#หุ้นวันนี้


TQM ติดกลุ่มหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings เป็นปีที่ 4 ซ้อน

TQM ติดกลุ่มหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings เป็นปีที่ 4 ซ้อน

        หุ้นวิชั่น - บริษัท ทีคิวเอ็ม อัลฟา จำกัด (มหาชน) หรือ TQM ผู้นำในธุรกิจนายหน้าประกันภัยและประกันชีวิต พร้อมด้วยธุรกิจการเงิน และเทคโนโลยีแพลตฟอร์มเพื่อตอบโจทย์ฐานลูกค้า ได้รับการประเมินเป็นหนึ่งในหุ้นยั่งยืน SET ESG Rating ระดับ A โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน แสดงถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของ TQM  โดยบริษัทยึดมั่นและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environment, Social and Governance หรือ ESG) มาโดยตลอด  ทั้งนี้บริษัทในกลุ่ม ทีคิวเอ็ม อัลฟา มุ่งเน้นเน้นมาตรฐานการดำเนินงานที่ดีเยี่ยม โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด โดยให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาล ควบคู่ไปกับการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ดร.อัญชลิน พรรณนิภา ประธานบริษัท ทีคิวเอ็ม อัลฟา จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความสำเร็จในครั้งนี้ว่า "การได้รับการประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Rating ระดับ A ซึ่งปีนี้เราได้รับการจัดอันดับขึ้นมาจากปีที่แล้วด้วย เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่ TQM ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG มาโดยตลอด TQM จะยังคงพัฒนามาตรฐานการกำกับดูแลทุกบริษัทในกลุ่มให้มีความแข็งแกร่งและยั่งยืน ยึดหลักหลักธรรมาภิบาลที่ดี และยืนยันถึงวิสัยทัศน์การดำเนินงานที่โปร่งใส เชื่อถือได้ และยึดมั่นในการพัฒนาที่ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม”

หุ้น รพ. แนวโน้มปีหน้า รอด หรือ ร่วง ?

หุ้น รพ. แนวโน้มปีหน้า รอด หรือ ร่วง ?

        หุ้นวิชั่น - ฝ่ายวิจัย คงน้ำหนักการลงทุนของกลุ่ม รพ. "มากกว่าตลาด" เนื่องจาก กลุ่ม รพ. มีความ defensive มีความเสี่ยงต่ำในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่ราคาหุ้นปรับลดลงสะท้อนข่าวลบมากไป แนวโน้มปี2568 คาดผลประกอบการยังเติบโตดี ภาพระยะกลางถึงยาว มองเป็นบวกจากมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่ภาครัฐสนับสนุนให้ เป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ฝ่ายวิจัย เลือก BCH (TP20.40บาท) และ BDMS (TP37.60บาท) เป็นหุ้น Top pick และแนะนำ “ซื้อ” มองว่าราคาปรับลดลงสะท้อนข่าวลบมากไป สำหรับ BDMS คาดปี 2568 เติบโตดีต่อเนื่อง ตามการเติบโตของ Center of Excellence การขยาย ฐานลูกค้าต่างประเทศเพิ่ม BCH ในปี 2568 คลายปมประเด็นประกันสังคมสำหรับอัตราการเบิกจ่ายเงินชดเชยโรคร้ายแรง และคาดว่าลูกค้าคูเวตจะกลับมารักษา ราคาลงสะท้อนข่าวลบมากไป เลือก BDMS และ BCH เป็นหุ้นเด่น คงน้ำหนักการลงทุนของกลุ่ม รพ. ”มากกว่าตลาด” เนื่องจาก กลุ่ม รพ. มีความdefensive มีความเสี่ยงต่ำ ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่ราคาหุ้นปรับลดลงสะท้อนข่าวลบมากไป จากประเด็น Co-payment ซึ่งมองว่ากระทบจำกัด แนวโน้มปี2568 คาดผลประกอบการยังเติบโตดี ภาพระยะกลางถึงยาวมองเป็นบวกจากมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่ภาครัฐสนับสนุนให้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ฝ่ายวิจัยเลือก BCH(TP20.40บาท) และ BDMS (TP37.60บาท) เป็นหุ้น Top pick ด้วย แนวโน้มผลประกอบการปี 2568 ที่คาดเติบโตดี ขณะที่ราคาปรับลดลงสะท้อนข่าวลบมากไป

บอร์ด TOP ไฟเขียวเพิ่มงบประมาณ เร่งเดินหน้าโครงการ CFP

บอร์ด TOP ไฟเขียวเพิ่มงบประมาณ เร่งเดินหน้าโครงการ CFP

        หุ้นวิชั่น - “บอร์ดไทยออยล์” ไฟเขียวเพิ่มงบประมาณโครงการพลังงานสะอาด (CFP) วงเงิน 63,028 ล้านบาท พร้อมเตรียมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น 21 ก.พ. ปีหน้า ยืนยันผู้ถือหุ้นและบริษัทฯ ได้ประโยชน์สูงสุด อีกทั้งเพิ่มความแข็งแกร่งและมั่นคงด้านพลังงาน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ           นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่  บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ นัดพิเศษ ครั้งที่ 6/2567 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ได้มีมติเห็นชอบเพิ่มงบประมาณในโครงการพลังงานสะอาด   (Clean Fuel Project หรือ CFP) ประมาณ 63,028 ล้านบาท และดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้างประมาณ 17,922 ล้านบาท การเพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP ครั้งนี้ จะนำไปใช้เพื่อการก่อสร้าง การจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ส่วนที่เหลือ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าที่ปรึกษาต่างๆ เป็นต้น เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จ    และสามารถดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ โดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสีย ที่เกี่ยวข้อง และประโยชน์สูงสุดของบริษัทฯ และผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ บริษัทฯ เตรียมจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 14.00 น. เพื่อขอมติจากผู้ถือหุ้นในการอนุมัติการเพิ่มงบประมาณในโครงการ CFP ดังกล่าว “โครงการ CFP จะทำให้ไทยออยล์มีกำลังการกลั่นน้ำมันดิบ 400,000 บาร์เรลต่อวัน และสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นโครงการขนาดใหญ่ ปัจจุบันดำเนินการไปแล้วกว่า 90% เมื่อโครงการสำเร็จจะสามารถตอบโจทย์การเติบโตทางกลยุทธ์ในระยะยาว ทำให้บริษัทฯ เติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) ทำให้ไทยออยล์สามารถแข่งขันได้ และเป็นผู้นำ   ในภูมิภาคซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง ก่อให้เกิดผลตอบแทนที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นและบริษัทฯ ในระยะยาว  หากโครงการเดินหน้าต่อจะทำให้ซัพพลายเชน รวมถึงบริษัทรับเหมาก่อสร้างและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องมีงานทำ          มีรายได้มาจับจ่ายใช้สอย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง” นายบัณฑิตฯ กล่าว

KSS เคาะหุ้นเด่นปี 2025  คาด SET ผันผวนระยะสั้น ทยอยตั้งรับ   

KSS เคาะหุ้นเด่นปี 2025 คาด SET ผันผวนระยะสั้น ทยอยตั้งรับ  

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.กรุงศรี ระบุ Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่คาดปรับลดดอกเบี้ยปี 2025F ช้าลง           Fed Meeting: ผลประชุม Fed ตามคาด ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง -25bps สู่ระดับ 4.25% - 4.5% แต่รายงาน Dot Plot ปรับสะท้อนการกลับมาเป็นประธานาธิบดีของคุณ Trump มากกว่าที่เราคาด ทำให้ตัวเลขคาดการณ์ในรายงานค่อนข้าง Hawkish กว่าที่เราและตลาดมอง โดยปรับมุมมองการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายปี 2025 ลงเหลือเพียง 2 ครั้ง (จากเดิม 4 ครั้ง และความคาดหวังตลาด 2-3 ครั้ง) และคงมุมมองการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายปี 2026 ลง 2 ครั้งตามเดิม สอดคล้องกับมุมมองเงินเฟ้อ PCE ที่ปรับเพิ่มขึ้นทั้งปี 2025 – 2026 จากเดิม +2.2%, +2.0% สู่ระดับ +2.5%, 2.1% นอกจากนี้ Fed ปรับการเติบโตของ GDP ปี 2025 ขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 2.0% เป็น 2.1% แต่ยังชะลอลงจากปี 2024F คาด +2.5% หลังประชุมอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับขึ้นแรง ตอบสนองต่อรายงาน Dot Plot ดังกล่าว รวมถึง Dollar Index แข็งค่าขึ้นสู่ 108 +/- จุด ทำให้เงินบาทอ่อนค่าเร่งมาที่ 34.5-34.6 บาท ทำให้ระยะสั้นตลาดหุ้นไทยยังเคลื่อนไหวผันผวน อย่างไรก็ดี เราประเมินความผันผวนอยู่ในช่วงปลายแล้ว ทั้งจากภาพที่ตลาดหุ้นไทยปรับลดสถานะมาล่วงหน้า ผสานภาพหลักปี 2025F ที่วงจรดอกเบี้ยยังเป็นขาลง ยังหนุนภาวะ Search for Yield หลังผ่านช่วงตลาดผันผวน และหากอิงเศรษฐกิจสหรัฐ Soft Landing vs BOT ที่ยังคงคาดการณ์ GDP ปี 2025F เร่งขึ้นสู่ 2.9% จากปี 2024F คาดเติบโต 2.7% โดยมีภายในหนุน ทำให้เราประเมินความผันผวนระยะสั้นเป็นโอกาสทยอยตั้งรับ หุ้นเด่นคือกลุ่ม Domestic           กลยุทธ์การลงทุน: เราประเมินเป้าหมาย SET ปี 2025 ที่ 1660 จุด (อิงกำไรตลาด 96 บาท, ERP 3.06%) มองหุ้นกลุ่ม Domestic Plays เด่น แนะนำทยอยสะสมหุ้น Best Picks 2025: ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE. Mid-Small Cap Play: INSET, JMT, MALEE, MOSHI Fact: ผลการประชุม Fed เมื่อคืนวานนี้ มติเอกฉันท์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25bps ลงสู่ระดับ 4.25-4.50% รายงานมุมมองเศรษฐกิจ Dot Plot สะท้อน: การปรับลดอัตราดอกเบี้ย นโยบายปี 2025 ลดลงจาก 4 ครั้ง เหลือ 2 ครั้ง, ปี 2025 คงที่ 2 ครั้ง ปรับมุมมองเงินเฟ้อ PCE ขึ้นปี 2025 จาก +2.2% เป็น +2.5% และปี 2026 จาก +2.0% เป็น +2.1% ปรับเพิ่มมุมมองการเติบโตเศรษฐกิจปี 2025 ขึ้นเล็กน้อยจาก 2.0% เป็น +2.1% มองอัตราการว่างงานลดลงเล็กน้อยจากเดิมปี 2025 มองระดับ 4.4% ลงสู่ระดับ 4.3% ถ้อยแถลงของประธาน Fed คุณ Jerome Powell ให้ความเห็นว่า Fed มองการลดดอกเบี้ยนโยบายชะลอลงเนื่องจากข้อมูลเงินเฟ้อเดือน ต.ค. - พ.ย. ที่เริ่มสะท้อนความหนืด (Sticky) มากขึ้นเป็นหลัก Fed ยังคงพิจารณาจากข้อมูลเป็นหลัก (Data-Driven Decision Making) ประกอบการตัดสินใจกำหนดนโยบายการเงินระยะถัดไป Key Ideas: Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายระดับ -25bps ลงสู่กรอบ 4.25% - 4.5% ตามตลาดและเราคาด ส่งผลให้ปีนี้ Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้ง รวม 1.0% ตามทิศทางของเงินเฟ้อที่ชะลอลงได้ตามคาดนับตั้งแต่ 2Q24 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตามมุมมองทิศทางการดำเนินนโยบายจากรายงาน Summary of Economic Projections (SEP) สะท้อนมุมมองที่ Hawkish มากขึ้น โดยเฉพาะมุมมองอัตราดอกเบี้ยนโยบายปี 2025 จะปรับลงเหลือเพียง 2 ครั้ง จากเดิม 4 ครั้ง vs ตลาดคาดจะปรับลด 2-3 ครั้ง สะท้อนมุมมองเงินเฟ้อ PCE ที่ถูกปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน ในขณะที่ปรับมุมมองการเติบโตเศรษฐกิจและภาคการจ้างงานเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย สินทรัพย์ต่างๆ ปรับเพื่อสะท้อนแนวโน้มการลดดอกเบี้ยที่ชะลอลงดังกล่าว ได้แก่ Dollar Index ปรับแข็งค่าขึ้น +1.16% ปิดที่ระดับ 108.2 จุด, อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ตอบสนองต่อรายงาน Dot Plot ดังกล่าว โดยอายุ 2 ปี ปรับเพิ่มขึ้น +11bps สู่ระดับ 4.35% และอายุ 10 ปี ปรับเพิ่มขึ้น +12bps ขึ้นปิดที่ระดับ 4.51% ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับฐานแรง นำโดย NASDAQ -3.7% และ S&P500 -2.95% ขณะที่เงินบาทเคลื่อนไหวอ่อนค่าสู่ 34.5-34.6 บาท เป็นแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยงระยะสั้น.

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

Honda - Nissan เจรจาควบรวมกิจการ โอกาสหรือความเสี่ยง?

Honda - Nissan เจรจาควบรวมกิจการ โอกาสหรือความเสี่ยง?

หุ้นวิชั่น - บล.ยูโอบี Honda Motor และ Nissan Motor เข้าสู่การเจรจาควบรวมกิจการ ผนวกรวมทรัพยากรของสองบริษัทเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนั้นยังตั้งเป้าที่จะนำ Mitsubishi Motors (Nissan ถือหุ้น 24%) เข้ามาอยู่ภายใต้บริษัทโฮลดิ้งนี้ด้วย Nissan-Honda-Mitsubishi มียอดขายรถยนต์รวมกันมากกว่า 8 ล้านคันต่อปี ตามรายงานของ Nikkei หากมีการควบรวมกิจการ จะทำให้บริษัทอยู่ในกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ลำดับสองรองจาก Toyota Motor ที่มียอดขาย 11.2 ล้านคันในปี 2023      ฝ่ายวิจัยมองเป็นกลางต่อกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ ฝ่ายวิจัยมองว่าการควบรวมกิจการเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยง ที่บริษัทชิ้นส่วนยานยนต์จะได้รับงานเพิ่มขึ้นหรือลดลง อย่างไรก็ตามในขั้นตอนสั่งซื้อชิ้นส่วนต้องใช้เวลาล่วงหน้าราว 3-4 ปี จึงไม่มีนัยสำคัญในระยะสั้น โดยหุ้นที่มองว่ามีโอกาสมากที่สุด ฝ่ายวิจัยมองเป็น STANLY ที่มีสัดส่วนลูกค้า Honda ราว 30%, SAT ที่สัดส่วนลูกค้า Mitsubishi ราว 22%

โบรกแนะหุ้นตัวไหน ช่วง SET แกว่งตัวลง เช็กเลย!

โบรกแนะหุ้นตัวไหน ช่วง SET แกว่งตัวลง เช็กเลย!

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.เคจีไอ คาดทิศทางตลาดหุ้นวันนี้ แกว่งลงต่อ - ติดตามผลประชุม กนง. บ่ายวันนี้ เมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นไทยร่วงแรงกว่าที่เราคาด... ดัชนีฯ ปิดลบ 1.70% หลุดระดับทางจิตวิทยาที่ 1,400 จุด เพราะ 1. แรงขายหุ้น CPAXT และหุ้นอื่นๆ ในกลุ่มยังไม่หยุด จากความกังวลต่อการลงทุนในโครงการมิกซ์ยูส ‘The Happitat at Forestias’ 2. หุ้นเชื่อมโยงเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจจีนยังคงปรับลดลง สะท้อนตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่กลับมาชะลอตัว และความไม่แน่นอนของสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ฝ่ายวิจัยฯ ประเมิน SET Index วันพุธแกว่งลงต่อ เนื่องจาก 1. ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับลงเมื่อคืนนี้ นักลงทุนชะลอเพื่อติดตามผลประชุม US FOMC คืนวันนี้ โดยแม้ตลาดได้คาดไว้แล้วว่า Fed จะลดดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ 4.50% แต่ประเด็นสำคัญที่น่าติดตามได้แก่ ประมาณการดอกเบี้ยปี 2568-2569 (dot-plot projection) รวมทั้งการปรับประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐฯ 2. บ่ายวันนี้ กนง. จะแถลงผลประชุม ทางเราคาด กนง. จะลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ 2.00% แต่ consensus คาดคงดอกเบี้ย (17 จาก 19 คนใน Bloomberg survey มองคงดอกเบี้ย) ในแง่ของ valuations ของดัชนีฯ นั้น หลังจากดัชนีฯ หลุดระดับ 1,400 (ซึ่งเป็นระดับที่เราเคยมองว่าจะรับอยู่... หลังปัจจัยแวดล้อมของตลาดเป็นลบมากขึ้น) เราประเมินด้วยตัวเลข earnings yield gap (EYG) พบว่าทางลงของดัชนีฯ ถัดไปอยู่แถว 1,350 จุด อิงบอนด์ยิลด์ 10 ปีของไทยที่ 2.50% และระดับ EYG ที่ใส่ความเสี่ยงไปมากแล้ว ที่ mean + 1.5SD... กลยุทธ์ช่วงสั้น แนะนำรอให้แรงขายชะลอ จึงเข้าสะสมหุ้นธีมเด่น เช่น • ค้าปลีก (เน้นหุ้น CRC เป็นหลัก*) • หุ้นไฟแนนซ์ที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง • หุ้นธีมท่องเที่ยว หุ้นเด่นวันนี้ ตามปัจจัยพื้นฐาน 1. RATCH* (เป้าพื้นฐาน 33.5 บาท) o มุมมองด้านเทคนิค: ประเมินราคาหุ้นพักลงมาบริเวณค่าเฉลี่ย 200 วัน (EMA) ประเมินแนวรับ 31 บาท / แนวต้าน 32.5 – 33.0 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 34 บาท (Stop loss 30.25 บาท) o Sentiment บวก: จากการประกาศผลผู้ชนะประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน และลุ้น กนง. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ล่าสุด กกพ. ประกาศรายชื่อบริษัทที่ชนะประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนเฟส 2 RATCH* + SCG ชนะประมูลโซลาร์ฟาร์มรวม 5 โครงการ (338MW) o Valuation: PBV 0.73 เท่า (-1 SD ตั้งแต่ปี 2561 - ปัจจุบัน) Dividend yield +5% 2. KTC* (เป้าพื้นฐาน 54 บาท) o มุมมองด้านเทคนิค: ราคาเริ่มฟื้นตัวหลังพักฐาน ลุ้นทำจุดสูงใหม่ แนวรับ 48.25 บาท / แนวต้าน 49.5 – 51 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านจุดสูงเดิมไปได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 52.0 บาท (Stop loss 47 บาท) o Sentiment บวก: จากทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาลง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนการเติบโตของสินเชื่อและคุณภาพสินทรัพย์ o Valuation: PBV 3.3 เท่า (ต่ำกว่า -1 SD ที่ 3.4 เท่า) 3. SAWAD* (เป้าพื้นฐาน 46 บาท) o มุมมองด้านเทคนิค: ประเมินราคาเริ่มฟื้นตัวหลังพักบริเวณค่าเฉลี่ย 200 วัน ประเมินแนวรับ 40.75 บาท / แนวต้าน 42 - 43 บาท กรณีฟื้นตัวผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 44.5 บาท (Stop loss 39.25 บาท) o Sentiment บวก: จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐฯ และแนวโน้มดอกเบี้ยลง โดยเฉพาะมาตรการแก้หนี้ครัวเรือนจะช่วยหนุนราคาสินทรัพย์ เช่น รถมือสอง และลดผลขาดทุนรถยึด o Valuation: Forward PE 10.7 เท่า (ต่ำกว่า -1 SD ที่ราว 11.5 เท่า)

JMART คาด Q4 โตเด่น โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 18.60 บาท

JMART คาด Q4 โตเด่น โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 18.60 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.เอเอสแอล ประเมินแนวโน้มผลประกอบการของ JMART จะเติบโตเด่นสุดใน 4Q จาก 1. JMT ที่ผ่านจุดต่ำสุดของปีมาแล้ว ตามแนวโน้ม cash collection ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงแผนปรับปรุงการติดตามหนี้โดยการใช้กระบวนการทางกฎหมายที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองอย่างยั่งยืน และจะเข้าสู่ช่วง high season ในงวด 4Q24F 2. ผลประกอบการของ SINGER และ SGC มีทิศทางที่ดีขึ้นจากการขยายสินเชื่อ Locked Phone ผ่าน SG Finance+ ที่ตั้งเป้าแตะ 100,000 สัญญาภายในปีนี้ และทำการตลาดขยายพาร์ทเนอร์ให้มากขึ้น พร้อมกับการจัดการค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น คาดหวังรายงานกำไรสุทธิใน 2H24F ส่วนของ KBJ ผลประกอบการขยายตัวผ่าน Samsung Finance+ 3. ธุรกิจ Mobile ดีขึ้นจากการขยายแบรนด์ใหม่ พร้อมกับรับอานิสงส์จากการเปิดตัว iPhone 16 ในงวด และประเมิน SSSG อยู่ในกรอบ 7-10% ของ Retail shop 4. ผลประกอบการของ JAS Asset ดีขึ้นต่อเนื่อง ตามการเปิดศูนย์การค้าใหม่ที่รามคำแหง หนุนผลประกอบการให้ก้าวกระโดด โดยปัจจุบันมี occ rate เฉลี่ยราว 90% 5. ร้านสุกี้ตี๋น้อยมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ตามรายได้ที่ขยายตัวจากการขยายสาขา พร้อมกับเข้าสู่ช่วง high season ของธุรกิจ • คาดการณ์กำไรสุทธิในปี 24-26F เท่ากับ 1.3 พันล้านบาท (พลิกจากขาดทุนสุทธิในปีก่อนที่ 447 ล้านบาท), 1.54 พันล้านบาท (+16% YoY) และ 1.88 พันล้านบาท (+22% YoY) ตามลำดับ คิดเป็นการเติบโตเฉลี่ยแบบ CAGR ที่ 12% ต่อปีตามการรับรู้ผลประกอบการของบริษัทย่อยของกลุ่มที่ดีขึ้น และผลของการสร้าง Ecosystem ภายในกลุ่ม • แนะนำ “ซื้อ” มีราคาเป้าหมายปี 25F ที่ 18.60 บาท อิง PE ที่ 17.7 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยย้อนหลังระยะยาว – 0.75 SD คาดหวังแนวโน้มทุกธุรกิจฟื้นตัว โดยเฉพาะ JMT ที่ยังมี upside จากการจัดตั้ง JV AMC กับสถาบันการเงิน และผลประกอบการของ SINGER และ SGC ที่คาดว่าจะพลิกกลับมามีกำไรใน 2H24F

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

Jurassic World มาแน่! หนุน AWC โบรกส่อง Q4 คาดรายได้ปัง

Jurassic World มาแน่! หนุน AWC โบรกส่อง Q4 คาดรายได้ปัง

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.กรุงศรี คงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ AWC ด้วยราคาเป้าหมาย 4.40 บาท จาก i) การเปิดตัว Jurassic World ณ Asiatique เพื่อขยายฐานลูกค้าและเพิ่มมูลค่า สินทรัพย์ของบริษัท ii) คาดกำไรสุทธิเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ด้วยการเติบโต yoy และ qoq ใน 4Q24F-1Q25F จากฤดูกาลท่องเที่ยวสูงสุดของไทย และการเปิดโรงแรมใหม่ในไตรมาส นอกจากนี้ ราคาหุ้น AWC ปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา เรามองว่าเป็นโอกาสในการลงทุน AWC เปิดตัว Jurassic World ในกรุงเทพ AWC ได้ประกาศความร่วมมือกับ NEON (ซึ่งเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จ เช่น Avatar: The Experience ณ Gardens by the Bay ในสิงคโปร์) และ Universal Live Events & Location Based Entertainment เพื่อนำ "Jurassic World: The Experience" มาเปิดให้บริการ ณ Asiatique ใน 2Q25 โครงการนี้ใช้งบประมาณในการลงทุนกว่า 1,400 ล้านบาท เพื่อพัฒนาพื้นที่ขนาด 10,000 ตารางเมตร ด้วยการสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ Jurassic World การผจญภัยยุคไดโนเสาร์รูปแบบอิมเมอร์ซีฟ ตามแบบฉบับของภาพยนตร์เรื่อง Jurassic World ทั้งนี้ โครงการนี้จะแตกต่างจาก Disney100 Village ที่จัดขึ้นในปี 2023 เนื่องจาก Jurassic World จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เปิดให้บริการในระยะยาว ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่อรายได้และกำไรของ AWC ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่ได้เปิดเผยเป้าหมายทางการเงินที่เฉพาะเจาะจงสำหรับโครงการนี้ คาดผลประกอบการ 4Q24F เติบโต yoy, qoq จาก i) ธุรกิจโรงแรม : RevPar เติบโตระดับสองหลักในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2024 เนื่องจากการเติบโตในทุกกลุ่ม (9M24 RevPar +13% yoy) นอกจากนี้ แผนการขยายธุรกิจของบริษัทฯ ซึ่งรวมถึงการเปิดโรงแรม Melia Pattaya ในวันที่ 24 ธันวาคม 2567 และการเปิดโรงแรม Marriott Resort Jomtien Beach ในเดือนเมษายน 25 และ Fairmont Bangkok Sukhumvit ในช่วง 1H25 คาดว่าจะช่วยผลักดันการเติบโตของธุรกิจโรงแรมได้อย่างต่อเนื่อง ii) ธุรกิจค้าปลีกและเชิงพาณิชย์: บริษัทคาดว่าอัตราการเช่าพื้นที่สำนักงานได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 3Q25 ที่ระดับ 66% โดยได้รับแรงหนุนจากการเข้ามาเช่าพื้นที่ของผู้เช่ารายใหม่ใน The Empire ดังนั้น คาดจะเห็นการรักษาระดับและมีแนวโน้มที่ดีขึ้น คงประมาณการผลประกอบการ โดยคาดกำไรสุทธิปี 2024F อยู่ที่ 1.7 พันล้านบาท (+65% yoy) คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 4.40 บาท ปัจจุบัน AWC ซื้อขายอยู่ที่ 27x EV/EBITDA และ 51x P/E 2025F คาดผลประกอบการของ AWC จะเติบโตเฉลี่ยด้วย CAGR 3 ปี (2024-27F) ที่ 28% ต่อปี ซึ่งผลักดันจากการขยายโรงแรม และอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น

KSS คาด SET “Rebound” ต้าน 1433 จุด ชู BJC, CRC, KTB

KSS คาด SET “Rebound” ต้าน 1433 จุด ชู BJC, CRC, KTB

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “Rebound” ต้าน 1429/1433 จุด รับ 1415/1411 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งขึ้น ดัชนีS&P500 +0.38% หุ้นเทคฯนำตลาด Broadcom ยังมีโมเมนตัม ขณะที่ปัจจัยมหภาค Flash PMI สหรัฐฯ ธ.ค. 24 ภาคบริการขยายตัว ดีกว่าคาด เร่งขึ้นสู่ 58.5 จุด ชดเชยฝั่งภาคผลิตที่ต่ำกว่าคาด หนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นภาพ Goldilocks to Soft Landing แต่ตลาดน่าจะเริ่มรอสัญญาณช่วงถัดไปโดยเฉพาะมุมมองดอกเบี้ยและเศรษฐกิจจากการประชุม Fed (ไทยทราบผลเช้า 19 ธ.ค.) บ่งชี้จาก US Bond Yield 10 ปีที่ยังแกว่ง 4.4%           ขณะที่เอเชียการฟื้นตัวจีนยังค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ความน่าสนใจระยะสั้นที่จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนยังไม่มาก ด้านไทยหลังตลาดปรับตัวลดลง 6 วันติด ส่งผลให้ Current Equity Risk Premium (ERP) แตะ 3.8% > ค่าเฉลี่ย 3.1% ส่วน Forward ERP ขึ้นไป 4.4% > Avg + 1 S.D. (4.05%) น่าจะเริ่มเป็นจุดกลับมาสร้างความน่าสนใจตลาดหุ้นไทย ผสาน ภายในลุ้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม           ประเมิน SET วันนี้ Rebound หุ้นนำ คือ กลุ่ม Domestic ธนาคาร ค้าปลีก กลุ่มที่เป็นเป้า Domestic Long Term Funds อาทิ สื่อสาร วันนี้แนะนำ BJC, CRC, KTB

CPAXT ชี้แจงลงทุน The Happitat ยันเป็นประโยชน์ - ต่อยอดธุรกิจได้

CPAXT ชี้แจงลงทุน The Happitat ยันเป็นประโยชน์ - ต่อยอดธุรกิจได้

หุ้นวิชั่น - ตามที่บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ได้เปิดเผยข้อมูลต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2567 เกี่ยวกับสารสนเทศของบริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) (“CPAXT”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ที่ได้มีการจัดตั้งบริษัทย่อยทางตรงคือ บริษัท แอ็กซ์ตร้า โกรท พลัส จำกัด (“AGP”) โดย AGP จะเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทย่อยทางอ้อมคือ บริษัท แฮปปี้แทท แอท เดอะ ฟอเรสเทียส์ จำกัด (“HATF”) ในสัดส่วนร้อยละ 100 (ยกเว้นหุ้น 1 หุ้น) ซึ่งประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน (Mixed-Use Development) ภายใต้โครงการชื่อ The Happitat นั้น ทั้งนี้ CPAXT ชี้แจงเพิ่มเติมตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยสอบถามมา การเข้าลงทุนในครั้งนี้เป็นการเข้าร่วมลงทุนในหุ้นของ AGP โดยเข้าลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 95 โดยการชำระค่าหุ้นที่ออกใหม่ของ AGP เป็นเงินสดจำนวนประมาณ 7,970 ล้านบาท และบริษัท เอ็มคิวดีซี ทาวน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เข้าลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 5 โดยชำระค่าหุ้นที่ออกใหม่ของ AGP ด้วยทรัพย์สิน คือ หุ้นใน HATF ในสัดส่วนร้อยละ 100 (ยกเว้นหุ้น 1 หุ้น)          อย่างไรก็ดี คณะกรรมการของ CPAXT ได้พิจารณาอนุมัติให้ทำการร่วมลงทุนในโครงการ The Happitat โดยพิจารณาความเหมาะสมของการร่วมลงทุนและมูลค่าการร่วมลงทุนในครั้งนี้อย่างรอบคอบ และมีการพิจารณามูลค่าทรัพย์สินในโครงการ The Happitat ซึ่งได้มีการประเมินมูลค่าโดยผู้ประเมินมูลค่าทรัพย์สินที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และเห็นว่าการลงทุนในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อ CPAXT และเป็นการต่อยอดธุรกิจของ CPAXT ในส่วนของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน (Mixed-Use Development) โดยคณะกรรมการตรวจสอบของ CPAXT มิได้มีความเห็นแตกต่างจากความเห็นของคณะกรรมการของ CPAXT         อนึ่ง CPAXT ชี้แจงว่ารายการดังกล่าวไม่เข้าข่ายเป็นรายการที่เกี่ยวโยง และขนาดรายการเมื่อพิจารณาจากเงินค่าหุ้นที่ออกใหม่ของ AGP ซึ่ง CPAXT ชำระเป็นเงินสดจำนวนประมาณ 7,970 ล้านบาท และเมื่อพิจารณารวมจำนวนเงินที่คาดว่าจะต้องมีการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อให้โครงการ The Happitat แล้วเสร็จ การร่วมลงทุนของ CPAXT ในโครงการ The Happitat จะมีขนาดรายการสูงสุดต่ำกว่าร้อยละ 15 จึงไม่เข้าข่ายเป็นรายการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ที่มีนัยสำคัญตามข้อกำหนดของประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 20/2551 เรื่องหลักเกณฑ์ในการทำรายการที่มีนัยสำคัญที่เข้าข่ายเป็นการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สิน ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2551 (รวมทั้งที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม) และประกาศที่เกี่ยวข้อง

abs

Hoonvision

เช็กด่วน หุ้นโรงพยาบาลรับเต็ม! มติจ่ายค่ารักษาพยาบาลกรณีโรคยาก

เช็กด่วน หุ้นโรงพยาบาลรับเต็ม! มติจ่ายค่ารักษาพยาบาลกรณีโรคยาก

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.67 ที่ประชุมบอร์ดประกันสังคมมีมติเห็นชอบจ่ายอัตราค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยกรณีโรคยากให้กับโรงพยาบาล (รพ.) เอกชนคงที่ 12,000 บาท/AdjRW มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.68 เป็นต้นไป • ความเห็น มองเป็นบวกกับกลุ่มรพ.ประกันสังคม BCH (สัดส่วน 34%) CHG (สัดส่วน 33%) และ RJH (สัดส่วน 51%) อย่างไรก็ตาม แนวโน้ม 4Q67 อาจถูกกระทบ จากการบันทึกค่ารักษาที่อาจได้รับต่่ากว่า 12,000 บาท/AdjRW ในช่วงที่เหลือของงบประมาณปี 67 (ปัจจุบันได้รับถึงเดือนมิ.ย.67) เพื่อไม่ให้ต้องกลับรายการในปี 68 โดยเราชื่นชอบ BCH เนื่องจากยังมีปัจจัยช่วยหนุนผลประกอบการปี 68 เพิ่มเติม อาทิ ได้รับการติดต่อจากคูเวตเพื่อขอทราบรายละเอียดราคาค่าบริการ ท่าให้มีความมั่นใจ เกี่ยวกับการส่งตัวผู้ป่วยคูเวตว่าจะติด 1 ใน 3 รพ.เป้าหมาย และรพ.ใหม่ทั้ง 3 แห่งมีโอกาส พลิกมีก่าไรในปี 68 ทั้งนี้ Bloomberg Consensus คาดก่าไรปี 67-68 ของ BCH ราว 1,481 ลบ. +5%YoY (9M67 คิดเป็น 70%) และ 1,728 ลบ. +17%YoY ตามล่าดับ และราคาเหมาะสม 21 บาท มี Upside26% แนะน่า "ซื้อ"

กูรูหุ้นเชียร์ “ซื้อ” PTG เคาะเป้าสูงสุด 12.7 บ./หุ้น คาดกำไร Q4/67 สดใส

กูรูหุ้นเชียร์ “ซื้อ” PTG เคาะเป้าสูงสุด 12.7 บ./หุ้น คาดกำไร Q4/67 สดใส

       หุ้นวิชั่น - เซียนหุ้น 3 แห่งพร้อมใจแนะซื้อหุ้น PTG เคาะกรอบราคาเป้าหมาย 11-12.70 บาท โดยบล.ยูโอ เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ประเมินยอดขายน้ำมันQ4/67 เติบโต 8-10 % เทียบกับ QoQ ให้ราคาเป้าหมายปี 68 ที่ 12.7 บาท ด้าน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) คาดกำไรปี 68  เติบโตดี เทียบกับ YoY รับแรงหนุนจากปริมาณยอดขายน้ำมันที่เพิ่มขึ้นและธุรกิจ Non-Oil ,ท่องเที่ยวขยายตัว,กลยุทธ์ PT Max Card หนุน ให้ราคาเหมาะสม 11 บาท ขณะที่บล. ทรีนีตี้ คาดกำไรปี 67 อยู่ที่ 1,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบ YoY จากค่าการตลาดที่ระดับปกติ 1.7 บาทต่อลิตร ส่วนผลงาน Q4/67 โตโดดเด่น ให้ราคาเป้าหมายปี 68 ที่ 11 บาท บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เผยแพร่บทวิเคราะห์  โดยประเมินแนวโน้มกำไรสุทธิ Q4/2567 ของหุ้น บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี  จำกัด (มหาชน) (PTG)  จะฟื้นตัวจาก High season ของการท่องเที่ยว รวมไปถึงผ่านช่วงฤดูฝนตั้งแต่ปลายเดือน ต.ค.เป็นต้นไป ถือเป็นปัจจัยหนุนยอดขายน้ำมันให้กลับมาฟื้นตัว ซึ่งฝ่ายวิจัยคาดว่าจะได้เห็นยอดขาย Q4/2567 เติบโต 8-10% เมื่อเทียบ QoQ นอกจากนี้ Traffic ในการเข้าสถานีบริการที่เพิ่มขึ้นจะเป็นปัจจัยหนุนรายได้จากธุรกิจ Non-Oil เติบโตเมื่อเทียบ QoQ ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ทางฝ่ายวิจัยเชื่อว่าสมมติฐานค่าการตลาดที่ 1.7 บาทต่อลิตร ยังมีความเป็นไปได้และอยู่ในกรอบเป้าหมายของบริษัทฯ ที่ 1.7-1.8 บาทต่อลิตรในปี 2567 ดังนั้นฝ่ายวิจัยจึงแนะนำ    “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 12.7 บาท อ้างอิง P/E เฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ระดับ -1.0 S.D.ที่ 17.8 เท่า ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของผลประกอบการ Q4/2567 ทำให้ PTG กลับมามีความน่าสนใจในการลงทุน อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การลงทุนแนะนำทยอยซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวหลังจากที่ราคาหุ้นปรับเพิ่มกว่า 23% ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา         ด้านบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด   ระบุว่า ตามที่ผู้บริหารบริษัทฯ Guidance Q4/2567 ปริมาณขายน้ำมันเติบโตเมื่อเทียบ QoQ จากอุปสงค์ฟื้นตัวตามฤดูกาล และน้ำท่วมคลี่คลาย คงเป้าหมายทั้งปีเติบโต 10-15% เมื่อเทียบ YoY ขณะที่ QTD ใน Q4/2567 คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นธุรกิจน้ำมันต่อลิตรสูงขึ้นเมื่อเทียบ QoQ จาก 1.65 บาทต่อลิตรใน Q3/2567 และคาดการณ์ทั้งปีเฉลี่ย 1.7-1.8 บาทต่อลิตร   ซึ่งฝ่ายวิจัยคาดว่า แม้ SG&A จะปรับตัวขึ้นจากค่าใช้จ่ายช่วงปลายปีและการเร่งขยายสาขาธุรกิจ Non-Oil  แต่คาดกำไรปกติจะเติบโตเมื่อเทียบ QoQ  โดยได้รับปัจจัยบวกจาก 1.) ยอดขายน้ำมันเร่งตัวตามปัจจัยฤดูกาลทั้งกิจกรรมเดินทางท่องเที่ยวช่วงปลายปีและผ่านพ้นฤดูมรสุม 2.) กลยุทธ์บัตรสมาชิก PT Max Card 3.)อานิสงส์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และ 4.) ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจน้ำมันปาล์มมีโอกาสเร่งตัวจากการพุ่งขึ้นของราคา CPO แตะระดับสูงสุดรอบกว่า 2 ปี         ทั้งนี้ คาดว่ากำไรปี 2568 ของ PTG จะเติบโตได้ดีเมื่อเทียบ YoY ตามปริมาณสาขาธุรกิจ Oil และ Non-Oil,ภาคท่องเที่ยวขยายตัว,กลยุทธ์ PT Max Card,แรงกดดันค่าการตลาดต่ำลงจากทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกชะลอตัว และเงินบาทแข็งค่า   โดยในช่วง 6 เดือนข้างหน้าคาดผลประกอบการ Q4/2567-Q1/2568 ดีขึ้นตามปัจจัยฤดูกาลนับตั้งแต่ต้นเดือน ต.ค. ที่ราคาหุ้น -14% ถือว่าสะท้อนความอ่อนแอของ Q3/2567 ไปแล้ว  ซึ่งราคาปัจจุบันถือว่ามี Upside gain เปิดกว้าง ทางพื้นฐานปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” ให้ราคาเหมาะสม 11.00 บาท นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยหนุนจากความคืบหน้าแผน Spin-off บริษัทลูก 1.ATLAS ธุรกิจ LPG ในปี 2568 (ปัจจุบันยื่น Filing) และ 2.Punthai ธุรกิจร้านกาแฟ ปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อม Spin-off ในอนาคต         บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด คงประมาณการกำไรของ PTG ในปี 2567 ที่ 1,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% YoY จากค่าการตลาดที่ระดับปกติ 1.7 บาทต่อลิตร แม้ Q3/2567 จะเป็นช่วง Low Season หน้าฝน ปริมาณการใช้น้ำมันลดลง นอกจากนี้ระยะสั้นอาจจะมีความเสี่ยงเรื่องกฎหมายบริหารโครงสร้างราคา ซึ่งอาจจะส่งผลต่อ Margin ต่อลิตรของบริษัทฯ ได้  แต่จะกลับมาโดดเด่นในช่วง Q4/2567  โดย Non-Oil ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงปริมาณจำหน่ายน้ำมันต่อสถานีบริการที่เพิ่มขึ้น ปัจจุบันบริษัทฯ เน้นปริมาณ Traffic ที่จะเข้ามาใช้บริการมากกว่าการขยายจำนวนสถานีบริการ ดังนั้นฝ่ายวิจัยจึงคงราคาเป้าหมายปี 2568 ไว้ที่ 11 บาท  อิง Avg PER ที่ 14.5 เท่า และคงคำแนะนำ  Trading Buy แนวโน้มระยะสั้นอาจจะถูกกดดันจากผลการดำเนินงานที่อ่อนตัว แต่เป็นจังหวะซื้อช่วง Q4 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการบริโภคน้ำมันมากจากช่วงวันหยุดยาว [PR News]

SINO โชว์ศักยภาพคว้าใบรับรอง C-TPAT จากศุลกากรและการป้องกันชายแดนของสหรัฐฯ

SINO โชว์ศักยภาพคว้าใบรับรอง C-TPAT จากศุลกากรและการป้องกันชายแดนของสหรัฐฯ

                หุ้นวิชั่น - “บมจ.ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น’ หรือ SINO ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญ คว้า “ใบรับรอง C-TPAT” ด้านมาตรฐานความปลอดภัยในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก จากหน่วยงานศุลกากรและการป้องกันชายแดนของสหรัฐฯ ช่วยยกระดับมาตรฐานการให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศและเพิ่มความเชื่อมั่นแก่ผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะความร่วมมือด้านโลจิสติกส์กับสหรัฐฯ ที่เป็นฐานลูกค้าหลักของบริษัทฯ           นายนันท์มนัส วิทยศักดิ์พันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SINO เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มุ่งพัฒนาคุณภาพการให้บริการด้านโลจิสติกส์ โดยการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในห่วงโซ่อุปทานให้ดียิ่งขึ้นและก้าวไปสู่มาตรฐานระดับโลก เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้ใช้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทุกราย ล่าสุด บริษัทฯ ประสบความสำเร็จครั้งสำคัญด้านการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในห่วงโซ่อุปทาน โดยได้รับ “ใบรับรอง C-TPAT” (Customs-Trade Partnership Against Terrorism) จากหน่วยงานศุลกากรและการป้องกันชายแดนของสหรัฐอเมริกา หรือ U.S. Customs and Border Protection (CBP) ซึ่งเป็นมาตรฐานด้านความปลอดภัยระดับโลกที่มีความสำคัญกับผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ การได้รับใบรับรอง C-TPAT ครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของบริษัทฯ ที่สามารถให้บริการได้ตามมาตรฐานความปลอดภัยในระดับสากล จึงไม่เพียงเป็นการยกระดับการดำเนินธุรกิจด้านโลจิสติกส์ แต่จะเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่พันธมิตรและลูกค้าของบริษัทฯ ที่มาจากหลากหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก โดยเฉพาะการส่งเสริมความร่วมมือด้านโลจิสติกส์กับสหรัฐฯ เนื่องจากบริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางทะเลบนเส้นทางไทย-สหรัฐฯ ที่มีปริมาณการขนส่งสินค้าในเส้นทางดังกล่าวเป็นอันดับ 2 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ของผู้ให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางทะเลบนเส้นทางดังกล่าวในประเทศไทย “เรามีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งในฐานะผู้ประกอบการไทยที่ได้รับใบรับรอง C-TPAT ซึ่งมาจากความพยายามและมุ่งมั่นให้บริการที่มีคุณภาพตามมาตรฐานระดับสากล เชื่อว่าใบรับรองนี้จะเป็นหลักประกันที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจในคุณภาพและการใช้บริการด้านโลจิสติกส์ รวมถึงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยให้ SINO ก้าวขึ้นเป็นผู้นำธุรกิจในตลาดโลกอย่างยั่งยืน โดยบริษัทฯ มีความตั้งใจจะพัฒนาคุณภาพการให้บริการอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและขนส่งสินค้าถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัยและรวดเร็ว” นายนันท์มนัส กล่าว [PR News]

PCE สุดแกร่ง! เข้าคำนวณดัชนี FTSE SET Shariah Index

PCE สุดแกร่ง! เข้าคำนวณดัชนี FTSE SET Shariah Index

        หุ้นวิชั่น - บมจ.เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ (PCE) สุดสตรอง! ติดโผเข้าคำนวณดัชนี FTSE SET Shariah Index มีผลวันที่ 23 ธ.ค.67 นี้ ฝ่ายผู้บริหาร “พรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล” ระบุถือเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงปัจจัยพื้นฐานที่มีความแข็งแกร่ง สภาพคล่องสูง ยึดหลัก CG ลงทุนตามหลักศาสนาอิสลาม พร้อมมุ่งมั่นสร้างคุณค่าในระยะยาว หนุนธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคง นายพรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล รองกรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (PCE) ผู้นำธุรกิจน้ำมันปาล์มครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทฯได้รับคัดเลือกเข้าคำนวณดัชนี FTSE SET Index Series ในกลุ่ม FTSE SET Shariah Index (ดัชนี ฟุตซี่ เซ็ท ชาริอะห์) จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และองค์กรระดับโลก FTSE Russell โดยใช้สูตรการคำนวณที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล ซึ่งพิจารณาเรื่องสภาพคล่อง (Liquidity Screen), การกระจายหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float Screen) รวมไปถึง การดำเนินธุรกิจโดยมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Governance) และสอดคล้องไปกับการลงทุนตามหลักศาสนาอิสลาม โดยมีผลวันที่ 23 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป “การที่ PCE ถูกนำเข้าคำนวณใน FTSE SET Shariah Index ถือเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงปัจจัยพื้นฐานที่มีความแข็งแกร่ง ดำเนินธุรกิจโดยมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี และการเติบโตของธุรกิจที่มุ่งเน้นการสร้างคุณค่าในระยะยาว เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนและมั่นคง สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น”         รองกรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ PCE กล่าวอีกว่า บริษัทฯ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับการคัดเลือกเข้าคำนวณในดัชนี FTSE SET Shariah Index ซึ่งเป็นดัชนีหลักทรัพย์ระดับนานาชาติที่นักลงทุนสถาบันและต่างชาติ ใช้อ้างอิงให้น้ำหนักประกอบการตัดสินใจในการลงทุน สามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายฐานผู้ลงทุนรายใหม่ สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนช่วยสนับสนุนการขยายธุรกิจในอนาคตได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และฟุตซี่ รัสเซล (FTSE Russell) ประกาศรายชื่อหลักทรัพย์ชุดใหม่ที่ใช้ในการคำนวณ FTSE SET Index Series มีผลวันที่ 23 ธันวาคม 2567 โดยในส่วนของดัชนี FTSE SET Shariah Index มี 20 หลักทรัพย์ใหม่ที่เข้าร่วมคำนวณ [PR News]

CPAXTเล็งลงทุนห้าง The Forestias บางนา โบรกว่าไง เช็กเลย!

