ศึกโบรกเกอร์เดือด! แข่งหนัก 51 ราย ลดค่าธรรมเนียม กดดันกำไร
หุ้นวิชั่น - ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในประเทศไทย เผชิญสภาวะการแข่งขันที่รุนแรง เนื่องจากมีผู้ประกอบการจำนวนมากถึง 51 บริษัท (ข้อมูล ณ สิ้นเดือนกันยายน 2567) ประกอบด้วยบริษัทหลักทรัพย์ไทยและบริษัทหลักทรัพย์ต่างชาติ ส่งผลให้บริษัทหลักทรัพย์ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อความอยู่รอดและการเติบโตอย่างยั่งยืน บริษัทหลักทรัพย์ที่มีผลการดำเนินงานขาดทุนต่อเนื่องหลายปีมีแนวโน้มถูกควบรวมกิจการมากขึ้นในอนาคต กลยุทธ์หลักที่บริษัทหลักทรัพย์นำมาใช้ ได้แก่ การเพิ่มช่องทางการให้บริการออนไลน์ และ ยกระดับการให้บริการและการขยายขอบเขตการให้บริการ เช่น การเสนอบริการที่ปรึกษาการลงทุน (Portfolio Advisory) โดยมุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการของนักลงทุนในรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนแต่ละกลุ่ม ครอบคลุมมากขึ้น ไม่จำกัดเพียงการแนะนำหลักทรัพย์ที่เป็นตราสารทุนหรือหุ้นรายตัวเท่านั้น นอกจากนี้ บริษัทหลักทรัพย์ยังให้ความสำคัญกับ การกระจายแหล่งที่มาของรายได้ เพื่อลดการพึ่งพารายได้ค่าธรรมเนียมจากการซื้อขายหุ้น เช่น การให้บริการกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Margin Loan) และการเป็นตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุน (Selling Agent) รวมถึง การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ๆ เช่น • ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (Derivative Warrant) • ตราสารแสดงสิทธิในการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Depository Receipt) • ตราสารที่มีโครงสร้างซับซ้อน (Structured Note) เพื่อสร้างความแตกต่างและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในปัจจุบันที่การลงทุนมีความเป็นสากลและหลากหลายมากขึ้น ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์: การแข่งขันด้านราคารุนแรงต่อเนื่อง ทริสเรทติ้ง คาดการณ์ว่าการแข่งขันในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในประเทศไทยจะยังคงรุนแรงต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนผ่านการลดลงของ อัตราค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์โดยเฉลี่ย (ไม่รวมบัญชีบริษัทหลักทรัพย์) จากระดับ 0.15% ในปี 2555 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดเสรีค่าธรรมเนียม มาอยู่ที่ 0.07% ในปี 2566 การลดลงอย่างมีนัยสำคัญของอัตราค่าธรรมเนียมเป็นผลมาจาก การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง รวมถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนักลงทุนรายย่อย ที่หันมาส่งคำสั่งซื้อขายด้วยตนเองผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น นอกจากนี้ นักลงทุนสถาบัน ทั้งในและต่างประเทศยังเพิ่มการส่งคำสั่งซื้อขายผ่านระบบ Direct Market Access (DMA) ซึ่งเป็นการส่งคำสั่งซื้อขายโดยตรงเข้าสู่ระบบตลาดหลักทรัพย์ โดยไม่ผ่านตัวแทนนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์แบบดั้งเดิม ส่งผลให้อัตราค่าธรรมเนียมโดยเฉลี่ยลดลงอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุน: แนวโน้มเติบโตในระยะกลาง จากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และโอกาสการลงทุนที่จำกัดในประเทศไทย บริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งจึงขยายบริการเข้าสู่ธุรกิจตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุน ที่ออกโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมต่าง ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนที่หลากหลายขึ้น โดยเฉพาะการกระจายการลงทุนผ่านหน่วยลงทุนที่เน้นการลงทุนในตลาดต่างประเทศ รายได้จากธุรกิจตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุน มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในระยะปานกลาง โดยได้รับการสนับสนุนจากปัจจัยหลายประการ เช่น • การเพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์กองทุนรวม ที่หลากหลาย • เทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความสะดวกในการลงทุน • นโยบายส่งเสริมการออมผ่านกองทุนรวม เช่น กองทุนรวมเพื่อการเกษียณ (RMF), กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) และกองทุนรวมส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) จากภาครัฐ ธุรกิจให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Margin Loan): คุณภาพสินทรัพย์กดดันการเติบโต จากความท้าทายของ รายได้ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหุ้นที่ลดลงต่อเนื่อง การให้บริการ กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Margin Loan) จึงกลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการเพิ่มรายได้ เพื่อลดการพึ่งพารายได้จากค่าธรรมเนียมการซื้อขายหุ้น ตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา ธุรกิจให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์มีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น โดยบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งขยายพอร์ตการให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นปี 2566 การแข่งขันในธุรกิจนี้เริ่มลดลง เห็นได้จาก ยอดเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์คงค้าง ที่ลดลงจาก 1.13 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2565 เหลือเพียง 7.6 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2567 สาเหตุสำคัญมาจาก • นักลงทุนระมัดระวังการลงทุน มากขึ้นในภาวะที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง • บริษัทหลักทรัพย์เพิ่มความเข้มงวด ในการอนุมัติเงินกู้ เพื่อควบคุมความเสี่ยงที่อาจเกิดจากคุณภาพสินเชื่อที่อ่อนแอลง แนวโน้มใน 12 เดือนข้างหน้า: ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป รายได้และกำไรมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่า รายได้และกำไรของบริษัทหลักทรัพย์จะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยในปี 2568 จากปริมาณการซื้อขายที่ปรับตัวดีขึ้นด้วยแรงหนุนจากเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุน รายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทหลักทรัพย์ยังคงขึ้นอยู่กับปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของปริมาณการซื้อขายอาจเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอกที่อาจสร้างความผันผวนต่อตลาดทุน มูลค่า IPO ปรับตัวดีขึ้น ทริสเรทติ้งมองว่า มูลค่าการระดมทุนผ่าน IPO ในปี 2568 มีแนวโน้มฟื้นตัวจากฐานต่ำในปี 2567 โดยมีปัจจัยหนุนจาก การปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจ และ ความเชื่อมั่นของนักลงทุน ณ เดือนพฤศจิกายน 2567 มีบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้เสนอขายหลักทรัพย์ใหม่ 6 บริษัท และมีบริษัทที่ยื่นหนังสือชี้ชวนต่อ สำนักงาน ก.ล.ต. แล้วจำนวน 10 บริษัท Margin Loan มีแนวโน้มลดลง ทริสเรทติ้งคาดว่า Margin Loan จะหดตัวลงในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2567 จากการยุติการให้บริการธุรกิจให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ของผู้ประกอบการรายใหญ่รายหนึ่ง เนื่องจากปัญหาหนี้เสีย โดยรวมแล้ว ธุรกิจให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์มีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องในปี 2568 เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีความระมัดระวังมากขึ้นในการปล่อยกู้ โดยเฉพาะหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีการเปลี่ยนแปลงราคาสูง ที่มา : บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด