ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#รถยนต์


ยอดผลิตรถยนต์ ก.พ. 68 วูบ 13% แต่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) พิ่มขึ้น 60.09%

ยอดผลิตรถยนต์ ก.พ. 68 วูบ 13% แต่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) พิ่มขึ้น 60.09%

          นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์  ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยจำนวนการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของประเทศ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ดังต่อไปนี้ การผลิต จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 มีทั้งสิ้น 115,487 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 13.62 เพราะผลิตขายในประเทศลดลงร้อยละ 21.26 โดยเฉพาะรถกระบะที่ยังคงลดลงร้อยละ 42.10 ตามยอดขายรถกระบะที่ลดลง และผลิตส่งออกลดลงร้อยละ 9.48 โดยเฉพาะรถยนต์นั่งลดลงถึงร้อยละ 47.01 ตามยอดส่งออกที่ลดลง จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 222,590 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 19.29 รถยนต์นั่ง เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผลิตได้ 38,563 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 23.55 โดยแบ่งเป็น รถยนต์นั่ง Internal Combustion Engine มีจำนวน 16,379 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 64 รถยนต์นั่ง Battery Electric Vehicle มีจำนวน 2,242 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 69 รถยนต์นั่ง Plug-in Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 2,227 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 65 รถยนต์นั่ง Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 17,715 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ37 ยอดผลิตของรถยนต์นั่ง ตั้งแต่เดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2568 มีจำนวน 74,277 คัน เท่ากับร้อยละ 33.37 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 27.85 โดยแบ่งเป็น รถยนต์นั่ง Internal Combustion Engine มีจำนวน 32,349 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 02 รถยนต์นั่ง Battery Electric Vehicle มีจำนวน 3,907 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ95 รถยนต์นั่ง Plug-in Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 4,392 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 24 รถยนต์นั่ง Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 33,629 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 31 รถยนต์โดยสารขนาดต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตัน ขึ้นไป ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ไม่มีการผลิต รวมเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2568 ไม่มีการผลิต รถยนต์บรรทุก เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผลิตได้ทั้งหมด 76,924 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 7.60 และตั้งแต่เดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 148,313 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 14.19 รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผลิตได้ทั้งหมด 76,017 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 5.28 และตั้งแต่เดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 146,621 คัน เท่ากับร้อยละ 65.87 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 12.22 โดยแบ่งเป็น รถกระบะบรรทุก 29,780 คัน         ลดลงจากเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 43 รถกระบะดับเบิลแค็บ 86,478 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 77 รถกระบะ PPV 30,363 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 02 รถบรรทุกขนาดต่ำกว่า 5 ตัน - มากกว่า 10 ตัน เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผลิตได้  907 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 69.74 รวมเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2568 ผลิตได้ 1,692 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 70.79 ผลิตเพื่อส่งออก เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผลิตได้ 78,535 คัน เท่ากับร้อยละ 68 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 9.48 ส่วนเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ 153,579 คัน เท่ากับร้อยละ 69 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 15.56 รถยนต์นั่ง เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผลิตเพื่อการส่งออก 13,511 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 47.01 และตั้งแต่เดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 27,465 คัน เท่ากับร้อยละ 36.98 ของยอดผลิตรถยนต์นั่ง ลดลงจากเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 48.26 รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนกุมภาพันธ์ 2568 มียอดการผลิตเพื่อการส่งออก 65,024 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 6.14 และตั้งแต่เดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 126,114 คัน เท่ากับร้อยละ 83.92 ของยอดการผลิตรถกระบะ ลดลงจากเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 2.07 โดยแบ่งเป็น รถกระบะบรรทุก 20,321 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 39 รถกระบะดับเบิลแค็บ 79,868 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 79 รถกระบะ PPV 25,925 คัน    เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 54 ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผลิตได้ 36,952 คัน เท่ากับร้อยละ 32 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 21.26 และเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2568 ผลิตได้ 69,011 คัน เท่ากับร้อยละ 31 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 26.52 รถยนต์นั่ง เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 25,052 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 0.43 แต่ตั้งแต่เดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2567 ผลิตได้ 46,812 คัน เท่ากับร้อยละ 63.02 ของยอดการผลิตรถยนต์นั่ง โดยเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2567 ลดลงร้อยละ 6.12 รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนกุมภาพันธ์ 2568 มียอดการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 10,993 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 42.10 และตั้งแต่เดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 20,507 คัน เท่ากับร้อยละ 13.99 ของยอดการผลิตรถกระบะ และลดลงจากเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 46.39 ซึ่งแบ่งเป็น รถกระบะบรรทุก 9,459 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 13 รถกระบะดับเบิลแค็บ 6,610 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 59 รถกระบะ PPV 4,438 คัน  ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ06 รถยนต์โดยสารขนาดต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตัน ขึ้นไป ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ไม่มีการผลิต รวมเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2568 ไม่มีการผลิต รถบรรทุก เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผลิตได้ 907 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 69.74 และตั้งแต่เดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 1,692 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 70.79 รถจักรยานยนต์ เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผลิตรถจักรยานยนต์ได้ทั้งสิ้น 216,632 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 0.40 แยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 169,671 คัน ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 3.47 แต่ชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 46,961 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 17.43 ยอดการผลิตรถจักรยานยนต์เดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 430,703 คัน ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 2.19 โดยแยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 345,527 คัน ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 2.28 และชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 85,176 คัน ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 1.82 ยอดขาย ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนกุมภาพันธ์ 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 49,313 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2568 ร้อยละ 1.20 และลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 6.68  จากการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินกับผู้ซื้อรถกระบะที่ยังคงลดลงร้อยละ 14.9 คงต้องรอยอดจองรถยนต์ในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ โชว์ ที่เริ่มวันที่ 26 มีนาคม ถึงวันที่ 6 เมษายน 2568 ที่สถาบันการเงินอาจปล่อยสินเชื่อรถกระบะมากขึ้น แต่เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2568 ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้แถลงมาตรการช่วยเหลือรถกระบะในโครงการ "รถกระบะพี่ มีคลังค้ำ" โดยให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย)ค้ำประกันสินเชื่อซื้อรถกระบะซึ่งเป็นรถประกอบธุรกิจของประชาชนและเกษตรกรซึ่งถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทย มีวงเงินห้าพันล้านบาทโดยเริ่มรับคำขอตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 