวิจัยฯ ได้สรุปหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์ ธีม CHINA PLAY ไว้ดังตารางด้านล่างนี้          อย่างไรก็ตาม ในระยะถัดไปยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเรื่องผลกระทบ กรณี TRUMP ว่าที่ ปธน. สหรัฐฯ คนใหม่ มีแผนปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่ม 60% ซึ่งอาจเพิ่มแรงกดดันต่อภาคเศรษฐกิจ และตลาดการเงินทั่วโลกเสี่ยงผันผวนได้ ดังเช่น TRADE WAR ในปี 2561

“เคจีไอ” จัดให้ 3 หุ้นเด่น ตามปัจจัยพื้นฐาน  CBG – CPALL - ADVANC

“เคจีไอ” จัดให้ 3 หุ้นเด่น ตามปัจจัยพื้นฐาน CBG – CPALL - ADVANC

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน จากบทวิเคราะห์ บล.เคจีไอ แนะ 3 หุ้นเด่น ตามปัจจัยพื้นฐานวันนี้  โดยแนะนำ CBG* ให้ราคาเป้าพื้นฐาน 86.5 บาท มองจากปัจจัย 1) มุมมองด้านเทคนิค ราคาหุ้น Sideway up ลุ้นทำจุดสูงใหม่ ประเมินแนวรับ 80.25 บาท / แนวต้าน 81.75 – 83.0 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 87 บาท (Stop loss 79 บาท) 2) ประเมิน Earnings momentum Q3 – Q4 ดีต่อเนื่อง ฝ่ายวิจัยฯ คาดกำไร Q3/67 = 742 ล้านบาท (+40% YoY +7% QoQ) และแนวโน้มผลการดำเนินงานคาดจะดีขึ้นต่อใน Q4/67 จากการส่งออก High season การท่องเที่ยวฟื้น และคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐฯช่วยหนุน ธุรกิจของ CBG* ทั้งเครื่อมดื่มชูกำลัง และธุรกิจเชื่อมโยงในกลุ่มฯ อาทิ ค้าปลีก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น 3) Valuation ยังไม่แพง Forward PE ปี 2568 = 24.6 เท่า (ต่ำกว่า -1 S.D. ที่ราว 26 เท่า)           แนะนำ CPALL* ให้ราคาเป้าพื้นฐาน 80 บาท มองจากปัจจัย 1) มุมมองด้านเทคนิค ราคาหุ้นเริ่มฟื้นตัว หลังพักฐาน ประเมินแนวรับ 64.5 บาท / แนวต้าน 65.25 – 66 บาท กรณีฟื้นตัวผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/-68 บาท (Stop loss 62.5 บาท) 2) ประเมิน Earnings momentum ดีขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายวิจัยฯคาดกำไร Q3/67 โต +21% YoY เป็น 5.4 พันล้านบาท (คาดอัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม SSSG โต+3.5%) และแนวโน้มผลการดำเนินงานจะดีขึ้นต่อเนื่องใน Q4/67 ที่เป็น High season + การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวแรง + นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐฯ 3) Valuation ยังมี Upside Forward PE บนประมาณการฯปี 2568 = 22.8เท่า (ใกล้เคียง -2 S.D. ที่ราว 21 เท่า)           และแนะนำ ADVANC* ให้ราคาเป้าพื้นฐาน 293 บาท มองจากปัจจัย 1) มุมมองด้านเทคนิค ราคาหุ้นมีโอกาสฟื้นตัวหลังพักฐานประเมินแนวรับ 275 บาท / แนวต้าน 280 – 285 บาท กรณี ฟื้นตัวยืนเหนือแนวราคานี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 295 บาท (Stop loss 267 บาท) 2) ประเมินแนวโน้ม Earnings momentum ยังไปต่อ ฝ่ายวิจัยประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงาน Q4/67 - 2568 ยังดีต่อเนื่อง หลังรายงานกำไร Q3/67 ดีตามคาด(สูงสุดรายไตรมาสในรอบ 5 ปี) โดยได้แรงหนุนจาก ยอดขายสมาร์ทโฟนใหม่รองรับ AI / การแข่งขันในอุตสาหกรรมสื่อสารที่ลดลง / Demand จาก Data Center 3) Valuation ยังมี Upside Forward PE บนประมาณการฯปี 2568 = 21.9เท่า (+0.5 S.D.) Dividend yield 4.2% ต่อปี

