ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#หุ้นกู้


ก.ล.ต.เตือนผถห.กู้ PLE 2 รุ่น ใช้สิทธิประชุมฯ วันที่ 28 มี.ค.68

ก.ล.ต.เตือนผถห.กู้ PLE 2 รุ่น ใช้สิทธิประชุมฯ วันที่ 28 มี.ค.68

          สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ PLE จำนวน 2 รุ่น ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ศึกษาข้อมูล ซักถามผู้ออกหุ้นกู้หรือผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนและเพียงพอต่อการตัดสินใจลงมติ ในวันที่ 28 มีนาคม 2568           ตามที่บริษัท เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) (PLE) ในฐานะผู้ออกหุ้นกู้ PLE256A และ PLE272A  จะจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 28 มีนาคม 2568 เวลา 10.00 น. ด้วยวิธีการประชุม ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-meeting) โดยมีเรื่องเพื่อพิจารณาอนุมัติ ดังนี้ (1) ผ่อนผันให้การที่ผู้ออกหุ้นกู้ไม่สามารถดำรงอัตราส่วนของ “หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของ ผู้ถือหุ้น” ในอัตราส่วนไม่เกิน 4 : 1 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ไม่ให้ถือเป็นเหตุผิดนัด (2) แก้ไขอัตราส่วนทางการเงินที่ผู้ออกหุ้นกู้มีหน้าที่ต้องดำรงไว้ตามข้อกำหนดสิทธิ จาก อัตราส่วนไม่เกิน 4 : 1 เป็น อัตราส่วนไม่เกิน 5 : 1           ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้กำหนดให้ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้วิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ และผลกระทบที่ผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับ จากการมีมติอนุมัติ หรือไม่อนุมัติ ให้ชัดเจนในแต่ละทางเลือก พร้อมเหตุผลประกอบโดยมีความเห็นของผู้แทน ผู้ถือหุ้นกู้ประกอบด้วย ก.ล.ต. จึงขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ และใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นกู้ในการรักษาประโยชน์ของตนเอง พร้อมทั้งสอบถามข้อมูลต่าง ๆ จากผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้มีข้อมูลครบถ้วนประกอบการตัดสินใจออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ด้วย หมายเหตุ : บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ PLE256A และ PLE272A

ก.ล.ต. เตือนผถห.กู้ NRF254A ใช้สิทธิประชุมวันที่ 25 มี.ค.68

ก.ล.ต. เตือนผถห.กู้ NRF254A ใช้สิทธิประชุมวันที่ 25 มี.ค.68

          สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ NRF254A ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ศึกษาข้อมูล ซักถามผู้ออกหุ้นกู้หรือผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนและเพียงพอต่อการตัดสินใจลงมติ ในวันที่ 25 มีนาคม 2568           ตามที่บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) (NRF) ในฐานะผู้ออกหุ้นกู้ NRF254A จะจัดให้มี  การประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ครั้งที่ 3/2568 ในวันที่ 25 มีนาคม 2568 เวลา 14.00 น. ด้วยวิธีการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-meeting) โดยมีเรื่องเพื่อพิจารณาขอผ่อนผันหรือขออนุมัติ เพื่อไม่ให้ถือเป็นเหตุผิดนัดตามข้อกำหนดสิทธิ ดังนี้ (1) ผ่อนผันให้การที่บริษัทไม่สามารถดำเนินการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นกู้ 14 วัน ล่วงหน้าก่อนวันประชุม (2) ผ่อนผันให้บริษัทและนายทะเบียนนำส่งหนังสือเชิญประชุม โดยใช้รายชื่อผู้ถือหุ้นกู้ที่มีสิทธิเข้าร่วมประชุมและออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2568 เป็นรายชื่อผู้ถือหุ้นกู้ที่มีสิทธิเข้าร่วมประชุมและออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ครั้งที่ 3/2568 (3) อนุมัติให้การที่ผู้ออกหุ้นกู้นำที่ดิน อาคาร และเครื่องจักรของโรงงานผลิตเครื่องปรุงรสของบริษัทไปจำนองกับธนาคารแห่งหนึ่ง เพื่อเป็นหลักประกันการขอวงเงินสินเชื่อ การ Refinance หรือการเจรจาผ่อนผัน หรือการเปลี่ยนแปลงเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคาร           ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้กำหนดให้ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้วิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ และผลกระทบที่ผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับจากการมีมติอนุมัติ หรือไม่อนุมัติ ให้ชัดเจนในแต่ละทางเลือก พร้อมเหตุผลประกอบโดยมีความเห็นของผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ประกอบด้วย ก.ล.ต. จึงขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ และใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นกู้ในการรักษาประโยชน์ของตนเอง พร้อมทั้งสอบถามข้อมูลต่าง ๆ จากผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้มีข้อมูลครบถ้วนประกอบการตัดสินใจออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ด้วย หมายเหตุ : ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ NRF254A ครบกำหนดชำระวันที่ 20 เมษายน 2570

TRUE เสนอขายหุ้นกู้อายุ 3 - 10 ปี ชูดอกเบี้ยคงที่ 3.00-3.95%

TRUE เสนอขายหุ้นกู้อายุ 3 - 10 ปี ชูดอกเบี้ยคงที่ 3.00-3.95%

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ : 21 มีนาคม 2568 - บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE บริษัทโทรคมนาคมเทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน ด้วยคะแนน DJSI 2024 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป จำนวน    5 ชุด อายุตั้งแต่ 3 ปี ถึง 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง [3.00 – 3.95]% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากทริสเรทติ้ง สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของ ทรู คอร์ปอเรชั่น ในธุรกิจโทรคมนาคมและธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัล คาดเปิดให้จองซื้อระหว่าง วันที่ 2 และวันที่ 6-7 พฤษภาคม 2568 ผ่าน 7 สถาบันการเงินชั้นนำได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ซีไอเอ็มบี ยูโอบี บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส รวมถึงการขายผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet โดยมีธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้และผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้           นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีของไทย สำหรับการควบรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทคซึ่งดำเนินมาครบ 2 ปีในขณะนี้ ได้เสริมสร้างศักยภาพและความแข็งแกร่งของบริษัทฯ ส่งผลให้บริษัทฯ เติบโตอย่างยั่งยืน โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการ (ไม่รวมรายได้ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย หรือ IC)  1.66 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 4.6% มี EBITDA 9.81 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีกำไรสุทธิ (ภายหลังการปรับปรุง) 9.9 พันล้านบาท โดย EBITDA เติบโตต่อเนื่อง 8 ไตรมาสติดต่อกัน สำหรับปี 2568 คาดว่าจะเป็นปีที่บริษัทเริ่มมีผลกำไรสุทธิหลังหักภาษี”           นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ประกาศปรับโครงสร้างผู้บริหารเพื่อเสริม         ความแข็งแกร่งของทีมผู้นำและร่วมขับเคลื่อนบริษัทให้เติบโตทัดเทียมบริษัทชั้นนำระดับโลก โดยแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญ 3 ตำแหน่ง ได้แก่ Group CEO  ดูแลบริหารงานขับเคลื่อนด้านยุทธศาสตร์ภาพรวมของบริษัท     President/CEO – Enterprise & Data Business ดูแลสายงานในกลุ่มธุรกิจดิจิทัล ออนไลน์ ทรูวิชั่นส์ ดาต้าและ     กลุ่มลูกค้าองค์กร เพื่อปรับโฉมด้านดิจิทัลของทรูให้พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคต  ส่วน President/CEO – Consumer Business รับผิดชอบกลุ่มธุรกิจโมบายล์และงานบริการลูกค้า การปรับโครงสร้างครั้งนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ในการเตรียมพร้อมรับความท้าทายในอนาคตและเสริมสร้างสถานะทางการเงินให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น           บริษัทฯ และหุ้นกู้ที่จะเสนอขายในครั้งนี้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 สะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ เสริมทัพด้วยโครงข่ายทั่วประเทศ ชุดคลื่นความถี่ที่ครอบคลุม และชื่อแบรนด์ที่ผู้บริโภคคุ้นเคย  อีกทั้งปัจจัยบวกจากประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการควบรวม รวมถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่คาดว่าน่าจะปรับตัวดีขึ้นในอนาคตอีกด้วย           ทางด้านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้กล่าวเพิ่มเติมว่า “หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา และมีการคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมวันที่ 25 มิถุนายน 2568 ทำให้ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนในการสะสมหุ้นกู้ เพื่อล็อคผลตอบแทนไว้ก่อนที่จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยลงอีก โดยเฉพาะนักลงทุนที่นิยมลงทุนในหุ้นกู้ที่มีคุณภาพสูง และด้วยอันดับความน่าเชื่อถือสูงที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” ของทรู หุ้นกู้ทรูจึงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในช่วงนี้”           หุ้นกู้ครั้งนี้จะเสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) จำนวน 5 ชุด โดยมีอายุหุ้นกู้ให้เลือกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 10 ปี ครอบคลุมผู้ลงทุนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ต้องการลงทุนระยะสั้น ระยะกลาง หรือระยะยาว วัตถุประสงค์ในการ     ออกหุ้นกู้ครั้งนี้เพื่อชำระคืนหนี้จากการออกตราสารหนี้ โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ และคาดว่าจะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 2 และ    วันที่ 6-7 พฤษภาคม 2568 สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท บริษัทฯ เชื่อว่าหุ้นกู้ที่เสนอขายในครั้งนี้จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา โดยหุ้นกู้ทั้ง 5 ชุดที่เสนอขาย มีรายละเอียดดังนี้ หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.00 - 3.15]% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.30 - 3.45]% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.45 - 3.60]% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.65 - 3.80]% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 5 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.80 - 3.95]% ต่อปี และผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดได้ตั้งแต่หุ้นกู้ครบปีที่ 5 เป็นต้นไป           ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยที่แน่นอนจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง โดยบริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th หรือ สอบถามรายละเอียดที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 7 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02 888 8888 กด 869 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 777 6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 626 7777 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน แอป CIMB Thai ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 285 1555 บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02 680 4004 บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02 165 5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปฯ Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)           สำหรับผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.truemoney.com หรือติดต่อขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด โทร. 1240 กด 6

หุ้นกู้ KCCH ผู้ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการหนี้ [FynnCorp IAS Bond Research]

หุ้นกู้ KCCH ผู้ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการหนี้ [FynnCorp IAS Bond Research]

บริษัท ไนท คลับ แคปปิตอล โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) Business Sector: Finance and Securities Company Rating: Unrated Issue Rating: Unrated Listed Status: MAI Key Highlights: KCCH ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ KCCAMC และ KCCAR มีรายได้การดำเนินงานลดลงเล็กน้อย แต่ธุรกิจหลักยังเติบโตได้ดี เน้นลงทุนเพิ่มในพอร์ต NPL ที่ให้ผลตอบแทนสูง สถานะการเงินแข็งแกร่ง เงินสด 304 ล้านบาท แต่ยังต้องพึ่งพาเงินกู้เพิ่ม KCCH ออกหุ้นกู้ 6.00% ต่อปี ไม่มีเรตติ้ง อายุ 1 ปี 11 เดือน 29 วัน อัตราดอกเบี้ย 6.00% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน เปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 8-10 เมษายน 2568 หุ้นกู้ KCCH ภาพรวมธุรกิจ บริษัท ไนท คลับ แคปิตอล โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (KCC) จดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทมหาชนจำกัด ในเดือนสิงหาคม ปี 2566 เพื่อดำเนินธุรกิจด้วยการเข้าลงทุนถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ซึ่ง KCC ดำเนินธุรกิจหลักด้วยการถือหุ้น 99.73% ภายใต้ บริษัท บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปิตอล จำกัด (มหาชน) (KCCAMC) ที่ประกอบธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ จากการรับซื้อหรือรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPLs) จากสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจทางการเงิน แล้วนำมาปรับปรุงโครงสร้างหนี้และบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขาย (NPA) เพื่อนำมาพัฒนาและจำหน่ายต่อไป นอกจากนี้ KCC ยังดำเนินธุรกิจหลักด้วยการถือหุ้น 100% ภายใต้ บริษัท เคซีซี แอสเซท รีคัฟเวอรี่ จำกัด (KCCAR) ซึ่งดำเนินธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากการรับซื้อหรือรับโอนลูกหนี้ NPLs เช่น การซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพประเภทหุ้นกู้ หรือประเภทลูกหนี้การค้าจากบุคคลหรือนิติบุคคลที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน และนำมาบริหารจัดการ ปรับปรุงและจำหน่ายต่อไป แหล่งรายได้ มาจาก 1) การบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ อย่างดอกเบี้ยรับจากเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้ จากกำไรการรับชำระหนี้ และจากกำไรการขายเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้ เป็นต้น และ 2) กำไรจากการขายทรัพย์สินรอการขายที่บริษัทได้มีการสร้างมูลค่าเพิ่ม ปรับปรุงให้มีสภาพดีพร้อมใช้ประโยชน์ เพื่อให้สามารถจำหน่ายให้กับบุคคลภายนอกได้ นอกจากนี้ ยังมี 3) รายได้จากการดำเนินงานอื่น เช่น รายได้จากการให้บริการบริหารสินทรัพย์ รายได้ดอกเบี้ยรับจากธนาคาร และอื่นๆ ผลการดำเนินงานปี 2567 เมื่อรวมรายได้จากการดำเนินงาน 3 แหล่งข้างต้นจะอยู่ที่ 185.7 ล้านบาทในปี 2567 โดยรายได้มาจากธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเป็นหลัก คิดเป็นกว่า 93% หรือมูลค่า 172.8 ล้านบาท ตามด้วยกำไรจากการขายทรัพย์สินรอการขาย มูลค่า 9.5 ล้านบาท (5%) และรายได้อื่นๆ ส่วนกำไรสุทธิ อยู่ที่ 81.8 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม รายได้จากการดำเนินงานลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน 2.8% YoY สาเหตุหลักมาจากกำไรสุทธิจากการรับชำระหนี้ลดลง 58.3% YoY อยู่ที่ 10.98 ล้านบาท จาก 26.35 ล้านบาทในปี 2566 ซึ่งปกติบริษัทจะรับรู้กำไรส่วนนี้เมื่อได้รับเงินส่วนที่เกินกว่าราคาทุนที่จ่ายซื้อลูกหนี้และดอกเบี้ยที่ได้รับชำระจากลูกหนี้ ส่วนกำไรจากการขายทรัพย์สินรอการขายที่จำหน่ายได้ ลดลง 32.7% YoY ขณะเดียวกัน กำไรสุทธิลดลงจากปีก่อนหน้า 2.8% จากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มจากการออกหุ้นกู้เพื่อซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเพิ่มเติม แม้ว่ารายได้ภาพรวมจะลดลงเล็กน้อย แต่รายได้หลักของบริษัท อย่างรายได้ดอกเบี้ยรับจากเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้สุทธิของบริษัท ยังเติบโต 17.3% YoY มาอยู่ที่ 159.8 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีการลงทุนเพิ่มในพอร์ต NPL ที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น และการขยายตัวของพอร์ต สะท้อนศักยภาพในการสร้างรายได้และผลตอบแทนในระยะยาวของบริษัท สถานะทางการเงิน บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ สิ้นปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 304 ล้านบาท ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E ratio) อยู่ที่ 1.06 เท่า และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (IBD/E) อยู่ที่ 1.00 เท่า สะท้อนว่าหนี้สินส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ย โดยหลักเป็นตราสารหนี้ คิดเป็น 88.5% ของหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยทั้งหมด โดยบริษัทสามารถจ่ายดอกเบี้ยอยู่ในระดับดี สะท้อนจากอัตราส่วนความสามารถในการชำระดอกเบี้ย (ICR) ที่ 2.14 เท่า อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนความสามารถในการชำระผูกพัน (DSCR) อยู่ที่ 0.26 เท่า หมายความว่า มีกำไร EBITDA ครอบคลุมภาระหนี้ (ดอกเบี้ย + เงินต้น) ที่ครบกำหนดใน 1 ปี ได้เพียง 26% ส่งผลให้บริษัทต้องพึ่งพาแหล่งเงินกู้ใหม่ เช่น การออกหุ้นกู้ KCCH เสนอขายหุ้นกู้ ต่อผู้ลงทุนสถาบัน ผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ เป็นหุ้นกู้เสี่ยงสูง ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน อายุ 1 ปี 11 เดือน 29 วัน อัตราดอกเบี้ย 6.00% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน เปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 8-10 เมษายน 2568 โดยบริษัทไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือขององค์กรและหุ้นกู้ มีวัตถุประสงค์การออกหุ้นกู้ครั้งนี้ เพื่อให้กู้ยืมแก่บริษัทย่อย เพื่อนำไปใช้ซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนระยะยาว การดำรงอัตราส่วนทางการเงิน บริษัทจะต้องดำรงอัตราส่วนของหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (IBD/E) ตามข้อกำหนดสิทธิของผู้ออกหุ้นกู้ ไม่เกิน 2.5 เท่า ณ วันสิ้นงวดบัญชี ปัจจัยเสี่ยง ความเสี่ยงในการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ บริษัทมีความเสี่ยงหากลูกหนี้ไม่สามารถจ่ายชำระเงินตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน หรือการดำเนินกระบวนการทางศาลล่าช้า หลักประกันไม่คุ้มหนี้ อย่างไรก็ตาม บริษัทมีขั้นตอนการคัดเลือกสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ด้วยการดำเนินการสอบทานข้อมูล (Due Diligence) อย่างละเอียด ความเสี่ยงจากการจัดซื้อลูกหนี้สินเชื่อธุรกิจที่ไม่มีหลักประกัน หากเกิดเหตุการณ์ที่ลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ให้กับบริษัทได้ บริษัทจะต้องดำเนินการฟ้องร้อง เพื่อบังคับคดีกับทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้ ซึ่งใช้ระยะเวลาและอาจส่งผลต่อกระแสเงินสดรับ และความสามารถในการชำระคืนหนี้ได้ ดังนั้น บริษัทจึงให้ความสำคัญในการพิจารณา ประเมิน และกำหนดราคาซื้อลูกหนี้ทุกครั้งที่เข้าประมูลซื้อลูกหนี้ อย่างเช่น การพิจารณาภาระหนี้คงเหลือ ความสามารถในการชำระหนี้ พิจารณาแผนธุรกิจ วิเคราะห์งบการเงิน และอุตสาหกรรม เป็นต้น ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของบริษัท จากการที่บริษัทมีลูกหนี้ 1 ราย ที่มีสัดส่วนมากกว่า 30.4% ของเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับสุทธิของ KCCAMC ณ สิ้นปี 2567 โดยเป็นสินเชื่อธุรกิจที่มีหลักประกัน ซึ่งผลการดำเนินงานของลูกหนี้อาจได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวได้ ทำให้ส่งผลต่อผลการดำเนินงานของบริษัทตามมา บริษัทจึงได้ติดตามลูกหนี้นี้ และมีการประเมิน ติดตามมูลค่าหลักประกันอย่างสม่ำเสมอ โดยมีรายงานความคืบหน้าทางคดีต่อคณะกรรมการบริษัททุกเดือน และรายงานต่อคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงทุกไตรมาส

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

บล.กรุงศรี เปิดโอกาสการลงทุนระยะสั้น หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง

บล.กรุงศรี เปิดโอกาสการลงทุนระยะสั้น หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง

            หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี เปิดโอกาสในการลงทุนระยะสั้น คุ้มครองเงินต้น 100% หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง Shark-Fin Bull Notes อ้างอิง SET 50 อายุ 6 เดือน อัตราดอกเบื้ย 2.75 % ต่อปี จองซื้อขั้นต่ำ 5 ล้านบาท จองซื้อได้ วันนี้ - 13 มีนาคม 2568 (ก่อน 12.00 น.) สนใจโทร.02-659-7880 หรือ 7881

หุ้นกู้ TAA ผู้นำสายการบินราคาประหยัด [HoonVision x FynnCorp]

หุ้นกู้ TAA ผู้นำสายการบินราคาประหยัด [HoonVision x FynnCorp]

          หุ้นวิชั่น - บจ.ไทยแอร์เอเชีย (TAA) ยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดภายในประเทศเป็นอันดับหนึ่งอยู่ที่ 40% ด้วยจำนวนผู้โดยสารตลอดปี 67 อยู่ที่ 20.8 ล้านคน เพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อน / ผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นสอดคล้องไปกับภาคการท่องเที่ยว ด้วยรายได้ขยายตัวเกือบ 20% ในปี 67 / TAA เสนอขายหุ้นกู้ อายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.5% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน เปิดให้จองซื้อในระหว่างวันที่ 8-10 เมษายน 2568 ภาพรวมธุรกิจ            บจ. ไทยแอร์เอเชีย (TAA) ก่อตั้งขึ้นในปี 2546 เพื่อดำเนินธุรกิจสายการบินราคาประหยัด และเริ่มให้บริการเที่ยวบินเป็นครั้งแรกในปี 2547 โดยมีบริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) (AAV) ซึ่งก่อตั้งในปี 2549 และประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ถือหุ้นใน บจ. ไทยแอร์เอเชีย เพียงแห่งเดียว            TAA มีรายได้หลักจากการให้บริการขนส่งผู้โดยสารแบบประจำ (Scheduled Passenger Services) และการให้บริการเสริม (Ancillary Services) ตามความประสงค์ของผู้ใช้บริการ เช่น ค่าบริการฝากสัมภาระใต้ท้องเครื่อง ค่าเลือกที่นั่ง ค่าอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง รวมถึงบริการพื้นที่ระวางสินค้า (AirAsia Cargo) และอื่นๆ            จุดเด่นของ TAA คือ บริการการเดินทางแบบชั้นบินประเภทเดียว ฝูงบินแบบเครื่องบินตระกูลเดียว การให้บริการแบบไม่มีการเชื่อมต่อ (Point-to-point) อัตราการใช้เครื่องบินต่อลำในระดับสูง การประหยัดต่อขนาด ช่องทางการจัดจำหน่ายหลากหลาย เครือข่ายเส้นทางการบินที่ครอบคลุม ทำให้มีต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่งในอุตสหกรรม            โดยมีฐานปฏิบัติการบิน (Hub) ในไทย ได้แก่ กรุงเทพฯ (ท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) ภูเก็ต และเชียงใหม่ ที่เน้นให้บริการเส้นทางการบินที่หลากหลายและเพิ่มความถี่เที่ยวบินทั้งภายในและระหว่างประเทศ ซึ่งใช้เวลาเดินทางต่อเที่ยวบินไม่เกิน 5 ชั่วโมงจากแต่ละ Hub ในไทย ผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่องจากภาคการท่องเที่ยว            ข้อมูลจากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) รายงานภาพรวมการขนส่งทางอากาศในไตรมาส 4 ขยายตัวต่อเนื่อง ด้วยจำนวนผู้โดยสารและปริมาณเที่ยวบินเพิ่มสูงขึ้นตามการติบโตของภาคการท่องเที่ยวในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวของไทย ประกอบกับนโยบายยกเว้นวีซ่าของรัฐบาลไทยที่ครอบคลุม 93 ประเทศ สะท้อนจากจำนวนผู้โดยสารประมาณ 38 ล้านคนในไตรมาส 4 ปี 2567เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 5 ล้านคน (+15.2% QoQ) และปริมาณเที่ยวบินสอดคล้องกับจำนวนผู้โดยสาร ด้วยจำนวน 238,415 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 11.07% QoQ สถิติการขนส่งทางอากาศ (4Q2567)            โดยการขนส่งทางอากาศที่เติบโตนั้น สอดคล้องไปกับรายได้จากการขายและบริการของ TAA ที่ขยายตัวขึ้นเกือบ 21% QoQ ในไตรมาส 4/2567 ส่งผลให้ในภาพรวมของปี 2567 รายได้จากการขายและบริการของบริษัทอยู่ที่ 49,435.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.9% YoY โดยแบ่งเป็นรายได้จากค่าโดยสาร (Ticket revenue) 82.8% และรายได้จากบริการเสริม (Ancillary revenue) 17.2% และมีกำไรสุทธิ 3,482.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.52 เท่า จากปีก่อน ซึ่ง บจ.ไทยแอร์เอเชีย ยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดภายในประเทศเป็นอันดับหนึ่งอยู่ที่ 40%            โดยผลการดำเนินงานที่เติบโตดังกล่าว สะท้อนการฟื้นตัวที่โดดเด่น ด้วยการให้บริการผู้โดยสารทั้งสิ้น 20.8 ล้านคน เพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อน (18.9 ล้านคน) และอัตราการขนส่งผู้โดยสาร 91% (Load factor) เน้นเป็นผู้โดยสารภายในประเทศเป็นหลัก (63%) ด้วยค่าโดยสารเฉลี่ยเพิ่มขึ้น จาก 1,780 บาท ในปี 2566 สู่ 1,967 บาท ในปี 2567 นอกจากนี้ ได้มีการเพิ่มเครื่องบินอีก 4 ลำ ทำให้ฝูงบินเพิ่มเป็น 60 ลำ และเป็นเครื่องบินปฏิบัติการ ณ สิ้นปี 2567 อยู่ที่ 56 ลำ จาก 52 ลำ ณ สิ้นปี 2566 เนื่องจากเป็นการวิเคราะห์หุ้นกู้เป็นหลัก จึงอิงงบการเงินของ บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด ซึ่งเป็นผู้ออกหุ้นกู้ ตั้งเป้ารายได้โต 15% ในปี 68 พร้อมเครื่องบินใหม่อีก 6 ลำ            จากเป้าหมายของจำนวนนักท่องเที่ยวโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ประมาณ 40 ล้านคนในปี 2568 บริษัทจึงคาดการณ์รายได้หลักจะเติบโตระดับใกล้เคียงกับปีก่อนที่ประมาณ 15% YoY ด้วยจำนวนผู้โดยสาร 23-24 ล้านคน โดยจะรักษาอัตราขนส่งผู้โดยสารใกล้ระดับ 90% รวมถึงเป้าหมายการเพิ่มระดับความตรงต่อเวลา (On-Time Performance: OTP) ให้กลับมาอยู่ในระดับ 90% ซึ่งเป็นมาตรฐานที่เคยทำได้โดดเด่น ซึ่งในปี 2567 ทำได้อยู่ที่ระดับ 79% (เที่ยวบินจะถือว่า ตรงเวลา เมื่อออกเดินทางไม่เกินกว่า 15 นาทีตามกำหนดการ)            นอกจากนี้ บริษัทมีแผนเพิ่มขนาดฝูงบินเป็น 66 ลำในปี 2568 โดยมีกำหนดรับมอบเครื่องบินลำแรกภายในสิ้นเดือนมีนาคมนี้ เพื่อรองรับการเติบโต รวมถึงการเปิดเส้นทางการบินใหม่ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งในไตรมาสที่ผ่านมา มีการเปิดเส้นทางการบินใหม่ จากเส้นทางดอนเมืองสู่ลำปาง เส้นทางบินข้ามภูมิภาคจากภูเก็ตสู่อุดรธานี และจากดอนเมือง สู่ อินเดีย (คยา, ไฮเดอราบัค, โกลกาตา) เวียดนาม (ฟูก๊วก) เนปาล (กาฐมาณฑุ) กัมพูชา (เสียมเรียบ) หุ้นกู้ TAA            อันดับเครดิตองค์กรอยู่ที่ระดับ BBB- แนวโน้มอันดับเครดิต Stable ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มของทริสเรทติ้งเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2567 เนื่องจากทริสคาดว่าผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินของบริษัทจะดีขึ้นจากความต้องการเดินทางทางอากาศดีขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางอัตราค่าโดยสารยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนความสามารถในการทำกำไรของ TAA อย่างไรก็ตาม การจัดอันดับเครดิตได้พิจารณาถึงธรรมชาติที่แปรปรวนตามวงจรของธุรกิจสายการบิน ทั้งเรื่องราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ความเสี่ยงทางด้านเศรษฐกิจ            แผนเสนอขายหุ้นกู้ TAA เสนอขายหุ้นกู้ต่อผู้ลงทุนสถาบัน หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ เป็นหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ มีประกัน อายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.5% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน โดยผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดได้ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป และเปิดให้จองซื้อในระหว่างวันที่ 8-10 เมษายน 2568            วัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ เพื่อใช้ชำระคืนหนี้จากการออกหุ้นกู้ TAA254A ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 27 เมษายน 2568 จำนวน 1,500 ล้านบาท และใช้ชำระคืนหนี้เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน 300 ล้านบาท รวมถึงเป็นเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายในกิจการที่เกี่ยวข้องอีก 200 ล้านบาท ทำให้มูลค่าเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้อยู่ที่ไม่เกิน 2,000 ล้านบาท            หุ้นกู้คงค้าง ณ ปัจจุบันของ TAA อยู่ที่ 5,700 ล้านบาท (เงินต้น) โดยเป็นหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระในปี 2568 รวม 1,500 ล้านบาท ซึ่ง TAA ออกหุ้นกู้มาแล้วทั้งหมด 10 รุ่น ตั้งแต่ปี 2560 และจากกราฟด้านล่าง จะเห็นว่าบริษัทมีเงินสดที่เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่สิ้นปี 2566 โดยหลักมาจากเงินสดจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นมากกว่าเงินที่นำไปลงทุนหรือชำระหนี้ ขณะเดียวกัน หนี้สินจากหุ้นกู้ก็เพิ่มสูงขึ้นตามมาจากการออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อชำระคืนหุ้นกู้เดิม (Roll over) ปัจจัยเสี่ยง            บริษัทไม่ได้กำหนดอัตราส่วนทางการเงินที่ต้องดำรงไว้ในข้อกำหนดสิทธิ (Financial Covenants) สำหรับการเสนอขายครั้งนี้ ซึ่งส่งผลให้มีความเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมระดับการก่อหนี้ได้ แต่บริษัทเองก็มีการจำกัดการก่อหนี้ด้วยการกำหนด Internal Financial Covenants ให้สอดคล้องกับ Financial Covenants ที่มีกับสถาบันการเงิน ซึ่งหากบริษัทไม่สามารถรักษาระดับหรือไม่ได้รับการผ่อนผันจากสถาบันการเงิน อาจทำให้บริษัทถูกเรียกชำระคืนเงินกู้ก่อนกำหนดได้ และอาจเข้าข่ายผิดนัดหุ้นกู้ (Cross Default)            ความเสี่ยงของส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นลบ ตั้งแต่สถานการณ์ COVID-19 ในปี 2562 ที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานที่ลดลงสะสมมา และแม้ว่าผลการดำเนินงานได้ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2566 แต่ก็ยังมีความผันผวนจากต้นทุนหลักในการดำเนินงานของบริษัทส่วนใหญ่ เช่น ต้นทุนน้ำมัน ค่าเช่าเครื่องบิน และค่าบำรุงรักษาเป็นสกุลเงินต่างประเทศ และกระแสเงินสดยังไม่ได้อยู่ในระดับเพียงพอที่จะชำระหนี้ระยะสั้นได้ จึงต้องพึ่งพาเงินทุนจากการออกหุ้นกู้เป็นหลัก จึงอาจมีความเสี่ยงหากไม่สามารถระดมทุนได้ตามแผน

โกลเบล็ก เสิร์ฟหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง KIKO-Basket-KIKO ผลตอบแทน 7-15% ต่อปี

โกลเบล็ก เสิร์ฟหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง KIKO-Basket-KIKO ผลตอบแทน 7-15% ต่อปี

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ – บล.โกลเบล็ก จำกัด (GBS) เดินหน้าเจาะกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ ส่งหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง KIKO และ Basket-KIKO อ้างอิงการลงทุนในหุ้น SET 50 ให้ผลตอบแทน 7-15% ต่อปี ระยะเวลาการลงทุน 3-6 เดือน           นายธนพิศาล คูหาเปรมกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด (GBS) เปิดเผยว่า การให้บริการ Structured Product& Single Stock Futures  ช่วงปีที่ผ่านมา ได้มีการเสนอขายหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง KIKO และ Basket – KIKO โดยอ้างอิงหุ้นใน SET 50 ให้กับนักลงทุนรายใหญ่ ซึ่งได้ผลตอบรับอย่างดี ส่งผลให้ในช่วงปีแรกมียอดขาย 400 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นผลมาจากจุดเด่น การให้ผลตอบแทนที่สูงถึง 7% -15% ต่อปี ภายในระยะเวลา 3-6 เดือน โดยได้รับดอกเบี้ยทุกๆ เดือน ไม่มีค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย สำหรับปัจจัยที่ทำให้ KIKO และ Basket – KIKO ของบริษัทฯ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจาก บริษัทฯ มีการคัดเลือกหุ้นอ้างอิงที่มีอัตราการได้รับหุ้นค่อนข้างต่ำ และเมื่อเกิดการ Knock –Out หรือหมดอายุ ลูกค้าก็สามารถนำเงินจำนวนดังกล่าวมาลงทุนใหม่อีกครั้งหนึ่ง ส่งผลให้กลุ่มลูกค้าได้รับผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอ           “หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงประเภท KIKO และ Basket-KIKO เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อน(Complex product) สามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าหุ้นกู้ทั่วไป แต่ก็มีความเสี่ยงสูงกว่าหุ้นกู้ทั่วไป ผลตอบแทนจะอ้างอิงหุ้นสามัญที่อยู่ใน SET 50 ที่คัดสรรจากผู้เชี่ยวชาญทีม Research ของบล. โกลเบล็ก  โดยนักลงทุนสามารถซื้อได้ทุกวันทำการ ระยะเวลาลงทุนประมาณ 6 เดือน ได้รับอัตราผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยประมาณ 7-15% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ เดือน ไม่มีค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย”           อย่างไรก็ตามในปี 2568 บริษัทฯ มีแผนที่จะออก Quanto-KIKO โดยอ้างอิงกับหลักทรัพย์ต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการลงทุนและรับผลตอบแทนในรูปสกุลเงินบาท ซึ่งนักลงทุนจะได้รับดอกเบี้ยสูงขึ้นไปพร้อมๆ กับระดับ Knock - In ที่ลึกขึ้น ส่วนนักลงทุนที่ชอบลงทุนและสามารถรับความเสี่ยงได้น้อย บริษัทฯ ยังมีหุ้นกู้อนุพันธ์แฝง Bull Principal Protected Note ที่มีอัตราการคุ้มครองเงินต้น 100% โดยอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 2.60% ต่อปี ระยะเวลาการลงทุน 3 เดือน เพื่อรองรับนักลงทุนได้เลือกลงทุนในความเสี่ยงต่ำ ทั้งนี้หากนักลงทุนมีความต้องการลงทุนในรูปแบบใด สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และเงื่อนไขการลงทุนได้ที่ บล.โกลเบล็ก จำกัด โทร 02-672-5999           คำเตือน : หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงเป็นตราสารที่มีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรทำความเข้าใจ เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

