#หุ้นกู้


BTS เตรียมออกหุ้นกู้ คาดเสนอขายกลางม.ค 68

BTS เตรียมออกหุ้นกู้ คาดเสนอขายกลางม.ค 68

          หุ้นวิชั่น - BTS เตรียมออกหุ้นกู้ 2 ชุด อายุ 2 ปี ดอกเบี้ย 4.30% ต่อปี และอายุ 5 ปี ดอกเบี้ย 4.80% ต่อปี เสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไป เผยอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ “ระดับลงทุน” (Investment Grade) ที่ “BBB+” พร้อมแต่งตั้ง 10 สถาบันการเงินชั้นนำเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย คาดเสนอขายกลางเดือนมกราคม 2568           กรุงเทพฯ 13 ธันวาคม  2567  – บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอส กรุ๊ปฯ (BTS) เตรียมออกหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2568 เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 2 ชุด ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.30% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.80% ต่อปี เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป โดยคาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ 9 - 10 และ 13 มกราคม 2568 โดยทั้งองค์กรและหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากทริสเรทติ้งในกลุ่มระดับลงทุน (Investment Grade) ที่ “BBB+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) สะท้อนความแข็งแกร่งของบริษัทฯ ที่มีธุรกิจหลากหลาย มีศักยภาพในการขยายธุรกิจ ภายใต้กลยุทธ์ 3M : MOVE, MIX และ MATCH           นางสาวชวดี รุ่งเรือง ผู้อำนวยการใหญ่สายการเงิน บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ “บีทีเอส กรุ๊ปฯ” เปิดเผยว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เพื่อออกและเสนอขายหุ้นกู้ จำนวน 2 ชุด ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.30% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.80% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ โดยคาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ 9-10 และ 13 มกราคม 2568 ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 10 แห่ง ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)           สำหรับหุ้นกู้ดังกล่าว ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในกลุ่มระดับลงทุน (Investment Grade) ที่ “BBB+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2567 สะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจและการเงินที่แข็งแกร่งจากการมีรายได้ค่าบริการที่สม่ำเสมอจากการให้บริการเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุง (Operation and Maintenance-O&M) ตามสัญญา ตลอดจนกระแสเงินสดรับจำนวนมากจากการลงทุนในสัดส่วน 33.33% ในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางรางบีทีเอสโกรท (BTSGIF) และการมีสถานะที่มั่นคงในธุรกิจโฆษณา           บีทีเอส กรุ๊ปฯ เป็นกลุ่มบริษัทที่ประกอบธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยมุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากการเข้าถึงข้อมูลเครือข่ายระบบขนส่งมวลชนและสื่อโฆษณา รวมทั้งการร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัทต่างๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ ผ่านการดำเนินธุรกิจใน 3 แพลตฟอร์ม ได้แก่ 1) แพลตฟอร์ม MOVE ผู้ให้บริการการเดินทางด้วยรูปแบบการคมนาคมขนส่งที่หลากหลายอย่างไร้รอยต่อ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต 2) แพลตฟอร์ม MIX ผู้ให้บริการทางการตลาดในรูปแบบ Offline-to-Online โซลูชันส์ที่ครบวงจร รวมถึงการใช้ประโยชน์สูงสุดจากฐานข้อมูลแก่กลุ่มบริษัทและพันธมิตรทางธุรกิจ 3) แพลตฟอร์ม MATCH สร้างโอกาสและความร่วมมือทางธุรกิจใหม่ๆ ผ่านการแบ่งปันแพลตฟอร์ม MOVE และ MIX ให้แก่กลุ่มบริษัทและพันธมิตรทางธุรกิจ           ล่าสุด บีทีเอส กรุ๊ปฯ ประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ โดยเมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคม 2567 บริษัทฯ สามารถระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน (Right Offering: RO) จำนวน 13.2 พันล้านบาท ได้สำเร็จ และได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเกินจำนวนที่เสนอขาย (oversubscribed) แสดงถึงความเชื่อมั่นและการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากนักลงทุน ทั้งนี้ ได้มีการจัดสรรเงินที่ระดมทุนได้จำนวน 13.2 พันล้านบาท ในการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน RABBIT และ ROCTEC ผ่านการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจ (Voluntary Tender Offer: VTO) จำนวน 7.1 พันล้านบาท  ทำให้ทั้งสองบริษัทดังกล่าว กลายเป็นบริษัทย่อยของ บีทีเอส กรุ๊ปฯ โดยมีผลตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป ซึ่งการปรับโครงสร้างการถือหุ้นในครั้งนี้จะเป็นการสนับสนุนและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้บริษัท และคาดว่าจะนํามาซึ่งโอกาสทางธุรกิจของบีทีเอส กรุ๊ป และบริษัทย่อยในอนาคต           ในส่วนของฐานะทางการเงิน บีทีเอส กรุ๊ปฯ มีเงินสดสุทธิจากกิจกรรมการดำเนินงานในระดับที่แข็งแกร่งขึ้น บริษัทฯ รายงานกระแสเงินสดสุทธิจากกิจกรรมการดำเนินงาน จำนวน 22.8 พันล้านบาท (ข้อมูลสําหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567) หลักๆ จากการได้รับชำระหนี้ E&M จาก กทม. รวมถึงยังได้รับเงินสนับสนุนงวดที่ 2 สำหรับการดำเนินงานรถไฟฟ้าสายสีเหลือง นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังคาดว่าจะได้รับชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 (คดีฟ้องร้องครั้งที่ 1) จาก กทม.และบริษัท กรุงเทพธนาคม จํากัด (เคที)  จำนวนประมาณ 14.5 พันล้านบาท ภายใน 180 วัน นับจากวันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา ซึ่งจะครบกำหนดภายในวันที่ 22 มกราคม 2568 การชำระหนี้ดังกล่าว พร้อมกับเงินที่เหลือจากการเพิ่มทุน (RO) จะช่วยเสริมฐานะทางการเงินของบริษัทฯ รวมถึงอัตราส่วนโครงสร้างทางการเงิน (Leverage ratio) จะปรับตัวดีขึ้นต่อไป           “เรามั่นใจว่า หุ้นกู้ บีทีเอส กรุ๊ปฯ จะได้รับการตอบรับอย่างดีอีกครั้งจากผู้ลงทุน ด้วยอายุของหุ้นกู้ทั้งรุ่นอายุ 2 ปีและอายุ 5 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนทั่วไป พร้อมทั้งอัตราผลตอบแทนที่น่าสนใจในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาลง ภายใต้อันดับความน่าเชื่อถือในกลุ่มระดับลงทุน (Investment grade) บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะนำเงินจากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ไปชำระคืนหนี้เดิมของบริษัทฯ เพื่อปรับโครงสร้างทางการเงินให้แข็งแกร่งขึ้น นอกจากนี้ หลังจากบริษัทฯ ได้รับชำระหนี้เพิ่มเติมจาก กทม. จะยิ่งเป็นการสนับสนุนความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นอีก สอดคล้องกับแนวทางการปรับลดระดับหนี้ของบริษัทฯ” ผู้อำนวยการใหญ่สายการเงิน บีทีเอส กรุ๊ปฯ กล่าว           ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้บีทีเอส กรุ๊ปฯ สามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท  และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท และศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ดังต่อไปนี้ ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้งรุ่นอายุ 2 ปี และอายุ 5 ปี ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Bangkok Bank Mobile Banking สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2111-1111 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Krungthai NEXT สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)* โทร. 02-888-8888 กด 869 หรือจองซื้อผ่านเว็บไซต์ K-My Invest (www.kasikornbank.com/kmyinvest) สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย (ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-777-6784 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ SCB EASY สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย (ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์) ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้เฉพาะรุ่นอายุ 2 ปี ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-626-7777 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ CIMB Thai สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)*** โทร. 02-165-5555 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Dime! สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา (ซึ่งรวมถึงธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร) บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050 บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-0098351-56 บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02-680-4004 บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร 02-658-8888 [PR News]