CPAXTเล็งลงทุนห้าง The Forestias บางนา โบรกว่าไง เช็กเลย!

       หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด CPAXT จัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อลงทุนโครงการอสังหาฯ Mixed-Use CPAXT จะเข้าลงทุนห้างในโครงการ The Forestias บางนา บริษัทแจ้งตลาดเรื่องการจัดตั้งบริษัทย่อยทางตรงแห่งใหม่ชื่อ บจ.แอ็กซ์ตร้า โกรท พลัส ทุนจดทะเบียน 8.4 พันลบ. โดยบริษัทจะถือหุ้นสัดส่วน 95% และอีก 5% ถือโดยบจ. เอ็มคิวดีซีทาวน์คอร์ปอเรชั่น ซึ่งบจ. แอ็กซ์ตร้า โกรท พลัส (บริษัทย่อย) จะเข้าถือหุ้นบจ. แฮปปี้แทท แอท เดอะ ฟอเรสเทียส์ในสัดส่วน 100% เพื่อประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน (Mixed-Use Development) ภายใต้โครงการชื่อ The Happitat ประกอบด้วยห้างสรรพสินค้าจำนวน 3 อาคาร (อาคารหลังหนึ่งจะมีสำนักงาน 10 ชั้นตั้งอยู่ด้านบน) และอาคาร Central Utility Plant ที่เป็นศูนย์กลางสาธารณูปโภค โดยโครงการ The Happitat ตั้งอยู่ภายในโครงการ The Forestias ซึ่งบริษัทได้ดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2567 เป็นผลให้ได้มาซึ่งบริษัทย่อยทั้งทางตรงและทางอ้อมจำนวน 2 บริษัท (Source: Set.or.th) บริษัทคาดใช้เงินลงทุนทั้งหมด 1.2-1.5 หมื่นลบ. และจะเปิดให้บริการภายใน 1Q26 The Forestias by MQDC เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ มูลค่าโครงการสูงราว 1.3 แสนลบ. พื้นที่ 398 ไร่ ตั้งอยู่บนถนนบางนา-ตราด กม. 7 ประกอบไปด้วยโครงการที่พักอาศัยหลายรูปแบบ คอนโด High Rise/Low Rise, บ้านพักอาศัย รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่น โรงแรม ศูนย์การแพทย์ พื้นที่สำนักงาน สปอร์ตคอมเพล็กซ์ พื้นที่สำหรับกิจกรรมไลฟ์สไตล์ต่างๆ โดยโครงการ Happitat ที่ CPAXT เข้าลงทุนจะอยู่ด้านหน้าของโครงการ มีพื้นที่เช่ารวม 7.2 หมื่นตร.ม. แบ่งเป็น 1) Lotus’s Premium Hypermarket พื้นที่ 5 พันตร.ม. 2) พื้นที่ค้าปลีก มีพื้นที่เช่ากว่า 4.3 หมื่นตร.ม. และ 3) อาคารสำนักงาน มีพื้นที่เช่ากว่า 2.4 หมื่นตร.ม. โดย CPAXT คาดจะใช้เงินลงทุนในโครงการทั้งสิ้นราว 1.2-1.5 หมื่นลบ. เงินส่วนใหญ่ 80-90% จากการเงินกู้ธนาคาร คาดจะเริ่มเปิดดำเนินการได้เต็มรูปแบบภายใน 1Q69 และตั้งเป้าหมายโครงการดังกล่าวจะสร้างกำไรสุทธิได้ในปี 2571 (ปีที่ 3 ของการดำเนินงาน) คาดผลกระทบเชิงลบเล็กน้อยในระยะสั้น ปรับประมาณการปี 2568-69 ลง 2-4% เนื่องจากแหล่งเงินทุนหลักมาจากการกู้ยืมธนาคาร คาด CPAXT จะมีภาระดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นปีละ 3-4 ร้อยลบ. ทำให้ปรับประมาณการกำไรปกติปี 2568 ลง 1.7% เป็น 1.3 หมื่นลบ. (+19% YoY) ขณะที่ปี 2569 ซึ่งจะมีการเปิดให้บริการเป็นปีแรก อิงสมมติฐานสำคัญดังนี้: 1) พื้นที่ค้าปลีก Occ. Rate ที่ 80% และค่าเช่า 1.4 พันบาทต่อตร.ม. 2) อาคารสำนักงาน Occ. Rate ที่ 40% และค่าเช่า 800 บาทต่อตร.ม. คาดเกิดผลกระทบเชิงลบจากผลขาดทุนจากการเปิดดำเนินงานในช่วงต้นและดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่ม ทำให้ปรับประมาณการกำไรปกติปี 2569 ลง 3.5% เป็น 1.4 หมื่นลบ. (+12% YoY) ปรับราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2568 ลงเป็น 38.50 บาทต่อหุ้น ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” คงแนะนำ “ซื้อ” อิงราคาเหมาะสมใหม่ที่ 38.50 บาท คาดราคาหุ้นตอบสนองเชิงลบจากความกังวลของตลาด 1) เงินลงทุนสูงกว่าการขยายสาขาแบบปกติและอาจมีค่าใช้จ่ายในการพัฒนาเพิ่มเติมจนกว่าจะเปิดโครงการ และ 2) การแข่งขันในพื้นที่ดังกล่าวค่อนข้างสูงและส่วนใหญ่เป็นผู้เล่นที่มีประสบการณ์เช่น Mega Bangna ของ CPN และ Bangkok Mall (คาดเปิดปี 2569) ของเดอะมอลล์กรุ๊ป อย่างไรก็ดี หากราคาหุ้นปรับลงเกิน 5-10% มองเป็นโอกาสในการทยอยสะสม เพราะมูลค่าโครงการดังกล่าวคิดเป็นเพียง 2% ของสินทรัพย์ทั้งหมด เงินลงทุนที่ใช้ต่ำกว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานต่อปีที่ระดับ 2 หมื่นลบ. และประเมินผลขาดทุนในปีแรกไม่ถึง 4% ของฐานกำไรทั้งปี สะท้อนว่าการลงทุนดังกล่าวยังไม่ได้สร้างผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญต่อฐานะทางการเงินบริษัท

โบรกมอง SET โอกาสฟื้น หุ้นตัวไหนน่าลงทุน เช็กเลย!

โบรกมอง SET โอกาสฟื้น หุ้นตัวไหนน่าลงทุน เช็กเลย!

        หุ้นวิชั่น - บล.หยวนต้า มอง Downside Risk ของ SET Index เริ่มจำกัด การปรับตัวลดลงของ SET Index -1.4% WoW เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คาดมาจากการปรับตัวขึ้นของ US Bond Yield, Dollar Index และความผิดหวังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนไปมากแล้ว ขณะที่สัปดาห์นี้มีปัจจัยหนุนคือการปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าพลังงาน ประกอบกับการประชุม FOMC ที่เปิดโอกาสในการเข้าเก็งกำไรการรีบาวด์ของหุ้นในกลุ่ม Yield Play เช่น โรงไฟฟ้า, การเงิน, REIT, สื่อสาร และอสังหาฯ ประเมิน SET Index สัปดาห์นี้มีโอกาสฟื้นตัวโดยคาดกรอบการเคลื่อนไหวบริเวณ 1,420-1,450 จุด ลุ้น FOMC ส่งท้ายปีด้วย ‘Santa Rally’ ตลาดหุ้นจีนลงแรงแต่เรามองเป็นโอกาสเข้าสะสม แม้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จะเคลื่อนไหว Sideways ในกรอบแคบ แต่ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงคือ CSI 300 (-2.4%) และ HSI (-2.1%) ปรับตัวลดลง Underperform สินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ หลังการรายงานผลการประชุมทางด้านเศรษฐกิจ (CEWC) สร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน เนื่องจากยังไม่ได้ระบุถึงช่วงเวลาและขนาดของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาคการคลัง อย่างไรก็ตาม ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมารองรัฐมนตรีกระทรวงการเคหะจีนได้ยืนยันเจตจำนงในการกระตุ้นกำลังซื้ออสังหาฯ พร้อมจำกัดอุปทานใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดในปี 2568 เป็นต้นไป เราประเมินทางการจีนมีแนวโน้มที่จะเผยรายละเอียดเชิงลึกต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง 1Q68 โดยเฉพาะหลังประธานาธิบดีสหรัฐฯ ท่านใหม่เข้าดำรงตำแหน่ง จึงมองเป็นจังหวะในการเข้าสะสมกองทุนหุ้นจีน เช่น KTAshares-A และ SCBCE รวมถึง DR ที่เชื่อมโยงกับตลาดหุ้นจีน เช่น CN01 และ BABA80 เป็นต้น ราคาน้ำมันดิบเด้งคาดช่วยหนุน Sentiment ของ SET Index ในช่วงต้นสัปดาห์ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วราคาน้ำมันดิบ BRENT และ WTI ปรับตัวเพิ่มขึ้น +5% และ +6% ตามลำดับ จากความกังวลว่าการคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่อรัสเซียและอิหร่านอาจทำให้อุปทานตึงตัวขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงในยุโรปและสหรัฐฯ จะช่วยหนุนการฟื้นตัวของแนวโน้มอุปสงค์ คาดปัจจัยดังกล่าวจะทำให้หุ้นในกลุ่มพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่นมีโอกาส Outperform ตลาดในช่วงต้นสัปดาห์ FOMC รอบนี้มองเป็นจังหวะเก็งกำไรก่อนส่งท้ายปี 2567 สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง เรายังคงแนะนำสะสมหุ้นกลุ่ม Yield Play เช่น โรงไฟฟ้า, การเงิน, REIT, สื่อสาร และอสังหาฯ เพื่อเก็งกำไรการประชุม FOMC ในวันที่ 18 ธ.ค. คาดการปรับตัวขึ้นของ US Bond Yield และ US Dollar ในสัปดาห์ที่ผ่านมาสะท้อนความกังวลของตลาดต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายของ Fed ที่อาจตึงตัวมากกว่าคาดไปมากแล้ว ทำให้ Risk-Reward Ratio มีความน่าสนใจในการเก็งกำไร FOMC สะสม SCB ราคาปิด 118.50 บาท แนวต้านทางเทคนิค 122.00 บาท  หุ้นกลุ่มธนาคารเคลื่อนไหว 16 ธันวาคม 2567 122.00 บาท Outperform ตลาด เนื่องจากเป็นหุ้นกลุ่มหลักที่คาดว่าจะได้อานิสงส์จากเม็ดเงินกองทุนประหยัดภาษีในช่วงเดือน ธ.ค. รวมทั้งมาตรการแก้หนี้ “คุณสู้ เราช่วย” คาดว่าจะส่งผลให้ NPL ของกลุ่มทรงตัวหรือลดลงในปี 2568 จุดเด่นของ SCB คือผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับสูง เราคาดเงินปันผล 2H67 หุ้นละ 7.20 บาท ให้ Dividend Yield สูงถึง 6.1% เก็งกำไร BANPU ราคาปิด 5.90 บาท แนวต้านทางเทคนิค 6.20 บาท ราคาหุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว คาดมีโอกาสถูกเพิ่มเข้าสู่ดัชนี SET50 ที่คาดว่าตลท. จะประกาศผลในสัปดาห์นี้ เพื่อคำนวณดัชนีรอบ 1H68 การอ่อนค่าของเงินบาท/USD ใน 4Q67 จาก 32.36 บาท เป็น 34.04 บาท จะส่งผลให้บริษัทกลับมีกำไรจาก FX คาดไม่ต่ำกว่า 1,000 ลบ. ใน 4Q67 ขณะที่ปัจจัยหนุนคือการไต่ระดับขึ้นของราคาก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ จากการเข้าสู่ High Season และเป็น 1 ในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการสนับสนุนพลังงานฟอสซิลของทรัมป์ รวมทั้งการปลดล็อกข้อจำกัดส่งออก LNG ของสหรัฐฯ ในปี 2568 จะส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติในสหรัฐมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น เก็งกำไร SAWAD ราคาปิด 40.75 บาท แนวต้านทางเทคนิค 42.00 บาท         ราคาหุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว คาดมีโอกาสถูกเพิ่มเข้าสู่ดัชนี SET50 ที่คาดว่าตลท. จะประกาศผลในสัปดาห์นี้ เพื่อคำนวณดัชนีรอบ 1H68 เราคาดว่าหากการพิจารณาบอร์ดไตรภาคีจากตัวแทน 3 ฝ่าย ได้แก่ รัฐบาล, นายจ้างและลูกจ้าง ในวันที่ 23 ธ.ค. เห็นร่วมกันในการขึ้นค่าแรงเป็น 400 บาท ในปี 2568 จะเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ เนื่องจากส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนระดับกลาง-ล่างเพิ่มขึ้น ส่งผลบวกต่อความต้องการใช้สินเชื่อและความสามารถในการชำระหนี้ให้สูงขึ้น เก็งกำไรทางเทคนิค BCPG ราคาปิด 5.65 บาท แนวต้านทางเทคนิค 6.00 บาท ภาพทางเทคนิค แนวต้าน 6.00 บาท แนวรับ 5.60 บาท และ Stop loss หากต่ำกว่า 5.50 บาท ราคายืนไม่หลุดแนวรับเดิมที่ 5.55 บาท และกำลังกลับขึ้นไปยืนเหนือเส้น SMA-20 วันอีกครั้ง ทำให้ประเมินว่าระยะสั้นมีโอกาสเข้าสู่รอบ Technical Rebound โดยมีเป้าหมายที่ 5.85 และ 6.00 บาทตามลำดับ

ตลท.ประกาศรายชื่อ 228 บจ. หุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ปี 67

ตลท.ประกาศรายชื่อ 228 บจ. หุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ปี 67

        หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน จากตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2567 รวม 228 บริษัท โดยบจ. มีผลคะแนนเฉลี่ยสูงขึ้นในทุกมิติ ESG โดยเน้นเรื่องการบริหารความเสี่ยงด้าน Climate และการตั้งเป้าหมายสู่ Carbon Neutral และ Net Zero และ SET ESG Ratings เป็นหนึ่งในนโยบายการลงทุนของกองทุน Thailand ESG Funds (TESG) และกองทุนวายุภักษ์หนึ่ง หน่วยลงทุนประเภท ก. คิดเป็น AUM รวมกว่า 6 แสนล้านบาท นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน  ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในการประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ประจำปี 2567 มีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ได้รับการประกาศผลประเมินรวมทั้งสิ้น 228 บริษัท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ สอดคล้องกับเทรนด์การลงทุนอย่างยั่งยืน (sustainable investment) ที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งในและต่างประเทศ “ผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผู้ลงทุน นักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุน ใช้ควบคู่กับข้อมูลอื่น ๆ ในการวิเคราะห์ความเสี่ยงและโอกาสการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งนับวันปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) จะยิ่งส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันและศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจ โดยปัจจุบันมีกองทุนบางประเภทที่ใช้ SET ESG Ratings เป็นหนึ่งในนโยบายการลงทุน เช่น กองทุน Thailand ESG Funds (TESG) มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการของกองทุน (AUM) กว่า 14,545 ล้านบาท และกองทุนวายุภักษ์หนึ่ง หน่วยลงทุนประเภท ก. มี AUM 150,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าในอนาคตจะมีกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนด้าน ESG เพิ่มขึ้น สอดรับกับทิศทางความตื่นตัวของ บจ. ในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ เห็นถึงพัฒนาการทั้งในฝั่งของผู้ลงทุนและ บจ. อย่างต่อเนื่อง” นายศรพลกล่าว         ในการประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ปี 2567 มี บจ. ที่ผ่านเกณฑ์และได้รับการประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings รวม 228 บริษัท (ระดับ AAA 56 บริษัท ระดับ AA 80 บริษัท ระดับ A 71 บริษัท และระดับ BBB 21 บริษัท) โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมคิดเป็น 82% เมื่อเทียบกับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดทั้งหมดของ SET และ mai (ณ 12 ธันวาคม 2567) “เป็นที่น่าสนใจว่า ในปีนี้มี บจ. ขนาดกลางและเล็กที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดไม่เกิน 10,000 ล้านบาทสามารถผ่านเกณฑ์ SET ESG Ratings ได้ถึง 106 บจ. เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 43% สะท้อนถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังพบว่า บจ. มีคะแนนเฉลี่ยสูงขึ้นในทุกมิติ ทั้ง E S และ G โดยมีความโดดเด่นในด้านการพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้า การวิเคราะห์ผลกระทบและบริหารความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงมีการตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจนสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)” นายศรพลกล่าว         SET ESG Ratings คัดเลือกจาก บจ. ที่สมัครใจเข้าร่วมการประเมิน และมีผลคะแนนจากการตอบแบบประเมินผ่าน 50% ในมิติ E S และ G และต้องผ่านเกณฑ์คุณสมบัติตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนด เช่น เป็นบริษัทที่มีผลการประเมินคุณภาพรายงานด้านบรรษัทภิบาล (CGR) โดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ตั้งแต่ 3 ดาวขึ้นไป ไม่เป็นบริษัทหรือมีกรรมการหรือผู้บริหารของบริษัทที่ถูกกล่าวโทษหรือได้รับการตัดสินความผิดเรื่อง ESG จากหน่วยงานทางการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่เป็นบริษัทที่ถูกขึ้นเครื่องหมาย CB, CC, CF, CS เป็นต้น         ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทบทวนและปรับปรุงเกณฑ์ประเมินเป็นประจำทุกปีเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทและเทรนด์ ESG ทั้งในระดับประเทศและระดับสากล นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังติดตามคุณสมบัติของ บจ. ตลอดกระบวนการ หาก บจ. ขาดคุณสมบัติตามเกณฑ์หลังจากที่ประกาศเรตติ้งไปแล้วอาจถูกถอดออกจาก SET ESG Ratings ได้ รวมถึงการขึ้นข้อความเพื่อให้ผู้ใช้ SET ESG Ratings พิจารณาข้อมูล ESG ของบริษัทเป็นการเพิ่มเติม

SC อสังหาฯมีเสน่ห์ เปิดโครงการใหม่ชิงมาร์เก็ตแชร์ เป้า 3.20 บาท

SC อสังหาฯมีเสน่ห์ เปิดโครงการใหม่ชิงมาร์เก็ตแชร์ เป้า 3.20 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ฝ่ายวิเคราะห์เยี่ยมชม 2 โครงการใหม่ที่เปิดใน 3Q24 ซึ่งเป็น project highlight ของปีนี้ โดยยอด take-up rate ของทั้ง 2 โครงการดีกว่าเป้าที่ยบริษัทตั้งไว้ • โครงการ Connoissuer มูลค่าโครงการ 1.76 พันลบ. จำนวน 20 ยูนิต ปัจจุบันทำยอดขายไปราว 62% ของมูลค่าโครงการ โครงการนี้เป็น flagship project สำหรับกลุ่ม low-rise ของ SC ในปีนี้ เนื่องจากมูลค่าขายเฉลี่ย 88 ลบ./ยูนิต เป็นระดับ ultra luxury ปัจจุบันโครงการขายไปแล้ว 11 ยูนิต มูลค่าราว 1.1 พันลบ. หรือราว 62% ของมูลค่าโครงการ ซึ่งดีกว่าเป้าที่ SC ตั้งไว้ (ที่ราว 25% ของมูลค่าโครงการ) แผนโอน 4Q24F ที่ 665 ลบ. (5 ยูนิต) ในขณะที่ backlog ที่เหลือรอโอนปี 2025F ทั้งนี้แผนการก่อสร้างเสร็จทั้งโครงการอยู่ในปี 2025F ซึ่งถ้าปี 2025F สามารถขายส่วนยูนิตที่เหลือได้ทั้งหมด ก็มีโอกาสปิดโครงการได้ในปีหน้า จุดเด่นของโครงการนี้คือ i) ทำเลพัฒนาการ 32 เป็นจุดที่กำลังซื้อสูง ในขณะที่ supply กลุ่ม ultra luxury เหลือขายไม่มาก ii) ตัวสินค้าที่เด่นในเรื่องการ design ที่เน้นจับกลุ่มอายุ 35-45 ปี ซึ่งตรงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ซื้อโครงการนี้  % GPM โครงการนี้สูงกว่าโครงการ low-rise โดยเฉลี่ยของ SC (ที่ 31-32%) จะเป็นส่วนช่วยสนับสนุน % GPM รวมให้ดีขึ้น • โครงการ Reference Ekamai มูลค่าโครงการ 3.2 พันลบ. จำนวน 367 ยูนิต ปัจจุบันทำยอดขายไปราว 75% ของมูลค่าโครงการโครงการนี้เป็น flagship project สำหรับกลุ่ม condo ของ SC ในปีนี้ เพราะเป็นเพียง 1 โครงการ condo ที่เปิดปีนี้ และเป็น brand Reference ที่เป็นแบรนด์หลักที่ SC ให้ความสำคัญหลังจากนี้ โครงการนี้มีมูลค่าโครงการเพิ่มขึ้นจากแผนเดิมที่ 3.0 พันลบ. เป็น 3.2 พันลบ. ในขณะที่ยูนิตลดลงจาก 396 เหลือ 367 ยูนิต เพราะ demand ห้องใหญ่ที่ขายดี ทำให้มีการ combine ห้องจาก 1 bed ไปเป็น 2-3 beds มากขึ้น ปัจจุบันโครงการขายไปแล้ว 235 ยูนิต มูลค่าราว 2.4 พันลบ. หรือราว 75% ของมูลค่าโครงการ ซึ่งดีกว่าเป้าที่ SC ตั้งไว้ (ที่ราว 40% ของมูลค่าโครงการ) ทั้งนี้สัดส่วนที่ขายไปเป็น Thai : ต่างชาติ ใกล้เคียงกัน จุดเด่นของโครงการนี้คือ i) ราคาต่อตรม. ราว 190,000-200,000 บาท ยังเป็นราคาที่แข่งขันได้ในทำเลเอกมัย ii) โครงการเป็น fully furnished แต่งครบ ทำให้ขายกลุ่มลงทุนปล่อยเช่าได้ดี รวมถึงต่างชาติที่สามารถเข้าอยู่ได้ทันทีหลังโอน iii) option ในการ combine ห้องให้เป็น 2-3 beds ทำให้เป็นที่ต้องการของตลาดในทำเลเอกมัย ที่ supply ห้องใหญ่เหลือจำกัด โครงการนี้ผ่าน EIA แล้ว อยู่ระหว่างก่อสร้าง โดยมีแผนโอน 1Q27F % GPM โครงการนี้อยู่ในระดับปกติของ condo SC ที่ราว 30-31% • 9M24 quick review: 9M24 presale = 18.1 พันลบ. (-12% y-y) คิดเป็น 65% จากเป้าปี 28.0 พันลบ. (flat y-y) ทั้งนี้เราคาดมี downside มาที่ 25.0 พันลบ. 9M24 transfer (incl. JV) = 14.2 พันลบ. (-10% y-y) = 56% จากเป้าปี 25.2 พันลบ. (+3% y-y) ทั้งนี้เราคาดมี downside มาที่ 21.7 พันลบ. 9M24 new launch = 26.6 พันลบ. คิดเป็น 83% จากเป้าปี 31.9 พันลบ. (-28% y-y) 9M24 net profit = 1.2 พันลบ. (-25% y-y) คิดเป็น 60% ของประมาณการกำไรสุทธิ 2024F ที่ 2.03 พันลบ. (-18% y-y) • 4Q24F outlook: มี condo 2 โครงการใหม่เข้ามาโอน: Reference Wongwianyai (4.0 พันลบ.; 60% sold) และ Scope Thonglor (2.8 พันลบ.; 61% sold) ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญของกำไร ตั้งเป้า 4Q24F presale ทรงตัว y-y, เพิ่ม q-q หรือราว 7.0 พันลบ. แต่อาจมี upside จาก Reference Ekamai ขายดีกว่าคาด ตั้งเป้า 4Q24F transfer (Incl. JV) สูงสุดรายไตรมาสปีนี้ จาก backlog รอโอนมาก กำไรสุทธิ 4Q24F คาดใกล้เคียงปีก่อนที่ 800-850 ลบ. โดยอาจมี extra gain ที่คาดเกิดขึ้นหลังทำ JV ใน condo ใหม่ (condo ที่รอเปิดปีหน้า) ราว 30-50 ลบ. Backlog (as of Sep-24) อยู่ที่ 18.2 พันลบ. โดยราว 6.4 พันลบ. รอโอนใน 4Q24F หรือ secured รายได้ของ SC ที่ 82% และ secured รายได้ของ KSS estimate ที่ 95% • แผนธุรกิจปี 2025F: คาดเปิดโครงการใหม่ราว 30.0 พันลบ. ใกล้เคียง 2024 โดยแนวโน้ม low-rise เปิดลดลง เพราะ stock เหลือขายมาก ในขณะที่ condo เปิดเพิ่มขึ้น ทั้งนี้คาดตั้งเป้า presale, transfer และกำไรสุทธิโต y-y ความเห็นและคำแนะนำ  Story ใน 4Q24F คาดดีทั้ง presale และกำไรสุทธิจะเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาหุ้นระยะสั้น จากแผนปรับกลยุทธ์การขาย, มี backlog รอโอนใน 4Q24F มาก ทำให้แนวโน้ม 4Q24F presale, transfer และ net profit ดี เราคงกำไรสุทธิ 2024F ที่ 2.03 พันลบ. (-18% y-y) โดย extra gain ที่อาจเกิดขึ้นใน 4Q24F (ราว 30-50 ลบ.) ช่วยจำกัด downside risk คง TP25F ที่ 3.20 บาท คงคำแนะนำ Trading Buy มอง story ใน 2H25F เป็นต้นไปน่าสนใจ โดยเราชอบแผนธุรกิจในระยะยาวที่ aggressive ใน 3 ปีข้างหน้า ทั้ง residential ที่มีแผนเปิดโครงการใหม่และเพิ่ม market share และการขยายสู่ธุรกิจใหม่ (new S-curve) ทำให้คาดกำไรสุทธิในอนาคตจะกลับมาโตต่อเนื่องและสม่าเสมอมากขึ้น แต่จะเห็นชัดเจนในช่วง 2H25F เป็นต้นไป

JMTผลงานโตเด่น จับตาโค้งท้ายพีค แนะ

JMTผลงานโตเด่น จับตาโค้งท้ายพีค แนะ "ซื้อ" เป้า 21.6 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) ผลประกอบการจะเติบโตโดดเด่นในปี 25F โดยสิ้นงวด ก.ย. 24 JMT มีพอร์ตหนี้เสียในมูลค่ารวม 534,864 ล้านบาท โดย 87% เป็น Unsecured NPL และ 13% เป็น Secured NPL ขณะที่การซื้อหนี้ 9M24 มีเพียง 807 ล้านบาท เทียบกับ 9M23 ที่ใช้เงินซื้อ 6,380 ล้านบาท เราแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 21.6 บาท          โดยมองว่าผลประกอบการใน 4Q24F จะเป็นช่วงพีคที่สุดของปีโดยปี 24F ประเมินกำไรสุทธิที่ 1.66 พันล้านบาท -16% YoY ชะลอตัวลงจาก 1.การเพิ่มค่าใช้จ่ายเพื่อปรับปรุงกระบวนการติดตามหนี้ราว 500 ล้านบาท ในช่วงมิ.ย. เป็นต้นมา เพื่อลดค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองในระยะยาว ค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการจัดเก็บหนี้ด้อยคุณภาพที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย Cash collection ที่ชะลอตัว ส่วนหนึ่งมาจากการปรับเกณฑ์การขายหนี้ด้อยคุณภาพของ ธปท. ที่ทำให้สถาบันการเงินขาย NPL และ NPA ได้น้อยลง เนื่องจากต้องมีการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งก่อนและหลังเป็นหนี้เสีย ก่อนที่จะขายหนี้ออกมาได้จึงใช้เวลานานและมีปริมาณหนี้น้อยลงมาขายสู่ตลาด         สำหรับแนวโน้มการเติบโตเฉลี่ยแบบ CAGR ของกำไรสุทธิในปี 24-26F คิดเป็น 10% โดยผลประกอบการจะเติบโตโดดเด่นในปี 25F ที่ประเมินกำไรสุทธิราว 2.05 พันล้านบาท +23% YoY เนื่องจาก 1. คาดหวังก่อตั้ง AMC กับพาร์ทเนอร์สถาบันการเงินอีกแห่ง หนุนส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีเพียง JK AMC แนวโน้มค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองที่ลดลงจากการจัดเก็บหนี้ที่ดีขึ้น โดยวางแผนซื้อหนี้เพิ่ม 2-3 พันล้านบาท ได้ประโยชน์จากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ภายใต้บรรยากาศการปรับลดดอกเบี้ยของ ธปท. อย่างน้อย 1-2 ครั้งในปี 2025 หนุนรายได้ในทุกกลุ่มธุรกิจขยายตัว YoY

KSS คาดเม็ดเงินลดหย่อนภาษีประคอง SET ชี้ต้าน 1443 จุด

KSS คาดเม็ดเงินลดหย่อนภาษีประคอง SET ชี้ต้าน 1443 จุด

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “แกว่งสร้างฐาน” ต้าน 1439/1443 จุด รับ 1425/1421 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯแกว่งตัวในกรอบแคบ ดัชนีS&P500 ทรงๆ -0.16% โดยมีหุ้นเทคโนโลยีรายตัว อาทิ Broadcom น าตลาด จากทิศทางการเติบโต AI ดีกว่าคาด ปัจจัยมหภาคตลาดรอติดตามรายงานเศรษฐกิจ Flash PMI ภาคผลิตและบริการสหรัฐ ธ.ค. 24 วันนี้, ยอดค้าปลีก ผลผลิตอุตสาหกรรม ธ.ค. 24 พรุ่งนี้(17 ธ.ค.) และผลประชุม Fed 17-18 ธ.ค. (เวลาไทยเช้า 19 ธ.ค.) แต่หากอิง US Bond Yield 10 ปีที่เร่งขึ้นมาแตะ 4.4% น่าจะสะท้อนมุมมองระมัดระวังตลาดคาด Fed จะส่งสัญญาณเข้มงวดขึ้น ด้านเอเชียเช้าวันนี้ติดตามรายงานเศรษฐกิจจีน พ.ย. 24 คาดการฟื้นตัวยังค่อยเป็นค่อยไป อิงรายงาน New Yuan Loans สุดสัปดาห์ต่ำกว่าคาด ประเมินปัจจัยต่างประเทศเป็นกลางถึงลบอ่อนๆ อย่างไรก็ดีภายในเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้าย ของปี         คาดเม็ดเงินลงทุนระยะยาวลดหย่อนภาษี ประเมินไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท จะเริ่มเข้ามาประคองตลาด ประเมิน SET วันนี้น่าจะยังพอประคองตัวสร้างฐานได้โดยมีกลุ่มเด่น คือ ธนาคาร น ้ามัน หุ้น Big Cap ที่อยู่ในเป้ากองทุน TESG วันนี้แนะนํา ADVANC, KTB, KBANK

“เคจีไอ” ฉายภาพหุ้น MAJOR – PLANB ลุ้นปีหน้าโตต่อเนื่อง

“เคจีไอ” ฉายภาพหุ้น MAJOR – PLANB ลุ้นปีหน้าโตต่อเนื่อง

         หุ้นวิชั่น - บล.เคจีไอ ส่องหุ้นกลุ่มมีเดีย โดยฝ่ายวิจัยมองว่าได้สังเกตว่ากลุ่มสื่อโฆษณาของประเทศไทยเผชิญเส้นทางต่าง ๆ ที่แตกต่างกันในช่วงการเปลี่ยนผ่านสู่การโฆษณาดิจิทัลช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ การโฆษณาในโรงภาพยนตร์และการโฆษณาผ่านสื่อนอกบ้าน (OOH) เป็นสื่อแบบดั้งเดิมเพียงสองสื่อที่สามารถเติบโตได้ และฝ่ายวิจัยเชื่อว่าสองสื่อนี้จะโตต่อเนื่องในปี 2568 ส่วนสื่อโฆษณารูปแบบดั้งเดิมอื่นๆ คาดว่าจะลดลงต่ออีก ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคงให้น้ำหนักลงทุนกลุ่มนี้ “ เท่ากับตลาด ฯ” (Neutral) โดยเลือก MAJOR เป็นหุ้นเด่นสุดในกลุ่ม เพราะฝ่ายวิจัยคาดว่าจะเห็นกําไรเติบโตโดดเด่นในปีหน้าด้วยสัดส่วน รายได้จากโรงภาพยนตร์มากขึ้น โดยแนะนําซื้อ ประเมินราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 17.80 บาท มองแนวโน้มไตรมาส4/2567 มองแนวโน้มกําไรใน Q4/67 ฝ่ายวิจัยคาดว่ากําไรรวมใน Q4/67  ของกลุ่มสื่อโฆษณาที่เราศึกษาอยู่จะดีขึ้นทั้ง YoY และ QoQ เนื่องจากเป็น ช่วงการใช้จ่ายเม็ดเงินโฆษณาสูงสุดในปีของธุรกิจสื่อ ซึ่งจะดันให้margin ดีขึ้น จากนั้น กําไรใน Q1/68อาจชะลอตัว QoQ เนื่องจากเป็นช่วง low season ของธุรกิจนี้แต่เรายังคาดว่าจะเห็นการเติบโต YoY จากเม็ดเงินโฆษณามากขึ้นและภาพยนตร์โด่งดังหลาย ๆ เรื่องรอเข้าฉายอยู่ ฝ่ายวิจัยคาดกําไรสุทธิใน Q4/67  ของ MAJOR ฟื้นตัวโดดเด่น QoQ เป็นเพราะผลการดําเนินงานแข็งแกร่งจาก หนังไทย น่าจะช่วยหนุนรายได้จากโรงภาพยนตร์และอัตรากําไรขั้นต้นดีขึ้น ในขณะเดียวกัน กําไรน่าจะทรงตัว YoY จากฐานสูงเป็นเพราะมีหนังไทยหลาย ๆเรื่องประสบความสําเร็จอย่างมากใน Q4/66 ขณะที่กําไรสุทธิใน Q4/67 ของ PLANB คาดว่าจะเป็นจุดสูงสุดของปีโดยที่ คาดกําไรเติบโตปานกลาง QoQ และ YoY ในเบื้องต้นเป็นเพราะ margin ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม คาดกําไรใน Q1/68 ลดลง QoQ จาก ปัจจัยฤดูกาล แต่ดีขึ้น YoY เพราะการเพิ่มขึ้นของพื้นที่สื่อโฆษณาน่าจะช่วยหนุนรายได้และ margin ของสื่อ OOH ให้สูงขึ้น พร้อมฉายภาพแนวโน้มกําไร ปี 2568         ฝ่ายวิจัยคาดว่ากําไรปี2568 ของ MAJOR จะเติบโต 26% YoY จากหนังเด็ดโด่งดังของค่าย Hollywoodหลากหลายเรื่องรอจะเข้าฉาย และโมเมนตัมบวกของหนังไทยมาแรงต่อเนื่อง น่าจะดันรายได้โรงภาพยนตร์สูงขึ้น (ยอดขายตั๋วและยอดขายเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยว) เรายึดแนวอนุรักษ์นิยม โดยประเมินจํานวนผู้เข้าชมอยู่ราว 37.6 ล้านคน (เทียบกับเป้าหมายของบริษัทที่ 40 ล้านคน) และคาดว่าบริษัทจะสามารถปรับเพิ่มราคาตั๋วเฉลี่ยขึ้นในปี2568 ได้ประเด็นนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อรายได้จากการโฆษณาของบริษัท (คิดเป็น 13% ของรายได้) และอัตรากําไรขั้นต้นด้วย           และฝ่ายวิจัยมองว่า PLANB จะได้รับประโยชน์จากการเป็นผู้เล่นหลักในสื่อ OOH ในปี2568 แต่ทว่า คาด utilization rate จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย (76.5% ในปี2568F เทียบกับ 75.2% ในปี2567F) เพราะปัจจุบันอยู่สูงที่ >70-75% อย่างไรก็ดีPLANB อาจยังได้รับประโยชน์จากการปรับราคาสื่อขึ้น ซึ่งจะช่วยหนุนให้GPM ดี ขึ้นด้วย นอกจากนี้บริษัทตั้งเป้าแทนที่ static billboard บางส่วนด้วยป้ายสื่อดิจิทัลในทําเลที่เป็นกลยุทธ์ หลัก ๆ ถึงแม้ว่ารายได้จากการจัดกิจกรรมแข่งขันฟุตบอลและมวย การตลาดแบบมีส่วนร่วม (16% ของรายได้รวมปี2568F) น่าจะลดลง22% YoY เนื่องจากการไม่มีรายได้จากการบริหารสิทธิ์งานโอลิมปิกแล้ว

