#ท่องเที่ยว


นทท. แน่นทุบสถิติ โบรกมอง  AAV - CENTEL – MINT เด่นสุด

นทท. แน่นทุบสถิติ โบรกมอง AAV - CENTEL – MINT เด่นสุด

         หุ้นวิชั่น - บล.ดาโอ มองเป็นบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยวจากตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นทุก ประเทศใน Top 5 โดยจำนวนนักท่องเที่ยวรวมทำจุดสูงสุดในรอบ 50 สัปดาห์ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นได้ดีเพราะการเข้าสู่ช่วง High season ของไทย ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนเริ่มฟื้นตัวได้ดีต่อเนื่องอีก +11% WoW และนักท่องเที่ยวรัสเซียมีการเพิ่มขึ้นได้สูงสุดในรอบ 11 สัปดาห์ (CENTEL มีสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวรัสเซียมากสุดที่ 5% รองลงมาเป็น ERW ที่ 3%) โดยประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวรวมเฉลี่ยรายสัปดาห์ในช่วง 16-22 ธ.ค. 24 จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่องจนถึง 1Q24E จากการเข้ามาของนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) โดยเฉพาะตลาดภูมิภาคยุโรป ประกอบกับมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีผลต่อจำนวนที่นั่งเข้าไทย ( Seat Capacity) ระหว่างเดือน ก.ค. มาจนถึง ธ.ค. ที่จะเพิ่มขึ้น 10% รวมถึงการกระตุ้นและส่งเสริมให้สายการบินเพิ่มจำนวนเที่ยวบินมากยิ่งขึ้น ขณะที่ในเดือน ธ.ค. 24 ยังมีหลายเทศกาลเข้ามาช่วยหนุน ทั้งนี้ ภาพรวมของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปี 2024E ยังอยู่ในกรอบประมาณการนักท่องเที่ยวรวมและ นักท่องเที่ยวจีนที่เราประเมินไว้ โดยหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากนักท่องเที่ยวจีนที่ เพิ่มขึ้น เรียงลำดับจากมากไปน้อยตามสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวจีน ได้แก่ ERW, CENTEL, MINT, SHRคงประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวรวม ปี 2024E เพิ่มขึ้น +28% YoY และนักท่องเที่ยวจีน +84% YoY ฝ่ายวิจัยยังคง ประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวรวมปี 2024E จะอยู่ที่ 36 ล้านคน เพิ่มขึ้น +28% YoY และคาดจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะอยู่ที่ 6.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึง +84% YoY ขณะที่คาดจำนวนนักท่องเที่ยวรวมปี 2025E จะอยู่ที่ 39 ล้านคน เพิ่มขึ้น +8% YoY และคาดจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะอยู่ที่ 8 ล้านคน เพิ่มขึ้น +23% YoY Valuation/Catalyst/Risk ฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “มากกว่าตลาด” โดย Top pick ของกลุ่ม ท่องเที่ยวยังชอบ AAV, CENTEL และ MINT AAV (ซื้อ/เป้า 3.60 บาท) คาดกำไรปกติ 4Q24E จะดีโดดเด่นจากการเข้าสู่ high season ส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารและค่าตั๋วโดยสารจะเพิ่มขึ้นได้ดี CENTEL (ซื้อ/เป้า 44.00 บาท) จาก 4Q24E-1Q25E โตได้ต่อเนื่องจากการ เข้าสู่ High season ด้าน Valuation ซื้อขายที่ 2024E EV/EBITDA ที่ 11.7x (-1.25SD below 8-yr average EV/EBITDA) ถูกกว่า ERW ที่ 14.6x ขณะที่ กำไรปกติปี 2025E จะเติบโตได้สูงที่สุด (+18% YoY) เมื่อเทียบกับ MINT และ ERW MINT (ซื้อ/เป้า 34.00 บาท) จาก valuation ยังถูกกว่ากลุ่มฯซื้อขาย 2024E EV/EBITDA ที่ 10x (-2.00SD below 10-yr average EV/EBITDA) ถูกกว่า ERW และ CENTEL ที่ average EV/EBITDA ขณะที่คาดกำไรปกติ 4Q24E จะโต YoY ได้ต่อเพราะเป็น High season ที่ไทยและมัลดีฟส์เข้ามาช่วยหนุน ประกอบกับมีแผนการจัดตั้ง REIT ที่จะช่วยลดความผันผวนได้หลาย

ในวันที่กระเป๋าแบน ชาวไทยเที่ยวอย่างไร?

ในวันที่กระเป๋าแบน ชาวไทยเที่ยวอย่างไร?

         หุ้นวิชั่น - ชาวไทยยังคงพร้อมเที่ยวต่อในปีหน้าแต่มีแนวโน้มลดการใช้จ่ายลง จากภาวะเศรษฐกิจไทยที่เติบโตชะลอตัว ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการท่องเที่ยวต่างประเทศที่จะลดลงมากกว่าการท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งแนวโน้มการลดค่าใช้จ่ายด้านท่องเที่ยวนี้ยังเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการใช้จ่ายด้านอื่น ๆ อย่างไรก็ดี การท่องเที่ยวยังคงเป็นหนึ่งในกิจกรรมยอดฮิตที่ชาวไทยให้ความสำคัญ จากสัดส่วนผู้ที่จะเลิกใช้จ่ายในการท่องเที่ยวในประเทศมีเพียง 9% ซึ่งต่ำกว่าการเลิกใช้จ่ายในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกาย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า          SCB EIC ได้สำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคชาวไทยเกี่ยวกับแนวโน้มการใช้จ่ายด้านท่องเที่ยว พบว่า แม้นักท่องเที่ยวไทยจะได้รับแรงกดดันด้านกำลังซื้อเพิ่มขึ้น แต่กลุ่มผู้มีสถานะการเงินที่มั่นคงยังมีแนวโน้มใช้จ่ายในการท่องเที่ยวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่ไม่มีภาระหนี้ กลุ่มรายได้ดี และโดยเฉพาะกลุ่มที่คาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นก็ยิ่งมีแนวโน้มใช้จ่ายในการท่องเที่ยวมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่กลุ่มผู้มีสถานะการเงินเปราะบางมากกว่าครึ่งหนึ่งมีแนวโน้มท่องเที่ยวลดลงหรือยกเลิกแผนเที่ยว ทั้งนี้การใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวไทยส่วนใหญ่ สำหรับการท่องเที่ยวในประเทศจะอยู่ที่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคนต่อวัน และการใช้จ่ายเฉลี่ย สำหรับการท่องเที่ยวต่างประเทศจะอยู่ที่ขั้นต่ำ 10,000 บาทต่อคนต่อวัน โดยนักท่องเที่ยวกลุ่ม LGBTQIA+ และกลุ่มวัยทำงานเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มใช้จ่ายในการท่องเที่ยวต่างประเทศสูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ          ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงกดดันการใช้จ่ายของชาวไทย 4 วิธีที่นักท่องเที่ยวไทยเลือกใช้ในการปรับตัวด้านการท่องเที่ยวเรียงตามลำดับได้ดังต่อไปนี้ 1. วิธีลดความถี่ในการท่องเที่ยว 2. วิธีลดช็อปปิงสินค้า 3. วิธีเลือกที่พักที่ราคาประหยัดมากขึ้น และ 4. วิธีชะลอแผนการท่องเที่ยว โดยกลุ่มผู้ที่เผชิญภาวะรายได้ไม่พอจ่ายจะมีการปรับพฤติกรรมการท่องเที่ยวค่อนข้างมาก โดยผู้มีปัญหาทางการเงินบ่อยครั้งจะเลือกชะลอแผนการท่องเที่ยวมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ส่วนผู้มีปัญหาเป็นบางครั้งจะเลือกลดความถี่ในการท่องเที่ยวแทน นอกจากนี้ ช่วงอายุที่แตกต่างกันจะส่งผลต่อการปรับตัวที่แตกต่างกันด้วย โดยกลุ่มวัยรุ่น/วัยเริ่มทำงานกับกลุ่มผู้สูงวัย จะพยายามคงแผนท่องเที่ยวเดิมแต่จะเลือกปรับพฤติกรรมการเที่ยวแทน เช่น กลุ่มวัยรุ่น/วัยเริ่มทำงานจะยอมลดความสะดวกสบายในระหว่างท่องเที่ยวด้วยการลดค่าใช้จ่ายในการกินอยู่ ทั้งการเลือกที่พักราคาสบายกระเป๋าและการประหยัดค่าอาหาร