“เคจีไอ” เปิด 3 หุ้นเด่นวันนี้  แนะเก็งกำไร CPALL - SISB - ADVANC

“เคจีไอ” เปิด 3 หุ้นเด่นวันนี้ แนะเก็งกำไร CPALL - SISB - ADVANC

          หุ้นวิชั่น – บล.เคจีไอ เปิดหุ้นเด่นวันนี้ ตามปัจจัยพื้นฐาน แนะเก็งกำไร โดยแนะนำ 3 หุ้น ได้แก่ CPALL* ให้เป้าพื้นฐาน 80 บาท ฝ่ายวิจัยมองว่า 1) มองด้านเทคนิค ราคาหุ้นเริ่มฟื้นตัว หลังพักฐาน ประเมินแนวรับ 63.75 บาท / แนวต้าน 65 – 66 บาท กรณีฟื้นตัวผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/-68 บาท (Stop loss 62.5 บาท) 2) ประเมิน Earnings momentum ดีขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายวิจัยฯคาดกำไร Q3/67 โต +21% YoY เป็น 5.4 พันล้านบาท (คาดอัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม SSSG โต +3.5%) และแนวโน้มผลการดำเนินงานจะดีขึ้นต่อเนื่องใน Q4/67 ที่เป็น High season + การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวแรง + นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐฯ 3) Valuation ยังมี Upside Forward PE บนประมาณการฯปี 2568 = 22.6 เท่า (ใกล้เคียง -2 S.D. ที่ราว 21 เท่า) SISB* ให้เป้าพื้นฐาน 46.75 บาท ฝ่ายวิจัยมองว่า 1) มุมมองด้านเทคนิค ราคาหุ้น Sideway up ประเมินแนวรับ 34.5 บาท / แนวต้าน 35.5 – 36.5 บาท กรณีฟื้นตัวผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 38 บาท (Stop loss 32.75 บาท) 2) ประเมินแนวโน้มกำไรทำ New high ฝ่ายวิจัยฯ คาดกำไร Q3/67 = 219 ล้านบาท ทำจุดสูงสุดใหม่รายไตรมาส (ขึ้นค่าเทอม จำนวนนักเรียนเพิ่ม) และคาด Earnings momentum จะดีต่อใน Q4/67 ADVANC* ให้เป้าพื้นฐาน 293 บาท   ฝ่ายวิจัยมองว่า 1) มุมมองด้านเทคนิค ราคาหุ้นมีโอกาสฟื้นตัวหลังพักฐาน ประเมินแนวรับ 270 บาท / แนวต้าน 275 – 280 บาท กรณี ฟื้นตัวยืนเหนือแนวราคานี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 290 บาท (Stop loss 265 บาท) 2) ประเมินแนวโน้ม Earnings momentum ยังไปต่อ ฝ่ายวิจัยประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงาน Q4/67 - 2568 ยังดีต่อเนื่อง หลังรายงานกำไร Q3/67 ดีตามคาด (สูงสุดรายไตรมาสในรอบ 5 ปี) โดยได้แรงหนุนจาก ยอดขายสมาร์ทโฟนใหม่รองรับ AI / การแข่งขันในอุตสาหกรรมสื่อสารที่ลดลง / Demand จาก Data Center 3) Valuation ยังมี Upside Forward PE บน ประมาณการฯปี 2568 = 21.4 เท่า (+0.5 S.D.) Dividend yield 4.2% ต่อปี