ก.ล.ต. แจ้งผถห.กู้ EP253A ใช้สิทธิประชุมฯ วันที่ 4 มี.ค.68

ก.ล.ต. แจ้งผถห.กู้ EP253A ใช้สิทธิประชุมฯ วันที่ 4 มี.ค.68

         สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ EP253A ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ศึกษาข้อมูล ซักถามผู้ออกหรือผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนและเพียงพอต่อการตัดสินใจลงมติ ในวันที่ 4 มีนาคม 2568          ตามที่บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EP) ในฐานะผู้ออกหุ้นกู้ EP253A จะจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 4 มีนาคม 2568 เวลา 14.00 น. ด้วยวิธีการประชุมแบบผสมผสาน (Hybrid meeting) โดยจัดการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-meeting) และจัดประชุม ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ (ห้องแมจิค 1 ชั้น G) เลขที่ 99 ถนนกำแพงเพชร 6 แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร โดยมีเรื่องเพื่อพิจารณา ดังนี้ (1) อนุมัติให้ใช้วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งวันปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นกู้เพื่อการชำระดอกเบี้ย และ/หรือ การกำหนดจ่ายผลประโยชน์ใด ๆ เป็นวันปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นกู้เพื่อจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2568 (2) ผ่อนผันให้การที่บริษัทดำเนินการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นกู้เป็นระยะเวลามากกว่า 14 วัน ล่วงหน้าก่อนวันประชุม ไม่ให้ถือเป็นเหตุผิดนัด (3) ขยายระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ออกไปอีก 1 ปี เป็นครบกำหนดวันที่ 14 มีนาคม 2569 (4) เพิ่มอัตราดอกเบี้ย จากเดิม ร้อยละ 5.50 ต่อปี เป็น ร้อยละ 6.00 ต่อปี ในช่วงระยะเวลาที่ได้ขยายอายุหุ้นกู้ออกไป          ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้กำหนดให้ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้วิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ และผลกระทบที่ผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับจากการมีมติอนุมัติ หรือไม่อนุมัติ ให้ชัดเจนในแต่ละทางเลือก พร้อมเหตุผลประกอบโดยมีความเห็นของผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ประกอบด้วย ก.ล.ต. จึงขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ และใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นกู้ในการรักษาประโยชน์ของตนเอง พร้อมทั้งสอบถามข้อมูลต่าง ๆ จากผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้มีข้อมูลครบถ้วนประกอบการตัดสินใจออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ด้วย

หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ รู้ทันก่อนลงทุน [HoonVision x FynnCorp]

หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ รู้ทันก่อนลงทุน [HoonVision x FynnCorp]

Key Highlights: หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ เป็นหุ้นกู้ที่ไม่มีกำหนดอายุไถ่ถอน ชำระคืนเพียงครั้งเดียวเมื่อเลิกกิจการ ซึ่งมีเงื่อนไขที่แตกต่างจากหุ้นกู้ทั่วไปที่ผู้สนใจลงทุนควรศึกษา ปัจจุบัน หุ้นกู้ประเภทนี้มีทั้งหมด 18 รุ่น รวมมูลค่าคงค้างในตลาดหุ้นกู้มากกว่า 133,000 ล้านบาท ในปี 2568 มีผู้ออกเพิ่มอีก 1 ราย คือ SIRI วัตถุประสงค์เพื่อชำระคืนหนี้หุ้นกู้เดิม ภาพรวม Perpetual Bonds ในไทย           หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ (Perpetual Bond) หรือ หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน (Subordinated Perpetual Bond) จะเป็นหุ้นกู้ประเภทที่ไม่มีกำหนดอายุไถ่ถอน ชำระคืนเพียงครั้งเดียวเมื่อเลิกกิจการ แต่ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนก่อนครบกำหนดได้ และยังมีสิทธิที่จะเลื่อนชำระดอกเบี้ยได้อย่างไม่มีเงื่อนไข โดยจะเลื่อนชำระดอกเบี้ยพร้อมสะสมดอกเบี้ยจ่ายไปชำระในวันใดๆก็ได้ ไม่จำกัดระยะเวลาและจำนวนครั้งขึ้นอยู่กับผู้ออกหุ้นกู้           จากข้อมูลของสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) พบว่า มี Perpetual Bond อยู่ในตลาดหุ้นกู้ปัจจุบันจำนวน 18 รุ่น ด้วยมูลค่าคงค้าง (Outstanding Value) รวม 133,379.7 ล้านบาท จากผู้ออกทั้งหมด 13 บริษัท ได้แก่ PTTGC, IVL, CPF, MINT, UOBT, CPF, BGRIM, SPW, SIRI, DUSIT, ANAN, BAFS และ PF ซึ่งในปี 2567 ที่ผ่านมา มีผู้ออกหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์จำนวน 3 ราย ได้แก่ IVL BGRIM และ PTTGC ตามลำดับ และในปี 2568 มีผู้ออกเพิ่มอีก 1 ราย คือ SIRI           โดยในปัจจุบัน บริษัทที่จะออกหุ้นกู้ Perpetual จะต้องได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Issuer/ Company Rating) อยู่ในระดับที่ลงทุนได้ (Investment Grade) หรือ ตั้งแต่ระดับ AAA จนถึง BBB- รวมถึงความน่าเชื่อถือของตราสาร (Issue Rating) ต้องได้รับการจัดอันดับเช่นกันหากเป็นการเสนอขายต่อผู้ลงทุนรายใหญ่ (HNW) หรือผู้ลงทุนรายย่อย เพื่อให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลประกอบในการตัดสินใจ และโดยทั่วไปอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ perpetual หรือ Issue rating จะต่ำกว่า Company Rating อย่างน้อย 2 อันดับ จากความเสี่ยงที่เป็นหุ้นกู้ด้อยสิทธิและการเลื่อนจ่ายดอกเบี้ยออกไปได้ Current Perpetual Bonds           นอกจากนี้ หากบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ประเภทนี้ ถูกปรับลดอันดับเครดิตจนต่ำกว่า Investment Grade จะไม่สามารถออกหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ใหม่มาไถ่ถอนรุ่นเดิมได้ ดังจะเห็นได้จากที่มีผู้ออกบางรายไม่ได้ roll over ต่อ ข้อสังเกตก่อนลงทุน Perpetual Bond ระยะเวลาไถ่ถอน หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ไม่มีกำหนดระยะเวลาไถ่ถอนจนกว่าจะเลิกบริษัท จึงทำให้มีลักษณะ "คล้ายทุน" แต่โดยทั่วไป ผู้ออกจะมีสิทธิไถ่ถอนคืนก่อนกำหนด (Call option) เมื่อหุ้นกู้นั้นมีอายุครบ 5 ปี นับจากวันออกหุ้นกู้ หรือภายหลังจากนั้นในวันชำระดอกเบี้ยแต่ละงวด การนับหนี้เป็นทุน เหตุผลหนึ่งในการออกหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ของบริษัท มาจากหลักเกณฑ์การนับหนี้ที่เกิดจากการออกหุ้นกู้ประเภทนี้เป็นทุนครึ่งหนึ่งตามเกณฑ์ของสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agency) ซึ่งจะส่งผลดีต่อสถานะทางการเงินที่สะท้อนผ่าน อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to equity: D/E ratio) ที่ต่ำลงได้ โดยแต่ละสถาบันจัดอันดับจะมีเกณฑ์การนับหนี้เป็นทุน (Equity Credit) แตกต่างกัน ซึ่งในไทยจะมี 2 แห่ง ได้แก่ Tris Rating และ Fitch Rating โดยTris Rating จะนับเป็นทุน 5 ปีแรก หลังจากนั้นเป็นหนี้ 100%           ดังนั้น จะเห็นว่า บริษัทผู้ออกในไทยมักจะไถ่ถอน Perpetual bond เมื่อครบกำหนดอายุ 5 ปี เพื่อไม่ให้ระดับหนี้สินสูงเกินไปหรือหลีกเลี่ยงอัตราดอกเบี้ยที่สูง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ในไทยส่วนใหญ่ จะใช้การจัดอันดับเครดิตจาก Tris แต่นักลงทุนควรศึกษากฎเกณฑ์เพิ่มเติมของสถาบันผู้จัดอันดับเครดิตของผู้ออกนั้นๆ ที่อาจมีเกณฑ์การนับหนี้เป็นทุนแตกต่างออกไป ซึ่งจะทำให้มีระยะไถ่ถอนมากกว่า 5 ปีได้ การเลื่อนจ่ายดอกเบี้ย ผู้ออก Perpetual bond มีสิทธิในการเลื่อนจ่ายดอกเบี้ยได้โดยไม่มีเงื่อนไขแม้จะมีกำไรก็ตาม แต่เมื่อใดก็ตามที่บริษัทไม่จ่ายดอกเบี้ยให้กับผู้ถือหุ้นกู้ประเภทนี้ บริษัทจะไม่สามารถประกาศหรือจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหลักทรัพย์ได้ ทำให้ในทางปฏิบัติ หากไม่มีความจำเป็น บริษัทจะจ่ายดอกเบี้ยตามที่กำหนดไว้ เพื่อเป็นการรักษาความเชื่อมั่นของนักลงทุน ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระ ด้วยความที่เป็นหุ้นกู้ที่ไม่มีกำหนดอายุ ทำให้บริษัทไม่ต้องรับผิดชอบในการชำระเงินต้นจนกว่าจะเลิกบริษัท แต่เมื่อถึงตอนนั้น อาจเกิดเหตุการณ์ที่ผู้ออกอาจมีเงินไม่เพียงพอในการไถ่ถอนได้ ส่งผลที่นักลงทุนจะได้รับเงินต้นคืนช้าหรือไม่ครบ ลำดับการรับชำระหนี้คืน จากการเป็นหุ้นกู้ด้อยสิทธิ (Subordinated bond) ซึ่งหากบริษัทเลิกกิจการหรือล้มละลาย สินทรัพย์ของบริษัทจะถูกขายทอดตลาด เพื่อนำเงินมาชำระคืนหนี้ โดยเจ้าหนี้การค้า เจ้าหนี้ทั่วไป จะได้รับชำระก่อนผู้ถือหุ้นกู้ และผู้ถือหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ (Senior bond) จะได้รับชำระหนี้คืนก่อนหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ส่งผลให้หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์อาจเป็นลำดับสุดท้ายในฐานะเจ้าหนี้ที่จะได้รับชำระเงินคืน ไม่มีเงื่อนไขการผิดนัดชำระไขว้ (Cross-default) หากผู้ออกหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์มีการผิดนัดชำระหนี้อื่น จะไม่นับว่าเป็นเหตุผิดนัดของหุ้นกู้ประเภทนี้ High risks with high returns จากความเสี่ยงที่กล่าวมาข้างต้น รวมถึงการมีสภาพคล่องในตลาดรองต่ำ ส่งผลให้ผู้ออกเสนออัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้ประเภทนี้สูงกว่าตราสารหนี้ทั่วไปเพื่อชดเชยความเสี่ยงของผู้ลงทุน โดยตารางด้านล่างแสดงถึงอัตราคูปองของหุ้นกู้ Perpetual ในปัจจุบัน ซึ่งจะมีอัตราที่สูงกว่าหากเทียบกับหุ้นกู้ปกติที่ออกโดยบริษัทผู้ออกเดียวกัน Perpetual Bond เสนอขายในปัจจุบัน: SIRI           บริษัทแสนสิริ (SIRI) - พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม ครอบคลุมถึง ธุรกิจบริการอสังหาริมทรัพย์ และอื่นๆ           SIRI ออกหุ้นกู้ระยะยาวมาแล้วทั้งหมด 63 รุ่น มาตั้งแต่ปี 2552 และปัจจุบัน มีแผนเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนต่อผู้ลงทุนทั่วไป เปิดให้จองซื้อในระหว่างวันที่ [20] และ [23-25] มิถุนายน 2568 [(รวมถึงวันเสาร์ที่ [21] และวันอาทิตย์ที่ [22] มิถุนายน พ.ศ. 2568 มีวัตถุประสงค์เพื่อชำระคืนหนี้หุ้นกู้เดิม (Roll over) โดยมีอัตราดอกเบี้ยปรับทุก 5 ปี นับจากวันแรกที่บริษัทสามารถใช้สิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ 1- 5 ปี  เท่ากับอัตรา [7.00-7.50%] ต่อปี อัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ที่มีอายุครบ 5 ปี แล้ว - 25 ปี  เท่ากับผลรวมของ (ก) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี และ (ข) Initial Credit Spread และ (ค) 0.25% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ที่มีอายุครบ 25 ปี แล้ว - 50 ปีเท่ากับผลรวมของ (ก) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี (ข) Initial Credit Spread และ (ค) อัตรา 1.00% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ที่มีอายุครบ 50 ปี แล้วเป็นต้นไป เท่ากับผลรวมของ (ก) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี (ข) Initial Credit Spread และ (ค) อัตรา 2.00% ต่อปี อ้างอิงข้อมูล: ฝ่ายตราสารหนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) https://www.sec.or.th/TH/Template3/Articles/2567/081167.pdf สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) https://thaibma.or.th/EN/Investors/Individual/Blog/2021/270921.aspx รายละเอียดเพิ่ม คลิก https://app.visible.vc/shared-update/827c35e6-616f-4ab0-8b38-507f4ba4699a