PTTGC ประกาศดอกเบี้ยหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ 5 ปี 6 เดือนแรกที่ 5.25%  เสนอขาย 4 - 12 ธ.ค.2567 นี้

PTTGC ประกาศดอกเบี้ยหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ 5 ปี 6 เดือนแรกที่ 5.25% เสนอขาย 4 - 12 ธ.ค.2567 นี้

          หุ้นวิชั่น - บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ” หรือ “GC”) ผู้นำด้านธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ระดับสากล ของกลุ่ม ปตท. ประกาศดอกเบี้ยหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน อัตราดอกเบี้ย 5 ปี 6 เดือนแรกที่ 5.25% ต่อปี เสนอขายต่อประชาชนเป็นการทั่วไป (Public offering) ผ่าน 12 สถาบันการเงิน คาดจองซื้อระหว่างวันที่ 4 - 12 ธันวาคม 2567 ชูอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ สูงสุดในไทย ณ ขณะนี้ ที่ระดับ A+(tha) ตอกย้ำการเป็นผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล พร้อมผลักดันประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ มุ่งสู่เป้า Net Zero ปี 2593 นายทิติพงษ์ จุลพรศิริดี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการเงินและบัญชี เปิดเผยว่า GC ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน ไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนด (“หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ”) เรียบร้อยแล้วในวันนี้ อัตราดอกเบี้ย 5 ปี 6 เดือนแรกอยู่ที่ 5.25% ต่อปี และประกาศช่วงเวลาจองซื้อซึ่งคาดว่าอยู่ระหว่างวันที่ 4, 6, 9 และ 11 - 12 ธันวาคม 2567 ผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่าย 12 ราย (รวมถึงวันที่ 5, 7 - 8 และวันที่ 10 ธันวาคม 2567 เฉพาะการจองซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ของผู้จัดการการจัดจำหน่ายบางรายเท่านั้น รายละเอียดตามที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน) GC เชื่อว่าหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ จะเป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจของผู้ลงทุนรายย่อยก่อนสิ้นปี 2567 โดยจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท สามารถจองซื้อผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 12 แห่ง ที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด  ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) นายทิติพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า GC มีเป้าหมายในการเป็นองค์กรต้นแบบการดำเนินงานด้านความยั่งยืนในระดับสากล ภายใต้วิสัยทัศน์ “การเป็นผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิต” บริษัทฯ ได้กำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 ซึ่งที่ผ่านมา GC ดำเนินโครงการต่าง ๆ ตามกลยุทธ์ 3 Steps Plus – ประกอบด้วย Step Change - Step Out - Step Up นอกจากนี้ GC ได้กำหนดมาตรการอื่นๆ ที่จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้บริษัทฯ เติบโตได้อย่างยั่งยืน ทั้งแผนการลดหนี้ (Deleverage Plan) และการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ โดยปรับพอร์ตโฟลิโอธุรกิจของบริษัทฯ ให้แข็งแกร่งขึ้น สำหรับการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ของ GC ในครั้งนี้ ทาง GC มีแผนที่จะนำเงินไปใช้ชำระหนี้เงินกู้เดิมทั้งในและต่างประเทศ และหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ สามารถนับเป็นส่วนของทุนได้ทั้งในทางบัญชีและในการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะเสริมสร้างความยืดหยุ่น ความแข็งแกร่งของโครงสร้างเงินทุน ให้กับบริษัทฯ ได้ โดยทางบัญชีนั้น หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ จะลงบัญชีเป็นส่วนของทุนได้ 100% ตลอดอายุหุ้นกู้ และในการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ จะสามารถนับส่วนของทุน (Equity Credit) ได้ 50% ซึ่งได้รับการยืนยันจากบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด แล้ว และคาดว่าจะได้รับการนับส่วนของทุน 50% จากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลกทั้ง 3 ราย ได้แก่ 1) Moody’s Investors Service 2) S&P Global Ratings และ 3) Fitch Ratings Inc. ซึ่งถือว่าเป็น “Big Three” ในการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ โดย Fitch Ratings Inc. และ Moody’s จะนับเป็นส่วนของทุนให้ตลอดอายุหุ้นกู้ ในขณะที่ S&P จะนับเป็นส่วนของทุนเฉพาะในช่วง 5 ปี 6 เดือนแรกเท่านั้น หลังจากนั้นจะถูกนับเป็นส่วนของหนี้สินทั้งจำนวน ซึ่งสอดคล้องกับวันที่ GC สามารถใช้สิทธิไถ่ถอนก่อนกำหนดคือเมื่อครบกำหนด 5 ปี 6 เดือน เพื่อเป็นการบริหารตารางการชำระคืนเงินกู้ (Debt Repayment Profile) ณ ขณะนี้ GC อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ ผู้สนใจสามารถติดต่อจองซื้อ หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02-626-7777 ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02-888-8888 กด 869 และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02-165-5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปฯ Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02-111-1111 หรือจองซื้อออนไลน์บนแอปพลิเคชัน Krungthai Next ผ่านระบบ Money Connect by Krungthai ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02-777-6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02-680-4004 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร.1572 บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด โทร. 02-695-5000 บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050 ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 1428 กด #4 (เปิดจองซื้อเฉพาะผู้ลงทุนรายใหญ่เท่านั้น) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-009-8351-56 หมายเหตุ: แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนยังไม่มีผลใช้บังคับ เนื่องจากอยู่ระหว่างยื่นขออนุญาตต่อสำนักงาน ก.ล.ต. การจัดสรรหุ้นกู้ดังกล่าวให้อยู่ในดุลยพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ตามแต่จะเห็นสมควร คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th