ซึ่งอยู่ในช่วงงานบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนลมอเคอร์โชว์ ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2568 เพื่อกระตุ้นยอดขายรถยนต์และส่งเสริมให้ SME ซื้อรถกระบะไปประกอบอาชีพและสร้างรายได้ ขอบคุณรัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงการคลังที่เห็นถึงความเดือนร้อนของผู้ประกอบอาชีพทุกภาคส่วน และเพื่อให้ยอดขายรถยนต์กระบะเพิ่มขึ้น จึงขอให้เร่งแก้กฎหมายให้ครอบคลุมถึงสถาบันสินเชื่อที่ไม่ใช่ธนาคาร และสถาบันสินเชื่อของบริษัทรถยนต์ได้เข้าร่วม “โครงการรถกระบะพี่ มีคลังค้ำ” รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 30,788 คัน เท่ากับร้อยละ 62.43 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 2.37 รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) 11,782 คัน เท่ากับร้อยละ89 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 11.81 รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 7,539 คัน เท่ากับร้อยละ 29 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 59.35 รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) 788 คัน เท่ากับร้อยละ 53 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 209.02 รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) 10,679 คัน เท่ากับร้อยละ66 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 19.04 รถกระบะมีจำนวน 13,184 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 15.13 รถกระบะไฟฟ้า (BEV) มีจำนวน 35 ในปีที่แล้วไม่มียอดจำหน่าย รถ PPV มีจำนวน  2,925 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ  11.47 รถบรรทุก 5 – 10 ตัน มีจำนวน 1,135 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 22.84 และรถประเภทอื่นๆ มีจำนวน 1,246 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว 24.97 ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 147,563 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 5.62 และเพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 2.71 ตั้งแต่เดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2568 รถยนต์มียอดขาย 97,395 คัน ลดลงจากปี 2567 ในระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 9.53 แยกเป็น รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 61,388 คันเท่ากับร้อยละ 63 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 6.85 รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) 23,787 คัน เท่ากับร้อยละ42 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 14.03 รถยนต์นั่งแหละรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 14,558 คัน เท่ากับร้อยละ95 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 0.12 รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) 1,753 คัน เท่ากับร้อยละ80 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 478.55 รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) 21,292 คัน เท่ากับร้อยละ86 ของยอดขายรถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 8.83 รถกระบะมีจำนวน 25,441 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 16.31 รถกระบะไฟฟ้า (BEV) มีจำนวน 39 คัน ปีที่แล้วไม่มียอดจำหน่าย รถ PPV มีจำนวน 6,027 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 5.50 รถบรรทุก 5 – 10 ตัน มีจำนวน 2,117 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 29.78 และรถประเภทอื่นๆ มีจำนวน 2,383 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนช่วงกันในปีที่แล้ว 21.27 ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 303,913 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 2.10 การส่งออก รถยนต์สำเร็จรูป เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ส่งออกได้ 81,323 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้วร้อยละ 30.49 แต่ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 8.34 เพราะจะมีการเปลี่ยนรุ่นรถของรถยนต์นั่งบางรุ่น จึงชะลอการผลิต ทำให้ส่งออกลดลงในตลาดเอเชีย ยุโรป อเมริกาเหนือ อเมริกากลางและอเมริกาใต้ ยังคงต้องติดตามการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ารถยนต์ของสหรัฐอเมริกาในวันที่ 2  เมษายน 2568 ว่าจะมีประเทศไหนบ้าง และบางประเทศคู่ค้าลดคำสั่งซื้อเพื่อรอความชัดเจนในนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา บางประเทศคู่ค้ามีรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกเข้ามามีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้น บางประเทศคู่ค้ามีกฎหมายควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากประเทศขึ้น ประเภทรถยนต์ส่งออกเดือนกุมภาพันธ์ 2568 แบ่งเป็น ดังนี้ รถกระบะ 52,947 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 11 ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 7.34 รถยนต์นั่ง ICE 10,297 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 66 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 47.64 รถยนต์นั่ง HEV 4,942 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 08 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 30.16 รถ PPV 13,137 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 15 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 3.83 มูลค่าการส่งออกรถยนต์ 57,326.37 ล้านบาท ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 5.50 เครื่องยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 2,741.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 58 ชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 10,737.89 ล้านบาท ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 69 อะไหล่รถยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 2,257.92 ล้านบาท ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 84 รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนกุมภาพันธ์ 2568 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า 73,063.43 ล้านบาท ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 10.91 เดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2568 ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 143,644 คัน ลดลงจากช่วงระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 18.12 แบ่งเป็น รถกระบะ ICE 91,438 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 66 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 9.40 รถยนต์นั่ง ICE 23,448 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 32 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 40.69 รถยนต์นั่ง HEV 7,419 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 16 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 38.32 รถ PPV 21,339 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 86 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 7.04 มูลค่าการส่งออกรถยนต์ 98,771.67 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 18.52 โดยมีรายละเอียด ดังนี้ เครื่องยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 5,655.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 76 ชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 25,736.39 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 90 อะไหล่รถยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 4,441.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 29 รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2568 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า 134,605.39 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 16.73 รถจักรยานยนต์ เดือนกุมภาพันธ์ 2568 มีจำนวนส่งออก 77,252 คัน (รวม CBU + CKD) เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2568 ร้อยละ 5.98 แต่ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 8.72 โดยมีมูลค่า 4,646.27 ล้านบาท ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 31.11 ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น16 ล้านบาท ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 36.56 อะไหล่รถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 75 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 33.39 รวมมูลค่าการส่งออกรถจักรยานยนต์ เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ชิ้นส่วนและอะไหล่รถจักรยานยนต์ 5,032.19 ล้านบาท ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 29.69 เดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2568 รถจักรยานยนต์ มีจำนวนส่งออก 150,145 คัน (รวม CBU + CKD) ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 10.36 มีมูลค่า 10,793.77 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 13.66 ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 72 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 28.29 อะไหล่รถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 91 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 35.13 รวมมูลค่าการส่งออกรถจักรยานยนต์เดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2568 ชิ้นส่วนและอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 11,559.40 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 12.97 เดือนกุมภาพันธ์ 2568 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่น ๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 78,095.61 