ส่วนกลุ่มผู้สูงวัยจะเลือกปรับตัวด้วยการเปลี่ยนแผนมาเที่ยวในประเทศมากขึ้นหรือใช้บริการกรุ๊ปทัวร์เพื่อลดค่าใช้จ่าย ขณะที่กลุ่มวัยทำงานซึ่งเป็นกลุ่มที่มีภาระค่าใช้จ่ายสูงจะเลือกชะลอแผนการท่องเที่ยวออกไปมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ          การเจาะกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวกำลังซื้อค่อนข้างดี การเพิ่มความคุ้มค่าของสินค้าหรือบริการท่องเที่ยวให้ตรงจุดกับนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่มตามช่วงวัย และการบริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายของธุรกิจ เป็น 3 กลยุทธ์สำคัญที่ธุรกิจด้านการท่องเที่ยวอาจนำมาพิจารณาเพื่อตอบโจทย์การปรับตัวของพฤติกรรมนักท่องเที่ยวไทยในภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความเปราะบางสูง โดยกลยุทธ์แรก : การเจาะกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวกำลังซื้อดี แม้นักท่องเที่ยวไทยโดยรวมจะมีแนวโน้มลดการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวลง แต่กลุ่มผู้มีรายได้ค่อนข้างดีหรือผู้ที่คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นกลุ่มที่จะยิ่งใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวมากขึ้นทั้งการท่องเที่ยวในประเทศและต่างประเทศ จึงทำให้ตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ยังคงเติบโตได้ค่อนข้างดีต่อเนื่อง กลยุทธ์ที่ 2 : การเพิ่มความคุ้มค่าให้ตรงกับนักท่องเที่ยวในแต่ละกลุ่ม ด้วยพฤติกรรมการปรับตัวของนักท่องเที่ยวที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงวัย ดังนั้น การนำเสนอบริการที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายในแต่ละกลุ่มจะช่วยดึงดูดได้อย่างตรงจุด เช่น การดึงดูดนักท่องเที่ยววัยรุ่น/วัยเริ่มทำงานด้วยการนำเสนอกิจกรรมที่น่าสนใจและเหมาะกับการสร้างคอนเทนต์ ส่วนนักท่องเที่ยวกลุ่มผู้สูงวัยที่เน้นความสะดวกสบายควรใช้วิธีเพิ่มความคุ้มค่าจากบริการพิเศษที่เหมาะสมแทน เช่น การบริการขนมหวาน การเข้าชมการแสดงโชว์ หรือคลาสออกกำลังกาย แต่สำหรับกลุ่มวัยทำงานซึ่งยังมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมาก การเลือกวิธีจัดทำโปรโมชันลดราคาจึงเป็นแนวทางที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้ดีกว่าวิธีอื่น และกลยุทธ์ที่ 3 : การบริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายของธุรกิจ จากกำลังซื้อของนักท่องเที่ยวไทยที่ลดลง ทำให้ภาคธุรกิจต้องบริหารจัดการต้นทุนเพื่อนำเสนอแพ็กเกจราคาประหยัดให้กับนักท่องเที่ยวได้ ซึ่งการบริหารจัดการต้นทุนสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้อย่าง AI, Automation ในการบริการลูกค้าและบริหารจัดการโรงแรม รวมถึงการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับธุรกิจในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังงานจาก Solar cell, การใช้รถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น อ่านต่อรายงานฉบับเต็มได้ที่... https://www.scbeic.com/th/detail/product/tourism-survey-091224 ผู้เขียนบทวิเคราะห์ : ปุญญภพ ตันติปิฎก นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)

วิพากษ์นักท่องเที่ยวเข้าไทย หุ้นรับอานิสงส์มีอะไรบ้าง?

วิพากษ์นักท่องเที่ยวเข้าไทย หุ้นรับอานิสงส์มีอะไรบ้าง?

          หุ้นวิชั่น- บล.ดาโอ ระบุว่า นักท่องเที่ยวสัปดาห์ล่าสุด (14-20 ต.ค.) ทรงตัว WoW จากจีน, อินเดีย, รัสเซียเพิ่ม แต่มาเลเซียลด รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยข้อมูลจำนวนนักท่องเที่ยวสัปดาห์ที่ผ่านมา (14-20 ต.ค.) มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 575,142 คน (-0.05% WoW/+12% YoY) คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 82,163 คน โดยประเทศมี % เพิ่มขึ้นตามลำดับดังนี้ 1) รัสเซีย 29,628 คน (+21% WoW), 2) จีน 93,223 คน (+8% WoW/+57% YoY) และ 3) อินเดีย 39,900 คน (+6% WoW/+25% YoY) ขณะที่ประเทศมี % ลดลงตามลำดับดังนี้ 1) มาเลเซีย 77,723 คน (-9% WoW/-6% YoY) และ 2) เกาหลีใต้ 29,313 คน (-5% WoW) โดยการเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น จากการเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวของภูมิภาคยุโรป และภูมิภาคอเมริกา โดยเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น 11.56% จากสัปดาห์ก่อนหน้า โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 5,191 คน หรือ 21.54% จากสัปดาห์ก่อนหน้า และขยับขึ้นมาเป็นกลุ่มที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นอันดับที่ 4 จากเดิมในอันดับที่ 5 ขณะที่นักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) เดินทางเข้ามาลดลง จากการชะลอตัวด้านการเดินทางก่อนมีวันหยุดต่อเนื่องของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-20 ต.ค. 24 ทั้งสิ้น 27,794,011 คน เพิ่มขึ้น +30% YoY (ที่มา: กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา)           บล.ดาโอ มองเป็นกลางต่อกลุ่มท่องเที่ยวจากตัวเลขนักท่องเที่ยวที่ทรงตัว WoW แต่ยังมีนักท่องเที่ยวจีน, อินเดีย, รัสเซียปรับตัวเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวรวมจะทำได้แค่ทรงตัวเพราะนักท่องเที่ยวมาเลเซียปรับตัวลดลง           ขณะที่นักท่องเที่ยวหลักอย่างจีน, อินเดีย, รัสเซียมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเราประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวรวมเฉลี่ยรายสัปดาห์ในช่วง 21-27 ต.ค.67 จะค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะการเข้าสู่ช่วง High season ของไทย และจะเริ่มมากขึ้นอีกในเดือน พ.ย.-ธ.ค. 24 ที่มีหลายเทศกาลเข้ามาช่วยหนุน ทั้งนี้ ภาพรวมของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปี 2024E ยังอยู่ในกรอบประมาณการนักท่องเที่ยวรวมและนักท่องเที่ยวจีนที่ประเมินไว้           โดยหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้น เรียงลำดับจากมากไปน้อยตามสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวจีน ได้แก่ ERW, CENTEL, MINT, SHR           คงประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวรวมปี 2024E เพิ่มขึ้น +21% YoY และนักท่องเที่ยวจีน +84% YoY เรายังคงประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวรวมปี 2024E จะอยู่ที่ 34 ล้านคน เพิ่มขึ้น +21% YoY และคาดจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะอยู่ที่ 6.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึง +84% YoY ให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “เท่ากับตลาด” โดย Top pick ของกลุ่มท่องเที่ยวเรายังชอบ AAV, AOT AAV (ซื้อ/เป้า 3.20 บาท) 3Q24E จะยังมีกำไรปกติได้แม้จะอยู่ในช่วง low season จากผู้โดยสารและค่าตั๋วโดยสารที่ยังดี ขณะที่ 4Q24E จะดีขึ้นโดดเด่นจากการเริ่มเข้าสู่ high season AOT (ซื้อ/เป้า 72.00 บาท) จากแนวโน้มกำไร 1Q-2QFY25E ที่จะยังโต YoY ดีต่อเนื่อง

ลดดอกเบี้ยท่องเที่ยวเฮ! หุ้นอะไร? รับประโยชน์

ลดดอกเบี้ยท่องเที่ยวเฮ! หุ้นอะไร? รับประโยชน์

           หุ้นวิชั่น - บล.ดาโอชี้ ดอกเบี้ยที่ลดลงส่งผลบวกต่อดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงและกระตุ้นนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น            กนง. ลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ส่งผลบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยว วานนี้ กนง. มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ 2.25% ซึ่งจะช่วยให้ค่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลง และจะช่วยจูงใจให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาได้มากขึ้น            บล. ดาโอมองเป็นบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยวจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงเพราะจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยจ่ายลงได้ รวมถึงจะช่วยจูงใจให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเพิ่มขึ้นได้ โดยเราประเมินหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยลงทุกๆ 0.25% อิงจากยอดเงินกู้ในงวด 2Q24 จะเป็น upside ต่อประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E โดยเรียงจากมากไปน้อย ได้แก่ ERW จะมี upside ต่อประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E ที่ +2.4% เพราะมีสัดส่วนเงินกู้ในไทยสูงที่สุดถึง 88% และเป็น Float rate ที่ 100% (Fig 1) SHR จะมี upside ต่อประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E ที่ +1.7% เพราะฐานกำไรที่ไม่สูงมาก โดยมีสัดส่วนเงินกู้ในไทยที่ 41% และเป็น Float rate ที่ 47% (Fig 2) CENTEL จะมี upside ต่อประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E ที่ +0.5% เพราะมีสัดส่วนเงินกู้ในไทยราว 90% และเป็น Float rate ที่ 40% (Fig 3) MINT จะมี upside ต่อประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E ที่ +0.3% โดย MINT ได้ประโยชน์น้อยสุดเพราะมีสัดส่วนเงินกู้ในไทยเพียง 30% แต่หากรวมเงินกู้สกุลเงินยูโรทีมีสัดส่วนถึง 60% จะทำให้มี Upside เพิ่มอีก 0.6%            ขณะที่กลุ่มสายการบินจะได้รับผลกระทบจำกัดเช่นกัน ได้แก่ AAV จะมี upside ต่อประมาณการกำไรสุทธิปี 2025 ที่ +0.6% ส่วน AOT จะไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ            เราให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “เท่ากับตลาด” โดย Top pick ของกลุ่มท่องเที่ยวเรายังชอบ MINT            MINT (ซื้อ/เป้า 34.00 บาท) จาก valuation ยังถูกกว่ากลุ่มฯซื้อขาย 2024E EV/EBITDA ที่ 10x (-2.00SD below 10-yr average EV/EBITDA) ถูกกว่า ERW และ CENTEL ที่ average EV/EBITDA ขณะที่เราคาดว่า 3Q24E จะโต YoY ได้ต่อเพราะยังเป็น High season ที่ยุโรป โดย RevPAR ที่ยุโรปยังเพิ่มขึ้นได้ดีที่ +15% YoY และมี ADR เพิ่มขึ้นได้ +12% YoY ส่วนไทย RevPAR เพิ่มขึ้นได้ที่ +16% YoY ส่วน 4Q24E จะมี High season จากไทยและมัลดีฟส์ช่วยหนุน

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

วิเคราะห์มูลค่า MINT ท่องเที่ยวยุโรปฟื้น ได้ดีแค่ไหน?  

วิเคราะห์มูลค่า MINT ท่องเที่ยวยุโรปฟื้น ได้ดีแค่ไหน?  