หลักทรัพย์บัวหลวง ชวนเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนเกาะดัชนี SET50 ด้วย “หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง ประเภทคุ้มครองเงินต้น” ชูจุดเด่นคุ้มครองเงินต้น 100%

หลักทรัพย์บัวหลวง ชวนเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนเกาะดัชนี SET50 ด้วย “หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง ประเภทคุ้มครองเงินต้น” ชูจุดเด่นคุ้มครองเงินต้น 100%

            หลักทรัพย์บัวหลวง ต่อยอดความมั่งคั่งให้นักลงทุนอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทางการเงินน้องใหม่ “หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง ประเภทคุ้มครองเงินต้น” หรือ Shark Fin Note (SFN) เครื่องมือสร้างผลตอบแทนเกาะกับดัชนี SET50 พร้อมคุ้มครองเงินต้น 100% เมื่อถือจนครบอายุสัญญา โดดเด่นด้วย 3 รูปแบบการลงทุนที่ออกแบบมาตอบโจทย์ทุกสภาวะตลาด             นายบรรณรงค์ พิชญากร กรรมการผู้จัดการอาวุโส กิจการค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้ตอบโจทย์การลงทุนในทุกมิติ โดยในช่วงที่สภาวะตลาดมีความท้าทายและเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแบบ Sideways ทำให้การลงทุนในหุ้นโดยตรงอาจสร้างผลตอบแทนได้ค่อนข้างยาก บริษัทจึงได้ต่อยอดสินทรัพย์ทางเลือกการลงทุน ประเภทหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง (Structured Note) ตราสารที่มีส่วนผสมระหว่างหุ้นกู้กับตราสารอนุพันธ์ ที่มีลักษณะพื้นฐานเหมือนหุ้นกู้ระยะสั้น แต่จ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับราคาหุ้นหรือตัวแปรที่อ้างอิง ทำให้มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงกว่าตราสารหนี้ทั่วไป ด้วยการออกแบบให้มีความหลากหลายครอบคลุมทุกระดับความเสี่ยงมากขึ้น เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถสร้างกระแสเงินสดและเพิ่มพูนความมั่งคั่งได้อย่างไม่สะดุด             ล่าสุดบริษัทเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ออกแบบมาตอบโจทย์เน้นเรื่องความปลอดภัยของเงินต้นพร้อมสร้างโอกาสรับผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากทั่วไป ด้วยบริการ “หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง ประเภทคุ้มครองเงินต้น” หรือ Shark Fin Note (SFN) ที่มีจุดเด่นสามารถสร้างผลตอบแทนเกาะดัชนี SET50 ซึ่งเป็นดัชนีที่ประกอบไปด้วยหุ้นชั้นนำ 50 ตัวของตลาดหลักทรัพย์ไทย โดยมีการคุ้มครองเงินต้นสูงสุด 100% เมื่อถือจนครบอายุสัญญา ซึ่งสามารถเลือกลงทุนได้ผ่าน 3 รูปแบบตามมุมมองการลงทุน ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น 1 ล้านบาท คือ Shark Fin Bull Note ออกแบบมาตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการสร้างผลตอบแทน เมื่อมองว่าดัชนี SET50 มีโอกาสปรับตัวขึ้นอยู่ในกรอบ และต้องการรักษาเงินต้นไปในเวลาเดียวกัน โดยแม้มองตลาดผิดทางแต่หากถือจนครบกำหนด นักลงทุนก็ยังได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวน Shark Fin Bear Note รูปแบบนี้เหมาะกับผู้ที่มีมุมมองว่าตลาดอาจปรับตัวลงอยู่ในกรอบซึ่งสามารถทำผลตอบแทนได้ในสภาวะที่ดัชนี SET50 ติดลบหรือย่อตัวลง ในขณะเดียวกันยังสามารถรักษาเงินต้นไปในตัว แม้ดัชนี SET50 ปรับตัวขึ้นต่างจากคาดการณ์ Twin-Win Shark Fin Note หรือครีบฉลามสองด้าน การลงทุนในรูปแบบนี้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้ทั้งสภาวะที่ดัชนี SET50 ปรับตัวขึ้นอยู่ในกรอบ หรือสามารถทำกำไรได้เมื่อดัชนี SET50 ปรับตัวลงในกรอบ ซึ่งเหมาะกับสภาวะที่ตลาดเคลื่อนไหวไม่ชัดเจนหรือในช่วงที่คาดการณ์ตลาดได้ค่อนข้างยาก             ทั้งนี้ในกรณีที่ระดับดัชนี SET50 ที่ปิดในทุกวันไม่หลุดกรอบ Knock Out (KO) ตลอดอายุสัญญา Shark Fin Note ไม่ว่าจะทั้ง Bull, Bear หรือ Twin-Win ผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับจะตามการเปลี่ยนแปลงของดัชนี SET50 ณ วันกำหนดค่าหลักทรัพย์เทียบกับระดับดัชนี ณ วันเปิดสัญญา เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด ทำให้นักลงทุนมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากหรือตราสารหนี้ หากเป็นไปตามคาดการณ์ ในทางกลับกันหากทิศทางของดัชนี SET50 ไม่ได้เคลื่อนไหวไปตามที่คาดการณ์ไว้หรือลงทุนผิดทาง นักลงทุนก็ไม่ต้องเผชิญกับภาวะการณ์ขาดทุนโดยยังได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวนเมื่อถือจนจนครบกำหนด 6 เดือน หรือ 1 ปี ตามสัญญา อย่างไรก็ดีหากในระหว่างอายุสัญญาระดับราคาปิดของดัชนี SET50 ณ สิ้นวัน ปิดสูงกว่าหรือเท่ากับกรอบราคา Knock Out (KO) ที่กำหนด เมื่อถือจนครบกำหนด นักลงทุนจะได้รับส่วนชดเชยผลตอบแทน (Rebate) ที่ 0.5% ต่อปี พร้อมกับเงินต้นเต็มจำนวน ซึ่งจะทำให้เห็นว่าลักษณะจ่ายผลตอบแทน (Payoff) ของ Shark Fin Note จะเหมือนกับครีบของปลาฉลาม             “ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้นทั่วโลก การกระจายพอร์ตลงทุนเพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น พร้อมคุ้มครองเงินต้นในเวลาเดียวกัน ด้วย Shark Fin Note ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือการลงทุนที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากและการลงทุนในตราสารหนี้อื่น ๆ โดยสามารถออกแบบแต่ละสัญญาให้ตอบโจทย์ในมุมของความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดหวังของนักลงทุนแต่ละท่านได้ รวมถึงสามารถใช้สร้างผลตอบแทนได้ในหลากหลายสภาวะตลาด หรือสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนได้” นายบรรณรงค์ กล่าว             นายบรรณรงค์ กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มผลตอบแทนและสร้างกระแสเงินสดในช่วงที่สถานการณ์ ไม่ค่อยเอื้ออำนวยต่อการลงทุน ด้วย “หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง” จากหลักทรัพย์บัวหลวง สามารถเลือกลงทุนได้หลากหลายประเภทตามระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน  เช่น หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงประเภท หรือ Fixed Coupon Note (FCN) เครื่องมือสร้างผลตอบแทนจากดอกเบี้ยต่อเนื่องตลอดอายุการลงทุนตั้งแต่ 3, 6 หรือ 9 เดือน โดยสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้ประมาณ 7-15% ต่อปี ตามระดับความผันผวนของหุ้นอ้างอิงใน SET50 ซึ่งนักลงทุนสามารถออกแบบสัญญาได้ทั้งในมุมของดอกเบี้ยที่ต้องการ และระดับของความเสี่ยง ผ่านกรอบราคาด้านล่าง หรือ Knock In (KI) ในระหว่างสัญญานักลงทุนจะได้รับกระแสเงินสดเป็นดอกเบี้ยทุก ๆ เดือน หรือเลือกรับดอกเบี้ยทุก ๆ สองสัปดาห์ ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า FCN เป็นเครื่องมือในการสร้างผลตอบแทนต่อเนื่องโดยที่ไม่ต้องเทรดหุ้นเอง สำหรับจุดเด่น “หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง” ของหลักทรัพย์บัวหลวง คือ 1. มั่นใจ บริษัทได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ AA จากทริสเรทติ้ง โดยมีธนาคารกรุงเทพ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 2. มืออาชีพ มีทีมผู้เชี่ยวชาญ และผู้แนะนำการลงทุนให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด 3. ยืนหยุ่น ออกแบบสัญญาได้หลากหลายและสามารถปรับแต่งรูปแบบสัญญาได้เองตามโจทย์ที่นักลงทุนต้องการ 4. สะดวก สามารถซื้อได้ทุกวันทำการ โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม พร้อมติดตามพอร์ตการลงทุนแบบครบวงจร ด้วย itracker monthly report ทั้งนี้สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ผู้แนะนำการลงทุนของท่าน หรือ BLS Customer Service โทร. 0 2618 1111

ภาพรวมตลาดหุ้นกู้ไทย มูลค่าหุ้นกู้เสนอขาย ก.ย. ลดลง 32.85% [HoonVision x FynnCorp]

ภาพรวมตลาดหุ้นกู้ไทย มูลค่าหุ้นกู้เสนอขาย ก.ย. ลดลง 32.85% [HoonVision x FynnCorp]

Key Highlights: • (Figure 1) ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 มูลค่าตราสารหนี้คงค้างเฉพาะที่เป็นตราสารหนี้ระยะยาวภาคเอกชน มีมูลค่าอยู่ที่ 4.35 ล้านล้านบาท ลดลง 0.46% (YoY) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยในปัจจุบันมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดในปี 2567 มูลค่าคงเหลือ 0.21 ล้านล้านบาท จากยอดครบกำหนดของทั้งปีที่ 0.89 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 4.8% ของมูลค่าหุ้นกู้ระยะยาวคงค้างทั้งหมด Figure 1 : Outstanding Value of Long-term Bond with Maturity • ในเดือนกันยายน NWR และ EP ได้ขอเลื่อนชำระหนี้หุ้นกู้ออกไป ส่งผลให้สถานการณ์ภาพรวมตลาดหุ้นกู้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 มีผู้ออกหุ้นกู้ขอเลื่อนชำระรวมอยู่ที่ 12 ราย ขณะที่หุ้นกู้ที่มีการผิดนัดชำระของปีนี้ ยังคงอยู่ที่ 3 ราย (DP: Default Payment) แม้จะมีหุ้นกู้ที่ถูกขึ้นเครื่องหมาย DP เพิ่มในเดือนกันยายนอย่าง WTX แต่บริษัทก็ได้ชำระดอกเบี้ยเป็นที่เรียบร้อยภายในเดือนเดียวกัน • จากสถานการณ์หุ้นกู้ข้างต้น ยิ่งทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น จนส่งผลต่อบริษัทผู้ออกระดมทุนผ่านหุ้นกู้ได้ยากขึ้น โดยเฉพาะผู้เล่นรายใหม่และบริษัทที่ออกหุ้นกู้ในกลุ่ม High-Yield ซึ่งเรามองว่าได้มีส่วนที่ทำให้มูลค่าหุ้นกู้เสนอขายในเดือนกันยายนนี้ลดลง 32.85% YoY • (Figure 2) กลุ่มธุรกิจพลังงาน (ENERG) กลุ่มเงินทุน (FIN) และ กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (PROP) ยังคงเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีหุ้นกู้คงค้างในตลาดปัจจุบันมากที่สุดตามลำดับ โดยกลุ่มธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ มีสัดส่วนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระคงเหลือภายในปีมากที่สุด ด้วยมูลค่า 45.6 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 8.5% ของมูลค่าคงค้างรวมในกลุ่ม ขณะที่รองลงมา เป็นกลุ่มอสังหาฯ ด้วยมูลค่าที่จะครบกำหนดภายในปีเหลือ 39.1 พันล้านบาท หรือ 8% ของมูลค่าคงค้างรวมในกลุ่ม Figure 2 : Outstanding Value of Long-term Bond with Maturity by Sector หุ้นกู้เสนอขายในเดือนกันยายน 2567 •ในเดือนกันยายน 2567 ตราสารหนี้ระยะยาวภาคเอกชนที่ขึ้นทะเบียนกับทาง ThaiBMA จำนวน 37 รุ่น จาก 18 บริษัท มูลค่ารวม 62.89 พันล้านบาท ลดลง 22.61% MoM และลดลง 32.85% YoY เรามองว่าส่วนหนึ่งยังมาจากบริษัทผู้ออกกำลังดูแนวโน้มดอกเบี้ยที่จะมีการประชุมในวันที่ 16 ตุลาคม 67 นี้ •ผู้ออกรายใหญ่ในเดือนกันยายน ได้แก่ GULF และ BJC ซึ่งมีมูลค่าการออกหุ้นกู้รวม 38.0 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 60.42% ของมูลค่าผู้ออกหุ้นกู้รวมในเดือน •หากไม่นับกลุ่มสถาบันการเงิน มูลค่าการระดมทุนจะอยู่ที่ 61.8 พันล้านบาท สะท้อนว่าในเดือนกันยายนบริษัทในกลุ่มสถาบันการเงินมีการออกหุ้นกู้น้อยเมื่อเทียบกับหลายเดือนที่ผ่านมาของปีนี้ •หุ้นกู้ระยะยาวภาคเอกชนที่เสนอขายในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ประกอบด้วย หุ้นกู้ในกลุ่ม Investment grade ทั้งหมด 22 รุ่น (Issue rating) ได้แก่ BJC, GULF, NOBLE, BGRIM, BEM, SJWD, PRIN, UNIQ, KTX •ส่วนหุ้นกู้กลุ่มที่ไม่มีการจัดอันดับเครดิตจำนวน 15 รุ่น (Issue rating) จาก FSX, NUSA, CHAYO, GRAND, RML, DTP, NCH, FPT, PTTC •FSX (FINANSIA X PUBLIC COMPANY LIMITED) เป็นผู้ออกตราสารหนี้ระยะยาวรายใหม่ในเดือนกันยายน • (Table 2) จากตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวที่ขึ้นทะเบียนในเดือนกันยายน เราพบว่าส่วนใหญ่สามารถระดมทุนได้ตามเป้าหมาย ยกเว้น 6 บริษัทจากทั้งหมด 18 บริษัทผู้ออก ส่วนหนึ่งเรามองว่านักลงทุนมีตัวเลือกจากบริษัทผู้ออกหุ้นกู้รายใหญ่ที่มีมูลค่าการระดมทุนสูงและนักลงทุนยังคงมีความระมัดระวังในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง Table 2: Long- Term Corporate Bonds for Sales Registered in September 2024 การปรับอันดับเครดิตองค์กร (Issuer Rating) ในเดือนกันยายน 2567 TRIS Rating เพิ่มอันดับ เครดิตองค์กร 3 แห่ง คือ BCP BSRC และ BBGI ลดอันดับ เครดิตองค์กร 7 แห่ง คือ PSH PS EP AGE SG LALIN และ LH การปรับเพิ่มอันดับเครดิต •BCP (Bangchak Corporation) ถูกปรับเพิ่มอันดับเครดิตจาก A เป็น A+ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต Stable จากการที่บริษัทมีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้นภายหลังการเข้าซื้อกิจการของ บริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) (BSRC) ทำให้บริษัทมี EBITDA เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 6.0-7.0 พันล้านบาทต่อปี รวมถึงกำลังการผลิตของโรงกลั่นและปริมาณการขายผ่านช่องทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น นอกจากนั้น สถานะทางธุรกิจที่ดีขึ้นมาจากการขยายขนาดของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ซึ่งการบูรณาการในแนวดิ่งและการลงทุนที่กระจายตัว ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นต่อความผันผวนของราคา โดยการปรับเพิ่มอันดับของ BCP ได้ส่งผลต่อการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทย่อยอย่าง BSRC จาก A เป็น A+ และ BBGI จาก A- เป็น A การปรับลดอันดับเครดิต PSH (Pruksa Holding) ถูกปรับลดอันดับเครดิตจาก A- เป็น BBB+ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต Stable เนื่องจากผลการดำเนินงานยังคงอ่อนแอกว่าคาดอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความเสี่ยงจากการลงทุนขนาดใหญ่และภาระหนี้ของกลุ่มบริษัทที่เพิ่มขึ้น ท่ามกลางภาวะดอกเบี้ยและหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลต่อการปรับลดของบริษัทย่อยหลักอย่าง PS (Pruksa Real Estate) ในอันดับเดียวกัน EP (Eastern Power Group) ถูกปรับลดจากเดือนก่อนอีกครั้ง จาก BB เป็น BB- ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต Negative เนื่องจากสภาพคล่องที่อ่อนแอ ส่งผลต่อความเสี่ยงที่บริษัทจะไม่สามารถชำระหนี้ที่จะครบกำหนดในระยะอันใกล้ได้ ซึ่งบริษัทได้รับอนุมัติการขยายระยะเวลาไถ่ถอนหุ้นกู้ออกไป 1 ปีเป็นที่เรียบร้อย AGE (Asia Green Energy) ถูกปรับลดจาก BBB- เป็น BB+ แนวโน้มอันดับเครดิตยังคง Negative สะท้อนความสามารถในการทำกำไรลดลงอย่างต่อเนื่อง และความไม่แน่นอนของการเข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัท เอเชีย ไบโอแมส ซึ่งทริสมองว่าการรวมบัญชีงบการเงินของ ABM จะส่งผลให้สถานะการเงินบริษัทด้อยลงได้ SG (S 11 Group) ถูกปรับลดจาก BBB- มาอยู่ที่ BB+ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต Stable สะท้อนผลการดำเนินงานที่อ่อนแอจากการลดลงอย่างรวดเร็วของอัตราผลตอบแทนจากสินเชื่อภายหลังการบังคับใช้เพดานดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ LALIN (Lalin Property) ถูกปรับลดจาก BBB+ เป็น BBB แนวโน้มอันดับเครดิต Stable สะท้อนผลการดำเนินงานอ่อนแอกว่าคาดและภาระหนี้สินที่เพิ่มสูงขึ้น ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยและหนี้ครัวเรือนในระดับสูง ส่งผลต่อกำลังซื้อบ้านที่อ่อนแอลง LH (Land and Houses) ถูกปรับลดจาก A+ เป็น A แนวโน้มอันดับเครดิตยังคง Stable ต่อเนื่อง การปรับลดสะท้อนผลการดำเนินงานที่อ่อนแอกว่าที่คาดและระดับหนี้สินที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สรุปภาพรวมใน 9 เดือนแรก 2567 ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กร 33 แห่ง ขณะที่เพิ่มอันดับเครดิตองค์กร 12 แห่ง หุ้นกู้เสนอขายใหม่ •สำหรับตราสารหนี้ภาคเอกชนที่จะเสนอขายในช่วงกลางเดือนตุลาคม ได้แก่ TSE, TAA, CMC, TBEV, TNL, CIMBT, JMT, WEH, PF และในต้นเดือนพฤศจิกายน ได้แก่ PF, SST, ADVANC (Table 1) เราได้จัดทำตารางที่แสดงค่าเฉลี่ยของอัตราคูปองหุ้นกู้ที่อายุ 2 ปี แยกตามเรทติ้ง (Issue Rating) และอุตสาหกรรมของหุ้นกู้ที่จะเสนอขายดังกล่าว เพื่อเป็นข้อมูลเปรียบเทียบเบื้องต้นให้กับผู้ที่สนใจ อ่านบทวิเคราะห์ฉบับเต็ม คลิก https://app.visible.vc/shared-update/52af336a-9226-4a1c-85f9-1448ca47d4b8 LINE OA FynnCorp  https://lin.ee/wiSLCuK