ยูโอบี ปล่อยกู้ 6,500 ล้าน! หนุนบางจากสร้างโรงงานผลิต SAF แห่งแรกในไทย

ยูโอบี ปล่อยกู้ 6,500 ล้าน! หนุนบางจากสร้างโรงงานผลิต SAF แห่งแรกในไทย

           หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ 13 ธันวาคม 2567 – ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ได้มอบสินเชื่อภายใต้กรอบการสนับสนุน ทางการเงินเพื่อการเปลี่ยนผ่าน (Transition Finance Framework) จำนวน 6,500 ล้านบาทให้กับบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย เพื่อใช้ในการพัฒนาก่อสร้างและเป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับโครงการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel - SAF) แห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งถือเป็นการสนับสนุนทางการเงินเพื่อการเปลี่ยนผ่าน สำหรับอุตสาหกรรมที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากธุรกิจปัจจุบันได้ยากครั้งแรกในประเทศไทย            นางสาวพนิตสนีย์ ตั๊นสวัสดิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจลูกค้าองค์กร ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ธุรกรรมนี้เป็นการยืนยันของยูโอบีในการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องต่อกลุ่มบริษัทบางจาก ให้ครอบคลุมใน ทุกด้าน พร้อมทั้งยืนยันจุดยืนของเราในฐานะธนาคารหลักที่สนับสนุนกลุ่มบริษัทฯ ในด้านกลยุทธ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับแผนการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน เรามีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ของบางจากฯ ซึ่งเป็นโครงการแรกของประเทศไทย ภายใต้กรอบการสนับสนุนทางการเงินเพื่อการเปลี่ยนผ่านนี้ ธนาคารยูโอบี มีความพร้อมที่จะสนับสนุนกิจกรรมการเปลี่ยนผ่านในหลากหลายด้าน สำหรับอุตสาหกรรมที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากธุรกิจปัจจุบัน ได้ยาก ซึ่งรวมถึงการผลิตเชื้อเพลิงทางเลือกคาร์บอนต่ำ การปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน การดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) การใช้ประโยชน์จากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดักจับได้ (CCUS) และการมีส่วนร่วมในโครงการคาร์บอนเครดิตโดยสมัครใจ อันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการผลิต SAF ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการลดคาร์บอนในภาคการบินได้” โดยสินเชื่อนี้ได้รับการออกแบบให้มีการจัดสรรคาร์บอนเครดิต เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนของบางจากฯ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกสำหรับธนาคารยูโอบีในการให้บริการในลักษณะนี้ในประเทศ            นางสาวภัทร์ภูรี ชินกุลกิจนิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มงานบัญชีและการเงิน บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "โครงการนี้สะท้อนความพยายามของบางจากฯ ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเปลี่ยนผ่านธุรกิจของเราไปสู่การเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2573 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2593 ความร่วมมือนี้ช่วยให้เราสามารถดำเนินการแผนการลดคาร์บอนได้อย่างเป็นรูปธรรม เราขอขอบคุณธนาคารยูโอบี ในการสนับสนุนทางการเงินในครั้งนี้ และความมุ่งมั่นที่จะอยู่เคียงข้างตลอดการเดินทางสู่ความยั่งยืนของเรา" โครงการนี้ออกแบบมาเพื่อผลิต SAF จากน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่โซลูชันพลังงานที่ยั่งยืนของประเทศ โครงการ SAF นี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนกลยุทธ์ของบางจากฯ ในการก้าวไปสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำและนวัตกรรมที่ยั่งยืน ซึ่งมีศักยภาพในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ (Oil & Gas Industry)            น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ผลิตจากทรัพยากรที่ยั่งยืนซึ่งสามารถผสมกับเชื้อเพลิงอากาศยานแบบดั้งเดิมเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โครงการนี้ใช้ประโยชน์จากห่วงโซ่คุณค่าแบบบูรณาการของบางจากฯ (Integrated Value Chain) โดยสามารถจัดหาน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วจากสถานีบริการน้ำมันของบางจากฯ ทั่วประเทศและเครือข่ายพันธมิตร ทั้งนี้ โครงการ SAF จะส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้กับบางจากฯ ในฐานะหน่วยงานการค้า/การตลาดหลัก และจำหน่ายให้ลูกค้าอาทิ ผู้จำหน่ายเชื้อเพลิง สายการบิน และผู้ค้าน้ำมัน อีกทั้งเมื่อเร็ว ๆ นี้ บางจากฯ ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายกับบริษัท เชลล์ อินเตอร์เนชันแนล อีสเทิร์น เทรดดิ้ง ในประเทศสิงคโปร์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว            บางจากฯ ซึ่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมพลังงานของประเทศไทย เป็นผู้บุกเบิกการผลิต SAF จากน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วในประเทศไทยผ่านบริษัทย่อย บริษัท บีเอสจีเอฟ จำกัด (BSGF) ซึ่งบางจากได้ลงทุน 8,500 ล้านบาท ในการพัฒนาโครงการผลิต SAF ที่โรงกลั่นน้ำมันบางจาก พระโขนง กรุงเทพฯ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในไตรมาส 2/2568 โดยมีกำลังการผลิต 1 ล้านลิตรต่อวัน ทั้งนี้ การใช้ SAF จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงประมาณ 80,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้เชื้อเพลิงอากาศยานแบบดั้งเดิม

KTMS โค้งสุดท้ายฟอร์มสวย

KTMS โค้งสุดท้ายฟอร์มสวย

        หุ้นวิชั่น - นางสาวกาญจนา พงศ์พัฒนะเดชา (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย ดร.วิจิตร เตชะเกษม (ซ้าย) กรรมการ และ นายศุภณัฐ พร้อมศิริพงษ์ (ขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บมจ.เคที   เมดิคอล เซอร์วิส หรือ KTMS ร่วมนำเสนอข้อมูลภายในงานบริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน (Opportunity Day) ผ่านระบบออนไลน์ ณ KTMS สำนักงานใหญ่ โดยสรุปผลประกอบการงวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิ 11.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.37 และมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าและบริการ 433.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  ร้อยละ 29.93 ส่งสัญญาณผลงานโค้งสุดท้ายสดใส จ่อรับรู้รายได้จากศูนย์ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม 2 แห่งใหม่ ที่เปิดให้บริการโซนภาคตะวันออกเฉียงเหนือช่วงต้นไตรมาส 4 ที่ผ่านมา และรับรู้รายได้จาก การผลิตและจำหน่ายน้ำยาไตเทียมอย่างต่อเนื่อง หนุนทั้งปีรายได้รวมเข้าเป้า 600 ล้านบาท

ความเชื่อมั่นผู้บริโภคโตต่อเนื่อง หนุนหุ้นค้าปลีก BJC – CRC - CPALL

ความเชื่อมั่นผู้บริโภคโตต่อเนื่อง หนุนหุ้นค้าปลีก BJC – CRC - CPALL

   หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บทวิเคราะห์ บล.พาย ระบุว่า เมื่อวานที่ผ่านมามหาวิทยาลัยหอการค้าไทยรายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือน พ.ย. พบว่าปรับดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ปัจจัยหนุนมาจากผู้บริโภคเริ่มเห็นว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลช่วยผ่อนคลายสถานการณ์เศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้นและการท่องเที่ยวก็เริ่มปรับดีขึ้นหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมที่ภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มคลี่คลาย แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยกดดันมาจากผู้บริโภคมีความรู้สึกว่าเศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้าและรายได้ในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่ด้วยการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นก็มองเป็นบวกเล็กน้อยกับหุ้นในกลุ่มอิงการบริโภค อาทิ ค้าปลีก (BJC CRC CPALL)          ส่วนสหรัฐฯเมื่อคืนรายงานดัชนีราคาผู้ผลิตพบว่าขยายตัว 3%YoY , 0.4%MoM ซึ่งสูงกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ที่ 2.6%YoY ขณะที่ไม่รวมพลังงานและอาหารก็ขยายตัวมากกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ ทั้ง นี้หลังรายงานพบว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯปรับขึ้นและ Dollar Index แข็งค่าอย่างมีนัยยะสำคัญ ด้านเงินบาทกลับมาอ่อนค่าทดสอบระดับ 33.92 บาท / ดอลลาร์สหรัฐฯ โดย CME FED Watch ให้น้ำหนัก 96.7% สำหรับการปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือน ธ.ค. อย่างไรก็ตามกับทั้งปี 25 ให้น้ำหนักลดดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้ง ทั้งนี้ด้วยการปรับขึ้นมาทั้งดัชนีราคาผู้ผลิตและดัชนีราคาผู้บริโภคส่งผลให้ปัจจัยด้านเงินเฟ้อและดอกเบี้ยกลับมาเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอีกครั้งเพราะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของกระแสเงินทุน ด้านการแถลงนโยบาย 100 วันของนายกรัฐมนตรีพบว่าเน้นย้ำเรื่องการแก้ปัญหา PM 2.5 พร้อมเดินหน้ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย โดยเน้นย้ำปี 25 จะให้น้ำหนักกับการลงทุนด้าน AI และ Semiconductor พร้อมเสริมเงิน Digital เฟส 2 ไม่เกินช่วงตรุษจีน          วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1430 – 1450 ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยช่วงปลายปีหนุนจากกระแสเงินทุนภายในประเทศและเศรษฐกิจไทยค่อยๆฟื้นตัว เน้นที่กลุ่มค้าปลีก (BJC CRC CPALL) ศูนย์การค้า (CPN) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) ท่องเที่ยว (AOT CENTEL MINT) คืนนี้ไม่มีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามโดยสัปดาห์หน้ารอติดตามผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯจะเป็นปัจจัยสำคัญส่งท้ายปี CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท) รายงานกำไรงวด 3Q24 ที่ 5.6 พันล้านบาท (+27%YoY) หลังหักรายการพิเศษจะมีกำไรปกติ 6.2 พันล้านบาท (+45%YoY) ดีกว่าที่เราและตลาดคาด 9% หนุนจากยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 ที่เติบโต 3.3%YoY จากยอดขายกลุ่มอาหารพร้อมทานและ Personal Care ที่เติบโตดี รวมกับการเติบโตของกำไรของ CPAXT จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Makro +1.5% และ Lotus’s +2.3%) ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 4Q24 จะเติบโต YoY และ QoQ ต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยว BBL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 168.00 บาท) คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตชะลอตัวที่ 2%/4.3% ในปี 2025-26 ด้าน ROE ปรับลดลงที่ 7.9%/7.8% ในปี 2025-26 จาก 8.1% ในปี 2024 และคาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง 5.3-5.6% ในปี 2024-26 ด้านแนวโน้มผลการดำเนินงานใน 4Q เราคาดกำไรจะลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาลที่ค่าใช้จ่ายการดำเนินงานเพิ่มขึ้น และรายได้ดอกดเบี้ยลดลง แต่กำไรจะปรับสูงขึ้น YoY จากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นหลัก

I2 จัดตั้งบริษัทร่วมทุน ให้บริการด้านความปลอดภัยเทคโนโลยีโซลูชั่นครบวงจร

I2 จัดตั้งบริษัทร่วมทุน ให้บริการด้านความปลอดภัยเทคโนโลยีโซลูชั่นครบวงจร

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายอธิพร ลิ่มเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ ทู เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด (มหาชน) ขอแจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 5/2567 เมื่อ วันที่ 12 ธันวาคม 2567 โดยคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดต่อตลาดหลักทรัพย์ฯได้ เนื่องจากการเข้าทำธุรกรรมการลงทุนยังมีความไม่แน่นอน รวมทั้งบริษัทฯ มีหน้าที่เก็บรักษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมไว้เป็นความลับในระหว่างการเจรจาสัญญาและเงื่อนไขต่างๆ โดยบริษัทฯจะเปิดเผยต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ทันที เมื่อรายละเอียด เงื่อนไขและข้อตกลงของธุรกรรมการลงทุนมีความชัดเจนแน่นอน จึงขอแจ้งรายละเอียดของบริษัทร่วมทุน ดังต่อไปนี้ ชื่อบริษัท อยู่ระหว่างการพิจารณา วันที่คาดว่าจะจดทะเบียนจัดตั้ง ภายในไตรมาส 1 ปี 2568วัตถุประสงค์การจัดตั้ง เพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมจากธุรกิจหลักของบริษัท สร้างพันธมิตรที่ดีทางธุรกิจและโอกาสในธุรกิจด้านความปลอดภัยสารสนเทศ สถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ อยู่ระหว่างการพิจารณา ทุนจดทะเบียน ทุนจดทะเบียน 5,000,000 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญ 50,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท ลักษณะการประกอบธุรกิจ ดำเนินธุรกิจให้บริการด้านความปลอดภัยสารสนเทศ และเทคโนโลยีโซลูชันแบบครบวงจร

คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.85-34.10 บาท/ดอลลาร์

คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.85-34.10 บาท/ดอลลาร์

หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.85-34.10 บาท/ดอลลาร์ ดัชนี PPI สหรัฐพุ่งขึ้น 3% ในเดือนพฤศจิกายน เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธุ์ 2566 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดที่ระดับ 6% ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานสหรัฐเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 242,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25% ตามคาดและส่งสัญญาณปรับลดต่อ

KJL มาร์จิ้นดีด คาดเคาะปันผล 0.33 บาท เป้าปี 68 ที่ 10.90 บ.

KJL มาร์จิ้นดีด คาดเคาะปันผล 0.33 บาท เป้าปี 68 ที่ 10.90 บ.

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (มหาชน) หรือ KJL การคาดการณ์กำไรใน 4Q67 มีโอกาสเติบโตทั้ง QoQ และ YoY เนื่องจากการฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดใน 3Q67 ซึ่งกำไรในไตรมาสนี้อยู่ที่ 43 ล้านบาท ลดลง 13.4% QoQ และ 10.6% YoY จากการแข่งขันในตลาดที่สูงขึ้น และอุปสงค์ที่ลดลงจากการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลที่ล่าช้า อย่างไรก็ตาม จำนวนวันที่ขายสินค้าได้ต่อรอบเพิ่มขึ้นเป็น 31 วันจาก 25 วันใน 4Q66 และระยะเวลาการให้เครดิตลูกหนี้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 93 วันจาก 83 วันใน 4Q66 ซึ่งยังคงอยู่ในระดับที่ไม่สูงเกินไป คาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งจากการเบิกจ่ายงบประมาณที่ไม่ล่าช้า มีออเดอร์หนุนจากการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม และสินค้าที่เน้นราคาเข้าถึงได้มากขึ้น เช่น กล่องพลาสติกกันน้ำ และกล่องเหล็ก รวมถึงสายเคเบิล 5K ที่มีคุณภาพสูง ทนทาน แม้ว่าจะใช้เหล็กที่มีความหนาน้อยลง คาดว่า GPM จะสูงขึ้น และใน 4Q67 ไม่มีค่าใช้จ่ายในการจัดสัมมนาใหญ่เหมือนใน 4Q66 ทำให้กำไรสุทธิในไตรมาสนี้มีแนวโน้มจะอยู่ที่ 50 ล้านบาท (+/-) ซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิเติบโตทั้ง QoQ และ YoY โดยคาดว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลในช่วง 2H67 ที่ 0.33 บาท ซึ่งให้ผลตอบแทน 4.9% ในปี 2568 คาดว่าจะเติบโตใกล้เคียงหรือมากกว่าประมาณการ โดย KJL มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตอีกกว่า 30% เป็น 40 ล้านชิ้น ด้วยการลงทุน 200 ล้านบาท เพื่อรองรับปริมาณความต้องการที่สูงขึ้นจากสินค้าที่ใหม่และกลุ่มลูกค้าที่เพิ่มขึ้นตามแผนขยายโครงข่ายลูกค้าในทุกกลุ่ม KJL ตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนร้านค้าในเครือข่ายเป็น 1,000 ร้านในปีนี้ จาก 800 ร้านในปี 2566 และคาดว่าในปี 2568 จะมีจำนวนร้านค้าในเครือข่ายเพิ่มขึ้นเป็น 1,200 ร้าน ส่วนในกลุ่มช่างไฟ (Tier 3) ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 10,000 คนในปี 2567 และ 15,000 คนในปี 2568 นอกจากนี้ ในปี 2568 KJL ยังมุ่งเน้นเพิ่มสินค้ากลุ่ม Data Center เช่น ตู้ Racks, รางสายไฟ และตู้ไฟสำหรับธุรกิจนี้ ซึ่งมีความต้องการสูงทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ คาดว่าจะมีรายได้ในปี 2568 ที่ 1,400 ล้านบาท ใกล้เคียงกับประมาณการของเรา แต่ตั้งเป้า GPM ที่ 30% ซึ่งสูงกว่าที่คาดไว้ที่ 28% ทำให้มีโอกาสที่กำไรปี 2568 จะเติบโตมากกว่าคาด ราคาหุ้นของ KJL ขณะนี้ค่อนข้างคงที่และไม่แพง โดยซื้อขายด้วย PER ปี 68 ที่ต่ำเพียง 8.2 เท่า และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลต่อปีประมาณ 7.9% จึงแนะนำ "ซื้อ" โดยตั้งราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ที่ 10.90 บาท

TOP โบรกชี้ประท้วงไม่กระทบ เดินตามแแผน-แนะนำ“ซื้อ”

TOP โบรกชี้ประท้วงไม่กระทบ เดินตามแแผน-แนะนำ“ซื้อ”

หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า มีรายงานบริษัทรับเหมาช่วง 28 บริษัทของโครงการพลังงานสะอาด (CFP) เดินทางมารวมตัวกันบริเวณด้านหน้าสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย (สถานทูตเกาหลีใต้) เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้แก้ปัญหาการค้างชำระค่าจ้างที่เกิดขึ้นจากผู้รับเหมากลุ่มหลักกิจการร่วมค้า UJV ซึ่งนำโดยบริษัท Samsung E&A (Thailand) Co.,Ltd. ร่วมกับ Petrofac South East Asia Pte. Ltd. และ Saipem Singapore Pte. Ltd. ทั้งนี้ หากภายในสิ้นปีนี้ยังไม่ได้รับคำตอบกลุ่มผู้รับเหมาช่วงจะนำพนักงานไปเรียกร้องที่บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) (PTT) ภายในสัปดาห์แรกของปี 2025 และขอแนวทางแก้ไขจาก TOP ด้วย โดยผู้รับเหมาช่วงอ้างว่า UJV ค้างชำระค่าจ้างเป็นระยะเวลา 10 เดือน สร้างความเสียหายกว่า 7.0 พันล้านบาทแล้ว นอกจากนี้ ผู้รับเหมาช่วงมีแผนที่จะไปขอความเป็นธรรมกับสถานทูตของอีก 2 ผู้ถือหุ้นด้วย (ที่มา: ข่าวหุ้น) มีมุมมองเป็นกลางต่อข่าวนี้ โดยเรามองว่าการประท้วงที่สถานทูตไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อแนวทางแก้ปัญหาอย่างมีนัยสำคัญ          อย่างไรก็ดี TOP ได้แจ้งก่อนหน้านี้ว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในส่วนของแนวทางการแก้ปัญหานี้ในต้นปี 2025 สำหรับภาพรวมธุรกิจระยะสั้นใน 4Q24E เชื่อว่าบริษัทจะกลับมารายงานกำไรปกติได้ใน 4Q24E หนุนโดยการฟื้นตัวของค่าการกลั่นตลาด (market GRM) และผลขาดทุนจากสต๊อก (stock loss) ที่ลดลง ทั้งนี้ ยังคงประมาณการกำไรสุทธิ 2024E ที่ 9.7 พันล้านบาท (-50% YoY) อย่างไรก็ดี แม้ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" ที่ราคาเป้าหมายที่ 55.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.70x (ประมาณ -1.5SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง) แต่สำหรับภาพระยะสั้นจนกว่าจะมีความชัดเจนในเรื่องนี้ เราแนะนำให้ลงทุนใน SPRC (ซื้อ/เป้า 8.50 บาท) แทนก่อนการฟื้นตัวที่เป็นไปได้ของผลประกอบการ 4Q24E

PCC แจ้งเซ็นสัญญาการไฟฟ้านครหลวง 19.77 ล้านบาท

PCC แจ้งเซ็นสัญญาการไฟฟ้านครหลวง 19.77 ล้านบาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายกิตติ สัมฤทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) หรือ PCC ขอแจ้งให้ทราบว่า บริษัท พรีไซซ ซิสเท็ม แอนด์ โปรเจ็ค จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้น ร้อยละ 99.96 ได้ลงนามในสัญญา ซื้อ TOU Meter with RS232 port, 50(150) A, 230/400 V 3 Phase 4 Wire จํานวน 3,300 เครื่อง ด้วยวิธีคัดเลือก กับ การไฟฟ้านครหลวง เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2567 มูลค่าสัญญารวม 19,773,600.00 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ) ทั้งนี้ มีกําหนดการส่งมอบเป็น 2 งวด ภายใน 180 วัน นับถัดจากวันลงนามในสัญญา โดยมีเงื่อนไขการชําระเงิน ตามงวดงานที่ส่งมอบ

สถาบัน-วายุภักษ์ หนุน SET โบรกแนะลงทุนหุ้นตัวไหนเช็กเลย!

สถาบัน-วายุภักษ์ หนุน SET โบรกแนะลงทุนหุ้นตัวไหนเช็กเลย!

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. พาย ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1440 – 1455 ยังคงคาดหวังแรงหนุนจากสถาบันในประเทศต่อเนื่องหลังจากวันจันทร์ที่ผ่านมาซื้อสุทธิ 1.2 พันล้านบาทรวมแล้วช่วง 6 วันทำการที่ผ่านมาซื้อสะสม 1.07 หมื่นล้านบาทและเชื่อว่าจะซื้อต่อเนื่องตามเม็ดเงินลดหย่อนภาษีพร้อมกับการเข้าซื้อจากวายุภักษ์ หนุนให้ SET ยังน่าจะค่อยๆปรับขึ้นได้ เมื่อพิจารณาเศรษฐกิจไทยแล้ว Bloomberg Consensus ประเมินว่าจะขยายตัว 3.7%YoY ในช่วง 4Q24 เร่งขึ้นจาก 3Q24 ที่ 3%YoY ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังแนะเก็งกำไรในกลุ่มท่องเที่ยว (AOT CENTEL MINT) ปัจจัยหนุนฤดูกาล กลุ่มค้าปลีก (BJC CRC CPALL) ศูนย์การค้า (CPN) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) CPN (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 87.00 บาท)            CPN มีกำไรสุทธิงวด 3Q24 ที่ 4,126 ล้านบาทดีกว่าที่เราคาดไว้ 5% โดยทรงตัวจากปีจากผลดีของกำไรขั้นต้นที่ปรับตัวดีขึ้นหลังจากรายได้จากยอดขายสาขาเดิมเพิ่มขึ้นได้กว่า 7% แต่ลดลง 9%QoQ มีปัจจัยลบจากผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามากว่า 340 ล้านบาท และยอดโอนอสังหาริมทรัพย์ลดลง สำหรับแนวโน้มช่วง 4Q24 เรายังมีมุมมองเดิมที่คาดว่าในแง่รายได้จะกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง CRC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 40.00 บาท)            รายงานกำไรสุทธิ 3Q24 ที่ 2.1 พันล้านบาท (+86%YoY) หลังตัดรายการพิเศษจะมีกำไรปกติที่ 1.6 พันล้านบาท (+24%YoY, +1%QoQ) ดีกว่าที่เราและ BB consensus คาด 17% ทำให้กำไร 9M24 คิดเป็น 68% ของประมาณการกำไรปี2024 กำไร 3Q24 ที่โต YoY มาจากรายได้จากการส่งเสริมการขายที่เพิ่มขึ้น การควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดี บวกกับอัตราภาษีจ่ายที่ลดลง แม้ว่าการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่ -3%YoY (ไทย -2%, เวียดนาม -6%, อิตาลี -4%) ขณะที่แนวโน้มช่วง QTD ของ 4Q24 มีทิศทางการฟื้นตัวและพลิกกลับมาเป็นบวกได้ในช่วง 10 วันของเดือนพ.ย. 2024

นโยบายรัฐหนุนพลังงานฟื้น หุ้นไหนรับอานิสงส์ เช็กด่วน!

นโยบายรัฐหนุนพลังงานฟื้น หุ้นไหนรับอานิสงส์ เช็กด่วน!

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดนโยบายรัฐจะเข้ามาหนุนการฟื้นตัวในปี 2568 แนวโน้มกำไร 4Q67 ของกลุ่มโรงไฟฟ้ายังสามารถเติบโต YoY ได้ต่อเนื่อง เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 4Q67 ของกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ระดับ 1.2 หมื่นล้านบาท ลดลง 29% QoQ หลังถูกกดดัน จาก 1) ปัจจัยฤดูกาลของโรงไฟฟ้า IPP (ในช่วงปลายปี โรงไฟฟ้า IPP มักได้รับค่าความพร้อมจ่ายครบตาม สัญญากับ กฟผ. ตั้งแต่ช่วงปลายเดือน พ.ย. - กลางเดือน ธ.ค. ท าให้มีรายได้จากส่วนดังกล่าวน้อยกว่าไตรมาสอื่น 2) ต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นเล็กน้อย QoQ ตามปัจจัยฤดูกาลส่งผลให้อัตราการทำกำไรของโรงไฟฟ้า SPP มีโอกาสลดลง QoQ 3) ปัจจัยฤดูกาลของโครงการน้ำในลาว และ 4) การปิดซ่อมโรงไฟฟ้าบางส่วน อย่างไรก็ตามคาดกำไรปกติของกลุ่มฯ สามารถเติบโต 44% YoY จากฐานที่ต่ำในปีก่อน ตามการรับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรจากโครงการใหม่ที่เข้าลงทุนหรือ COD ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา (เช่น โรงไฟฟ้าGPD หน่วยที่ 3 และ 4, โรงไฟฟ้าหินกองหน่วยที่ 1 และโรงไฟฟ้าถ่านหิน Paiton หน่วยที่ 3, 7 และ 8)และต้นทุนพลังงาน (ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ) ที่ลดลง YoY           คาดกำไรปกติปี 2568 ของกลุ่มฯ ที่ 5.7 หมื่นล้านบาท เติบโต 11% YoY จาก 1) กำไรของหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP (GPSC, BGRIM) ที่คาดเติบโต YoY ตามทิศทางต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลง (ผลจากการ เริ่มส่งออก LNG ที่มากขึ้นและเศรษฐกิจโลกที่เริ่มชะลอตัว) 2) การเริ่มรับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรจากโครงการใหม่ เช่น โรงไฟฟ้าหินกองหน่วยที่ 2 (GULF, RATCH), โครงการลม Monsoon (BCPG), โครงการลมในเกาหลี (BGRIM) และโรงไฟฟ้า Paiton (RATCH, รับรู้แบบเต็มปีเป็นปีแรก) และ 3)อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เริ่มปรับตัวลงส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินโดยรวมลดลง           ความชัดเจนของนโยบายรัฐในปี 2568 จะเข้ามาหนุนการฟื้นตัวแม้ในปัจจุบันการเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรอบ 2.2GW (เปิดให้ผู้ที่ไม่ได้รับคัดเลือกในรอบ 5.2GW ยื่นเสนอขายอีกครั้ง) ยังคงมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับกำหนดการประกาศรายชื่อผู้ได้รับคัดเลือก (รมว. พลังงานมีค าสั่งให้ชะลอการรับซื้อรอบดังกล่าว, ปัจจุบัน กบง. อยู่ระหว่างการปรับปรุงหลักเกณฑ์การคัดเลือกและการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด) แต่คาดในปี 2568 ภาครัฐจะมีการเปิดเผยแผนหรือนโยบายเกี่ยวกับการสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับ           แนวทางในการมุ่งสู่ Net Zero ภายในปี 2608 และการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากบริษัทต่างชาติและ อุตสาหกรรม Data Center และ Cloud ซึ่งมีความต้องการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสูง โดยเบื้องต้นคาดแผน PDP ฉบับใหม่ (ปัจจุบันอยู่ระหว่างการปรับปรุงร่างฯ) และมาตรการสนับสนุนการติดตั้ง Solar Rooftop จะมีความชัดเจนมากขึ้นภายในช่วง 1H68และ 2H68 ตามลำดับ ขณะที่การออกกฎเกณฑ์ สำหรับการซื้อขายพลังงานโดยตรง (Direct PPA) คาดมีความชัดเจนในช่วงปลายปี 2568 เป็นอย่างเร็ว ให้ GPSC และ BGRIM เป็ น Top Picks ส าหรับการลงทุนในกลุ่มโรงไฟฟ้าในปี 2568           ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มโรงไฟฟ้าสำหรับปี 2568 ที่ “มากกว่าตลาด” จากการเข้าสู่รอบของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางทั่วโลก และต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่มีแนวโน้มลดลงหลัง ปริมาณการส่งออก LNG ของสหรัฐฯ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยให้ GPSC ([email protected]) และ BGRIM ([email protected]) เป็น Top Picks จากกำไรที่คาดเติบโต YoY ได้ต่อเนื่องจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลงและการ COD โครงการใหม่ในต่างประเทศ (โครงการแสงอาทิตย์ในอินเดียของ GPSC และ โครงการลมในเกาหลีใต้ของ BGRIM) รวมถึงปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเพิ่มขึ้น จากการย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการต่างชาติและการเติบโตของอุตสากรรม Data Center

TACC ร่วมงาน Warbie's Whimsical Holiday

TACC ร่วมงาน Warbie's Whimsical Holiday

หุ้นวิชั่น - คุณสุวีรยา อังศวานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานบริหารคู่ค้า และธุรกิจลิขสิทธิ์ บริษัท ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) (TACC) ถ่ายภาพร่วมกับ คุณแซมมี่ คาโรลุส ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท และคุณอณิตา ตันติศิรินทร์ ศิลปินชาวไทยที่สร้างสรรค์คาแร็คเตอร์ Warbie Yama เนื่องในโอกาสเข้าร่วมงาน Warbie's Whimsical Holiday ต้อนรับเทศกาลแห่งความสุขไปพร้อมกับเจ้านกเหลืองจอมกวน นำเสนอประสบการณ์การพักผ่อนในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีกับครั้งแรกของห้องพักสำหรับครอบครัวในธีม “วอร์บี้ ยามะ” ที่จะพาแฟน ๆ ปลดปล่อยจินตนาการ พร้อมสนุกไปกับการพักผ่อนภายในห้องพักที่อัดแน่นไปด้วยความน่ารักและอบอุ่น เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย นอกจากนี้ ยังมีสินค้าลิขสิทธิ์แท้จากทางวอร์บี้ ยามะ พร้อมสินค้ารุ่นลิมิเต็ดสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับโปรโมชั่น Warbie's Whimsical Holiday เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นผ้าห่ม พวงกุญแจ พรม โปสการ์ด สติ๊กเกอร์ และผ้าปิดตา มาร่วมสร้างความทรงจำอันแสนพิเศษที่เต็มไปด้วยความสุขไปพร้อมกัน ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 ที่โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้น ณ โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท เมื่อเร็วๆ นี้

เลือกเลือกหุ้นปัง ถือข้ามปี | จัดเต็มการลงทุน

เลือกเลือกหุ้นปัง ถือข้ามปี | จัดเต็มการลงทุน

https://www.youtube.com/watch?v=6SsRfydCjEY เลือกเลือกหุ้นปัง ถือข้ามปี | จัดเต็มการลงทุน ติดตามรายการ จัดเต็มการลงทุน ทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 9.00-9.30 น. ทาง ททบ.5 #

CGSI ชี้หุ้นไทยครึ่งปีแรก 68 ไหว…ไม่ไหว เช็กดู!

CGSI ชี้หุ้นไทยครึ่งปีแรก 68 ไหว…ไม่ไหว เช็กดู!

          หุ้นวิชั่น - ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งปีแรก 68 ยังไม่คึกคัก เชื่อว่านักลงทุนต้องการรอดูท่าทีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯจะปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนและประเทศอื่นๆครั้งใหญ่หรือไม่ นอกจากนี้ นายทรัมป์อาจมีมาตรการลดภาษีให้กับคนอเมริกัน ซึ่งจะช่วยหนุนตลาดหุ้นสหรัฐ จึงเชื่อว่าสถานการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลให้เงินลงทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไทย           ทั้งนี้ นโยบายเศรษฐกิจของนายทรัมป์ ยังอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯลดลงช้ากว่าที่ตลาดคาดการณ์ ซึ่งปัจจุบัน Bloomberg คาดว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 75bp เป็น 3.75% ภายในสิ้นปี 68 ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI จึงคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งเดียวในปี 68 เป็น 2.00% จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.25%           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI เชื่อว่า รัฐบาลไทยจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อลดผลกระทบจากปัจจัยลบภายนอก ประกอบด้วย โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 2 ที่รัฐจะแจกเงินให้คนไทยที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปในเดือนม.ค.68 ซึ่งตามรายงานข่าวระบุว่ารัฐบาลคาดว่าจะแจกเงินเฟส 2 ราว 4 หมื่นล้านบาท, มีแผนจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานภายในเดือนก.ย.68 เพื่อซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ, มีแผนปรับโครงสร้างหนี้ที่มีปัญหาหรือหนี้ที่ค้างชำระไม่เกิน 1 ปีในกลุ่มสินเชื่อบ้าน สินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อ SME ซึ่งมีมูลค่ารวม 1.3 ล้านล้านบาท, มีแผนปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาท/วัน เป็นต้น           สำหรับสถานการณ์การเมืองของไทยนั้น พรรคเพื่อไทยและน.ส.แพทองธาร ชินวัตรถูกยื่นคำร้องมากกว่า 10 คำร้อง ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI เชื่อว่ารัฐบาลจะไม่ได้รับผลกระทบ เพราะนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย แม้จะดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ดังนั้นหากประเมินในกรณีแย่สุดคือ พรรคเพื่อไทยถูกยุบพรรค สมาชิกพรรคที่ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค ก็ยังสามารถย้ายไปสังกัดพรรคใหม่ได้           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า จากปัจจัยลบภายนอกที่ไม่สดใส จึงมองว่าหุ้น Domestic play และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า จึงชอบกลุ่มอุปโภคบริโภค, กลุ่มค้าปลีก, กลุ่มการแพทย์, กลุ่มธนาคารและกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ขณะที่แนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนกลุ่มน้ำมันและก๊าซ, กลุ่มปิโตรเคมีและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์           โดยคาดว่า EPS ของตลาดหุ้นไทยจะเติบโต 3% yoy ในปี 67 และโต 11% ในปี 68 ขณะที่ยังคงเป้าดัชนี SET สิ้นปี 68 อยู่ที่ 1,630 จุด ซึ่งเท่ากับ P/E 16 เท่าในปี 68 หรือ -0.75SD ของค่าเฉลี่ยห้าปี โดยมีหุ้น Top pick คือ AMATA, BCH, CBG, CPN, CRC, MTC และ SCB           ทั้งนี้ ธีมหุ้นการลงทุนในปีหน้ามี 6 ธีมได้แก่ ธีมหุ้น ESG จะเป็นที่ต้องการมากขึ้นจากกองทุน Thai ESG (TESG) , ธีมหุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เชื่อว่ากลุ่มค้าปลีก กลุ่มธนาคาร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและกลุ่มสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค และกลุ่ม Home improvement น่าจะได้ประโยชน์จากโครงการนี้, ธีมหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก FDI , ธีมหุ้นสถานบันเทิงครบวงจร , ธีมหุ้นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และธีมหุ้น Value play           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI มอง Upside risk ตลาดหุ้นไทยปี 68 จะมาจากการที่เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวแข็งแกร่งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและยอดส่งออกที่เติบโตสูงกว่าคาด ขณะที่ Downside risk จะมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น, ความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์สูงขึ้น, การปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งในและต่างประเทศช้ากว่าคาดและเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไทย

อินโนเวสท์ เอกซ์ ล็อกเป้าลงทุน คัดธีมหุ้นเด่น เช็กด่วน!

อินโนเวสท์ เอกซ์ ล็อกเป้าลงทุน คัดธีมหุ้นเด่น เช็กด่วน!

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวผันผวน โดยปัจจัยในประเทศยังค่อนข้างจำกัด ขณะที่ยังต้องติดตามนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก กลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 1 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้ หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคและท่องเที่ยวแนะนำกลุ่มพาณิชย์: CPALL, CPAXT, CRC, HMPRO, TNP และกลุ่มท่องเที่ยว: AWC, AOT, MINT หุ้น Earnings Play ซึ่งมองว่ามีโมเมนตัมกำไรใน 4Q67 จะเติบโตดีทั้ง YoY และ QoQ อีกทั้งเราแนะนำ Outperform เลือก: GULF, OSP, AMATA, AU, TIDLOR, BCP หุ้นที่จ่ายปันผลสูงและคาดได้อานิสงส์จากการเป็นเป้าหมายสะสมของกองทุนวายุภักษ์และกองทุนที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีช่วงปลายปี อาทิ SSF, RMF และ THAIESGแนะนำหุ้น SET100 ที่คาดให้ Dividend Yield ขั้นต่ำปีละ 3.5% และมี ESG Rating สูงตั้งแต่ระดับ AA-AAA และ CG ระดับ 5 ดาว อีกทั้งมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตได้ในปี 2025 ได้แก่ BBL, ADVANC, HMPRO            Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจเก็งกำไรหุ้นที่ Laggard ซึ่งมีเทคนิคมีแนวโน้มฟื้นตัว อาทิ BEM, BDMS, MINT, AP / หุ้นที่คาดมีโอกาสเข้าคำนวณ SET50 ในงวด 1H68 อาทิ BANPU, CCET, COM7 / หุ้นที่ได้อานิสงส์บวกจากสถานการณ์น้ำท่วมใต้ แนะนำ HMPRO, CPALL และ TASCOขณะที่ระมัดระวังการลงทุนสำหรับหุ้นกลุ่มยานยนต์และกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่โมเมนตัมกำไรใน 4Q67 ยังอ่อนแอ

KGI อัพเป้ากำไร SUN ชน 330ล.ปันผลสูง 6.5% แนะ

KGI อัพเป้ากำไร SUN ชน 330ล.ปันผลสูง 6.5% แนะ"ซื้อ" เป้า 5.15บ.

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ปรับประมาณการกำไร SUN โรงงาน RTE ใหม่จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตรายได้ปี 2568F โรงงานกลุ่มสินค้าพร้อมทาน (RTE) แห่งใหม่ซึ่งกำหนดจะเริ่มดำเนินการใน 1Q68 จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตหลักของ SUN ในปี 2568 โดยที่กำลังการผลิตกลุ่มสินค้าพร้อมทานจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าสู่ 3.0 แสนชิ้นต่อวัน จากปัจจุบันที่ 1.5 แสนชิ้นต่อวัน ซึ่งปัจจุบันนี้ได้ดำเนินการเต็มกำลังการผลิตแล้ว          นอกจากนี้ SUN วางแผนที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ในปีหน้าอีกด้วย จากที่มี 15 SKUs ในปัจจุบันที่วางขายในร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ซึ่งจะรวมถึงการเปิดตัวผลิตภัณฑ์กลุ่มสินค้าพร้อมทานต่าง ๆ ที่มีอายุการเก็บที่ยาวนานขึ้นเพื่อมุ่งเป้าไปที่การขายในต่างประเทศ ทั้งนี้ประเมินว่ารายได้ของกลุ่ม RTE จะเติบโตราว 43% ในปี 2568F และ 22% ในปี 2569F ความร่วมมือกับเต็ดตราแพ็ค (Tetra Pak) เป็นตัวเร่งการเติบโตใหม่ SUN ได้เข้าเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ระยะยาว 8 ปีกับบริษัทเต็ดตราแพ็ค (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำของโลกด้านโซลูชันกระบวนการผลิต การบรรจุและบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อผลิตข้าวโพดหวานในบรรจุภัณฑ์กระดาษโดยที่ภายใต้ข้อตกลงนี้ทางเต็ดตราแพ็คจะจัดหาบรรจุภัณฑ์กระดาษและให้ยืมใช้เครื่องจักรสำหรับสายการผลิตใหม่ด้วยกำลังการผลิตราว 35-40 ล้านชิ้นต่อปี          ขณะที่ สายการผลิตดังกล่าวนี้คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในเดือนตุลาคม 2568 มองว่าความร่วมมือนี้เป็นตัวหนุนของการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญต่อ SUN ขณะที่ใช้เงินลงทุนน้อยมาก ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่บรรจุในกล่องกระดาษนี้มีอุปสงค์อย่างมากจากกลุ่มลูกค้าปัจจุบันของ SUN โดยที่ประเมินว่าโครงการนี้จะสร้างรายได้ประมาณ 75 ล้านบาทในปี 2568F และเติบโตโดดเด่นในปีถัดไป ฝ่ายวิเคราะห์ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2567F ขึ้นเล็กน้อยที่ 3% อยู่ที่ 330 ล้านบาท สะท้อนถึงประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้นของ SUN และการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ราว 0.7ppts อยู่ที่ 21.9% ขณะที่ กำลังการผลิตส่วนเพิ่มจากโรงงาน RTE ใหม่และความร่วมมือกับเต็ดตราแพ็คคาดว่าจะผลักดันยอดขายให้เติบโตได้ราว 17-18% ต่อปีในปี 2568F-2569F อย่างไรก็ตามเมื่อคำนึงถึงแรงกดดันที่อาจเกิดจากค่าเงินบาทแข็งค่าและการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ประมาณการค่อนข้างอนุรักษ์นิยมว่า GPM จะลดลงอยู่ที่ 20.8% ในปี 2568F ดังนั้นคาดว่ากำไรสุทธิของ SUN จะเติบโตปานกลางราว 10% เป็น 363 ล้านบาทในปี 2568F ก่อนที่จะเร่งโตขึ้น 20% (435 ล้านบาท) ในปี 2569F          ฝ่ายวิเคราะห์คงให้คำแนะนำซื้อหุ้น SUN หลังจากผ่านพ้น 4Q67 ที่เป็นช่วง low season ของการส่งออกแล้ว คาดว่าวัฏจักรการเติบโตรอบใหม่น่าจะเริ่มใน 1Q68 เพราะฉะนั้น ฝ่ายวิเคราะห์ได้ปรับ PER ของ SUN ใหม่ขึ้นเป็น 11x (เฉลี่ย PER ระยะยาว) และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายขึ้นใหม่ที่ 5.15 บาท จากเดิม 4.68 บาท (PER ที่ 10x) นอกจากนี้ คาดว่า SUN จะให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลจูงใจราว 6.5% ในปี 2567F และ 7.1% ในปี 2568F ซึ่งตอกย้ำความน่าสนใจในการลงทุน เป้าปี 2568 ที่ 5.15 บาท

ตลท.ขอ EE ชี้แจงแผนลงทุนธุรกิจ Tech พร้อมเตือนนักลงทุนศึกษาข้อมูลรอบคอบ

ตลท.ขอ EE ชี้แจงแผนลงทุนธุรกิจ Tech พร้อมเตือนนักลงทุนศึกษาข้อมูลรอบคอบ

          หุ้นวิชั่น - ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ EE ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมและขอให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลด้วยความระมัดระวังก่อนตัดสินใจลงทุน กรณีบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงธุรกิจและอำนาจควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ ตามที่วันที่ 4 ธันวาคม 2567 บริษัท อีเทอร์นัล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน) (EE) ได้แจ้งสารสนเทศสำคัญมายังตลาดหลักทรัพย์ฯ ดังนี้ 1. มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นนายพนธ์ธวัช นาควัชรสิทธิ์ ซึ่งเข้ามาถือหุ้น EE ในสัดส่วน 57.81% และมีหน้าที่ต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่ราคาหุ้นละ 0.14 บาท 2. คณะกรรมการบริษัทมีมติให้เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อพิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุน 2,720 ล้านหุ้น (49.45% ของทุนชำระแล้วภายหลังการเพิ่มทุน) ราคาเสนอขายหุ้นละ 0.19 บาท เป็นเงิน 517 ล้านบาท เพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement: PP) 5 ราย ซึ่งเป็นจำนวนที่มีนัยสำคัญ เนื่องจากกระทบต่อสิทธิออกเสียงของผู้ถือหุ้น (Control Dilution) มากกว่า 25% โดยมีวัตถุประสงค์นำเงินเพิ่มทุนไปใช้ลงทุนในธุรกิจอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและสารสนเทศ (ธุรกิจ Tech) ซึ่งบริษัทคาดว่าจะมีผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ไม่น้อยกว่า 12% แต่บริษัทยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนและธุรกิจดังกล่าวเป็นธุรกิจของบริษัทจดทะเบียน (รายละเอียดตามข่าวของ EE วันที่ 4 ธันวาคม 2567) จากรายการข้างต้นส่งผลให้ EE มีการเปลี่ยนแปลงทั้งธุรกิจและอำนาจควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ โดยธุรกิจใหม่มีความเสี่ยงที่แตกต่างจากธุรกิจปัจจุบันของบริษัทซึ่งเป็นธุรกิจการเกษตร บริษัทคาดว่าจะลงทุนภายในปี 2568 และมีผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ไม่น้อยกว่า 12% จึงเป็นข้อมูลสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุน

JPARK ลุ้นขยายช่องจอดเกินเป้า ชูพิกัด 10.7 บาท

JPARK ลุ้นขยายช่องจอดเกินเป้า ชูพิกัด 10.7 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด คาด JPARK มีโอกาสขยายจำนวนช่องจอดเกินเป้า JPARK รายงานผลประกอบการ 3Q67 มีกำไรสุทธิ 91.5 ล้านบาท ปรับตัวขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเพียง 22.2 ล้านบาท (+312% YoY) โดยรายได้จากการให้บริการชะลอตัวลง 28% YoY จากการลดลงของรายได้ธุรกิจให้คำปรึกษาและรับติดตั้งระบบบริหารจัดการพื้นที่จอดรถ (CIPS) ตามการรับรู้งานช่วงสุดท้ายของโครงการรถไฟฟ้า Smart Parking Management System และ Guidance System ซึ่งส่งผลให้ GPM รวมลดลงเหลือ 22.4% จากปีก่อนที่ 24.9% แต่รับรู้กำไรจากการให้เช่าช่วง 30 ปีในงวดราว 95 ล้านบาท และหลังจากนี้ตลอด 30 ปีจะทยอยรับรู้ค่าเช่าที่ได้รับในแต่ละเดือนเป็น Incurring Income จนกว่าสัญญาจะสิ้นสุด          ด้านเป้าหมายที่จะขยายจำนวนช่องจอดเป็น 40,000 ช่องจอดภายในสิ้นปี 67 (+30% YoY) มีโอกาสทำได้เกินเป้า หลังได้เปิดให้บริการอาคารจอดรถกาญจนสุขและพื้นที่เชิงพาณิชย์ของโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าอย่างเป็นทางการ ทำให้ปัจจุบันมีจำนวนช่องจอดรถรวม 38,494 ช่องจอด ขณะที่ผู้บริหารมีแผนการขยายการบริหารจัดการลานจอดรถให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในทำเลที่มีศักยภาพสูง เช่น พื้นที่สนามบิน โรงพยาบาล อาคารสำนักงาน โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลัก ๆ คือการเพิ่มขึ้นของจำนวนรถยนต์อย่างต่อเนื่อง           ส่วนเป้าหมายในปี 68 ตั้งเป้ารายได้แตะระดับ 800 ล้านบาท ผ่านการขยายตัวของช่องจอดรถอีก 10,000 ช่องจอด รวมเป็น 50,000 ช่องจอด และแนวโน้มการรับรู้รายได้ธุรกิจ CIPS อีกประมาณ 100 ล้านบาท

OPEC+ เลื่อนเพิ่มกำลังผลิต ลดความเสี่ยงผลกระทบซบเซา

OPEC+ เลื่อนเพิ่มกำลังผลิต ลดความเสี่ยงผลกระทบซบเซา

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) น้ำมันดิบ Brent -0.06% d-d ปิดที่ USD 72.27/barrel น้ำมันดิบ West Texas -0.35%d-d ปิดที่ USD 68.3/barrel ผลประชุม OPEC+ สอดคล้องกับตลาดคาด โดยมีการเลื่อนการเพิ่มกำลังการผลิตออกไปถึง ก.ย. 26 ลดความเสี่ยงผลกระทบความต้องการที่ยังซบเซาต่อราคา

ราคาทองเช้าวันนี้ ปรับลงร่วง 350 บาท

ราคาทองเช้าวันนี้ ปรับลงร่วง 350 บาท

          หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่ 6 ธันวาคม 2567 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาปรับลง 350 บาท ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 42,350.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 42,450.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 41,583.88 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 42,950.00 บาท

KISS ปันผลระหว่างกาล 0.15 บ. กำหนดจ่าย 30 ธ.ค. 67

KISS ปันผลระหว่างกาล 0.15 บ. กำหนดจ่าย 30 ธ.ค. 67

          หุ้นวิชั่น - บริษัท โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (KISS) ขอแจ้งมติที่คณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 7/2567 (“ที่ประชุม”) เมื่อวันอังคารที่ 3 ธันวาคม 2567 เวลา 11.00 น. ซึ่งมีมติที่สำคัญดังนี คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไรสะสมของบริษัท ณ วันสิ้นสุดวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท สำหรับหุ้นสามัญของบริษัทฯ จำนวน 600,010,000 หุ้น คิดเป็นเงินปันผลรวมทั้งสิ้น 90,001,500 บาท โดยกำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 17 ธันวาคม 2567 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2567 โดยกำไรสะสมของบริษัท ณ วันสิ้นสุดวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 มาจากกำไรสะสมของบริษัทฯ และเงินปันผลจากบริษัท ไฮไบโอไซ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ (บริษัทฯ ถือหุ้นร้อยละ 100) ซึ่งมีการประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567

MOSHI ค้าปลีกโตเด่น SSSG-สาขาใหม่หนุน เป้า 64 บาท

MOSHI ค้าปลีกโตเด่น SSSG-สาขาใหม่หนุน เป้า 64 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MOSHI **Positive view from Company update**          **SSSG พ.ย.** เร่งตัวขึ้นเป็น +23% y-y และ QTD +26% y-y เทียบกับ 3Q24 ที่ +5.7% y-y ดีขึ้นกว่าช่วงต้นเดือนพ.ย. ที่บวก Mid teen y-y และกรณีไม่รวม collection NCT Dream ซึ่งสำเร็จมากในต.ค. และยังมีขายต่อในพ.ย. SSSG พ.ย. บวก +20% y-y ดีขึ้นจากต.ค. ที่ +12-13% y-y โดยเป็นผลทั้งจาก 1) การปรับ Display ดึงจุดเด่นการมองเห็นสินค้าไปในราว 70 สาขา (น้ำหอม, ก้านหอม, เครื่องเขียน, กลุ่มเครื่องประดับ ฯลฯ) 2) จำนวนวันเสาร์-อาทิตย์ของพ.ย. ปีนี้มี 9 วัน เทียบกับปีที่แล้ว 8 วัน 3) การเพิ่มจำนวนสินค้าและเพิ่มยอดขายต่อตร.ม. ให้สูงขึ้น           **เพิ่มจำนวนสินค้า + เพิ่มสินค้า High value**: SSSG ที่เริ่มเห็นโมเมนตัมบวก ฟื้นจาก -8.5% y-y ใน 2Q24 ที่มีปัญหาสินค้าขาดแคลนชั่วคราว มาบวก 5.7% y-y ใน 3Q24 และดีต่อถึงพ.ย. มองกลยุทธ์ที่น่าสนใจในการผลักดัน SSG นอกจากแผนเพิ่มจำนวนสินค้าใหม่ๆ ที่มากกว่าปกติราว 20% จาก 1 หมื่นเป็น 1.2 หมื่น SKUs บริษัทยังทำงานเชิงลึก พัฒนากำไรต่อพื้นที่ให้สูงขึ้น ลดสินค้ากลุ่ม Low value กลุ่มกำไรต่ำ และทยอยเพิ่มสินค้ากลุ่ม High value ที่เราเห็นในร้านคือ กลุ่มของเล่น ที่มีสินค้า High value เพิ่มทั้งของเล่นทั่วไปและ Art toy รวมถึงปรับปรุงวัสดุผลิตภัณฑ์/การออกแบบของแต่ละกลุ่มสินค้าให้ดูตอบโจทย์เพิ่ม ทั้งผ่านการเพิ่มพื้นที่ขายและผ่าน Display ใหม่ และโดยรวมยังคุม Position ของร้านค้าที่มีสินค้าราคาย่อมเยา เข้าถึงผู้บริโภคได้            **การแข่งขันยังจำกัดมาก**: หลัง KKV สาขาแรกเปิดตัว 31 ต.ค. ที่เดอะมอลล์ บางกะปิ บริษัทเผยว่า ยอดขายสาขานี้ยังดีมาก ไม่เห็นผลกระทบ โดยยอดขายช่วงแรกบวก 8% y-y และเพิ่มเป็น 13% ช่วงปลายพ.ย. และล่าสุด KKV พึ่งเปิดเพิ่มอีก 3 สาขา 28 พ.ย. (เดอะมอลล์ ท่าพระและงามวงศ์วาน และเทอร์มินัล พระราม 3) โดยยอดขาย 3 สาขานี้ของ MOSHI หลัง KKV เปิดยังบวก 20% ทั้งนี้ได้สำรวจ 3 ใน 4 สาขาของ KKV พบว่า สาขาบางกะปิ ลูกค้าหนาแน่นสุด ส่วนสาขาเดอะมอลล์ ท่าพระ และเทอร์มินัล คนน้อยกว่าบางกะปิมาก และค่อนข้างยืนยันภาพการแข่งขันยังจำกัดมาก โดยรวมลูกค้าส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักแบรนด์เลยเน้นซื้อขนมทั่วไป ซึ่งไม่ใช่สินค้าทับซ้อนหลักกับ MOSHI เชื่อว่าคู่แข่งยังต้องใช้เวลาในการสร้างแบรนด์ รวมถึงต้องปรับรูปแบบสินค้าและราคาให้ตอบโจทย์ผู้บริโภค ขณะที่ MOSHI ปรับตัวล่วงหน้าแล้ว ทั้งเพิ่มกลุ่มสินค้า Exclusive/ปรับ Display/การเตรียมทำร้านใหญ่ขึ้น และการเร่งขยายสาขาปีหน้า 40 แห่ง **ความเห็นและคำแนะนำ**            ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมอง “Positive” และคงกำไรปี 2024F ที่ 495 ลบ. (+23% y-y) และ 622 ลบ. (+26% y-y) และเริ่มมี Upside ราว 4% จาก SSSG 4Q24 ที่ดีกว่าคาด มองเป็นหุ้นในกลุ่มค้าปลีกที่แนวโน้มยังเด่นทั้งระยะสั้น และโอกาสเติบโตระยะกลางยาว ทั้งองค์ประกอบ SSSG และสาขาใหม่ มอง TP 25F (DCF) 64.00 บาท

CPALL คาด Q4 รายได้พุ่ง อานิสงส์ไฮซีซันท่องเที่ยว-การบริโภคในประเทศ

CPALL คาด Q4 รายได้พุ่ง อานิสงส์ไฮซีซันท่องเที่ยว-การบริโภคในประเทศ

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.เอเอสแอล ระบุแนวโน้ม 4Q24F เป็นช่วงพีคของผลประกอบการตาม high season ของภาคการท่องเที่ยว รวมถึงได้อานิสงส์จากการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐอย่างการแจกเงิน 1 หมื่นบาท และ SSSG ยังคงขยายตัวจากไตรมาสก่อนที่ +3.3% พร้อมทั้งคาดหวังยังคงรักษาระดับของ GPM จากสินค้าพร้อมทาน ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลและเพื่อสุขภาพแนวโน้มเติบโต อีกทั้งรักษาระดับ Cost to income ไว้ได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้คาดหวังรับรู้รายได้จาก CPAXT ที่ขยายตัวตามการเข้าสู่ช่วง high season ตามฤดูกาลท่องเที่ยว และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น ทำให้ลูกค้ากลุ่ม HoReCa สั่งซื้อสินค้ามากขึ้น นอกจากนี้ในระยะถัดไป คาดหวังการเกิด synergy หลังการควบรวมกันมากขึ้น           ส่วนภาพทั้งปี 67-68F เท่ากับ 2.35 หมื่นล้านบาท +27%YoY และ 2.67 หมื่นล้านบาท +13.7%YoY ตามลำดับ โดยมีราคาเป้าหมายที่ 89.67 บาท ในเชิง sentiment ขานรับที่ประชุม ครม. เห็นชอบการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวนา ในโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการ และพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว โดยช่วยเหลือในอัตราไร่ละ 1,000 บาท เป็นบวกต่อกลุ่มลูกค้าฐานราก นอกจากนี้ CPALL ถือเป็นหนึ่งในหุ้นหลักของ SET ที่ยัง Laggard หุ้น Big Cap ราว 3.6% ในรอบ 60 วัน มองว่าในระยะถัดไปมีโอกาสที่จะเป็นหุ้นเป้าหมายกองทุนวายุภักษ์และ ThaiESG

คว่ำบาตรอิหร่านเพิ่ม เขย่าหุ้นโรงกลั่นแค่ไหน?

คว่ำบาตรอิหร่านเพิ่ม เขย่าหุ้นโรงกลั่นแค่ไหน?

          หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอ ระบุว่า เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐอเมริกา (US) ได้ประกาศเพิ่มมาตรการคว่ำบาตร (sanction) อิหร่านเพิ่มเติม โดยมุ่งเป้าไปที่บริษัทและกองเรือรวม 35 ลำซึ่งรัฐบาล US กล่าวว่าขนส่งปิโตรเลียมของอิหร่านที่ผิดกฎหมายไปยังตลาดต่างประเทศโดยเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่กระทรวงการคลัง US เรียกว่า "กองเรือเงา" (Shadow fleet) ทั้งนี้ การคว่ำบาตรดังกล่าวต่อยอดจากมาตรการคว่ำบาตรที่บังคับใช้ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 11 ต.ค.2024 และเป็นการตอบโต้ 1) การโจมตีอิสราเอลของอิหร่านเมื่อวันที่ 1 ต.ค.2024 และ 2) การประกาศยกระดับนิวเคลียร์ของอิหร่าน (ที่มา: Reuters, Bloomberg) มีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มราคาน้ำมันในระยะสั้นจากความเป็นไปได้ที่การ sanction อิหร่านเพิ่มเติมจะส่งผลให้การส่งออกน้ำมันของอิหร่านในอนาคตอาจจะลดลงได้ ทั้งนี้ วานนี้ ราคาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้า Brent ปรับตัวสูงขึ้น 2.5% เป็น USD73.6/bbl เรายังสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยที่ USD80.0/bbl ลดลงจาก USD81.9/bbl ในปี 2023 และคงน้ำหนักการลงทุน "เท่ากับตลาด" ทั้งนี้  สำหรับภาพรวมระยะสั้นเชื่อว่ากลุ่มโรงกลั่นจะรายงานกำไรที่ฟื้นตัว QoQ ใน 4Q24E ตามแนวโน้มส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) ที่ดีขึ้นและผลขาดทุนจากสต๊อกที่เป็นไปได้ที่ลดลง โดยเราชอบ SPRC (ซื้อ/เป้า 8.50 บาท), TOP (ซื้อ/เป้า 55.00 บาท), และ BCP (ซื้อ/เป้า 40.00 บาท)

ASL คาด SET ผันผวน จับตาตัวเลขเงินเฟ้อไทย มองกรอบ 1,450-1,463 จุด

ASL คาด SET ผันผวน จับตาตัวเลขเงินเฟ้อไทย มองกรอบ 1,450-1,463 จุด

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด มุมมองตลาดเช้านี้ ประเมิน SET index แกว่งตัวผันผวนในกรอบ 1,450-1,463 จุด แม้ว่าปัจจัยในประเทศ Sentiment บวกจากซีอีโอ Nvidia มาไทย แต่คาบเกี่ยวช่วงวันหยุดในประเทศ ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อไทย ประเด็นการลงทุน -Nasdaq และ S&P500 ยังปรับตัวทำนิวไฮ -Update ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ -ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้น -Update ปัจจัยในประเทศ ติดตาม -สุนทรพจน์ของพาวเวล -ตัวเลขเงินเฟ้อไทย -ปัจจัยการเมืองในเกาหลีใต้ - ฝรั่งเศส หุ้นเด่นประจำเดือน ธ.ค. : OR (เป้า 15.20 บ.), ITC (เป้า 22.10 บ.), CPALL (เป้า 65.00 บ.) -กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง - MTC SAWAD TISCO -กลุ่มท่องเที่ยว - AOT AAV / AWC ERW MINT SHR CENTEL -กลุ่มส่งออก - AAI ITC CPF TU STA DELTA CCET -กลุ่ม Trade war / นิคม - AMATA WHA PIN -กลุ่มกระแสลงทุน Data Center – AIT BE8 BBIK INSET GULF -กลุ่ม Domestic play - ADVANC BJC CPALL CPAXT CPN HMPRO OSP หุ้นเทคโนโลยียังปรับตัวขึ้น - ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อไทย           Nasdaq และ S&P500 ยังปรับตัวทำนิวไฮ ได้อานิสงส์ จากหุ้นเทคโนโลยีที่ปรับตัวขึ้น ตามกระแสความต้องการชิปด้าน AI แต่ทั้งนี้ตลาดยังกังวลกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในวันที่ 17-18 ธ.ค. ของเฟด หลังความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดหลายท่านไม่ได้ส่งสัญญาณออกมาเนื่องจากรอข้อมูลภาคแรงงานที่จะรายงานในสุดสัปดาห์นี้ แต่ให้มุมมองในปีหน้าว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย           ด้านข้อมูลเศรษฐกิจที่รายงาน ได้แก่ตัวเลข JOLTS เพิ่มขึ้น 372,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 7.744ล้านตำแหน่งในเดือนต.ค.           ติดตามประธานเฟดจะมีการกล่าวสุนทรพจน์ ที่งาน New York Times DealBook Summit หากส่งสัญญาณการปรับลดดอกเบี้ย ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ และภาระกิจของเฟดที่ทำได้ตามเป้าหมาย (เงินเฟ้อ+ข้อมูลแรงงาน) จะเป็น sentiment เชิงบวก และถือเป็นการ surprise ตลาด เพราะเดิมตลาดมองว่าการประชุมเฟดใน ธ.ค.จะคงอัตราดอกเบี้ย           ทั้งนี้ตลาดจับตามสถานการณ์ในเกาหลีใต้ โดย ปธน.ยุนได้ประกาศ กฎอัยการศึกเมื่อช่วงค่ำวานนี้ ซึ่งสร้างความวิตกเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองในเกาหลีใต้ แต่หลังจากนั้นไม่นาน ที่ประชุมรัฐสภาเกาหลีใต้มีมติคว่ำการประกาศกฎอัยการศึกของปธน.ยุน ซึ่งมองว่ามีโอกาสที่ปธน. จะถูกถอดถอน หรือลาออกจากตำแหน่ง กระทบต่อแนวโน้ม fundflow ที่อาจไหลออกจากภูมิภาค           นอกจากนี้ ยังมีความวุ่นวายทางการเมืองในฝรั่งเศส โดยพรรคขวาจัดและพรรคฝ่ายซ้ายได้ยื่นญัตติไม่ไว้วางใจต่อนายกรัฐมนตรีมิเชล บาร์นิเยร์ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่อาจจะมีการล้มรัฐบาลซึ่งบริหารประเทศมาเพียง 3 เดือน มองเป็นปัจจัยกดดันต่อ ECB ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อไป เป็นบวกต่อภาพการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรประยะกลาง-ยาว           ด้านราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นเข้าใกล้ระดับ 70$ จาก 1. อิสราเอลขู่ว่าจะโจมตีเลบานอน หากข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ล้มเหลว และ 2. โอเปกพลัส จะขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันออกไปจนถึงไตรมาสแรกของปีหน้า เป็น sentiment เชิงบวกต่อกลุ่มพลังงาน แนะนำเก็งกำไร PTTEP PTTGC TOP IVL IRPC           สำหรับปัจจัยในประเทศ ขานรับ Sentiment บวกจากซีอีโอ Nvidia มาไทย คาดว่าจะมีการเปิดเผยแผนการลงทุนในประเทศไทย เป็นบวกต่อกลุ่ม Data center, โครงสร้างพื้นฐานระบบดิจิทัล และโรงไฟฟ้า แต่ทั้งนี้เรามองว่าราคาได้ปรับตะวขึ้นมาพอสมควรแล้ว แนะนำเพียง เก็งกำไร / Trading เท่านั้น นอกจากนี้ ยังเห็นแรงซื้อจากนักลงทุนสถาบันกว่า 3.5 พันล้านบาท คาดหวังว่าเม็ดเงินจากกองทุน ThaiESG และวายุภักษ์ จะช่วยพยุงตลาดในเดือนนี้           ทั้งนี้ติดตามเงินเฟ้อไทย คาดว่า Headline จะปรับตัวขึ้นในกรอบ 0.9-1.0% ตามการจับจ่ายใช้สอย จากการแจกเงินหมื่นครบเดือน รวมถึงแนวโน้มราคาในภาคบริการที่สูงขึ้นตามการเข้าสู่ high season ของภาคการท่องเที่ยว อย่างไรก็ดี ถือว่ายังเป็นระดับที่อยู่ใกล้เคียงกรอบล่างของเป้า ธปท. มองว่า ธปท. จะยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.25% ในการประชุมนโยบายการเงินวันที่ 17 ธ.ค.

ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.40-34.65บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.40-34.65บาท/ดอลลาร์

         หุ้นวิชั่น - Market update by SCBFM: 3 ธันวาคม 2567 กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.40-34.65บาท/ดอลลาร์ • ค่าเงินบาททรงตัว ด้านดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐยังแข็งค่าหลังตัวเลข ISM ภาคการผลิตออกมาที่ 48.4 สูงกว่าที่ตลาดคาด อย่างไรก็ดี ดัชนีด้านราคา (Price paid) ออกมาต่ำกว่าคาด • นายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ หนึ่งในคณะผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวสนับสนุนการลดดอกเบี้ยในเดือนนี้ ทำให้นักลงทุนมองเฟด มีโอกาสลดดอกเบี้ย 67% • เงินยูโรยังคงอ่อนค่าต่อเนื่องจากวันก่อน โดยพรรคฝั่งขวาเตรียมโหวตไม่ไว้วางใจนายกฯ ฝรั่งเศส หลังไม่สามารถตกลงเรื่องงบประมาณปี 2025 ได้

อินโนเวสท์ เอกซ์ คาด SET ฟื้น มองต้าน 1,450 จุด จับตาแรงซื้อกองทุนประหยัดภาษีหนุน

อินโนเวสท์ เอกซ์ คาด SET ฟื้น มองต้าน 1,450 จุด จับตาแรงซื้อกองทุนประหยัดภาษีหนุน

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด SET มีสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิค และคาดมีแรงชื้อจากเม็ดเงินของกองทุนประหยัดภาษี ซึ่งจะมีเข้ามามากในช่วงปลายปีเป็นปัจจัยหนุนให้ดัชนีฟื้นตัวได้ต่อ โดยมีแนวต้านถัดไปที่ 1445-1450 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1422-1430 จุด คาดยังรองรับได้ ประเด็นสำคัญ ติดตามถ้อยแถลงประธานเฟดวันพรุ่งนี้ เพื่อหาสัญญาณในการประชุมวันที่ 17-18 ธ.ค. จะมีการลดดอกเบี้ยต่อหรือไม่ ประเด็นสำคัญ • กระทรวงพาณิชย์คาดในปี 2568 ปริมาณส่งออกเนื้อไก่โลกจะเพิ่มขึ้นทำระดับสูงสุดในประวัติการณ์ โดยจะเติบโต 2% เป็น 13.8 ล้านตัน สำหรับไทยซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกเนื้อไก่รายใหญ่ของโลกการส่งออกเนื้อไก่เพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่ต้องเฝ้าระวังการขยายการส่งออกของบราซิล • ก.ล.ต. มีแนวคิดปรับปรุงหลักเกณฑ์โฆษณาของผู้ให้บริการ ICO Portal และ ICO Issuer ส่วนคำเตือนความเสี่ยงการลงทุนโทเคนดิจิทัลให้เหมาะสม เป็นมาตรฐานเดียวกัน มีผลใช้บังคับวันที่ 16 ธ.ค. 2567 • ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตจีนโดยสถาบินไฉซินเดือนพ.ย. ปรับขึ้นสู่ระดับ 50.3 ขยายตัวรวดเร็วที่สุดในรอบ 5 เดือน หนุนจากคำสั่งซื้อใหม่และคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่แข็งแกร่ง • ISM เผยดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหรัฐฯ เดือนพ.ย. ปรับขึ้นสู่ระดับ 48.4 จาก 46.5 ในเดือนต.ค. เป็นการหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8 ด้าน S&P เผยดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหรัฐฯเดือนพ.ย. ปรับขึ้นสู่ 49.7 จาก 48.5 ในเดือนต.ค. เป็นการหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8 • กยท. เผยสถานการณ์ผลผลิตยางออกสู่ตลาดลดลง คาดยางหายจากระบบตลาดกว่า 3 แสนตัน จากฝนตกหนักต่อเนื่องและอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ เป็น Sentiment บวกระยะสั้นต่อการเก็งกำไรหุ้นกลุ่มยาง (STA NER TRUBB) จากราคายางที่ปรับขึ้น • แอฟริกาใต้ปฏิเสธแผนการสร้างสกุลเงินใหม่ของBRICS แต่จะมุ่งเน้นไปที่การใช้สกุลเงินของสมาชิกสำหรับการค้ามากกว่าการใช้ดอลลาร์ • กระทรวงต่างประเทศจีนเตือนสหรัฐฯ อีกครั้ง หลังอนุญาตปธน. ไต้หวัน ไล่ ชิงเต๋อ เดินทางเยือนมลรัฐฮาวาย จีนอาจโต้โตอบโดยใช้กองทัพปลดปล่อยประชาชน (PLA) ซ้อมรบใกล้เกาะไต้หวันถี่มากขึ้น ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัว Sideways โดย Fund Flow ยังมีแนวโน้มไหลออกจาก EM หลังกังวลนโยบายกีดกันทางการค้าและในประเทศยังไร้ปัจจัยหนุนใหม่ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 3 ธีมที่มี ปัจจัยบวกเฉพาะตัวและ 1 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้ 1. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นการบริโภคและท่องเที่ยว แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ (CPALL CPAXT CRC HMPRO TNP) และท่องเที่ยว (AWC AOT MINT) 2. หุ้น Earnings Play ซึ่งมองมีโมเมนตัมกำไร 4Q67 จะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งเราแนะนำ Outperform เลือก GULF OSP AMATA AU TIDLOR BCP 3. หุ้นที่จ่ายปันผลสูงและคาดได้อานิสงส์จากการเป็นเป้าหมายสะสมของกองทุนวายุภักษ์และกองทุนลดหย่อนภาษีแนะนำหุ้น SET100 ที่คาดให้ Div. Yield ขั้นต่ำปีละ 3.5%, มี ESG Rating และ CG สูง, ฐานะการเงินแข็งแกร่ง และผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตได้ในปี 2025 เลือก BBL ADVANC HMPRO 4. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจเก็งกำไรหุ้นที่คาดมีโอกาสเข้าคำนวณ SET50 ใน 1H68 BANPU CCET COM7 SAWAD รวมทั้งหุ้นที่ได้อานิสงส์จากสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ แนะนำ HMPRO CPALL และ TASCO ขณะที่ระมัดระวังการลงทุนหุ้นกลุ่มการแพทย์, ยานยนต์ และวัสดุก่อสร้างที่กำไร 4Q67 มีโมเมนตัมอ่อนแอ

“KJL” ได้รับเกียรติเป็นวิทยากร หลักสูตร Create Everlasting Company

“KJL” ได้รับเกียรติเป็นวิทยากร หลักสูตร Create Everlasting Company

                     หุ้นวิชั่น - นายเกษมสันต์ สุจิวโรดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (มหาชน) หรือ KJL ได้รับเกียรติให้เป็นวิทยากรในการอบรมหลักสูตร Create Everlasting Company : Sustainability, Succession, and Strategy หลักสูตรเพื่อพัฒนาศักยภาพและทักษะผู้บริหารระดับ  C-Suite หรือบุคลากรที่เกี่ยวข้องในด้านความยั่งยืน การวางแผนอนาคตในเรื่องผู้สืบทอดตำแหน่งสำคัญของบริษัท และในด้านกลยุทธ์ที่นำไปสู่ความยั่งยืนของบริษัท ภายใต้การเสวนาสู่ความยั่งยืนของธุรกิจในรูปแบบ Panel Discussion โดยมีนายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)  ให้เกียรติเข้าร่วมในงาน ณ โรงแรม Kimpton Maa-Lai Bangkok เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา

ปตท.สผ. คว้า 2 รางวัลด้านกิจกรรมเพื่อสังคมและชุมชน

ปตท.สผ. คว้า 2 รางวัลด้านกิจกรรมเพื่อสังคมและชุมชน

          หุ้นวิชั่น - เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. โดย ฐานสนับสนุนการพัฒนาปิโตรเลียม สงขลา ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติด้านกิจกรรมเพื่อสังคมและชุมชน จากเวทีระดับสากล ได้แก่ รางวัล “Green World Awards 2024” สาขาโครงการเพื่อสังคมของกลุ่มธุรกิจด้านพลังงาน  จาก The Green Organisation ที่ประเทศอังกฤษ จากการดำเนินโครงการฝึกอบรมผู้ช่วยทางการแพทย์และการพยาบาล และโครงการ ปตท.สผ. รักสุขภาพ ที่จังหวัดสงขลา เพื่อช่วยยกระดับการรักษาพยาบาลและส่งเสริมศักยภาพของพยาบาลวิชาชีพ ตลอดจนสร้างความตระหนักรู้ด้านสาธารณสุขภายในชุมชน นอกจากนี้ ปตท.สผ. ยังได้รับคัดเลือกให้เป็น Green World Ambassador ครั้งนี้ด้วย สำหรับอีกรางวัลที่ ปตท.สผ. ได้รับ ได้แก่ “Asia Corporate Excellence & Sustainability Awards 2024” (ACES Awards 2024) สาขา Top Community Centric Companies จาก MORS Group โดยฐานสนับสนุนการพัฒนาปิโตรเลียม สงขลา และบริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ได้ดำเนินโครงการ      แนวเขตอนุรักษ์ชายฝั่งทะเลและบ้านปลา เพื่อเพิ่มปริมาณสัตว์น้ำและความอุดมสมบูรณ์ให้กับท้องทะเล ซึ่งเป็นการสร้างรายได้จากการทำการประมงให้ชุมชนควบคู่กันไปด้วย

PROEN บุ๊กเงิน “ซีชอร์” 833 ล้าน เข้า Q4

PROEN บุ๊กเงิน “ซีชอร์” 833 ล้าน เข้า Q4

          หุ้นวิชั่น - PROEN มีเฮรับเงินกว่า 833 ล้าน “ซีชอร์”ตามนัดชำระค่าโครงการ OTT DC บุ๊คเป็นรายได้ทันทีในไตรมาส4/2567   ส่วนศูนย์ข้อมูลดาต้าเซ็นเตอร์ภายใต้แบรนด์“Edgnex Data Centers by DAMAC” พร้อมเปิดให้บริการตามแผน โดยเฟสแรกเริ่มเดือนก.พ. ปีหน้า   ปลื้มมีลูกค้าจองสัญญาใช้บริการล้น เดินหน้าขยายพื้นที่บริการเพิ่มอีก  15 เมกะวัตต์ โฟกัสลูกค้าต่างประเทศกลุ่ม AI              นายกิตติพันธ์ ศรีบัวเอี่ยม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ PROEN ผู้ให้บริการ Cloudและ Data Center ครบวงจรชั้นนำของประเทศ เปิดเผยว่า บริษัทได้รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ฯว่า บริษัทได้รับเงินจากการจําหน่ายสินทรัพย์โครงการศูนย์บริการข้อมูล(DataCenter) ภายใต้ชื่อโครงการ OTT DC จากบริษัท ซีชอร์ ดาต้า เซ็นเตอร์ แอนด์คลาวด์ เซอร์วิส เซส จํากัด  ครบถ้วนเรียบร้อยแล้วจำนวน 833.2 ล้านบาท  ซึ่งบริษัทจะบันทึกเป็นรายได้ในไตรมาส 4/2567 ทั้งนี้คณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2567 มีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติให้เข้าทำรายการจำหน่ายโครงการศูนย์บริการข้อมูล (Data Center) ภายใต้ชื่อโครงการ OTT DC ของบริษัท ให้แก่ บริษัท ซีชอร์ ดาต้า เซ็นเตอร์ แอนด์ คลาวด์ เซอร์วิสเซส จำกัด มูลค่ารวมไม่เกิน 833.20 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้เปิดเผยสารสนเทศการทำรายการต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไปแล้ว นายกิตติพันธ์กล่าวว่า ศูนย์บริการข้อมูลดาต้าเซ็นเตอร์โครงการ OTT DC  ที่บริหารจัดการโดย บริษัท ซีชอร์ฯ อยู่ภายใต้แบรนด์ Edgnex Data Centers by DAMAC  ตั้งอยู่บนพื้นที่ศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ถนนพระราม 9-ศรีนครินทร์ มีมูลค่าการลงทุนรวม 1700 ล้านบาท กำลังผลิต 5 เมกะวัตต์  แบ่งเป็น 3 เฟส ๆ ละ  1.67 เมกะวัตต์  โดยเฟสแรกคาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้ประมาณเดือนกุมภาพันธ์  ปี 2568  ส่วน เฟส2 เฟส 3  จะเปิดให้บริการประมาณ กลางปี 2568  และจะสามารถเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาสแรก ปี 2568 “ฐานลูกค้าหลักของ Edgnex Data Centers by DAMAC   ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าต่างประเทศและโฟกัสดาต้าเซ็นเตอร์ที่สนับสนุนด้าน AI   ล่าสุดมีการจองสัญญาเพื่อขอใช้บริการมากกว่ากำลังการผลิตที่มีอยู่ ทำให้ทางกลุ่มเตรียมแผนขยายการลงทุนในเฟสถัดไปอีก  15 เมกะวัตต์ ในพื้นที่ติดกัน (พระราม9)”นายกิตติพันธ์ กล่าว        สำหรับศูนย์ข้อมูลดาต้าเซ็นเตอร์ภายใต้ชื่อ Edgnex Data Centers by DAMAC   บริหารจัดการโดยบริษัท ซีซอร์ ดาต้าเซ็นเตอร์  ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุน(JV) ระหว่างกลุ่มบริษัท DAMAC Group ซึ่งเป็นผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และศูนย์ข้อมูลดาต้าเซ็นเตอร์ระดับโลกถือหุ้นสัดส่วน 70%    ร่วมกับ บริษัทโปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ PROEN ผู้ให้บริการ Cloudและ Data Center ครบวงจรชั้นนำของประเทศ  ถือหุ้นในสัดส่วน 30% [PR News]

จับตาโรงกลั่น SPRC ลุ้นQ4พลิกกำไร-เป้า 8.50 บ.

จับตาโรงกลั่น SPRC ลุ้นQ4พลิกกำไร-เป้า 8.50 บ.

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะ SPRC (ซื้อ/ปรับเป้าลงเป็น 8.50 บาท) คาดกลับมามีกำไรสุทธิใน 4Q24E; 2025E crack spread ฟื้นตัว คงคำแนะนำ "ซื้อ" ที่ราคาเป้าหมายใหม่ปีที่ 8.50 บาท (เดิม 9.00 บาท) อิง 2025E PBV เดิมที่ 0.88x (ประมาณ -1.8SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV ย้อนหลัง 5 ปี) เชื่อว่าภาพรวมธุรกิจโรงกลั่นจะฟื้นตัว QoQ ใน 4Q24E ในขณะที่แนวโน้มต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและน้ำมันดิบ (crack spread) น่าจะฟื้นตัว YoY ได้ในปี 2025E โดยมีแรงหนุนหลักๆ จากภาพรวมอุปสงค์การใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปกึ่งหนักกึ่งเบา (middle distillate) ที่สูงขึ้นจากอุปสงค์การท่องเที่ยวที่สูงขึ้นและเศรษฐกิจในเอเชียที่เติบโต   ทั้งนี้ คาดว่า SPRC จะกลับมารายงานกำไรสุทธิได้ใน 4Q24E หลักๆ จากค่าการกลั่นตลาด (market GRM) ที่สูงขึ้นจากแรงหนุนของการดำเนินงานของทุ่นผูกเรือน้ำลึกแบบทุ่นเดี่ยวกลางทะเล (SPM) เต็มไตรมาส, crack spread ที่สูงขึ้นตามแรงหนุนของอุปสงค์ที่สูงขึ้นในช่วงฤดูหนาว และผลขาดทุนจากสต๊อก (stock loss including NRV) ที่เป็นไปได้ที่ลดลง ฝ่ายวิเคราะห์ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E/2025E ลง 15%/2% เป็น 2.5/2.7 พันล้านบาท เทียบกับขาดทุนสุทธิ 1.2 พันล้านบาทในปี 2023 โดยปรับกำไรปี 2024E ลงหลักๆ เพื่อสะท้อนผลขาดทุนจาก stock loss ใน 3Q24 ที่สูงกว่าคาด ในขณะที่ปรับกำไรปี 2025E ลงเนื่องจากผลกระทบเชิงลบจากต้นทุนในการดำเนินงาน (OPEX) และสมมติฐาน stock loss ที่สูงขึ้น มีขนาดใหญ่กว่าผลกระทบเชิงบวกจาก market GRM ที่สูงขึ้นจากการดำเนินงานเต็มปีของ SPM ราคาหุ้นปรับตัวลง 20% และ underperform SET 25% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา สะท้อนแนวโน้ม crack spread ที่อ่อนตัวและผลประกอบการที่น่าผิดหวังใน 3Q24 อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน SPRC ซื้อขายที่ valuation ที่น่าสนใจที่ 2025E PBV 0.70x (ประมาณ -2.5SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV ย้อนหลัง 5 ปี) เชื่อว่าผลประกอบการน่าจะผ่านจุดต่ำสุดของปีไปแล้วใน 3Q24 และคาดว่าบริษัทจะกลับมารายงานกำไรสุทธิได้ใน 4Q24 หนุนโดยอุปสงค์ที่สูงขึ้นในฤดูหนาวของประเทศตะวันตกและ stock loss ที่ต่ำลง

หุ้นความงาม MASTER โค้งท้ายเด่น-เป้า 64 บ.

หุ้นความงาม MASTER โค้งท้ายเด่น-เป้า 64 บ.

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะ MASTER (ซื้อ/เป้า 64.00 บาท) PPA กระทบจำกัด, รายได้พันธมิตร YTD +18% คุณลภัสรดา เลิศภานุโรจ CEO ของ MASTER เผยสำหรับ 4Q24E รายได้ของ MASTER ยังคงเติบโตดีต่อเนื่อง โดยรายได้เดือนตุลาคมทำสถิติสูงสุดตลอดกาล และคาดว่าเดือนพฤศจิกายนจะทำสถิติใหม่ต่อเนื่อง สำหรับเดือนธันวาคมมียอดบุ๊คกิ้งเข้ามาแล้วถึง 90% ของเป้าหมายแล้ว ส่วนรายได้จากพันธมิตรเติบโตดีต่อเนื่อง YTD +18% โดยเติบโตในทุกพันธมิตร ด้านรายได้จากหุ้น (equity income) คาดว่าจะปิดปี 2024E ที่ 40-50 ล้านบาท และปี 2025E ที่ 80-100 ล้านบาท โดยรวมผลกระทบจาก PPA (Purchase Price Allocation – PPA) ตามมาตรฐาน TFRS 3 แล้ว ทั้งนี้ KIN, VSQ, KRW และ S45 มีสัดส่วน 50% ของส่วนแบ่งกำไร           ฝ่ายวิเคราะห์คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E ที่ 532 ล้านบาท (+28% YoY) คาดว่ากำไรสุทธิใน 4Q24E จะเติบโตเด่นทั้ง YoY และ QoQ จากการเข้าสู่ฤดูกาลสูงสุด (high season) และลูกค้าที่เลื่อนการทำศัลยกรรมมาเป็น 4Q24E จากน้ำท่วม นอกจากนี้ลูกค้าต่างประเทศเติบโตต่อเนื่อง ด้าน GPM คาดว่าจะขยายตัวเด่นจากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ดีขึ้น อีกทั้งยังรับรู้รายได้จาก equity income ที่เพิ่มขึ้น สำหรับปี 2025E ยังคงประมาณการกำไรสุทธิที่ 674 ล้านบาท (+27% YoY) คงราคาเป้าหมาย 64.00 บาท อิง 2024E PER ที่ 36.0x ราคาหุ้นปรับตัวลงมา -9% ใน 1 เดือนที่ผ่านมา ปัจจุบัน MASTER เทรดอยู่ที่ 2024E PER ที่ 24.5x มองว่าราคาปัจจุบันยังน่าสนใจ โดยยังไม่สะท้อนการเติบโตของ 2023-25E EPS CAGR ที่ +28% และมี short-term catalyst จากกำไร 4Q24E ที่จะฟื้นตัวเด่น

ส่องราคาทองเช้าวันนี้ ปรับลง 200 บาท

ส่องราคาทองเช้าวันนี้ ปรับลง 200 บาท

                     หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำ “ ราคาปรับลง 200 บาท ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 42,900.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 43,000.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 42,129.64 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 43,500.00 บาท

PR9 โตเด่นกว่ากลุ่ม แถมฐานทุนแกร่ง เคาะพื้นฐาน 26.45 บ.