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 12.42 เดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2568 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่นๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 146,164.79 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 16.44 ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท BEV เดือนกุมภาพันธ์ 2568 เดือนกุมภาพันธ์ 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 7,375 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้วร้อยละ 16.42 โดยแบ่งเป็น รถยนต์นั่งและรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 5,161 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 22 รถยนต์นั่งจำนวน 5,091  คัน รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คนจำนวน    66   คัน รถยนต์บริการธุรกิจจำนวน      4   คัน รถกระบะ รถแวนมีทั้งสิ้น 32 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 95 รถยนต์สามล้อรับจ้างมีทั้งสิ้น 2 คัน เท่ากับเดือนกุมภาพันธ์ 2567 รถยนต์รับจ้างสามล้อจำนวน      2   คัน รถจักรยานยนต์มีทั้งสิ้น 2,140 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 28 รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลจำนวน 2,140  คัน รถโดยสารมีทั้งสิ้น 8 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้วร้อยละ 56 รถบรรทุกมีทั้งสิ้น 32 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้วร้อยละ 83 เดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน      22,086 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ปีที่แล้วร้อยละ 0.86 โดยแบ่งเป็น รถยนต์นั่งและรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 17,558 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 06 รถยนต์นั่งจำนวน           17,426 คัน รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คนจำนวน     119 คัน รถยนต์บริการธุรกิจจำนวน        6 คัน รถยนต์บริการทัศนาจรจำนวน        7 คัน รถกระบะ รถแวนมีทั้งสิ้น 64 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 61 รถยนต์สามล้อมีทั้งสิ้น 2 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 50 รถยนต์รับจ้างสามล้อจำนวน        2 คัน รถจักรยานยนต์มีทั้งสิ้น 4,403 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 03 รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลจำนวน   4,402 คัน รถจักรยานยนต์สาธารณะจำนวน        1 คัน รถโดยสารมีทั้งสิ้น 10 คัน ซึ่งลดลงเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ36 รถบรรทุกมีทั้งสิ้น 49 คัน ซึ่งลดลงเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ62 ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท HEV เดือนกุมภาพันธ์ 2568 เดือนกุมภาพันธ์ 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 12,050 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้วร้อยละ 0.49 โดยแบ่งเป็น รถยนต์นั่งและรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 11,997 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 26 รถยนต์นั่งจำนวน          11,978  คัน รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คนจำนวน       4  คัน รถยนต์บริการธุรกิจจำนวน       8   คัน รถยนต์บริการทัศนาจรจำนวน       7  คัน รถจักรยานยนต์มีทั้งสิ้น 53 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 112 รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลจำนวน      53 คัน เดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน  25,595 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ปีที่แล้วร้อยละ 2.06 โดยแบ่งเป็น รถยนต์นั่งและรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 25,464 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 38 รถยนต์นั่งจำนวน           25,431 คัน รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คนจำนวน      5  คัน รถยนต์บริการธุรกิจจำนวน      11  คัน รถยนต์บริการทัศนาจรจำนวน      17 คัน รถจักรยานยนต์มีทั้งสิ้น 131 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ35 รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลจำนวน     131 คัน ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท PHEV เดือนกุมภาพันธ์ 2568 เดือนกุมภาพันธ์ 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (PHEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 1,020 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้วร้อยละ 14.09 โดยแบ่งเป็น รถยนต์นั่งและรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 1,020 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้วร้อยละ 09 รถยนต์นั่งจำนวน      1,020 คัน เดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (PHEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน  2,094 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ปีที่แล้วร้อยละ 14.18 โดยแบ่งเป็น รถยนต์นั่งและรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 2,094 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 18 รถยนต์นั่งจำนวน                 2,091 คัน รถยนต์บริการทัศนาจรจำนวน             3 คัน ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV มีจำนวนทั้งสิ้น 249,335 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 61.88 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้ รถยนต์นั่งและรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 176,747 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 33 รถยนต์นั่งมีจำนวน 173,292 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 02 รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คนมีจำนวน 2,614 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 31 รถยนต์บริการธุรกิจมีจำนวน 89 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 93 รถยนต์บริการทัศนาจรมีจำนวน 171 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 09 รถยนต์บริการให้เช่ามีจำนวน 3 คัน ซึ่งในช่วงเดียวกันไม่มีการจดทะเบียน รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มีจำนวน 578 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ36 รถกระบะและรถแวนมีจำนวน 933 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 128.68 รถยนต์ 3 ล้อมีจำนวนทั้งสิ้น 1,020 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 46 รถยนต์สามล้อส่วนบุคคลมีจำนวน 114 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 71 รถยนต์รับจ้างสามล้อมีจำนวน 906 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 17 รถจักรยานยนต์มีจำนวนทั้งสิ้น 66,890 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 63 รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลมีจำนวน 66,773 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 84 รถจักรยานยนต์สาธารณะมีจำนวน 117 คัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 03 อื่นๆ รถโดยสารมีจำนวนทั้งสิ้น 2,799 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 87 รถบรรทุกมีจำนวนทั้งสิ้น 946 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 37 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV มีจำนวนทั้งสิ้น 494,816 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 33.90 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้ รถยนต์นั่งและรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 485,399 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 68 รถยนต์นั่งมีจำนวน 484,228 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 67 รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารฯ มีจำนวน 501 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 16 รถยนต์บริการธุรกิจ มีจำนวน 84 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ37 รถยนต์บริการทัศนาจร มีจำนวน 233 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ91 รถยนต์บริการให้เช่า มีจำนวน 5 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 150 รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มีจำนวน 348 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 56 รถกระบะและรถแวนมีจำนวน 1 คัน เท่ากับช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 รถจักรยานยนต์มีจำนวนทั้งสิ้น 9,414 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 36 รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลมีจำนวน 9,414 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 36 อื่นๆ รถโดยสารมีจำนวนทั้งสิ้น 2 คัน ซึ่งเท่ากับช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท PHEV ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท PHEV มีจำนวนทั้งสิ้น 65,252 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 16.98 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้ รถยนต์นั่งและรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 65,252 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 98 รถยนต์นั่งมีจำนวน 65,177 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 99 รถยนต์บริการธุรกิจมีจำนวน 43 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 88 รถยนต์บริการทัศนาจรมีจำนวน 21 คัน เท่ากับช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 รถยนต์บริการให้เช่ามีจำนวน 5 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 67 รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มีจำนวน 6 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 50

FCEV รถยนต์พลังไฮโดรเจน ไร้มลพิษ วิ่งไกล เติมไว รถเบา

FCEV รถยนต์พลังไฮโดรเจน ไร้มลพิษ วิ่งไกล เติมไว รถเบา

          หุ้นวิชั่น - กระแสการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ได้รับการขับเคลื่อนอย่างจริงจังจากทั้งภาครัฐและเอกชนในหลายประเทศทั่วโลกได้กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ผู้ผลิตรถยนต์ต่างหันมาเร่งพัฒนายนตรกรรมไร้มลพิษ (ZEV) โดยหนึ่งในแหล่งพลังงานที่น่าจับตา คือ "ยานยนต์ขุมพลังไฮโดรเจน (FCEV)" ซึ่งเจ้าตลาดเดิมในกลุ่มรถยนต์สันดาป (ICE) ถือเป็นผู้นำด้านการวิจัยและพัฒนา อาทิ TOYOTA และ HYUNDAI ต่างมีโมเดลรถยนต์นั่ง FCEV วางขายแล้ว แบรนด์ละ 1 รุ่น ขณะที่ HONDA BMW และ VOLKSWAGEN กำลังอยู่ในช่วงศึกษาและทดลองใช้งาน ไม่เพียงเท่านี้ กลุ่มผู้ผลิตยานยนต์เชิงพาณิชย์อีกหลายรายก็กำลังตื่นตัวกับการต่อยอดพัฒนาเครื่องยนต์ไฮโดรเจนสู่การใช้งานในตลาดรถบรรทุกเช่นกัน1 โดยความเป็นไปได้ที่ยานยนต์ FCEV จะกลายเป็นยนตรกรรมแห่งอนาคตมาจากจุดแข็ง 3 ด้าน คือ  1) ระยะขับขี่เหมาะสมกับการเดินทางและขนส่งระยะไกล เพราะสามารถกักเก็บพลังงานได้มากกว่ารถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) ถึง 250 เท่า 2) ระยะเวลาการเติมเชื้อเพลิงใกล้เคียงกับรถ ICE และ 3) น้ำหนักตัวรถ FCEV เบากว่า BEVทำให้ประหยัดเชื้อเพลิงได้ดีกว่า2           แม้ว่ารถ FCEV จะมีข้อได้เปรียบที่เหนือกว่ายานยนต์ประเภทอื่น ๆ ในหลายด้าน แต่การที่ภาพรวมของอุตสาหกรรมอยู่ในช่วงตั้งไข่ (Early stage) ทำให้ระดับความสนใจและการเปิดรับจากฝั่งผู้บริโภคยังอยู่ในระดับต่ำ โดยยอดขายรถ FCEV ทั่วโลกในปี 2024 คาดว่าจะอยู่ที่เพียง 2 หมื่นคัน3 หรือคิดเป็นเพียง 0.02% ของยอดขายรถทั้งหมด นอกจากนี้ ตลาด FCEV ยังต้องเผชิญกับความท้าทายจากการแข่งขันกับอุตสาหกรรม BEV ซึ่งปัจจุบันได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในวงกว้าง จากตัวเลือกในตลาดที่หลากหลาย ทั้งระดับราคา รูปลักษณ์ และค่ายผู้ผลิต กอปรกับโครงสร้างพื้นฐาน EV ที่มีความพร้อมและครอบคลุมมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเหตุนี้ SCB EIC จึงประเมินว่า อุตสาหกรรม FCEV จะยังไม่สามารถก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในตลาดรถยนต์โลกภายใน 5-10 ปีนี้ เนื่องจากผู้ผลิตยังต้องมุ่งพัฒนาองค์ความรู้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค ควบคู่กับการกระตุ้นให้ภาครัฐและเอกชนหันมาสนใจลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับกระบวนการผลิต ขนส่ง และการกักเก็บไฮโดรเจนและเซลล์เชื้อเพลิง การพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฮโดรเจนของไทย           สำหรับประเทศไทย พัฒนาการของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฮโดรเจนยังอยู่ในระยะเริ่มต้นเช่นเดียวกับตลาดโลกซึ่งเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC ถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญในการศึกษา วิจัย และการเสริมสร้างระบบนิเวศ FCEV โดย EEC ได้ตั้งเป้าหมายระยะสั้นระหว่างปี 2024 - 2026 ในการดึงดูดเงินลงทุนกว่า 400,000 ล้านบาท ให้เกิดขึ้นภายใต้อุตสาหกรรม BCG (Bio-Circular-Green Industry) และคาดว่าพันธมิตรหลักจะมาจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีความล้ำสมัยในการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาด นอกจากนี้ ธุรกิจในประเทศไทยก็ได้ใช้พื้นที่ EEC เป็นศูนย์กลางสำหรับการทดลองเทคโนโลยีไฮโดรเจนในภาคขนส่ง อาทิ โตโยต้า มอเตอร์ ได้นำรถบรรทุกและรถบัส FCEV มาทดลองใช้งานจริงเพื่อศึกษาแนวทางลดต้นทุนโลจิสติกส์ ขณะเดียวกัน ปตท. ก็ได้ริเริ่มจัดตั้งต้นแบบปั๊มไฮโดรเจน เพื่อพัฒนาการออกแบบสถานีบริการเชื้อเพลิงให้มีประสิทธิภาพและครบวงจร ทั้งนี้การผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์ FCEV ของไทยเติบโตได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน จำเป็นต้องมีการเพิ่มความเข้มข้นของแนวนโยบายส่งเสริมพลังงานสะอาดและยานยนต์ไฟฟ้า โดยมุ่งเน้นไปที่พลังงานไฮโดรเจนอย่างเจาะจง อาทิ 1) กำหนดเป้าหมายและวงเงินอุดหนุนการผลิตและใช้งาน FCEV ในประเทศภายใต้แผนส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า 2) บูรณาการไฮโดรเจนเข้ากับแผนพลังงานของประเทศ (PDP) และ 3) สร้างความร่วมมือกับประเทศในกลุ่ม ASEAN ในการริเริ่มตลาดไฮโดรเจนระดับภูมิภาคและร่วมกันพัฒนาระบบนิเวศ FCEV อนึ่ง การปรับเปลี่ยนนโยบายเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความชัดเจนในการสนับสนุนเชิงโครงสร้างพื้นฐานและเชิงกลยุทธ์ ซึ่งจะส่งเสริมให้ภาคธุรกิจและประชาชนเกิดความตื่นตัวมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยคงบทบาทในฐานะหนึ่งในประเทศผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของโลกไว้ได้ต่อไป ท่ามกลางนวัตกรรมยานยนต์ในอนาคตซึ่งจะมีความก้าวหน้าและหลากหลายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบสันดาป ไฮบริด ไฟฟ้าล้วน หรือพลังงานไฮโดรเจน 1 ผู้ผลิตยานยนต์เชิงพาณิชย์ที่เริ่มพัฒนา FCEV ในกลุ่มรถบรรทุก อาทิ TOYOTA, HYUNDAI, Daimler Trucks และ General Motors เป็นต้น 2 อ้างอิงขอมูลจาก EV and FCEV market analyses (BNEF) และ FCEV development and hydrogen costs (IEA) 3 อ้างอิงข้อมูลประมาณการจาก SNE Research และ S&P Global ณ ม.ค. 2025 ที่มา SCB EIC

เรื่องควรรู้! ก่อนออกรถยนต์มือสอง

เรื่องควรรู้! ก่อนออกรถยนต์มือสอง

          หุ้นวิชั่น - อยากมีรถ แต่งบไม่พอถอยป้ายแดง! รถยนต์มือสองก็ตอบโจทย์ได้ เพราะมีข้อดีอยู่หลายเรื่อง ทั้งราคาเข้าถึงได้ง่าย และมีตัวเลือกหลากหลายให้เลือกได้ตามช่วงราคาที่ผู้ซื้อต้องการ เพียงแต่การซื้อรถมือสองต้องศึกษารายละเอียดข้อมูลให้ถี่ถ้วนเพื่อให้ได้รถยนต์ที่มีคุณภาพในราคาที่คุ้มค่า วันนี้ fintips by ttb (Backlink: https://www.ttbbank.com/link/fintips-pr) จะมาแนะนำเรื่องการเตรียมเอกสารและค่าใช้จ่ายให้พร้อมก่อนการออกรถมือสอง          เอกสารที่ใช้ในการออกรถมือสองมีดังนี้ ·      สำเนาบัตรประชาชนของผู้ซื้อ ·      สำเนาทะเบียนบ้านของผู้ซื้อ ·      เอกสารยืนยันการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ ·      สำเนาทะเบียนรถยนต์เดิม ·      หนังสือสัญญาซื้อขาย             ขั้นตอนการซื้อรถมือสอง ·      ตรวจสอบทะเบียนรถก่อนซื้อ : เช็กประวัติรถ ภาระผูกพัน และความถูกต้องของเอกสาร เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต ·    ตรวจสอบสภาพรถอย่างละเอียด : นี่เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพราะจะช่วยให้ประเมินสภาพรถได้อย่างแม่นยำ และหลีกเลี่ยงการโดนหลอกขายรถมือสองที่อาจมีปัญหาแอบแฝง ·      ตกลงราคาและรูปแบบการชำระเงิน : เจรจาต่อรองราคาและเลือกวิธีการชำระเงินที่เหมาะสมกับเรา ·      ยื่นขอสินเชื่อ (กรณีผ่อนชำระ) : หากต้องการใช้บริการสินเชื่อ ให้เตรียมเอกสารให้พร้อม และยื่นขอกับสถาบันการเงินที่เลือก ·      ทำสัญญาซื้อขายและโอนกรรมสิทธิ์ : ตรวจสอบเงื่อนไขในสัญญาอย่างละเอียดก่อนลงนาม ·      ชำระเงินและรับรถ : เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ทำการชำระเงินตามที่ตกลงและรับมอบรถ           ค่าใช้จ่ายออกรถมือสองแบบเงินสด สำหรับคนที่มีเงินพร้อม และต้องการซื้อรถมือสองแบบเงินสด มาดูค่าใช้จ่ายการออกรถมือสองที่ต้องเตรียมกัน ·      ค่าโอนรถยนต์มือสอง (ค่าโอนกรรมสิทธิ์) ค่าโอนรถยนต์มือสองเป็นค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายให้กรมการขนส่งทางบกเพื่อโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ ซึ่งคิดตามอายุรถและขนาดเครื่องยนต์ โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 2-4%ของราคาประเมินรถยนต์ ·      ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% โดยหากเราออกรถมือสองจากเต็นท์รถจะต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม7% ของราคารถ แต่หากซื้อจากบุคคลทั่วไป จะไม่ต้องเสียภาษีส่วนนี้ ·      ค่าภาษีรถยนต์, พ.ร.บ. รถยนต์ และประกันรถยนต์ ค่าใช้จ่ายในการต่อภาษีรถยนต์และพ.ร.บ. เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเสมอ เพื่อคุ้มครองความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น เช่น -              ภาษีรถยนต์ประจำปี ขึ้นอยู่กับขนาดเครื่องยนต์และอายุรถ -              พ.ร.บ. รถยนต์ ประมาณ 600-1,000 บาทต่อปี -              ประกันภัยรถยนต์ ราคาแตกต่างกันตามประเภทและความคุ้มครอง             ค่าใช้จ่ายออกรถมือสองผ่านไฟแนนซ์ หรือขอสินเชื่อ สำหรับคนที่เลือกออกรถมือสองผ่านไฟแนนซ์ จะมีค่าใช้จ่ายในการโอนรถยนต์มือสองเพิ่มเติมดังนี้ ·    ค่าจองรถ (ในระหว่างที่ตรวจสอบเครดิต) การออกรถมือสองจะมีค่าจองรถ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายแรกที่ต้องชำระเมื่อเราตกลงใจซื้อรถยนต์ เพื่อให้เต็นท์รถหรือผู้ขายรักษารถไว้ให้เราในระหว่างที่ทำการตรวจสอบเครดิต โดยมักเป็นจำนวนเงินที่ไม่มาก ประมาณ 5,000-10,000 บาท ·      เงินดาวน์รถ ดาวน์รถยนต์มือสองโดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 10-25% ของราคารถ ซึ่งข้อดีการวางเงินดาวน์ออกรถสูง คือ ยิ่งดาวน์มาก ยอดจัดไฟแนนซ์ก็จะน้อยลง ส่งผลให้ค่างวดต่ำลงด้วย ทำให้มีภาระทางการเงินน้อยลงในระยะยาว ·      ค่าดำเนินการของไฟแนนซ์ ค่าใช้จ่ายในการโอนรถยนต์มือสอง จะมีค่าธรรมเนียมที่อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละสถาบันการเงิน โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 1-2% ของวงเงินสินเชื่อ ซึ่งค่าดำเนินการนี้จะครอบคลุมถึงค่าตรวจสอบประวัติเครดิต, ค่าประเมินราคารถยนต์, ค่าดำเนินการเอกสารสัญญา และ ค่าบริการจัดทำประกันภัยรถยนต์ (ถ้ามี) บางสถาบันการเงินอาจเรียกเก็บแบบเหมาจ่าย หรือคิดตามอัตราที่กำหนด ดังนั้น ควรสอบถามรายละเอียดค่าธรรมเนียมก่อนตัดสินใจเลือกใช้บริการสินเชื่อ เพื่อเปรียบเทียบและวางแผนค่าใช้จ่ายได้อย่างเหมาะสม ·      ค่าภาษีรถยนต์, พ.ร.บ. รถยนต์ และประกันรถยนต์ เจ้าของรถจะต้องเสียภาษีรถยนต์ รวมถึงต่อทั้งพรบ. หรือประกันภัยรถยนต์ เป็นประจำทุกปี ค่าประกันรถยนต์เป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายในการโอนรถยนต์มือสองที่ไม่ควรมองข้าม เพราะประกันรถยนต์จะคุ้มครองเราจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้น เช่น อุบัติเหตุ การโจรกรรม หรือความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายที่อาจต้องแบกรับในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น สำหรับการออกรถมือสอง การเลือกประกันรถยนต์ที่เหมาะสมจะต้องคำนึงถึงอายุของรถ สภาพการใช้งาน และความคุ้มครองที่ต้องการ โดยปกติแล้วประกันรถยนต์ชั้น 1 จะให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายต่อรถยนต์ของเราหรือรถของคู่กรณี รวมถึงการคุ้มครองการสูญหายและไฟไหม้ หากรถมือสองของเรามีอายุการใช้งานที่มากขึ้น ประกันชั้น 2 หรือชั้น 3 อาจเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและเหมาะสมกับงบประมาณมากกว่า ·      ค่าดอกเบี้ยจากสินเชื่อและภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละสถาบันการเงิน และปัจจัยอื่น ๆ เช่น อายุรถ ระยะเวลาผ่อน และประวัติเครดิตของผู้กู้ โดยทั่วไป เช่น -                       อัตราดอกเบี้ยสำหรับรถยนต์มือสองมักสูงกว่ารถใหม่เล็กน้อย -                       ระยะเวลาผ่อนที่นานขึ้นอาจส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น -                       ประวัติเครดิตที่ดีอาจช่วยให้ได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า ปัจจุบันรถมือสองส่วนใหญ่ยังอยู่ในสภาพดี หากรู้แหล่งหรือวิธีเช็กสภาพรถก็สามารถจะได้รถมือสองที่สภาพเหมือนใหม่ หรือมีการใช้งานเพียงเล็กน้อยมาใช้งานต่อได้ด้วย ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดก่อนตัดสินใจซื้อรถมือสองก็คือ การศึกษาข้อมูล เลือกแหล่งซื้อรถมือสองที่ได้มาตรฐาน และตรวจสภาพรถก่อนตัดสินใจซื้ออย่างละเอียด หากใครที่กำลังมองหาสินเชื่อเพื่อซื้อรถมือสอง สินเชื่อรถยนต์ ttb DRIVE มีบริการสินเชื่อรถยนต์ใช้แล้ว ที่มีบริการจัดไฟแนนซ์ให้ถึงที่ รู้ผลอนุมัติเบื้องต้นไวภายใน 30 นาที พร้อมวงเงินที่ครอบคลุมราคารถยนต์ใช้แล้วที่ต้องการสูงสุด 100% จากราคาประเมินของธนาคาร นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกระยะเวลาการผ่อนชำระได้สูงสุดถึง 84 เดือน ผ่อนได้สบายตามใจต้องการ

สถิติยานยนต์ไฟฟ้า เดือนสิงหาคม 2567 ผลิตรถยนต์ 119,680 คัน ลดลงร้อยละ 20.56

สถิติยานยนต์ไฟฟ้า เดือนสิงหาคม 2567 ผลิตรถยนต์ 119,680 คัน ลดลงร้อยละ 20.56

เดือนสิงหาคม 2567 ผลิตรถยนต์ 119,680 คัน ลดลงร้อยละ 20.56 ขาย 45,190 คัน ลดลงร้อยละ 24.98 ส่งออก 86,066 คัน ลดลงร้อยละ 1.70 ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 352 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 17,500 ขายรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) 7,302 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.44          หุ้นวิชั่น - นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์  ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์  สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยจำนวนการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของประเทศ ในเดือนสิงหาคม 2567 ดังต่อไปนี้ การผลิต           จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนสิงหาคม 2567 มีทั้งสิ้น 119,680 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 20.56 เพราะผลิตเพื่อขายในประเทศและผลิตเพื่อส่งออกลดลงร้อยละ 40.49 และ 6.62 ตามลำดับจากการผลิตรถกระบะลดลง และลดลงจากเดือนกรกฎาคม 2567 ร้อยละ 4.12           จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม - สิงหาคม 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,005,749 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม - สิงหาคม 2566 ร้อยละ 17.69 รถยนต์นั่ง เดือนสิงหาคม 2567 ผลิตได้ 46,765 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 8.84 โดยแบ่งเป็น รถยนต์นั่ง Internal Combustion Engine มีจำนวน 31,909 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 26 รถยนต์นั่ง Battery Electric Vehicle มีจำนวน 352 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 17,500 รถยนต์นั่ง Plug-in Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 452 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 57 รถยนต์นั่ง Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 14,052 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 18           ยอดผลิตของรถยนต์นั่ง ตั้งแต่เดือนมกราคม - สิงหาคม 2567 มีจำนวน 376,034 คัน เท่ากับร้อยละ 37.39 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม - สิงหาคม 2566 ร้อยละ 11.09 โดยแบ่งเป็น รถยนต์นั่ง Internal Combustion Engine มีจำนวน 241,480 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม - สิงหาคม 2566 ร้อยละ 90 รถยนต์นั่ง Battery Electric Vehicle มีจำนวน 5,857 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม - สิงหาคม 2566 ร้อยละ 3,43 รถยนต์นั่ง Plug-in Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 4,013 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม - สิงหาคม 2566 ร้อยละ 84 รถยนต์นั่ง Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 124,684 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม - สิงหาคม 2566 ร้อยละ 94           รถยนต์โดยสารขนาดต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตัน ขึ้นไป ในเดือนสิงหาคม 2567 ไม่มีการผลิต รวมเดือนมกราคม - สิงหาคม 2567 ผลิตได้ 10 คัน ลดลงจากปีที่แล้วร้อยละ 89.36           รถยนต์บรรทุก เดือนสิงหาคม 2567 ผลิตได้ทั้งหมด 72,915 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 26.60 และตั้งแต่เดือนมกราคม - สิงหาคม 2567 ผลิตได้ทั้งสิ้น 629,705 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – สิงหาคม 2566 ร้อยละ 21.17           รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนสิงหาคม 2567 ผลิตได้ทั้งหมด 71,973 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 24.67 และตั้งแต่เดือนมกราคม - สิงหาคม 2567 ผลิตได้ทั้งสิ้น 616,549 คัน เท่ากับร้อยละ 61.30 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม – สิงหาคม 2566 ร้อยละ 20.51 โดยแบ่งเป็น รถกระบะบรรทุก 97,885 คัน             ลดลงจากเดือนมกราคม - สิงหาคม 2566 ร้อยละ 91 รถกระบะดับเบิลแค็บ 409,451 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม - สิงหาคม 2566 ร้อยละ 49 รถกระบะ PPV 109,213 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม - สิงหาคม 2566 ร้อยละ 31           รถบรรทุกขนาดต่ำกว่า 5 ตัน - มากกว่า 10 ตัน เดือนสิงหาคม 2567 ผลิตได้ 942 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 75.26 รวมเดือนมกราคม - สิงหาคม 2567 ผลิตได้ 13,156 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม - สิงหาคม 2566 ร้อยละ 43.28 ผลิตเพื่อส่งออก           เดือนสิงหาคม 2567 ผลิตได้ 82,788 คัน เท่ากับร้อยละ 69.17 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 6.62 ส่วนเดือนมกราคม - สิงหาคม 2567 ผลิตเพื่อส่งออกได้ 686,509 คัน เท่ากับร้อยละ 68.26 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากปี 2566 ระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 2.74           รถยนต์นั่ง เดือนสิงหาคม 2567 ผลิตเพื่อการส่งออก 23,923 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 13.59 และตั้งแต่เดือนมกราคม - สิงหาคม 2567 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 201,389 คัน เท่ากับร้อยละ 53.56 ของยอดผลิตรถยนต์นั่ง ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม - สิงหาคม 2566 ร้อยละ 4.86           รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนสิงหาคม 2567 มียอดการผลิตเพื่อการส่งออก 58,865 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 12.92 และตั้งแต่เดือนมกราคม - สิงหาคม 2567 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 485,120 คัน เท่ากับร้อยละ 78.68 ของยอดการผลิตรถกระบะ ลดลงจากเดือนมกราคม - สิงหาคม 2566 ร้อยละ 5.58 โดยแบ่งเป็น รถกระบะบรรทุก 39,463 คัน             ลดลงจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2566 ร้อยละ 15 รถกระบะดับเบิลแค็บ 358,686 คัน  ลดลงจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2566 ร้อยละ 42 รถกระบะ PPV 86,971 คัน                เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2566 ร้อยละ 29 ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ           เดือนสิงหาคม 2567 ผลิตได้ 36,892 คัน เท่ากับร้อยละ 30.83 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 40.49 และเดือนมกราคม - สิงหาคม 2567 ผลิตได้ 319,240 คัน เท่ากับร้อยละ 31.74 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม – สิงหาคม 2566 ร้อยละ 38.13           รถยนต์นั่ง เดือนสิงหาคม 2567 ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 22,842 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 24.46 แต่ตั้งแต่เดือนมกราคม - สิงหาคม 2566 ผลิตได้ 174,645 คัน เท่ากับร้อยละ 46.44 ของยอดการผลิตรถยนต์นั่ง โดยเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมกราคม - สิงหาคม 2566 ลดลงร้อยละ 24.35           รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนสิงหาคม 2567 มียอดการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 13,108 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 53.08 และตั้งแต่เดือนมกราคม - สิงหาคม 2567 ผลิตได้ทั้งสิ้น 131,429 คัน เท่ากับร้อยละ 21.32 ของยอดการผลิตรถกระบะ และลดลงจากเดือนมกราคม - สิงหาคม 2566 ร้อยละ 49.81 ซึ่งแบ่งเป็น รถกระบะบรรทุก 58,422 คัน                     ลดลงจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2566 ร้อยละ 79 รถกระบะดับเบิลแค็บ 50,765 คัน              ลดลงจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2566 ร้อยละ 57 รถกระบะ PPV 22,242 คัน                        ลดลงจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2566 ร้อยละ 67           รถยนต์โดยสารขนาดต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตัน ขึ้นไป ในเดือนสิงหาคม 2567 ไม่มีการผลิต รวมเดือนมกราคม - สิงหาคม 2567 ผลิตได้ 10 คัน ลดลงจากปีที่แล้วร้อยละ 89.36           รถบรรทุก เดือนสิงหาคม 2567 ผลิตได้ 942 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 75.26 และตั้งแต่เดือนมกราคม - สิงหาคม 2567 ผลิตได้ทั้งสิ้น 13,156 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม - สิงหาคม 2566 ร้อยละ 43.28 รถจักรยานยนต์           เดือนสิงหาคม 2567 ผลิตรถจักรยานยนต์ได้ทั้งสิ้น 172,064 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 7.95 แยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 144,244 คัน ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 15.78 แต่ชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 27,820 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 77.65           ยอดการผลิตรถจักรยานยนต์เดือนมกราคม – สิงหาคม 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,548,433 คัน ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 8.29 โดยแยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 1,289,764 คัน ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 12.20 แต่ชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 258,669 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 17.90 ยอดขาย           ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนสิงหาคม 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 45,190 คัน ลดลงจากเดือนกรกฎาคม 2567 ร้อยละ 2.60 และลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 24.98 เพราะสถาบันการเงินเข้มงวดในการให้สินเชื่อจากหนี้ครัวเรือนสูงโดยหนี้เสีย (NPL) รถยนต์ ณ ไตรมาสสองของปีนี้ สูงถึง 254,484 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.7 จากไตรมาสสองปีที่แล้วและเศรษฐกิจในประเทศที่เติบโตในอัตราต่ำที่ร้อยละ 2.3 ในไตรมาสสองของปีนี้ คาดว่าไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะดีขึ้นจากรัฐบาลใหม่ที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยเป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งมีนโยบายหลายข้อที่จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น เช่น การแจกเงินหนี่งหมื่นบาทเป็นเงินสดซึ่งจำนวนเงินกว่าหนึ่งแสนล้านบาท การแก้ใขหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ เป็นต้น รวมทั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ก็ทันใช้ตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้ด้วย และดัชนี ตลาดหลักทรัพย์ก็เพิ่มขึ้น ธนาคารกลางสหรัฐลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงถึง 0.50 และอาจจะลดอีกครั้งในปีนี้           รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 27,754 คัน เท่ากับร้อยละ 61.42 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 13.02 รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) 11,748 คัน เท่ากับร้อยละ 26 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 31 รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 7,302 คัน เท่ากับร้อยละ 16 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 20.44 รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) 93 คัน เท่ากับร้อยละ 21 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 29.01 รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) 8,611 คัน เท่ากับร้อยละ06 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 35.46           รถกระบะมีจำนวน 12,303 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 37.10 รถ PPV มีจำนวน 2,667 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 47.30 รถบรรทุก 5 – 10 ตัน มีจำนวน 1,252 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 47.35 และรถประเภทอื่นๆ มีจำนวน 1,214 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว 8.38           ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 131,736 คัน ลดลงจากเดือนกรกฎาคม 2566 ร้อยละ 6.94 และลดลงจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 17.73           ตั้งแต่เดือนมกราคม - สิงหาคม 2567 รถยนต์มียอดขาย 399,611 คัน ลดลงจากปี 2566 ในระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 23.85 แยกเป็น           รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 239,971 คันเท่ากับร้อยละ 60.05 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 9.12 รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) 106,245 คัน เท่ากับร้อยละ59 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 36.91 รถยนต์นั่งแหละรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 47,645 คัน เท่ากับร้อยละ92 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 13.86 รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) 1,456 คัน เท่ากับร้อยละ36 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 8.14 รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) 84,625 คัน เท่ากับร้อยละ18 ของยอดขายรถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 62.06           รถกระบะมีจำนวน 115,051 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 39.30 รถ PPV มีจำนวน    24,481 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 43.07 รถบรรทุก 5 – 10 ตัน มีจำนวน 10,909 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 38.71 และรถประเภทอื่นๆ มีจำนวน 9,199 คัน ลดลงจากเดือนช่วงกันในปีที่แล้ว   11.45           ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 1,163,827 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – สิงหาคม 2566 ร้อยละ 10.81 แบ่งเป็นรถจักรยานยนต์ ICE จำนวน 1,163,627 คัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันร้อยละ 10.75 รถจักรยานยนต์ BEV จำนวน 200 คัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันร้อยละ 9.09 การส่งออก รถยนต์สำเร็จรูป           เดือนสิงหาคม 2567 ส่งออกได้ 86,066 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้วร้อยละ 3.04 แต่ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 1.70 จากปัญหาเรื่องพื้นที่ในเดือนในเรือไม่เพียงพอและล่าช้าจากสงครามอิสราเอลกับฮามาสและปัญหาสิ่งสกปรกในท่าเรือที่ติดในรถกระบะที่เตรียมขับขึ้นเรือ จึงผลิตรถกระบะเพื่อส่งออกลดลงร้อยละ 12.92 และส่งออกลดลงในตลาดออสเตรเลีย แอฟริกา ยุโรป แบ่งเป็น รถกระบะ 48,201 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 56 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 07 รถยนต์นั่ง ICE 22,677 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 35 ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 16.11 รถยนต์นั่ง HEV 3,516 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 09 ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 351.93 รถ PPV 11,672 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 56 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 4.66           มูลค่าการส่งออกรถยนต์ 60,334.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 0.20 เครื่องยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 3,467.66 ล้านบาท ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 62 ชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 16,765.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 69 อะไหล่รถยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 2,333.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 07           รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนสิงหาคม 2567 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า 82,901.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 0.71           เดือนมกราคม – สิงหาคม 2567 ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 688,633 คัน ลดลงจากช่วงระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 4.94 แบ่งเป็น รถกระบะ ICE 394,046 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 23 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 8.76 รถยนต์นั่ง ICE 169,126 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 55 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 18.34 รถยนต์นั่ง HEV 34,712 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 04 ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 472.71 รถ PPV 90,749 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 18 ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 14.37           มูลค่าการส่งออกรถยนต์ 480,206.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – สิงหาคม 2566 ร้อยละ 5.08 โดยมีรายละเอียด ดังนี้ เครื่องยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 23,447.72 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม – สิงหาคม 2566 ร้อยละ 51 ชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 128,985.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – สิงหาคม 2566 ร้อยละ 07 อะไหล่รถยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 17,442.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – สิงหาคม 2566 ร้อยละ 52           รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนมกราคม – สิงหาคม 2567 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า 650,082.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – สิงหาคม 2566 ร้อยละ 5.21   รถจักรยานยนต์           เดือนสิงหาคม 2567 มีจำนวนส่งออก 58,468 คัน (รวม CBU + CKD) ลดลงจากเดือนกรกฎาคม 2567 ร้อยละ 0.49 แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 19.91 โดยมีมูลค่า 4,329.64 ล้านบาท ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 4.65 ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น76 ล้านบาท ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 3.92 อะไหล่รถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 27 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 29.53           รวมมูลค่าการส่งออกรถจักรยานยนต์ เดือนสิงหาคม 2567 ชิ้นส่วนและอะไหล่รถจักรยานยนต์ 4,809.68 ล้านบาท ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 3.23           เดือนมกราคม – สิงหาคม 2567 รถจักรยานยนต์ มีจำนวนส่งออก 531,543 คัน (รวม CBU + CKD) ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 1.68 มีมูลค่า 41,684.24 ล้านบาท ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 9.56 ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 1,670.47 ล้านบาท ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 61 อะไหล่รถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 1,272.10 ล้านบาท ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ61           รวมมูลค่าการส่งออกรถจักรยานยนต์เดือนมกราคม – สิงหาคม 2567 ชิ้นส่วนและอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 44,626.81 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม – สิงหาคม 2566 ร้อยละ 10.03           เดือนสิงหาคม 2567 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่น ๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 87,711.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ0.48           เดือนมกราคม – สิงหาคม 2567 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่นๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 694,708.