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

[PR News] “ทรู คอร์ปอเรชั่น” ออกหุ้นกู้ชุดใหม่ ดอกเบี้ย 2.95–4.10%ต่อปี เครดิต “A+”

[PR News] “ทรู คอร์ปอเรชั่น” ออกหุ้นกู้ชุดใหม่ ดอกเบี้ย 2.95–4.10%ต่อปี เครดิต “A+”

          กรุงเทพฯ : 8 ตุลาคม 2567 - บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน ด้วยคะแนน DJSI 2023 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป จำนวน 5 ชุด อายุหุ้นกู้ตั้งแต่ 2 ปี ถึง 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง [2.95 - 4.10]% ต่อปี ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากทริสเรทติ้ง สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นในธุรกิจโทรคมนาคม และธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัล คาดเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 21-22 และ 25 พฤศจิกายน 2567 ผ่าน 7 สถาบันการเงินชั้นนำได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ซีไอเอ็มบี ยูโอบี บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส รวมถึงการขายผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet โดยมีธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้และผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้           นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2567 ของทรู คอร์ปอเรชั่นแสดงถึงความสำเร็จต่อเนื่องจากการควบรวมทรูและดีแทค ด้วยกำไรสุทธิ (หลังหักภาษีและหลังปรับปรุงรายการพิเศษ) 2.4 พันล้านบาท และ EBITDA ที่เติบโตเป็นไตรมาสที่ 6 ติดต่อกัน สะท้อนการเติบโตของรายได้จากธุรกิจหลักและการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ  เรายังมุ่งสู่การเป็นผู้นำโทรคมนาคมและเทคโนโลยีที่ยั่งยืน เน้นการใช้ AI และระบบอัตโนมัติเพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพในองค์กร  นอกจากนี้ การลงทุนในเครือข่าย 5G ที่ครอบคลุม 92% ของประชากร จะช่วยผลักดันการเติบโตของบริษัทและสร้างคุณค่าแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายอย่างยั่งยืน”           บริษัทฯ และหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2567 ซึ่งสะท้อนถึงสถานะผู้นำทางการตลาด (market position) ในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ เสริมทัพด้วยโครงข่ายทั่วประเทศ ชุดคลื่นความถี่ที่ครอบคลุม และชื่อแบรนด์ที่ผู้บริโภคคุ้นเคย  อีกทั้งปัจจัยบวกจากประโยชน์ที่คาดว่า จะเกิดขึ้นจากการควบรวม รวมถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทฯที่คาดว่าน่าจะปรับตัวดีขึ้นในอนาคตอีกด้วย           ทางด้านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้กล่าวเพิ่มเติมว่า “ถือเป็นจังหวะที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสะสมหุ้นกู้ที่มีคุณภาพก่อนที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเริ่มปรับตัวลดลง โดยเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2567 ที่ผ่านมาธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงครั้งแรกในรอบ 4 ปี โดยปรับลดลง 0.50% และส่งสัญญาณที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ สำหรับประเทศไทย แม้ว่าการประชุมเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% แต่ก็มีโอกาสที่ กนง. จะประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯประกาศลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง โดยการประชุมครั้งต่อไปคือวันที่ 16 ตุลาคม 2567 ช่วงเวลานี้จึงเป็นจังหวะที่ดีสำหรับนักลงทุนในการสะสมหุ้นกู้ เพื่อล็อคผลตอบแทนไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะนักลงทุนที่นิยมลงทุนในหุ้นกู้ที่มีคุณภาพสูง และด้วยอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ A+ แนวโน้ม “คงที่” ของทรู น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน”           หุ้นกู้ครั้งนี้จะเสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) โดยมีอายุหุ้นกู้ระหว่าง 2 ปี ถึง 10 ปี เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนทุกกลุ่ม ตอบโจทย์ทั้งนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว วัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้เพื่อชำระคืนหนี้จากการออกตราสารหนี้ โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ และคาดว่าจะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 21-22 และ 25 พฤศจิกายน 2567 สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท ซึ่งบริษัทฯ หวังว่าหุ้นกู้ที่เสนอขายในครั้งนี้จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนหุ้นกู้ทุกชุดที่ผ่านมาของบริษัทฯ โดยหุ้นกู้ทั้ง 5 ชุดที่เสนอขาย มีรายละเอียดดังนี้ หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [2.95 - 3.10]% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.25 - 3.40]% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.65 – 3.80]% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.80 – 3.95]% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 5 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.95 – 4.10]% ต่อปี ซึ่งเฉพาะรุ่นอายุ 10 ปี ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดได้ตั้งแต่หุ้นกู้ครบปีที่ 5 เป็นต้นไป           ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th หรือ สอบถามรายละเอียดที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 7 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02 888 8888 กด 869 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 777 6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 626 7777 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน แอป CIMB Thai Digital Banking ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 285 1555 บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02 680 4004 บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02 165 5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปฯ Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)           สำหรับผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet สามารถศึกษาเพิ่มเติมถึงรายละเอียด ขั้นตอน และวิธีการสมัคร TrueMoney Wallet Application และวิธีการจองซื้อ ได้ที่เว็บไซต์ www.truemoney.com หรือติดต่อขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด โทร. 1240 กด 6