PR9 โตเด่นกว่ากลุ่ม แถมฐานทุนแกร่ง เคาะพื้นฐาน 26.45 บ.

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มองแนวโน้ม บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR 9 คาดก าไร 4Q67 แผ่วเล็กน้อย...ทั้งปียังโตเด่นกว่ากลุ่ม ► บริษัท ให้ข้อมูลแนวโน้ม 4Q67 คาดชะลอตัว QoQ ซึ่งถือว่าต่ำกว่าปกติ เนื่องจากในไตรมาส 4 เป็น High Season ของ PR9 ที่จะมีรายได้จากบริการตรวจสุขภาพประจำปีเข้ามา แต่เนื่องจากการระบาดของโรคที่ลดลงเมื่อเทียบไตรมาสก่อน ขณะที่สถานการณ์แข่งขันในกลุ่มโรงพยาบาลรุนแรงขึ้น จากโรงพยาบาลหลายแห่งจัดโปรโมชั่นลดราคา ทำให้รายได้ของ PR9 อ่อนตัวลง QoQ ขณะที่เทียบ YoY คาดยังเห็นการเติบโตจากทั้งคนไข้ไทยและต่างชาติ ► แนวโน้มการเติบโตของคนไข้ต่างชาติเติบโตดีและเร็วกว่าที่คาดไว้ จากข้อมูลล่าสุดใน 3Q67 สัดส่วนรายได้จากต่างชาติเพิ่มเป็น 18% จาก 14% ในปีก่อน โดยมาจากกลุ่มตะวันออกกลางและ CLMV (เมียนมา, กัมพูชา, เวียดนาม) ที่เติบโตดี บริษัทตั้งเป้าหมายสัดส่วนรายได้จากต่างชาติจะเพิ่มเป็น 20% ของรายได้รวมภายในปี 2569 ส่วนประเด็นกลุ่มลูกค้าคูเวตที่หายไปจากการปรับนโยบายการส่งต่อ บริษัทแจงว่าไม่มีข่าวคืบหน้า แต่ได้รับการตอบรับที่ดีจากรัฐบาลคูเวตที่มาสำรวจ ซึ่งบริษัทคาดหวังว่าจะเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลที่รัฐบาลคูเวตเลือก ► ปี 2568 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตแบบ Double Digit จาก 1) การขยาย Capacity มากขึ้น โดยตึก B มีการปรับปรุงศูนย์เลสิก ย้ายออกมาขยายห้องผ่าตัดได้ 3 ห้องและขยายศูนย์เช็กอัพเพิ่มขึ้น 2) กลยุทธ์เจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติมากขึ้น ► แผนการเติบโตใน 3 ปีข้างหน้า (2567-2569) บริษัทเน้นกลยุทธ์ 4 ด้าน 1) Global Standard ยกระดับคุณภาพสู่มาตรฐานสากล 2) World-class hospital ขยายฐานลูกค้าต่างชาติ 3) Efficiency with collaboration ควบคุมต้นทุนและผสานความร่วมมือในองค์กร และ 4) Digital transformation เดินหน้าสู่การเป็นโรงพยาบาลดิจิทัลเต็มรูปแบบ ► แนวโน้ม 4Q67 คาดผลประกอบการอ่อนตัวเล็กน้อย QoQ แต่ยังเติบโต YoY คงประมาณการกำไรปี 2567 ที่ 706 ล้านบาท (+27% YoY) ถือว่าเติบโตได้ดีและ outperform กลุ่ม โดยปัจจัยสนับสนุนมีดังนี้: 1) กลยุทธ์เพิ่มรายได้จากศูนย์เฉพาะทาง เช่น ศูนย์โรคไต, โรคหัวใจ, ศูนย์กระดูกสันหลัง, ศูนย์มะเร็งและข้อเข่าสำหรับผู้สูงอายุ และศูนย์ IVF 2) คาดรายได้จากลูกค้าต่างชาติจะเติบโต Double Digit จากการเปิดประเทศและมาตรการฟรีวีซ่า รวมถึงกลยุทธ์ขยายฐานลูกค้าจาก CLMV, ตะวันออกกลาง และยุโรป โดยเฉพาะกลุ่มตะวันออกกลางที่มีการเซ็นสัญญากับเอเจนซี่ในการส่งต่อผู้ป่วยมา 3) ผลบวกจากการปรับขึ้นค่าบริการทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วย IPD ที่ 10% และ OPD จาก 250 บาทเป็น 350 บาท ตั้งแต่ ก.พ. 2567 4) กลยุทธ์เพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มประกันสุขภาพจากความร่วมมือกับพันธมิตรหลายแห่ง 5) ประสิทธิภาพในการทำกำไรดีขึ้นจากรายได้จากโรคซับซ้อนและศูนย์รักษาเฉพาะทางที่มีอัตรากำไรสูง ► คงคำแนะนำ “Trading” แม้เรายังมีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการปี 2567-2568 ที่คาดเติบโตโดดเด่นกว่ากลุ่ม ด้านสถานการณ์การเงินยังมีความแข็งแกร่งเป็น Net Cash Company ไม่มีภาระหนี้สิน อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น PR9 ปรับเพิ่มขึ้นสะท้อนปัจจัยบวกไปแล้วพอสมควร คงมูลค่าพื้นฐานปี 2568 ที่ 26.45 บาท อิงวิธี DCF โดยใช้ WACC ที่ 7.6% และ Terminal Growth ที่ 3%

บลจ.เกียรตินาคินภัทร เปิดตัวกองทุน KKP EWUS500-UH เสนอขาย (IPO) วันที่ 27 พฤศจิกายน-3 ธันวาคม นี้

บลจ.เกียรตินาคินภัทร เปิดตัวกองทุน KKP EWUS500-UH เสนอขาย (IPO) วันที่ 27 พฤศจิกายน-3 ธันวาคม นี้

          หุ้นวิชั่น - บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เกียรตินาคินภัทร จำกัด (บลจ.เกียรตินาคินภัทร) เล็งเห็นโอกาสการลงทุนในหุ้นสหรัฐอเมริกา ที่มีแนวโน้มเติบโตในหลากหลายอุตสาหกรรมจากคาดการณ์ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในปีหน้า จึงเปิดเสนอขายกองทุนใหม่ ได้แก่ กองทุนเปิดเคเคพี US500 EQUAL WEIGHT- UNHEDGED (KKP EWUS500-UH) ประเภทไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน โดยมีกลยุทธ์การบริหารการลงทุนแบบเชิงรับ (Passive Management) มุ่งหวังให้ผลตอบแทนสอดคล้องไปกับดัชนี S&P 500 Equal Weight ที่มีรูปแบบการคำนวณน้ำหนักการลงทุนในหุ้นรายตัวด้วยวิธีถ่วงน้ำหนักเท่ากัน (Equal Weighting) และครอบคลุมการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 500 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำหนดการเสนอขายครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 27 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม 2567 ด้วยมูลค่าขั้นต่ำในการซื้อเพียง 1,000 บาท            นายยุทธพล ลาภละมูล กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นโลกตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนตุลาคมปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 16% จากการที่เฟดเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยและเศรษฐกิจสหรัฐฯ รอดพ้นภาวะถดถอย ซึ่งทั้งสองปัจจัยดังกล่าวคาดว่าจะเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้เติบโตต่อเนื่องไปในปีหน้า และส่งผลให้ผลประกอบการของหุ้นสหรัฐฯ ที่ไม่ใช่ หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ 7 ตัวที่ทรงอิทธิพล หรือที่เรียกว่าหุ้น 7 นางฟ้า เช่น Apple Amazon และ Alphabet มีอัตราการเติบโตที่ดีขึ้นกว่าปีนี้ ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่า P/E ของดัชนีหุ้นสหรัฐฯ S&P 500 Equal Weight ในปีหน้าที่ระดับ 18.2 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีตย้อนหลัง 5 ปี และต่ำกว่า P/E ของดัชนีหุ้นสหรัฐฯ S&P 500 ที่ 22.48 เท่าแล้ว ทำให้ KKPAM มองว่าการลงทุนในดัชนีหุ้นสหรัฐฯ S&P 500 Equal Weight มีความน่าสนใจในการลงทุน จึงได้นำเสนอกองทุนเปิดเคเคพี US500 EQUAL WEIGHT- UNHEDGED (KKP EWUS500-UH) แก่นักลงทุนไทยเพื่อเป็นทางเลือกในการลงทุน สำหรับ กองทุน KKP EWUS500-UH ระดับความเสี่ยง 6 เป็นกองทุนรวมหน่วยลงทุนประเภท Feeder Fund มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนหลัก Invesco S&P 500 Equal Weight ETF ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม และไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (UNHEDGED) โดยกองทุนหลักมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างผลตอบแทนให้สอดคล้องกับดัชนี S&P 500 Equal Weight (ดัชนีอ้างอิง) ซึ่งวัดผลการดำเนินงานของตราสารทุนของบริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ โดยดัชนี S&P 500 Equal Weight มีรูปแบบการคำนวณด้วยวิธีถ่วงน้ำหนักเท่ากัน (Equal Weighting) กล่าวคือ ให้น้ำหนักของแต่ละหลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบในน้ำหนักที่เท่ากัน ลดการกระจุกตัวในหุ้นขนาดใหญ่ ช่วยกระจายการลงทุนและครอบคลุมการเติบโตของหลักทรัพย์ในหลากหลายอุตสาหกรรม ในขณะที่ดัชนี S&P 500 มีรูปแบบการคำนวณน้ำหนักตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization Weighting) ซึ่งจะมีน้ำหนักการลงทุนกระจุกตัวในหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่มากกว่า สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจสามารถขอรับหนังสือชี้ชวนและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://am.kkpfg.com หรือบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร โทร 02 165 5555 หรือผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนที่ได้รับการแต่งตั้ง ข้อมูลกองทุน KKP EWUS500-UH : เปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ระหว่าง วันที่ 27 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม 2567 มูลค่าขั้นต่ำในการซื้อครั้งแรก 1,000 บาท ครั้งถัดไป 1,000 บาท คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน กองทุน KKP EWUS500-UH จะไม่ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อลดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ดังนั้น กองทุนจึงมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนได้รับผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ โปรดศึกษาคำเตือนที่สำคัญอื่นและข้อมูลเพิ่มเติมได้ในหนังสือชี้ชวนส่วนข้อมูลกองทุนรวม https://am.kkpfg.com หรือผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนที่ได้รับการแต่งตั้ง

"KJL” Opp Day Q3/67 ลุยขยายกำลังการผลิต โตต่อเนื่อง

 หุ้นวิชั่น - นายเกษมสันต์ สุจิวโรดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยนายพงศกร ประเวศวัฒนกุล ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (มหาชน) หรือ KJL ให้ข้อมูลสรุปผลประกอบการประจำไตรมาส 3/2567 บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 874.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.22% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 128.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.17% ในปีนี้บริษัทยังคงตั้งเป้ายอดขาย 1,200 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้เติบโตเฉลี่ย 10-15% ต่อปี โดนแผนการดำเนินธุรกิจปี 2568 บริษัทคาดหวังการเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะกลุ่มไฟฟ้าที่มองว่ามีโอกาสเติบโตสูง Solar Rooftop, EV และ Data Center ที่บริษัทยังดำเนินธุรกิจตามเมกะเทรนด์และยังเติบโตไปกับกลุ่มนี้ รวมถึงจะมีการขยายฐานลูกค้า (KJL Network) เพิ่มเติมในส่วนของอินฟลูเอนเซอร์กลุ่มออกแบบ ที่ปรึกษาโครงการ ผู้รับเหมา เจ้าของโครงการต่างๆ ที่เน้นงานโครงการที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น ในงานบริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน (Opportunity Day) ถ่ายทอดผ่านจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สามารถรับชมบันทึกเทปได้ที่ www.set.or.th/streaming/vdos-oppday

GUNKUL ธุรกิจQ4โตต่อ โบรกเคาะเป้า 5 บาท

GUNKUL ธุรกิจQ4โตต่อ โบรกเคาะเป้า 5 บาท

         หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอคงคำแนะนำ “ซื้อ” GUNKUL และราคาเป้าหมาย 5.00 บาท อิง SOTP ทั้งนี้มีมุมมองเป็นกลางจากงาน SET Opportunity Day เมื่อ 26 พ.ย. 2024 หลังธุรกิจยังมีพัฒนาการตามแผน โดยสรุปประเด็นดังนี้ 1) ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน คงเป้า 2.0GW ในปี 2026E (1.5GW ในปัจจุบัน) นอกจากโครงการในไทยแล้ว จะเพิ่มโครงการในต่างประเทศโดยเฉพาะใน ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และออสเตรเลียราว 150MW ในช่วง 3 ปีข้างหน้า 2) ธุรกิจ EPC ปัจจุบันมี Backlog ราว 4 พันล้านบาท โดยงานในระยะสั้นที่เป็น potential project มีไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท ทยอยออกมาในช่วง 4Q24E-2025E 3) ธุรกิจ Trading มี outlook ที่ดีจากการลงทุนเพิ่มเติมของหน่วยงานรัฐฯ รวมไปถึงอานิสงส์จากโครงการพลังงานทดแทนในไทยที่จะเริ่มทยอย COD ในปี 2025E-30E เป็นปัจจัยหนุน เบื้องต้นเรายังคงประมาณการกำไรปกติปี 2024E ที่ 1.8 พันล้านบาท +11% YoY แนวโน้ม 4Q24E คาดเติบโตได้ QoQ จากโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่คาดผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้น รวมถึงงาน EPC ซึ่งรับรู้รายได้มากขึ้นโดยเฉพาะช่วงครึ่งปีหลัง ราคาหุ้น underperform SET ราว -14% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาคาดยังไร้ key catalyst ระยะสั้น อย่างไรก็ตามเราคาดราคาหุ้นมีโอกาสกลับไป outperform SET ได้จากโอกาสในการได้งาน EPC โรงไฟฟ้าเพิ่มเติมหลังโครงการพลังงานทดแทน 5.2GW จะเริ่มทยอย COD ในปี 2024E เป็นต้นไป รวมถึงโอกาสในการได้โครงการเพิ่มในเฟสถัดไป 3.6GW เป็นอีก catalyst นอกจากนี้ผลประกอบการกลับเข้าสู่ภาวะขาขึ้นจากการทยอยรับรู้รายได้โครงการพลังงานทดแทนใหม่ซึ่งจะทยอย COD ในปี 2026E ถึง 2030E หนุนกำลังการผลิตจากปี 2023 ที่ 0.6GW สู่ระดับ 1.5GW

นักท่องเที่ยวล่าสุดเพิ่ม 2% หุ้นได้ประโยชน์ เช็กเลย!

นักท่องเที่ยวล่าสุดเพิ่ม 2% หุ้นได้ประโยชน์ เช็กเลย!

หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล.ดาโอระบุว่า นักท่องเที่ยวสัปดาห์ล่าสุด (18-24 พ.ย.) เพิ่มขึ้น +0.2% WoW จากจีน, รัสเซียและอินเดีย รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยข้อมูลจำนวนนักท่องเที่ยวสัปดาห์ที่ผ่านมา (18-24 พ.ย.) มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 749,306 คน (+0.2% WoW/+18% YoY) คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 107,044 คน โดยประเทศมี % เพิ่มขึ้นตามลำดับดังนี้ 1) เกาหลีใต้ 38,959 คน (+14% WoW/+6% YoY) , 2) จีน 122,020 คน (+7% WoW/+56% YoY), 3) รัสเซีย 50,071 คน (+3% WoW) และ 4) อินเดีย 46,259 คน (+2% WoW/+21% YoY) ส่วนประเทศมี % ลดลงคือ มาเลเซีย 81,886 คน (-3% WoW/+2% YoY) โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) ฟื้นตัวด้านการเดินทาง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่และเกาหลีใต้ ขณะที่นักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) ชะลอตัวด้านการเดินทาง ซึ่งเป็นแนวโน้มปกติก่อนที่นักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นอีกครั้งในเดือน ธ.ค. สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-24 พ.ย. 24 ทั้งสิ้น 31,313,787 คน เพิ่มขึ้น +28% YoY (ที่มา: กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา) มองเป็นบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยวจากตัวเลขนักท่องเที่ยวจีน, รัสเซียและอินเดีย เพิ่มขึ้น WoW โดยจำนวนนักท่องเที่ยวรวมทำจุดสูงสุดในรอบ 15 สัปดาห์ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นได้ดีเพราะการเข้าสู่ช่วง High season ของไทย ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนเริ่มฟื้นตัวได้ดีต่อเนื่องอีก +7% WoW และนักท่องเที่ยวรัสเซียมีการเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่องมา 6 สัปดาห์ติดต่อกัน (CENTEL มีสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวรัสเซียมากสุดที่ 5% รองลงมาเป็น ERW ที่ 3%) ส่วนนักท่องเที่ยวอินเดียเริ่มฟื้นตัวได้เล็กน้อย โดยเราประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวรวมเฉลี่ยรายสัปดาห์ในช่วง 25-31 พ.ย. 24 จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง จากการเข้ามาของนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) โดยเฉพาะตลาดภูมิภาคยุโรป ประกอบกับมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีผลต่อจำนวนที่นั่งเข้าไทย (Seat Capacity) ระหว่างเดือน ก.ค. มาจนถึง ธ.ค. ที่จะเพิ่มขึ้น 10% รวมถึงการกระตุ้นและส่งเสริมให้สายการบินเพิ่มจำนวนเที่ยวบินมากยิ่งขึ้น ขณะที่เราคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเริ่มมากขึ้นอีกในเดือน ธ.ค. 24 ที่มีหลายเทศกาลเข้ามาช่วยหนุน ทั้งนี้ ภาพรวมของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปี 2024E ยังอยู่ในกรอบประมาณการนักท่องเที่ยวรวมและนักท่องเที่ยวจีนที่เราประเมินไว้ โดยหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้น เรียงลำดับจากมากไปน้อยตามสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวจีน ได้แก่ ERW, CENTEL, MINT, SHR คงประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวรวมปี 2024E เพิ่มขึ้น +21% YoY และนักท่องเที่ยวจีน +84% YoY เรายังคงประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวรวมปี 2024E จะอยู่ที่ 34 ล้านคน เพิ่มขึ้น +21% YoY และคาดจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะอยู่ที่ 6.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึง +84% YoY Valuation/Catalyst/Risk ให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “เท่ากับตลาด” โดย Top pick ของกลุ่มท่องเที่ยวเรายังชอบ AAV, CENTEL และ MINT AAV (ซื้อ/เป้า 3.60 บาท) คาด 4Q24E จะดีโดดเด่นจากการเข้าสู่ high season ส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารและค่าตั๋วโดยสารจะเพิ่มขึ้นได้ดี CENTEL (ซื้อ/เป้า 44.00 บาท) 4Q24E-1Q25E โตได้ต่อเนื่องจากการเข้าสู่ High season ด้าน Valuation ซื้อขายที่ 2024E EV/EBITDA ที่ 11.7x (-1.25SD below 8-yr average EV/EBITDA) ถูกกว่า ERW ที่ 14.6x ขณะที่กำไรปกติปี 2025E จะเติบโตได้สูงที่สุดเมื่อเทียบกับ MINT และ ERW MINT (ซื้อ/เป้า 34.00 บาท) จาก valuation ยังถูกกว่ากลุ่มฯซื้อขาย 2024E EV/EBITDA ที่ 10x (-2.00SD below 10-yr average EV/EBITDA) ถูกกว่า ERW และ CENTEL ที่ average EV/EBITDA ขณะที่คาดกำไรปกติ 4Q24E จะโต YoY ได้ต่อเพราะเป็น High season ที่ไทยและมัลดีฟส์เข้ามาช่วยหนุน

SELIC ดีเดย์ ย้าย เข้า SET  26 พ.ย. นี้ ปักธงโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน

SELIC ดีเดย์ ย้าย เข้า SET 26 พ.ย. นี้ ปักธงโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน

           หุ้นวิชั่น - " ซีลิค " ย้ายกระดานเทรด 26 พ.ย. 67 จาก mai ไปสู่ SET กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม (Industrials) หมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร (Industrial Materials & Machine) ยกระดับองค์กรเข้าสู่แหล่งระดมทุนที่มีศักยภาพ เพิ่มโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน หนุนแผนธุรกิจในอนาคต             นายณรงค์ สุวัฒนพิมพ์ รองประธานกรรมการ และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) หรือ SELIC ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่าย รวมทั้งวิจัยและพัฒนากาวอุตสาหกรรมที่ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม (Specialty and High Performance Adhesive) เพื่อจำหน่ายให้แก่ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยว่า การย้ายกระดานซื้อขายจากตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) สู่กระดานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ของ บมจ.ซีลิค คอร์พ หรือ SELIC ในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อการยกระดับองค์กรเข้าสู่แหล่งระดมทุนที่มีศักยภาพ และเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจให้เติบโตแบบยั่งยืน พร้อมเปิดโอกาสให้กลุ่มนักลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในและต่างประเทศเข้ามาลงทุนกับบริษัทฯ มากยิ่งขึ้น โดย บมจ.ซีลิค คอร์พ มีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ของ บจ. mai ที่จะย้ายเข้าซื้อขายใน SET มีดังนี้ 1.มีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 300 ล้านบาทขึ้นไป 2.ส่วนผู้ถือหุ้นมากกว่า 300 ล้านบาทขึ้นไป 3.มีกำไรสุทธิในระยะเวลา 2 ปี หรือ 3 ปี ล่าสุดก่อนยื่นคำขอรวมกันมากกว่า 50 ล้านบาท โดยในปีล่าสุดก่อนยื่นคำขอมีกำไรสุทธิมากกว่า 30 ล้านบาท และมีกำไรสะสมก่อนยื่นคำขอ 4.มีราคาพาร์ไม่ต่ำกว่า 0.50 บาท และ 5.มีจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย 1,000 รายขึ้นไป สำหรับภาพรวมธุรกิจภายในปี 2567 คาดบริษัทฯ สามารถเติบโต 10-15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรอบ 9 เดือนของปี 67 บริษัทฯ ทำรายได้รวมอยู่ที่ 1,591.01 ล้านบาท เติบโต 14.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว จากการรวมธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพเข้ามาในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญ และมีกำไรขั้นต้น 467.68 ล้านบาท เติบโต 25.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นเป็น 29.6% จากอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงการพัฒนาขึ้นจากกำไรขั้นต้น ของธุรกิจกาวอุตสาหกรรม และธุรกิจสติ๊กเกอร์หรือฉลากที่มีกาวในตัว ด้านผลประกอบการไตรมาส 3/2567 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 523.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.1% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 8.3% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ก้าวต่อไปของซีลิคจะเน้นเดินหน้าธุรกิจแบบเต็มสูบ โดยให้ความสำคัญกับ 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจกาวอุตสาหกรรม ธุรกิจสติ๊กเกอร์หรือฉลากที่มีกาวในตัว และธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ จากการมีกลุ่มธุรกิจที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งแบบ B2B และ B2C รวมถึงสัดส่วนของกลุ่มลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศที่พอเหมาะ ทำให้บริษัทฯ สามารถดำเนินธุรกิจภายใต้ภาวะที่ท้าทายได้เป็นอย่างดี สะท้อนได้จากการเติบโตของรายได้ในทุกกลุ่มธุรกิจหลัก นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้มองหาโอกาสใหม่ๆ ในการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเติบโต หวังเพิ่มสัดส่วนรายได้จากการขายและบริการทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต [PR News]

NTF ส่งออกผลไม้สดเกรดพรีเมี่ยม แต่งตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ mai

NTF ส่งออกผลไม้สดเกรดพรีเมี่ยม แต่งตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ mai

         หุ้นวิชั่น - “เอ็นทีเอฟ อินเตอร์กรุ๊ป” บริษัทส่งออกทุเรียนเกรดพรีเมี่ยมและผลไม้ตามฤดูกาล แต่งตัวเตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ขยายการเติบโตและเพิ่มโอกาสในอนาคต ยกระดับผลไม้ไทยสู่อุตสาหกรรมระดับสากล อยู่ระหว่างการจัดเตรียมไฟลิ่งเพื่อเสนอต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ในปี 2568 การันตีความไว้วางใจจาก Dole บริษัทผลไม้ระดับโลกให้เป็น OEM ผลิตทุเรียนเจ้าเดียวในไทย พร้อมโชว์ผลงานที่ผ่านมาเติบโตก้าวกระโดด ปีนี้คาดปิดงบสวยที่ 1,000 -1,200 ล้านบาท           นายวิชัย ศิระมานะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นทีเอฟ อินเตอร์กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำการส่งออกผลไม้สดเกรดพรีเมี่ยม เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เพื่อเป็นเงินทุนในการขยายกิจการ พัฒนาสินค้าและโครงการสำคัญที่สร้างการเติบโตให้กับบริษัท รวมไปถึงการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้า คู่ค้า และสถาบันการเงิน เพิ่มโอกาสทางการค้าและการต่อยอดธุรกิจในอนาคต จากความน่าเชื่อถือ และภาพลักษณ์ที่ดีในการบริหารและมาตรฐานการดำเนินงาน ผ่านกลไกการเปิดเผยข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการจัดเตรียมไฟลิ่งเพื่อนำเสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในปี 2568           บริษัท เอ็นทีเอฟ อินเตอร์กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินธุรกิจส่งออกผลไม้สดเกรดพรีเมี่ยมสู่ตลาดต่างประเทศ มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจส่งออกผลไม้สด และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพของผู้บริหาร ที่ต้องการยกระดับผลไม้ไทยและเกษตรกรรมไทย สู่มาตรฐานอุตสาหกรรมผลไม้ในระดับสากลมากขึ้น โดยบริษัทเริ่มจากการส่งออกลำไย ทุเรียน มะพร้าวและผลไม้อื่นๆ ไปประเทศจีนเป็นตลาดส่งออกหลัก เนื่องจากเป็นประเทศที่นำเข้าทุเรียนและผลไม้สดมากที่สุดในโลก และความนิยมในการบริโภคของประชากรจำนวนมาก NTF ทำการตลาดในประเทศจีนภายใต้ 4 แบรนด์ ได้แก่ เหม่ย ลี่ (Mei Li), ไท่ จี้ (Tai Ji), จิน เยี่ยน (Jin Yan) และไท่ ถิง ห่าว (Tai Ting Hao) เพื่อให้เหมาะสมกับตัวแทนสินค้าที่จำหน่ายให้ลูกค้าแต่ละกลุ่ม ในตลาดสำคัญตามเมืองต่างๆ อาทิ กวางเจา (Guangzhou) ตลาดผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีนและใหญ่ที่สุดในโลก เจียซิง (Jiaxing) ตลาดผลไม้ที่มีปริมาณการซื้อขายที่ใหญ่ที่สุดของโลก และปักกิ่ง (Beijing) ศูนย์กลางตลาดค้าผลไม้ภาคเหนือ ซึ่งแบรนด์สินค้า 3 ใน 4 แบรนด์ของบริษัทติดท็อป 5 แบรนด์ผลไม้ที่เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในประเทศจีน ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าแบ่งเป็น สินค้าประเภททุเรียน 90% มีกำลังการผลิตปีละ 500 ตู้ ตู้ละ 16-18 ตัน หรือประมาณ 16,000-18,000 กิโลกรัมต่อตู้ สินค้าประเภทลำไย 8% กำลังการผลิตปีละ 300 ตู้ ตู้ละ 24-25 ตัน หรือประมาณ 24,000-25,000 กิโลกรัมต่อตู้ และอีกประมาณ 2% เป็นสินค้ามะพร้าวและผลไม้อื่นๆ ขณะที่การดำเนินงานของ NTF ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สามารถสร้างผลการดำเนินงานเติบโตแบบก้าวกระโดดต่อเนื่อง ปี 2563 บริษัทมีรายได้จำนวน 14 ล้านบาท ต่อมาปี 2564 มีรายได้ 184 ล้านบาท ปี 2565 มีรายได้ 351 ล้านบาท และปี 2566 มีรายได้ 561 ล้านบาท ส่วนในปี 2567 บริษัทคาดการณ์รายได้ไว้ที่ 1,000 -1,200 ล้านบาท          นายวิชัย กล่าวว่า บริษัทมีพันธมิตรผู้ผลิตผลไม้จำนวน 10 โรงงาน ตั้งอยู่ใน 5 จังหวัดสำคัญของแต่ละภูมิภาค ได้แก่ จังหวัดจันทบุรี จังหวัดชุมพร จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดลำพูน และจังหวัดราชบุรี สามารถบริหารจัดการสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการให้มากที่สุด โดยแต่ละโรงงานจะมีพนักงานของบริษัทตรวจสอบและควบคุมคุณภาพทุกขั้นตอนเพื่อให้ได้คุณภาพมาตรฐานตามคำสั่งซื้อของลูกค้า ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของสินค้าเกรดพรีเมี่ยมที่ส่งออกจาก NTF จนเป็นที่ยอมรับของลูกค้าและคู่ค้ามาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ปัจจุบัน NTF ยังได้รับความไว้วางใจจาก Dole ผู้ผลิตและจำหน่ายผักผลไม้สดและแปรรูประดับโลก ที่เล็งเห็นศักยภาพให้ NTF รับหน้าที่ผลิตผลไม้ประเภททุเรียนเกรดพรีเมี่ยม (OEM) เจ้าเดียวในประเทศไทย เพื่อส่งออกไปประเทศจีน โดย Dole ถือเป็นพันธมิตรที่เข้ามาช่วยเติมเต็มตลาด เช่นเดียวกับประเทศเวียดนามที่เข้ามาช่วยส่งเสริมการบริโภคของประชากรจีนให้มากขึ้น อีกทั้ง เชื่อว่าการทำตลาดในประเทศจีนจะนำมาซึ่งการแข่งขันด้านคุณภาพสินค้ามากกว่าด้านราคาเช่นที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ผู้ส่งออกตลอดจนเกษตรกรต้องพัฒนาผลผลิตให้มีคุณภาพมากขึ้น เริ่มตั้งแต่ออกผลผลิต การเก็บเกี่ยว ไปจนถึงการขนส่ง เพื่อให้สินค้าเป็นเกรดพรีเมี่ยมให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้ออย่างแท้จริง สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมการส่งออกทุเรียนไทยไปประเทศจีนต่อจากนี้ พบว่าการนำเข้าทุเรียนของจีนมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้บริโภคระดับกลางถึงระดับสูง ซึ่งให้ความสำคัญกับคุณภาพและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของทุเรียนไทย สะท้อนถึงศักยภาพของตลาดที่ยังเปิดกว้างสำหรับผู้ส่งออกไทย จากข้อมูลล่าสุด ณ 9 เดือนปี 2567 มีมูลค่าการส่งออกทุเรียนไทยรวมประมาณ 130,000 ล้านบาทใกล้เคียงมูลค่าส่งออกทุเรียนของตลอดทั้งปี 2566 ซึ่งการส่งออกของ NTF ในขณะนี้คิดเป็นเพียง 1% ของตลาดส่งออกทุเรียนทั้งหมด ดังนั้น บริษัทจะต้องบริหารการจัดหาสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการตามคำสั่งซื้อสินค้าที่เข้ามาต่อเนื่องตลอดทั้งปีเพื่อสร้างรายได้เพิ่มเช่นกัน “โอกาสในตลาดประเทศจีนยังมีช่องทางการเติบโตอีกมาก ด้วยจำนวนประชากรทำให้มีความต้องการบริโภคผลไม้ที่มาจากประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยสินค้าคุณภาพ รสชาติอร่อย มีผลผลิตและชนิดของผลไม้สลับตามฤดูกาลออกสู่ตลาดตลอดปี และNTF พยายามจำหน่ายผลไม้อื่นๆ นอกจากทุเรียนที่เป็นสินค้าหลักเข้าสู่ตลาดประเทศจีน เช่น ลำไย มะพร้าวน้ำหอม และชมพู่ ซึ่งนอกจากต้องการให้สินค้ามีความหลากหลายแล้ว ยังเป็นโอกาสให้ลูกค้าได้รู้จักและซื้อผลไม้ของไทยเพิ่มขึ้น เพื่อยกระดับผลไม้ของไทยสู่อุตสาหกรรมผลไม้คุณภาพในตลาดต่างประเทศมากขึ้นตามลำดับ” นายวิชัย กล่าว [PR News]

OSP พ้นจุดต่ำสุด จับตาโค้งท้ายโตแรง เป้า 28 บ.

OSP พ้นจุดต่ำสุด จับตาโค้งท้ายโตแรง เป้า 28 บ.

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” OSP ราคาเป้าหมาย 28 บาท ส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มชูกำลังของ OSP เดือน ต.ค. ในเชิงมูลค่ากลับมาฟื้นเป็น 45% จาก 44.8% ในเดือน ก.ย. โตได้ทั้งช่องทาง traditional และ modern trade ส่วนหนึ่งเพราะน้ำท่วมคลี่คลาย มูลค่าตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในไทยเดือน ต.ค. ยังโตต่อ +4% m-m, +12% y-y โดย OSP สามารถแย่งส่วนแบ่งกลับมาได้เล็กน้อย กลยุทธ์จะเน้นออกสินค้าหมายใหม่และสร้างตลาดด้วยสินค้าที่มีราคาสูงกว่า 10-12 บาท ส่วน 10 บาทยังมีขายเป็นทางเลือกให้ลูกค้าและเพื่อรองรับการแข่งขัน มองผ่านจุดต่ำสุดใน 3Q24 ไปแล้ว คาดกำไร 4Q24 จะกลับมาโต q-q และ y-y คาดกำไรปี 2025 จะกลับมาโตแรง +74% y-y แนวรับ 20.70-20.50//20 บาท แนวต้าน 21.50//22 บาท

จับตามาตรการของขวัญปีใหม่ CRC, COM7, HMPRO รับทรัพย์

จับตามาตรการของขวัญปีใหม่ CRC, COM7, HMPRO รับทรัพย์

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) จับตาสมาคมผู้ค้าปลีกไทยเรียกร้องรัฐบาล ขอให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เช่น ช้อปดีมีคืน และ Easy E-Receipt มองหนุนตลาดคาดหวังมาตรการของขวัญปีใหม่ที่นายกจะแถลง 12 ธ.ค. มองจิตวิทยาบวกต่อหุ้นค้าปลีกที่มียอดขายต่อบิลสูง อาทิ CRC, COM7, HMPRO

KSS คาด SET “Sideways Up” มองต้าน 1455 จุด ชูหุ้นนำ CRC, GULF, SAWAD

KSS คาด SET “Sideways Up” มองต้าน 1455 จุด ชูหุ้นนำ CRC, GULF, SAWAD

                  หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “Sideways/Up” ต้าน 1450/1455 จุด รับ 1435/1432 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อ ดัชนี S&P500 +0.3% ขับเคลื่อนจาก US Bond Yield 10 ปีดิ่งแรง -8 bps Dollar Index ติดแนวต้าน 107 จุด หลังตลาดมีมุมมองทางบวกต่อ การแต่งตั้งคุณ Bessent ดำรงตำแหน่ง รมว.คลังคนใหม่ ซึ่งท่าทีที่ชัดต่อการสนับสนุนการจัดเก็บภาษีนำเข้า (Tariff) อย่างค่อยเป็นค่อยไปผสาน ราคาน้ำมันร่วงเฉลี่ย -3% จากกระแสข่าวการหยุดยิงระหว่างอิสราเอล และ กลุ่มเฮซบอลเลาะห์ ถือเป็นภาพบวกต่อการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงโลก และ EM Asia ที่ตลาดกังวลผลกระทบนโยบายกีดกันการค้าในช่วงก่อนหน้า ภายในวันนี้ติดตามรายงานยอดส่งออก ต.ค. 24 คาดหลายสินค้าที่ยังมีโมเมนตัมที่ดียังพอมีแรงส่ง อาทิอาหารสัตว์เลี้ยง ไก่ ยาง ผสาน ภายในรัฐฯ เร่งการฟื้นตัว คาดใส่เงินกระตุ้นผ่ายมาตรการต่างๆช่วงต้นปี 25 ราว 0.5% ของ GDP           วันนี้คาด SET แกว่งขึ้น หุ้นนำ คือ กลุ่ม Bond Yield ดิ่งหนุน อาทิ เช่าซื้อ โรงไฟฟ้า สื่อสาร กลุ่ม Domestic ที่ได้จิตวิทยาบวกน้ำมันลง+มาตรการกระตุ้นภายในเพิ่มขึ้น อาทิ ค้าปลีก และหุ้น China Plays วันนี้แนะ CRC, GULF, SAWAD

ธุรกิจโลจิสติกส์ไทย เผชิญความท้าทายรอบด้าน

ธุรกิจโลจิสติกส์ไทย เผชิญความท้าทายรอบด้าน

https://youtu.be/FJz9pGp5J1M

[PR News] RBF ส่งซิกผลงานโค้งสุดท้ายปี 67 สดใส รับออเดอร์แน่น

[PR News] RBF ส่งซิกผลงานโค้งสุดท้ายปี 67 สดใส รับออเดอร์แน่น

         หุ้นวิชั่น - RBF ประเมินผลงานโค้งสุดท้ายของปี 2567 สดใสต่อเนื่อง รับแรงหนุนทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ แย้มเข้าสู่ช่วงเทศกาลปลายปีหนุนคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น ส่วนตลาด “เวียดนาม-อินโดฯ-อินเดีย” ยังฮอต ออเดอร์ไหลเข้าไม่หยุด มั่นใจหนุนผลงานเติบโตอย่างยั่งยืน          พ.ท.พญ.จัณจิดา รัตนภูมิภิญโญ กรรมการบริษัท และนายสุรนาถ กิตติรัตนเดช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ RBF ร่วมนำเสนอข้อมูลในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day)  ผ่านช่องทางออนไลน์ ถึงผลประกอบการไตรมาส 3/2567 มีรายได้ 1,082.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.04% จากไตรมาสก่อนที่ 1,030.55 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่  108.93ล้านบาท เพิ่มขึ้น  5.84 % จากไตรมาสก่อนที่ 102.92 ล้านบาท โดยการเติบโตดังกล่าวเป็นผลจากยอดขายในประเทศที่มีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สำหรับไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 บริษัทมองว่าทิศทางธุรกิจยังเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 3/2567 โดยมีปัจจัยหนุนจากยอดขายที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งจากในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งผลิตภัณฑ์ในกลุ่มแต่งกลิ่นรสและสีผสมอาหาร มีอัตราการเติบโตที่ดี อีกทั้งมีปริมาณการสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงเทศกาล หนุนให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ          ความคืบหน้าของธุรกิจในตลาดต่างประเทศ อย่างเช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และอินเดีย มีแนวโน้มการเติบโตที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเวียดนาม และอินโดนีเซีย ที่มียอดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน จากกำลังซื้อที่สูงในทั้งสองประเทศ  ซึ่งสอดคล้องกับอัตราการเติบโตของ GDP โดยเฉพาะเวียดนามมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงสุดในไตรมาสนี้ที่ 7.4% สะท้อนถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งและการขยายตัวของตลาดภายในประเทศที่มีแนวโน้มดีอย่างต่อเนื่อง ทำให้การบริโภคภายในประเทศเติบโตอย่างมีศักยภาพ นอกจากนี้โรงงานใหม่ (เฟส 2) ที่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งได้เริ่มเดินเครื่องผลิตอย่างเป็นทางการตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม 2567 ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง          เช่นเดียวกับประเทศอินเดีย มีปริมาณการส่งออกปรับตัวเพิ่มขึ้น และแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงาน คาดว่าจะเปิดดำเนินการในช่วงกลางปี 2568 ซึ่งภายหลังการเปิดดำเนินการคาดว่าจะทำให้ต้นทุนปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับที่เหมาะสม ส่งผลให้กำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น ส่วนการขยายตลาดในประเทศรัสเซีย คาดว่าจะเริ่มเห็นคำสั่งซื้อเข้ามาในช่วงต้นปี 2568 และมุ่งเน้นการใช้กลยุทธ์นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในท้องถิ่น [PR News]

MOSHI เศรษฐกิจฟื้น ท่องเที่ยวหนุน เป้า 58.86 บ. แนะ “ซื้อสะสม”

MOSHI เศรษฐกิจฟื้น ท่องเที่ยวหนุน เป้า 58.86 บ. แนะ “ซื้อสะสม”

 หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด แนวโน้มรายได้ MOSHI เติบโตเฉลี่ยปีละ 15-20% ในช่วงปี 66-68F ผลประกอบการ 3Q67 มีกำไรสุทธิ 108.14 ล้านบาท +33.2%QoQ, +29.8%YoY เติบโต QoQ แม้ใน 3Q จะเป็นช่วง low season ของธุรกิจ แต่เติบโตโดดเด่นตามการแก้ไขปัญหา Shortage การปรับปรุงสินค้าคงคลัง รวมถึง อานิสงส์จากการแจกเงิน 1 หมื่นช่วงปลายไตรมาส ส่งผลให้ SSSG ขยายตัว 5.7% เทียบกับไตรมาสก่อนที่-8.5% ส่วนการขยายตัว YoY ตามการขยายสาขาใหม่ 37 สาขา มาอยู่ 153 สาชา พร้อมกับความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่มีสินค้าใหม่กว่า 5,000 SKUs และความสำเร็จกับการผลิตภัณฑ์ Collaboration พิเศษ ได้แก่Moshi x Butter Club และ Moshi x Ten&Canale ด้าน GPM สิ้นงวดอยู่ที่ 52.8% ชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนที่ 53.1% และปีก่อนที่ 53.1% จากการร่วมมือกันข้าง แต่ถ้าไม่นับรายการดังกล่าว จะปรับตัวขึ้นเป็น 53.8% จากการปรับเพิ่มสัดส่วนของสินค้านำเข้าสำหรับ The OK. Station ผู้บริหารตั้งเป้าหมายการเติบโตเฉลี่ยของรายได้ (CAGR) ตลอดระยะ 3 ปี (66-68) เติบโตไม่ต่ำกว่า 15-20% โดยอัตราการเติบโตมาจากยอดขายจากร้านสาขาใหม่ และยอดขายจากสาขาเดิม ผ่านกลยุทธ์สำคัญต่างๆ ได้แก่ การขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ที่มีศักยภาพ การปรับสัดส่วนผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความ ต้องการของตลาด และการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ Collaboration ที่โดดเด่นเพื่อสร้างสีสันให้กับผู้บริโภค รวมถึง การได้รับแรงสนับสนุนจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และการกลับมาของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศ ส่วน GPM ที่ขยับขึ้นตามสัดส่วนสินค้า Moshi Moshi (GPM ราว 60-65%) และ The Ok station (GPM ราว 30%) ที่สูงขึ้น          Bloomberg consensus ประเมินกำไรสุทธิปี 67-68F เท่ากับ 495.8 ล้านบาท +27.5%YoY และ 606.6 ล้านบาท +21.6% YoY มีราคาเป้าหมายเฉลี่ย 58.86 บาท แนะนำ “ซื้อสะสม” เชิงเทคนิค : ระยะสั้นเน้นยืนแนวรับ 46.50/45.50 ไม่ควรต่ำกว่าลงมา แนวต้าน 49.25-50.00

THG ชี้แจงกรณี ’หมอบุญ วนาสิน‘ ปัจจุบันไม่เกี่ยวข้อง-ธุรกิจยังปกติ

THG ชี้แจงกรณี ’หมอบุญ วนาสิน‘ ปัจจุบันไม่เกี่ยวข้อง-ธุรกิจยังปกติ

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน ตามที่ปรากฏข่าวในสื่อต่าง ๆ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยสอบถาม บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ใคร่ขอเรียนชี้แจงดังนี้ 1. สถานะการเป็นกรรมการบริษัทฯ ตามที่ปรากฏข่าวในสื่อต่าง ๆ ว่าศาลออกหมายจับ นายแพทย์บุญ วนาสิน ในข้อหาฉ้อโกง และฟอกเงิน รวมถึง นางจารุวรรณ วนาสิน ภรรยาของนายแพทย์บุญ และนางสาวนลิน วนาสิน บุตรสาวของนายแพทย์บุญ และ นางจารุวรรณ ซึ่งนางจารุวรรณ และนางสาวนลิน ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการของบริษัทฯ โดยทั้งสองท่านได้เข้ามอบตัว ต่อตำรวจเพื่อแสดงความบริสุทธิ์พร้อมทั้ง ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยชี้แจงว่าลายมือชื่อในเอกสารที่เกี่ยวข้องกับข้อ กล่าวหาดังกล่าวถูกปลอมแปลง บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงว่าบริษัทฯ มิได้รับการติดต่อเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงใด ๆ จากทั้งสองท่านในกรณีที่มีข่าวการ แจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าวในสื่อต่าง ๆ และทั้งสองท่านยังมิได้แสดงเจตจำนงลาออกจากตำแหน่งกรรมการของบริษัทฯ แต่อย่างใด           ทั้งนี้ จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในปัจจุบัน และตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย การที่ทั้งสองท่านถูกแจ้งข้อกล่าวหา ยังมิได้ส่งผลให้ทั้งสองท่านขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทฯ เนื่องจากข้อกล่าวหาดังกล่าวยังอยู่ ระหว่างกระบวนการพิจารณาทางกฎหมาย และยังไม่มีคำตัดสินถึงที่สุด ทั้งนี้ แม้ว่าทั้งสองท่านจะดำรงตำแหน่งกรรมการของบริษัทฯ แต่กรรมการทั้งสองท่านถือเป็นเพียงกรรมการใน จำนวนทั้งหมด 15 ท่าน ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และทั้งสองท่านไม่ได้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้มี อำนาจตามหนังสือรับรองของบริษัทฯ ดังนั้น จึงไม่มีอำนาจกระทำการใด ๆ ในนามของบริษัทฯ ซึ่งจะสามารถผูกพัน บริษัทได้ การดำเนินงานของบริษัทฯ ยังคงดำเนินต่อไปตามปกติ และไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อการดำเนินธุรกิจ หรือการ ปฏิบัติงานของบริษัทฯ อย่างไรก็ดี คณะกรรมการบริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญของกรณีดังกล่าว และได้ติดตามความคืบหน้าอย่าง ใกล้ชิดเพื่อประเมินผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของบริษัทฯ โดยคณะกรรมการฯ อาจพิจารณานำเสนอเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ เพื่อพิจารณาถึงคุณสมบัติและความเหมาะสมของกรรมการทั้งสองท่านในการดำรงตำแหน่ง ต่อไป 2. ชี้แจงข่าวที่เกี่ยวกับนายแพทย์บุญวนาสิน 2.1 โครงการจิณณ์เวลบีอิง้เคาน์ตี้  บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงกรณีที่มีสื่อบางแห่งนำเสนอว่า นายแพทย์บุญ วนาสิน ได้นำเงินส่วนตัวเข้ามาร่วม ลงทุนในโครงการ “จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้” ร่วมกับบริษัทฯ ว่าข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง การลงทุนในโครงการ “จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้” นั้น เป็นการลงทุนของบริษัท ธนบุรี เวลบีอิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ โดยบริษัทฯ หน้า 2/3 ถือหุ้นเกือบทั้งหมดในบริษัทย่อยดังกล่าวมาตั้งแต่เริ่มต้นโครงการจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ การลงทุนในโครงการดังกล่าวได้รับ การอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ตั้งแต่ปี 2559และบริษัทฯ ได้รายงานความคืบหน้าของโครงการ ดังกล่าวอย่างต่อเนื่องในที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีของบริษัทฯ ทุกครั้ง รวมถึง ระบุข้อมูลที่เกี่ยวข้องไว้ในรายงาน ประจำปีของบริษัทฯ 2.2 ธุรกิจทางการแพทย์ 5 โครงการ ตามที่มีข่าวปรากฏในสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับการชักชวนนักลงทุนของนายแพทย์บุญ วนาสิน ในธุรกิจทาง การแพทย์ 5 โครงการ ได้แก่ (1) โครงการสร้างศูนย์มะเร็งย่านปิ่นเกล้า (2) โครงการเวลเนสเซ็นเตอร์ ย่านพระราม 3 ริมแม่น้ำเจ้าพระยา (3) โครงการโรงพยาบาลในลาว 3 แห่ง (4) โครงการเข้าร่วมทุนกับโรงพยาบาลในเวียดนาม (5) โครงการสร้าง Medical intelligence บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงว่าการชักชวนนักลงทุนต่าง ๆ ให้เข้าลงทุนในโครงการต่าง ๆ ข้างต้นนั้น เป็นการดำเนินการโดยนายแพทย์บุญ วนาสิน แต่เพียงผู้เดียว บริษัทฯ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด 2.3 ศูนย์มะเร็งย่านปิ่นเกล้า และแผนการสร้างโรงพยาบาลในเวียดนาม โครงการที่บริษัทฯ เข้าไปเกี่ยวข้องในช่วงแรก ได้แก่ (ก) การเข้าทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ส าหรับโครงการร่วมทุนในการสร้างศูนย์มะเร็ง ศูนย์ดูแลฟื้นฟู ผู้ป่วยหลังผ่าตัด ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุครบวงจร และศูนย์ดูแลสุขภาพองค์รวม ย่านปิ่นเกล้า (ข) เป็นการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนสร้างโรงพยาบาลในนครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ทั้งสองโครงการดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนของการศึกษาเบื้องต้น และการลงนามในบันทึกความเข้าใจเท่านั้น           โดยบริษัทฯ ได้พิจารณาแผนความเป็นไปได้ของโครงการทั้งสองอย่างละเอียดแล้ว และตัดสินใจไม่ด าเนินการลงทุนในทั้ง สองโครงการ การให้ข่าวเกี่ยวกับโครงการทั้งสองดังกล่าวเป็นการให้ข่าวโดยนายแพทย์บุญ วนาสิน เอง ซึ่งบริษัทฯ ไม่มี ส่วนรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับการให้ข่าวดังกล่าวแต่อย่างใด และต่อมาบริษัทฯ ได้มีหนังสือชี้แจงต่อสื่อมวลชนต่าง ๆ ว่า นายแพทย์บุญ วนาสิน ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการและประธานกรรมการของบริษัทฯ ตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2565 และปัจจุบันไม่ได้ดำรงตำแหน่งใด ๆ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารงานของบริษัทฯ บริษัทฯ ขอให้ความมั่นใจกับนักลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียทุกท่านว่า บริษัทฯ ยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส ยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล และมุ่งมั่นที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้นและนักลงทุนทุกฝ่าย ใน           ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ขอให้นักลงทุนโปรดใช้ความระมัดระวังในการรับข้อมูลข่าวสารที่ไม่ได้ออกโดยบริษัทฯ อย่างเป็นทางการ และควร ตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลดังกล่าวก่อนนำไปใช้ในการตัดสินใจลงทุน หน้า 3/3 หากมีข้อมูลเพิ่มเติมหรือความคืบหน้าใด ๆ บริษัทฯ จะเร่งดำเนินการแจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และนักลงทุนทราบโดยทันที

CBG ยอดขายโตไม่หยุด เคาะพื้นฐาน 95 บาท

CBG ยอดขายโตไม่หยุด เคาะพื้นฐาน 95 บาท

หุ้นวิชั่น  - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า Nielsen รายงาน Market Share เครื่องดื่มชูกำลังเดือน ต.ค. by volume ดังนี้CBG อยู่ที่ 25.5% (-80 bps MoM, +180 bps YoY)Carabao Dang อยู่ที่ 25.1% (-70 bps MoM, +220 bps YoY) มีมุมมองเป็นบวกจากประเด็นข้างต้น แม้ market share จะปรับตัวลดลง MoM เล็กน้อยจากแผนการจัด promotion ใน CVS แต่ยังเติบโต YoY อย่างไรก็ตาม รายได้เครื่องดื่มชูกำลังในประเทศ ต.ค. ยังทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง จาก volume ขายที่ดี เราคาด market share เดือน พ.ย. - ธ.ค. จะปรับตัวขึ้น จากการรุกทำการตลาดใน CVS เพิ่มขึ้น (คาดปิดปี 2024E Market share จะอยู่ที่ 26%) ทั้งนี้ เราคาดกำไร 4Q24E อยู่ที่ 879 ล้านบาท (+35% YoY, +18% QoQ) สูงสุดในรอบ 14 ไตรมาส หนุนโดย 1) high season คาดรายได้เครื่องดื่มชูกำลังในประเทศทำ All Time High ต่อ,ได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากแจกเงิน 10,000 บาทกลุ่มเปราะปรางหนุน distribution business โตต่อเนื่อง และรายได้ต่างประเทศเติบโตต่อเนื่อง และ 2) GPM ขยายตัว YoY ทรงตัว QoQ คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E ที่ 2,939 ล้านบาท (+53% YoY) สำหรับปี 2025E เราคาดกำไรสุทธิที่ 3,508 ล้านบาท (+19% YoY) จากรายได้ที่ขยายตัวต่อเนื่อง YoY และ GPM ขยายตัว เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” และคงราคาเป้าหมายที่ 95.00 อิง 2025E PER 27.0x (ใกล้เคียง -1SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี)

KSS ราคาน้ำมันปรับตัว พลังงาน PTTEP, PTT รับอานิสงส์

KSS ราคาน้ำมันปรับตัว พลังงาน PTTEP, PTT รับอานิสงส์

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ราคาน้ำมันดิบพลิกขึ้นแรงอีกครั้ง Brent +1.95%d-d ปิดที่ USD 74.23/barrel น้ำมันดิบ West Texas +1.34%d-d ปิดที่ USD 70.1/barrel แรงหนุนจาก สถานการณ์รัสเซีย –ยูเครน ล่าสุด รัสเซียได้ยิงขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) จากแคว้นอัสตราคันทางตอนใต้ของรัสเซียเพื่อโจมตียูเครน (เป็นครั้งแรกที่รัสเซียใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลทำสงครามกับยูเครน) KSS ประเมินแนวต้านของราคาน้ำมันดิบ WTI อยู่ที่ 73 USD ยังมอง Upside จำกัดหากสถานการณ์ไม่รุกลามบายปลายและกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานน้ำมัน จนเกิดภาวะ Suppl Shortage ประเมินความเสี่ยง สถานการณ์ตึงเครียดในช่วง 2 เดือนข้างหน้าจะค่อยๆลดลง คุณ Trump ที่มีท่าทีไม่สนับสนุนยูเครน เข้ารับตำแหน่ง ล่าสุด สหรัฐใช้สิทธิวีโต้ร่างมติในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ(UNSC)ในวัน20 พ.ย. โดยร่างมติดังกล่าวเรียกร้องให้มีการหยุดยิงอย่างถาวรในฉนวนกาซาโดยทันที โดยกรณี Base Case หากสถานการณ์เป็นไปในทิศทางข้างต้น มองความเสี่ยงเศรษฐกิจจำกัด ระยะสั้น ราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้น มองเป็นจิตวิทยาบวกในการเก็งกำใรในหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTTEP, PTT

หยวนต้าคาด SET Sideways up ในกรอบ 1,430-1,450 จุด พลังงานหนุน

หยวนต้าคาด SET Sideways up ในกรอบ 1,430-1,450 จุด พลังงานหนุน

                 หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน คาด SET Index เคลื่อนไหว Sideways to Sidewaysup ในกรอบ 1,430-1,450 จุด นอกเหนือจากหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทร อกนิกส์ที่จะยัง เคลื่อนไหวผันผวน โดยเฉพาะหุ้น DELTA ฝ่ายวิเคราะห์ประเมิน SET Index จะได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นในกลุ่มพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่น ที่มีแนวโน้มตอบรับเชิงบวกต่อราคาสินค้าพลังงานที่เร่งตัวขึ้น จากความกังวลต่อสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน แนะนำติดตามการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญคดีคุณทักษิณวันนี้ คาดเป็นจังหวะเข้าสะสมหุ้นในกลุ่ม DomesticPlay หากศาลรับคำร้อง          ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ปกคลุมตลาดตลาดหุ้นไทยไม่แย่แม้ปรับตัวลดลง -1.5% การปรับตัวลดลงของ SET Index วานนี้ที่ -22.0 จุด เทียบเท่า -1.5% ส่วนหลักเป็นผลมาจากการปรับตัวลดลงของกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์นำโดย DELTA (-16.4%) หลังถูกตลท. บังคับใช้มาตรการก ากับการซื้อขายระดับ 1 แต่หากสังเกตการเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมอื่นโดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น วัสดุก่อสร้าง (+0.8%), อาหารและเครื่องดื่ม (+0.4%),สื่อสาร (+0.8%) และปิโตรเคมี (+1.1%) เป็นต้น บรรยากาศการลงทุนจึงดูดีกว่าตลาดหุ้นเอเชียโดยรวม ที่ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในเชิงลบ จากความกังวลต่อปัจจัยเชิงภูมิรัฐศาสตร์ของสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นราคาสินค้าพลังงานปรับตัวขึ้นเด่นจากความกังวลต่อสงครามที่เพิ่มขึ้น ราคาสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำและ Dollar Index วานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังสื่อรายงานว่ารัสเซียได้ใช้ขีปนาวุธรูปแบบใหม่ในการโจมตียูเครน ต่อยอดความกั ง ว ลต่ อ ค ว า ม รุ น แ ร ง ข อ ง ส ง ค ร า ม ที่ เ พิ่ม ขึ้ น ห ลั งปร ะธานาธิบดีรัส เซีย ได้ลงนามแก้ ไขหลักการใช้อาวุธนิวเคลียร์ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในช่วงกลางสัปดาห์          นอกจากนี้ อีกหนึ่งสินทรัพย์ที่ปรับตัวขึ้นเด่นคือพลังงาน นำ โดยราคาน้ำมันดิบ BRENT ที่เร่งตัวขึ้น +2.0% เป็น US$74.23/bbl สูงที่สุดในรอบ 2 สัปดาห์ ตามด้วยราคาก๊าซธรรมชาติสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องอีก +4.5% เป็น 3.33USD/MMBtu คาด เป็นปัจจัยหนุนการ เก็งกำไรหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่นต่อเนื่อง         ในวันนี้จับตาการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญคดีคุณทักษิณวันนี้ อ้างอิงสถิติทางการเมืองเมื่อศาลรัฐธรรมนูญรับพิจารณาคดีสำคัญ หากศาลรัฐธรรมนูญรับคดีคุณทักษิณ-เพื่อไทยคาดตลาดอาจ เกิดความผันผวนในระยะสั้น (กรณีคุณประยุทธ์ SET INDEX ลงไปทำ Low ระหว่างวันที่ -9 จุด ก่อนจะกลับมาปิด -2 จุด) หากเกิดขึ้น เราประเมินจะส่งผลให้ตลาดผันผวนเชิงลบเพียงระยะสั้นและจะเป็นจังหวะเข้าสะสมหรือเก็งกำไรระยะสั้น ทั้งนี้ หาก ศาลไม่รับคำร้องจะเป็นบวกโดยตรงต่อ Domestic Play และหุ้นที่เชื่อมโยงทางการเมือง เช่น ค้าปลีก, รับเหมาก่อสร้าง, การเงิน, F&B เป็นต้น

สินเชื่อ ต.ค.เพิ่ม 0.2% หุ้นแบงก์ไหนเด่น เช็กเลย!

สินเชื่อ ต.ค.เพิ่ม 0.2% หุ้นแบงก์ไหนเด่น เช็กเลย!

        หุ้นวิชั่น- บทวิเคราะห์ บล.ดาโอระบุว่า ภาพรวมสินเชื่อเดือน ต.ค. 24 ทั้ง 7 ธนาคารที่เรา cover อยู่ที่ 10.7 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น +0.2% MoM ส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อรายใหญ่ ขณะที่สินเชื่อภาครัฐทรงตัว ส่วนสินเชื่อรายย่อยที่มาจากสินเชื่อเช่าซื้อยังคงลดลงต่อเนื่อง โดยธนาคารที่มีสินเชื่อเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือ BBL เพิ่มขึ้น +1.6% MoM จากสินเชื่อรายใหญ่และต่างประเทศ รองลงมาเป็น KBANK, TISCO เพิ่มขึ้น +0.3% MoM จากสินเชื่อรายใหญ่เป็นหลัก ส่วนสินเชื่อรายย่อยและ SME ยังคงหดตัวลง ขณะที่ธนาคารที่มีสินเชื่อลดลงมากที่สุด MoM คือ KKP -0.7% MoM ลดลงจากสินเชื่อเช่าซื้อทั้งในส่วนของรถใหม่และรถมือสอง รองลงมาเป็น TTB ลดลง -0.5% MoM จากสินเชื่อรายใหญ่และรายย่อย แต่สินเชื่อ High yield ยังเพิ่มขึ้น ส่วนภาพรวมของเงินฝากเดือน ต.ค. 24 อยู่ที่ 12.5 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น +1.8% MoM โดยธนาคารที่เงินฝากเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือ KTB เพิ่มขึ้นถึง +5.7% MoM จากเงินฝาก CASA ของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ รองลงมาเป็น SCB, KKP เพิ่มขึ้น +3.5%, +3.4% จากเงินฝาก CASA เป็นหลัก ส่วนเงินฝากที่ลดลงมากที่สุดคือ KBANK ลดลง -3.7% MoM จากเงินฝากประจำที่ลดลง (ที่มา: ข้อมูลบริษัท) บล.ดาโอ มองเป็นบวกต่อกลุ่มธนาคาร มีมุมมองเป็นบวกต่อสินเชื่อในเดือน ต.ค. 24 ที่กลับมาฟื้นตัวในรอบ 6 เดือนได้ที่ +0.2% MoM จากเดือน ก.ย. 24 ที่ลดลง -0.5% MoM โดยการเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อรายใหญ่เป็นหลัก ขณะที่สินเชื่อเช่าซื้อยังลดลงตามทิศทางของยอดขายรถยนต์ที่มีการปรับตัวลดลง และจากกำลังซื้อชะลอตัว รวมถึงหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ทำให้กลุ่มธนาคารมีการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ขณะที่เราคาดว่าสินเชื่อรายใหญ่และภาครัฐจะมี Momentum ที่เพิ่มขึ้นได้ในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. 24 ตามโครงการใหญ่ๆของภาครัฐที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้เรายังคงประมาณการการเติบโตของสินเชื่อรวมทั้งปี 2024E ของกลุ่มไว้ที่ +1% YoY (10M24 อยู่ที่ -1.6% YTD) ด้าน NPL เราคาดว่ามีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เราเชื่อว่าจะทยอยเพิ่มขึ้นไม่น่ากังวลมากนัก เพราะแต่ละธนาคารมีการตั้งสำรองฯจำนวนมากมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และมีการทยอยขายหนี้เสียออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยคาด NPL ในปี 2024E จะอยู่ที่ 3.29% จาก 2.92% ในปี 2023          ยังคงน้ำหนักเป็น “มากกว่าตลาด” เลือก KTB, KBANK เป็น Top pick ขณะที่ BBL จะได้รับผลบวกจากสินเชื่อที่เติบโตได้สูงสุดในเดือน ต.ค. 24 เราให้น้ำหนักการลงทุนของกลุ่มธนาคารเป็น “มากกว่าตลาด” เพราะแนวโน้มการเติบโตของกำไรปี 2024E-2025E จะยังเติบโตได้ต่อเนื่องอีก 5-6% YoY ขณะที่ valuation ยังถูก โดยเทรดที่ระดับเพียง 0.65x PBV (-1.25SD below 10-yr average PBV) ขณะที่เรายังคงเลือก KBANK, KTB เป็น Top pick ขณะที่ BBL จะได้รับผลบวกจากสินเชื่อที่เติบโตได้ในเดือน ต.ค. 24 - KTB ราคาเป้าหมายที่ 24.50 บาท อิง PBV 2025E ที่ 0.85x (-0.75SD below 10-yr average PBV) เพราะกำไรสุทธิปี 2024E อยู่ที่ 4.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นสูงที่สุดในกลุ่มธนาคารที่ +18% YoY ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไรสุทธิ 4Q24E จะเพิ่มขึ้น YoY แต่จะลดลง QoQ จาก OPEX ที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล และ KTB เน้นปล่อยสินเชื่อภาครัฐมากขึ้น ซึ่งเป็นสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำและรองรับกับสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงได้ - KBANK ราคาเป้าหมายที่ 176.00 บาท บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.70x (-1.00SD below 10-yr average PBV) เพราะคุณภาพของสินทรัพย์ที่ดีขึ้น และเราคาดหวัง JV AMC กับ BAM จะช่วยลด NPL ได้ในระยะยาว และคาดกำไร 4Q24E จะเพิ่มขึ้น YoY จากสำรองฯที่ลดลง โดยปัจจุบันซื้อขายเพียง 0.64x PBV (-1.25SD below 10-yr average PBV) ถูกกว่า SCB ที่ 0.81x PBV

AOT ผู้โดยสารโตต่อ โบรกชี้เป้า72 บาท

AOT ผู้โดยสารโตต่อ โบรกชี้เป้า72 บาท

        หุ้นวิชั่น- บทวิเคราะห์ บล.ดาโอ ยังคงแนะนำ “ซื้อ”   AOT และราคาเป้าหมาย 72.00 บาท อิง DCF (WACC 7%, terminal growth 3.5%) AOT รายงาน 4QFY24 มีกำไรสุทธิ 4.3 พันล้านบาท (+25% YoY, -6% QoQ) ใกล้เคียง consensus โดยยังคงเติบโตดี YoY จากจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นเป็น 29 ล้านคน (+14% YoY, +1% QoQ) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเติบโตจากผู้โดยสารระหว่างประเทศ ขณะที่ผู้โดยสารในประเทศยังทรงตัว นับว่ายังทำได้ดีแม้เป็นช่วง low season ส่วนกำไรลดลง QoQ เนื่องจากเริ่มได้รับผลกระทบจากการขอคืนพื้นที่บางส่วนจากคิงเพาเวอร์ รวมถึงการยกเลิกดิวตี้ฟรีขาเข้า ทำให้รายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ลดลง ดังนั้น ส่งผลให้ FY24 กำไรสุทธิ 1.9 หมื่นล้านบาท +118% YoY AOT แจ้งเรื่องการขอคืนพื้นที่บางส่วนเพิ่มเติมจากคิงเพาเวอร์ (KPS) เพื่อนำมาใช้ก่อสร้างอาคาร East Expansion ที่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยเราประเมินจะมีผลกระทบต่อรายได้ปี FY25E-FY27E ราวปีละ 300-350 ล้านบาท หรือคิดเป็นผลกระทบต่อกำไรลดลงราว -1% ซึ่งมีผลกระทบจำกัด ดังนั้น เราจึงยังคงประมาณการกำไร FY25E ที่ 2.3 หมื่นล้านบาท +20% YoY โดยประเมินจำนวนผู้โดยสารที่ 132 ล้านคน +11% YoY จากการท่องเที่ยวที่ดีขึ้น และการเปิด Runway 3 สนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้รองรับจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารได้เพิ่มมากขึ้น ราคาหุ้น underperform SET -3%/-10% ในช่วง 3 และ 6 เดือน จากข่าวการขอคืนพื้นที่จากคิงเพาเวอร์ และการยกเลิก duty free ขาเข้า แต่ราคาหุ้นทรงตัวใกล้เคียง SET ในช่วง 1 เดือน         ทั้งนี้ ยังแนะนำ ซื้อ โดยประเมินว่าราคาหุ้นจะกลับมา outperform ได้ดีในช่วง 1Q-2QFY25E ที่เข้าสู่ช่วง high season ของการท่องเที่ยว ทำให้กำไรกลับมาเติบโตโดดเด่น รวมถึงมีโอกาสที่ภาครัฐจะออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยเพิ่มจำนวนผู้โดยสารให้ AOT ได้

TACC ปล่อยของโค้งท้าย ไฮซีซั่นพายอดพุ่ง-เป้า7.58บ.

TACC ปล่อยของโค้งท้าย ไฮซีซั่นพายอดพุ่ง-เป้า7.58บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) TACC หรือ บริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) แจ้งกำไรสุทธิ Q3/67 ที่ 61 ล้านบาท (+19% Y-Y , -12% Q-Q) เทียบกับปีก่อนยังเติบโตได้ดีตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นและการขยายสาขาของ CPALL ที่ยังมีอย่างต่อเนื่องส่วนเทียบกับ Q2/67 การลดลงเป็นผลตามฤดูกาลเพราะเข้าสู่ช่วงหน้าฝน แต่สิ่งที่ดีคือกำไรขั้นต้นยังรักษาระดับ 33% ไว้ได้แม้รายได้จะลดลง 3% Q-Q ก็ตาม โดยฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าผลประกอบการช่วง Q4/67 จะกลับมาเติบโตได้อีกจากการเข้าสู่ช่วง High Seasons ของการท่องเที่ยว ทั้งนี้กำไรทั้งปีที่ประเมินที่ 237 ล้านบาท (+15% Y-Y) อาจจะเป็นระที่ดิบที่ต่ำไป ฝ่ายวิเคราะห์จึงมีโอกาสที่จะปรับประมาณการเพิ่มในอนาคต จากแนวโน้มข้างต้น ฝ่ายวิเคราะห์จึงยังคงแนะนำ "ซื้อ" เช่นเดิม TACC กำไรสุทธิ Q3/67 ที่ 61 ล้านบาท (+19% Y-Y , -12% Q-Q) เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนยังเติบโตดีตามการเปิดสาขาของ 7-11 และภาคการท่องเที่ยวเติบโตดี ส่วนเทียบกับ Q2/67 ลดลงตามผลของฤดูกาล ส่วนรายได้ 481 ล้านบาท (+13% Y-Y , -3% Q-Q) มีปัจจัยบวกจากการเปิดสขาใหม่ของ CPALL ที่มีอีกประมาณ 180 สาขา ในไตรมาสที่ผ่านมา รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นที่ 33% ใกล้เคียงกับปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้าถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี แม้ว่าต้นทุนจะปรัตวเพิ่มขึ้น แต่บริษัทรักษาระดับความสามารถในการทำกำไรได้ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 86 ล้านบาท (+14% Y-Y , +3% Q-Q) เพิ่มขึ้นส่วนของค่าใช้จ่ายในการบริหารจากการปรับเงินเดือน และการปรับปรุงโรงงานทำให้มีการบันทึกค่าใช้จ่ายส่วนของการผลิตมาเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหาร รวมแล้วใน 9เดือนแรกปี 67 TACC มีกำไรสุทธิ 191 ล้านบาท (+29% Y-Y) คิดเป็นสัดส่วน 81% ของกำไรสุทธิทั้งปีที่ฝ่ายวิเคราะห์ที่ 237 ล้านบาท แนวโน้มช่วง Q4/67 คาดว่าผลประกอบการจะกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกทั้งจากการเข้าสู่ช่วง  High Seasons ของการท่องเที่ยว รวมกับการขยายสาขาทื่ยังมีอย่างต่อเนื่องทั้งของ 7-11 และร้านกาแฟพันธุ์ไทย นอกจากนี้ยังได้รับผลดีจากลิขสิทธิ์ตัวละครใหม่จากทางวิธิตา เอนิเมชั่น เพิ่มทำให้มีการโอกาสขยายตลาดได้อีกทาง จากกำไร 9 เดือนแรกปี 67 ที่คิดเป็นสัดส่วน 81% ของกำไรทั้งปีที่ 237 ล้านบาท ที่ฝ่ายวิเคราะห์คาดไว้ ขณะที่แนวโน้มช่วง Q4/67 ยังคงดูดีจากเหตุผลข้างต้น ทำให้ฝ่ายวิเคราะห์ปรับกำไรทั้งปีขึ้นจากเดิม 8% มาอยู่ที่ระดับ 256 ล้านบาท ทั้งนี้ความเสี่ยงที่ต้องติดตามคือต้นทุนกาแฟว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่

[Gossip] SVR ปิลดีล 2 โครงการใหม่ ส่งท้ายปี ยกระดับ UPPER CLASS

[Gossip] SVR ปิลดีล 2 โครงการใหม่ ส่งท้ายปี ยกระดับ UPPER CLASS

เรียกได้ว่าเป็นคิวทองช่วงโค้งสุดท้ายของอสังหาริมทรัพย์จริงๆ เพราะหลัง กนง.ลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในช่วงที่ผ่านมา ส่งสัญญาณเชิงบวกต่อภาคอสังหาฯ และแรงหนุนต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ล่าสุด แม่ทัพใหญ่ “รณฤทธิ์ ฐิติสุริยารักษ์” ไม่รอช้า ประกาศลุยเปิด 2 โครงการใหม่ ซึ่งเป็นโครงการระดับ UPPER CLASS ช่วงโค้งสุดท้าย สิวารมณ์ ไฮด์ (บางแค-สาทร) และสิวารมณ์ ไฮด์ (พุทธมณฑล-สาย 3) สู่การยกระดับฐานลูกค้าใหม่ในกลุ่ม High-End เพื่อขยายพอร์ตลูกค้าให้ใหญ่ขึ้น ซึ่งงานนี้การันตีเลยว่า ทั้ง 2 ทำเลตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของทุกกลุ่มผู้บริโภคอย่างแน่นอน งานนี้ผู้บริหาร ยังแอบกระซิบอีกว่าตอนนี้ได้เริ่มทำการตลาดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะมีการรับรู้รายได้ชัดเจนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตสู่ระดับ High Growth ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป

BLC เฮ! สธ. ดันมูลค่าใช้ยาสมุนไพรทะลุ 3,000 ล. ในปี 69 เร่งพัฒนานวัตกรรมสมุนไพรไทย

BLC เฮ! สธ. ดันมูลค่าใช้ยาสมุนไพรทะลุ 3,000 ล. ในปี 69 เร่งพัฒนานวัตกรรมสมุนไพรไทย

         หุ้นวิชั่น - บมจ. บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค หรือ BLC รับปัจจัยบวกจากนโยบายกระทรวงสาธารณสุข ที่ประกาศเพิ่มรายการยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพรรวม 106 รายการ ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการใช้ยาจากสมุนไพรแตะ 3,000 ล้านบาท ภายในปี 2569 มุ่งลดการนำเข้ายา สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ เร่งพัฒนานวัตกรรมสมุนไพร ด้วยเทคโนโลยีผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานเดียวกับยาแผนปัจจุบัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และมีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังสามารถนำผลิตภัณฑ์สมุนไพรนวัตกรรมจากไพล เข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร เพิ่มการเข้าถึงยานวัตกรรมสมุนไพร ขานรับนโยบายมุ่งลดการพึ่งพิงยานำเข้าจากต่างประเทศ ร่วมขับเคลื่อนการเติบโตอุตสาหกรรมยาของประเทศไทยให้ยั่งยืน           ภก.สุวิทย์ งามภูพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค จำกัด (มหาชน) หรือ BLC เปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุขได้เห็นชอบสนับสนุนแนวทางการส่งเสริมการใช้ยาจากสมุนไพรในระบบบริการสุขภาพ โดยเพิ่มรายการยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพรรวม 106 รายการ ซึ่งสามารถเบิกจ่ายจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) แบบ Fee Schedule พร้อมปรับระบบบริการผู้ป่วยนอก (OPD) ให้เอื้อต่อการสั่งจ่ายยาของแพทย์ เพื่อส่งเสริมการใช้ยาจากสมุนไพร 32 รายการ ใน 10 กลุ่มอาการของโรคที่พบบ่อย ได้แก่ กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและปวดข้อ, ไข้หวัด/โควิด-19, ท้องอืด ท้องเฟ้อ, ท้องผูก/ริดสีดวงทวารหนัก, วิงเวียน/คลื่นไส้ อาเจียน, ชาจากอัมพฤกษ์-อัมพาต, ผิวหนัง/แผล, นอนไม่หลับ, ท้องเสีย (ไม่ติดเชื้อ), เบื่ออาหาร โดยตั้งเป้าให้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10% เพื่อลดการพึ่งพิงยานำเข้าจากต่างประเทศ ทั้งนี้ จากรายงานภาพรวมมูลค่าการใช้ยาในสถานบริการสาธารณสุขของรัฐในปีงบประมาณ 2567 มีมูลค่ารวม 70,542 ล้านบาท เป็นยาแผนปัจจุบัน 68,983 ล้านบาท คิดเป็น 97.79 % และยาจากสมุนไพร 1,560 ล้านบาท คิดเป็น 2.21 % โดยกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการใช้ยาจากสมุนไพรเป็น 1,500 ล้านบาท ภายในปี 2568 และเพิ่มขึ้นเป็น 3,000 ล้านบาท ในปี 2569 โดยนโยบายดังกล่าวส่งผลดีต่อ BLC โดยตรง ในฐานะผู้ผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาแผนปัจจุบัน ประเภทยาสามัญ และยาสามัญใหม่ ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสมุนไพร ผลิตภัณฑ์ยาสำหรับสัตว์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพครบวงจร ครอบคลุมกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่มุ่งมั่นวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร เพื่อสร้างนวัตกรรมสมุนไพรไทย ให้ตอบสนองความต้องการของตลาด และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย           ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BLC กล่าวว่า บริษัทฯ ได้พัฒนานวัตกรรมสมุนไพร เพื่อต่อยอดโอกาสทางธุรกิจ และสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสมุนไพรจากไพล พริก กระชายดำ ว่านหางจระเข้ และใบบัวบก ด้วยกระบวนการผลิตมาตรฐานเดียวกันกับยาแผนปัจจุบัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยปัจจุบันบริษัทฯ ได้นำผลิตภัณฑ์สมุนไพรนวัตกรรมจากไพล เข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร ทำให้ใช้สวัสดิการประกันสุขภาพของรัฐบาลเบิกจ่ายได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงยาของผู้ป่วย และสนับสนุนยอดขายให้เติบโตขึ้น “BLC มั่นใจว่าการเพิ่มรายการยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงยาจากสมุนไพรที่มีคุณภาพ สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และผลักดันให้ยาจากสมุนไพรไทยเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ BLC ในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมสมุนไพรไทย เพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของคนไทย และขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศอย่างยั่งยืน” ภก.สุวิทย์ กล่าว  [PR NEWS]

TOP มองค่าการกลั่นปี68ฟื้นตัว ศึกษาธุรกิจใหม่ไบโอเจท-CCUS

TOP มองค่าการกลั่นปี68ฟื้นตัว ศึกษาธุรกิจใหม่ไบโอเจท-CCUS

         หุ้นวิชั่น - TOP หวังค่าการกลั่นฟื้นตัวในปี 2568 เร่งเครื่องโครงการพลังงานสะอาด (CFP) พร้อมขยายธุรกิจและสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างความมั่นคงพลังงานไทยในระยะยาว ยังเดินหน้าศึกษาธุรกิจใหม่ๆ ร่วมกับ กลุ่ม ปตท. และพันธมิตรอื่นๆ เช่น Bio surfactant, Blue หรือ Green Hydrogen, น้ำมันอากาศยานชีวภาพ (Bio Jet),การดักจับ กักเก็บและใช้ประโยชน์จากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCUS)สร้างมูลค่าเพิ่มและขยายธุรกิจในระยะยาว           นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แม้เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยยังคงมีความผันผวน แต่ยังคงมีปัจจัยบวกที่จะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมพลังงานและโรงกลั่นในปี 2568 อยู่บ้าง โดยความต้องการน้ำมันอากาศยานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการเติบโตของเที่ยวบินพาณิชย์ โดยเฉพาะในเอเชียที่มีอัตราการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลายลงซึ่งไทยออยล์ครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดประมาณ 50% รวมถึงอุปสงค์ของน้ำมันดีเซลที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากการเติบโตทางเศรษฐกิจในเอเชีย ส่วนตลาดน้ำมันเบนซินแม้ความต้องการใช้ยังคงเติบโตแต่อาจจะได้รับแรงกดดันจากอุปทานของโรงกลั่นใหม่ที่จะเริ่มดำเนินการผลิตในปีหน้า ทำให้ค่าการกลั่นมีแนวโน้มฟื้นตัวได้บ้างในปี 2568 อย่างไรก็ตาม คาดว่ายังคงจะเป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจโรงกลั่นในระยะยาว” ไทยออยล์พร้อมรับมือกับความท้าทายและคว้าโอกาสในการเติบโตโดยกำหนดกลยุทธ์หลัก 4 ด้านในปี 2568 ประกอบด้วย • เสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจโรงกลั่น (Strengthen Refinery Business) และ เร่งเดินหน้าโครงการพลังงานสะอาด (CFP) : ไทยออยล์ให้ความสำคัญกับโครงการพลังงานสะอาดที่ถือเป็นกุญแจหลักในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับไทยออยล์ในระยะยาว รวมถึงการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการเพิ่มผลผลิต (Productivity Improvement) เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันและควบคุมต้นทุน สำหรับความคืบหน้าโครงการ CFP มีความสำเร็จส่วนแรก คือ การทดลองเดินเครื่องจักรหน่วยกำจัดกำมะถันในน้ำมันดีเซล (HDS-4) ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2567 เพื่อรองรับการผลิตน้ำมันดีเซลมาตรฐาน Euro 5 ซึ่งสนับสนุนนโยบายการใช้น้ำมันที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นของภาครัฐในต้นปี 2567 โครงการ CFP อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างหน่วยผลิตต่างๆ และได้นำเครื่องจักรหลักเข้ามาในพื้นที่ก่อสร้างเป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 ที่ผ่านมา ทั้งนี้หน่วยกลั่นน้ำมันดิบที่ 4 (CDU-4) มีความคืบหน้าไปมากกว่าส่วนงานอื่นๆ ในขณะที่หน่วย Residue Hydrocracking Unit (RHCU) ซึ่งเป็นหน่วยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ โดยเปลี่ยนน้ำมันเตา และยางมะตอยให้เป็นน้ำมันอากาศยานและน้ำมันดีเซลนั้น อยู่ระหว่างเร่งติดตั้งอุปกรณ์เครื่องจักรและเชื่อมต่อระบบท่อต่างๆ โดยเป็นหน่วยผลิตที่มีความสลับซับซ้อนอยู่ในพื้นที่จำกัด จึงมีความคืบหน้าของงานน้อยกว่าหน่วยผลิตอื่น • ขยายห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain Extension): มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง สำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ เพื่อขยายช่องทางการจำหน่าย และขยายตลาดไปยังประเทศที่มีศักยภาพสูง เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และอินเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อยอดธุรกิจสารเคมีในกลุ่มสารฆ่าหรือยับยั้งเชื้อโรคและสารลดแรงตึงผิว (Disinfectant & Surfactants: D+S) โดยมีบทบาทสำคัญในตลาดผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อที่มีแนวโน้มเติบโตสูง นอกจากนี้ ภายใต้แนวทางการดำเนินงาน TOP for The Great Future ไทยออยล์ยังเดินหน้าศึกษาธุรกิจใหม่ๆ ร่วมกับ กลุ่ม ปตท. และพันธมิตรอื่นๆ เช่น Bio surfactant, Blue หรือ Green Hydrogen, น้ำมันอากาศยานชีวภาพ (Bio Jet),การดักจับ กักเก็บ และใช้ประโยชน์จากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCUS) • เสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน (Financial Strength): ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการบริหารความเสี่ยงด้านราคาสินค้าโภคภัณฑ์และอัตราแลกเปลี่ยนอย่างรอบคอบ เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงิน และรักษาอันดับความน่าเชื่อถือให้อยู่ในระดับน่าลงทุน ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน • ขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน (Drive for Sustainability): มุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) โดยมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การสร้างคุณค่าให้กับสังคมและชุมชน ผ่านโครงการต่างๆ เช่น การส่งเสริมการศึกษา การสร้างอาชีพ และการเข้าถึงสาธารณสุขในพื้นที่ห่างไกล           นายบัณฑิต กล่าวเสริมว่า “เรามั่นใจว่ากลยุทธ์ทั้ง 4 ด้านนี้จะช่วยให้ไทยออยล์สามารถรับมือกับความท้าทายและบรรลุเป้าหมายการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว พร้อมสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมให้กับผู้ถือหุ้น และสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศไทย” ทั้งนี้ ไทยออยล์มีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ในปัจจุบันที่กลุ่มบริษัทผู้รับเหมาช่วงของ UJV - Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd. (“Samsung”), Petrofac South East Asia Pte. Ltd. (“Petrofac”) และ Saipem Singapore Pte. Ltd. (“Saipem”) ได้ลงมติจะไม่ดำเนินงานก่อสร้างโครงการ CFP หาก UJV– Samsung, Petrofac และ Saipem ไม่ชำระหนี้ค้างชำระทั้งหมด ซึ่งไทยออยล์ตระหนักถึงความเดือดร้อนของผู้รับเหมาช่วงที่ไม่ได้รับเงินดังกล่าว โดยไทยออยล์ได้มีการทำหนังสือเร่งรัดให้ UJV – Samsung, Petrofac และ Saipem ตลอดจนบริษัทแม่ของ UJV– Samsung, Petrofac และ Saipem ชำระค่าตอบแทนค้างจ่ายให้แก่บริษัทผู้รับเหมาช่วงมาโดยตลอด เพราะเป็นหน้าที่ตามเงื่อนไขของสัญญารับเหมาช่วง จากกรณีดังกล่าว ไทยออยล์และผู้รับเหมาช่วง ต่างเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการไม่ทำตามสัญญาของ UJV – Samsung, Petrofac และ Saipem ดังนั้น การเร่งบริหารจัดการโครงการ CFP จึงเป็นเป้าหมายหลักและเร่งด่วน ที่ไทยออยล์มุ่งมั่นในการดำเนินการก่อสร้างโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยได้ติดตามความคืบหน้าเหตุการณ์ล่าสุดอย่างใกล้ชิด และได้ประเมินผลกระทบทั้งด้านแผนงานของโครงการ (Project Timeline) ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น และผลกระทบต่อระบบนิเวศทางธุรกิจ รวมทั้งเร่งดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้นกับไทยออยล์ ตลอดจนเตรียมแนวทางดำเนินการที่เหมาะสมเพื่อผลักดันการเดินหน้าโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จอย่างละเอียดรอบคอบ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของไทยออยล์และผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ ซึ่งปัจจุบัน คาดว่าจะมีความ ชัดเจนในช่วงต้นปี 2568 ถึงแม้ว่า สถานการณ์การเรียกร้องค่าตอบแทนค้างจ่ายของผู้รับเหมาช่วงจาก UJV– Samsung, Petrofac และ Saipem จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินโครงการ CFP ให้ล่าช้า แต่ก็ไม่ได้ทำให้โครงการ CFP จะต้องเลื่อนเปิดดำเนินการออกไปอย่างไม่มีกำหนดแต่อย่างใด แม้จะยังคงมีอุปสรรคและความท้าทายอีกมาก ไทยออยล์ยังมุ่งมั่นที่จะเร่งดำเนินการก่อสร้างโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ และเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

เป้า BA สูงกว่าคาด ไฮซีซั่นหนุน ชูพิกัด 28.75 บาท

เป้า BA สูงกว่าคาด ไฮซีซั่นหนุน ชูพิกัด 28.75 บาท

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) สรุปประเด็นสำคัญงานประชุมนักวิเคราะห์ (20 พ.ย.) BA ยังคงเป้าหมายปี 2024F ที่รายได้จากธุรกิจสายการบิน 18,000 ลบ. (+20%yy) ภายใต้ปริมาณผู้โดยสาร 4.5 ล้านคน (+13%yy) ราคาตั๋วเฉลี่ย 4,000 บาท (+6%yy) และอัตราบรรทุกผู้โดยสาร (Load Factor) 83% (+3 pp yy) BA เชื่อราคาตั๋วเฉลี่ยยังทรงตัวสูงต่อในปี 2025F เนื่องจากอุตฯ การบินยังมีข้อจำกัดทางด้าน Supply Chain ทำให้ต้นทุนค่าซ่อมบำรุง ค่าอะไหล่ ยังอยู่ในระดับสูงอย่างน้อยอีก 1 ปี และคาด Demand การเดินทางยังอยู่ในระดับสูง BA เตรียมปรับฝูงบินใหมทั้งฝูง คาดได้ข้อเสนอเพื่อนำมาพิจารณาจากผู้ขาย/ผู้ให้เช่าภายในปี 2024อย่างไรก็ตาม การรับเครื่องจะเป็นไปในลักษณะทยอยรับเครื่องใหม่ให้สอดคล้องกับเครื่องเดิมที่หมดอายุสัญญา BA เริ่ม Hedge น้ำมันแล้ว จำนวน 120,000 barrel (<30% ของปริมาณที่ต้องใช้) ที่ราคา 84-86 USD/barrel โดยมีนโยบาย Hedge ไม่เกิน 70% ของปริมาณใช้ใน 1 ปีข้างหน้า ส่วนน้ำมัน SAF คาดว่าจะมีการเริ่มใช้มากขึ้นในปี 2026F จะปัจจุบันผู้ผลิตในประเทศยังอยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงาน           ฝ่ายมอง Slightly Positive ต่อ ข้อมูลที่ แนวโน้มผลประกอบการและเป้าหมายปี 2024F ของบริษัทใกล้เคียงคาด (รายได้ธุรกิจสายการบิน 18,734 ลบ. ปริมาณผู้โดยสาร 4.5 ล้านคน ราคาตั๋วเฉลี่ย 4,154 บาท Load Factor 82%) ส่วนปี 2025F มีโอกาสเกิด Upside จากสมมติฐานของเราที่คาดราคาตั๋วเฉลี่ย -2%yy และ Load Factor -2 pp yy (หากเป็นไปตามเป้าบริษัทกำไรปี 25F จะเติบโต 6-7%yy vs คาดที่ -14% ถึง -15%yy หรือมี Upside จากที่คาดเดิมราว 25%) BA hedge น้ำมันได้ที่ราคาต่ำกว่าสมมติฐาน โดยฝ่ายวิะเคราะห์มีสมมติฐานราคาน้ำมันปี 2025F ที่ 94.5 USD/Barrel อย่างไรก็ตาม อัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน (ราว 34 บาท) อ่อนกว่าสมมติฐานที่ 32 บาท จึงทำให้ต้นทุนน้ำมันมี Downside จากคาดไม่มาก          คงคำแนะนำ Buy ราคาเป้าหมาย (TP25F) 28.75 บาท ประเมินด้วยวิธี SOTPs เทียบเท่า P/E’25F ที่ 18x ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต (22x) เล็กน้อย แม้ BA จะผ่านช่วง High season ไตรมาสสามของสมุยมาแล้ว อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการยังมีแนวโน้มแข็งแรงต่อเนื่องจากที่เข้าสู่ช่วง High season ของการเดินทางท่องเที่ยวใน 4Q24-1Q25 นอกจากนี้ ผลประกอบการปี 2025F ยังมีโอกาสเกิด Upside หากทำได้ตามเป้าหมายของบริษัท และมี Upside risk จากโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและ Entertaiment complex ที่คาดว่าจะมีความชัดเจนขึ้นในปี 2025F 

SYNEX สินค้าAiไหลเข้า หนุน Q4 ทุบสถิติ

SYNEX สินค้าAiไหลเข้า หนุน Q4 ทุบสถิติ

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด SYNEX ผลประกอบการ 3Q67 เติบโตเด่น แม้ได้ขาย iphone16 เพียง 7 วัน ▪ กำไรปกติ3Q67 ที่142 ล้านบาท (+9% QoQ, +21% YoY) หนุนจากรายได้ที่แข็งแกร่งเติบโต 8% QoQ 15% YoY ▪ รายได้กลุ่ม Communication ใน 3Q67 คิดเป็น 46% ของกลุ่ม ยอดขายทำได้4.8 พันล้านบาท (+27% YoY) หนุนจาก a) ยอดขายสินค้ากลุ่ม Apple เติบโต 12% YoY ทั้งๆที่มีวันขายเพียง 7 วัน ส่วนหลักมาจากการเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายผ่าน Advice และ JIB b) สินค้ากลุ่ม honor ที่โตแรงและ c) สินค้ากลุ่ม smart watch ที่เติบโตโดดเด่น ▪ รายได้กลุ่ม IT consumer & gaming คิดเป็น 31% ของกลุ่ม ยอดขาย 3Q67 ทำได้3.3 พันล้านบาท (-5% YoY) ดีกว่าภาพตลาดโดยรวมที่ลดลง 9.7% YoY แม้ยอดขายลงแต่กำไรของกลุ่มรักษาระดับได้จากกลยุทธ์เน้นการขายสินค้าที่ทำกำไรสูงขึ้น ▪ รายได้ Commercial 23% ของรายได้กลุ่ม ยอดขาย 3Q67 ทำได้ 2.5 พันล้านบาท (+31% YoY) หลักๆ จากการรับรู้ autodesk เต็มไตรมาสเป็นไตรมาสแรก และสินค้ากลุ่ม Surveillance ขายดี Guidance 4Q67 เติบโตเด่นทั้ง QoQ และ YoY ปัจจัยสนับสนุนสำคัญใน 4Q67 ได้แก่ ▪ สินค้ากลุ่ม AI เข้าตลาดมากขึ้น พร้อม use case เช่น Apple intelligence ที่เริ่มเข้ามาสร้างประสบการณ์ใหม่ๆให้กับลูกค้า ▪ การเปิดตัวสินค้าใหม่คึกคัก Apple เปิดตัวทั้ง Mac Mini, Ipad mini7, และ iPhone16 จะรับรู้เต็ม ไตรมาสเป็นไตรมาสแรก เช่นเดียวกับสินค้ากลุ่ม Honor และ Medical device ที่เข้าสู่ตลาดเพิ่มเติม ▪ สินค้า AI PC เริ่มเข้าสู่ตลาดในช่วงกลาง 4Q67 โดยจะเน้นสินค้ารุ่น high-end เป็นหลัก ▪ SYNEX จัดงาน Thailand game show กระตุ้นตลาด gaming ▪ เปิดร้าน Nintendo authorized store ในวันที่ 22 พย ที่ห้างสยามพารากอน กระตุ้นตลาด gaming และของสะสม ▪ เซ็น mou กับ axis communication เพื่อขยายตลาดกล้องวงจรปิดแบบ high-end และเติมสินค้า กลุ่ม solution ให้กับกลุ่ม Guidance 2568 อย่างน้อยที่รายได้หลักระดับ 4.5 หมื่นล้านบาท           SYNEX ยังไม่มีเป้าหมายอย่างเป็นทางการสำหรับปี 2568 เนื่องจากอยู่ระหว่างจัดทำแผนงาน แต่โดย เบื้องต้นบริษัท ประเมินว่าจะเติบโตได้ที่ระดับอย่างน้อย 4.5 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 7% YoY เทียบกับคาดการณ์รายได้ของในปีนี้

TEGH โค้งท้ายเร่งตัวขึ้นต่อ เด่นทุกธุรกิจ เป้า 5 บ.

TEGH โค้งท้ายเร่งตัวขึ้นต่อ เด่นทุกธุรกิจ เป้า 5 บ.

        หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด TEGH ธุรกิจยางธรรมชาติ: แนวโน้มปริมาณขาย 4Q67 คาดจะเร่งตัวขึ้นเป็นราว 66,000 ตัน (จาก3Q67 ที่ 59,500 ตัน) สะท้อน Demand ที่ยังแข็งแกร่ง และรับรู้กำลังการผลิตของเตาหลอมใหม่ (+25% หรือราว 70,000 ตัน/ปี) เต็มไตรมาส รวมถึงปริมาณขายยาง EUDR คาดจะสูงขึ้นต่อ QoQ เป็นราว 40% ของปริมาณขายรวมทั้งหมด หรือราว 25,000 ตัน หนุน Product Mix ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยคาดมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อตามยางตลาด SICOM หนุนSpread ยาง และ GPM ธุรกิจยางให้ดีขึ้นต่อ ดังนั้นประเมินว่ากำไรธุรกิจยางจะเติบโตขึ้นทั้ง QoQ และ YoY ทั้งจากรายได้ที่เติบโต และ GPM ที่ดีขึ้น ▪ การเลื่อนบังคับใช้ EUDR บริษัทมองว่าจะกระทบคำสั่งซื้อบางส่วนให้ชะลอไปในช่วง 1H68 อย่างไรก็ตามบริษัท ยังเห็นสัญญาณบวกจากคำสั่งซื้อจากบริษัทล้อยางชั้นนำของโลกที่ยังเข้ามาต่อเนื่อง และบริษทตั้งเป้าปริมาณขายยาง EUDR ในช่วง 1H68 ที่ 40% ของปริมาณขายยางแท่งทั้งหมด หรือเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับช่วง 4Q67 ไม่ได้ลดลง และคาดปริมาณขาย EUDR จะเร่งตัวขึ้นเป็น 70% ของปริมาณขายยางแท่งทั้งหมดใน 2H68 ดังนั้นเราจึงคง มุมมองบวกต่อแนวโน้ม GPM ของบริษัท ▪ ธุรกิจน้ำมันปาล์มดิบ (CPO):แนวโน้มสถานการณ์ผลผลิตปาล์มยังออกสู่ตลาดน้อย แต่จะดีขึ้น QoQ หลังผ่านฤดูฝน หนุนปริมาณปาล์มเข้าสู่กระบวนการสกัด หนุนประสิทธิภาพกากผลิต นอกจากนี้บริษัทจะรับรู้การติดตั้ง Broiler ในกระบวนการผลิตหนุนประสิทธิภาพการผลิตน้ำมันปาล์มดิบของบริษัทได้เต็มไตรมาส หนุน GPM ธุรกิจปาล์มให้สูงขึ้น และมีเสถียรภาพมากขึ้น และคาดปริมาณผลผลิตปาล์มจะออกสู่ตลาดมากขึ้นใน 1Q68 เป็นต้นไป จากการเข้าสู่ช่วงเก็บผลผลิต▪ ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน จะเริ่มรับรู้รายได้จากการจำหน่าย Bio gas ให้กับ GGC เป็นไตรมาสแรก คาดจะหนุนรายได้ราว 30 ลบ. ▪ โดยรวมทำให้ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินแนวโน้มผลประกอบการเบื้องต้นใน 4Q67 ในกรอบ 230 –260 ลบ.เติบโตต่อเนื่องทั้ง QoQ และ YoY ทำระดับสูงสุดของปี และทำให้ประมาณการกำไรปกติทั้งปีของเราที่ 523 ลบ. (+131.8% YoY) มี Upside risk ราว 25% และมีโอกาสสูงที่เราต้องปรับประมาณการกำไรปกติปี 2568 ขึ้น ▪ คงมุมมองบวกต่อแนวโน้มการเติบโตของ TEGH ปี2568 คาดธุรกิจยางจะเร่งตัวขึ้นต่อทั้งการขายยาง Non-EUDR และสัดส่วนปริมาณขายยาง EUDR ที่สูงขึ้น หนุน Product Mix และ GPM ของบริษัทให้ปรับขึ้นต่อ บริษัทตั้งเป้าปริมาณขายยางปี 2568 ที่ 2.6 –2.8 แสนตัน (+20% YoY) และจะรับรู้กำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นได้เต็มปีเป็นปีแรก ขณะที่ธุรกิจน้ำมันปาล์มดิบตั้งเป้า Turnaround ▪ ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PER68 ต่ำเพียง 6.2 เท่า บนประมาณการที่มีโอกาสปรับขึ้นอีกมองว่ามี Downside risk จำกัด และยังไม่สะท้อนภาพของอุตสาหกรรมยางพาราที่กลับสู่รอบขาขึ้น คงคำแนะน า “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 5.00 บาท และราคาปัจจุบันคาดหวังอัตราเงินปันผลตอบแทนได้ที่ 6.0%

CK โตตามBacklog เคาะ

CK โตตามBacklog เคาะ "ซื้อ" เป้า 27.50 บาท

  หุ้นวิชั่น -ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) CK (ซื้อ/เป้า 27.50 บาท) 2025E โตตาม backlog แม้ 4Q24E ยังไม่มีประมูลโครงการใหม่ คงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมายปี 2025E ที่ 27.50 บาท อิง SOTP ฝ่ายวิเคราะห์มองเป็นกลางจากการประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวานนี้ (20 พ.ย.) แม้ 4Q24E ดอกเบี้ยจ่ายอาจทรงตัวสูง QoQ และไม่มีประมูลโครงการใหม่ แต่แนวโน้ม ดอกเบี้ยจ่ายปี 2025E จะทยอยลดลง ขณะที่ backlog ปัจจุบันยังแข็งแกร่ง โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้ 1) เบื้องต้นตั้งเป้ารายได้และ GPM ปี 2025E จะโตตามการรับรู้ backlog (คาดรายได้โต +8% YoY และ GPM ดีขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่7.3%) ขณะที่งานโยธาสายสีส้ม เริ่มทยอยเข้าพื้นที่ตั้งแต่กลาง พ.ย. 2024, 2)แม้ในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้อาจไม่เห็นการเปิดประมูลโครงการใหญ่ แต่ YTDเซ็นงานใหม่สูงถึง 1.2 แสนล้านบาทแล้ว, และ 3) ดอกเบี้ยจ่าย 4Q24E ทรงตัวสูง QoQ จากเงินกู้ระยะสั้นสูงขึ้นชั่วคราวตามการเร่งงาน อย่างไรก็ตามคาดการณ์ปี 2025E จะทยอยปรับตัวลงเราคงกำไรปกติปี 2024E/25E ที่ 1.6 พันล้านบาท/2 พันล้านบาท (+12% YoY/+21% YoY) แต่มองว่าประมาณการปี 2024E อาจมี upside หลังส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วม 9M24 สูงกว่าคาด สำหรับ 4Q24E เบื้องต้นประเมินกำไรปกติจะทรงตัว YoY แต่จะอ่อนตัว QoQ โดยหลักจากปัจจัยฤดูกาลของ CKP ราคาหุ้น underperform SET -13% ใน 3 เดือน เนื่องจากปัจจัยการเมือง อย่างไรก็ตามยังแนะนำ “ซื้อ” โดยคาดรายได้ก่อสร้างจะเร่งตัวมากขึ้นตั้งแต่ปี 2025E ขณะที่ระดับ backlog ปัจจุบันที่ 2.2 แสนล้านบาทจะช่วย secure รายได้อย่างน้อยใน 5 ปีข้างหน้า นอกจากนี้มีcatalyst จากโครงการ Double Deck ของ BEM มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท คาดได้ข้อสรุปใน 1Q25E

MTC ทำจุดสูงสุดของปี เป้า51.25บาท

MTC ทำจุดสูงสุดของปี เป้า51.25บาท

        หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด มองแนวโน้ม MTC ให้เป้าเชิงกลยุทธฺ 51.25 บาท บริษัทรายงานผลประกอบการ 3Q67 กำไรสุทธิเท่ํากับ 1.49 พันล้านบาท+16% YoY ต่ำกว่า Bloomberg consensus คาดไว้เล็กน้อย โดยรายได้ดอกเบี้ยปรับตัว ขึ้น 14.42%YoY ตามการปล่อยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อจํานําจดทะเบียนและโฉนดที่ดิน ซึ่งเป็นสินเชื่อที่มีหลักประกัน ส่งผลให้สินเชื่อโดยรวม +3.0% QoQ, +14.8%YoY และการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง 51 สาขาจากไตรมาสก่อน โดยสิ้นงวดมีสาขาทั้งสิ้น 8,031 สาขา เทียบกับเป้าทั้งปีที่ 8,140 สาขา ทําให้ช่วยชดเชยรายได้ค่าธรรมเนียมที่ชะลอตัว ลง 7.34%YoY (ดีขึ้นเล็กน้อย QoQ) ด้านคุณภาพสินเชื่อมี Credit cost ขยับขึ้นเป็น 3.11% แต่ด้าน NPLs ratio ลดลงเหลือ 2.82% จากไตรมาสก่อนที่ 2.88% และสิ้นปี66 ที่ 3.11% และต่ำกว่าเป้าหมายไม่ให้เกิน 3% ผู้บริหารยังคงเป้าการเติบโตของสินเชื่อปีนี้ขยายตัว 15% และขยายสาขาเพิ่มสู่ระดับ 8,140 สาขา ซึ่งน่าจะเงินลงทุนเฉลี่ยราว 400,000 ต่อสาขา โดยสาขาแห่งใหม่นั้นคงจะกระจายในทําเลต่างๆ ทั่วประเทศไทย เพื่อขยายฐานลูกค้าและช่องทางสร้างรายได้ให้กว้างขึ้น ส่วนแนวโน้มผลประกอบการใน 4Q67F คาดว่าจะยังขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 1.5 พันล้านบาท ขยายตัวทั้ง QoQ และ YoY จากทั้งสินเชื่อที่จะยังขยายตัว QoQ และแนวโน้มคุณภาพสินทรพั ย์ดีขึ้นหลังได้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากเข้ามา เช่นนโยบายแจกเงินหมื่น ส่วนในปี 68F คาดว่าจะยังรักษาโมเมนตัมการขยายตัวของสินเชื่อให้เติบโตในระดับ double digit รวมถึงแนวโน้มต้นทุนที่มีการจัดการดีขึ้นทั้งต้นทุน การเงินและค่าใช้จ่ายในการบริหาร หลังคาดว่าบริษัทจะไม่เร่งขยายสาขา โดย Bloomberg ประเมินกำไรสุทธิเฉลี่ยปี 67-68F เท่ากับ 5.88 พันล้านบาท +18.1% YoY และ 7.0พันล้านบาท +19.5% YoY ตามลำดับ โดยมีราคาเป้าหมายเท่ากับ 56.21 บาท ในเชิง sentiment ได้อานิสงค์บวกจากโครงการแจกเงิน 1 หมื่นบาท รวมถึงได้รับการจัดอันดับ เครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ “A-(tha)” (เดิม “BBB+”) ทำให้บริษัทบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินได้เป็นอย่างดี ส่วนด้านราคาซื้อขายปัจจุบันอยู่บน PBV ที่ 2.81 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยย้อนหลังระยะยาว (6.5 เท่า) – 1.45 SD

ค่าเงินบาทวันนี้ เคลื่อนไหวในกรอบ 50-34.75 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทวันนี้ เคลื่อนไหวในกรอบ 50-34.75 บาท/ดอลลาร์

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 50-34.75 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทอ่อนค่าพร้อมสกุลเงินอื่นในภูมิภาค หลังนักลงทุนเริ่มคลายความกังวลหลังมีข่าวว่า ปูตินพร้อมเจรจาหยุดยิง แต่จะไม่ยกพื้นที่สำคัญที่ยึดครองอยู่ ทำให้ราคาสินทรัพย์ปลอดภัยลดลง เงินเยนอ่อนค่าลง เงินเฟ้ออังกฤษออกมาที่ 3% สูงกว่าตลาดคาด ทำให้เงินปอนด์แข็งค่าขึ้น รัฐบาลมีแผนจะให้พักจ่ายดอกเบี้ยหนี้ระยะเวลา 3 ปี ให้กับลูกหนี้ที่เป็น NPL มาไม่เกินหนึ่งปี ซึ่งแหล่งเงินจะมาจากการลด FIDF ของสถาบันการเงินจาก 46% เป็น 0.23%

ASL มอง SET

ASL มอง SET "sideway ในกรอบ 1,450-1,470" สงครามกดดัน

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด มุมมองตลาดเช้านี้ คาด SET Index “แกว่งตัว sideway ในกรอบ 1,450-1,470" ประเมินตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวนตามตลาดหุ้นสรัฐฯ รวมถึงมีปัจจัยกดดันหลังVIX Index ปรับตัวขึ้น, Dollar index แข็งค่ํา และ US Bond Yield ดีดตัวขึ้น ขณะที่ DELTA ติด T1 อาจเป็นปัจจัยกดดันภาพรมของ SET ประเด็นการลงทุน  ตลาดหุ้นผันผวนกังวลสงครามรัสเซีย-ยูเครน  VIX Index ปรับตัวขึ้น, Dollar index แข็งค่า และ US Bond Yield ดีดตัวขึ้น  ติดตามความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดในสัปดําห์นี้  ปัจจัยในประเทศ DELTA ติด T1 ตลาดหุ้นผันผวนกังวลสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่มีแนวโน้มจะรุนแรงมากขึ้น โดยล่าสุดยูเครนได้ยิงขีปนําวุธ "Storm Shadow" ซึ่งเป็นขีปนําวุธที่ผลิตโดยอังกฤษ เข้าไปในดินแดนรัสเซีย โดยเหตุการณ์ดังกล่ําวเกิดขึ้นเพียงวันเดียวหลังจํากที่ยูเครนได้ยิงขีปนําวุธ ATACMS ที่ผลิตโดยสหรัฐฯ เข้าไปในดินแดนรัสเซีย จนเป็นเหตุให้รัสเซีย ประกาศปรับหลักเกณฑ์ในการใช้อาวุธนิวเคลียร์รวมถึงมีข่าวการอพยพเจ้าหน้าที่ออกจากสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงเคียฟของยูเครน Market reaction : VIX Index ปรับตัวขึ้น, ราคาทองปรับตัวขึ้น, Dollar indexแข็งค่า, US Bond Yield ดีดตัวขึ้น, ราคาน้ำมันลดช่วงลบหลัง EIA รายงานสต๊อกน้ำมันดิบมากกว่าคาด นอกจากนี้ตลาดยังผันผวนก่อน NVIDIA จะรายงานผลประกอบการหลังปิดตลาดโดยรายงานรายได้ในไตรมาส 3 +94%YoY แตะ 3.508 หมื่นล้านดอลล่าร์สูงกว่ําที่คาดในขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวลงราว 2% เนื่องจากตลาดกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตของชิป GPU ในโรงงานที่ไต้หวัน ภายใต้นโยบายการค้าของทรัมป์ที่จะเริ่มในปีหน้า และ แนวโน้มอุปสงค์ชิปแบล็คเวลล์ (Blackwell) ซึ่งเป็นชิปประมวลผล Al รุ่นใหม่ของบริษัท ตลาดจับตาการแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดในสัปดาห์นี้เพื่อหําสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ย โดยขณะนี้นักลงทุนให้น้ำหนักเพียง 55.7% ต่อการคําดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนธ.ค. ซึ่งลดลงจากที่ให้น้ำหนัก 82.5% ในสัปดาห์ที่ผ่ํานมา หลังอัตราเงินเฟ้อ ยังทรงตัวสูงกว่าเป้าหมาย สำหรับปัจจัยในประเทศ ตลท.ประกาศให้ DELTA เป็นหลักทรัพย์ที่เข้าเกณฑ์ Trading Alert List เนื่องจากระดับราคาและปริมาณการซื้อขายเปลี่ยนแปลงไปมากจากช่วงก่อนหน้า และอยู่ระหว่างบริษัทชี้แจงข้อมูล พร้อมประกาศให้เป็นหุ้นที่เข้าข่ายมาตรการกํากับการซื้อขายระดับ 1 ห้ามคํานวณวงเงินซื้อขาย และ Cash Balance ตั้งแต่วันที่ 21 พ.ย.-11 ธ.ค. ซึ่งราคาหุ้น DELTA พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงทํานิวไฮช่วงท้ายตลาดวานนี้มาที่ 173.50 บาท ที่ PE 106.68 เท่า และ PBV ที่ 28.03 เท่า แนะนําชะลอการเก็งกําไรในระยะสั้น

RML ขานรับไอคอนสยาม เช่าคอนโดลักชัวรี่ฮอต

RML ขานรับไอคอนสยาม เช่าคอนโดลักชัวรี่ฮอต

หุ้นวิชั่น - RML หรือ บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) เผยคอนโดฯ ลักชัวรี่ยังคงมีดีมานด์สูงจากการปล่อยเช่าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะทำเลเจริญนครที่ได้รับอานิสงส์จากไอคอนสยามและความสะดวกสบายในการเดินทางสู่ CBD อย่างสีลม สาทร ล่าสุดโครงการ ‘เดอะ ริเวอร์ เซอร์วิส เรสซิเดนเซส’ (The River Serviced Residences) คอนโดฯ ลักชัวรี่สไตล์รีสอร์ตริมแม่น้ำเจ้าพระยา ได้รับความนิยมสูงจากผู้เช่า ด้วยทำเลที่โดดเด่น มองเห็นวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน พร้อมจัดโปรฯ พิเศษเอาใจผู้เช่าที่มองหาความคุ้มค่า  1 ห้องนอน ขนาด 58-68 ตร.ม. ค่าเช่าเริ่มต้นที่ 30,000 บาท/เดือนเท่านั้น นายกรณ์ ณรงค์เดช กรรมการและประธานคณะกรรมการบริหาร RML กล่าวว่า “คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ยังคงเป็นที่ต้องการของผู้เช่าอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพสูงและหาได้ยาก ซึ่งมักมีมูลค่าที่ดินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะทำเลในย่าน CBD อย่างเพลินจิตและสาทร รวมถึงทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ยังเป็นอีกพื้นที่ที่ได้รับความนิยม ด้วยข้อได้เปรียบที่มอบวิวแม่น้ำอันงดงาม และตั้งอยู่ใกล้กับไอคอนสยาม พร้อมเชื่อมต่อสะดวกไปยังย่านธุรกิจสำคัญอย่างสีลม สาทร ทำให้โครงการ ‘เดอะ ริเวอร์ เซอร์วิส เรสซิเดนเซส’ ซึ่งเป็นคอนโดฯ ลักชัวรี่สไตล์รีสอร์ตริมแม่น้ำเจ้าพระยา สามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นคนวัยทำงานที่ต้องการความสะดวกสบาย วัยเกษียณที่มองหาความสงบ หรือชาวต่างชาติและนักท่องเที่ยวที่ต้องการประสบการณ์การอยู่อาศัยที่เหนือระดับและมีเอกลักษณ์ โครงการนี้จึงเป็นคำตอบที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่มองหาที่อยู่อาศัยหรือผู้ที่ต้องการเช่า เพื่อสัมผัสประสบการณ์การพักผ่อนที่เต็มไปด้วยความสงบและวิวทิวทัศน์อันสวยงามของแม่น้ำเจ้าพระยา” โครงการ ‘เดอะ ริเวอร์ เซอร์วิส เรสซิเดนเซส’ ตั้งอยู่บนถนนเจริญนคร ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดดเด่นด้วยการผสมผสานบรรยากาศริมน้ำที่ได้รับวิวโค้งแม่น้ำอันงดงามตระการตาโอบรอบด้วยโรงแรมระดับ 5 ดาว พร้อมกับความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต ใช้เวลาเพียง 5 นาทีถึงไอคอนสยาม และ 10 นาทีถึงเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟรอนท์ การเดินทางสะดวกสบาย ทั้งทางรถยนต์ ระบบขนส่งสาธารณะ รถไฟฟ้า BTS และเรือ โดยใกล้ท่าเรือสาทร (ตากสิน) และสถานีบีทีเอสสะพานตากสิน โครงการยังตั้งอยู่ใกล้สถานที่สำคัญ เช่น โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพฯ  โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ ร้านอาหาร แหล่งไลฟ์สไตล์ และโรงแรมระดับ 5 ดาว พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมาตรฐานสากล เช่น พื้นที่พักผ่อนริมน้ำ ท่าเรือส่วนตัว สระว่ายน้ำขนาดโอลิมปิก  ห้องออกกำลังกายพร้อมวิวแม่น้ำเต็มตา สนามเด็กเล่น และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ที่ออกแบบมาเพื่อการพักผ่อนอย่างครบครัน สำหรับการเช่า โครงการ ‘เดอะ ริเวอร์ เซอร์วิส เรสซิเดนเซส’  มีห้องพักหลากหลายขนาดให้เลือก ตั้งแต่ห้อง 1 ห้องนอน ขนาด 58-68 ตร.ม. ค่าเช่าเริ่มต้นที่ 30,000-65,000 บาท/เดือน 2 ห้องนอน ขนาด 78-110 ตร.ม. ค่าเช่า 55,000-80,000 บาท/เดือน และ 3 ห้องนอน ขนาด 147 ตร.ม. ค่าเช่า 140,000 บาท/เดือน ทุกห้องตั้งอยู่บนชั้นสูงที่มอบทัศนียภาพโค้งแม่น้ำเจ้าพระยาอันงดงามแบบไม่มีสิ่งบดบัง เพลิดเพลินกับวิวเส้นขอบฟ้าของกรุงเทพฯ ได้อย่างเต็มตา

SMD แจ้งเปลี่ยนชื่อย่อหลักทรัพย์เป็น “SMD100”

SMD แจ้งเปลี่ยนชื่อย่อหลักทรัพย์เป็น “SMD100”

        หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทของบริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”)  ครั้งที่ 8/2567 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 ได้มีมติอนุมัติการเปลี่ยนชื่อย่อหลักทรัพย์ของบริษัทจาก “SMD” เป็น “SMD100” และพิจารณาอนุมัติในการมอบอำนาจให้กรรมการหรือผู้ที่กรรมการมอบหมายในการกำหนดวันในการเปลี่ยนแปลงชื่อย่อหลักทรัพย์ของบริษัทฯ “SMD100” เป็นชื่อที่มีศักยภาพในการสร้างภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่ง ทั้งในด้านความน่าเชื่อถือ ความชัดเจนในเป้าหมาย ด้วยกลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ที่เหมาะสม ชื่อนี้สามารถช่วยให้ SMD100 โดดเด่นและเสริมสร้างความเชื่อมั่นในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมสุขภาพได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ทั้งนี้ ดร.วิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้พิจารณาเห็นควรให้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงชื่อย่อหลักทรัพย์ของบริษัทฯ โดยวันที่มีผลการเปลี่ยนแปลงชื่อย่อหลักทรัพย์ให้เป็นไปตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์ นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างขออนุมัติผู้ถือหุ้นในการเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น บริษัท เอสเอ็มดี ไรส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งหากได้รับอนุมัติและดำเนินการจดทะเบียนแล้วเสร็จ ทางบริษัทจะแจ้งให้ทราบต่อไป

SAPPE กำไรฟื้นแรง โบรกอัพเป้าใหม่ 96 บ.

SAPPE กำไรฟื้นแรง โบรกอัพเป้าใหม่ 96 บ.

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ SAPPE (ซื้อ/เป้า 96.00 บาท) Outlook ดีกว่าคาด, กำไร 4Q24E ฟื้นตัวแรง YoY แต่ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 96.00 บาท อิง 2024E PER 22.0x (เดิมที่ 92.00 บาท อิง 2024E PER 22.0x) ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองเป็นบวกจากการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้ 1) บริษัทยังคงเป้ารายได้ปี 2024E เติบโตที่ 15-20% YoY โดยรายได้ 4Q24E จะฟื้นตัวแรงคาดไม่ต่ำกว่า +29% YoY จากยอดขาย Domestic, อินโดนีเซีย, Middle East ทั้งนี้ รายได้ 9M24 อยู่ที่ +11% YoY, 2) ได้รับ Tax Privilege จาก BOI ที่ 275 ล้านบาท (จากไลน์การผลิตใหม่ที่ COD ในปี 2024) และเริ่มใช้ BOI ตั้งแต่ 3Q24 โดยมีระยะเวลา 5 ปี, และ 3) สำหรับปี 2025E บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 15-20% YoY จากทุก regions โดย USA & Europe จะเติบโตโดดเด่น ผู้บริหารมองว่าราคา raw & packaging materials ไม่ผันผวนมาก โดยราคา PET Resin & น้ำตาลอยู่ในขาลง คาด GPM ทรงตัว YoY ทั้งนี้ คาดกำไรสุทธิ 4Q24E โตเด่น YoY และชะลอตัวเล็กน้อย QoQ หนุนโดย 1) รายได้รวมขยายตัว YoY และโตเล็กน้อย QoQ, 2) GPM ขยายตัว YoY, ทรงตัว QoQ จาก utilization rate ที่ดีขึ้นเราปรับประมาณการก าไรสุทธิปี 2024E ขึ้น +5%         ทั้งนี้ประเมินกำไรสุทธิปี 2024E ที่ 1,353 ล้านบาท (+26% YoY)และคงประมาณการกำไรปี 2025E ที่ 1,580 ล้านบาท (+22% YoY) ราคาหุ้น outperform SET +6% ฝ่ายวิเคราะห์ยังชอบ SAPPE จาก 3 ปัจจัยหลัก 1) ผู้นำแบรนด์เครื่องดื่มไทยในตลาดระดับ Global 2) ปลดล็อคปัญหากำลังการผลิตที่ไม่เพียงพอจำหน่าย โดยการขยายกำลังการผลิตปีละ 25-30% YoY ทุกปี และ 3) valuation น่าสนใจโดย 2023-25E EPS CAGR +21%

บล.ดาโอ อัพเป้า CPALL เป็น 86 บ.กระตุ้นเศรษฐกิจหนุน แนะ “ซื้อ”

บล.ดาโอ อัพเป้า CPALL เป็น 86 บ.กระตุ้นเศรษฐกิจหนุน แนะ “ซื้อ”

        หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ CPALL (ซื้อ/ปรับเป้าขึ้นเป็น 86.00 บาท) SSSG ใน 4Q24Eยังเห็นเป็นบวก และ GPM ยังทรงตัวสูง ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองเป็นกลางต่อประชุมนักวิเคราะห์ โดย guidance ในด้านการขยายสาขายังใกล้เคียงเดิม โดยมีประเด็นคือ 1) การขยายสาขาเป็นไปตามเป้าในปี 2024Eจาก 9M24 ขยายไป 508 สาขา และขยาย 700 สาขาต่อเนื่องในปี 2025E ต่อไปจนกว่าจะครบ 2 หมื่นสาขา รวมถึงในปัจจุบันมี 98 (+11) สาขาในกัมพูชาและ 9 (+3) สาขาในลาว 2) 4Q24E QTD SSSG เป็นบวกต่อเนื่อง คาดอยู่ที่ระดับ+4% และ GPM ทรงตัวสูงต่อจากใน 3Q24 ทำให้คาดกไไรขยายตัวทั้ง YoY และ QoQ หนุนด้วยการท่องเที่ยวตามปัจจัยฤดูกาลปรับประมาณการกำไร 2024E/25E ขึ้น +9%/+2% อยู่ที่ 2.5 และ 2.7 หมื่นล้านบาท โต +33%/11%YoY จากเดิมที่ 2.3 และ 2.7 หมื่นล้านบาท จากผลการดำเนินงาน 9M24 ที่ออกมามี upside ต่อประมาณการเดิมของฝ่ายวิเคราะห์ และมองแนวโน้ม 4Q24E ยังเติบโตได้ดีต่อเนื่องในทุกธุรกิจ และยังคงมั่นใจขยายสาขา CVS ได้ตามเป้าที่ 700 สาขาในปี 2024E และต่อเนื่องไปในปี 2025E ราคาหุ้น outperform SET ในช่วง 6 และ 12 เดือนที่ผ่านมา จากคาดได้ผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ หนุนผลการดำเนินงาน 2H24E และเรายังแนะนำ “ซื้อ” CPALL จากคาดเห็นการเติบโตได้ดีต่อเนื่องในทุกธุรกิจ

นักท่องเที่ยวเพิ่ม2% หุ้นอะไรรับโชค เช็กเลย!

นักท่องเที่ยวเพิ่ม2% หุ้นอะไรรับโชค เช็กเลย!

หุ้นวิชั่น- บทวิเคราะห์ บล.ดาโอระบุว่า นักท่องเที่ยวสัปดาห์ล่าสุด (11-17 พ.ย.) เพิ่มขึ้น +2% WoW จากจีนและรัสเซีย รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยข้อมูลจำนวนนักท่องเที่ยวสัปดาห์ที่ผ่านมา (11-17 พ.ย.) มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 747,944 คน (+2% WoW/+22% YoY) คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 106,849 คน โดยประเทศมี % เพิ่มขึ้นตามลำดับดังนี้ 1) จีน 113,842 คน (+10% WoW/+57% YoY), 2) รัสเซีย 48,439 คน (+2% WoW) ส่วนประเทศมี % ลดลงตามลำดับดังนี้ 1) อินเดีย 51,478 คน (-12% WoW/+18% YoY), 2) มาเลเซีย 84,425 คน (-6% WoW/+1% YoY) และ 3) เกาหลีใต้ 34,090 คน (-2% WoW/-1% YoY) โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น +5% WoW จากการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลลอยกระทงของนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดหลัก เช่น จีน และญี่ปุ่น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ขยับขึ้นมาเป็นกลุ่มที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นอันดับที่ 1 ในขณะที่นักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) ยังคงเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-10 พ.ย. 24 ทั้งสิ้น 30,465,481 คน เพิ่มขึ้น +29% YoY (ที่มา: กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา)           มองเป็นบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยวจากตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนและรัสเซียเพิ่มขึ้น WoW โดยจำนวนนักท่องเที่ยวรวมทำจุดสูงสุดในรอบ 14 สัปดาห์ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นได้ดีเพราะการเข้าสู่ช่วง High season ของไทย และ บล.ดาโอ ชู Top pick ท่องเที่ยว AAV, CENTEL , MINT ไฮซีซั่นหนุน AAV (ซื้อ/เป้า 3.60 บาท) คาด 4Q24E จะดีโดดเด่นจากการเข้าสู่ high season ส่งผลให้จ านวนผู้โดยสารและค่าตั๋วโดยสารจะเพิ่มขึ้นได้ดี CENTEL (ซื้อ/เป้า 44.00 บาท) 4Q24E-1Q25E โตได้ต่อเนื่องจากการเข้าสู่ High season ด้าน Valuation ซื้อขายที่ 2024E EV/EBITDA ที่ 11.7x (-1.25SD below 8-yr average EV/EBITDA) ถูกกว่า ERW ที่ 14.6x ขณะที่กำไรปกติปี 2025E จะเติบโตได้สูงที่สุดเมื่อเทียบกับ MINT และ ERW MINT (ซื้อ/เป้า 34.00 บาท) จาก valuation ยังถูกกว่ากลุ่มฯซื้อขาย 2024E EV/EBITDA ที่ 10x (-2.00SD below 10-yr average EV/EBITDA) ถูกกว่า ERW และ CENTEL ที่ average EV/EBITDA ขณะที่คาดกำไรปกติ 4Q24E จะโต YoY ได้ต่อเพราะเป็น High season ที่ไทยและมัลดีฟส์เข้ามาช่วยหนุน

PTT ชงแผนปี 68 กลางธ.ค.นี้ เจรจา “Foxconn” แกนหลักอีวี

PTT ชงแผนปี 68 กลางธ.ค.นี้ เจรจา “Foxconn” แกนหลักอีวี

          ปตท. เตรียมเสนอแผนธุรกิจปี 2568 ต่อคณะกรรมการบริษัทกลางเดือนธันวาคมนี้ โดยให้ความสำคัญกับการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) และการขุดสำรวจของ PTTEP พร้อมตั้งที่ปรึกษาการเงินเพื่อเจรจากับพันธมิตรเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น สำหรับโรงงานร่วมทุนกับ Foxconn ได้หยุดดำเนินการชั่วคราว โดยเจรจากับ Foxconn ให้เป็นแกนหลักดำเนินธุรกิจ โดยเน้นการขยายสถานีชาร์จ EV ทั่วประเทศ           ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า สำหรับภาพรวมระยะสั้น ปตท.ต้องเผชิญปัจจัยที่ผันผวนในหลายด้าน แต่บริษัทให้ความสำคัญกับธุรกิจไฮโดรเจนและการจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) อย่างจริงจัง ในปี 2568 บริษัทมีแผนเดินหน้าหลายโครงการ โดยเฉพาะธุรกิจขุดเจาะและสำรวจ (E&P) ซึ่งคาดว่าปริมาณการผลิตและขายจะเติบโตจากปี 2567           นอกจากนี้ ธุรกิจแก๊สธรรมชาติและโรงแยกแก๊สธรรมชาติจะมีอัตราการใช้กำลังการผลิต (Utilization Rate) สูงขึ้นจากปีก่อน สำหรับธุรกิจปิโตรเคมี คาดว่าผลประกอบการจะดีขึ้น เนื่องจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ (Impairment) มีแนวโน้มลดลง ซึ่งบริษัทจะเน้นเพิ่มความสามารถในการทำกำไร ในส่วนของ สูตรราคาก๊าซฯ Single Pool ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทำงานร่วมกับภาครัฐ และคาดว่าจะได้ข้อสรุปในปีหน้า เนื่องจากเป็นประเด็นที่ส่งผลต่อผลประกอบการของปีนี้ด้วย อีกทั้งบริษัทตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลง 8% ในนี้ ส่วนปี 2568 และคาดว่าจะลดลงได้อีกจากการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย           ธุรกิจของ PTTEP มีการขยายหาแหล่งขุดเจาะน้ำมันทั้งในและนอกประเทศเพื่อความมั่นคงทางพลังงาน โดยให้ความสำคัญกับการลดต้นทุน ซึ่งปัจจุบันต้นทุนต่อหน่วยอยู่ที่ประมาณ 20 กว่าดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ สำหรับธุรกิจแก๊สธรรมชาติ ต้นทุนต้องมีการบริหารจัดการเพื่อให้แข่งขันได้ ส่วนธุรกิจ LNG มีบทบาทสำคัญในการจัดหาแหล่งผลิตที่ต้นทุนต่ำ ซึ่งถือเป็นอนาคตสำคัญในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ธุรกิจโรงไฟฟ้าเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ต้องส่งเสริมเรื่องความมั่นคงด้านพลังงาน และรองรับโอกาสใหม่ เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์ ที่เป็นจุดเด่นของประเทศไทย ในธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น มีการเจรจากับพันธมิตรเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง โดยได้แต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินเข้ามาศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่าธุรกิจปิโตรเคมีอยู่ในช่วงขาลง (Downcycle) มากว่าหนึ่งปี แต่ในปี 2568 คาดว่าผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์จะทรงตัว ขณะที่โอเลฟินส์อาจดีขึ้นเล็กน้อยตามดีมานด์และซัพพลาย และปัจจัยเสี่ยง (Downside) จะลดลง หากเศรษฐกิจโลกเติบโต           ธุรกิจ OR มีการขยายบริการอีวีอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งหยุดธุรกิจที่ไม่ทำกำไร และปรับพอร์ตธุรกิจ โดยเน้นการขยายจุดชาร์จอีวีให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และส่งเสริมการใช้แบรนด์เดียวกันทั้งในส่วนของ PTT และ OR ขยายไปยังสถานที่ต่าง ๆ นอกเหนือจากสถานีบริการของ ปตท. ในส่วนของธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ผ่านมาบริษัทได้ร่วมมือกับ Foxconn Group เพื่อจัดตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม โรงงานดังกล่าวได้หยุดดำเนินการชั่วคราว โดยอยู่ระหว่างเจรจากับ ฟ็อกซ์คอนน์ กรุ๊ป เพื่อให้เป็นแกนหลักในการดำเนินธุรกิจต่อ เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญมากกว่า โดยเรื่องของรถยนต์ไฟฟา(อีวี) ต้องมีการพิจารณาให้ดี เพราะที่ผ่านมามีการแข่งขันสูงของราคารถ อย่างรถจีน หรืออย่างรถเทสล่าที่ผ่านมา ก็มีการลดราคาลงไป ดังนั้นต้องเลือกก่อนว่า โครงการไหนสามารถดำเนินการได้ต่อ อย่างลงทุนที่ชาร์จอีวี มองว่าเป็นโอกาสมากกว่า หรือแม้แต่ ไฮโดรเจน ที่ให้ความสำคัญไปถึงเรื่องของการใช้ในอุตสาหกรรม           ธุรกิจ CCS ปตท.จะเดินหน้าโครงการดังกล่าวและเปิดโอกาสให้บริการแก่ลูกค้าภายนอกกลุ่ม ปตท. โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกักเก็บคาร์บอนในหลุมใต้ทะเล รวมถึงการผลักดันให้มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มกักเก็บคาร์บอนได้หลังปี 2030           ด้านธุรกิจสุขภาพภายใต้การดำเนินงานของ อินโนบิก ซึ่งมีการลงทุนในไต้หวัน บริษัทมุ่งเน้นการต่อยอดธุรกิจด้านยา อุปกรณ์การแพทย์ และอาหารเสริม โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในการหาพันธมิตรเข้ามาเสริม ในปีหน้า สำหรับโครงการของCFP ของไทยออยล์ มีการตั้งทีมให้คำแนะนำ โดยช่วยพิจารณาในแง่กฎหมาย ธุรกิจ ทุกเรื่องเพราะเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ โดย TOP มีแผนจะจัดการส่วนนี้ ผลกระทบต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน โดยโรงงาน ของไทยออยล์ มีการเดินหน้าต่อ โดยผู้รับเหมาเป็นแบบนี้จะทำอย่างไรก็ต้องดำเนินการต่อ การแก้ปัญหาก็ต้องแก้ในการดำเนินการให้เสร็จ และทำให้ดีและถูกต้องที่สุด และส่วนของโรงไฟฟ้า ที่ดำเนินการให้โครงการ CFP ก็ต้องผลิตให้โรงกลั่นก็ดำเนินการเสร็จพร้อมกัน           สำหรับแผนธุรกิจปี 2568 จะนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในเดือนธันวาคม 2567 เพื่อกำหนดงบประมาณและแผนการลงทุน โดยคาดว่าจะให้ความสำคัญกับธุรกิจ Upstream อย่าง PTTEP ในการหาแหล่งแก๊สธรรมชาติใหม่ ๆ เพื่อความมั่นคงทางพลังงานต่อไป

CHOW ปรับทัพสู่ Holding เหล็กแกร่ง-ธุรกิจไฟฟ้าปัง!

CHOW ปรับทัพสู่ Holding เหล็กแกร่ง-ธุรกิจไฟฟ้าปัง!

         หุ้นวิชั่น - บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) ประกาศความพร้อมขับเคลื่อนองค์กรสู่มิติใหม่ ภายใต้โครงสร้าง Holding Company เสริมแกร่งพอร์ตการลงทุน 3 ธุรกิจหลัก พร้อมเปิดโอกาสการเติบโตในอนาคต นายปรมัตถ์ จุฬวนิช ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กแท่งยาว (Steel Billet) และธุรกิจพลังงานทดแทน ประเภทพลังงานแสงอาทิตย์ กล่าวว่า บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) เปิดศักราชใหม่ทางธุรกิจด้วยการประกาศความสำเร็จในการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งประวัติศาสตร์ ก้าวสู่การเป็นบริษัทลงทุนเต็มรูปแบบ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการขยายธุรกิจและสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ตอบรับการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ธุรกิจโลกโดยการปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งสำคัญนี้จะทำให้ CHOW ขึ้นสู่ความแข็งแกร่งในทุกมิติ ธุรกิจเหล็ก: ยกระดับสู่ความเป็นเลิศด้านการผลิต บริษัทฯ ประกาศจัดตั้ง "บริษัท เชาว์ สตีล แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด" เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเหล็กโดยเฉพาะ พร้อมรับการถ่ายโอนทรัพย์สินมูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญจาก บมจ.เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ การปรับโครงสร้างครั้งนี้จะเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ การควบคุมต้นทุน และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้ดียิ่งขึ้น ธุรกิจพลังงานทดแทน: ขยายการลงทุนในประเทศและระดับนานาชาติ บริษัท เชาว์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) ยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมทั้งในประเทศไทย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย โดยมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตและพอร์ตการลงทุนในโครงการใหม่ๆ เพื่อรองรับความต้องการพลังงานสะอาดที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก และสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศต่างๆ ธุรกิจการเงิน: นวัตกรรมทางการเงินเพื่อเศรษฐกิจฐานราก การจัดตั้ง "บริษัท กัปตัน แคช โฮลดิ้ง จำกัด" นับเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจสู่ภาคการเงิน มุ่งเน้นการให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลและ Nano Finance เพื่อเพิ่มการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของประชาชนฐานราก สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในระดับรากหญ้า การปรับโครงสร้างสู่การเป็น Holding Company นับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการบริหารจัดการทางการเงินของ CHOW โดยบริษัทได้วางแผนการบริหารเงินทุนอย่างรอบด้าน ครอบคลุมทั้งการจัดสรรทรัพยากรและการบริหารความเสี่ยง ส่งผลให้กลุ่มบริษัทฯ สามารถกำหนดแหล่งเงินทุนให้เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะของแต่ละธุรกิจ เพิ่มความโปร่งใสในการบริหารจัดการ พร้อมทั้งเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน เพิ่มความคล่องตัวในการตอบสนองต่อความต้องการของตลาด และสร้างโอกาสในการขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพ "การปรับโครงสร้างครั้งสำคัญนี้จะเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งในการขับเคลื่อนธุรกิจของ CHOW สู่อนาคต เราพร้อมที่จะแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจที่สอดคล้องกับเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งด้านดิจิทัล พลังงานสะอาด และนวัตกรรมทางการเงิน โดยมุ่งเน้นการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจในระดับสากล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน" นายปรมัตถ์ กล่าว

ปรับพอร์ตลงทุนหุ้น ทำกำไรส่งท้ายปี | จัดเต็มการลงทุน

ปรับพอร์ตลงทุนหุ้น ทำกำไรส่งท้ายปี | จัดเต็มการลงทุน

https://www.youtube.com/watch?v=_aIj82Dnk6M ปรับพอร์ตลงทุนหุ้น ทำกำไรส่งท้ายปี | จัดเต็มการลงทุน ติดตามรายการ #จัดเต็มการลงทุน ทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 9.00-9.30 น. ทาง ททบ.5 #ปรับพอร์ต #หุ้น #SET #หุ้นวิชั่น #HoonVision

ศก.ไทยฟื้น หลัง GDP Q3 โตดี แถมโค้งท้ายปีมีลุ้น! คัดหุ้นได้ประโยชน์

ศก.ไทยฟื้น หลัง GDP Q3 โตดี แถมโค้งท้ายปีมีลุ้น! คัดหุ้นได้ประโยชน์

          หุ้นวิชั่น - วานนี้ สศช. เผย GDP GROWTH ไทยใน 3Q67 +3.0%YOY (สูงกว่าตลาดคาดที่ 2.4%YOY) และ +1.2%QOQ (สูงกว่าตลาดคาดที่ 0.8%QOQ) โดยมี แรงหนุนเด่นๆ มาจากการลงทุนภาครัฐ (+25.9%YOY), การใช้จ่ายภาครัฐ (+6.3%YOY), การ ส่งออก (+10.5%YOY), การบริโภค (+3.4%YOY) ขณะที่การลงทุนเอกชนหดตัว น้อยลง (-2.5%YOY) ทำให้ล่าสุดเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวขึ้นมายืนเหนือช่วงโควิดมา 7 ไตรมาสติดต่อกันแล้ว ทั้งนี้ สศช. ปรับประมาณการเศรษฐกิจในปี 2567 ลดลงเหลือ 2.6% (เดิม 2.3 –2.8%) โดย GDP 4Q67 ต้องเติบโตอย่างน้อย +3.6%YOY ขณะที่ ปี 2568 คาดเศรษฐกิจไทย เติบโตราว 2.3 –3.3%          สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วง 4Q67 คาดมีแนวโน้มดีขึ้น จากความต่อเนื่องของ การใช้จ่ายภาครัฐเร่งตัวขึ้น (G#) โดยนับตั้งแต่ 1 ต.ค. –15 พ.ย. 67 ของปีงบฯ 2568 รัฐบาลมีการเบิกจ่ายงบลงทุนไปแล้วราว 9.7% ของทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกัน ของงบฯ ปี 2567 ชัดเจน ซึ่งน่าจะช่วยหนุนให้การลงทุนภาคเอกชนค่อยๆ ดีขึ้นด้วย นอกจากนี้ ยังคาดว่าภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวช่วง HIGH SEASON และน่าจะเห็นรัฐบาล เร่งกระตุ้นภาคการบริโภคช่วงปลายปี (C) โดยในช่วงบ่ายวันนี้ (19 พ.ย. 67) รอติดตามการประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจนัดแรก โดย สศช. จะเสนอกระตุ้นเศรษฐกิจรูปแบบการลงทุน เพื่อลดความผันผวนและผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการผลิต (สินค้าทุน, สินค้าคงทน) และคาดว่ากระทรวงการคลังจะเสนอแพคเกจ กระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ อาทิ มาตรการของขวัญปีใหม่ช่วงสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า มาตรการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 2 ให้กับกลุ่มกลุ่มผู้สูงอายุ ช่วงอายุ 50 ปี หรือ 60 ปีขึ้นไป มาตรการแก้หนี้ภาคประชาชน สรุป เศรษฐกิจไทยปีนี้มีแนวโน้มฟื้นตัวแบบขั้นบันได และคาดเห็นแรงกระตุ้นภาคการบริโภคช่วงปลายปี ภาคท่องเที่ยวฟื้นตัว บวกกับการเบิกจ่ายการลงทุนของภาครัฐ งบฯ ปี 2568 มีสัญญาณเร่งตัวขึ้น ซึ่งน่าจะช่วยหนุนให้การลงทุนภาคเอกชนค่อยๆ ดี ขึ้นด้วย แนะนำหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์ อาทิ BJC CPALL CPAXT, SCC SCCC CK TASCO, WHA AMATA, CENTEL MINT, KBANK KTB BBL TISCO SCB

“โกลเบล็ก” คัด 4 หุ้นเด่นรับแจกเงินหมื่น ชู CPALL-CPAXT-BJC-TNP

“โกลเบล็ก” คัด 4 หุ้นเด่นรับแจกเงินหมื่น ชู CPALL-CPAXT-BJC-TNP

          กรุงเทพฯ - บล. โกลเบล็ก (GBS) ประเมินหุ้นไทยผันผวนจากปัจจัยกดดันเรื่องที่ FED จะชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง  พร้อมจับตาศาลรัฐธรรมนูญ 22 พ.ย.นี้ ชี้ชัด รับ-ไม่รับคำร้องทักษิณ-เพื่อไทย ล้มล้างการปกครอง จึงให้กรอบดัชนี 1,420-1,470 จุด และกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากนโยบายแจกเงิน 10,000 บาทให้กลุ่มผู้สูงวัยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่ CPALL-CPAXT-BJC-TNP           นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้มีโอกาสแกว่งตัวผันผวนจากปัจจัยกดดันคำแถลงการณ์ของประธานเฟดที่บ่งชี้ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาจชะลอลงตัวลง ประกอบกับราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวลงแรงกดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังติดตามศาลรัฐธรรมนูญ นัด 22 พ.ย.นี้ ซึ่งเป็นการ รับ-ไม่รับคำร้อง ทักษิณ-เพื่อไทย ล้มล้างการปกครอง จึงให้กรอบดัชนีที่ระดับ 1,420-1,470 จุด           ขณะที่มีปัจจัยหุนจากสภาพัฒน์เปิดเผยตัวเลข GDP ไตรมาส 3/2567 ขยายตัว 3.0% ดีกว่าตลาดคาดระหว่าง 2.4-2.7% และเร่งขึ้นจาก 2.2% จากในไตรมาส 2/2567 จากการผลิตภาคนอกเกษตรที่ขยายตัวเร่งขึ้นตามการขยายตัวของกลุ่มบริการและจากการเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐ  ส่งผลให้สภาพัฒน์ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 2567 สู่ระดับ 2.6% จากเดิม 2.5% ด้านกระทรวงการคลังเตรียมเสนอแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจรายปี โดยเริ่มตั้งแต่ของขวัญปีใหม่ช่วงสิ้นปีนี้ต่อเนื่องถึงตลอดทั้งปีหน้า เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมีกำหนดประชุมในวันอังคารนี้ (19 พ.ย.)           อีกทั้งทาง โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ยืนยันกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีนว่าสหรัฐฯไม่ต้องการทำสงครามเย็น และไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงระบบของจีน โดยพันธมิตรของสหรัฐฯ ก็ไม่ได้ต่อต้านจีน และออสตัน กูลส์บี ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาชิคาโกคาดการณ์ว่า FED อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ในปีนี้ และลดลงอีก 1% ในปีหน้าตามที่ได้คาดการณ์ไว้ในเดือนก.ย.ที่ผ่านมา           อย่างไรก็ตามยังคงต้องจับตาปัจจัยในประเทศวันนี้ (19 พ.ย.) จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และสัปดาห์ที่ 4 ส.อ.ท. แถลงยอดผลิตและส่งออกรถยนต์, กระทรวงพาณิชย์ แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทย, สัปดาห์ที่ 5 สศอ. แถลงดัชนีอุตสาหกรรม, สศค. รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง, ภาวะเศรษฐกิจภูมิภาค, ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค, วันที่ 29 พ.ย. ธปท. รายงานภาวะเศรษฐกิจ           ส่วนสถานการณ์ต่างประเทศที่น่าจับตาวันนี้ 19 พ.ย. อียู รายงานอัตราเงินเฟ้อเดือนต.ค. (ประมาณการครั้งสุดท้าย), สหรัฐ รายงานตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนต.ค., วันที่ 20 พ.ย. ญี่ปุ่น รายงานยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือนต.ค., สหรัฐ รายงานสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์, วันที่ 21 พ.ย. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ดัชนีการผลิตเดือนพ.ย. ยอดขายบ้านมือสองเดือนต.ค. และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนต.ค. และวันที่ 1 ธ.ค. กลุ่มโอเปกพลัสประชุมกำหนดนโยบายการผลิตอย่างเป็นทางการ           ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจของภาครัฐ ที่ได้ออกนโยบายแจกเงิน 10,000 บาทให้กลุ่มผู้สูงวัยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ  โดยประเมินว่าหุ้นที่จะได้อานิสงส์จากปัจจัยดังกล่าวได้แก่ CPALL, CPAXT, BJC และ TNP           ส่วนทิศทางการลงทุนในทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก ประเมินแนวโน้มราคาทองคำในสัปดาห์นี้ ราคาทองคำยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากเงินดอลลาร์แข็งค่า หลัง “ทรัมป์” ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ประกอบกับประธานเฟดส่งสัญญาณไม่รีบปรับลดอัตราดอกเบี้ย หลังตัวเลขเงินเฟ้อยังคงสูงกว่าเป้าหมาย 2% และตลาดแรงงานมีความแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตามราคาทองคำได้แรงหนุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยจากสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น มองกรอบทองคำสัปดาห์นี้ 2,530 – 2,645 $/Oz ลุ้นทดสอบแนวรับ

InnovestX คาดดัชนีฟื้นตัวต่อ  มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ – เงินบาท - GDP หนุน

InnovestX คาดดัชนีฟื้นตัวต่อ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ – เงินบาท - GDP หนุน

          หุ้นวิชั่น - บล. อินโนเวสท์ เอกซ์  คาดดัชนีมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อ ด้วย Sentiment บวก โดยมีปัจจัยหนุน 1) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ติดการประชุมวันนี้ 2) เงินบาทกลับมาแข็งค่าเป็นบวกต่อทิศทาง Fund Flow และ 3) GDP ไทยใน 3Q67 ที่สูงกว่าคาด และมีแนวโน้มดีต่อใน 4Q67 ด้านแนวต้านอยู่ที่ 1460-1465 จุด หากขึ้นทะลุผ่าน จะเห็นการฟื้นตัวชัดขึ้น ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1440-1445 จุด คาดยังรองรับได้ วันนี้ติดตามการประชุมของบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจนำ เช่น นโยบายแจกเงินหมื่นเฟสสองสำหรับผู้สูงอายุ, มาตรการแก้หนี้, มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ และมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านการลดหย่อนภาษี รมว.คลังนำทีม BOI เยือนเซี่ยงไฮ้ดึงลงทุนในจังหวะบริษัทจีนกังวลผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ พบบริษัทแบตเตอรี่-อิเล็กทรอนิกส์ หนุนไทยฐานผลิตจีนในภูมิภาคอาเซียน  เผย 9 เดือน จีนยื่นลงทุนไทย 1.14 แสน ลบ. สศช. เผย GDP 3Q67 ขยายตัว 3% หนุนจากการผลิตนอกภาคการเกษตร ภาคบริการ และการลงทุนภาครัฐที่เร่งตัวขึ้น พร้อมปรับเป้า GDP ปีนี้โต 2.6% จากเดิม 2.5% ส่วนปี 2568 คาดโต 2.8% ชี้ความเสี่ยงอยู่ที่นโยบายเศรษฐกิจทรัมป์ หนี้ครัวเรือน-ธุรกิจสูง ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้สร้างบ้านสหรัฐฯ พ.ย. เพิ่มสู่ระดับ 46 สูงสุดในรอบ 7 เดือน และสูงกว่าตลาดคาด หนุนจากคาดการณ์ยอดขายที่เพิ่มขึ้นและความหวังรัฐบาลจะผ่อนคลายกฎระเบียบในตลาดที่อยู่อาศัย วานนี้รัสเซียได้โจมตีทางอากาศครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 3 เดือนต่อยูเครน สร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครน ด้านรัฐบาลสหรัฐฯ ได้อนุมัติให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธของสหรัฐฯ โจมตีรัสเซีย ทำให้อาจลุกลามกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 รัฐบาลจีนยกเลิกมาตรการลดหย่อนภาษีส่งออกอลูมิเนียม 13% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. ส่งผลให้ราคาหุ้นผู้ผลิตอลูมิเนียมปรับลงวานนี้ ขณะที่ราคาอลูมิเนียมในตลาดลอนดอน (LME) ปรับตัวขึ้นราว 6% The Information รายงาน Blackwell ชิป AI รุ่นใหม่ของ Nvidia กำลังประสบปัญหาความร้อนสูงเกินไป สร้างความกังวลต่อความล่าช้าในการเปิด Data Center ซ้ำเติมจากเดิมที่มีปัญหาการส่งล่าช้า กลยุทธ์การลงทุน           แม้ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัว Sideway ปัจจัยต่างประเทศค่อนข้างจำกัดหลังตลาดรับรู้ปัจจัยบวกจากนายโดนัลด์ ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่แล้ว สะท้อนจากผลตอบแทนและกระแสเงินที่ไหลเข้าหุ้นกลุ่มการเงินและหุ้นขนาดเล็กของสหรัฐฯ รวมถึงกระแสเงินที่ไหลออกจากตลาดหุ้น EM และตลาดหุ้นจีนจาความกังวลนโยบายปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ ส่วนปัจจัยในประเทศมองอยู่ในช่วงปรับประมาณการของบจ. และกำไรตลาด หลังภาพรวมกำไรของ SET 3Q67 อ่อนตัวลงทั้ง YoY และ QoQ อีกทั้งมีประเด็นต้องติดตามจากบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจเตรียมหารือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในวันที่ 19 พ.ย. และศาลรัฐธรรมนูญพิจารณารับคำร้องคดียุบพรรคเพื่อไทยในวันที่ 22 พ.ย.นี้ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์           ช่วงสั้นมอง SET แกว่งตัวไซด์เวย์ โดยปัจจัยต่างประเทศค่อนข้างจำกัดหลังอยู่ระหว่างรอดูนโยบายภาษีของทรัมป์ ขณะที่ปัจจัยในประเทศรอดูรัฐออกมาตรการกระตุ้น ศก. เพิ่มเติมกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้ หุ้น Event Play ที่คาดได้อานิสงส์บวกจากรัฐเตรียมพิจารณาออกมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม อาทิ แจกเงินหมื่นบาทเฟส 2, ช้อปดีมีคืน (Easy E-Receipt) แนะนำกลุ่มค้าปลีก (CPALL CPAXT CRC HMPRO TNP) หุ้นที่ได้อานิสงส์บวกจากดอลลาร์แข็งค่า/บาทอ่อนค่า แนะนำกลุ่มที่มีรายได้จากการส่งออก (CPF DELTA) และกลุ่มท่องเที่ยว (AWC AOT MINT) หุ้น Earnings Play ซึ่งมองมีโมเมนตัมกำไร 4Q67 จะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งเราแนะนำ Outperform เลือก GULF OSP CBG AMATA AU TIDLOR หุ้นที่จ่ายปันผลสูงและคาดได้อานิสงส์จากการเป็นเป้าหมายสะสมของกองทุนวายุภักษ์และกองทุนที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีช่วงปลายปี อาทิ SSF RMF และ THAIESG แนะนำหุ้น SET100 ที่คาดให้ Dividend Yield ขั้นต่ำปีละ 3.5% และมี ESG Rating สูงตั้งแต่ระดับ AA-AAA และ CG ระดับ 5 ดาว อีกทั้งมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตได้ในปี 2025 เลือก BBL ADVANC HMPRO Daily Top Picks CPALL: 4Q67 คาดจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี 2567 โดยเติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากเข้าสู่ High Season และยอดขายสาขาเดิมยังเติบโตแข็งแกร่ง อีกทั้งมาร์จิ้นยังกว้างขึ้นต่อเนื่องจากกมียอดขายสินค้ามาร์จิ้นสูงเพิ่มขึ้น ขณะที่มาตรการกระตุ้นศก. เพิ่มเติมของรัฐบาลและการปรับลดดอกเบี้ยจะเพิ่ม Upside ให้กับประมาณการ PTTEP: มองราคาน้ำมันที่แข็งแกร่งในระยะสั้นจะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้น และยังนับเป็นหุ้นที่เป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากกรณีกังวลความไม่สงบในตะวันออกกลาง ขณะที่ผลการดำเนินงานและงบดุลของบริษัทยังแข็งแกร่ง โดยปี 2567 คาดมีกำไรปกติ 8.0 หมื่นลบ. เติบโต 2%YoY ทั้งนี้วันนี้แนะนำเข้าซื้อเก็งกำไรราคาไม่เกิน 125 บาท

มาแล้ว! AOT โบรกฯมองโตต่อเนื่อง นทท.เพิ่ม-แผนขยายสนามบินหนุน

มาแล้ว! AOT โบรกฯมองโตต่อเนื่อง นทท.เพิ่ม-แผนขยายสนามบินหนุน

         หุ้นวิชั่น - บล.เคจีไอ ส่องหุ้น AOT วิเคราะห์แนวโน้มเป็นบวกต่อเนื่องในระยะยาว เมื่อมองต่อไปข้างหน้า ฝ่ายวิจัยคิดว่า AOT น่าจะเติบโตต่อเนื่องทั้ง YoY และ QoQ ใน 1Q68F (ตุลาคม - ธันวาคม 2567) เนื่องจากเป็นฤดูท่องเที่ยวของประเทศไทย นอกจากนี้แนวโน้มระยะยาวของบริษัทยังจะได้แรงหนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กำลังเพิ่มขึ้นไปถึงระดับก่อน COVID ระบาดได้เป็นอย่างน้อย โดยในปัจจุบันจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 88% ของระดับก่อน COVID ระบาดแล้ว ดังนั้น ฝ่ายวิจัยยังเห็นถึงโอกาสที่จำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นได้ในอีกสองสามปีข้างหน้า นอกจากนี้ AOT จะขยายสนามบินสุวรรณภูมิฝั่งตะวันออกเพื่อรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอีก 15 ล้านคน/ปี และยังมีแผนจะขยายอาคารผู้โดยสารด้านใต้ (South Terminal) เพื่อรองรับผู้โดยสาร 70 ล้านคน/ปี ในขณะเดียวกันบริษัทยังมีแผนจะพัฒนาสนามบินดอนเมืองเฟส 3 เพื่อรองรับผู้โดยสาร 50 ล้านคน/ปี ในอนาคตด้วย ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี FY67F เอาไว้ที่ 2.05 หมื่นล้านบาทในปี FY67F และปี FY68F ไว้ที่ 2.42 หมื่นล้านบาท ฝ่ายวิจัยยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”  โดยประเมินราคาเป้าหมาย DCF ปี FY68 ที่ 72.00 บาท (WACC 9%; TG 3%)

SIRI โบรกฯจับตาโครงการใหม่ โค้งท้าย 15.4 พันล้าน หนุนโต เคาะเป้าที่ 2.34 บ.

SIRI โบรกฯจับตาโครงการใหม่ โค้งท้าย 15.4 พันล้าน หนุนโต เคาะเป้าที่ 2.34 บ.

         หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี ส่องหุ้น SIRI มีมุมมอง slightly positive ต่อข้อมูลใน meeting จาก i) 4Q24F outlook ทั้ง presale, transfer สูง ทำให้แนวโน้ม 4Q24F Norm. profit โตได้ y-y, q-q และน่าจะเป็น Norm. profit ที่สูงสุดรายไตรมาสในปีนี้ ii) 4Q24F คาดบันทึก extra gain จากดีลโรงแรม Standard เข้ามา ซึ่งจะเป็น upside ต่อ กำไรสุทธิ 2024F ได้อีก iii) แผนธุรกิจปี2025F คาดใกล้เคียงปีนีในด้านเปิดโครงการใหม่ สะท้อนแผนธุรกิจที่ถือว่า aggressive กว่ากลุ่มฯ 1.iv) IBD/E ยังบริหารจัดการได้และมีโอกาสลดลงมาที่ 1.55x-60x (จาก 1.70x ใน Sep-24) โดยสภาพคล่องเพียงพอต่อการชำระคืน bond ที่จะครบกำหนดใน 4Q24F           ฝ่ายวิจัยคง TP25F ที่ 2.34 บาท คง Buy และเป็น top pick โดยน้ำหนัก 4Q24-2025F เด่น จากโครงการ flagship หลายโครงการรอเปิดตัว, business direction ที่aggressive เป็นโอกาส upside ของกำไรสุทธิจุดเด่นของ SIRI มาจากฐานลูกค้า low-rise ตลาดบนที่กำลังซื้อดีกว่ากลุ่มอื่น และมี% GPM สูง           จับตาแผนเปิดโครงการใหม่ 4Q24F = 15.4 พันลบ. เป็นมูลค่า low-rise :condo ที่ 75% : 25% โดย project hightlight เป็นบ้านเดี่ยว segment บน เช่น Narinsiri กรุงเทพกรีฑา มูลค่า 1.9 พันลบ. (36units), Narinsiri พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา มูลค่า 3.0 พันลบ. (56units)และ Setthasiri Bangna km.10 มูลค่า 2.3 พันลบ. (71units)          นอกจากนี้ SIRI ตั้งเป้า 4Q24F presale สูงราว 12.0 พันลบ. (flat y-y, โต q-q) ตั้งเป้า transfer สูงราว 11.0-12.0 พันลบ. (flat y-y, โต q-q) โดย QTD presale = 4.9 พันลบ., QTD transfer = 3.2 พันลบ. ทั้งนี้ แนวโน้ม Norm. profit4Q24F น่าจะอยู่ในช่วง 1.4-1.5 พันลบ. เพิ่มขึ้น y-y, q-q และ น่าจะเป็นไตรมาสที่ก าไรสุทธิสูงสุดรายไตรมาสของปีนี้ ทั้งนี้ net profit อาจมี upside จาก extra gain ของการขายสัดส่วนเงินลงทุนในโรงแรม The Standard

เจาะหุ้นกลุ่ม รพ. หลังประกันสังคม ชะลอผ่าตัดกระเพาะรักษาโรคอ้วน

เจาะหุ้นกลุ่ม รพ. หลังประกันสังคม ชะลอผ่าตัดกระเพาะรักษาโรคอ้วน

        หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรีฯ เจาะกลยุทธ์การลงทุน มองว่าในระยะสั้น รพ.ประกันสังคม มีประเด็นกดดันจากสำนักงานประกันสังคมขอให้ รพ.คู่สัญญากับประกันสังคม ชะลอให้บริการผ่าตัดกระเพาะรักษาโรคอ้วน โดยฝ่ายวิจัย ตรวจสอบกับ BCH และ CHG พบว่ามี สัดส่วนรายได้ให้บริการดังกล่าวน้อยกว่า 5% ของรายได้ประกันสังคม ประกอบกับไตรมาสสุดท้าย จะมีจำนวน Elective surgery ไม่มาก เพื่อลดความเสี่ยงจากงบประมาณค่ารักษาส่วน RW>2 จึงมองว่าประเด็นดังกล่าว จะมีผลกระทบเล็กน้อยต่อทั้ง BCH และ CHG สำหรับหุ้นเด่นกลุ่มฯ เลือก BDMS (TP 38 บาท) ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยน้ำหนักลงทุน Bullish สำหรับกลุ่มการแพทย์ เนื่องจาก 1) ความชัดเจนค่ารักษาประกันสังคมส่วน RW>2 จะลดความเสี่ยง Downside ต่อประมาณการกำไรรวมของกลุ่ม รพ. 2) การเพิ่มสิทธิประโยชน์รักษาโรครุนแรงของโครงการรัฐ ช่วยเพิ่มอัตราการใช้บริการและ Intensity ค่ารักษา 3) มีโอกาสขยายฐานลูกค้าต่างชาติใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ 4) คาดกำไรรวมกลุ่มฯ (+10%CAGR 24-26) เติบโตต่อเนื่อง นอกจากนี้ Valuation ของกลุ่มฯ ซื้อขาย PE ปี 25F เฉลี่ย 26 เท่าหรือเทียบเท่า -1.0SD Forward PE สำหรับหุ้นเด่นเลือก BDMS (Buy TP 38)

KSS คาด SET วันนี้ “แกว่งขึ้น” ส่องต้าน 1470 จุด AOT, SCB, WHA เด่น

KSS คาด SET วันนี้ “แกว่งขึ้น” ส่องต้าน 1470 จุด AOT, SCB, WHA เด่น

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “แกว่งขึ้น” ต้าน 1463/1470 จุด รับ 1442/1436 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดีดสั้นๆ ดัชนีS&P500 ปิด +0.39%           กลุ่มพลังงานขยับขึ้นนำตลาด ราคาน้ำมันดีดเฉลี่ย 3.18% รับบ่อผลิตน้ำมันนอร์เวย์ Johan Sverdrup หยุดผลิต น้ำมัน (กำลังผลิต 7.5 แสนบาร์เรลต่อวัน) และจิตวิทยาลบสถานการณ์ยูเครน - รัสเซีย กลับมาตึงขึ้น ภาพใหญ่ US Bond Yield 10 ปีติดแนวต้าน 4.5% และเริ่มนิ่งรอติดตามรายงานเศรษฐกิจเพิ่มเติม คลายแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยงระยะสั้น ผสานภาพบวกพัฒนาการเศรษฐกิจภายใน ทั้ง GDP 3Q24 เติบโต 3%y-y ดีกว่าตลาดคาด และมีสัญญาณเร่งต่อทั้งการเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐ+ท่องเที่ยวที่ยังน่าจะขยายตัวสูงต่อเนื่องในระดับ 20%y-y +/-           ขณะที่วันนี้น่าจะมีความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจเสริม บวกต่อค่าเงินบาทเช้านี้แกว่งแข็งค่า 34.6 +/- บาท หนุน SET แกว่งขึ้น หุ้นนำ คือ Domestic (ค้าปลีก ท่องเที่ยว ธนาคาร เช่าซื้อ นิคม) กลุ่ม Yield นิ่ง+เงินบาทแข็ง (โรงไฟฟ้า) กลุ่มน้ำมันดีดแรงหนุนฝั่งพลังงานต้นน้ำ และปิโตรเคมี Spread สัปดาห์ล่าสุดเด่น +6-10% w-w วันนี้แนะ AOT, SCB, WHA

CPALL ส่องกำไรQ4แกร่ง โบรกชี้เป้า 80 บาท

CPALL ส่องกำไรQ4แกร่ง โบรกชี้เป้า 80 บาท

      หุ้นวิชั่น- ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ในไตรมาส 3/67 CPALL ทำกำไรสุทธิได้ 5.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% yoy ลดลง 10% qoq แต่หากไม่รวมรายการพิเศษ ซึ่งหลักๆคือกำไร/ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของ CPAXT และค่าใช้จ่ายในการควบรวมกิจการ พบว่า CPALL จะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติสูงถึง 6.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% yoy และ 1% qoq สูงกว่าประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์ฯ และ Bloomberg consensus ราว 4% และ 9% ตามลำดับ โดยมีปัจจัยหนุนจากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) สูงกว่าคาดของธุรกิจร้านสะดวกซื้อและกำไรที่แข็งแกร่งกว่าคาดของ CPAXT ดังนั้นกำไรสุทธิในงวด 9 เดือนของปี 67 จึงเพิ่มขึ้นแตะ 1.82 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% yoy หรือคิดเป็น 76% ของประมาณการทั้งปี           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า ร้าน 7-Eleven ในไทยมีอัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) บวก 3.3% ในไตรมาส 3/67 หนุนโดยยอดซื้อต่อบิลที่เพิ่มขึ้น 2.4% yoy และจำนวนลูกค้าที่เข้ามาในร้านเพิ่มขึ้น 0.5% yoy โดยในไตรมาสนี้ CPALL เปิดร้าน 7-Eleven ในไทยอีก 199 สาขา พร้อมทั้งเปิดสาขาเพิ่มในกัมพูชา 11 สาขาและลาว 3 สาขา จึงทำให้จำนวนสาขาโดยรวมในไทยเพิ่มเป็น 15,053 สาขา, กัมพูชา 98 สาขา และลาว 9 สาขา           ส่วนอัตรากำไรจากการขายสินค้าทรงตัว qoq ที่ 27.7%ไตรมาส 3/67 ยังเป็นสถิติสูงสุด เนื่องจากสินค้าที่ไม่ใช่อาหารมี GPM เพิ่มขึ้น 20bp qoq เพราะส่วนผสมการขายที่ดีขึ้นช่วยชดเชยอัตรากำไรจากสินค้าอาหารที่ลดลง 10bp qoq ตามฤดูกาล ขณะที่ GPM โดยรวมจากการจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้น 70bp yoy ดังนั้นแม้ธุรกิจร้านสะดวกซื้อจะมีอัตราส่วน SG&A/รายได้สูงขึ้น 40bp yoy และ 20bp qoq เป็น 27.5% จากค่าใช้จ่ายพนักงานและค่าโฆษณาที่เพิ่มขึ้น แต่ไตรมาส 3/67 ธุรกิจนี้ยังคงมีกำไรสุทธิเติบโตแข็งแกร่งถึง 30% yoy เป็น 4.4 พันล้านบาท คิดเป็น 79% ของกำไรสุทธิโดยรวมของ CPALL ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI คาดว่า CPALL จะยังมีกำไรสุทธิเติบโตแข็งแกร่งในไตรมาส 4/67 แม้อาจชะลอตัวลงจากไตรมาส 3/67 หลังผลดีจากค่าไฟฟ้าที่ลดลงค่อยๆหมดไป นอกจากนี้ กำไรสุทธิจาก CPAXT น่าจะเติบโตเพียงเล็กน้อย เนื่องจากฐานกำไร ของ Lotus’s ขยายใหญ่ขึ้น จึงปรับประมาณการกำไรสุทธิในปี 67-69 ขึ้น 1.5-2.3% สะท้อน GPM ที่แข็งแกร่งของร้านสะดวกซื้อ ขณะที่เลื่อนระยะเวลาการลงทุนเป็นสิ้นปี 68 ส่งผลให้ราคาเป้าหมายของ CPALL เพิ่มเป็น 80 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”จากแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งและฐานกำไรที่ใหญ่ขึ้น           อย่างไรก็ตาม CPALL อาจมี downside risk หากมีการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและต้นทุนอาหารสดเพิ่มสูงขึ้นส่วนปัจจัยบวกคือการที่บริษัทขยายสาขาในกัมพูชาและสปป.ลาวเร็วกว่าคาดและส่วนแบ่งกำไรจาก CPAXT สูงกว่าคาด เพราะได้ประโยชน์จาก synergy ระหว่าง Makro และ Lotus มากกว่าคาด

โบรกฯอัพเป้า “MASTER”  ลุ้น Q4 ทำนิวไฮ เคาะที่ 67.50 บ.

โบรกฯอัพเป้า “MASTER” ลุ้น Q4 ทำนิวไฮ เคาะที่ 67.50 บ.

         หุ้นวิชั่น - บล.เอเอชแอล วิเคราะห์หุ้น MASTER ฝ่ายวิจัยรายงานกำไรสุทธิ Q3/67 ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย จาก GPM ที่ต่ำกว่าคาด 1% นอกจากนี้มองช่วง Q4/67 จะสามารถทำ New High Record แนวโน้มลูกค้าชาวไทย และต่างชาติเพิ่มขึ้น รวมถึงรับรู้รายได้จากกลุ่มลูกค้าภาคเหนือที่เลื่อนมา          ขณะที่แนวโน้มปี 2568ผู้บริหารยังตั้งเป้าการเติบโตของรายได้จากกิจการโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นราว 20% โดยมี key driver มาจากรายได้ลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้น ทั้งอินโดนีเซีย จีน เมียนมา ลาว เป็นต้น ขณะที่ OR Operation ยังมี Capacity เพียงพอ ส่งผลให้ GPM เฉลี่ยทั้งปีสูงขึ้นต่อจากปีนี้มีการปรับขึ้นของรายได้และกำไรสุทธิขึ้นจากการประมาณครั้งก่อนหน้า มาอยู่ที่2,474.9 ล้านบาท และ 623.6 ล้านบาท หรือปรับเพิ่มขึ้น 12.5% และ 6.9%ตามลำดับ โดยฝ่ายวิจัยได้ปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นจากครั้งก่อนที่ 63.25 บาท มาอยูที่ 67.50 บาท คงแนะนำ “ซื้อ”  เนื่องจากธุรกิจยังคงมีแนวโน้มเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง ประเมิน EPS ปี 68 เท่ากับ 2.07 บาท/หุ้น และประเมิน PER ที่เหมาะสมเท่ากับ 32.7x (ใกล้เคียงกันกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มโรงพยาบาลและกลุ่ม Beauty & Surgery ตั้งแต่ช่วงปี2566 ซึ่งเป็นช่วงสถานการณ์ปกติหลัง COVID-19)