GULF ขายหุ้นกู้  ดอกเบี้ย 3-3.55% ต่อปี   

GULF ขายหุ้นกู้ ดอกเบี้ย 3-3.55% ต่อปี  

          GULF ประกาศอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ที่จะเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป จำนวน 4 ชุด โดยหุ้นกู้อายุ 4 ปี มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.00% ต่อปี รุ่นอายุ 5 ปี ที่ 3.15% ต่อปี รุ่นอายุ 7 ปี ที่ 3.35% ต่อปี และรุ่นอายุ 10 ปี ที่ 3.55% ต่อปี ชูอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่ระดับ “A” และอันดับความน่าเชื่อถือองค์กรที่ “A+” แนวโน้ม “Positive” มั่นใจได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนที่มองหาโอกาสการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ กับบริษัทที่มีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง และเติบโตอย่างมั่นคง พร้อมเสนอขายระหว่างวันที่ 27-28 กุมภาพันธ์ และ 3 มีนาคม 2568 ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 10 แห่ง           บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF หรือ บริษัทฯ) ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน และธุรกิจดิจิทัล เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้ร่วมลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทฯ ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 4 ชุด โดยแต่ละชุดมีอัตราดอกเบี้ยดังนี้ 1) หุ้นกู้อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.00% ต่อปี 2) หุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.15% ต่อปี 3) หุ้นกู้อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.35% ต่อปี และ 4) หุ้นกู้อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.55% ต่อปี โดยจะเสนอขายผ่านธนาคารพาณิชย์และบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำรวม 10 แห่ง           ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของ GULF ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้หุ้นกู้ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุน โดยผลการดำเนินงานประจำปี 2567 (สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567) มีรายได้รวม 124,585 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.5% จากปี 2566 มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 39,934 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.9% เมื่อเทียบกับปี 2566 และมีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) 18,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.6% เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของกลุ่มบริษัทฯ ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเติบโตของธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ และการรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากการลงทุนในบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (INTUCH)           โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 GULF มีสินทรัพย์รวม 496,202 ล้านบาท มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-bearing Debt to Equity) อยู่ที่ 1.80 เท่า ซึ่งต่ำกว่าเงื่อนไขและข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิฯ ที่ 3.50 เท่า           นอกจากนี้ ปัจจุบัน GULF อยู่ระหว่างการควบรวมกิจการกับ INTUCH ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในช่วงต้นไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ โดยบริษัทใหม่ (NewCo) จะมีผลกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจาก NewCo จะมีสัดส่วนการถือหุ้นใน ADVANC เพิ่มขึ้นเป็น 40.44% จากเดิมถือทางอ้อมในสัดส่วน 19.16% ส่งผลให้ได้รับส่วนแบ่งกำไรและมีกระแสเงินสดเพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถรองรับการขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ในอนาคต           ผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจหุ้นกู้ GULF สามารถจองซื้อขั้นต่ำที่ 100,000 บาท และเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมจากร่างหนังสือชี้ชวนได้ที่ www.sec.or.th และสามารถติดต่อผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ดังต่อไปนี้ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Bangkok Bank Mobile Banking สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1111 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Krungthai NEXT ผ่านระบบ Money Connect by Krungthai สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดาเท่านั้น ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โทร. 1572 หรือจองซื้อผ่าน krungsri app สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-888-8888 กด 869 หรือจองซื้อผ่านเว็บไซต์ K-My Invest (www.kasikornbank.com/kmyinvest) สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย (ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-777-6784 หรือจองซื้อผ่านแอป SCB EASY สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย (ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์) ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-626-7777 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ CIMB Thai สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) โทร.1428 กด #4 (ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารทหารไทยธนชาต) ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) โทร. 02-285-1555 บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02-165-5555 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Dime! สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา (ซึ่งรวมถึงธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร) บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050 [caption id="attachment_37274" align="aligncenter" width="2560"] GULF NP JS Annual Report 2022[/caption] [caption id="attachment_37271" align="aligncenter" width="2560"] default[/caption]

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

ก.ล.ต.เตือนผถห.กู้ PRIME 4 รุ่น ใช้สิทธิประชุมฯ วันที่ 25 ก.พ.68

ก.ล.ต.เตือนผถห.กู้ PRIME 4 รุ่น ใช้สิทธิประชุมฯ วันที่ 25 ก.พ.68

            สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ PRIME จำนวน 4 รุ่น ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ศึกษาข้อมูล ซักถามผู้ออกหุ้นกู้หรือผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนและเพียงพอต่อการตัดสินใจลงมติ ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568              ตามที่บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (PRIME) ในฐานะผู้ออกหุ้นกู้ PRIME253B PRIME253A PRIME25DA และ PRIME25DB จะจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 14.00 น. ด้วยวิธีการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-meeting) โดยมีเรื่องเพื่อพิจารณา ดังนี้ (1) ขอผ่อนผันให้การที่ผู้ออกหุ้นกู้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อขอปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ การเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาชำระหนี้ การปรับเปลี่ยนอย่างใด ๆ เกี่ยวกับหนี้ ไม่ให้ถือเป็นเหตุผิดนัด หุ้นกู้ทั้ง 4 รุ่น (2) ขยายระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ทั้ง 4 รุ่น ออกไปอีก 1 ปีจากวันครบกำหนดเดิม (3) แบ่งชำระเงินต้นคืนเงินต้นหุ้นกู้ทั้ง 4 รุ่น แต่ละรุ่นจำนวน 2 งวด โดยงวดแรกไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของมูลค่าหุ้นกู้ และส่วนที่เหลือจะชำระคืนในวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ที่ขยายออกไป (งวดแรกหุ้นกู้ PRIME253B และ PRIME253A ชำระภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 และหุ้นกู้ PRIME25DA ชำระภายในวันที่ 2 ธันวาคม 2568 และ PRIME25DB ชำระภายในวันที่ 8 ธันวาคม 2568) (4) เพิ่มอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ทั้ง 4 รุ่น ร้อยละ 0.50 ต่อปี จากอัตราดอกเบี้ยเดิมของแต่ละรุ่น ในช่วงระยะเวลาที่ได้ขยายอายุหุ้นกู้ออกไป (5) ขอแก้ไขเพิ่มเติมข้อกำหนดสิทธิ หุ้นกู้ 2 รุ่น (PRIME253A และ PRIME25DA) โดยให้ผู้ออกหุ้นกู้ มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดไถ่ถอน             ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้กำหนดให้ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้วิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ และผลกระทบที่ผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับจากการมีมติอนุมัติ หรือไม่อนุมัติ ให้ชัดเจนในแต่ละทางเลือก พร้อมเหตุผลประกอบโดยมีความเห็นของผู้แทน ผู้ถือหุ้นกู้ประกอบด้วย ก.ล.ต. จึงขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ และใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นกู้ ในการรักษาประโยชน์ของตนเอง พร้อมทั้งสอบถามข้อมูลต่าง ๆ จากผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้มีข้อมูลครบถ้วนประกอบการตัดสินใจออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ด้วย หมายเหตุ : บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ PRIME253B ครบกำหนดไถ่ถอน วันที่ 8 มีนาคม 2568 และ PRIME25DB ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 8 ธันวาคม 2568 บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ PRIME253A ครบกำหนดไถ่ถอน วันที่ 10 มีนาคม 2568 บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ PRIME25DA ครบกำหนดไถ่ถอน วันที่ 2 ธันวาคม 2568

ก.ล.ต. เตือนผถห.กู้ JCK213A ใช้สิทธิประชุม วันที่ 11 ก.พ.68

ก.ล.ต. เตือนผถห.กู้ JCK213A ใช้สิทธิประชุม วันที่ 11 ก.พ.68

          สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ JCK213A ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ศึกษาข้อมูล ซักถามผู้ออกหุ้นกู้หรือผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนและเพียงพอต่อการตัดสินใจลงมติ ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568           ตามที่บริษัท เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (JCK) ในฐานะผู้ออกหุ้นกู้ JCK213A จะจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 11.00 ณ ด้วยวิธีการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-meeting) โดยมีเรื่องเพื่อพิจารณา ดังนี้ (1) ขยายระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ออกไปอีก 2 ปี เป็นครบกำหนดวันที่ 22 มีนาคม 2570 (2) เพิ่มอัตราดอกเบี้ย จากเดิม ร้อยละ 7.25 ต่อปี เป็น ร้อยละ 7.50 ต่อปี ในช่วงระยะเวลาที่ได้ขยายอายุหุ้นกู้ออกไป (3) เปลี่ยนแปลงการแบ่งชำระคืนเงินต้นหุ้นกู้เป็นจำนวน 4 งวด โดย 3 งวดแรกจำนวนรวมไม่น้อยกว่า ร้อยละ 9 ของมูลค่าหุ้นกู้ และงวดที่ 4 จะชำระคืนส่วนที่เหลือในวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ที่ขยายออกไป (4) ยกเลิกการไถ่ถอนหลักประกันและชำระคืนเงินต้นหุ้นกู้บางส่วนเพื่อไถ่ถอนจำนองตามที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2567 (5) แก้ไขข้อกำหนดสิทธิเกี่ยวกับการกำหนดมูลค่าไถ่ถอนหลักประกัน และเงื่อนไขเพิ่มเติมในกรณีที่ผู้ออกหุ้นกู้ใช้สิทธิไถ่ถอน หรือขอคืนทรัพย์สินที่เป็นประกัน และ/หรือทรัพย์สินทดแทน           ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้กำหนดให้ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้วิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ และผลกระทบที่ผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับจากการมีมติอนุมัติ หรือไม่อนุมัติ ให้ชัดเจนในแต่ละทางเลือก พร้อมเหตุผลประกอบโดยมีความเห็นของผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ประกอบด้วย ก.ล.ต. จึงขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ และใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นกู้ในการรักษาประโยชน์ของตนเอง พร้อมทั้งสอบถามข้อมูลต่าง ๆ จากผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้มีข้อมูลครบถ้วนประกอบการตัดสินใจออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ด้วย หมายเหตุ : บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ JCK213A ครบกำหนดชำระวันที่ 22 มีนาคม 2568

TPOLY ออกหุ้นกู้ ชูดอกเบี้ย 7.15% คาดเปิดขาย 4-6 มี.ค.นี้

TPOLY ออกหุ้นกู้ ชูดอกเบี้ย 7.15% คาดเปิดขาย 4-6 มี.ค.นี้

          หุ้นวิชั่น - TPOLY เตรียมออกหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 360 ล้านบาท อายุ 2 ปี 3 เดือน ขายนักลงทุนรายใหญ่-สถาบัน ชูอัตราดอกเบี้ย 7.15% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน คาดเปิดจองซื้อวันที่ 4-6 มี.ค.นี้ ฟากบิ๊กบอส “ปฐมพล สาวทรัพย์” มั่นใจนักลงทุนให้ความสนใจ เนื่องจากมีแผนธุรกิจระยะยาวที่มุ่งเน้นสร้างผลงานอย่างยั่งยืน และมีเสถียรภาพ สนับสนุนอนาคตเติบโตมั่นคง            นายปฐมพล สาวทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยโพลีคอนส์ จำกัด (มหาชน) (TPOLY) เปิดเผยว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อออกและเสนอขายหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2568 ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ โดยจะเสนอขายให้กับผู้ลงทุนสถาบันและ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ มูลค่าไม่เกิน 360 ล้านบาท อายุ 2 ปี 3 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 7.15% ต่อปี กำหนดชำระอัตราดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ และผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนก่อนวันครบกำหนดไถ่ถอน และมีมูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท ซึ่งบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ BB+ แนวโน้ม Stable เมื่อวันที่ 28  ตุลาคม 2567           ทั้งนี้ คาดว่า จะสามารถเปิดขายระหว่างวันที่ 4-6 มีนาคม 2568  และจะจัดจำหน่ายผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 6 แห่ง ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ เคพีเอ็ม จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน)           “การออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ จะนำเงินที่ได้ไปชำระคืนหนี้จากการออกตราสารหนี้ ซึ่งมั่นใจว่า หุ้นกู้ของ TPOLY จะได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดี เนื่องจากอัตราผลตอบแทนอยู่ในระดับที่น่าสนใจประกอบกับบริษัทฯ มีแผนระยะยาวที่จะมุ่งเน้นในการทำผลงานอย่างยั่งยืนและมีเสถียรภาพ โดยการรับงานที่มีมาร์จิ้นในระดับที่ดี โดยเฉพาะกลุ่มงานภาคเอกชน เช่น กลุ่มงานโรงพยาบาล กลุ่มงานอาคารศูนย์การค้า กลุ่มงานโรงงาน กลุ่มงานอาคารที่จอดรถ และกลุ่มโรงไฟฟ้าที่เรามีความเชี่ยวชาญ ตลอดจนกลุ่มงานอาคารเขียวหรืออาคารประหยัดพลังงาน เป็นต้น”           สำหรับนักลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ครั้งนี้ ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) โทร.02-820-0100, บริษัทหลักทรัพย์ เคพีเอ็ม จำกัด โทร. 02-033-1000, บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-351-1800 กด 1, บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-153-9200 ต่อ 8163, บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-205-7000 ต่อ 7387 และบริษัทหลักทรัพย์เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-660-6688 [PR News]

abs

ออกแบบและติดตั้งระบบเครือข่ายและระบบสื่อสารอย่างครบวงจร

หุ้นกู้ “ทรู คอร์ปอเรชั่น” 4 ชุดใหม่ 3.35-4.00% เคาะดอกเบี้ย ตอบโจทย์นักลงทุนเสริมทรัพย์รับตรุษจีน

หุ้นกู้ “ทรู คอร์ปอเรชั่น” 4 ชุดใหม่ 3.35-4.00% เคาะดอกเบี้ย ตอบโจทย์นักลงทุนเสริมทรัพย์รับตรุษจีน

             หุ้นวิชั่น - หุ้นกู้ “ทรู คอร์ปอเรชั่น” 4 ชุดใหม่ 3.35 – 4.00% เคาะดอกเบี้ย ตอบโจทย์นักลงทุนเสริมทรัพย์รับตรุษจีน ดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง 35 – 4.00% ต่อปี อายุตั้งแต่ 3 ปี – 10 ปี คาดเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 6 - 7 และ 10 กุมภาพันธ์ 2568           บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน ด้วยคะแนน DJSI 2024 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ต้อนรับตรุษจีนให้แก่ประชาชนทั่วไปจำนวน 4 ชุด อายุตั้งแต่ 3 ปี ถึง 10 ปี ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง 3.35 – 4.00% ต่อปี เสริมด้วยอันดับความน่าเชื่อถือ “A+” แนวโน้ม “คงที่” หรือ “Stable” จากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2567 สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น ในธุรกิจโทรคมนาคม และธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัล คาดเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 6 - 7 และ 10 กุมภาพันธ์ 2568 ผ่าน 7 สถาบันการเงินชั้นนำได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ซีไอเอ็มบี ยูโอบี บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส รวมถึงการขายผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet โดยมีธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้และผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้              นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น ประสบความสำเร็จและสามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มุ่งสู่การเป็นบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทยอย่างยั่งยืน สะท้อนผ่านผลประกอบการไตรมาส 3/2567 โดยมีกำไรสุทธิ (หลังรายการปรับปรุง) 3.1 พันล้านบาท และ EBITDA ที่เติบโตต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 7 ติดต่อกัน ทั้งนี้มีผู้ใช้บริการ 5G จำนวน 12.4 ล้านราย เพิ่มขึ้น 5.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน การออกหุ้นกู้ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อชำระคืนหนี้หุ้นกู้ที่ถึงกำหนดชำระ (Refinancing) โดยหุ้นกู้ TRUE ชุดใหม่มีอายุระหว่าง 3 ปี ถึง 10 ปี เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนทุกกลุ่ม โดยนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะสั้นสามารถเลือกลงทุนในรุ่น 3 ปี สำหรับนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะกลางก็อาจเลือกลงทุนในรุ่น 5 ปี หรือนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะยาวและต้องการรับดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอเพื่อนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็อาจเลือกลงทุนในรุ่น 7 ปี และ 10 ปี ซึ่งให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า              หุ้นกู้ TRUE เป็นอีกหนึ่งโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ และคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนครั้งที่ผ่านมา ซึ่งมีนักลงทุนจำนวนมากให้ความสนใจจองซื้อครบเต็มจำนวน  และในปัจจุบันดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวลดลง จึงเป็นจังหวะที่ดีสำหรับนักลงทุนในการสะสมหุ้นกู้ในช่วงต้นปี เพื่อล็อคผลตอบแทนไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะนักลงทุนที่นิยมลงทุนในหุ้นกู้ที่มีคุณภาพสูง”                      บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นกู้  TRUE ชุดใหม่ ต่อประชาชนเป็นการทั่วไป (Public Offering) โดยมีอายุหุ้นกู้ระหว่าง 3 ปี ถึง 10 ปี ซึ่งเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ และหุ้นกู้อยู่ที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” หรือ “Stable” จากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2567 คาดว่าจะเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 6 - 7 และ 10 กุมภาพันธ์ 2568 สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท หุ้นกู้มีกำหนดชำระดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ โดยอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ TRUE ชุดใหม่ ทั้ง 4 ชุด มีดังนี้ หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.35% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.60% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.85% ต่อปี และ หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.00% ต่อปี ซึ่งเฉพาะชุดที่ 4 รุ่นอายุ 10 ปี ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดได้ตั้งแต่หุ้นกู้ครบปีที่ 5 เป็นต้นไป              ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th หรือ สอบถามรายละเอียดที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 7 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02 888 8888 กด 869 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 777 6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 626 7777 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน แอป CIMB Thai ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 285 1555 บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02 680 4004 บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02 165 5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปฯ Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)              สำหรับผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet สามารถศึกษาเพิ่มเติมถึงรายละเอียด ขั้นตอน และวิธีการสมัคร TrueMoney Wallet Application และวิธีการจองซื้อ ได้ที่เว็บไซต์ www.truemoney.com หรือติดต่อขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด โทร. 1240 กด 6

ORI เล็งขายหุ้นกู้ชุดใหม่ 10 – 11, 13 กุมภาพันธ์ 68 นี้ ชูดอกเบี้ย 4.50 -5.15% ต่อปี

ORI เล็งขายหุ้นกู้ชุดใหม่ 10 – 11, 13 กุมภาพันธ์ 68 นี้ ชูดอกเบี้ย 4.50 -5.15% ต่อปี

          หุ้นวิชั่น - 20 มกราคม 2568 (กรุงเทพฯ ประเทศไทย) – บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI พร้อมเสนอขายหุ้นกู้ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป และผู้ลงทุนสถาบัน จำนวน 3 รุ่น อัตราดอกเบี้ย 4.50 - 5.15% จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน เสนอขายระหว่างวันที่ 10 - 11 และวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ผ่าน 9 สถาบันการเงิน ได้แก่ ธ.ซีไอเอ็มบี ไทย บล. เอเซีย พลัส บล. ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) บล.บลูเบลล์ บล.โกลเบล็ก บล.ยูโอบี เคย์เฮียน บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) บล.พาย และบล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ พร้อมโชว์ Backlog ในมือ 47,329 ล้านบาท รอรับรู้สร้างรายได้ต่อเนื่อง 5 ปี เตรียมโอนกรรมสิทธิ์โครงการคอนโดก่อสร้างแล้วเสร็จใหม่ปี 2568 เพิ่มอีก 13 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 17,180 ล้านบาท มึแบ็คล็อกเฉลี่ยแล้วกว่า 70%           นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า ORI พร้อมเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2568 โดยหุ้นกู้ที่เสนอในครั้งนี้ เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ทั้งนี้ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรและจัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่ระดับ “BBB+” แนวโน้ม “คงที่” อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะขององค์กรที่มีแบ็คล็อกสูง รอรับรู้รายได้ต่อเนื่อง 5 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้เพื่อนำไปใช้ในการชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดรอบเมษายน 2568 โดยหุ้นกู้ที่เสนอขายมีจำนวนทั้งหมด 3 ชุด พร้อมเสนอขายหุ้นกู้ระหว่างวันที่ 10 – 11 และวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 หุ้นกู้ทั้ง 3 ชุด ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน และมีรายละเอียดดังนี้ หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี 1 เดือน 8 วัน อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 4.50 ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 4.85 ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 5.15 ต่อปี           ในปี 2567 บริษัทฯมียอดขายหรือ Presale จากโครงการที่อยู่อาศัยจำนวน 35,435 ล้านบาท ได้ตามเป้าหมายโดยแบ่งเป็นยอดขายที่อยู่อาศัยแนวสูงหรือคอนโดมิเนียมภายใต้บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด จำนวน 28,891 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 82%  ขณะที่ยอดขายจากโครงการบ้านจัดสรรหรือที่อยู่อาศัยแนวรายภายใต้บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI จำนวน 6,544 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 18% ของยอดขายทั้งหมด           นอกจากนี้ในปี 2567 ยังคงมีโครงการร่วมทุนใหม่ รวม 14 โครงการ ทั้งโครงการคอนโดมิเนียม โครงการบ้านจัดสรร โรงแรม และคลังสินค้า ทำให้สิ้นปี 2567 กลุ่มบริษัท มีโครงการร่วมทุนรวม 119 โครงการ มูลค่ารวม 186,960 ล้านบาท บริษัทฯ ยังเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้วยการเปิดตัว Origin Agent Club เพื่อเปิดตลาดเชิงรุกเจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติด้วยการจับมือกับ เอเจนท์กว่า 300 ราย ทำให้ปี 2567 ที่ผ่านมาบริษัทฯสามารถทำยอดขายกลุ่มลูกค้าต่างชาติได้ถึง 5,700 ล้านบาท เติบโตถึง 225%           ในส่วนของกลุ่มธุรกิจใหม่ของบริษัทฯหรือ New S Curve ทั้งธุรกิจโรงแรม คลังสินค้า และบริการ เพื่อสร้างสมดุลการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยปัจจุบันธุรกิจโรงแรมครอบคลุมโรงแรมแบรนด์ดัง 11 แห่ง อาทิ สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ, ฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา-แหลมฉบัง, อินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพ สุขุมวิท และมีห้องพักทั้งหมด 2,657 ห้อง โดยในช่วงเดือนธันวาคม 2567 มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยสูงถึง 76% ธุรกิจคลังสินค้ามีทำเลยุทธศาสตร์ขนส่งทั้งหมด 10 แห่งทั่วประเทศ อาทิ สมุทรปราการ ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี คิดเป็นพื้นที่เช่ารวมกว่า 403,447 ตารางเมตร โดยมีอัตราเช่าคลังสินค้าทะลุ 90% และสุดท้ายธุรกิจบริการอสังหาฯครบวงจรภายใต้ บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRI นั้น ปัจจุบัน ดูแลลูกค้าตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ทั้งควบคุมงานก่อสร้าง บริหารนิติบุคคล บริหาร Investment Property บริการออกแบบและตกแต่งภายใน บริการด้านความสะอาด ที่ดูแลทั้งหมดกว่า 229 โครงการ คิดเป็นกว่า 44.650 ครอบครัว ซึ่งกลุ่มธรุกิจใหม่ของบริษัทฯจะสามารถสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับบริษัทฯได้ในระยะยาว โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการสร้างอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายเพียงอย่างเดียว           สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนหุ้นกู้ สามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณของ 100,000 บาท ผ่านสถาบันการเงินทั้ง 9 แห่ง ดังต่อไปนี้ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-626-7777 หรือ จองซื้อผ่าน Mobile application - CIMB Thai บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02-680-4004h บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-846-8675 บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด โทร. 02-249-2999 บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด โทร. 02-687-7543 บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-659-5272-73 บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050 บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-205-7000 ต่อ 7387 บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-660-6688           คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th           หมายเหตุ: การจัดสรรขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ เงื่อนไขการจัดจำหน่ายเป็นไปตามที่กำหนดในร่างหนังสือชี้ชวน [PR News]

แนวโน้มตลาดหุ้นกู้ และหุ้นกู้เสนอขายต้นปี 68 [HoonVision x FynnCorp]

แนวโน้มตลาดหุ้นกู้ และหุ้นกู้เสนอขายต้นปี 68 [HoonVision x FynnCorp]

            หุ้นวิชั่น - หุ้นกู้ครบกำหนดปี 2568 มูลค่ากว่า 860,000 ล้านบาท คิดเป็นหุ้นกู้กลุ่ม Investment grade กว่า 75% ซึ่งเป็นหุ้นกู้กลุ่มที่ได้รับความนิยมต่อเนื่อง ท่ามกลางภาวะที่ความเชื่อมั่นนักลงทุนในประเทศยังไม่กลับมา จากเหตุการณ์หุ้นกู้ผิดนัดชำระ ส่งผลให้หุ้นกู้กลุ่ม High Yield ยังคงให้ผลตอบแทนที่สูงตามความเสี่ยง             หุ้นกู้กลุ่ม ENERG, FIN, PROP ยังคงมีมูลค่าคงค้างมากสุดตามลำดับ สะท้อนจากมูลค่าการออกหุ้นกู้ในปี 2567 มากสุดและหุ้นกู้ครบกำหนดปี 2568 สูงสุดรวมมูลค่าเกือบ 449,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 52% ของมูลค่าหุ้นกู้ครบกำหนดชำระทั้งหมดในปีนี้ ทำให้ปี 2568 เราอาจเห็นหุ้นกู้ roll over จาก 3 กลุ่มนี้มาก             หุ้นกู้เสนอขายต้นปี 2568 ประกอบด้วยหลากหลายกลุ่มธุรกิจโดยเฉพาะกลุ่ม PROP และ ENERG ซึ่งเราได้เปรียบเทียบโดยดูจากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน และ ความสามารถในการชำระดอกเบี้ยของผู้ออกแต่ละราย ซึ่งจะสะท้อนความเสี่ยงและความมั่นคงทางการเงินระยะสั้นเบื้องต้น ภาพรวมในปีที่ผ่านมาและแนวโน้มตลาดหุ้นกู้ 2568             ภาพรวมตลาดหุ้นกู้ของไทยในปี 2567 ได้เผชิญกับภาวะดอกเบี้ยที่ยังคงสูง ก่อนที่ในเดือนตุลาคม 2567 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 2.50% ต่อปี มาเป็น 2.25% ต่อปี ซึ่งทาง กนง. มองว่าเป็นการลดในระดับที่ยังเป็นกลางและสอดคล้องกับศักยภาพเศรษฐกิจ และในเดือนธันวาคม กนง. ได้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว เนื่องจากสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ ซึ่งถูกประเมินไว้ที่ 2.7% และ 2.9% สำหรับปี 2567 และ 2568 ตามลำดับ ท่ามกลางเงินเฟ้อทั่วไปและพื้นฐานในปี 2567 - 68 คาดว่าจะลดลงจากปีก่อนหน้าและยังอยู่ในระดับต่ำ โดยการปรับลดดอกเบี้ยที่ผ่านมา เป็นไปในทิศทางเดียวกับธนาคารกลางใหญ่ในโลกที่มีการปรับลดลงก่อนหน้าอย่าง ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ธนาคารกลางสวิส (SNB) ธนาคารกลางแคนาดา (BoC) และตามด้วยธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ซึ่งคงดอกเบี้ยในระดับสูงยาวนานกว่าที่ตลาดคาด             โดยตลอดทั้งปี 2567 สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) รายงาน กระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศ (Fund Flow) มีมูลค่าการขายสะสมสุทธิประมาณ 67,000 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากผลรวมของการขายตราสารหนี้ในช่วงครึ่งแรกของปีจากการที่ Fed ยังคงดอกเบี้ยระดับสูง และในช่วงเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน ภายหลังที่ กนง. ปรับลดดอกเบี้ย จึงอาจส่งผลให้ Fund flow ในช่วงดังกล่าวไหลออก ต่อมา เดือนธันวาคม มียอดซื้อสุทธิอยู่ที่ 5,870 ล้านบาท จากความคาดหวังของนักลงทุนต่างชาติที่มองทิศทางดอกเบี้ยไทยอาจลดลงในอนาคต ประกอบกับความผันผวนของค่าเงิน ซึ่งสะท้อนผ่านการเข้าซื้อตราสารหนี้ระยะยาวรวม 20,232 ล้านบาทในเดือนธันวาคม             อย่างไรก็ตาม ณ สิ้นปี 2567 เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย (Government Bond Yield Curve) ปรับตัวลดลงในรุ่นอายุหลักเดือน แต่ปรับตัวสูงขึ้นในรุ่นอายุ 3 ปีขึ้นไป สะท้อนสัดส่วนการถือครองตราสารหนี้ของนักลงทุนต่างชาติที่ยังน้อย (5.4% ของมูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทย) อาจไม่ส่งผลต่อ Yield อย่างมีนัยสำคัญมากเมื่อเทียบกับจำนวนนักลงทุนในประเทศที่อาจมองแนวโน้มตลาดต่างออกไป ทำให้ Yield ระยะยาวสูงขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยงตามมุมมองนักลงทุนส่วนใหญ่ในประเทศ ดังนั้น เป็นไปได้ว่าอัตราดอกเบี้ยในหุ้นกู้ระยะยาวในปี 2568 จะยังสูงโดยเฉพาะในหุ้นกู้กลุ่ม Non-Investment Grade ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ยังไม่กลับมาจากเหตุการณ์ผิดนัดชำระและเลื่อนนัดชำระของผู้ออกหุ้นกู้ตลอด 2 ปีมานี้ รวมถึงความกังวลต่อสภาพเศรษฐกิจ             จากปัจจัยข้างต้น ส่งผลให้มูลค่าการออกหุ้นกู้ภาคเอกชนในปี 2567 ลดลงมาอยู่ที่ 908,186 ล้านบาท หรือลดลง 8.62% จากปี 2566 ซึ่งมีมูลค่าเสนอขาย 993,895 ล้านบาท โดยเฉพาะหุ้นกู้กลุ่ม High Yield (Non-investment grade และ non-rated) ที่มีมูลค่าการออกลดลงถึง 38.7% YoY ขณะที่หุ้นกู้ Investment Grade มีมูลค่าการออกใกล้เคียงปีก่อน (-2.7% YoY) สะท้อนว่าหุ้นกู้ในกลุ่มนี้ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนอยู่             หากดูเป็นรายกลุ่มธุรกิจ (Sector) พบว่า กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ (FIN) เป็น sector ที่มีการออกหุ้นกู้มากที่สุดในปี 67 มูลค่า 155,919 ล้านบาท ตามมาด้วย กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (PROP) 134,894 ล้านบาท และ กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค (ENERG) 128,889 ล้านบาท ส่งผลให้ทั้ง 3 เป็นกลุ่มมีมูลค่าคงค้างในตลาดปัจจุบันมากสุด และยังเป็นกลุ่มที่จะมีหุ้นกู้ครบกำหนดในปี 2568 มากที่สุดตามลำดับ รวมมูลค่า 448,951 ล้านบาท จากยอดหุ้นกู้เอกชนที่จะครบกำหนดในปี 2568 ทั้งหมด 862,391 ล้านบาท ดังนั้น เป็นไปได้ที่เราจะเห็นหุ้นกู้ roll over โดยเฉพาะของ 3 กลุ่มนี้ในปี 2568 ค่อนข้างมาก หุ้นกู้เสนอขายต้นปี 2568             ในเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2568 มีหุ้นกู้เสนอขายในหลายกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (PROP) และพลังงาน (ENERG) โดยเราได้รวมหุ้นกู้ที่เสนอขายเป็น 6 sector ซึ่งอยู่ในกลุ่มที่มีมูลค่าหุ้นกู้คงค้างในตลาดปัจจุบันมากสุดติด 9 อันดับแรก พร้อมทั้งเปรียบเทียบกับผู้ออกในกลุ่มเดียวกัน ดังนี้ Sector: Property Development (PROP)             กลุ่ม PROP ยังคงเป็นกลุ่มที่มีการออกหุ้นกู้มาอย่างต่อเนื่อง และมีหุ้นกู้ออกมาในต้นปีนี้จำนวน 9 บริษัท ได้แก่ S, Noble, MQDC, DHOUSE, SIRI, AP, SC, CWTTG และ ORI ด้วยอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ 4.50% ไปจนถึง 7.50% ต่อปีตาม Rating องค์กรและหุ้นกู้ โดยเราได้เปรียบเทียบอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ในกลุ่มผู้ออก sector เดียวกัน เพื่อสะท้อนโครงสร้างเงินทุนของบริษัท ยิ่งมีค่าสูงแสดงถึงโครงสร้างเงินทุนที่มีหนี้สินมากกว่าส่วนของเจ้าของ และอัตราส่วนความสามารถในการชำระดอกเบี้ย (ICR) ถ้าค่านี้สูง แสดงถึงความสามารถของบริษัทในการจ่ายดอกเบี้ยจากกำไร (EBIT) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความมั่นคงทางการเงินในระยะสั้น             จากกราฟด้านล่าง แสดงให้เห็นว่า DHOUSE และ AP มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ต่ำกว่า 1 แสดงถึงการมีส่วนเงินทุนของตัวเองมากกว่าหนี้สิน ขณะที่ AP, SC, SIRI และ S มีอัตราส่วน ICR มากกว่า 2 สะท้อนความสามารถในการชำระดอกเบี้ยที่แข็งแกร่งและบริหารต้นทุนดอกเบี้ยที่โดดเด่นกว่าผู้เล่นอื่น Sector: Energy & Utilities (ENERG)             หุ้นกู้กลุ่ม ENERG เสนอขายต้นปี 2568 มีจำนวน 3 บริษัท ได้แก่ BSRC, AGE และ SUPER ซึ่งหากดูค่า D/E ratio ตามกราฟด้านล่าง จะเห็นว่า BSRC มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำกว่า AGE และ SUPER ในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2567 และมีค่า ICR สูงกว่า สะท้อนความสามารถในการชำระดอกเบี้ยที่สูงตามมา Sector: Finance & Securities (FIN)             กลุ่ม FIN เป็น Sector ที่มีมูลค่าหุ้นกู้ครบกำหนดชำระในปี 2568 มากที่สุด ด้วยมูลค่า 184,204 ล้านบาท ซึ่งหุ้นกู้ที่เสนอขายปัจจุบัน ได้แก่ MTC และ SCAP แก่ประชาชนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน หากเปรียบเทียบทั้ง 2 บริษัท จะพบว่า SCAP มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนน้อยกว่า ในขณะที่ MTC แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการชำระดอกเบี้ยที่สูงกว่า Sector: Food & Beverage (FOOD)             สำหรับกลุ่ม FOOD ที่เสนอขายหุ้นกู้ในปัจจุบัน ได้แก่ บริษัท CPF และ BTG ซึ่งทั้งคู่มี Rating องค์กรและหุ้นกู้เป็น A โดยหากเปรียบเทียบทั้ง 2 ผู้ออก จะพบว่า BTG มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ต่ำกว่า และ มีความสามารถในการชำระดอกเบี้ยที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับ CPF Sector: Information & Communication Technology (ICT)             กลุ่ม ICT ประกอบไปด้วย TRUE เสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป และ INET เสนอขายแก่ผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว TRUE จะมีอัตราส่วนที่สูงกว่าทั้งอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการชำระดอกเบี้ยที่สูงกว่าเช่นกัน Sector: Transportation & Logistics (TRANS)             กลุ่ม TRANS ได้แก่ BTSG และ TTA ซึ่งหากวิเคระห์อิงจาก D/E และ ICR พบว่า TTA มีสถานะทางการเงินที่มั่นคงและมีความสามารถในการชำระดอกเบี้ยได้ดีกว่า ขณะที่ BTSG พึ่งพาหนี้สินในโครงสร้างทางการเงินมากกว่า เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ต้องการการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ (Infrastructure) และลักษณะธุรกิจของ BTSG ที่มีระยะเวลาคืนทุนยาวจากรายได้หลักมาจากค่าบริการผู้โดยสาร ซึ่งแตกต่างจากธุรกิจของ TTA ที่เป็นธุรกิจขนส่งสินค้าทางเรือ             หมายเหตุ: การเปรียบเทียบอัตราส่วนข้างต้น เป็นการวิเคราะห์ความน่าลงทุนเบื้องต้น ผู้ลงทุนควรศึกษารายละเอียดและวัตถุประสงค์การใช้เงินเพิ่มเติมได้ในเอกสาร fact sheet รวมไปถึง สภาพคล่องและลักษณะธุรกิจของแต่ละบริษัทผู้ออก เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน อ่านรายละเอียดเพิมเติม https://app.visible.vc/shared-update/ab0b9719-0f5e-405a-aa09-ee837232663d

abs

Hoonvision

BTS เตรียมออกหุ้นกู้ คาดเสนอขายกลางม.ค 68

BTS เตรียมออกหุ้นกู้ คาดเสนอขายกลางม.ค 68

          หุ้นวิชั่น - BTS เตรียมออกหุ้นกู้ 2 ชุด อายุ 2 ปี ดอกเบี้ย 4.30% ต่อปี และอายุ 5 ปี ดอกเบี้ย 4.80% ต่อปี เสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไป เผยอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ “ระดับลงทุน” (Investment Grade) ที่ “BBB+” พร้อมแต่งตั้ง 10 สถาบันการเงินชั้นนำเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย คาดเสนอขายกลางเดือนมกราคม 2568           กรุงเทพฯ 13 ธันวาคม  2567  – บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอส กรุ๊ปฯ (BTS) เตรียมออกหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2568 เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 2 ชุด ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.30% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.80% ต่อปี เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป โดยคาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ 9 - 10 และ 13 มกราคม 2568 โดยทั้งองค์กรและหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากทริสเรทติ้งในกลุ่มระดับลงทุน (Investment Grade) ที่ “BBB+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) สะท้อนความแข็งแกร่งของบริษัทฯ ที่มีธุรกิจหลากหลาย มีศักยภาพในการขยายธุรกิจ ภายใต้กลยุทธ์ 3M : MOVE, MIX และ MATCH           นางสาวชวดี รุ่งเรือง ผู้อำนวยการใหญ่สายการเงิน บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ “บีทีเอส กรุ๊ปฯ” เปิดเผยว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เพื่อออกและเสนอขายหุ้นกู้ จำนวน 2 ชุด ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.30% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.80% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ โดยคาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ 9-10 และ 13 มกราคม 2568 ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 10 แห่ง ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)           สำหรับหุ้นกู้ดังกล่าว ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในกลุ่มระดับลงทุน (Investment Grade) ที่ “BBB+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2567 สะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจและการเงินที่แข็งแกร่งจากการมีรายได้ค่าบริการที่สม่ำเสมอจากการให้บริการเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุง (Operation and Maintenance-O&M) ตามสัญญา ตลอดจนกระแสเงินสดรับจำนวนมากจากการลงทุนในสัดส่วน 33.33% ในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางรางบีทีเอสโกรท (BTSGIF) และการมีสถานะที่มั่นคงในธุรกิจโฆษณา           บีทีเอส กรุ๊ปฯ เป็นกลุ่มบริษัทที่ประกอบธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยมุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากการเข้าถึงข้อมูลเครือข่ายระบบขนส่งมวลชนและสื่อโฆษณา รวมทั้งการร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัทต่างๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ ผ่านการดำเนินธุรกิจใน 3 แพลตฟอร์ม ได้แก่ 1) แพลตฟอร์ม MOVE ผู้ให้บริการการเดินทางด้วยรูปแบบการคมนาคมขนส่งที่หลากหลายอย่างไร้รอยต่อ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต 2) แพลตฟอร์ม MIX ผู้ให้บริการทางการตลาดในรูปแบบ Offline-to-Online โซลูชันส์ที่ครบวงจร รวมถึงการใช้ประโยชน์สูงสุดจากฐานข้อมูลแก่กลุ่มบริษัทและพันธมิตรทางธุรกิจ 3) แพลตฟอร์ม MATCH สร้างโอกาสและความร่วมมือทางธุรกิจใหม่ๆ ผ่านการแบ่งปันแพลตฟอร์ม MOVE และ MIX ให้แก่กลุ่มบริษัทและพันธมิตรทางธุรกิจ           ล่าสุด บีทีเอส กรุ๊ปฯ ประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ โดยเมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคม 2567 บริษัทฯ สามารถระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน (Right Offering: RO) จำนวน 13.2 พันล้านบาท ได้สำเร็จ และได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเกินจำนวนที่เสนอขาย (oversubscribed) แสดงถึงความเชื่อมั่นและการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากนักลงทุน ทั้งนี้ ได้มีการจัดสรรเงินที่ระดมทุนได้จำนวน 13.2 พันล้านบาท ในการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน RABBIT และ ROCTEC ผ่านการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจ (Voluntary Tender Offer: VTO) จำนวน 7.1 พันล้านบาท  ทำให้ทั้งสองบริษัทดังกล่าว กลายเป็นบริษัทย่อยของ บีทีเอส กรุ๊ปฯ โดยมีผลตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป ซึ่งการปรับโครงสร้างการถือหุ้นในครั้งนี้จะเป็นการสนับสนุนและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้บริษัท และคาดว่าจะนํามาซึ่งโอกาสทางธุรกิจของบีทีเอส กรุ๊ป และบริษัทย่อยในอนาคต           ในส่วนของฐานะทางการเงิน บีทีเอส กรุ๊ปฯ มีเงินสดสุทธิจากกิจกรรมการดำเนินงานในระดับที่แข็งแกร่งขึ้น บริษัทฯ รายงานกระแสเงินสดสุทธิจากกิจกรรมการดำเนินงาน จำนวน 22.8 พันล้านบาท (ข้อมูลสําหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567) หลักๆ จากการได้รับชำระหนี้ E&M จาก กทม. รวมถึงยังได้รับเงินสนับสนุนงวดที่ 2 สำหรับการดำเนินงานรถไฟฟ้าสายสีเหลือง นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังคาดว่าจะได้รับชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 (คดีฟ้องร้องครั้งที่ 1) จาก กทม.และบริษัท กรุงเทพธนาคม จํากัด (เคที)  จำนวนประมาณ 14.5 พันล้านบาท ภายใน 180 วัน นับจากวันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา ซึ่งจะครบกำหนดภายในวันที่ 22 มกราคม 2568 การชำระหนี้ดังกล่าว พร้อมกับเงินที่เหลือจากการเพิ่มทุน (RO) จะช่วยเสริมฐานะทางการเงินของบริษัทฯ รวมถึงอัตราส่วนโครงสร้างทางการเงิน (Leverage ratio) จะปรับตัวดีขึ้นต่อไป           “เรามั่นใจว่า หุ้นกู้ บีทีเอส กรุ๊ปฯ จะได้รับการตอบรับอย่างดีอีกครั้งจากผู้ลงทุน ด้วยอายุของหุ้นกู้ทั้งรุ่นอายุ 2 ปีและอายุ 5 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนทั่วไป พร้อมทั้งอัตราผลตอบแทนที่น่าสนใจในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาลง ภายใต้อันดับความน่าเชื่อถือในกลุ่มระดับลงทุน (Investment grade) บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะนำเงินจากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ไปชำระคืนหนี้เดิมของบริษัทฯ เพื่อปรับโครงสร้างทางการเงินให้แข็งแกร่งขึ้น นอกจากนี้ หลังจากบริษัทฯ ได้รับชำระหนี้เพิ่มเติมจาก กทม. จะยิ่งเป็นการสนับสนุนความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นอีก สอดคล้องกับแนวทางการปรับลดระดับหนี้ของบริษัทฯ” ผู้อำนวยการใหญ่สายการเงิน บีทีเอส กรุ๊ปฯ กล่าว           ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้บีทีเอส กรุ๊ปฯ สามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท  และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท และศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ดังต่อไปนี้ ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้งรุ่นอายุ 2 ปี และอายุ 5 ปี ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Bangkok Bank Mobile Banking สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2111-1111 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Krungthai NEXT สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)* โทร. 02-888-8888 กด 869 หรือจองซื้อผ่านเว็บไซต์ K-My Invest (www.kasikornbank.com/kmyinvest) สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย (ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-777-6784 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ SCB EASY สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย (ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์) ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้เฉพาะรุ่นอายุ 2 ปี ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-626-7777 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ CIMB Thai สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)*** โทร. 02-165-5555 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Dime! สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา (ซึ่งรวมถึงธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร) บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050 บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-0098351-56 บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02-680-4004 บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร 02-658-8888 [PR News]

PTTGC ประกาศดอกเบี้ยหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ 5 ปี 6 เดือนแรกที่ 5.25%  เสนอขาย 4 - 12 ธ.ค.2567 นี้

PTTGC ประกาศดอกเบี้ยหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ 5 ปี 6 เดือนแรกที่ 5.25% เสนอขาย 4 - 12 ธ.ค.2567 นี้

          หุ้นวิชั่น - บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ” หรือ “GC”) ผู้นำด้านธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ระดับสากล ของกลุ่ม ปตท. ประกาศดอกเบี้ยหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน อัตราดอกเบี้ย 5 ปี 6 เดือนแรกที่ 5.25% ต่อปี เสนอขายต่อประชาชนเป็นการทั่วไป (Public offering) ผ่าน 12 สถาบันการเงิน คาดจองซื้อระหว่างวันที่ 4 - 12 ธันวาคม 2567 ชูอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ สูงสุดในไทย ณ ขณะนี้ ที่ระดับ A+(tha) ตอกย้ำการเป็นผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล พร้อมผลักดันประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ มุ่งสู่เป้า Net Zero ปี 2593 นายทิติพงษ์ จุลพรศิริดี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการเงินและบัญชี เปิดเผยว่า GC ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน ไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนด (“หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ”) เรียบร้อยแล้วในวันนี้ อัตราดอกเบี้ย 5 ปี 6 เดือนแรกอยู่ที่ 5.25% ต่อปี และประกาศช่วงเวลาจองซื้อซึ่งคาดว่าอยู่ระหว่างวันที่ 4, 6, 9 และ 11 - 12 ธันวาคม 2567 ผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่าย 12 ราย (รวมถึงวันที่ 5, 7 - 8 และวันที่ 10 ธันวาคม 2567 เฉพาะการจองซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ของผู้จัดการการจัดจำหน่ายบางรายเท่านั้น รายละเอียดตามที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน) GC เชื่อว่าหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ จะเป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจของผู้ลงทุนรายย่อยก่อนสิ้นปี 2567 โดยจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท สามารถจองซื้อผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 12 แห่ง ที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด  ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) นายทิติพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า GC มีเป้าหมายในการเป็นองค์กรต้นแบบการดำเนินงานด้านความยั่งยืนในระดับสากล ภายใต้วิสัยทัศน์ “การเป็นผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิต” บริษัทฯ ได้กำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 ซึ่งที่ผ่านมา GC ดำเนินโครงการต่าง ๆ ตามกลยุทธ์ 3 Steps Plus – ประกอบด้วย Step Change - Step Out - Step Up นอกจากนี้ GC ได้กำหนดมาตรการอื่นๆ ที่จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้บริษัทฯ เติบโตได้อย่างยั่งยืน ทั้งแผนการลดหนี้ (Deleverage Plan) และการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ โดยปรับพอร์ตโฟลิโอธุรกิจของบริษัทฯ ให้แข็งแกร่งขึ้น สำหรับการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ของ GC ในครั้งนี้ ทาง GC มีแผนที่จะนำเงินไปใช้ชำระหนี้เงินกู้เดิมทั้งในและต่างประเทศ และหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ สามารถนับเป็นส่วนของทุนได้ทั้งในทางบัญชีและในการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะเสริมสร้างความยืดหยุ่น ความแข็งแกร่งของโครงสร้างเงินทุน ให้กับบริษัทฯ ได้ โดยทางบัญชีนั้น หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ จะลงบัญชีเป็นส่วนของทุนได้ 100% ตลอดอายุหุ้นกู้ และในการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ จะสามารถนับส่วนของทุน (Equity Credit) ได้ 50% ซึ่งได้รับการยืนยันจากบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด แล้ว และคาดว่าจะได้รับการนับส่วนของทุน 50% จากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลกทั้ง 3 ราย ได้แก่ 1) Moody’s Investors Service 2) S&P Global Ratings และ 3) Fitch Ratings Inc. ซึ่งถือว่าเป็น “Big Three” ในการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ โดย Fitch Ratings Inc. และ Moody’s จะนับเป็นส่วนของทุนให้ตลอดอายุหุ้นกู้ ในขณะที่ S&P จะนับเป็นส่วนของทุนเฉพาะในช่วง 5 ปี 6 เดือนแรกเท่านั้น หลังจากนั้นจะถูกนับเป็นส่วนของหนี้สินทั้งจำนวน ซึ่งสอดคล้องกับวันที่ GC สามารถใช้สิทธิไถ่ถอนก่อนกำหนดคือเมื่อครบกำหนด 5 ปี 6 เดือน เพื่อเป็นการบริหารตารางการชำระคืนเงินกู้ (Debt Repayment Profile) ณ ขณะนี้ GC อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ ผู้สนใจสามารถติดต่อจองซื้อ หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02-626-7777 ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02-888-8888 กด 869 และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02-165-5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปฯ Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02-111-1111 หรือจองซื้อออนไลน์บนแอปพลิเคชัน Krungthai Next ผ่านระบบ Money Connect by Krungthai ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02-777-6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02-680-4004 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร.1572 บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด โทร. 02-695-5000 บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050 ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 1428 กด #4 (เปิดจองซื้อเฉพาะผู้ลงทุนรายใหญ่เท่านั้น) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-009-8351-56 หมายเหตุ: แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนยังไม่มีผลใช้บังคับ เนื่องจากอยู่ระหว่างยื่นขออนุญาตต่อสำนักงาน ก.ล.ต. การจัดสรรหุ้นกู้ดังกล่าวให้อยู่ในดุลยพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ตามแต่จะเห็นสมควร คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th

หลักทรัพย์บัวหลวง ชวนเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนเกาะดัชนี SET50 ด้วย “หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง ประเภทคุ้มครองเงินต้น” ชูจุดเด่นคุ้มครองเงินต้น 100%

หลักทรัพย์บัวหลวง ชวนเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนเกาะดัชนี SET50 ด้วย “หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง ประเภทคุ้มครองเงินต้น” ชูจุดเด่นคุ้มครองเงินต้น 100%

            หลักทรัพย์บัวหลวง ต่อยอดความมั่งคั่งให้นักลงทุนอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทางการเงินน้องใหม่ “หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง ประเภทคุ้มครองเงินต้น” หรือ Shark Fin Note (SFN) เครื่องมือสร้างผลตอบแทนเกาะกับดัชนี SET50 พร้อมคุ้มครองเงินต้น 100% เมื่อถือจนครบอายุสัญญา โดดเด่นด้วย 3 รูปแบบการลงทุนที่ออกแบบมาตอบโจทย์ทุกสภาวะตลาด             นายบรรณรงค์ พิชญากร กรรมการผู้จัดการอาวุโส กิจการค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้ตอบโจทย์การลงทุนในทุกมิติ โดยในช่วงที่สภาวะตลาดมีความท้าทายและเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแบบ Sideways ทำให้การลงทุนในหุ้นโดยตรงอาจสร้างผลตอบแทนได้ค่อนข้างยาก บริษัทจึงได้ต่อยอดสินทรัพย์ทางเลือกการลงทุน ประเภทหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง (Structured Note) ตราสารที่มีส่วนผสมระหว่างหุ้นกู้กับตราสารอนุพันธ์ ที่มีลักษณะพื้นฐานเหมือนหุ้นกู้ระยะสั้น แต่จ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับราคาหุ้นหรือตัวแปรที่อ้างอิง ทำให้มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงกว่าตราสารหนี้ทั่วไป ด้วยการออกแบบให้มีความหลากหลายครอบคลุมทุกระดับความเสี่ยงมากขึ้น เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถสร้างกระแสเงินสดและเพิ่มพูนความมั่งคั่งได้อย่างไม่สะดุด             ล่าสุดบริษัทเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ออกแบบมาตอบโจทย์เน้นเรื่องความปลอดภัยของเงินต้นพร้อมสร้างโอกาสรับผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากทั่วไป ด้วยบริการ “หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง ประเภทคุ้มครองเงินต้น” หรือ Shark Fin Note (SFN) ที่มีจุดเด่นสามารถสร้างผลตอบแทนเกาะดัชนี SET50 ซึ่งเป็นดัชนีที่ประกอบไปด้วยหุ้นชั้นนำ 50 ตัวของตลาดหลักทรัพย์ไทย โดยมีการคุ้มครองเงินต้นสูงสุด 100% เมื่อถือจนครบอายุสัญญา ซึ่งสามารถเลือกลงทุนได้ผ่าน 3 รูปแบบตามมุมมองการลงทุน ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น 1 ล้านบาท คือ Shark Fin Bull Note ออกแบบมาตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการสร้างผลตอบแทน เมื่อมองว่าดัชนี SET50 มีโอกาสปรับตัวขึ้นอยู่ในกรอบ และต้องการรักษาเงินต้นไปในเวลาเดียวกัน โดยแม้มองตลาดผิดทางแต่หากถือจนครบกำหนด นักลงทุนก็ยังได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวน Shark Fin Bear Note รูปแบบนี้เหมาะกับผู้ที่มีมุมมองว่าตลาดอาจปรับตัวลงอยู่ในกรอบซึ่งสามารถทำผลตอบแทนได้ในสภาวะที่ดัชนี SET50 ติดลบหรือย่อตัวลง ในขณะเดียวกันยังสามารถรักษาเงินต้นไปในตัว แม้ดัชนี SET50 ปรับตัวขึ้นต่างจากคาดการณ์ Twin-Win Shark Fin Note หรือครีบฉลามสองด้าน การลงทุนในรูปแบบนี้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้ทั้งสภาวะที่ดัชนี SET50 ปรับตัวขึ้นอยู่ในกรอบ หรือสามารถทำกำไรได้เมื่อดัชนี SET50 ปรับตัวลงในกรอบ ซึ่งเหมาะกับสภาวะที่ตลาดเคลื่อนไหวไม่ชัดเจนหรือในช่วงที่คาดการณ์ตลาดได้ค่อนข้างยาก             ทั้งนี้ในกรณีที่ระดับดัชนี SET50 ที่ปิดในทุกวันไม่หลุดกรอบ Knock Out (KO) ตลอดอายุสัญญา Shark Fin Note ไม่ว่าจะทั้ง Bull, Bear หรือ Twin-Win ผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับจะตามการเปลี่ยนแปลงของดัชนี SET50 ณ วันกำหนดค่าหลักทรัพย์เทียบกับระดับดัชนี ณ วันเปิดสัญญา เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด ทำให้นักลงทุนมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากหรือตราสารหนี้ หากเป็นไปตามคาดการณ์ ในทางกลับกันหากทิศทางของดัชนี SET50 ไม่ได้เคลื่อนไหวไปตามที่คาดการณ์ไว้หรือลงทุนผิดทาง นักลงทุนก็ไม่ต้องเผชิญกับภาวะการณ์ขาดทุนโดยยังได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวนเมื่อถือจนจนครบกำหนด 6 เดือน หรือ 1 ปี ตามสัญญา อย่างไรก็ดีหากในระหว่างอายุสัญญาระดับราคาปิดของดัชนี SET50 ณ สิ้นวัน ปิดสูงกว่าหรือเท่ากับกรอบราคา Knock Out (KO) ที่กำหนด เมื่อถือจนครบกำหนด นักลงทุนจะได้รับส่วนชดเชยผลตอบแทน (Rebate) ที่ 0.5% ต่อปี พร้อมกับเงินต้นเต็มจำนวน ซึ่งจะทำให้เห็นว่าลักษณะจ่ายผลตอบแทน (Payoff) ของ Shark Fin Note จะเหมือนกับครีบของปลาฉลาม             “ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้นทั่วโลก การกระจายพอร์ตลงทุนเพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น พร้อมคุ้มครองเงินต้นในเวลาเดียวกัน ด้วย Shark Fin Note ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือการลงทุนที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากและการลงทุนในตราสารหนี้อื่น ๆ โดยสามารถออกแบบแต่ละสัญญาให้ตอบโจทย์ในมุมของความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดหวังของนักลงทุนแต่ละท่านได้ รวมถึงสามารถใช้สร้างผลตอบแทนได้ในหลากหลายสภาวะตลาด หรือสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนได้” นายบรรณรงค์ กล่าว             นายบรรณรงค์ กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มผลตอบแทนและสร้างกระแสเงินสดในช่วงที่สถานการณ์ ไม่ค่อยเอื้ออำนวยต่อการลงทุน ด้วย “หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง” จากหลักทรัพย์บัวหลวง สามารถเลือกลงทุนได้หลากหลายประเภทตามระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน  เช่น หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงประเภท หรือ Fixed Coupon Note (FCN) เครื่องมือสร้างผลตอบแทนจากดอกเบี้ยต่อเนื่องตลอดอายุการลงทุนตั้งแต่ 3, 6 หรือ 9 เดือน โดยสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้ประมาณ 7-15% ต่อปี ตามระดับความผันผวนของหุ้นอ้างอิงใน SET50 ซึ่งนักลงทุนสามารถออกแบบสัญญาได้ทั้งในมุมของดอกเบี้ยที่ต้องการ และระดับของความเสี่ยง ผ่านกรอบราคาด้านล่าง หรือ Knock In (KI) ในระหว่างสัญญานักลงทุนจะได้รับกระแสเงินสดเป็นดอกเบี้ยทุก ๆ เดือน หรือเลือกรับดอกเบี้ยทุก ๆ สองสัปดาห์ ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า FCN เป็นเครื่องมือในการสร้างผลตอบแทนต่อเนื่องโดยที่ไม่ต้องเทรดหุ้นเอง สำหรับจุดเด่น “หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง” ของหลักทรัพย์บัวหลวง คือ 1. มั่นใจ บริษัทได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ AA จากทริสเรทติ้ง โดยมีธนาคารกรุงเทพ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 2. มืออาชีพ มีทีมผู้เชี่ยวชาญ และผู้แนะนำการลงทุนให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด 3. ยืนหยุ่น ออกแบบสัญญาได้หลากหลายและสามารถปรับแต่งรูปแบบสัญญาได้เองตามโจทย์ที่นักลงทุนต้องการ 4. สะดวก สามารถซื้อได้ทุกวันทำการ โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม พร้อมติดตามพอร์ตการลงทุนแบบครบวงจร ด้วย itracker monthly report ทั้งนี้สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ผู้แนะนำการลงทุนของท่าน หรือ BLS Customer Service โทร. 0 2618 1111

ภาพรวมตลาดหุ้นกู้ไทย มูลค่าหุ้นกู้เสนอขาย ก.ย. ลดลง 32.85% [HoonVision x FynnCorp]

ภาพรวมตลาดหุ้นกู้ไทย มูลค่าหุ้นกู้เสนอขาย ก.ย. ลดลง 32.85% [HoonVision x FynnCorp]

Key Highlights: • (Figure 1) ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 มูลค่าตราสารหนี้คงค้างเฉพาะที่เป็นตราสารหนี้ระยะยาวภาคเอกชน มีมูลค่าอยู่ที่ 4.35 ล้านล้านบาท ลดลง 0.46% (YoY) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยในปัจจุบันมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดในปี 2567 มูลค่าคงเหลือ 0.21 ล้านล้านบาท จากยอดครบกำหนดของทั้งปีที่ 0.89 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 4.8% ของมูลค่าหุ้นกู้ระยะยาวคงค้างทั้งหมด Figure 1 : Outstanding Value of Long-term Bond with Maturity • ในเดือนกันยายน NWR และ EP ได้ขอเลื่อนชำระหนี้หุ้นกู้ออกไป ส่งผลให้สถานการณ์ภาพรวมตลาดหุ้นกู้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 มีผู้ออกหุ้นกู้ขอเลื่อนชำระรวมอยู่ที่ 12 ราย ขณะที่หุ้นกู้ที่มีการผิดนัดชำระของปีนี้ ยังคงอยู่ที่ 3 ราย (DP: Default Payment) แม้จะมีหุ้นกู้ที่ถูกขึ้นเครื่องหมาย DP เพิ่มในเดือนกันยายนอย่าง WTX แต่บริษัทก็ได้ชำระดอกเบี้ยเป็นที่เรียบร้อยภายในเดือนเดียวกัน • จากสถานการณ์หุ้นกู้ข้างต้น ยิ่งทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น จนส่งผลต่อบริษัทผู้ออกระดมทุนผ่านหุ้นกู้ได้ยากขึ้น โดยเฉพาะผู้เล่นรายใหม่และบริษัทที่ออกหุ้นกู้ในกลุ่ม High-Yield ซึ่งเรามองว่าได้มีส่วนที่ทำให้มูลค่าหุ้นกู้เสนอขายในเดือนกันยายนนี้ลดลง 32.85% YoY • (Figure 2) กลุ่มธุรกิจพลังงาน (ENERG) กลุ่มเงินทุน (FIN) และ กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (PROP) ยังคงเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีหุ้นกู้คงค้างในตลาดปัจจุบันมากที่สุดตามลำดับ โดยกลุ่มธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ มีสัดส่วนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระคงเหลือภายในปีมากที่สุด ด้วยมูลค่า 45.6 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 8.5% ของมูลค่าคงค้างรวมในกลุ่ม ขณะที่รองลงมา เป็นกลุ่มอสังหาฯ ด้วยมูลค่าที่จะครบกำหนดภายในปีเหลือ 39.1 พันล้านบาท หรือ 8% ของมูลค่าคงค้างรวมในกลุ่ม Figure 2 : Outstanding Value of Long-term Bond with Maturity by Sector หุ้นกู้เสนอขายในเดือนกันยายน 2567 •ในเดือนกันยายน 2567 ตราสารหนี้ระยะยาวภาคเอกชนที่ขึ้นทะเบียนกับทาง ThaiBMA จำนวน 37 รุ่น จาก 18 บริษัท มูลค่ารวม 62.89 พันล้านบาท ลดลง 22.61% MoM และลดลง 32.85% YoY เรามองว่าส่วนหนึ่งยังมาจากบริษัทผู้ออกกำลังดูแนวโน้มดอกเบี้ยที่จะมีการประชุมในวันที่ 16 ตุลาคม 67 นี้ •ผู้ออกรายใหญ่ในเดือนกันยายน ได้แก่ GULF และ BJC ซึ่งมีมูลค่าการออกหุ้นกู้รวม 38.0 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 60.42% ของมูลค่าผู้ออกหุ้นกู้รวมในเดือน •หากไม่นับกลุ่มสถาบันการเงิน มูลค่าการระดมทุนจะอยู่ที่ 61.8 พันล้านบาท สะท้อนว่าในเดือนกันยายนบริษัทในกลุ่มสถาบันการเงินมีการออกหุ้นกู้น้อยเมื่อเทียบกับหลายเดือนที่ผ่านมาของปีนี้ •หุ้นกู้ระยะยาวภาคเอกชนที่เสนอขายในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ประกอบด้วย หุ้นกู้ในกลุ่ม Investment grade ทั้งหมด 22 รุ่น (Issue rating) ได้แก่ BJC, GULF, NOBLE, BGRIM, BEM, SJWD, PRIN, UNIQ, KTX •ส่วนหุ้นกู้กลุ่มที่ไม่มีการจัดอันดับเครดิตจำนวน 15 รุ่น (Issue rating) จาก FSX, NUSA, CHAYO, GRAND, RML, DTP, NCH, FPT, PTTC •FSX (FINANSIA X PUBLIC COMPANY LIMITED) เป็นผู้ออกตราสารหนี้ระยะยาวรายใหม่ในเดือนกันยายน • (Table 2) จากตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวที่ขึ้นทะเบียนในเดือนกันยายน เราพบว่าส่วนใหญ่สามารถระดมทุนได้ตามเป้าหมาย ยกเว้น 6 บริษัทจากทั้งหมด 18 บริษัทผู้ออก ส่วนหนึ่งเรามองว่านักลงทุนมีตัวเลือกจากบริษัทผู้ออกหุ้นกู้รายใหญ่ที่มีมูลค่าการระดมทุนสูงและนักลงทุนยังคงมีความระมัดระวังในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง Table 2: Long- Term Corporate Bonds for Sales Registered in September 2024 การปรับอันดับเครดิตองค์กร (Issuer Rating) ในเดือนกันยายน 2567 TRIS Rating เพิ่มอันดับ เครดิตองค์กร 3 แห่ง คือ BCP BSRC และ BBGI ลดอันดับ เครดิตองค์กร 7 แห่ง คือ PSH PS EP AGE SG LALIN และ LH การปรับเพิ่มอันดับเครดิต •BCP (Bangchak Corporation) ถูกปรับเพิ่มอันดับเครดิตจาก A เป็น A+ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต Stable จากการที่บริษัทมีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้นภายหลังการเข้าซื้อกิจการของ บริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) (BSRC) ทำให้บริษัทมี EBITDA เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 6.0-7.0 พันล้านบาทต่อปี รวมถึงกำลังการผลิตของโรงกลั่นและปริมาณการขายผ่านช่องทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น นอกจากนั้น สถานะทางธุรกิจที่ดีขึ้นมาจากการขยายขนาดของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ซึ่งการบูรณาการในแนวดิ่งและการลงทุนที่กระจายตัว ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นต่อความผันผวนของราคา โดยการปรับเพิ่มอันดับของ BCP ได้ส่งผลต่อการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทย่อยอย่าง BSRC จาก A เป็น A+ และ BBGI จาก A- เป็น A การปรับลดอันดับเครดิต PSH (Pruksa Holding) ถูกปรับลดอันดับเครดิตจาก A- เป็น BBB+ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต Stable เนื่องจากผลการดำเนินงานยังคงอ่อนแอกว่าคาดอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความเสี่ยงจากการลงทุนขนาดใหญ่และภาระหนี้ของกลุ่มบริษัทที่เพิ่มขึ้น ท่ามกลางภาวะดอกเบี้ยและหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลต่อการปรับลดของบริษัทย่อยหลักอย่าง PS (Pruksa Real Estate) ในอันดับเดียวกัน EP (Eastern Power Group) ถูกปรับลดจากเดือนก่อนอีกครั้ง จาก BB เป็น BB- ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต Negative เนื่องจากสภาพคล่องที่อ่อนแอ ส่งผลต่อความเสี่ยงที่บริษัทจะไม่สามารถชำระหนี้ที่จะครบกำหนดในระยะอันใกล้ได้ ซึ่งบริษัทได้รับอนุมัติการขยายระยะเวลาไถ่ถอนหุ้นกู้ออกไป 1 ปีเป็นที่เรียบร้อย AGE (Asia Green Energy) ถูกปรับลดจาก BBB- เป็น BB+ แนวโน้มอันดับเครดิตยังคง Negative สะท้อนความสามารถในการทำกำไรลดลงอย่างต่อเนื่อง และความไม่แน่นอนของการเข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัท เอเชีย ไบโอแมส ซึ่งทริสมองว่าการรวมบัญชีงบการเงินของ ABM จะส่งผลให้สถานะการเงินบริษัทด้อยลงได้ SG (S 11 Group) ถูกปรับลดจาก BBB- มาอยู่ที่ BB+ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต Stable สะท้อนผลการดำเนินงานที่อ่อนแอจากการลดลงอย่างรวดเร็วของอัตราผลตอบแทนจากสินเชื่อภายหลังการบังคับใช้เพดานดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ LALIN (Lalin Property) ถูกปรับลดจาก BBB+ เป็น BBB แนวโน้มอันดับเครดิต Stable สะท้อนผลการดำเนินงานอ่อนแอกว่าคาดและภาระหนี้สินที่เพิ่มสูงขึ้น ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยและหนี้ครัวเรือนในระดับสูง ส่งผลต่อกำลังซื้อบ้านที่อ่อนแอลง LH (Land and Houses) ถูกปรับลดจาก A+ เป็น A แนวโน้มอันดับเครดิตยังคง Stable ต่อเนื่อง การปรับลดสะท้อนผลการดำเนินงานที่อ่อนแอกว่าที่คาดและระดับหนี้สินที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สรุปภาพรวมใน 9 เดือนแรก 2567 ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กร 33 แห่ง ขณะที่เพิ่มอันดับเครดิตองค์กร 12 แห่ง หุ้นกู้เสนอขายใหม่ •สำหรับตราสารหนี้ภาคเอกชนที่จะเสนอขายในช่วงกลางเดือนตุลาคม ได้แก่ TSE, TAA, CMC, TBEV, TNL, CIMBT, JMT, WEH, PF และในต้นเดือนพฤศจิกายน ได้แก่ PF, SST, ADVANC (Table 1) เราได้จัดทำตารางที่แสดงค่าเฉลี่ยของอัตราคูปองหุ้นกู้ที่อายุ 2 ปี แยกตามเรทติ้ง (Issue Rating) และอุตสาหกรรมของหุ้นกู้ที่จะเสนอขายดังกล่าว เพื่อเป็นข้อมูลเปรียบเทียบเบื้องต้นให้กับผู้ที่สนใจ อ่านบทวิเคราะห์ฉบับเต็ม คลิก https://app.visible.vc/shared-update/52af336a-9226-4a1c-85f9-1448ca47d4b8 LINE OA FynnCorp  https://lin.ee/wiSLCuK

[PR News] “ทรู คอร์ปอเรชั่น” ออกหุ้นกู้ชุดใหม่ ดอกเบี้ย 2.95–4.10%ต่อปี เครดิต “A+”

[PR News] “ทรู คอร์ปอเรชั่น” ออกหุ้นกู้ชุดใหม่ ดอกเบี้ย 2.95–4.10%ต่อปี เครดิต “A+”

          กรุงเทพฯ : 8 ตุลาคม 2567 - บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน ด้วยคะแนน DJSI 2023 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป จำนวน 5 ชุด อายุหุ้นกู้ตั้งแต่ 2 ปี ถึง 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง [2.95 - 4.10]% ต่อปี ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากทริสเรทติ้ง สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นในธุรกิจโทรคมนาคม และธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัล คาดเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 21-22 และ 25 พฤศจิกายน 2567 ผ่าน 7 สถาบันการเงินชั้นนำได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ซีไอเอ็มบี ยูโอบี บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส รวมถึงการขายผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet โดยมีธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้และผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้           นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2567 ของทรู คอร์ปอเรชั่นแสดงถึงความสำเร็จต่อเนื่องจากการควบรวมทรูและดีแทค ด้วยกำไรสุทธิ (หลังหักภาษีและหลังปรับปรุงรายการพิเศษ) 2.4 พันล้านบาท และ EBITDA ที่เติบโตเป็นไตรมาสที่ 6 ติดต่อกัน สะท้อนการเติบโตของรายได้จากธุรกิจหลักและการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ  เรายังมุ่งสู่การเป็นผู้นำโทรคมนาคมและเทคโนโลยีที่ยั่งยืน เน้นการใช้ AI และระบบอัตโนมัติเพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพในองค์กร  นอกจากนี้ การลงทุนในเครือข่าย 5G ที่ครอบคลุม 92% ของประชากร จะช่วยผลักดันการเติบโตของบริษัทและสร้างคุณค่าแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายอย่างยั่งยืน”           บริษัทฯ และหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2567 ซึ่งสะท้อนถึงสถานะผู้นำทางการตลาด (market position) ในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ เสริมทัพด้วยโครงข่ายทั่วประเทศ ชุดคลื่นความถี่ที่ครอบคลุม และชื่อแบรนด์ที่ผู้บริโภคคุ้นเคย  อีกทั้งปัจจัยบวกจากประโยชน์ที่คาดว่า จะเกิดขึ้นจากการควบรวม รวมถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทฯที่คาดว่าน่าจะปรับตัวดีขึ้นในอนาคตอีกด้วย           ทางด้านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้กล่าวเพิ่มเติมว่า “ถือเป็นจังหวะที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสะสมหุ้นกู้ที่มีคุณภาพก่อนที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเริ่มปรับตัวลดลง โดยเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2567 ที่ผ่านมาธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงครั้งแรกในรอบ 4 ปี โดยปรับลดลง 0.50% และส่งสัญญาณที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ สำหรับประเทศไทย แม้ว่าการประชุมเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% แต่ก็มีโอกาสที่ กนง. จะประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯประกาศลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง โดยการประชุมครั้งต่อไปคือวันที่ 16 ตุลาคม 2567 ช่วงเวลานี้จึงเป็นจังหวะที่ดีสำหรับนักลงทุนในการสะสมหุ้นกู้ เพื่อล็อคผลตอบแทนไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะนักลงทุนที่นิยมลงทุนในหุ้นกู้ที่มีคุณภาพสูง และด้วยอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ A+ แนวโน้ม “คงที่” ของทรู น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน”           หุ้นกู้ครั้งนี้จะเสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) โดยมีอายุหุ้นกู้ระหว่าง 2 ปี ถึง 10 ปี เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนทุกกลุ่ม ตอบโจทย์ทั้งนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว วัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้เพื่อชำระคืนหนี้จากการออกตราสารหนี้ โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ และคาดว่าจะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 21-22 และ 25 พฤศจิกายน 2567 สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท ซึ่งบริษัทฯ หวังว่าหุ้นกู้ที่เสนอขายในครั้งนี้จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนหุ้นกู้ทุกชุดที่ผ่านมาของบริษัทฯ โดยหุ้นกู้ทั้ง 5 ชุดที่เสนอขาย มีรายละเอียดดังนี้ หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [2.95 - 3.10]% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.25 - 3.40]% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.65 – 3.80]% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.80 – 3.95]% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 5 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.95 – 4.10]% ต่อปี ซึ่งเฉพาะรุ่นอายุ 10 ปี ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดได้ตั้งแต่หุ้นกู้ครบปีที่ 5 เป็นต้นไป           ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th หรือ สอบถามรายละเอียดที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 7 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02 888 8888 กด 869 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 777 6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 626 7777 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน แอป CIMB Thai Digital Banking ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 285 1555 บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02 680 4004 บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02 165 5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปฯ Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)           สำหรับผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet สามารถศึกษาเพิ่มเติมถึงรายละเอียด ขั้นตอน และวิธีการสมัคร TrueMoney Wallet Application และวิธีการจองซื้อ ได้ที่เว็บไซต์ www.truemoney.com หรือติดต่อขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด โทร. 1240 กด 6

GULF ประสบความสำเร็จอย่างมากในการเสนอขายหุ้นกู้รวม 25,000 ล้านบาท ตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุน

GULF ประสบความสำเร็จอย่างมากในการเสนอขายหุ้นกู้รวม 25,000 ล้านบาท ตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุน

          เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2567 บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้ออกหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิและไม่มีประกัน มูลค่ารวมทั้งสิ้น 25,000 ล้านบาท โดยเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน (Institutional Investors) และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่เป็นจำนวนมาก โดยแสดงความจำนงในการจองหุ้นกู้ของบริษัทฯ มากถึง 1.96 เท่าของจำนวนที่ประสงค์จะเสนอขาย (Oversubscription) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในศักยภาพและความแข็งแกร่งของบริษัทฯ สำหรับหุ้นกู้ที่บริษัทฯ เสนอขายในครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 5 ชุด ได้แก่ หุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.89% ต่อปี มูลค่า 2,500 ล้านบาท หุ้นกู้อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.15% ต่อปี มูลค่า 2,687 ล้านบาท หุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.28% ต่อปี มูลค่า 10,013 ล้านบาท หุ้นกู้อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.53% ต่อปี มูลค่า 4,800 ล้านบาท และ หุ้นกู้อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.76% ต่อปี มูลค่า 5,000 ล้านบาท โดยเฉลี่ยอัตราดอกเบี้ยคงที่เท่ากับ 3.37% และอายุเฉลี่ยหุ้นกู้เท่ากับ 6.08 ปี           ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ในระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” และหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับในระดับ “A” แนวโน้ม “คงที่” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด โดยบริษัทฯ ได้แต่งตั้งให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ในครั้งนี้ ซึ่งได้เปิดจองซื้อหุ้นกู้ระหว่างวันที่ 23-25 กันยายน 2567 และได้ออกหุ้นกู้ในวันที่ 26 กันยายน 2567           นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก แม้ว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นกู้จะยังคงมีความผันผวน ท่ามกลางความกังวลและความระมัดระวังในการลงทุนในหุ้นกู้ของนักลงทุน แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาดจากนักลงทุน โดยยอดจองซื้อเกินกว่าจำนวนที่เสนอขายเกือบ 2 เท่า ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ และการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจของบริษัทฯ โดยการระดมทุนดังกล่าว ส่วนหนึ่งจะนำไปคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดในเดือนกันยายน อีกส่วนหนึ่งนำไปคืนหนี้สินระยะสั้นของบริษัทฯ และส่วนที่เหลือเพื่อรองรับการขยายการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ ต่อไป บริษัทฯ ขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจในหุ้นกู้ของบริษัทฯ และขอขอบคุณผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ร่วมทั้ง 7 สถาบันที่มีบทบาทสำคัญในการจัดจำหน่ายหุ้นกู้จนประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมในครั้งนี้"

[PR News] GC ผนึก 12 สถาบันการเงินเตรียมออกหุ้นกู้

[PR News] GC ผนึก 12 สถาบันการเงินเตรียมออกหุ้นกู้

          เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายทศพร บุณยพิพัฒน์ ผู้จัดการใหญ่ และนางสาวภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC พร้อมกับผู้บริหารสถาบันการเงิน 12 แห่ง เข้าร่วมพิธีแต่งตั้งผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน ไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท หรือ Perpetual Bond           นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ CEO GC ผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล และแกนนำธุรกิจเคมีภัณฑ์ของกลุ่ม ปตท. กล่าวว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างเตรียมการออกและเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน ไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนด และมีสิทธิเลื่อนชำระดอกเบี้ยโดยไม่มีเงื่อนไข (“หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน”) ต่อผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) เพื่อสนับสนุนโครงสร้างทางการเงินของกลุ่มบริษัท GC ให้แข็งแกร่ง เสริมสร้างธุรกิจและต่อยอดการเติบโตของบริษัทในอนาคต           นายณะรงค์ศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เป็นครั้งแรกของ GC ที่ออกและเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน และเป็นการออกหุ้นกู้ประเภทนี้ในประเทศไทยในรอบ 10 ปี ของกลุ่ม ปตท. ซึ่งการออกและเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของการ #ก้าวต่อไปกับการเติบโตที่ยั่งยืนของ GC นอกจากนี้ ยังเป็นการขยายฐานผู้ถือหุ้นกู้รายย่อยของ GC และเพิ่มทางเลือกการลงทุนที่มั่นคงและให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป           หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนที่จะเสนอขายในครั้งนี้ ทาง GC สามารถใช้สิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนดได้เมื่อหุ้นกู้มีอายุครบ 5 ปี 6 เดือน เป็นต้นไป มีกำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ โดยมีอัตราดอกเบี้ยและวันจองซื้อที่แน่นอน โดยทาง GC จะแจ้งให้ทราบต่อไป สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป สามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท ผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 12 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารกสิกรไทย บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส ธนาคารกรุงศรีอยุธยา บริษัทหลักทรัพย์กรุงไทย เอ็กซ์สปริง บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ธนาคารทหารไทยธนชาต และบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) ซึ่งทาง GC มั่นใจว่า หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนของ GC จะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ลงทุน ด้วยพื้นฐานธุรกิจ ความแข็งแกร่งทางการเงินของ GC และความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ของกลุ่ม ปตท. จะเป็นปัจจัยสนับสนุนความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนต่อการตัดสินใจลงทุนในหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนของ GC ในครั้งนี้           การออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนในครั้งนี้ จะเป็นโอกาสของผู้ลงทุนที่จะลงทุนในหุ้นกู้ของ GC ซึ่งเป็นองค์กรต้นแบบความยั่งยืนในระดับสากล โดย GC เป็นบริษัทหนึ่งเดียวในโลกที่ได้รับการจัดอันดับจากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) ในกลุ่ม World Index ให้เป็นที่ 1 ในกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์ ด้วยคะแนนสูงสุด 5 ปีต่อเนื่อง โดย S&P Global ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเป็นองค์กรต้นแบบความยั่งยืนในระดับสากล ด้วยการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงดุลยภาพของสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ (Governance & Economic) (ESG) ตั้งเป้าหมายการขับเคลื่อนธุรกิจยั่งยืนตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ พร้อมมุ่งสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 สอดคล้องกับความตกลงปารีสตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ           ทั้งนี้ อันดับความน่าเชื่อถือของ GC อยู่ที่ระดับ “AA(tha)” แนวโน้ม “มีเสถียรภาพ” เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2567  และอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนที่เสนอขายในครั้งนี้อยู่ที่ระดับ “A+(tha)” จัดอันดับโดยบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2567 นอกจากนี้ GC จะเป็นบริษัทแรกในประเทศไทยที่จะสามารถนำหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนไปนับเป็นส่วนของทุนของบริษัท สำหรับการพิจารณาอันดับความน่าเชื่อถือกับบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลกทั้ง Moody’s Investors Service S&P Global Ratings และ Fitch Ratings Inc. ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันความแข็งแกร่งของ GC ในระดับสากล โดย GC จะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนครั้งนี้เพื่อใช้ชำระคืนหนี้สินสกุลเงินบาทและสกุลเหรียญสหรัฐฯ ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ ผู้สนใจสามารถติดต่อจองซื้อ หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02-626-7777 ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02-888-8888 กด 869 และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02-165-5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปฯ Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02-111-1111 หรือจองซื้อออนไลน์บนแอปพลิเคชัน Krungthai Next ผ่านระบบ Money Connect by Krungthai ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02-777-6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02-680-4004 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร.1572 บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด โทร. 02-695-5000 บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050 ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 1428 กด #4 (เปิดจองซื้อเฉพาะผู้ลงทุนรายใหญ่เท่านั้น) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-009-8351-56 หมายเหตุ: แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนยังไม่มีผลใช้บังคับ เนื่องจากอยู่ระหว่างยื่นขออนุญาตต่อสำนักงาน ก.ล.ต. การจัดสรรหุ้นกู้ดังกล่าวให้อยู่ในดุลยพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ตามแต่จะเห็นสมควร คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th

ความแตกต่างของ

ความแตกต่างของ "หุ้น" กับ "หุ้นกู้" | หุ้นวิชั่นxลงทุนบอนด์

          สำหรับคนอยากลงทุนในหุ้น หรือที่บางคนเรียกติดปากกว่า "เล่นหุ้น" แต่ยังไม่ได้เริ่มต้นหรืออยู่ระหว่างศึกษา อาจมีความสับสนและเข้าใจผิดว่า "หุ้น" กับ "หุ้นกู้" เป็นสิ่งเดียวกัน  แต่จริงๆแล้ว ทั้งสองอย่าง แตกต่างกันเลยนะครับ ซึ่งจะแตกต่างกันอย่างไร? มาหาคำตอบไปพร้อมกันกับลงทุนบอนด์ https://www.youtube.com/watch?v=mER2uHTYAdE

เรื่องต้องรู้ ก่อนเลือกลงทุนในหุ้นกู้ |  หุ้นวิชั่นxลงทุนบอนด์

เรื่องต้องรู้ ก่อนเลือกลงทุนในหุ้นกู้ | หุ้นวิชั่นxลงทุนบอนด์

เรื่องต้องรู้ ก่อนเลือกลงทุนในหุ้นกู้ มีอะไรบ้าง และควรวิเคราะห์อย่างไรเพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน? https://www.youtube.com/watch?v=qkRPEDN-rFw

หุ้นกู้ ทางเลือกของคนที่อยากมี Passive Income |  หุ้นวิชั่นxลงทุนบอนด์

หุ้นกู้ ทางเลือกของคนที่อยากมี Passive Income | หุ้นวิชั่นxลงทุนบอนด์

หุ้นกู้สามารถสร้าง Passive Income ได้อย่างไร? มาหาคำตอบด้วยการรับชมวิดีโอนี้ไปด้วยกันกับลงทุนบอนด์ https://youtu.be/27kPl4uxM3k?si=dP7T8qv_WA9C7Ydm

พฤอา
242526272812345678910111213141516171819202122232425262728293031123456