GULF ประสบความสำเร็จอย่างมากในการเสนอขายหุ้นกู้รวม 25,000 ล้านบาท ตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุน

GULF ประสบความสำเร็จอย่างมากในการเสนอขายหุ้นกู้รวม 25,000 ล้านบาท ตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุน

          เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2567 บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้ออกหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิและไม่มีประกัน มูลค่ารวมทั้งสิ้น 25,000 ล้านบาท โดยเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน (Institutional Investors) และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่เป็นจำนวนมาก โดยแสดงความจำนงในการจองหุ้นกู้ของบริษัทฯ มากถึง 1.96 เท่าของจำนวนที่ประสงค์จะเสนอขาย (Oversubscription) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในศักยภาพและความแข็งแกร่งของบริษัทฯ สำหรับหุ้นกู้ที่บริษัทฯ เสนอขายในครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 5 ชุด ได้แก่ หุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.89% ต่อปี มูลค่า 2,500 ล้านบาท หุ้นกู้อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.15% ต่อปี มูลค่า 2,687 ล้านบาท หุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.28% ต่อปี มูลค่า 10,013 ล้านบาท หุ้นกู้อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.53% ต่อปี มูลค่า 4,800 ล้านบาท และ หุ้นกู้อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.76% ต่อปี มูลค่า 5,000 ล้านบาท โดยเฉลี่ยอัตราดอกเบี้ยคงที่เท่ากับ 3.37% และอายุเฉลี่ยหุ้นกู้เท่ากับ 6.08 ปี           ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ในระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” และหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับในระดับ “A” แนวโน้ม “คงที่” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด โดยบริษัทฯ ได้แต่งตั้งให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ในครั้งนี้ ซึ่งได้เปิดจองซื้อหุ้นกู้ระหว่างวันที่ 23-25 กันยายน 2567 และได้ออกหุ้นกู้ในวันที่ 26 กันยายน 2567           นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก แม้ว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นกู้จะยังคงมีความผันผวน ท่ามกลางความกังวลและความระมัดระวังในการลงทุนในหุ้นกู้ของนักลงทุน แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาดจากนักลงทุน โดยยอดจองซื้อเกินกว่าจำนวนที่เสนอขายเกือบ 2 เท่า ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ และการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจของบริษัทฯ โดยการระดมทุนดังกล่าว ส่วนหนึ่งจะนำไปคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดในเดือนกันยายน อีกส่วนหนึ่งนำไปคืนหนี้สินระยะสั้นของบริษัทฯ และส่วนที่เหลือเพื่อรองรับการขยายการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ ต่อไป บริษัทฯ ขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจในหุ้นกู้ของบริษัทฯ และขอขอบคุณผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ร่วมทั้ง 7 สถาบันที่มีบทบาทสำคัญในการจัดจำหน่ายหุ้นกู้จนประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมในครั้งนี้"

[PR News] GC ผนึก 12 สถาบันการเงินเตรียมออกหุ้นกู้

[PR News] GC ผนึก 12 สถาบันการเงินเตรียมออกหุ้นกู้

          เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายทศพร บุณยพิพัฒน์ ผู้จัดการใหญ่ และนางสาวภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC พร้อมกับผู้บริหารสถาบันการเงิน 12 แห่ง เข้าร่วมพิธีแต่งตั้งผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน ไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท หรือ Perpetual Bond           นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ CEO GC ผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล และแกนนำธุรกิจเคมีภัณฑ์ของกลุ่ม ปตท. กล่าวว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างเตรียมการออกและเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน ไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนด และมีสิทธิเลื่อนชำระดอกเบี้ยโดยไม่มีเงื่อนไข (“หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน”) ต่อผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) เพื่อสนับสนุนโครงสร้างทางการเงินของกลุ่มบริษัท GC ให้แข็งแกร่ง เสริมสร้างธุรกิจและต่อยอดการเติบโตของบริษัทในอนาคต           นายณะรงค์ศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เป็นครั้งแรกของ GC ที่ออกและเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน และเป็นการออกหุ้นกู้ประเภทนี้ในประเทศไทยในรอบ 10 ปี ของกลุ่ม ปตท. ซึ่งการออกและเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของการ #ก้าวต่อไปกับการเติบโตที่ยั่งยืนของ GC นอกจากนี้ ยังเป็นการขยายฐานผู้ถือหุ้นกู้รายย่อยของ GC และเพิ่มทางเลือกการลงทุนที่มั่นคงและให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป           หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนที่จะเสนอขายในครั้งนี้ ทาง GC สามารถใช้สิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนดได้เมื่อหุ้นกู้มีอายุครบ 5 ปี 6 เดือน เป็นต้นไป มีกำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ โดยมีอัตราดอกเบี้ยและวันจองซื้อที่แน่นอน โดยทาง GC จะแจ้งให้ทราบต่อไป สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป สามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท ผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 12 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารกสิกรไทย บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส ธนาคารกรุงศรีอยุธยา บริษัทหลักทรัพย์กรุงไทย เอ็กซ์สปริง บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ธนาคารทหารไทยธนชาต และบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) ซึ่งทาง GC มั่นใจว่า หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนของ GC จะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ลงทุน ด้วยพื้นฐานธุรกิจ ความแข็งแกร่งทางการเงินของ GC และความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ของกลุ่ม ปตท. จะเป็นปัจจัยสนับสนุนความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนต่อการตัดสินใจลงทุนในหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนของ GC ในครั้งนี้           การออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนในครั้งนี้ จะเป็นโอกาสของผู้ลงทุนที่จะลงทุนในหุ้นกู้ของ GC ซึ่งเป็นองค์กรต้นแบบความยั่งยืนในระดับสากล โดย GC เป็นบริษัทหนึ่งเดียวในโลกที่ได้รับการจัดอันดับจากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) ในกลุ่ม World Index ให้เป็นที่ 1 ในกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์ ด้วยคะแนนสูงสุด 5 ปีต่อเนื่อง โดย S&P Global ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเป็นองค์กรต้นแบบความยั่งยืนในระดับสากล ด้วยการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงดุลยภาพของสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ (Governance & Economic) (ESG) ตั้งเป้าหมายการขับเคลื่อนธุรกิจยั่งยืนตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ พร้อมมุ่งสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 สอดคล้องกับความตกลงปารีสตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ           ทั้งนี้ อันดับความน่าเชื่อถือของ GC อยู่ที่ระดับ “AA(tha)” แนวโน้ม “มีเสถียรภาพ” เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2567  และอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนที่เสนอขายในครั้งนี้อยู่ที่ระดับ “A+(tha)” จัดอันดับโดยบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2567 นอกจากนี้ GC จะเป็นบริษัทแรกในประเทศไทยที่จะสามารถนำหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนไปนับเป็นส่วนของทุนของบริษัท สำหรับการพิจารณาอันดับความน่าเชื่อถือกับบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลกทั้ง Moody’s Investors Service S&P Global Ratings และ Fitch Ratings Inc. ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันความแข็งแกร่งของ GC ในระดับสากล โดย GC จะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนครั้งนี้เพื่อใช้ชำระคืนหนี้สินสกุลเงินบาทและสกุลเหรียญสหรัฐฯ ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ ผู้สนใจสามารถติดต่อจองซื้อ หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02-626-7777 ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02-888-8888 กด 869 และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02-165-5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปฯ Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02-111-1111 หรือจองซื้อออนไลน์บนแอปพลิเคชัน Krungthai Next ผ่านระบบ Money Connect by Krungthai ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02-777-6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02-680-4004 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร.1572 บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด โทร. 02-695-5000 บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050 ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 1428 กด #4 (เปิดจองซื้อเฉพาะผู้ลงทุนรายใหญ่เท่านั้น) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-009-8351-56 หมายเหตุ: แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนยังไม่มีผลใช้บังคับ เนื่องจากอยู่ระหว่างยื่นขออนุญาตต่อสำนักงาน ก.ล.ต. การจัดสรรหุ้นกู้ดังกล่าวให้อยู่ในดุลยพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ตามแต่จะเห็นสมควร คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

ความแตกต่างของ

ความแตกต่างของ "หุ้น" กับ "หุ้นกู้" | หุ้นวิชั่นxลงทุนบอนด์

          สำหรับคนอยากลงทุนในหุ้น หรือที่บางคนเรียกติดปากกว่า "เล่นหุ้น" แต่ยังไม่ได้เริ่มต้นหรืออยู่ระหว่างศึกษา อาจมีความสับสนและเข้าใจผิดว่า "หุ้น" กับ "หุ้นกู้" เป็นสิ่งเดียวกัน  แต่จริงๆแล้ว ทั้งสองอย่าง แตกต่างกันเลยนะครับ ซึ่งจะแตกต่างกันอย่างไร? มาหาคำตอบไปพร้อมกันกับลงทุนบอนด์ https://www.youtube.com/watch?v=mER2uHTYAdE

เรื่องต้องรู้ ก่อนเลือกลงทุนในหุ้นกู้ |  หุ้นวิชั่นxลงทุนบอนด์

เรื่องต้องรู้ ก่อนเลือกลงทุนในหุ้นกู้ | หุ้นวิชั่นxลงทุนบอนด์

เรื่องต้องรู้ ก่อนเลือกลงทุนในหุ้นกู้ มีอะไรบ้าง และควรวิเคราะห์อย่างไรเพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน? https://www.youtube.com/watch?v=qkRPEDN-rFw

หุ้นกู้ ทางเลือกของคนที่อยากมี Passive Income |  หุ้นวิชั่นxลงทุนบอนด์

หุ้นกู้ ทางเลือกของคนที่อยากมี Passive Income | หุ้นวิชั่นxลงทุนบอนด์

หุ้นกู้สามารถสร้าง Passive Income ได้อย่างไร? มาหาคำตอบด้วยการรับชมวิดีโอนี้ไปด้วยกันกับลงทุนบอนด์ https://youtu.be/27kPl4uxM3k?si=dP7T8qv_WA9C7Ydm

abs

Hoonvision