2 โบรกฯ แนะกลยุทธ์การลงทุน-งัดโผหุ้นเด่น

2 โบรกฯ แนะกลยุทธ์การลงทุน-งัดโผหุ้นเด่น

                    หุ้นวิชั่น – บล.เอเชียพลัส วิเคราะห์ตลาดวันนี้ มองตลาดหุ้นโลกยังคงผันผวน นักลงทุนรอดูผลการเลือกตั้งสหรัฐในเช้าวัน พรุ่งนี้ กดดันสินทรัพย์ TRUMP TRADE อย่าง BITCOIN และ BOND YIELD 10 ปี สหรัฐ ที่ย่อตัวลงแรง หลังผลสำรวจคะแนนความนิยมของ TRUMP – HARRIS สูสีกันมาก           ขณะเดียวกันยังส่งผลให้มูลค่าซื้อขายหุ้นไทยวานนี้เบาบางลงมาก (เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในเอเชีย) เหลือเพียง 2.8 หมื่นล้านบาทต่อวัน เท่านั้น ต่ำสุดในรอบ 4 เดือน และต่ำสุดเป็นอันดับ 5 ของปีนี้           ส่วนปัจจัยสนับสนุนมี ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น 2% บวกต่อ TOP BCP PTTEP การเบิกจ่ายภาครัฐที่เร่งขึ้นเร็วในเดือน ต.ค. กว่า 8.13 หมื่นล้าน บาท (สูงสุดในรอบ 10 ปี และคิดเป็นสัดส่วนงบเบิกจ่ายลงทุนปี 68 สูงถึง 8.4%) บวกต่อ TASCO, SCC, CK, STECON วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1455 – 1470 จุด แนะนำ หลบความผันผวนจากปัจจัยภายนอกกับหุ้น DOMESTIC TOPPICK เลือก CPALL, ADVANC, CBG           ด้าน บล.กรุงศรีฯ มองว่าคาด SET วันนี้ “แกว่งในกรอบ” ต้าน 1473/1476 จุด รับ 1455/1446 จุด ต่างประเทศรอ 3 ประเด็นคือการเลือกตั้งสหรัฐ 5 พ.ย. (รู้ผลราว 6 พ.ย. เป็นต้นไป) อิงจากสถิติหลังการเลือกตั้งสหรัฐ 2 รอบก่อนหน้า เดือน พ.ย. - ธ.ค. SET ให้ผลตอนเป็นบวก,  การประชุม NPC ของจีนลุ้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (ประชุมต่อเนื่องถึงวันที่ 8 พ.ย.) และ 6-7 พ.ย. ประชุม Fed (รู้ผลเช้าวันที่ 8 พ.ย.) คาดลดดอกเบี้ยฯ 25 bps           ส่วนภายในภาพทางพื้นฐานยังบวก  ตัวเลขยอดผู้ใช้บริการสนามบิน AOT (ชี้นำนักท่องเที่ยวต่างชาติ)ในช่วงวันที่ 1 – 2 พ.ย. 2024 ปรับขึ้นทะลุ Pre – covid ที่ระดับ 103.6% ผสานกับรัฐบาลนายกฯ เมื่อวานเร่งรัดให้ทุกหน่วยงานเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 80% ของงบลงทุนทั้งหมดที่ 9.6 แสนล้านบาท           โดยรวมประเมิน GDP Growth ไทยปี 2024 คาด 2.4%y-y มี Upside มองบวกต่อ SET  โดยประเด็นที่ต้องตามวันนี้ เงินเฟ้อไทย เดือน ต.ค. ตลาดคาด 0.96% และประชุม ครม. ลุ้น มาตรการกระตุ้นฝั่งอสังหา ประเมินหุ้นนำ หุ้นพลังงาน (น้ำมันบวกแรง 2%) หุ้น China play กลุ่มอสังหา, หุ้นอิงบริการ(สนามบิน, โรงแรม) วันนี้แนะ ADVANC, AOT, CPALL

2 โบรกฯ แนะกลยุทธ์ตลาดหุ้นบ่าย คัดหุ้น Top Pick

2 โบรกฯ แนะกลยุทธ์ตลาดหุ้นบ่าย คัดหุ้น Top Pick

          หุ้นวิชั่น – บล.กรุงศรี ฯ เปิดกลยุทธ์ตลาดหุ้นบ่าย โดยตลาดช่วงเช้า SET Index ปิดตลาดภาคเช้าไม่เปลี่ยนแปลง (+0.04 จุด) มูลค่าการซื้อขายเบาบาง นักลงทุนชะลอการลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจนจากการเลือกตั้งสหรัฐในวันพรุ่งนี้ หุ้นที่ปรับขึ้นเด่น คือ DELTA CPALL AOT และ TOP และหุ้นที่ปรับลงกดดัชนี คือ ADVANC CPAXT GULF และ KTB           สำหรับกลยุทธ์การลงทุนภาคบ่าย ฝ่ายวิจัยบล.กรุงศรีฯ คาด SET Index บ่ายนี้แกว่งตัวในกรอบ 1,455-1,475 จุด ภาพรวม การซื้อขายคาดว่าจะคล้ายกับภาคเช้า คือ นักลงทุนชะลอซื้อขายเพื่อรอดูการเลือกตั้งสหรัฐ กลยุทธ์ในช่วง Wait & See แนะนำพักเงินหรือรอซื้อหุ้นพื้นฐานดีที่ราคาปรับฐานลงมา โดยมี Top Pick บ่ายนี้ คือ CPALL AOT และ BBIK           ด้าน บล.เอเชียพลัส จับตาพรุ่งนี้จับตาผลการเลือกตั้ง ปธน. สหรัฐฯ ทั้ง 2 พรรค มีนโยบายกีดกันทางการค้าต่อจีน ล่าสุดผลโพลคะแนนสูสี กรณีทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง นโยบายเรือธง เช่น การปรับลดอัตราภาษี และการผ่อนคลายกฎระเบียบในภาคการเงิน ทำให้สหรัฐฯ เสี่ยงเผชิญขาดดุลงบประมาณมากขึ้น ส่งผลให้ FED อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่า 3 ครั้งในปีหน้า รวมทั้ง Trade war สหรัฐฯ-จีน แต่หากแฮร์ริส (Democrat) ชนะทิศทางการปรับลดดอกเบี้ยน่าจะมีความต่อเนื่อง           มองบ่ายนี้คาด SET INDEX ซึมลงเล็กน้อยสู่ 1457-1460 จุด หลังเช้าติดแนวต้าน 1475 จุดตามคาด สำหรับกลุ่มได้ประโยชน์ หากแต่ละพรรคชนะเลือกตั้ง ทรัมป์-พรรค Republicanชนะ กลุ่มได้ประโยชน์ นิคิม AMATA, ROJNA, WHA เดินเรือ RCL PSLขนส่ง SJWD WICE  และหากแฮร์ริส-Democrat ชนะ กลุ่มบาทแข็ง GULF, BGRIM, GPSC วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง MTC SAWAD TIDLOR TISCO

“ทรีนีตี้” แนะกลยุทธ์ไตรมาส4  เปิด 10 หุ้นเด่น

“ทรีนีตี้” แนะกลยุทธ์ไตรมาส4 เปิด 10 หุ้นเด่น

                 หุ้นวิชั่น – บล.ทรีนีตี้ จับตาตลาดหุ้นไทยมองด้วยความผันผวนของตัวแปรต่างๆที่จะเกิดขึ้น ทำให้คาดการณ์การแกว่งตัวในกรอบกว้างของ SET Index สัปดาห์นี้ที่ 1440-1490 จุด ล่าสุดมีสัญญาณบวกเล็กน้อยจากเงิน USD ที่ปรับอ่อนค่าลงมา จนทำให้เงินบาทตั้งตัวได้อีกครั้ง ภายหลังจากเมื่อคืนวันศุกร์สหรัฐฯรายงานตัวเลขการจ้างงานออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาดเป็นอย่างมาก โดยการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 12,000 ตำแหน่งเทียบกับที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 100,000 ตำแหน่ง           ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำถือครองหุ้นในส่วนเดิมต่อไป ซึ่ง Top pick ของบล.ทรีนีตี้ ประจำไตรมาส 4 ยังคงได้แก่ AP, COM7, HMPRO, ERW, ICHI, SAWAD, AEONTS, KTC, DIF, CPNREIT นอกจากนี้ยังคาดการณ์ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวผันผวนขึ้นในสัปดาห์นี้ ต้อนรับเหตุการณ์การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ที่ล่าสุดกลับมามีความคู่คี่สูสีอีกครั้ง สะท้อนจากผลสำรวจและความน่าจะเป็นในตลาดล่าสุด ทั้งในส่วนของการชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีเอง และการชิงเสียงข้างมากในสภา Congress ตราบใดที่ยังเป็นภาพเช่นนี้ เชื่อว่าราคาสินทรัพย์ต่างๆมีโอกาส Swing รุนแรงได้ทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง ซึ่งน่าจะเริ่มเห็นความชัดเจนได้ในช่วงวันที่ 7 พ.ย.ตามเวลาประเทศไทย

ลุ้นเลือกตั้งสหรัฐ จับตาตลาดหุ้นผันผวน โบรกฯแนะ 8 หุ้นเด่น

ลุ้นเลือกตั้งสหรัฐ จับตาตลาดหุ้นผันผวน โบรกฯแนะ 8 หุ้นเด่น

หุ้นวิชั่น – บล.เอเชียพลัส จับตาตลาดหุ้นไทยมีโอกาสผันผวนตามปัจจัยภายนอก เริ่มจากตัวเลขจ้างงาน นอกภาคเกษตรสหรัฐฯ สัปดาห์ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเพียง 1.2 หมื่นตำแหน่ง (ต่ำสุดในรอบ 4 ปี) ทำให้นักลงทุนมีความกังวลประเด็น RESESSION ในเพิ่มขึ้น รวมถึงวันพุธนี้จะรู้ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ซึ่งล่าสุดคะแนนความ นิยมของทั้ง 2 พรรคสูสีกันมาก ยิ่งเป็นตัวเร่งให้ตลาดหุ้นโลกรวมถึงไทย อยู่ในภาวะผันผวน จากนโยบายที่แตกต่างกันสุดขั้วของทั้ง 2 พรรค และ ในอดีตตลาดหุ้นมักจะย่อตัวในช่วงก่อนและหลังเลือกตั้ง 1 สัปดาห์ ในมุม FUND FLOW ยังเห็นต่างชาติขายสุทธิหุ้นทุกแห่งในภูมิภาคทั้งใน วันศุกร์ และในสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อลดความเสี่ยงความไม่แน่นอนจาก จากเลือกตั้งสหรัฐ อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยยังมีเม็ดเงินจากกองทุน วายุภักษ์ช่วยพยุงอยู่ วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1455 – 1475 จุด บล.เอเชียพลัส แนะนำหลบความผันผวนจากปัจจัยภายนอกกับหุ้น DOMESTIC กำไรยังมี แนวโน้มดีต่อเนื่อง อย่าง PLANB, AP, CBG, ADVANC, CPALL ส่วน TOPPICK เลือก BEM, CPAXT, SIRI