#ทองคำ


บทบาททองคำกระตุ้นบริการทางการเงิน ช่วยเศรษฐกิจไทยได้อย่างไร?

บทบาททองคำกระตุ้นบริการทางการเงิน ช่วยเศรษฐกิจไทยได้อย่างไร?

          ขณะที่เรากำลังก้าวเข้าสู่ปี 2568 ทองคำได้มอบโอกาสที่โดดเด่นในการสร้างความมั่นคงทางการเงิน ท่ามกลางสภาวะความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทองคำนั้นเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและความเจริญรุ่งเรืองในวัฒนธรรมไทยมาอย่างยาวนาน และมักถูกนำมาใช้เพื่อเฉลิมฉลองโอกาสสำคัญ เช่นในพิธีแต่งงาน วันเกิด และการต้อนรับสมาชิกที่เกิดใหม่ของครอบครัว แม้ว่าสังคมไทยจะพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปแต่ทองคำก็ยั่งเป็นสิ่งที่ฝังลึกในวิถีชีวิตของคนไทย ผลักดันให้ตลาดทองคำผู้บริโภคในประเทศไทยมีความต้องการที่แข็งแกร่ง และครองตำแหน่งตลาดที่มีการเติบโตสูงสุดในกลุ่มประเทศอาเซียนติดต่อกันถึงสองไตรมาสในปี 2567           นอกจากนี้แล้ว ทองคำยังสามารถส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion) ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักที่สำคัญของทั้งรัฐบาล องค์กรพัฒนาเอกชน และองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก การเข้าถึงบริการทางการเงินนั้นหมายถึงการที่ประชาชนสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ออมทรัพย์ สินเชื่อ ประกันภัย และระบบการชำระเงิน ได้อย่างทั่วถึงและครอบคลุม ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพราะเมื่อบุคคลและครัวเรือนมีความมั่นคงทางการเงิน ก็จะมีแนวโน้มในการลงทุนหรือเริ่มต้นธุรกิจเพิ่มมากขึ้น  และช่วยสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญเติบโต การเข้าถึงบริการทางการเงินในประเทศไทย           รายงาน Global Findex Report ฉบับล่าสุดของธนาคารโลกในปี 2564 ได้ระบุว่า อัตราการเข้าถึงบัญชีธนาคารสำหรับกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่โดยเฉลี่ยนั้นอยู่ที่ 71% ขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 77% ซึ่งถือว่าได้พัฒนาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากเดิมซึ่งอยู่ที่ 51% ในปี 2554 โดยประเทศไทยมีความก้าวหน้าในด้านนี้อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 2560 คนไทยจำนวน 82% มีบัญชีธนาคาร และในปี 2564 ตัวเลขนี้ก็ได้เพิ่มขึ้นเป็น 95.6% โดยคนไทย 67.1% มีเงินออมกับธนาคาร และ 92% ได้ดำเนินการชำระเงินผ่านทางระบบดิจิทัล ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศเอเปค (Asia-Pacific Economic Cooperation: APEC) ที่ 82.1%, 61.4% และ 78.1% ตามลำดับ แม้ว่าการเข้าถึงบัญชีธนาคารจะอยู่ในระดับสูง แต่ประเทศไทยก็ยังคงมีโอกาสในการพัฒนาบริการทางการเงินด้านอื่น ๆ เช่น การเข้าถึงบริการสินเชื่อของไทยที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ อยู่ที่ 30.4% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ APEC ที่ 38.2% เนื่องจากประชาชนยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่จำกัด และกลัวการถูกปฏิเสธ สินเชื่อ โดยผลสำรวจพบว่าในปี 2567 การกู้ยืมเงินนอกระบบได้เพิ่มขึ้นเป็น 30% ทำให้หลายฝ่ายเกิดความกังวลเนื่องจากผู้กู้สินเชื่อนอกระบบมักต้องเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า 15% ที่กฎหมายกำหนดไว้ เสริมสร้างการเข้าถึงบริการทางการเงินด้วยนวัตกรรม ปัจจุบันมีการเปิดรับนวัตกรรมและแนวคิดริเริ่มใหม่ ๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงิน เช่น ธนาคารพาณิชย์ในตลาดประเทศจีน สิงคโปร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และมาเลเซีย ได้นำเสนอบัญชีเพื่อการลงทุนในทองคำ ขณะที่ธนาคารในประเทศตุรกีนั้นได้เปิดให้บริการทั้งการรับซื้อคืนทองคำ พันธบัตรทองคำ เช็คทองคำ และบริการอื่น ๆ อีกมากมาย ด้านรัฐบาลไทยก็ได้แสดงให้เห็นถึงแนวคิดที่ก้าวหน้าในการผลักดันทองคำในระบบดิจิทัล โดยได้เปิดให้ผู้ค้าทองคำแท่งนำเสนอบริการออมทองและลงทุนซื้อขายทองคำออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" ร่วมกับธนาคารกรุงไทยให้กับประชาชน ทำคนไทยสามารถซื้อขายทองคำบริสุทธิ์ 99.99% ตามราคาตลาดโลกได้แบบเรียลไทม์ โดยในไตรมาสที่ 1 ของปี 2566 มูลค่าการออมทองคำในระบบออนไลน์ของประเทศเพิ่มขึ้นถึง 60-70% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ทั้งนี้ผู้ค้าทองคำแท่งรายสำคัญของไทย วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์ เนชั่นแนล (YLG Bullion International) ได้รายงานว่าบริษัทมีจำนวนบัญชีซื้อขายทองคำออนไลน์ใหม่เพิ่มขึ้นถึง 70% ผ่านแอปเป๋าตังในช่วงดังกล่าว แอปพลิเคชันต่าง ๆ เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าธนาคารพาณิชย์สามารถเสริมสร้างรูปแบบบริการใหม่ ๆ ให้กับผู้ค้าทองคำแท่งในระบบแบบดั้งเดิม ผ่านการขยายเครือข่ายและเพิ่มช่องทางการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับทองคำให้มากยิ่งขึ้น การใช้ทองคำเพื่อช่วยลดอุปสรรคในการเข้าถึงบริการทางการเงิน ทองคำสามารถช่วยเติมเต็มช่องว่างและสนับสนุนบริการทางการเงินโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชนบทห่างไกลที่ไม่ได้รับการบริการอย่างทั่วถึง ทองคำได้ช่วยคนไทยในชนบทซึ่งมักใช้บริการโรงรับจำนำเพื่อเข้าถึงสินเชื่อเงินทุนสำหรับค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับกิจกรรมทางการเกษตร และตอบสนองต่อความต้องการเงินทุนที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า โดยในปี 2566 สำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) ซึ่งเป็นโรงรับจำนำของรัฐ ได้รับจำนำทรัพย์รวมเป็นมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท และทองคำคิดเป็นสัดส่วนถึง 88% จากจำนวนทรัพย์สินทั้งหมดที่ถูกนำมาจำนำรวม 1.1 ล้านรายการ นอกจากนี้ทองคำยังเป็นหลักประกันที่สำคัญให้กับคนไทย ในปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการระบาดของโควิด-19 ตลาดทองคำแท่งของไทยได้บันทึกสถิติการขายสุทธิ 81.5 ตัน เนื่องจากครัวเรือนจำเป็นต้องขายทองคำที่ถือครองออกมาเพื่อใช้เป็นเงินทุนสนับสนุนในยามจำเป็นที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ทองคำจึงช่วยตอบสนองความต้องการทั้งในทางการเงินและในเชิงวัฒนธรรม   มีสภาพคล่องสูงซื้อขายได้ง่าย และช่วยปกป้องเงินทุนจากความเสี่ยงท่ามกลางความไม่แน่นอน นอกจากนี้ยังสามารถช่วยรัฐบาลทั้งทางตรงและทางอ้อมในการบรรลุเป้าหมายนโยบายสาธารณะด้านการเข้าถึงบริการทางการเงินของประเทศให้ดียิ่งขึ้น บทบาทของทองคำ ในการบรรลุเป้าหมายด้านการเข้าถึงบริการทางการเงิน เสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบธนาคาร จากการวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับตลาดค้าปลีกระดับโลกของสภาทองคำโลก พบว่า 61% ของผู้บริโภคในประเทศที่ทำการศึกษามีความเชื่อมั่นในทองคำมากกว่าในสกุลเงินต่าง ๆ  นอกจากนี้ 65% ยังเชื่อว่าทองคำจะไม่มีวันสูญเสียมูลค่าในระยะยาว และ 67% มองว่าทองคำเป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงที่ดีในภาวะเงินเฟ้อและค่าเงินมีความผันผวน สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าธนาคารพาณิชย์สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับทองคำเพื่อเพิ่มความน่าสนใจและเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างธนาคารกับผู้บริโภคให้แนบแน่นยิ่งขึ้นได้ ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ก็ได้ยอมรับทองคำในฐานะปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับงบดุลของธนาคารกลางมาอย่างยาวนาน ช่วยดึงดูดนักลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นให้กับระบบธนาคารโดยรวมมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ร่วมขับเคลื่อนการเข้าถึงบริการ และสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินในปี 2568 ความน่าสนใจอย่างต่อเนื่อง และผลตอบแทนที่มองเห็นชัดได้ของทองคำนั้นจะโดดเด่นเป็นพิเศษในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยข้อมูลระหว่างปี 2514 - 2566 ได้แสดงให้เห็นว่าภายในเดือนมกราคมเพียงเดือนเดียว ทองคำได้ให้ผลตอบแทนสูงถึง 1.79% ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยรายเดือนในระยะยาวถึงเกือบ 3 เท่า ในขณะที่เราได้ก้าวเข้าสู่ปี 2568 ซึ่งเป็นปีที่คาดการณ์ว่าจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทองคำสามารถเป็นเครื่องมือที่มอบความมั่นคงปลอดภัยในสภาวะที่มีความผันผวน และเป็นการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนอย่างมีศักยภาพให้กับทั้งรัฐบาลและบุคคลทั่วไป รวมทั้งสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศให้มีความแข็งแกร่ง และช่วยให้คนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างครอบคลุมและเท่าเทียม บทความโดย แอนดรูว์ เนย์เลอร์ (Andrew Naylor) หัวหน้าภูมิภาคตะวันออกกลางและฝ่ายนโยบายสาธารณะ สภาทองคำโลก

ราคาทองเช้าวันนี้ ปรับขึ้น 200 บาท

ราคาทองเช้าวันนี้ ปรับขึ้น 200 บาท

หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำ ปรับขึ้น 200  บาท โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 42,450.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 42,550.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 41,690.00 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 43,050.00 บาท

เช้านี้ราคาทอง ปรับลง 350 บาท

เช้านี้ราคาทอง ปรับลง 350 บาท

         หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำ ปรับลดลงรวม  350 บาท  โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ร่วงแรง 300 บาท และซือขายครั้งที่ 2 ปรับลดลงอีกครั้ง 50 บาท ทำให้ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 42,4000.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 42,500.00  บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 41,629.36 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 43,000.00 บาท

จับตาราคาทอง เช้านี้ปรับขึ้น 350 บาท

จับตาราคาทอง เช้านี้ปรับขึ้น 350 บาท

              หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 สมาคมค้าทองคำ แจ้งราคาทองปรับขึ้นรวม 350 บาท  โดยการปรับเปลี่ยนราคาทอง การซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาขึ้นลง 50 บาท และครั้งที่ 2 แจ้งปรับขึ้นอีก 300บาท  ซึ่งราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 43,900.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 44,000.00  บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 43,115.04 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 44,500.00 บาท

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

ราคาทองเช้าวันนี้ ปรับลดลง 100 บ.

ราคาทองเช้าวันนี้ ปรับลดลง 100 บ.

              หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งการปรับเปลี่ยนราคาทอง โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาปรับลง 100 บาท ซึ่งราคาทองแท่ง รับซื้ออยู่ที่ 43,600.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 43,700.00  บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 42,811.84 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 44,200.00 บาท

ราคาทองเช้านี้ ปรับลง 200 บาท

ราคาทองเช้านี้ ปรับลง 200 บาท

          หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งการปรับเปลี่ยนราคาทอง โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาปรับลง 200 บาท ซึ่งราคาทองแท่ง รับซื้ออยู่ที่ 43,800.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 43,900.00  บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 43,008.92 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 44,400.00 บาท

ทองคำทั่วโลกทำสถิติสูงสุด มูลค่ากว่า 1 แสนล้านดอลลาร์

ทองคำทั่วโลกทำสถิติสูงสุด มูลค่ากว่า 1 แสนล้านดอลลาร์

          ความต้องการทองคำผู้บริโภคไทยเติบโตสูงสุดในอาเซียนติดต่อกันสองไตรมาส ด้านความต้องการทองคำทั่วโลกพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ มูลค่ารวมกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์           รายงานแนวโน้มความต้องการทองคำประจำไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 จากสภาทองคำโลก (World Gold Council:WGC) ได้เผยว่าความต้องการทองคำผู้บริโภคของประเทศไทยยังคงมีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียนต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สอง โดยพุ่งสูงขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา คิดเป็นปริมาณ 14.5 ตัน ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 ขณะเดียวกันปริมาณความต้องการทั่วโลกก็ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยมีปริมาณความต้องการทองคำทั้งหมด[1] จากทุกภาคส่วนเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 1,313 ตัน ซึ่งนับว่าเป็นปริมาณความต้องการโดยรวมของไตรมาสที่ 3 ที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ และนับเป็นมูลค่าของความต้องการทองคำรวมสูงกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการเก็บสถิติ โดยได้รับแรงสนับสนุนจากภาคการลงทุนที่แข็งแกร่งท่ามกลางสภาวะราคาทองคำที่สูงเป็นประวัติการณ์           ด้านความต้องการทองคำสำหรับการลงทุนได้เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 364 ตัน เนื่องจากทิศทางความต้องการในกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETF) ทองคำได้เปลี่ยนไปซึ่งโดยส่วนหลักแล้วเกิดขึ้นจากนักลงทุนฝั่งตะวันตก กองทุน ETF ทองคำทั่วโลกได้เพิ่มปริมาณทองคำขึ้นจำนวนรวม 95 ตัน ซึ่งถือเป็นไตรมาสแรกที่มีทิศทางเป็นบวกนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ของปี 2565 เป็นต้นมา           แม้ว่าความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำทั่วโลกได้ลดลง 9% แต่ความต้องการของประเทศไทยกลับสวนกับทิศทางในระดับโลกและเติบโตเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบปีก่อนหน้า โดยมีจำนวนอยู่ที่ 12.1 ตันสำหรับในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 และนับเป็นประเทศที่มีความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำสูงเป็นอันดับที่สองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำทั่วโลกในปีนี้ยังคงอยู่ที่ระดับ 859 ตัน ซึ่งถือว่ายังคงเป็นระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 10 ปีซึ่งอยู่ที่ปริมาณ 774 ตัน           คุณเซาไก ฟาน (Shaokai Fan) หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน) และหัวหน้าธนาคารกลางระดับโลกของสภาทองคำโลก กล่าวว่า           “ความต้องการทองคำผู้บริโภคในประเทศไทยมีความแข็งแกร่ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการประกาศเริ่มโครงการ ‘ดิจิทัล วอลเล็ต’ ที่รอคอยกันมานาน ซึ่งได้รวมการแจกเงินรูปแบบของเงินสดที่ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจในท้องถิ่น รัฐบาลได้เริ่มดำเนินโครงการนี้ในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 ซึ่งอาจช่วยสนับสนุนความต้องการทองคำในไตรมาสที่ 4 ได้”           คุณเซาไก กล่าวเสริมว่า “ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ความกังวลทางการเมืองและเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงการคาดการณ์ว่าราคาทองคำจะพุ่งสูงขึ้น ได้กระตุ้นความต้องการทองคำของนักลงทุนในประเทศในกลุ่มอาเซียนในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา โดยทั้งประเทศไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ต่างก็มีการเติบโตในระดับตัวเลขสองหลักเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยซึ่งความต้องการทองคำผู้บริโภคยังคงมีการเติบโตสูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียนติดต่อกันถึงสองไตรมาส”           ในส่วนของธนาคารกลาง ได้มีการซื้อทองคำชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามระดับความต้องการยังคงแข็งแกร่งอยู่ที่ปริมาณ 186 ตัน โดยยอดความต้องการทองคำของธนาคารกลางตลอดทั้งปีจนถึงปัจจุบันรวมกันอยู่ที่ระดับ 694 ตัน สอดคล้องกับระดับปริมาณในช่วงเดียวกันของปี 2565           ราคาทองคำยังคงพุ่งสูงต่อเนื่องเป็นประวัติการณ์ในไตรมาสนี้ โดยมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2,474 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบต่อระดับความต้องการทองคำเครื่องประดับทั่วโลก และทำให้การบริโภคทองคำเครื่องประดับลดลง 12% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าหากพิจารณาในแง่ของปริมาณทองคำ แต่หากมองในเชิงมูลค่ากลับพบว่ามีการเติบโต 13% สิ่งนี้อาจแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยินดีจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อซื้อผลิตภัฒฑ์ทองคำในปริมาณที่น้อยลง           นอกจากนี้ ความต้องการทองคำในภาคเทคโนโลยีได้เติบโต 7% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตในภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเนื่องจากการเติบโตของเทคโนโลยี AI ที่ยังคงสนับสนุนความต้องการทองคำอย่างต่อเนื่อง           ด้านอุปทานทองคำในไตรมาสนี้มีปริมาณรวมทั้งหมดสูงขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเกิดจากการเติบโตของการผลิตทองคำเหมืองแร่ที่เพิ่มขึ้น 6% และปริมาณการรีไซเคิลทองคำที่สูงขึ้น 11%[2]           คุณหลุยส์ สตรีท (Louise Street) นักวิเคราะห์การตลาดอาวุโส ของสภาทองคำโลก กล่าวว่า           “ไตรมาสที่ 3 มีการลงทุนและกิจกรรมการซื้อขายนอกตลาดเพิ่มขึ้น ซึ่งได้ช่วยหนุนความต้องการทองคำทั่วโลกและผลักดันผลประกอบการของราคาทองคำ แม้ว่าราคาที่สูงขึ้นนี้ได้ทำให้ความต้องการในตลาดผู้บริโภคส่วนใหญ่ลดลง แต่การลดภาษีนำเข้าในอินเดียก็ได้ทำให้ความต้องการทองคำเครื่องประดับรวมถึงทองคำแท่งและเหรียญทองคำยังคงอยู่ในระดับสูงได้อย่างน่าทึ่ง ท่ามกลางสภาวะราคาทองคำที่สูงเป็นประวัติการณ์”           “ปัจจัยของ ‘ความกลัวว่าจะพลาดโอกาส’ ในหมู่นักลงทุนถือเป็นสิ่งสำคัญที่ผลักดันให้ปริมาณความต้องการทองคำสูงขึ้นในไตรมาสนี้ นักลงทุนได้แสดงความสนใจซื้อทองคำเนื่องจากแนวโน้มด้านราคา และสนับสนุนด้วยแนวโน้มของการลดอัตราดอกเบี้ยที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้นักลงทุนยังได้มองบทบาทของทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองสหรัฐฯ และความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง”           ‎“ในอนาคตข้างหน้า เรามองว่าการเปลี่ยนแปลงในกระแสการลงทุนทองคำยังคงเป็นแนวโน้มที่น่าจะเกิดขึ้นต่อไป ‎ซึ่งสิ่งนี้อาจช่วยรักษาปริมาณความต้องการทองคำและระดับราคาให้อยู่ในระดับสูง แต่ขณะเดียวกันเราก็ได้เห็นราคาทองคำพุ่งทำสถิติใหม่มาแล้วมากกว่า 30 ครั้งในปี 2567 ซึ่งสภาวะนี้จะยังคงเป็นความท้าทายสำหรับผู้บริโภคต่อไป อย่างไรก็ดีโอกาสในการเติบโตทางเศรษฐกิจก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เราจะจับตามองเพราะอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มทิศทางของทองคำได้”‎           สามารถอ่านรายละเอียดรายงาน แนวโน้มความต้องการทองคำไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 (Gold Demand Trends Q3 2024 report) ซึ่งรวมถึงข้อมูลรายละเอียดที่ครอบคลุมจาก Metals Focus ได้ ที่นี่ [1] ความต้องการทองคำโดยรวม หมายถึงยอดปริมาณรวมกันระหว่างการผลิตทองคำเครื่องประดับ การผลิตทองคำเพื่อใช้ในเทคโนโลยี การลงทุน รวมกับการซื้อสุทธิของธนาคารกลาง และการทำธุรกรรมแบบ Over-the-counter (OTC) หรือการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นการซื้อขายที่เกิดขึ้นโดยตรงระหว่างคู่ตกลงสองฝ่าย ต่างจากการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่ดำเนินการผ่านตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนหลักอย่างเป็นทางการ [2]อุปทานทองคำทั้งหมด นั้นรวมถึงการป้องกันความเสี่ยง (Hedging) สุทธิของผู้ผลิตด้วย

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

[Vision Exclusive] ทองทุบสถิติ โอกาสทะลุ 45,000 บาทหรือไม่?

[Vision Exclusive] ทองทุบสถิติ โอกาสทะลุ 45,000 บาทหรือไม่?

          นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ  ย้ำทองยังเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่สุด !!! เผยเดือนตุลาคม ทองขึ้นถึง 2,000-3,000 บาทในเดือนนี้ พร้อมชี้แนวโน้มทองคำจ่อทะลุ 45,000 บาท จากปัจจัยการเลือกตั้งสหรัฐฯ การประชุมเฟด และความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ที่ทำให้นักลงทุนหันมาถือทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย           นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า ราคาทองคำในช่วงนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย ณ วันที่ 25 ตุลาคม 2567 ราคาทองคำแท่งปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 43,5 บาท (เป็นการปรับขึ้นครั้งที่ 4) ซึ่งในเดือนตุลาคมนี้ ราคาทองคำปรับขึ้นถึง 2,000-3,000 บาท โดยในระยะสั้นมีโอกาสที่ราคาทองคำจะปรับฐานบ้าง แต่ยังคงมองว่าในปีนี้ ราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวทะลุ 45,000 บาท           นายจิตติระบุว่า ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตาในเดือนพฤศจิกายน ได้แก่ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 รวมถึงการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในวันที่ 6-7 พฤศจิกายน 2567 อีกทั้งสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศในตะวันออกกลาง เช่น อิสราเอลและอิหร่าน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้นักลงทุนหันมาสนใจสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น นอกจากนี้ ความผันผวนของค่าเงินบาทก็มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดทองคำ โดยทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องและได้รับความนิยมในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย           ทั้งนี้ ราคาทองคำเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 44,000 บาทต่อบาททองคำ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในประวัติการณ์ โดยราคาทองคำในประเทศสอดคล้องกับทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก ปัจจุบันทองคำแท่งได้รับความนิยมมากกว่าทองรูปพรรณ เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการลงทุนระยะยาว ขณะที่ทองรูปพรรณไม่ได้รับความนิยมในการสวมใส่เช่นเดิม ส่วนผู้ที่มีบทบาทในการกำหนดราคาทองคำ คือสมาคมค้าทองคำ ซึ่งจะเป็นผู้กำหนดราคาทองคำที่อิงจากตลาดโลก           “ราคาทองคำช่วงนี้มีการปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่อง ดังนั้นระยะสั้นจะเห็นการปรับฐานบ้าง แต่มองว่าจากปัจจัยที่ต้องติดตามหลายเรื่อง ทั้งการเลือกตั้งสหรัฐฯ การประชุมเฟด สงครามตะวันออกกลาง มีโอกาสที่ทองจะเกิน 45,000 บาท แต่มองว่าทองยังเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยเหมาะแก่การลงทุน และตอนนี้จากข้อมูลพบว่าคนมาซื้อทองคำมากกว่าขายทองคำ” นายจิตติ นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าว           สำหรับการลงทุนทองคำ นายจิตติแนะนำว่า การลงทุนระยะสั้นควรมีความระมัดระวัง ทั้งในเรื่องการซื้อขายทองคำ หรือการลงทุนใน Gold Futures หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับราคาทองคำภายในประเทศ แต่ในส่วนของการลงทุนระยะยาว นักลงทุนที่มีเงินพร้อมลงทุน หรือเงินเย็น ยังถือเป็นโอกาสในการซื้อสะสมทองคำแท่ง รายงานโดย: ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการข่าว สำนักข่าว Hoonvision

ลาว เปิด! ธนาคารทองคำ สินทรัพย์ปลอดภัย จริงหรือ?

ลาว เปิด! ธนาคารทองคำ สินทรัพย์ปลอดภัย จริงหรือ?

https://www.youtube.com/watch?v=Z78zU_UXHWA