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 4.08 ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท BEV เดือนสิงหาคม 2567           เดือนสิงหาคม 2567 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 8,804 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคมปีที่แล้วร้อยละ 3 โดยแบ่งเป็น รถยนต์นั่งและรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 6,376 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 67 รถยนต์นั่งจำนวน 6,211    คัน รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คนจำนวน  162     คัน รถยนต์บริการทัศนาจรจำนวน      3     คัน รถกระบะ รถแวนมีทั้งสิ้น 233 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 96 รถยนต์สามล้อรับจ้างมีทั้งสิ้น 48 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 100 รถยนต์สามล้อส่วนบุคคลจำนวน      9     คัน รถยนต์รับจ้างสามล้อจำนวน    39     คัน รถจักรยานยนต์มีทั้งสิ้น 2,091 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 07 รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลจำนวน 2,090    คัน รถจักรยานยนต์สาธารณะจำนวน       1    คัน รถโดยสารมีทั้งสิ้น 13 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 44 รถบรรทุกมีทั้งสิ้น 43 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคมปีที่แล้วร้อยละ 32           เดือนมกราคม - สิงหาคม 2567 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน      69,047 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม - สิงหาคมปีที่แล้วร้อยละ 17.34 โดยแบ่งเป็น รถยนต์นั่งและรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 49,642 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม - สิงหาคม 2566 ร้อยละ 52 รถยนต์นั่งจำนวน             48,204  คัน รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คนจำนวน  1,370 คัน รถยนต์บริการธุรกิจจำนวน        8   คัน รถยนต์บริการทัศนาจรจำนวน      57   คัน รถยนต์บริการให้เช่าจำนวน        3 คัน รถกระบะ รถแวนมีทั้งสิ้น 491 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม - สิงหาคม 2566 ร้อยละ 56 รถยนต์สามล้อมีทั้งสิ้น 135 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม - สิงหาคม 2566 ร้อยละ 80 รถยนต์สามล้อส่วนบุคคลจำนวน      32   คัน รถยนต์รับจ้างสามล้อจำนวน     103  คัน รถจักรยานยนต์มีทั้งสิ้น 18,237 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม - สิงหาคม 2566 ร้อยละ 35 รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลจำนวน 18,129  คัน รถจักรยานยนต์สาธารณะจำนวน 108 คัน รถโดยสารมีทั้งสิ้น 237 คัน ซึ่งลดลงเดือนมกราคม - สิงหาคม 2566 ร้อยละ12 รถบรรทุกมีทั้งสิ้น 305 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นเดือนมกราคม - สิงหาคม 2566 ร้อยละ90 ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท HEV เดือนสิงหาคม 2567           เดือนสิงหาคม 2567 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 11,000 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคมปีที่แล้วร้อยละ 54.80 โดยแบ่งเป็น รถยนต์นั่งและรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 10,932 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 31 รถยนต์นั่งจำนวน          10,917    คัน รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คนจำนวน       6    คัน รถยนต์บริการธุรกิจจำนวน       2    คัน รถยนต์บริการทัศนาจรจำนวน       7    คัน รถจักรยานยนต์มีทั้งสิ้น 68 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 49 รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลจำนวน      68   คัน           เดือนมกราคม - สิงหาคม 2567 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน  94,794 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม - สิงหาคมปีที่แล้วร้อยละ 60.14 โดยแบ่งเป็น รถยนต์นั่งและรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 94,406 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – สิงหาคม 2566 ร้อยละ 67 รถยนต์นั่งจำนวน 94,317  คัน รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คนจำนวน      23  คัน รถยนต์บริการธุรกิจจำนวน      17  คัน รถยนต์บริการทัศนาจรจำนวน      46   คัน รถยนต์บริการให้เช่าจำนวน       3    คัน รถจักรยานยนต์มีทั้งสิ้น 388 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – สิงหาคม 2566 ร้อยละ21 รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลจำนวน     388  คัน ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท PHEV เดือนสิงหาคม 2567           เดือนสิงหาคม 2567 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (PHEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 854 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคมปีที่แล้วร้อยละ 32.70 โดยแบ่งเป็น รถยนต์นั่งและรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 854 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 70 รถยนต์นั่งจำนวน      854 คัน           เดือนมกราคม - สิงหาคม 2567 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (PHEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน  6,576 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม - สิงหาคมปีที่แล้วร้อยละ 22.80 โดยแบ่งเป็น รถยนต์นั่งและรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 6,576 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – สิงหาคม 2566 ร้อยละ 80 รถยนต์นั่งจำนวน                        6,569  คัน รถยนต์บริการทัศนาจรจำนวน             7 คัน ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2567           ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2567 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV มีจำนวนทั้งสิ้น 200,109 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 120.13 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้ รถยนต์นั่งและรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 139,059 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 78 รถยนต์นั่งมีจำนวน 136,574 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 35 รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คนมีจำนวน 1,983 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 57 รถยนต์บริการธุรกิจมีจำนวน 74 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 270 รถยนต์บริการทัศนาจรมีจำนวน 128 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 33 รถยนต์บริการให้เช่ามีจำนวน 3 คัน ซึ่งในช่วงเดียวกันไม่มีการจดทะเบียน รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มีจำนวน 297 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ35 รถกระบะและรถแวนมีจำนวน 769 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 27 รถยนต์ 3 ล้อมีจำนวนทั้งสิ้น 1,019 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 92 รถยนต์สามล้อส่วนบุคคลมีจำนวน 114 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 50 รถยนต์รับจ้างสามล้อมีจำนวน 905 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 07 รถจักรยานยนต์มีจำนวนทั้งสิ้น 55,998 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 20 รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลมีจำนวน 55,871 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 54 รถจักรยานยนต์สาธารณะมีจำนวน 127 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 60 อื่นๆ รถโดยสารมีจำนวนทั้งสิ้น 2,654 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 08 รถบรรทุกมีจำนวนทั้งสิ้น 610 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 03 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2567 ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2567 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV มีจำนวนทั้งสิ้น 437,504 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 37.53 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้ รถยนต์นั่งและรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 428,223 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 58 รถยนต์นั่งมีจำนวน 427,271 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 60 รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารฯ มีจำนวน 496 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 55 รถยนต์บริการธุรกิจ มีจำนวน 73 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ81 รถยนต์บริการทัศนาจร มีจำนวน 202 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ76 รถยนต์บริการให้เช่า มีจำนวน 5 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 67 รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มีจำนวน 176 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 100 รถกระบะและรถแวนมีจำนวน 1 คัน เท่ากับช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 รถจักรยานยนต์มีจำนวนทั้งสิ้น 9,278 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 84 รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลมีจำนวน 9,278 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 84 อื่นๆ รถโดยสารมีจำนวนทั้งสิ้น 2 คัน ซึ่งเท่ากับช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท PHEV ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2567           ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2567 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท PHEV มีจำนวนทั้งสิ้น 60,428 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 18.84 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้ รถยนต์นั่งและรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 60,428 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 84 รถยนต์นั่งมีจำนวน 60,357 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 85 รถยนต์บริการธุรกิจมีจำนวน 43 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 88 รถยนต์บริการทัศนาจรมีจำนวน 20 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 25 รถยนต์บริการให้เช่ามีจำนวน 3 คัน เท่ากับช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มีจำนวน 5 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 25

abs

ปตท. แข็งแกร่งร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน

พฤอา
311234567891011121314151617181920212223242526272829301234567891011