          หุ้นวิชั่น - ล่าสุดเดือนก.ค.และส.ค.2567 สเปน มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 7% yoy และ 9% yoy ตามลำดับ ซึ่งสเปนเป็นประเทศที่ MINT มีธุรกิจอยู่มากสุดในยุโรป รายได้จากโรงแรมในสเปนมีสัดส่วนราว 31% ของรายได้จากโรงแรมในยุโรปและสหรัฐในไตรมาส 2/67           ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า ในไตรมาส 3/67 สถิตินักท่องเที่ยวของยุโรปยังแข็งแกร่ง จากข้อมูลของ Instituto Nacional de Estadistica ระบุว่า เดือนก.ค.และส.ค.67 สเปนมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 7% yoy และ 9% yoy ตามลำดับ ซึ่งสเปนเป็นประเทศที่ MINT มีธุรกิจอยู่มากสุดในยุโรป รายได้จากโรงแรมในสเปนมีสัดส่วนราว 31% ของรายได้จากโรงแรมในยุโรปและสหรัฐในไตรมาส 2/67           ขณะที่นักท่องเที่ยวของอิตาลีเพิ่มขึ้น 13% yoy ในเดือนก.ค. 67 ซึ่งรายได้จากโรงแรมในอิตาลีมีสัดส่วนราว 22% ของรายได้จากธุรกิจโรงแรมในยุโรปและสหรัฐฯในไตรมาส 2/67 จึงมองว่าสถิตินักท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งจะส่งผลดีต่อโรงแรมของ MINT ในสเปนและอิตาลี ซึ่งคิดเป็นครึ่งหนึ่งของจำนวนโรงแรมในยุโรปและสหรัฐฯของบริษัท ส่วนประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 28% yoy ในไตรมาส 3/67 จึงเชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลดีต่อ MINT           โรงแรมส่วนใหญ่ของ MINT ในยุโรปและสหรัฐฯอยู่ภายใต้กลุ่ม NH Hotel Group ซึ่ง MINT ถือหุ้น 96% ทั้งนี้ โรงแรมของ MINT ในยุโรปทำรายได้คิดเป็น 62% ของรายได้รวมจากธุรกิจโรงแรมในไตรมาส 1/67 เนื่องจากเป็นโลว์-ซีซั่น และเพิ่มเป็น 75% ในไตรมาส 2/67 ซึ่งเป็นไฮ-ซีซั่น           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI มองว่า แม้ธุรกิจอาหารของ MINT ในไตรมาส 3/67 จะยังมีผลการดำเนินงานอ่อน เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศอ่อนแอ แต่คาดว่าจะค่อยๆดีขึ้น หลังรัฐบาลมอบเงิน 1.45 แสนล้านบาทถึงมือผู้มีรายได้น้อย 14.5 ล้านคนในปลายเดือนก.ย.67 จึงคาดว่า MINT จะมีอัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่ -1% yoy และมีอัตราการเติบโตของยอดขายรวม (TSSG) อยู่ที่ +3% yoy ในไตรมาส 3/67           ขณะที่คาดว่า Wealth Effect ที่เพิ่มขึ้นจากการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นและ sentiment ที่ดีขึ้น น่าจะช่วยให้ผล ประกอบการของธุรกิจอาหารกลับมาฟื้นตัวในไตรมาส 4/67 และปี 68           โรงแรมของ MINT ในยุโรปน่าจะยังมีรายได้เติบโตสูงจากสถิตินักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่แข็งแกร่ง แต่ยังต้องจับตาดูอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของธุรกิจโรงแรม ซึ่งลดลงจาก 42.4% ในไตรมาส 2/66 เป็น 40.0% ในไตรมาส 2/67 เนื่องจากต้นทุนสูงขึ้น จึงทำประมาณการ GPM ของธุรกิจโรงแรมอยู่ที่เพียง 38.0% ในไตรมาส 3/67 เทียบกับ 41.5% ในไตรมาส 3/66 โดยคาดว่า MINT จะทำกำไรสุทธิ 2,488 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% yoy แต่จะลดลง 12% qoq ในไตรมาส 3/67           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI เชื่อว่าการที่โรงแรมในยุโรปของ MINT มีผลกำไรดีในไตรมาส 3/67 เพราะได้แรงหนุนจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง น่าจะทำให้ราคาของ MINT ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากราคาหุ้นขณะนี้ยัง underperform ตลาด (MINT -3% YTD vs. SET +2% YTD) ขณะที่คาดว่า MINT จะมีกำไรสุทธิเติบโตสูงในปี68-69 เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวน่าจะเติบโตต่อเนื่องและดอกเบี้ยจ่ายจะลดลงจากแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ย           ดังนั้นจึงยังแนะนำ “ซื้อ” MINT แต่เลื่อนปีฐานในการประเมินมูลค่า ทำให้ราคาเป้าหมายในปัจจุบันอยู่ที่ 41 บาท เท่ากับ EV/EBITDA 9.5 เท่าในปี 69 หรือยังเท่ากับ -1SD ของค่าเฉลี่ยห้าปี อย่างไรก็ตามอาจมี downside risk หากบริษัทมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสูงและอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของยุโรปชะลอตัวรุนแรง