เปิดกลยุทธ์การลงทุน หุ้นไทย ส่งท้ายปี | จัดเต็มการลงทุน
https://youtu.be/9sf_98QgaEM เปิดกลยุทธ์การลงทุน หุ้นไทย ส่งท้ายปี | จัดเต็มการลงทุน ติดตามรายการ จัดเต็มการลงทุน ทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 9.00-9.30 น. ทาง ททบ.5
https://youtu.be/9sf_98QgaEM เปิดกลยุทธ์การลงทุน หุ้นไทย ส่งท้ายปี | จัดเต็มการลงทุน ติดตามรายการ จัดเต็มการลงทุน ทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 9.00-9.30 น. ทาง ททบ.5
หุ้นวิชั่น - บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ยังคงเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในตลาดทุนไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยการติดอันดับสูงสุด AAA ในการประเมิน "SET ESG Ratings" ประจำปี 2567 และอยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืนต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี (Doing Business with Compassion) โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่ บี.กริม ยึดถือมาตลอด 146 ปี ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ความสำเร็จในครั้งนี้ถือเป็นเครื่องยืนยันถึงวิสัยทัศน์ของบริษัทที่มุ่งสร้างพลังให้กับสังคมโลกด้วยความโอบอ้อมอารี (Empowering the World Compassionately) เพื่อสร้างคุณค่าให้กับสังคม พร้อมเติบโตเคียงคู่ไปกับประเทศไทยและภูมิภาค ผ่านการบริหารจัดการอย่างยั่งยืนครอบคลุมมิติเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม ภายใต้หลักบรรษัทภิบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนการเรียนรู้แก่เยาวชนในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) ผ่านโครงการ B.Grimm School Camp โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยแห่งประเทศไทย และโครงการอาชีวศึกษาทวิภาคี ซึ่งได้สร้างโอกาสให้เยาชนรวมกว่า 178,794 คน ในการเข้าถึงองค์ความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ นอกจากนี้โครงการ Save the Tigers ยังเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ บี.กริม เพาเวอร์ในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและฟื้นฟูระบบนิเวศ สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ” ในปีนี้ บี.กริม เพาเวอร์ เป็นหนึ่งใน 56 บริษัทที่ได้รับการจัดอันดับสูงสุด AAA จากทั้งหมด 228 บริษัทจดทะเบียนที่ผ่านเกณฑ์การประเมิน SET ESG Ratings โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผลประเมินนี้เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ลงทุนใช้ควบคู่กับข้อมูลอื่น ๆ ในการวิเคราะห์ความเสี่ยงและโอกาสการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งในขณะเดียวกันปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) ยังคงมีบทบาทเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในการส่งเสริมศักยภาพในการเติบโตขององค์กร ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของการลงทุนอย่างยั่งยืน (Sustainable Investment) ที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ตลอดปีที่ผ่านมา บี.กริม เพาเวอร์ ได้รับการยอมรับในระดับประเทศและระดับสากลผ่านการจัดอันดับและรางวัลด้านความยั่งยืนจากองค์กรและหน่วยงานชั้นนำด้านความยั่งยืนทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ อาทิการจัดอันดับใน S&P Global Sustainability Yearbook 2023 ด้วยคะแนน Top 10% ของกลุ่มบริษัทผู้นำระดับโลก การได้รับอันดับความน่าเชื่อถือระดับ BBB จาก MSCI ESG Rating นอกจากนี้ยังเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืน “FTSE4Good Index Series” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 และได้รับรางวัล Sustainability Disclosure Awards จากสถาบันไทยพัฒน์ ติดต่อกันเป็นปีที่ ตลอดจนได้รับการประเมินโครงการ CGR ในระดับดีเลิศ โดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ติดต่อกันเป็นปีที่ 5 ด้วยปรัชญาและความมุ่งมั่นการดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี บี.กริม เพาเวอร์ พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายการเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon Emissions) ภายในปี พ.ศ. 2593 เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับโลกและคนรุ่นหลังต่อไป
หุ้นวิชั่น - บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน ด้วยคะแนน DJSI 2023 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป จำนวน 4 ชุด อายุหุ้นกู้ตั้งแต่ 3 ปี ถึง 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง [3.15 – 4.00]% ต่อปี ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากทริสเรทติ้ง สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น ในธุรกิจโทรคมนาคม และธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัล คาดเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 6-7 และ 10 กุมภาพันธ์ 2568 ผ่าน 7 สถาบันการเงินชั้นนำได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ซีไอเอ็มบี ยูโอบี บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส รวมถึงการขายผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet โดยมีธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้และผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น มุ่งสู่การเป็นบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทยอย่างยั่งยืน สะท้อนผ่านผลประกอบการไตรมาส 3/2567 โดยมีกำไรสุทธิ (หลังรายการปรับปรุง) 3.1 พันล้านบาท และ EBITDA ที่เติบโตต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 7 ติดต่อกัน ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของรายได้ธุรกิจหลักและการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ โดยเรามุ่งเน้นการลงทุนในโซลูชัน ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ล้ำสมัย เพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานขององค์กร พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศผ่านการขยายโครงข่าย 5G อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีผู้ใช้บริการ 5G จำนวน 12.4 ล้านราย เพิ่มขึ้น 5.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ความโดดเด่นของทรู คอร์ปอเรชั่นยังสะท้อนผ่านการได้รับการจัดอันดับล่าสุด ในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI 2023) โดยได้คะแนนรวมเป็นที่ 1 สูงสุดของโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ด้วยการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และด้วยนวัตกรรมและวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ บริษัทฯ ได้รับความเชื่อมั่นอย่างสูงจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ สะท้อนผ่านราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 120% นับตั้งแต่ต้นปี 2567 จนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อเทียบกับดัชนี SET ที่เพิ่มขึ้นเพียง 1%" บริษัทฯ และหุ้นกู้ที่เสนอขายได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2567 ซึ่งสะท้อนถึงสถานะผู้นำทางการตลาด (market position) ในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ เสริมทัพด้วยโครงข่ายทั่วประเทศ ชุดคลื่นความถี่ที่ครอบคลุม และชื่อแบรนด์ที่ผู้บริโภคคุ้นเคย อีกทั้งปัจจัยบวกจากประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการควบรวม รวมถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่คาดว่าน่าจะปรับตัวดีขึ้นในอนาคตอีกด้วย ทางด้านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED ปรับลดอัตราดอกเบี้ยถึง 3 ครั้ง โดยครั้งแรกในช่วงเดือนกันยายนมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 4.75-5.00% ครั้งที่ 2 ช่วงเดือนพฤศจิกายน FED ประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 4.50-4.75% และล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา FED เองก็ทำตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ด้วยการประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงเหลือ 4.25-4.50% ซึ่งตลาดยังคาดการณ์อีกว่า ในอนาคต FED น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก ส่วนในประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเช่นกัน โดยในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 2.25% และอาจมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอีก จึงเป็นจังหวะที่ดีสำหรับนักลงทุนในการสะสมหุ้นกู้ในช่วงต้นปี เพื่อล็อคผลตอบแทนไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะนักลงทุนที่นิยมลงทุนในหุ้นกู้ที่มีคุณภาพสูง และด้วยอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” ของทรู น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน” หุ้นกู้ครั้งนี้จะเสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) โดยมีอายุหุ้นกู้ระหว่าง 3 ปี ถึง 10 ปี เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนทุกกลุ่ม ตอบโจทย์ทั้งนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว วัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้เพื่อชำระคืนหนี้จากการออกตราสารหนี้ โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ และคาดว่าจะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 6-7 และวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท ซึ่งบริษัทฯ หวังว่าหุ้นกู้ที่เสนอขายในครั้งนี้จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา โดยหุ้นกู้ทั้ง 4 ชุดที่เสนอขาย มีรายละเอียดดังนี้ หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.15 – 3.35]% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.50 – 3.70]% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.70 – 3.85]% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.85 – 4.00]% ต่อปี ซึ่งเฉพาะรุ่นอายุ 10 ปี ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดได้ตั้งแต่หุ้นกู้ครบปีที่ 5 เป็นต้นไป ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยที่แน่นอนบริษัทฯ จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง โดยบริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th หรือ สอบถามรายละเอียดที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 7 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02 888 8888 กด 869 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 777 6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 626 7777 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน แอป CIMB Thai Digital Banking ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 285 1555 บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02 680 4004 บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02 165 5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปฯ Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) สำหรับผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet สามารถศึกษาเพิ่มเติมถึงรายละเอียด ขั้นตอน และวิธีการสมัคร TrueMoney Wallet Application และวิธีการจองซื้อ ได้ที่เว็บไซต์ www.truemoney.com หรือติดต่อขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด โทร. 1240 กด 6
หุ้นวิชั่น - บริษัท ทีคิวเอ็ม อัลฟา จำกัด (มหาชน) หรือ TQM ผู้นำในธุรกิจนายหน้าประกันภัยและประกันชีวิต พร้อมด้วยธุรกิจการเงิน และเทคโนโลยีแพลตฟอร์มเพื่อตอบโจทย์ฐานลูกค้า ได้รับการประเมินเป็นหนึ่งในหุ้นยั่งยืน SET ESG Rating ระดับ A โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน แสดงถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของ TQM โดยบริษัทยึดมั่นและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environment, Social and Governance หรือ ESG) มาโดยตลอด ทั้งนี้บริษัทในกลุ่ม ทีคิวเอ็ม อัลฟา มุ่งเน้นเน้นมาตรฐานการดำเนินงานที่ดีเยี่ยม โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด โดยให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาล ควบคู่ไปกับการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ดร.อัญชลิน พรรณนิภา ประธานบริษัท ทีคิวเอ็ม อัลฟา จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความสำเร็จในครั้งนี้ว่า "การได้รับการประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Rating ระดับ A ซึ่งปีนี้เราได้รับการจัดอันดับขึ้นมาจากปีที่แล้วด้วย เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่ TQM ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG มาโดยตลอด TQM จะยังคงพัฒนามาตรฐานการกำกับดูแลทุกบริษัทในกลุ่มให้มีความแข็งแกร่งและยั่งยืน ยึดหลักหลักธรรมาภิบาลที่ดี และยืนยันถึงวิสัยทัศน์การดำเนินงานที่โปร่งใส เชื่อถือได้ และยึดมั่นในการพัฒนาที่ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม”
หุ้นวิชั่น - บริษัท เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (BLESS ASSET GROUP) หรือ BLESS ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างบ้านคุณภาพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ไปพร้อมกับการสร้างสังคมคุณภาพ และโลกที่ยั่งยืน ภายใต้นิยาม “ใช้ชีวิต..ให้สุขยิ่งกว่า Live your Blessed Life” ตามเจตนารมย์ของแบรนด์ “บ้านสุข บ้าน BLESS” ที่ให้ความสำคัญกับ Waste Management ส่งเสริมการจัดการขยะอย่างมีความรับผิดชอบ ครอบคลุมตั้งแต่ที่อยู่อาศัย พื้นที่ส่วนกลาง ไซต์งานก่อสร้าง และออฟฟิศของบริษัทฯ เพื่อนำขยะรีไซเคิล กลับมาหมุนเวียนใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และลดปริมาณขยะที่จะนำไปสู่การฝังกลบ (Landfill) ให้ได้มากที่สุด
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 8 เซนต์ หรือ 0.12% ปิดที่ 69.46 ดอลลาร์/บาร์เรล ปิดบวกเล็กน้อยในวันศุกร์ (20 ธ.ค.) ขณะที่นักลงทุนประเมินแนวโน้มอุปสงค์ของจีนและการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลังสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อต่ำกว่าคาด ในขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 69.70 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ 0.35%
หุ้นวิชั่น - การส่งออกกะทิไทยขยายตัวต่อเนื่อง จากการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารโลก สนค. แนะผู้ประกอบการให้ความสำคัญในกระบวนการผลิตมะพร้าวตามมาตรฐานสากลและที่คู่ค้ากำหนด เพื่อคว้าโอกาสเพิ่มการส่งออกไปตลาดโลกมากขึ้น นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้ติดตามสถานการณ์การค้าสินค้ามะพร้าวและผลิตภัณฑ์แปรรูป โดยปี 2566 ไทยมีผลผลิตมะพร้าว 0.94 ล้านตัน ขณะที่มีความต้องการใช้ ประมาณ 1.14 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.35 จากปี 2565) ความต้องการใช้ ของไทยแบ่งเป็น การบริโภคในประเทศ ร้อยละ 38 และการใช้เพื่อส่งออกร้อยละ 62 ในปี 2566 ไทยส่งออกกะทิ เป็นมูลค่า 353.54 ล้านเหรียญสหรัฐ (12,208 ล้านบาท) สำหรับ 10 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค. – ต.ค.) ไทยส่งออกกะทิไปยัง 131 ประเทศทั่วโลก เป็นมูลค่า 341.11 ล้านเหรียญสหรัฐ (12,064 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.85 จากปีก่อนหน้า ส่วนใหญ่ไทยส่งออกกะทิสำเร็จรูป (มีสัดส่วนถึงร้อยละ 93.13) กะทิสำเร็จรูปเป็นสินค้าศักยภาพและมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 42.26 และ 18.12 ในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ นอกจากนี้ กะทิสำเร็จรูปอินทรีย์ แม้ยังมีสัดส่วนการส่งออกน้อย แต่เป็นสินค้าที่น่าจับตามอง โดยในปี 2567 ไทยส่งออกกะทิสำเร็จรูปอินทรีย์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 36.83 โดยมีตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา (สัดส่วนร้อยละ 70.50) เนเธอร์แลนด์ (สัดส่วนร้อยละ 10.43) และสวิตเซอร์แลนด์ (สัดส่วนร้อยละ 6.21) การส่งออกกะทิของไทยแต่ละกลุ่ม สรุปได้ดังนี้ (1) กะทิสำเร็จรูป ปี 2566 ส่งออกมูลค่า 326.55 ล้านเหรียญสหรัฐ (11,277 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 42.26 และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ส่งออกมูลค่า 317.68 ล้านเหรียญสหรัฐ (11,235 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.12 มีสัดส่วนร้อยละ 93.13 ของมูลค่าการส่งออกกะทิทั้งหมดของไทย (2) กะทิผง ปี 2566 ส่งออกมูลค่า 8.78 ล้านเหรียญสหรัฐ (303 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.33 และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ส่งออกมูลค่า 7.58 ล้านเหรียญสหรัฐ (267 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.93 มีสัดส่วนร้อยละ 2.22 ของมูลค่าการส่งออกกะทิทั้งหมดของไทย (3) กะทิสำเร็จรูปอินทรีย์ ปี 2566 ส่งออกมูลค่า 4.78 ล้านเหรียญสหรัฐ (165 ล้านบาท) ลดลงร้อยละ 20.07 และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 การส่งออกกลับมาขยายตัว โดยมีมูลค่า 5.35 ล้านเหรียญสหรัฐ (189 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 36.83 มีสัดส่วนร้อยละ 1.57 ของมูลค่าการส่งออกกะทิทั้งหมดของไทย (4) กะทิแช่แข็ง ปี 2566 ส่งออกมูลค่า 1.75 ล้านเหรียญสหรัฐ (60.42 ล้านบาท) ลดลงร้อยละ 98.63 และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ส่งออกมูลค่า 0.45 ล้านเหรียญสหรัฐ (16.09 ล้านบาท) ลดลง ร้อยละ 72.56 มีสัดส่วนร้อยละ 0.13 ของมูลค่าการส่งออกกะทิทั้งหมดของไทย (5) กะทิอื่น ๆ ปี 2566 ส่งออกมูลค่า 11.68 ล้านเหรียญสหรัฐ (403 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.51 และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ส่งออกมูลค่า 10.06 ล้านเหรียญสหรัฐ (357 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น ร้อยละ 1.51 มีสัดส่วนร้อยละ 2.95 ของมูลค่าการส่งออกกะทิทั้งหมดของไทย ทั้งนี้ ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค. – ต.ค.) ไทยส่งออกกะทิขยายตัวในตลาดคู่ค้าสำคัญ อาทิ สหรัฐอเมริกา ขยายตัวร้อยละ 24.21 (สัดส่วนการส่งออกร้อยละ 38.73) ออสเตรเลีย ขยายตัวร้อยละ 9.08 (สัดส่วนการส่งออกร้อยละ 7.53) แคนาดา ขยายตัวร้อยละ 22.92 (สัดส่วนการส่งออกร้อยละ 6.41) สหราชอาณาจักร ขยายตัวร้อยละ 3.49 (สัดส่วนการส่งออกร้อยละ 6.34) และเนเธอร์แลนด์ ขยายตัวร้อยละ 37.49 (สัดส่วนการส่งออกร้อยละ 3.53) การส่งออกกะทิที่เพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารทั่วโลก ข้อมูลจาก The Business Research Company ระบุว่า ตลาดอาหารและเครื่องดื่มโลก ในปี 2567 มีอัตราการเติบโตร้อยละ 6.4 และคาดว่าปี 2571 จะมีอัตราการเติบโตร้อยละ 5.9 นอกจากนี้ กะทิยังมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์หากบริโภค ในปริมาณที่เหมาะสม อาทิ กรดไขมันอิ่มตัวสายกลาง (MCTs) ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงาน และกรดลอริก (Lauric Acid) ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันและให้พลังงานแก่ร่างกาย อีกทั้งยังเป็นผลิตภัณฑ์จากพืชที่ไม่มีกลูโคสหรือแล็กโทส จึงเหมาะสำหรับการใช้ทดแทนผลิตภัณฑ์จากนมบางชนิด ที่ผ่านมา ภาครัฐโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่งเสริมการปลูกและผลิตมะพร้าวให้มีคุณภาพและมาตรฐานที่ทั่วโลกยอมรับ อาทิ การปลูกมะพร้าวพันธุ์ใหม่ที่มีต้นเตี้ยทดแทนสวนมะพร้าวเดิม ทำให้เก็บเกี่ยวง่ายและมีอายุการเก็บเกี่ยวยาวนานกว่า รวมถึงมีโครงการนำร่อง GAP-Monkey Free Plus (GAP-MFP) เพื่อรับรองแปลงผลิตมะพร้าวปลอดภัยและการเก็บมะพร้าวที่ไม่ได้ใช้ลิง ตลอดจนส่งเสริมให้เกษตรกรขอรับมาตรฐานดังกล่าว ควบคู่ไปกับการพัฒนาเครื่องมือเก็บมะพร้าวอีกด้วย นายพูนพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า เนื่องจากไม่มีพิกัดศุลกากรระดับสากลสำหรับสินค้ากะทิ ทำให้ ไม่สามารถเปรียบเทียบข้อมูลการค้ากะทิของโลกได้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยหลายรายเป็นผู้ส่งออกกะทิรายสำคัญของโลก ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมของไทยยังมีความต้องการนำเข้ามะพร้าว สำหรับแปรรูปเป็นกะทิเพื่อส่งออก แสดงถึงศักยภาพของผู้ประกอบการไทยในการแปรรูปและส่งออกผลิตภัณฑ์กะทิ นอกจากนี้ หากทุกภาคส่วนให้ความสำคัญ ในกระบวนการผลิตมะพร้าว ตั้งแต่การปลูก การเก็บ และการแปรรูป ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและสอดรับกับ ความต้องการของประเทศคู่ค้า รวมทั้งเพิ่มเติมประเด็นความรับผิดชอบต่อสังคมสิ่งแวดล้อม และการมีสวัสดิการแรงงานที่ดี ก็จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและผลักดันให้ไทยคว้าโอกาสการส่งออกไปยังตลาดโลกได้เพิ่มขึ้น
หุ้นวิชั่น - ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ และ นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและเลขานุการ มูลนิธิตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มอบการสนับสนุนศูนย์โปรตอนสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เพื่อการรักษามะเร็งด้วยอนุภาคโปรตอน เอื้อให้ผู้ป่วยทุกคนได้รับการรักษาที่ดีที่สุดและเข้าถึงง่ายที่สุด โดยมี รองศาสตราจารย์นายแพทย์ฉันชาย สิทธิพันธุ์ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย รับมอบ มูลนิธิตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งสานพลังความร่วมมือกับองค์กรภาคีทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับคนไทย
หุ้นวิชั่น - บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป หรือ BKA หนึ่งในผู้นำธุรกิจบ้านมือสองตกแต่งใหม่ ประกาศเดินเกมรุกธุรกิจบ้านมือสองตกแต่งใหม่ พร้อมอยู่ รับดีมานด์ตลาดบ้านมือสองคึก จ่อระดมทุนในตลาดเอ็ม เอ ไอ เสนอขาย IPO 60 ล้านหุ้น เล็งสร้างโอกาสการต่อยอดทางธุรกิจ และ สยายปีก สู่แพลตฟอร์ม “Prop Tech” ดึงนวัตกรรม AI และ Virtual Reality มาสร้างมิติใหม่ในการดูบ้านเสมือนจริงทางออนไลน์ นายพชร ธนวงศ์เกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BKA เปิดเผยว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจให้บริการปรับปรุงบ้านมือสองเพื่อขาย (ธุรกิจบ้านแต่ง “Flipping”) ซึ่งเป็นการฝากขายบ้านมือสองพร้อมกับการปรับปรุงซ่อมแซมก่อนขาย ให้มีสภาพใหม่ พร้อมอยู่อาศัย ด้วยการออกแบบที่สวยงาม งานซ่อมแซมที่มีคุณภาพ พร้อมรับประกันผลงานและให้บริการหลังการขาย รวมทั้งดำเนินธุรกิจนายหน้าซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์ หรือการรับฝากขายบ้านมือสอง (ธุรกิจบ้านฝาก) และ ธุรกิจซื้อบ้านมือสองมาปรับปรุงเพื่อขาย (ธุรกิจบ้านตัด) โดยมุ่งหวังที่จะเป็นตัวกลางในการให้บริการ แก้ปัญหา ของผู้ที่อยากขายบ้าน แต่ไม่มีเวลา ไม่มีความรู้ประสบการณ์ในการเตรียมบ้านให้มีความพร้อม ในขณะเดียวกันต้องการช่วย ผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยในทำเลที่ดี ด้วยงบประมาณที่เหมาะสม เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตของธุรกิจซื้อขายบ้านมือสองในประเทศไทย บริษัทฯ จึงพร้อมขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ ”เป็นผู้นำในธุรกิจบริการ ซื้อขายบ้านมือสอง และทรัพย์สินรอการขายของสถาบันการเงิน (NPA) ตกแต่งใหม่ ในประเทศไทย” โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสามารถให้บริการ การซื้อขายบ้านมือสอง และ บริการรีโนเวทบ้าน ให้มีคุณภาพดี มีมาตรฐาน ครอบคลุมในประเทศไทย ภายใต้การดำเนินงานที่เป็นเลิศ การบริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม และความพึงพอใจให้กับทั้งลูกค้า คู่ค้า และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย “สำหรับลักษณะการดำเนิน 3 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย 1. ธุรกิจบ้านแต่ง ในวงการบ้านมือสองเรียกว่า “Flipping” เจ้าของบ้านมือสองจะทำสัญญาฝากขายบ้านกับบริษัทฯ โดยยินยอมให้บริษัทฯ ทำการปรับปรุงบ้าน โดยบริษัทฯ จะวางเงินประกันการปฏิบัติตามสัญญาให้แก่เจ้าของบ้านก่อนเข้าปรับปรุงบ้าน และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงทั้งหมด เมื่อบริษัทฯ ขายบ้านได้ เจ้าของบ้านจะได้รับเงินเฉพาะส่วนที่เป็นราคาขายบ้านตามสัญญาที่ได้ตกลงไว้กับบริษัทฯ ขณะที่บริษัทฯ จะได้รับส่วนต่างที่เหลือของราคาที่ผู้ซื้อรับซื้อบ้านกับราคาขายที่เจ้าของบ้านได้รับ 2. ธุรกิจบ้านฝาก บริษัทฯ ทำหน้าที่เป็นตัวแทนขายบ้านมือสองตามสภาพเดิม ที่เจ้าของบ้านนำมาฝากขายไว้ โดยมีรายได้จากค่านายหน้าตามที่ตกลงกันเมื่อขายบ้านหลังนั้นได้ และ 3. ธุรกิจบ้านตัด บริษัทฯ ซื้อบ้านมือสองมาทำการปรับปรุงเพื่อขาย ซึ่งได้มาจากการประมูลหรือซื้อโดยตรงจากเจ้าของทรัพย์สิน โดยการทำธุรกิจบ้านตัดนี้ บริษัทฯ จะรับซื้อบ้านมือสองเฉพาะเมื่อสามารถซื้อได้ในราคาที่ดีเท่านั้น เพื่อให้มีอัตรากำไรที่ดี” และด้วยความมุ่งมั่นสู่การขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างรายได้และโอกาสการเติบโต ในอนาคต ส่งผลให้บริษัทฯ วางกลยุทธ์สู่การขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจ ได้แก่ กลยุทธ์การสร้างตราสินค้า โดยมุ่งเน้นที่จะเป็นศูนย์รวมบ้านมือสองตกแต่งใหม่ พร้อมอยู่ ภายใต้การให้ความสำคัญต่อคุณภาพผลิตภัณฑ์และบริการทั้งก่อนและหลังการขาย เพื่อสร้างการจดจำและ ความแข็งแกร่งกับตราสินค้า 2. กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์และบริการที่ดี โดยบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการคัดเลือกบ้านมือสองเพื่อนำมาปรับปรุงตกแต่งใหม่ รวมทั้งพิจารณารูปแบบบ้าน และการปรับปรุง ให้มีฟังก์ชั่น การใช้งานอย่างครบครัน ภายใต้แนวความคิดการใช้ชีวิตจริงของผู้อยู่อาศัย เพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด 3. กลยุทธ์ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ในด้านทำเลที่ตั้งและระดับราคา ให้ลูกค้ามีตัวเลือกจำนวนมากตามความต้องการที่หลากหลาย 4. กลยุทธ์การรับประกันบ้านมือสองตกแต่งใหม่ ตามเงื่อนไขรายการรับประกันที่บริษัทฯ กำหนด สูงสุดถึง 6 เดือน และ 5. กลยุทธ์การสื่อสารทางการตลาดผ่านสื่อออนไลน์ เพื่อสร้างการรับรู้และการเข้าถึงของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ด้วยเนื้อหาข้อมูลที่สร้างความรู้และ ความน่าสนใจให้แก่ผู้ที่ต้องการซื้อบ้านมือสอง และพัฒนาไปสู่การเป็นลูกค้าตัวจริงให้มากที่สุด บริษัทฯ ในฐานะ ผู้ให้บริการในธุรกิจบ้านมือสอง เชื่อว่าตลาดบ้านมือสองมีแนวโน้มการเติบโต ได้อย่างยั่งยืน โดยเล็งเห็นถึงข้อได้เปรียบของบ้านมือสองในทำเลเดียวกันกับบ้านโครงการใหม่ ที่มีราคาถูกกว่า และพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า เนื่องจากการปรับตัวสูงขึ้นมาโดยตลอดของราคาที่ดินในทำเลที่มีศักยภาพ การเพิ่มขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้างและค่าแรง ทำให้ราคาบ้านโครงการใหม่ปรับตัวสูงขึ้นมาก และมีช่องว่างของราคา (Gap Price) ที่กว้างขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับราคาบ้านมือสอง ประกอบกับโครงการบ้านจัดสรรใหม่ๆ มีทำเลที่ตั้งที่ไกลออกไป เนื่องจากที่ดินเปล่าผืนใหญ่ใกล้เมืองหาได้ยากขึ้น ในขณะที่บ้านมือสองส่วนใหญ่มีทำเลดี ราคาถูกคุ้มค่ากว่าบ้านโครงการใหม่ จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากขึ้น โดยบริษัทฯ เน้นการทำธุรกิจบ้านแต่งเป็นหลัก เนื่องจากเป็นบ้านมือสองตกแต่งใหม่ที่ใช้เงินลงทุนต่ำแต่ให้ผลตอบแทนสูงเมื่อเทียบกับการซื้อบ้านมาปรับปรุงเพื่อขาย (บ้านตัด) อีกทั้งบริษัทฯ พิจารณาว่าตลาดยังมีศักยภาพการเติบโต และยังไม่มีคู่แข่งรายใหญ่ในตลาด บริษัทฯ มองว่าภาคอสังหาฯ โดยเฉพาะตลาดบ้านมือสองเริ่มฟื้นตัว โดยเห็นได้จากกำลังซื้อผู้บริโภค ที่เริ่มกลับมาคึกคัก เมื่อเทียบกับปี 2566 สอดรับศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ที่ระบุว่าตัวเลขตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบใน 9 เดือนแรกของปี 2567 พบการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของพฤติกรรมผู้บริโภค โดยบ้านมือสองได้รับความนิยมสูงถึง 71% ของจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด คิดเป็นมูลค่า 52% ของมูลค่าการโอนรวม ซึ่งเป็นผลจากราคาที่ดินและต้นทุนค่าก่อสร้าง ที่ปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่บ้านมือสองมีราคาต่ำกว่าบ้านสร้างใหม่ ภายใต้ขนาดและทำเลเดียวกัน โดยราคาเฉลี่ยของการโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่อยู่ที่ 4.87 ล้านบาท ขณะที่บ้านมือสองราคาเฉลี่ยของการโอนกรรมสิทธิ์อยู่ที่ 2.16 ล้านบาท ซึ่งการเติบโตของตลาดบ้านมือสอง สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยในราคาที่จับต้องได้ นางนิสาภรณ์ ฤกษ์อร่าม กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด ในฐานะบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป หรือ BKA ได้รับอนุญาตให้เสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ ต่อประชาชนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) แล้ว และอยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ปัจจุบัน BKA มีทุนจดทะเบียน 105 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 210 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 75 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 150 ล้านหุ้น โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 28.57 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขาย IPO ในครั้งนี้ สำหรับเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุน บริษัทฯ จะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานเพื่อขยายการเติบโตของบริษัทฯ จากการขยายพอร์ตการให้บริการบ้านแต่ง (Flipping) เพิ่มขึ้นเป็นหลัก รวมถึงนำไปพัฒนาธุรกิจ Property Technology (Prop Tech) โดยสร้าง Platform ตัวกลางในการซื้อขายอสังหาฯ เพื่อให้บริษัทฯ สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งผู้ต้องการซื้อและขายบ้านได้หลากหลายและมีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาข้อมูลให้แก่ผู้ที่ต้องการซื้อบ้าน และเทคโนโลยีระบบเสมือนจริง (Virtual Reality) มาใช้ในการแนะนำบ้านให้กับผู้ที่ต้องการซื้อบ้านได้เห็นภาพบ้านเสมือนจริงทางออนไลน์ นอกจากนี้ยังมีแผนชำระคืนเงินกู้ยืมจากบุคคลอื่นทั้งจำนวน [PR News]
หุ้นวิชั่น - ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ฟุตซี่ รัสเซล (FTSE Russell) ประกาศรายชื่อหลักทรัพย์ FTSE SET Index Series มีผล 23 ธ.ค. 2567 นี้ โดย บมจ. มาสเตอร์ สไตล์ หรือ MASTER ติดอันดับ FTSE SET Shariah Index ครองใจด้านความงามด้วยนิยาม Be a Better You ในฐานะผู้ประกอบกิจการโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช ผู้นำอันดับต้นของอุตสาหกรรมด้านความงามในไทยและเอเชีย พร้อมก้าวเป็น Regional Company ด้าน CEO "ลภัสรดา เลิศภานุโรจ" เผยหุ้น MASTER เข้าคำนวณดัชนีครั้งนี้ สะท้อนถึงมาตรฐาน-ความน่าเชื่อถือของบริษัท เข้าตานักลงทุน ที่สนใจธุรกิจศัลยกรรมความงาม นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และ ฟุตซี่ รัสเซล (FTSE Russell) ประกาศรายชื่อหลักทรัพย์ชุดใหม่ที่ใช้ในการคำนวณ FTSE SET Index Series โดย MASTER เป็นหนึ่งในหลักทรัพย์ที่เข้าใหม่ในการเข้าคำนวณ FTSE SET Shariah Index (FSTSH) ตอกย้ำผลการดำเนินงานที่เติบโตและความน่าเชื่อถือของบริษัทในสายตาของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยดัชนีนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป หุ้น MASTER ได้เข้ารับคัดเลือกเข้าสู่ดัชนี FTSE SET Shariah Index ในครั้งนี้ สะท้อนถึงมาตรฐานและความน่าเชื่อถือของบริษัท ส่งผลให้ได้รับความสนใจจากนักลงทุน ด้านธุรกิจความงามในภูมิภาค ด้วยกลยุทธ์ที่ชัดเจนและความเป็นผู้นำในด้านนี้ MASTER ที่พร้อมเดินหน้าขึ้นเป็น Regional Company อย่างมั่นคง ตอกย้ำความเป็นศูนย์กลางด้านศัลยกรรมความงามในเอเชีย “MASTER ในฐานะผู้ประกอบกิจการโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าคำนวณในดัชนี FTSE SET Shariah Index (FSTSH) ซึ่งการได้รับเลือกในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงความโปร่งใสและมาตรฐานของ MASTER ว่ามีความน่าเชื่อถือและมีคุณภาพ ในฐานะองค์กรที่ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม และการเป็นส่วนหนึ่งของดัชนีนี้ช่วยให้ MASTER เป็นที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนในตลาดโลก ตอกย้ำความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมศัลยกรรมความงาม ด้วยมาตรฐานการบริหารจัดการที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล” นางสาวลภัสรดา กล่าว สำหรับดัชนี FTSE SET Shariah Index เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการลงทุนตามหลักศาสนาอิสลาม ใช้อ้างอิงในการออกผลิตภัณฑ์การเงิน เช่น ETF และกองทุนอิสลาม พร้อมช่วยเพิ่มโอกาสในการพัฒนาสินค้าการเงินใหม่ๆ ให้ตลาดทุนไทยน่าสนใจในระดับภูมิภาคและสากล ดัชนีนี้คัดเลือกหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง (Liquidity screening) กระจายหุ้นดี (Free float adjusted) และมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance) เหมาะสำหรับการลงทุนแบบยั่งยืน (Sustainability Investment) นางสาวลภัสรดา กล่าวเสริมว่า MASTER กำลังก้าวขึ้นเป็นผู้นำในระดับภูมิภาค (Regional Company) ในธุรกิจศัลยกรรมความงาม ด้วยจุดโดดเด่น ด้านทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมความงามที่มีประสบการณ์ พร้อมให้บริการลูกค้า ตั้งแต่หัตถการศัลยกรรมเสริมจมูก ศัลยกรรมยกคิ้ว ศัลยกรรมปรับโครงหน้า ดูดไขมัน การดูแลสุขภาพชาย การดูแลผิวพรรณ และการปลูกผม ทั้งนี้โรงพยาบาลมาสเตอร์พีชได้รับการรับรองภายใต้มาตรฐานโรงพยาบาล ทำให้เป็นที่ไว้วางใจสำหรับลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ สอดคล้องกับความนิยมด้านศัลยกรรมความงามในกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เพิ่มสูงขึ้น เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น และสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงในภูมิภาค ตอกย้ำด้วยผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยผลดำเนินงาน 9 เดือน มีรายได้จากการประกอบกิจการโรงพยาบาลอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท เติบโต 8.9% จากปี 2566 และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 303 ล้านบาท เติบโต 20% จากปี 2566 และมีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้น เป็น 20.21% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่ทำได้ 18.40% นอกจากนี้ บริษัทฯ คาดผลดำเนินงานไตรมาส 4/2567 เป็นช่วงสำคัญที่ผลักดันทั้งรายได้และกำไร โดยคาดเห็นการเติบโตที่โดดเด่นจากลูกค้าต่างชาติ ด้วยแรงหนุนจากลูกค้าต่างประเทศเทศ นำโดย อินโดนีเซีย เมียนมาร์ กัมพูชา และลาว เข้ามาสนับสนุนการเติบโตของบริษัท โดย MASTER มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน [PR News]
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) รมช. คลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้าการพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร หรือ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ (Entertainment Complex) คาดว่า กระทรวงการคลังจะเสนอ ครม. ราวต้นปี 2025 เราประเมินความคืบหน้าดังกล่าวจะหนุนตลาดเริ่ม เชื่อมั่นต่อโอกาสเติบโตภาคบริการระยะกลางเพิ่มขึ้น ประเมินหุ้นเด่นในธีมเด่นดังกล่าว AWC, BTS, VGI, AOT, BA, MBK ระยะสั้นเน้น BTS ที่กำลังเข้าสู่ช่วง Turnaround เป็นอีกแรงเสริม และ AWC
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) E-Receipt : รมช.คลัง ชง ครม. สัปดาห์นี้ออกมาตรการ Easy E-Receipt ลดหย่อนภาษี5 หมื่น เริ่ม 15 ม.ค. – 28 ก.พ. 25 เพิ่มสิทธิใช้จ่ายการท่องเที่ยว คาดเงินหมุนเวียนในระบบ 7 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ในวงเงิน 50,000 บาทนั้น แบ่งการใช้จ่ายเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1.) การใช้สำหรับสินค้าอุปโภคและบริโภค วงเงิน 30,000 บาท และเพิ่มเติมสามารถในแพ็คเกจการท่องเที่ยวได้เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเดินทาง การใช้จ่ายการท่องเที่ยว เช่น แพ็คเกจทัวร์และการจองโรงโรม เป็นต้น 2.) การใช้จ่ายผ่านกลุ่มวิสาหกิจชุมชุน และโอท็อป วงเงิน 20,000 บาท เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในกลุ่มเอสเอ็มอีและชุมชน เพื่อให้ชุมชนมีความเข็งแข็งขึ้น อิงหลักเกณฑ์ใหม่ เราประเมินผลบวกมาตรการทั่วถึงมากขึ้น ทั้งกลุ่มค้าปลีก เน้นกลุ่มที่มียอดขาย ต่อบิลสูง CRC, HMPRO, BJC, COM7 บัตรเครดิต KTC ท่องเที่ยว เน้น AWC, CENTEL และกลุ่ม ธนาคารที่มีฐานสินเชื่อ SME ต่อสินเชื่อรวมสูง เน้น KBANK, SCB, BBL
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี –STA มองกําไรปี 2568 โตต่อเนื่อง EUDR หรือ เกณฑ์ EU Deforestation-free Products Regulation การตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของวัตถุดิบของหลายสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงยางซึ่งเดิมจะเริ่มบังคับใช้ปลายปี 2567 และในต้นเดือน ต.ค. 2567 มีการประกาศเลื่อนการใช้เกณฑ์ EUDR ออกไป 1 ปี เป็นปลายปี 2568 ทางฝ่ายมองการ เลื่อน EUDR เป็น Sentiment เชิงลบต่อ Supply ในระยะสั้น เนื่องจากกลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยางล้อแบรนด์ญี่ปุ่น จีน และอินเดีย ชะลอการสั่งซื้อ อย่างไรก็ตามผู้บริหาร STA แจ้งการ เลื่อน EUDR ไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยส าคัญ นอกจากนี้ทางฝ่ ายคาดปริมาณขายยาง EUDR เร่งตัวขึ้นในช่วง 2H68 เพื่อเตรียมส่งมอบวัตถุดิบในปี 2569 ส าหรับ Demand (ยาง EUDR และ Non- EUDR) ในปี 2568 คาดขยายตัวจาก 1) การเร่งซื้อวัตถุดิบเพื่อไปสต๊อกก่อนการบังคับใช้ของกฎEUDR จากลูกค้าผู้ผลิตยางล้อ2) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก 3) การขยายตัวของอุตสาหกรรมขั้นปลาย เช่นอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลก โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าในจีนและยุโรป , ถุงมือยาง , อุปกรณ์การแพทย์ และ 4)แนวโน้มราคานheมันต้นปี 2568 คาดทรงตัวอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตยางสังเคราะห์สูง ผู้ผลิตหันมาใช้ยางธรรมชาติมากขึ้น สeหรับสถานการณ์ราคายางพาราในตลาด SICOM ที่ผ่านมา พบว่าราคายางแท่ง (STR20) ปรับตัวสูงขึ้น ทางฝ่ายมีมุมมองเชิงบวกต่อ อุตสาหกรรมยางพาราในปี 2568 เหตุจากราคายางพาราในตลาด SICOM มีแนวโน้มสูงขึ้น ได้รับปัจจัยบวกจากความต้องการยางธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น ทางฝ่ ายคาดในปี 2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ1,356 ล้านบาท โต 29.1% y-y มีแรงหนุนจาก 1) แนวโน้มการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคายางพาราคาในตลาด SICOM จากการเร่งตัวของความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ยางแท่ง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์2) การขยายตัวของ Demand ผลิตภัณฑ์น้ำยางข้นในอุตสาหกรรมถุงมือยาง ตามทิศทางความต้องการใช้ถุงมือยางและผลิตภัณฑ์ยางทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยเสี่ยงจากก ลังการผลิตส่วนเกินตามการเร่งขยายกำลังการผลิตในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดโรค COVID-19 เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา 3) คาดแนวโน้มค่าเงินบาทอ่อนในช่วง 1H68 คาด Demand เพิ่ม แม้เลื่อน EUDR เกณฑ์ EU Deforestation-free Products Regulation (EUDR) คือ การตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของวัตถุดิบของหลายสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงยางที่จะต้องมาจากพื้นที่ปลอดจากตัดไม้ทำลายป่าและ ไม่รุกล้าพื้นที่ป่าสงวน ซึ่งเดิมจะเริ่มบังคับใช้ปลายปี 2567 และในต้นเดือน ต.ค. 2567 มีการประกาศเลื่อนการใช้เกณฑ์ EUDR ออกไป 1 ปี เป็ นปลายปี 2568 ทางฝ่ายมองการเลื่อน EUDR เป็นSentiment เชิงลบต่อ Supply ในระยะสั้น เนื่องจากกลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยางล้อแบรนด์ญี่ปุ่ น จีน และอินเดีย ชะลอการสั่งซื้อยาง EUDR อย่างไรก็ตามผู้บริหาร STA แจ้งการเลื่อน EUDR ไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจาก STA ยังคงมีคำสั่งซื้อยาง EUDR จากผู้ผลิตยางล้อรถยนต์รายใหญ่ นอกจากนี้ทางฝ่ายคาดปริมาณขายยาง EUDR เร่งตัวขึ้นในช่วง 2H68 เพื่อเตรียมส่งมอบวัตถุดิบในปี 2569 คาดกำลังการผลิตยาง EUDR ในครึ่งหลังของปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 84,400 ตันต่อไตรมาส หรือ 20% ของกำลังการผลิต ส าหรับ Demand (ยาง EUDR และ Non-EUDR) ในปี 2568 คาดขยายตัวจาก 1) การเร่งซื้อวัตถุดิบเพื่อไปสต๊อกก่อนการบังคับใช้ของกฎ EUDR จากลูกค้าผู้ผลิตยางล้อ 2) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก 3) การขยายตัวของอุตสาหกรรมขั้นปลาย เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลก โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าในจีนและยุโรป , ถุงมือยาง , อุปกรณ์การแพทย์ และ 4) แนวโน้มราคาน้ำมันต้นปี 2568 คาดทรงตัวอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตยางสังเคราะห์สูง ผู้ผลิตหันมาใช้ยางธรรมชาติมากขึ้น มองกำไรปี 2568 โตต่อเนื่อง จากสถานการณ์ราคายางพาราในตลาด SICOM ที่ผ่านมา พบว่าราคายางแท่ง (STR20) ปรับตัวสูงขึ้น โดย 11 เดือนแรกของปี 2567 ค่าเฉลี่ยราว 165-170 Cent/kg ทางฝ่ายมีมุมมองเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมยางพาราในปี 2568 เหตุจากราคายางพาราในตลาด SICOM มีแนวโน้มสูงขึ้น ทางฝ่ายประมาณการราคายางพาราในตลาด SICOM ปี 2568 มีค่าเฉลี่ยราว 175-180 Cent/kg โดยปรับตัวสูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยของปี 2567 ได้รับปัจจัยหนุนจากความต้องการยางธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ต้องใช้ยางส าหรับผลิตยางล้อ (Tires) ซึ่งเติบโตตามการฟื้ นตัวของเศรษฐกิจโลกหลังสถานการณ์ COVID-19 และการขยายตัวของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ราคาพื้นฐานปี 68 ที่ 22.25 บาท/หุ้น อิงวิธี DCF ทางฝ่ายประเมินราคาหุ้น โดยใช้ DCFอยู่ที่ 22.25 บาท เนื่องจากเป็นบริษัทฯ ที่มั่นคงและเป็นบริษัทฯที่ใหญ่ ทางฝ่ายคาดปี 2567 มีกำไรสุทธิ 1,050 ล้านบาท เติบโต 341.7% y-y และคาดในปี 2568บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1,356 ล้านบาท โต 29.1% y-y หนุนจากความต้องการยางพาราที่เพิ่มสูงขึ้น ตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะชิ้นส่วนยานยนต์และตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV)ทางฝ่ายคาดราคาพื้นฐานปี 68 อยู่ที่ 22.25 บาท/หุ้น ราคาหุ้นปัจจุบันยังต่ำกว่าราคาพื้นฐาน คงคำแนะนำ “ซื้อ”
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ระบุว่า HMPRO แนวโน้ม 4Q67 ขยายตัวดี QoQ จาก SSSG ที่ดีขึ้น ผลประกอบการในงวด 3Q67 ดีกว่าคาดเล็กน้อย โดยมีกำไรสุทธิเท่ากับ 1.4 พันล้านบาท -6% YoY ทำ New low ในรอบ 3 ปีจากรายได้ที่ลดลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากช่วงฤดูฝนที่ตกหนักกว่าปกติ สถานการณ์น้ำท่วม และกำลังซื้อที่ชะลอตัวลง ทำให้ SSSG ในห้าง HMPRO อยู่ที่ -5.8% และ MegaHome อยู่ที่ -3.0% รวมถึงได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า ค่าธรรมเนียมดอกเบี้ยหลังออกหุ้นกู้ในช่วงอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง และการทำโปรโมชั่นเพื่อส่งเสริมการขาย ด้านแนวโน้ม 4Q67F คาดว่าจะขยายตัวดี QoQ จาก SSSG ที่ดีขึ้นจากสถานการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือเริ่มคลี่คลายและได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐ ทำให้มีการกลับมาซ่อมแซมที่อยู่อาศัยมากขึ้น ขณะที่ในงวดนี้ไม่ได้รับผลกระทบของการปรับปรุงพื้นที่สาขาพฤกษ์ นอกจากนี้แนวโน้ม GPM มีโอกาสขยับขึ้นแตะระดับ 28% (9M67 อยู่ที่ 26.5%, 3Q67 อยู่ที่ 27.1%) จากการเพิ่มสินค้าของ Own brand และแนวโน้มบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนในงวดนี้จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าขึ้น นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดสาขา Hompro และ MegaHome รวม 4 สาขา ส่วนเป้าหมายจะเปิดเพิ่มอีก 8 สาขา รวมถึงจะมีกการเพิ่มสาขา Hybrid (เชื่อมสาขา Hompro และ MegaHome) ด้าน Bloomberg consensus ประเมินกำไรสุทธิในงวด 4Q67F ที่ 1.77 พันล้านบาท (+23% QoQ, +2% YoY) และงวดปี 67-68F เท่ากับ 6.6 พันล้านบาท +3% YoY และ 7.1 พันล้านบาท +7% YoY ตามลำดับ มีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 11.97 บาท โดยในเชิง Valuation ซื้อขายบน FWD PE ที่ 17.2 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคที่ 21.4 เท่า ส่วนในเชิง sentiment คาดรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี ได้แก่ Easy E-receipt รอบใหม่ และการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ช่วยหนุนกำลังซื้อ และ SSSG ให้ขยายตัว
หุ้นวิชั่น - GPSC ผ่านการคัดเลือกโดย กกพ. เป็นผู้พัฒนาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ FiT ของผู้ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน 4 โครงการโดยเป็นกำลังการผลิตกว่า 193 เมกะวัตต์ จากโครงการร่วมทุน เฮลิออส 1 เฮลิออส 2 เฮลิออส 4 และไออาร์พีซี คลีน พาวเวอร์ หนุนเพิ่มพอร์ตพลังงานหมุนเวียนในประเทศ ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเข้าระบบ รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เดินหน้าสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศ นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. เปิดเผยว่า GPSC ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในการประกาศผลการคัดเลือกการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed -in Tariff (FiT) ปี 2565 -2573 จำนวน 4 โครงการ โดยมีกำลังการผลิตรวมประมาณ 193 เมกะวัตต์ ซึ่งอยู่ในกลุ่มของผู้ผลิตพลังงานพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน โดยมีผู้ที่ได้รับการคัดเลือกทั้งสิ้น จำนวน 64 ราย รวม 1,580 เมกะวัตต์ ที่กำหนดให้มีการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (SCOD) ตั้งแต่ปี 2569-2573 สำหรับโครงการที่ได้รับการคัดเลือก จาก กกพ. ประกอบด้วย บริษัท เฮลิออส 1 จำกัด (Helios 1) กำลังการผลิต 48.6 เมกะวัตต์, บริษัท เฮลิออส 2 จำกัด (Helios 2) กำลังการผลิต 61.4 เมกะวัตต์ บริษัท เฮลิออส 4 จำกัด (Helios 4) กำลังการผลิต 8 เมกะวัตต์ ซึ่ง GPSC ถือหุ้นร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจในสัดส่วน 50% และบริษัทร่วมทุนระหว่าง GPSC และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ภายใต้บริษัท ไออาร์พีซี คลีน พาวเวอร์ จำกัด (IRPC-CP) โดย GPSC ถือหุ้นสัดส่วน 51% กำลังการผลิต 74.88 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ Helios 1 และ Helios 2 มีกำหนด SCOD ในปี 2569 และ Helios 4 และ IRPC-CP มีกำหนด SCOD ในปี 2571 นับเป็นความสำเร็จของการเพิ่มโอกาสในการลงทุนพลังงานหมุนเวียนในประเทศ ที่ GPSC ได้เข้าไปมีส่วนเสริมสร้างเสถียรภาพการจัดหาและพัฒนาพลังงานของประเทศตามนโยบายของรัฐบาล ที่มีแนวทางการขับเคลื่อนในการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน ตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 – 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP2018 Rev.1) สำหรับโครงการที่ GPSC ได้รับการคัดเลือก เป็นผู้พัฒนาโครงการในครั้งนี้ จัดอยู่ในกลุ่มที่ 1 โดยแต่ละโครงการจะต้องยอมรับเงื่อนไขการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายใน 14 วัน นับถัดจากวันที่ประกาศผลการคัดเลือก อย่างไรก็ดี จากการได้รับการคัดเลือกในครั้งนี้ เป็นไปตามแผนกลยุทธ์ของธุรกิจ GPSC ที่มีเป้าหมาย ในการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเกินกว่า 50% ของกำลังการผลิตในปี 2573 ซึ่ง GPSC เป็นบริษัทด้านนวัตกรรมพลังงานที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาพลังงานสะอาดที่หลากหลาย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้บริษัทฯ มีความพร้อมในการจัดหาพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีส่วนในการสนับสนุนให้ประเทศไทยมีพลังงานสะอาด เพื่อรองรับการลงทุนและการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ เพื่อให้ไทยสามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)” [PR News]
หุ้นวิชั่น - บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด หรือ KTX เปิดเผยมุมมองการลงทุนปี 2568 โดยชูหุ้นกลุ่มคุณค่า (Value) เป็นหัวใจสำคัญในการดึงดูดกระแสเงินทุนต่างชาติ พร้อมย้ำว่าตลาดหุ้นเอเชีย โดยเฉพาะไทยและจีน มีศักยภาพสูงในการรองรับโอกาสการลงทุน ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงจากนโยบายการคลังและการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบในวงกว้าง นายณัฐวุฒิ จันทนะจุลพงศ์ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด หรือ KTX กล่าวว่า “การบริหารของนายโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเพิ่มความเสี่ยงด้านการขาดดุลการคลัง และลดความต้องการในดอลลาร์สหรัฐและพันธบัตรรัฐบาลจากโอกาสกีดกันการค้าที่สูงขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อการอ่อนค่าของดอลลาร์และการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯในระยะกลาง นักลงทุนจึงมองหาตลาดที่มีสัดส่วนหุ้นคุณค่าสูง ทดแทน ตลาดที่เติบโตสูง ดังเช่นสหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบดังกล่าว ซึ่งตลาดไทยและจีนตอบโจทย์ได้อย่างชัดเจน” หุ้นเด่นในกลุ่มคุณค่าปี 2568 ที่น่าสนใจ หุ้นกลุ่มบริการและค้าปลีก:BDMS, CPN, CPALL ซึ่งมีพื้นฐานแข็งแกร่งและราคาหุ้นยังไม่สูงเกินไป หุ้นกลุ่มการเงิน:KBANK, SCB, TTB, KKP, BLA ที่ได้รับแรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ทำให้กลุ่มนี้ตกเป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติ ด้วยสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯที่อาจค้างระดับสูงยาวนาน หุ้นกลุ่มคุณค่าจึงยังมีโอกาสปรับตัวในระดับมูลค่าที่สูงขึ้น (Re-rating) ได้ดีกว่าหุ้นเติบโตสูงที่มีโอกาสปรับตัวในระดับมูลค่าที่ต่ำลง (De-rating) โดยเฉพาะในตลาดเอเชียที่มีแนวโน้มผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และมีโอกาสฟื้นตัวขึ้น และตอบสนองต่อกระแสเงินทุนที่เคลื่อนย้ายเข้าสู่ภูมิภาคนี้ “ตลาดไทยและจีนจึงกลายเป็นเป้าหมายหลักของนักลงทุนที่มองหาความมั่นคงในระยะยาว ทั้งในแง่ของความน่าสนใจด้านมูลค่าและโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” นายณัฐวุฒิกล่าวปิดท้าย
หุ้นวิชั่น หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุ SJWD (ซื้อ/เป้า 16.80 บาท) 4Q24E เข้าสู่ high season, 2025E ภาพรวมธุรกิจดีขึ้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมาย 16.80 บาท อิง 2025E core PER ที่ 29 เท่า (-0.25SD below 5-yr average PER) มองเป็นบวกจาก group conference call (20 ธ.ค.) จาก outlook ที่ดีขึ้นดังนี้: 1) SJWD ประเมินกำไร 4Q24E จะดีขึ้น QoQ เพราะเป็นช่วง high season 2) ธุรกิจห้องเย็นเติบโตดีสุด โดย 4Q24E จะมี occupancy rate เพิ่มขึ้นเป็น > 75% (เทียบ 3Q24 ที่ 72%) ส่วนปี 2025E จะเพิ่มเป็น 72-75% จากปี 2024E ที่ 70-72% โดยจะมีคลังห้องเย็นใหม่เพิ่มอีก 4 แห่ง 3) ธุรกิจคลังสินค้าทั่วไปจะกลับมาดีขึ้นใน 4Q24E หลังคลังใหม่มีลูกค้าใช้บริการเต็ม และปี 2025E จะมีคลังใหม่เพิ่ม 4) ธุรกิจ Oversea จะดีขึ้นต่อเนื่องทั้งจากธุรกิจปัจจุบัน และ SCG Inter Vietnam เริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2024 5) กอง REIT คลังสินค้า ALPHA คาดว่าจะเสนอขายได้ราว 3Q25E และ 6) ตั้งเป้า M&A ปีละ 2 ดีล โดยจะเห็นความชัดเจนอย่างน้อย 1 ดีลกลางปี 2025E ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2024E/25E ที่ 851/1,053 ล้านบาท (+9% YoY/+24% YoY) เบื้องต้นเรา ประเมินกำไรปกติ 4Q24E ใกล้เคียง 3Q24 ที่ 256 ล้านบาท อย่างไรก็ตามกำไร 4Q24E จะมี upside โดยเฉพาะจากธุรกิจห้องเย็น, คลังสินค้าทั่วไป, Oversea และ Automotive รวมถึง effective tax rate จะยังต่ำไม่เกิน 10% (3Q24 = 3%, ปกติ 20%) จาก tax benefit ขณะที่ปี 2025E จะกลับมาเติบโตโดดเด่นจากธุรกิจหลักที่ยังขยายตัว, ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่จะยังปรับตัวดีขึ้น รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่าย SG&A ได้ดีขึ้นต่อเนื่องจากแผนลดต้นทุน ราคาหุ้น underperform SET -23% ในช่วง 6 เดือน จากกำไรปกติ 1H24 ที่ชะลอตัว และยัง underperform SET -8% ในช่วง 3 เดือน ทั้งนี้เรายังแนะนำซื้อจาก outlook 4Q24E และปี 2025E ที่จะกลับมาสดใสมากขึ้น รวมถึงมี upside จากดีล M&A ที่อยู่ระหว่างการศึกษาอีกหลายดีล ด้านราคาหุ้นน่าสนใจปัจจุบันเทรดที่ 2025E core PER 17.7 เท่า คิดเป็น -1.25SD
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “Rebound” ต้าน 1375/1380 จุด รับ 1360/1352 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัว ดัชนี S&P500 +1.09% หนุนจากรายงานเงินเฟ้อ PCE พ.ย. 24 ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่ำกว่าตลาดคาด +2.4%y-y, +0.1%m-m บรรเทาความกังวล Fed ให้สัญญาณเข้มงวดวงจรดอกเบี้ยล่าสุด ผสาน สภาสหรัฐผ่านร่างงบประมาณชั่วคราวทันก่อนสหรัฐต้อง Shutdown โดยรวมช่วยให้ US Bond Yieldอายุ 10 ปีชะลอการขึ้น คือ ปรับลง -4 bps ปิดที่ 4.52 % Dollar Index กลับมาอ่อนค่า 107.8 จุด คาดบวกต่อจิตวิทยาลงทุนตลาดหุ้น Emerging Markets (EM) ที่เผชิญแรงกดดันดังกล่าวตลอดสัปดาห์ก่อน รวมถึง SET ที่เงินบาทกลับมาแข็งค่าสู่ 34.28 +/- บาท ขณะที่สัปดาห์นี้แรงขับเคลื่อนหลักจะมาจากภายใน โดยเฉพาะการอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เม็ดเงินลงทุนระยะยาวเข้ามามากขึ้น หลัง SET ปรับลงมาอยู่ในโซนลงทุน Current และ Forward Equity Risk Premium อยู่ที่ 4.09% และ 4.82% > AVG. + 1 S.D. ที่ 4.05% ที่มักเป็นจุดกลับตัวกรณีไม่มีวิกฤติ ผสาน จิตวิทยาต่างประเทศเป็นบวก วันนี้คาด SET Rebound ได้ หุ้นนำ คือ กลุ่มที่แรงกดดัน Yield ลดลง (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อHigh Yield) หุ้น Domestic (ค้าปลีก ท่องเที่ยว) และหุ้นในธีม Entertainment Complex วันนี้แนะนํา GULF, ADVANC, CRC
หุ้นวิชั่น - บล.เอเชียพลัส ส่องตลาดหุ้นไทย จากสัปดาห์ที่แล้ว เป็นสัปดาห์ที่ SET INDEX ลงแรงสุดของปี -4.65% ด้วยปัจจัยกดดันเข้ามากระจุกตัวพร้อมกัน ความกังวลการเมืองไทยนอกสภาร้อนแรง, FED ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในปีหน้าจาก 4 ครั้ง เหลือ 2 ครั้ง, และหุ้นใหญ่ที่มีปัจจัยเฉพาะตัวกดดัน เป็นต้น อย่างไรก็ตามสัปดาห์นี้ คาดหวัง SET มีโอกาสรีบาวน์หลังลงมาลึก มี PBV เพียง 1.3 เท่า คาดหวังแรงหนุนจาก EASY E-RECEIPT 5 หมื่นบาทต่อคน และค่าเงินบาทเริ่มแข็งค่าขึ้น หลังตัวเลข PCE สหรัฐออกมาต่ำคาด หนุน FUND FLOW มีโอกาสไหลเข้าสัปดาห์สุดท้ายของปี เหมือนกับ 3 ปีที่ผ่านมา ส่วนเม็ดเงินจากกองทุนมีโอกาสไหลเข้าน้อยประเมินราว 3 พันล้านบาท ในเดือนนี้ เนื่องจากนักลงทุนเอนเอียงไปซื้อกองทุน THAI ESG ประเภท ตราสารหนี้มากขึ้น ขณะที่เดียวกันยังเห็นการ REDEMPTION จากกองทุน LTF สลับมาซื้อ THAI ESG อีกประเมินจากปัจจัยแวดล้อม SET INDEX มีโอกาสเกิด TECHNICAL REBOUND คาดกรอบ 1360-1380จุด TOP PICK เลือก ERW, CRC และ ADVANC
หุ้นวิชั่น - บริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ขอแจ้งว่า เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 บริษัท PTTEP SG Holding Pte. Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท.สผ. ได้ลงนามในสัญญาซื้อขาย (Sale and Purchase Agreement: SPA) เพื่อเข้าซื้อหุ้นทุนในสัดส่วนร้อยละ 34 ในบริษัท E&E Algeria Touat B.V. จากบริษัท ENGIE International Corporation B.V. (ENGIE) ทั้งนี้ การซื้อขายจะมีผลสมบูรณ์เมื่อบรรลุเงื่อนไขตามที่ระบุไว้ในสัญญาครบถ้วน รวมถึงการได้รับอนุมัติจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง โดยคาดว่าจะมีผลสมบูรณ์ภายในไตรมาส 2 ปี 2568 ซึ่งจะส่งผลให้ ปตท.สผ. ถือสัดส่วนการลงทุนทางอ้อมในโครงการ Touat ที่ร้อยละ 22.1 ทั้งนี้ ผู้ร่วมทุนอื่นในโครงการประกอบด้วยบริษัท Eni Energy Touat Holding B.V. (บริษัทย่อยของ ENI) และบริษัท SONATRACH S.P.A. (บริษัทน้ำมันแห่งชาติของประเทศแอลจีเรีย) ซึ่งถือสัดส่วนร้อยละ 42.9 และ 35 ตามลำดับ โครงการ Touat เป็นโครงการผลิตก๊าซธรรมชาติภายใต้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (Production Sharing Contract: PSC) ตั้งอยู่ในแหล่งปิโตรเลียมบนบก Timimoun ในประเทศแอลจีเรีย โดยมีประมาณการปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติคงเหลือ 1.92 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต และก๊าซธรรมชาติเหลว (Condensate) คงเหลือ 5.4 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ (ณ วันที่ 1 มกราคม 2567) โครงการดังกล่าวได้เข้าสู่ระยะการผลิตแล้วตั้งแต่ปี 2562 และปัจจุบันมีกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติที่ประมาณ 435 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน พร้อมทั้งมีโอกาสในการเพิ่มกำลังการผลิตในอนาคต การเข้าลงทุนดังกล่าวสอดคล้องกับกลยุทธ์ของ ปตท.สผ. ในการขยายการลงทุนในต่างประเทศ โดยประเทศแอลจีเรียเป็นประเทศที่มีศักยภาพปิโตรเลียมสูง รวมถึงมีความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานและตลาดรองรับการส่งออกก๊าซธรรมชาติ อีกทั้งโครงการยังมีความเสี่ยงในระดับต่ำ เนื่องจากอยู่ในระยะผลิตแล้ว เมื่อการซื้อขายมีผลสมบูรณ์ จะสามารถเพิ่มรายได้ ปริมาณการผลิต และปริมาณสำรองปิโตรเลียม ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวให้กับ ปตท.สผ. ได้ทันที เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการเติบโตของบริษัทต่อไป
หุ้นวิชั่น - THE PARENTS ได้รับรางวัล “Friendly Design Awards 2024” ประเภทดีไซน์เพื่อทุกคนเข้าถึงอย่างปลอดภัยตามมาตรฐานสากล ดร.สุนทรี จรรโลงบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เทคโนเมดิคัล จำกัด (มหาชน) หรือ TM รับมอบรางวัลจากนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในโอกาสที่ “THE PARENTS WELLNESS AND REVITALIZING CENTER” ศูนย์นวัตกรรมสุขภาพเพื่อคุณภาพชีวิตที่ยืนยาว สำหรับบริการฟื้นฟู และส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ ได้รับรางวัล “Friendly Design Awards 2024” ประเภทสถานที่เฟรนด์ลี่ ดีไซน์ มีการส่งเสริมและสร้างทำอารยสถาปัตย์ เพื่อให้ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย และทุกสภาพร่างกาย สามารถเข้าถึงได้ ใช้ประโยชน์ได้ โดยสะดวก ปลอดภัย ทันสมัย ด้วยนโยบายและแนวคิดการออกแบบที่เป็นมาตรฐานสากล และเป็นมิตรกับคนทั้งมวล สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ร้าน TM CARE SHOP โทรศัพท์ 02-933-6119 ต่อ 8101 / 8102 เปิดให้บริการจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 8.00-17.00 น. รวมทั้งติดต่อผ่านช่องทาง Line@ : @tmcareshop และ FacebookPage https://www.facebook.com/TMCARESHOP/ หรือ www.tmcare-shop.com
หุ้นวิชั่น - บล.ดาโอ ส่องหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก Easy E-Receipt มองกลุ่ม Tourism (ERW, CENTEL, MINT, SHR) และร้านอาหาร (MAGURO, OKJ) ได้ผลบวกจากค่าที่พักโรงแรมสามารถนำมาหักภาษีได้และคาดเห็นมีโรงแรมเข้าร่วมโครงการมากขึ้น ส่วน CENTEL และ MINT จะได้ประโยชน์เพิ่มเติมจากร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการ และกลุ่มร้านอาหาร MAGURO และ OKJ ได้ผลบวกจากโอกาสมียอดผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นจากโครงการดังกล่าว นอกจากนี้ กลุ่ม Commerce (กลุ่มผู้ค้าปลีกสินค้าอิเล็กทรอนิกซ์, IT และห้างสรรพสินค้าจะได้ผลบวกมากสุด) มองบวกต่อโครงการ Easy e-Receipt ที่จะช่วยหนุนให้เกิดการใช้จ่ายในประเทศเพิ่มขึ้น ฝ่ายวิจัยประเมินว่ากลุ่มค้าปลีกที่มี basket size ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่ม Home improvement (HMPRO, GLOBAL) และผู้ค้าปลีกสินค้าอิเล็กทรอนิกซ์ IT (COM7)จะได้ผลบวกมากสุด และ ห้างสรรพสินค้า (CRC,CPN) จาก traffic ที่สูงขึ้น จากระยะเวลาโครงการที่ไม่นาน บนสมมติฐานระยะเวลาโครงการเหมือนกับในปี 2024 ที่ผ่านมาที่ให้สามารถใช้จ่ายได้ไม่ได้นานมากรวมทั้งสิ้นที่ 46 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-15 ก.พ. 2024 แต่มีการให้สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีในปี 2024 ที่สูงขึ้น เป็น 50,000 บาท (ปี 2024 = 50,000 บาท, ปี 2023 = 40,000 บาท, ปี 2022 = 30,000 บาท) ฝ่ายวิจัยแนะ Top picks จากประเด็นข้างต้นคือ HMPRO (ซื้อ/13.00 บาท), CRC (ซื้อ/45.00 บาท), CPN (ซื้อ /72.00 บาท), CENTEL (ซื้อ /44.00 บาท), MAGURO (ซื้อ /26.00 บาท)
หุ้นวิชั่น - บล.เอเชียพลัส ส่องภาพเครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยที่ยังขับเคลื่อนได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งยังต้องการแรงกระตุ้นทั้งในส่วนของนโยบายการคลังที่เข้มข้น และนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งล่าสุดทางคุณกิตติรัตน์เสนอให้ กนง. ควรลดดอกเบี้ยให้เร็วกว่านี้ เพื่อหลีกหนีจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่ทางฝั่งกระทรวงการคลังยังเห็นมาตรการกระตุ้นเรื่อยๆ ผ่านการรวบรวมข้อมูลของฝ่ายวิจัยฯ ที่ว่ารัฐบาลเกี่ยวกับการจัดเก็บรายได้-รายจ่าย/ GDP พบว่าในปี 2567 สัดส่วนรายได้สุทธิหลังหักกา จัดสรร/GDP อยู่ที่ 15.1% ส่วนสัดส่วนงบประมาณรายจ่าย/GDP อยู่ที่ 18.9% ซึ่งปีหน้าตัวเลขยังสูงขึ้นอยู่ที่ระดับ 19.8% ตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้ ประเทศไทยขาดดุลงบประมาณมากขึ้นเรื่อยๆ โดยปี 2568 มีการขาดดุลงบประมาณสูงถึง 8.7 แสนล้านบาท ซึ่งคาดว่าอาจเป็นการหาแหล่งเงินทุนเดินหน้าโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท รวมถึงมาตรการอื่นๆที่เตรียมไว้กระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งล่าสุด กระทรวงการคลังเตรียมนำมาตรการ EASY E-RECEIPT เข้าที่ประชุม ครม.สัปดาห์หน้า โดยมีรายละเอียด คือ โครงการให้บุคคลธรรมดา สามารถหักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าและบริการ ไม่เกิน 5 หมื่นบาท(ตั้งแต่ 1 ม.ค.68 เป็นต้นไป) โดยต้องมีหลักฐานเป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งหากอ้างอิงจากข้อมูลปี 2567 คาดว่าจะเพิ่มเงินหมุนเวียนในระบบ 70,000 ล้านบาท หรือกระตุ้น GDP ให้เพิ่มขึ้นอีกราว 0.18% อย่างไรก็ตาม ในมุมความเสี่ยงภาระผูกพันของประเทศ ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเนื่องจากเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นในระบบเศรษฐกิจ กำลังถูกแลกมาด้วยการก่อหนี้สิน โดยหนี้สาธารณะ/GDP ของไทยเดือน ต.ค. 67 ล่าสุดอยู่ที่ 63.99% ซึ่งภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง70% รัฐบาลยังก่อหนี้ได้อีกแค่ 1.1 ล้านล้านบาท เท่านั้น อีกทั้งยอดหนี้สาธารณะของบ้านเรายังเติบโตเร็วกว่า GDP GROWTH มาเป็นเวลานาน หากเศรษฐกิจไทยขยายตัวช้า อาจมีความเสี่ยงที่หนี้สาธารณะ/GDP จะเกินกรอบเป้าหมายได้ โดยสรุป เศรษฐกิจไทยถ้าจะฟื้นแรง ต้องการแรงผลักจากนโยบายการคลังเพิ่มเติม แต่ติดที่หนี้สาธารณะ/GDP ของไทยสูง ใกล้ชนเพดาน จึงทำให้อาจมีความเสี่ยงที่จะเกินกรอบทางวินัยได้
หุ้นวิชั่น - ฝ่ายวิจัย คงน้ำหนักการลงทุนของกลุ่ม รพ. "มากกว่าตลาด" เนื่องจาก กลุ่ม รพ. มีความ defensive มีความเสี่ยงต่ำในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่ราคาหุ้นปรับลดลงสะท้อนข่าวลบมากไป แนวโน้มปี2568 คาดผลประกอบการยังเติบโตดี ภาพระยะกลางถึงยาว มองเป็นบวกจากมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่ภาครัฐสนับสนุนให้ เป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ฝ่ายวิจัย เลือก BCH (TP20.40บาท) และ BDMS (TP37.60บาท) เป็นหุ้น Top pick และแนะนำ “ซื้อ” มองว่าราคาปรับลดลงสะท้อนข่าวลบมากไป สำหรับ BDMS คาดปี 2568 เติบโตดีต่อเนื่อง ตามการเติบโตของ Center of Excellence การขยาย ฐานลูกค้าต่างประเทศเพิ่ม BCH ในปี 2568 คลายปมประเด็นประกันสังคมสำหรับอัตราการเบิกจ่ายเงินชดเชยโรคร้ายแรง และคาดว่าลูกค้าคูเวตจะกลับมารักษา ราคาลงสะท้อนข่าวลบมากไป เลือก BDMS และ BCH เป็นหุ้นเด่น คงน้ำหนักการลงทุนของกลุ่ม รพ. ”มากกว่าตลาด” เนื่องจาก กลุ่ม รพ. มีความdefensive มีความเสี่ยงต่ำ ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่ราคาหุ้นปรับลดลงสะท้อนข่าวลบมากไป จากประเด็น Co-payment ซึ่งมองว่ากระทบจำกัด แนวโน้มปี2568 คาดผลประกอบการยังเติบโตดี ภาพระยะกลางถึงยาวมองเป็นบวกจากมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่ภาครัฐสนับสนุนให้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ฝ่ายวิจัยเลือก BCH(TP20.40บาท) และ BDMS (TP37.60บาท) เป็นหุ้น Top pick ด้วย แนวโน้มผลประกอบการปี 2568 ที่คาดเติบโตดี ขณะที่ราคาปรับลดลงสะท้อนข่าวลบมากไป
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง AU ว่ากำไรจะยังทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องในปีหน้า รายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่ร้านขายขนมหวาน (non-café) โตก้าวกระโดดจากช่องทางการขายใหม่ ๆรายได้จากการขายกลุ่ม non-café จะเป็นปัจจัยหลักขับเคลื่อนการเติบโตใน 4Q67F- ปี 2568F เนื่องจากAU ขยายช่องทางการขายใหม่ ๆ โดยที่มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ช่วยกระตุ้นยอดขายในกลุ่มนี้พุ่งขึ้นถึง 180% YoY และ 170% QoQ อยู่ที่ 62 ล้านบาทใน 3Q67 นอกจากนี้ AU ยังได้รับคำสั่งซื้อ (8 เดือน ช่วงวันที่ 1 ตุลาคม 2567 - 31 พฤษภาคม 2568) จากการบินไทยให้จัดหาขนมปังเนยโสด (butter bun) สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศและเที่ยวบินขาออกไปยังจีน ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม และญี่ปุ่น ทั้งนี้ คาดว่ายอดขายจากทั้งสองช่องทางใหม่นี้จะทำให้ยอดขายในกลุ่ม non-café พุ่งขึ้น 132% อยู่ที่ 195 ล้านบาทในปี 2567F และเพิ่มขึ้นอีก 53% อยู่ที่ 298 ล้านบาทในปี 2568F อีกหนึ่งปัจจัยหนุนมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น โดยสัดส่วนยอดขายจากลูกค้าต่างชาติของ AU เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ 40.5% ใน 3Q67 จากเดิมเพียง 20% ช่วงก่อนโควิด-19 โดยที่ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองเชิงบวกต่อการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนลูกค้านี้เนื่องจากการเติบโตของลูกค้านักท่องเที่ยวช่วยหนุนการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (same store sales growth: SSSG) เป็นเลขสองหลักใน 9M67 ในขณะที่อุปสงค์ในประเทศค่อนข้างชะลอตัว ในส่วนของ SSSG ที่สูงกว่าคาดยังช่วยชดเชยการเปิดสาขาใหม่ที่ค่อนข้างช้าในปี 2567F อยู่ที่ 63 สาขาจาก 61 สาขาในปี 2566 ทั้งนี้ คาดรายได้จากร้านขายขนมหวาน (dessert café) จะเติบโต 26% YoY ในปี 2567F และ 13% ในปี 2568Fปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2567F ขึ้น 14% และปี 2568F ขึ้น 12% คาดว่ากำไรใน 4Q67F ของ AU จะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากยอดขายกลุ่ม non-café ที่สูงขึ้นเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยว และคาดจะเปิดร้านขายขนมหวานใหม่สองสาขา เมื่อรวมยอดขายกลุ่ม non-caféที่สูงขึ้น ฝ่ายวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มประมาณการรายได้จากยอดขายขึ้น 9% ในปี 2567F และ 15% ในปี 2568F ซึ่งส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิใหม่เพิ่มขึ้น 14% อยู่ที่ 300 ล้านบาท (+69% YoY) ในปี 2567F และ 12% อยู่ที่ 342 ล้านบาท (+14% YoY) ในปี 2568F ทั้งนี้ เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของธุรกิจกลุ่ม non-café ต่ำกว่ากลุ่มธุรกิจร้านขายขนมหวานและการคาดว่าอาจมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปีหน้า ฝ่ายวิเคราะห์จึงปรับลด GPM ลง 0.8ppts อยู่ที่ 65.5% ในปี 2567F และ 3.6ppts อยู่ที่ 63.0% ในปี 2568F Valuation & action ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 2568 ขึ้นเล็กน้อยที่ 12.20 บาท (อิงจาก PER ที่ 29x หรือ -1.0 S.D.) จากเดิม 12.10 บาท (PER ที่ 32x)
หุ้นวิชั่น - องค์กรภาคตลาดทุน โดย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai IOD) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมแสดงเจตนารมณ์มุ่งยกระดับธรรมาภิบาลบริษัทจดทะเบียนไทย ยืนยันติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด พร้อมดำเนินการตามความเหมาะสมและตามอำนาจหน้าที่ มุ่งดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน องค์กรภาคตลาดทุนมีเจตนารมณ์ร่วมกันเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้ลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย และรักษาไว้ซึ่งมาตรฐานธรรมาภิบาลที่ดีของบริษัทจดทะเบียนในตลาดทุนไทย อันจะนำไปสู่การพัฒนาตลาดทุนไทยอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นไปตามเนื้อหาของแถลงการณ์ร่วม เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 ดังนี้ จะติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและดำเนินการตามความเหมาะสมและตามอำนาจหน้าที่ จะร่วมกันยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการที่ดีของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึงการทำรายการที่อาจมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงจะดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และอุปนายก สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย กล่าวว่า สภาธุรกิจตลาดทุนไทยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ และการพัฒนาธรรมาภิบาลในบริษัทจดทะเบียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุน นำไปสู่การเติบโตที่มั่นคงยั่งยืน และความสามารถในการแข่งขันในระดับโลกของตลาดทุนไทย นายกุลเวช เจนวัฒนวิทย์ กรรมการผู้อำนวยการ สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai IOD) กล่าวว่า ความยั่งยืนขององค์กรเริ่มที่ความเชื่อถือไว้วางใจจากประชาชน (Public Trust) สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai IOD) หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคณะกรรมการบริษัททุกท่านจะทำหน้าที่เป็นสติให้กับองค์กร ทำงานร่วมกับผู้บริหารในการปลูกจิตสำนึกการมีธรรมาภิบาลที่ดีถ่ายทอดสู่พนักงานทุกระดับเพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ และมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยสมาคมฯ คาดหวังให้ประธานคณะกรรมการเป็นผู้นำขององค์กรในการสร้างวัฒนธรรมการทำงานของคณะกรรมการ เปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นของกรรมการทุกคนอย่างรอบคอบ เราอยากเห็นกรรมการอิสระทำหน้าที่สะท้อนความคาดหวังและรักษาผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกลุ่มต่าง ๆ เพื่อให้บริษัทสามารถบรรลุเป้าหมายตามความคาดหวังที่แท้จริง นายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กล่าวว่า นักวิเคราะห์ให้ความสำคัญอย่างมากกับการมองเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เพราะผู้ลงทุนแสวงหาการลงทุนที่ตอบโจทย์ทั้งการเงินและการทำให้สังคมดีขึ้น ESG ส่งผลต่อทั้งความเสี่ยงและโอกาสทางธุรกิจ ความโปร่งใสเป็นหัวใจสำคัญของตลาดทุน หากบริษัทจดทะเบียนมองเห็นคุณค่าของกำไรระยะสั้น โดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบในระยะยาวก็จะถูกจับตาหรือถูกต่อต้าน ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและผลการดำเนินงานในที่สุด นางชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน และประธานคณะอนุกรรมการ ESG Collective Action กล่าวว่า ในฐานะผู้ลงทุนสถาบันที่ยึดมั่นในหลักความซื่อสัตย์สุจริต ระมัดระวังปกป้องผลประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหน่วยลงทุนเป็นสำคัญ ย้ำถึงความกังวลของผู้บริหารและผู้จัดการกองทุนของ บลจ. ต่อประเด็นความเสี่ยงด้าน ESG โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่ บลจ. ให้ความสำคัญสูงสุดควบคู่ไปกับผลประกอบการที่ดี คือด้านธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียนไทยที่มีกรณีเกิดขึ้นหลายครั้งในปีนี้ ซึ่ง บลจ. ทุกแห่งได้รวมตัวกันอย่างเข้มแข็ง เพื่อยกระดับการดำเนินการด้าน ESG Collective Action ให้กระชับและมีประสิทธิภาพ เพื่อตรวจสอบติดตามข้อเท็จจริง ตั้งคำถาม ประเมินผลกระทบและกำหนดแนวทางการลงทุนในหุ้นที่มีประเด็นปัญหาดังกล่าวในทุก ๆ กรณี และคาดหวังว่าจะเป็นพลังที่เข้มแข็งส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนตลาดทุนไทยอย่างมีคุณภาพ นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การสื่อสารที่รวดเร็วและทั่วถึงถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบัน ซึ่งบริษัทจดทะเบียนต้องเปิดเผยข้อมูลโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ลงทุน เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่จำเป็นต่อการตัดสินใจลงทุนในเวลาที่ทันเหตุการณ์ ซึ่งเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลเป็นความจำเป็นพื้นฐานที่บริษัทจดทะเบียนต้องดำเนินการ แต่หากมีข้อมูลสำคัญที่ผู้ลงทุนซึ่งเป็นผู้ที่มีส่วนได้เสียสำคัญต่อบริษัทอาจได้รับผลกระทบ ก็ควรสื่อสารให้ผู้ลงทุนและสาธารณชนได้รับรู้ด้วย ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูลแก่ผู้ลงทุนอย่างเท่าเทียม ทั่วถึง ทันต่อการนำข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุน
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า MAGURO (ซื้อ/เป้า 26.00 บาท) คาด Tonkatsu Aoki ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค คงคำแนะนำ “ซื้อ” และคงราคาเป้าหมายที่ 26.00 บาท อิง 2025E PER 23.5x วานนี้ฝ่ายวิเคราะห์ได้ไปร่วมงาน soft opening ของร้าน Tonkatsu Aoki สาขาแรกที่ Central World จุดเด่นของร้าน Tonkatsu Aoki เมื่อเทียบกับคู่แข่ง คือ 1) ใช้วัตถุดิบ premium นำเข้ามาจากญี่ปุ่น, 2) รสชาติดี ได้รับยกย่องให้เป็น Senmonten (ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน) ด้านทงคัตสึ ทอดได้กรอบนอกนุ่มใน รักษาความ juiciness ในเนื้อหมูได้ดีมาก และ 3) ราคาอาหารแข่งขันได้ โดยเริ่มต้นที่ 320–990 บาท จากที่เราได้ชิมอาหารในครั้งนี้ เราเชื่อมั่นว่าร้าน Tonkatsu Aoki จะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค จากคุณภาพอาหารที่ premium และราคาที่เหมาะสม โดยร้านจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันนี้ (20 ธ.ค. 2024) ทั้งนี้ MAGURO มีแผนเปิดเพิ่มอีก 4 สาขาในปี 2025E โดยคาดสาขา 2 ที่ One Bangkok และสาขา 3 ที่ Velaa จะเปิดปลาย 1Q25E ต้น 2Q25E เราคาดรายได้ปี 2025E ที่ 45 ล้านบาท/สาขา/ปี, GPM > 50% และ NPM 9-10% ทั้งนี้ หากเปิดครบ 5 สาขา เราคาดจะมีรายได้จาก Tonkatsu Aoki ที่ 225-235 ล้านบาท/ปี และกำไรที่ 23 ล้านบาท/ปี คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E ที่ 95 ล้านบาท (+31% YoY) และกำไรปกติที่ 101 ล้านบาท (+39% YoY) สำหรับปี 2025E คาดกำไรสุทธิที่ 141 ล้านบาท (+49% YoY) ราคาหุ้น underperform SET -6% ใน 1 เดือนที่ผ่านมา ปัจจุบันเทรดอยู่ที่ 2025E PER 17.7x ตํ่ากว่า peer อย่างไรก็ตาม เรายังชอบ MAGURO จาก 1) ธุรกิจร้านอาหารแบบ Full-Service ไทยยังมีการเติบโตต่อเนื่อง, 2) มี penetration rate ที่ต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก และ 3) valuation ไม่แพงเมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไรปี 24-25E ที่ทำ All Time High และยังมี upside จากแบรนด์ใหม่และการขยายสาขาที่มากกว่าคาด
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุถึง SPA ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น การขยายสาขาผลักดันผลประกอบการใน 4Q24 ฝ่ายวิเคราะห์มองว่า SPA เป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบัน 2024YTD มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 33.4 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 27% YoY, คิดเป็น 90% ของระดับก่อนโควิด) และนักท่องเที่ยวจีนกลับมาแล้ว 65% ของระดับก่อนโควิด ซึ่งส่งผลบวกต่อ SPA เนื่องจากลูกค้าต่างชาติสร้างรายได้ถึง 70% ของรายได้รวม โดยนักท่องเที่ยวจากเอเชียตะวันออกคิดเป็น 50% ของรายได้ SPA ทั้งนี้ แรงส่งจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวคาดว่าจะช่วยรักษาระดับ SSSG ให้ใกล้เคียงกับ 3Q24 ที่ 8% นอกจากนี้ SPA ยังขยายสาขาเพิ่มอีก 2 สาขา ทำให้สิ้นปี 2024F จะมีสาขารวม 79-80 สาขา (เพิ่มจาก 77 สาขาในไตรมาส 3/24 เทียบกับที่เรา คาดการณ์ไว้ที่ 79 สาขา) สำหรับปี 2025F บริษัทได้คัดเลือกทำเลสำหรับสาขาใหม่แล้ว 4-5 แห่ง และอยู่ระหว่างเจรจาเพิ่มเติม คาดกำไรเติบโต YoY, QoQ ใน 4Q24F ด้วยแนวโน้ม SSSG ที่เป็นบวกและผลจากการขยายสาขา คาดว่ากำไรหลักใน 4Q24F จะเติบโต QoQ ตามปัจจัยฤดูกาล สำหรับเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากใน 4Q23 บริษัทมีบันทึกรายการสิทธิประโยชน์ทางภาษีจำนวน 56 ล้านบาท หากไม่รวมรายการดังกล่าว เราคาดกำไรก่อนภาษีของ SPA ใน 4Q24F จะเติบโต YoY ทั้งนี้ ผลประกอบการ 9M24 อยู่ที่ 217 ล้านบาท (+13% YoY) คิดเป็น 69% ของประมาณการทั้งปีของเรา ดังนั้น เรายังคงประมาณการผลประกอบการ โดยคาดอยู่ที่ 313 ล้านบาท สำหรับปี 2024F และ 365 ล้านบาท (+16% YoY) สำหรับปี 2025F คงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 8.50 บาท (DCF) ปัจจุบัน SPA ซื้อขายอยู่ที่ 25x 2025F PER คิดเป็น -1SD ของค่าเฉลี่ยในอดีต โดยเราคาดผลประกอบการเติบโตเฉลี่ย 16% ต่อปีระหว่างปี 2024-2026F ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยว การขยายสาขาและมาร์จิ้นที่ดีขึ้น ดังนั้น ยังคงแนะนำ "ซื้อ" ด้วยราคาเป้าหมาย 8.50 บาท
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) น้ำมันดิบ Brent -0.98% d-d ปิดที่ USD 72.67/barrel น้ำมัน WTI -0.91%d-d ปิดที่ USD 69.38/barrel แรงกดดันจากคาดการณ์ Demand การบริโภคน้ำมัน จากมุมมองธนาคารกลางสำคัญมีโอกาสลดดอกเบี้ยในระยะยาวช้าลง และ Dollar index แข็งค่าแรงเป็นปัจจัยกดดัน มองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ แต่ในทางตรงข้ามจะบวกต่อหุ้นสายการบิน AAV กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ฯลฯ
หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.50-34.75 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทอ่อนค่าพร้อมเงินเยนวานนี้ หลังธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติให้คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 25% พร้อมส่งสัญญาณว่าอาจยังต้องรอประเมินอัตราค่าจ้างปีหน้าและทิศทางนโยบายของทรัมป์ ก่อนที่จะขึ้นดอกเบี้ย ธนาคารกลางอังกฤษมีมติ 6:3 ให้คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 75% พร้อมส่งสัญญาณว่าจะลดดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้เงินปอนด์อ่อนค่าลงเทียบต่อดอลลาร์ ธนาคารกลางจีนพยายามชะลอการอ่อนค่าของเงินหยวน โดยประกาศอัตรา Fixing เงินหยวนแข็งค่ากว่าเลข Survey
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้“แกว่งสร้างฐาน” ต้าน 1390/1394 จุด รับ 1367/1362 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯยังถูกปรับสถานะจาก ผลประชุม Fed ดัชนีS&P500 รีบาวน์ก่อนปิดทรง -0.09% รายงานเศรษฐกิจส่วนใหญ่ยังแข็งแกร่ง GDP งวด 3Q24 +3.1%q-q สูงกว่าตลาดคาด และ prev. 3.0% ขณะที่ยอดขอรับสวัสดิการว่างงาน (Initial Jobless Claims) ที่ 2.2 แสนราย ดีกว่าตลาดคาดเล็กน้อย vs prev. 2.42 แสนราย และสนับสนุนมุมมองดอกเบี้ยตาม Dot Plot ใหม่ของ Fed ทำให้US Bond Yield 10 ปียังแกว่งขึ้นอีก +5 bps มาปิดที่ 4.56% ขณะที่ Dollar Index เร่งขึ้นมาปิดที่ 108.1 จุด สูงสุดในรอบ 2 ปีทำให้เงินบาทแกว่งตัวอ่อนค่า 34.5-34.6 บาท กอปรกับปัจจัยลบเฉพาะตัวของ TOP (เพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP) ต่อกลุ่มพลังงาน กลยุทธ์เน้น Selective คาดหุ้นนำตลาดจะอยู่ในกลุ่มจิตวิทยา Yield สหรัฐสูงหนุน อาทิ ธนาคาร ประกัน หุ้นค้าปลีกที่จะได้ประโยชน์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วน Easy E-Receipt และ Digital Wallet เฟส 2 (เข้า ครม. สัปดาห์ หน้า) กลุ่มได้จิตวิทยาบวกเงินบาทอ่อนค่า และหุ้น Defensive วันนี้แนะนํา KTB, CRC, COM7
หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี เจาะหุ้นค้าปลีก หลังมีข่าว รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมเสนอมาตรการ ลดหย่อนภาษีกระตุ้นการบริโภคในประเทศ โครงการ อีซี่ อี-รีซีท (easy e-receipt) ต่อที่ประชุม คณะรัฐมนตรี(ครม.) ในวันที่ 24 ธ.ค.นี้โดยรายละเอียดโครงการจะใช้หลักเกณฑ์เดิม สามารถลดหย่อนภาษีสูงสุด 50,000 บาท สำหรับปีภาษี2025 เริ่มดำเนินงาน เดือนม.ค. 25 ผสานกับ ที่กระทรวงการคลังจะเสนอ ครม. อนุมัติมาตรการ Digital Wallet เฟส 2 พร้อมกัน อิงเม็ดเงิน โครงการ Easy E-Receipt ที่รัฐฯประเมินผลบวกรอบก่อน ที่รัฐฯสูญเสียภาษี 1.0 หมื่นล้านบาท แต่..ช่วยเพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียน 7.0 หมื่นบาท ผสาน เม็ดเงิน Digital Wallet อีกราว 4.0 หมื่นล้านบาท ฝ่ายวิจัยประเมินเม็ดเงินทั้ง 2 ส่วน คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP อยู่ราว 0.5%+/- จากฝั่งการบริโภคช่วงต้นปี2025 ในส่วนการบริโภคภาคเอกชน และบวกต่อหุ้นค้าปลีก ระยะสั้นเน้น CPALL, BJC, CRC, COM7
หุ้นวิชั่น - “บอร์ดไทยออยล์” ไฟเขียวเพิ่มงบประมาณโครงการพลังงานสะอาด (CFP) วงเงิน 63,028 ล้านบาท พร้อมเตรียมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น 21 ก.พ. ปีหน้า ยืนยันผู้ถือหุ้นและบริษัทฯ ได้ประโยชน์สูงสุด อีกทั้งเพิ่มความแข็งแกร่งและมั่นคงด้านพลังงาน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ นัดพิเศษ ครั้งที่ 6/2567 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ได้มีมติเห็นชอบเพิ่มงบประมาณในโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project หรือ CFP) ประมาณ 63,028 ล้านบาท และดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้างประมาณ 17,922 ล้านบาท การเพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP ครั้งนี้ จะนำไปใช้เพื่อการก่อสร้าง การจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ส่วนที่เหลือ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าที่ปรึกษาต่างๆ เป็นต้น เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จ และสามารถดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ โดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสีย ที่เกี่ยวข้อง และประโยชน์สูงสุดของบริษัทฯ และผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ บริษัทฯ เตรียมจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 14.00 น. เพื่อขอมติจากผู้ถือหุ้นในการอนุมัติการเพิ่มงบประมาณในโครงการ CFP ดังกล่าว “โครงการ CFP จะทำให้ไทยออยล์มีกำลังการกลั่นน้ำมันดิบ 400,000 บาร์เรลต่อวัน และสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นโครงการขนาดใหญ่ ปัจจุบันดำเนินการไปแล้วกว่า 90% เมื่อโครงการสำเร็จจะสามารถตอบโจทย์การเติบโตทางกลยุทธ์ในระยะยาว ทำให้บริษัทฯ เติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) ทำให้ไทยออยล์สามารถแข่งขันได้ และเป็นผู้นำ ในภูมิภาคซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง ก่อให้เกิดผลตอบแทนที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นและบริษัทฯ ในระยะยาว หากโครงการเดินหน้าต่อจะทำให้ซัพพลายเชน รวมถึงบริษัทรับเหมาก่อสร้างและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องมีงานทำ มีรายได้มาจับจ่ายใช้สอย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง” นายบัณฑิตฯ กล่าว
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.กรุงศรี ระบุ Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่คาดปรับลดดอกเบี้ยปี 2025F ช้าลง Fed Meeting: ผลประชุม Fed ตามคาด ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง -25bps สู่ระดับ 4.25% - 4.5% แต่รายงาน Dot Plot ปรับสะท้อนการกลับมาเป็นประธานาธิบดีของคุณ Trump มากกว่าที่เราคาด ทำให้ตัวเลขคาดการณ์ในรายงานค่อนข้าง Hawkish กว่าที่เราและตลาดมอง โดยปรับมุมมองการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายปี 2025 ลงเหลือเพียง 2 ครั้ง (จากเดิม 4 ครั้ง และความคาดหวังตลาด 2-3 ครั้ง) และคงมุมมองการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายปี 2026 ลง 2 ครั้งตามเดิม สอดคล้องกับมุมมองเงินเฟ้อ PCE ที่ปรับเพิ่มขึ้นทั้งปี 2025 – 2026 จากเดิม +2.2%, +2.0% สู่ระดับ +2.5%, 2.1% นอกจากนี้ Fed ปรับการเติบโตของ GDP ปี 2025 ขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 2.0% เป็น 2.1% แต่ยังชะลอลงจากปี 2024F คาด +2.5% หลังประชุมอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับขึ้นแรง ตอบสนองต่อรายงาน Dot Plot ดังกล่าว รวมถึง Dollar Index แข็งค่าขึ้นสู่ 108 +/- จุด ทำให้เงินบาทอ่อนค่าเร่งมาที่ 34.5-34.6 บาท ทำให้ระยะสั้นตลาดหุ้นไทยยังเคลื่อนไหวผันผวน อย่างไรก็ดี เราประเมินความผันผวนอยู่ในช่วงปลายแล้ว ทั้งจากภาพที่ตลาดหุ้นไทยปรับลดสถานะมาล่วงหน้า ผสานภาพหลักปี 2025F ที่วงจรดอกเบี้ยยังเป็นขาลง ยังหนุนภาวะ Search for Yield หลังผ่านช่วงตลาดผันผวน และหากอิงเศรษฐกิจสหรัฐ Soft Landing vs BOT ที่ยังคงคาดการณ์ GDP ปี 2025F เร่งขึ้นสู่ 2.9% จากปี 2024F คาดเติบโต 2.7% โดยมีภายในหนุน ทำให้เราประเมินความผันผวนระยะสั้นเป็นโอกาสทยอยตั้งรับ หุ้นเด่นคือกลุ่ม Domestic กลยุทธ์การลงทุน: เราประเมินเป้าหมาย SET ปี 2025 ที่ 1660 จุด (อิงกำไรตลาด 96 บาท, ERP 3.06%) มองหุ้นกลุ่ม Domestic Plays เด่น แนะนำทยอยสะสมหุ้น Best Picks 2025: ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE. Mid-Small Cap Play: INSET, JMT, MALEE, MOSHI Fact: ผลการประชุม Fed เมื่อคืนวานนี้ มติเอกฉันท์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25bps ลงสู่ระดับ 4.25-4.50% รายงานมุมมองเศรษฐกิจ Dot Plot สะท้อน: การปรับลดอัตราดอกเบี้ย นโยบายปี 2025 ลดลงจาก 4 ครั้ง เหลือ 2 ครั้ง, ปี 2025 คงที่ 2 ครั้ง ปรับมุมมองเงินเฟ้อ PCE ขึ้นปี 2025 จาก +2.2% เป็น +2.5% และปี 2026 จาก +2.0% เป็น +2.1% ปรับเพิ่มมุมมองการเติบโตเศรษฐกิจปี 2025 ขึ้นเล็กน้อยจาก 2.0% เป็น +2.1% มองอัตราการว่างงานลดลงเล็กน้อยจากเดิมปี 2025 มองระดับ 4.4% ลงสู่ระดับ 4.3% ถ้อยแถลงของประธาน Fed คุณ Jerome Powell ให้ความเห็นว่า Fed มองการลดดอกเบี้ยนโยบายชะลอลงเนื่องจากข้อมูลเงินเฟ้อเดือน ต.ค. - พ.ย. ที่เริ่มสะท้อนความหนืด (Sticky) มากขึ้นเป็นหลัก Fed ยังคงพิจารณาจากข้อมูลเป็นหลัก (Data-Driven Decision Making) ประกอบการตัดสินใจกำหนดนโยบายการเงินระยะถัดไป Key Ideas: Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายระดับ -25bps ลงสู่กรอบ 4.25% - 4.5% ตามตลาดและเราคาด ส่งผลให้ปีนี้ Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้ง รวม 1.0% ตามทิศทางของเงินเฟ้อที่ชะลอลงได้ตามคาดนับตั้งแต่ 2Q24 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตามมุมมองทิศทางการดำเนินนโยบายจากรายงาน Summary of Economic Projections (SEP) สะท้อนมุมมองที่ Hawkish มากขึ้น โดยเฉพาะมุมมองอัตราดอกเบี้ยนโยบายปี 2025 จะปรับลงเหลือเพียง 2 ครั้ง จากเดิม 4 ครั้ง vs ตลาดคาดจะปรับลด 2-3 ครั้ง สะท้อนมุมมองเงินเฟ้อ PCE ที่ถูกปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน ในขณะที่ปรับมุมมองการเติบโตเศรษฐกิจและภาคการจ้างงานเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย สินทรัพย์ต่างๆ ปรับเพื่อสะท้อนแนวโน้มการลดดอกเบี้ยที่ชะลอลงดังกล่าว ได้แก่ Dollar Index ปรับแข็งค่าขึ้น +1.16% ปิดที่ระดับ 108.2 จุด, อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ตอบสนองต่อรายงาน Dot Plot ดังกล่าว โดยอายุ 2 ปี ปรับเพิ่มขึ้น +11bps สู่ระดับ 4.35% และอายุ 10 ปี ปรับเพิ่มขึ้น +12bps ขึ้นปิดที่ระดับ 4.51% ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับฐานแรง นำโดย NASDAQ -3.7% และ S&P500 -2.95% ขณะที่เงินบาทเคลื่อนไหวอ่อนค่าสู่ 34.5-34.6 บาท เป็นแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยงระยะสั้น.
หุ้นวิชั่น - บล.ยูโอบี Honda Motor และ Nissan Motor เข้าสู่การเจรจาควบรวมกิจการ ผนวกรวมทรัพยากรของสองบริษัทเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนั้นยังตั้งเป้าที่จะนำ Mitsubishi Motors (Nissan ถือหุ้น 24%) เข้ามาอยู่ภายใต้บริษัทโฮลดิ้งนี้ด้วย Nissan-Honda-Mitsubishi มียอดขายรถยนต์รวมกันมากกว่า 8 ล้านคันต่อปี ตามรายงานของ Nikkei หากมีการควบรวมกิจการ จะทำให้บริษัทอยู่ในกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ลำดับสองรองจาก Toyota Motor ที่มียอดขาย 11.2 ล้านคันในปี 2023 ฝ่ายวิจัยมองเป็นกลางต่อกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ ฝ่ายวิจัยมองว่าการควบรวมกิจการเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยง ที่บริษัทชิ้นส่วนยานยนต์จะได้รับงานเพิ่มขึ้นหรือลดลง อย่างไรก็ตามในขั้นตอนสั่งซื้อชิ้นส่วนต้องใช้เวลาล่วงหน้าราว 3-4 ปี จึงไม่มีนัยสำคัญในระยะสั้น โดยหุ้นที่มองว่ามีโอกาสมากที่สุด ฝ่ายวิจัยมองเป็น STANLY ที่มีสัดส่วนลูกค้า Honda ราว 30%, SAT ที่สัดส่วนลูกค้า Mitsubishi ราว 22%
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.เคจีไอ คาดทิศทางตลาดหุ้นวันนี้ แกว่งลงต่อ - ติดตามผลประชุม กนง. บ่ายวันนี้ เมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นไทยร่วงแรงกว่าที่เราคาด... ดัชนีฯ ปิดลบ 1.70% หลุดระดับทางจิตวิทยาที่ 1,400 จุด เพราะ 1. แรงขายหุ้น CPAXT และหุ้นอื่นๆ ในกลุ่มยังไม่หยุด จากความกังวลต่อการลงทุนในโครงการมิกซ์ยูส ‘The Happitat at Forestias’ 2. หุ้นเชื่อมโยงเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจจีนยังคงปรับลดลง สะท้อนตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่กลับมาชะลอตัว และความไม่แน่นอนของสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ฝ่ายวิจัยฯ ประเมิน SET Index วันพุธแกว่งลงต่อ เนื่องจาก 1. ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับลงเมื่อคืนนี้ นักลงทุนชะลอเพื่อติดตามผลประชุม US FOMC คืนวันนี้ โดยแม้ตลาดได้คาดไว้แล้วว่า Fed จะลดดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ 4.50% แต่ประเด็นสำคัญที่น่าติดตามได้แก่ ประมาณการดอกเบี้ยปี 2568-2569 (dot-plot projection) รวมทั้งการปรับประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐฯ 2. บ่ายวันนี้ กนง. จะแถลงผลประชุม ทางเราคาด กนง. จะลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ 2.00% แต่ consensus คาดคงดอกเบี้ย (17 จาก 19 คนใน Bloomberg survey มองคงดอกเบี้ย) ในแง่ของ valuations ของดัชนีฯ นั้น หลังจากดัชนีฯ หลุดระดับ 1,400 (ซึ่งเป็นระดับที่เราเคยมองว่าจะรับอยู่... หลังปัจจัยแวดล้อมของตลาดเป็นลบมากขึ้น) เราประเมินด้วยตัวเลข earnings yield gap (EYG) พบว่าทางลงของดัชนีฯ ถัดไปอยู่แถว 1,350 จุด อิงบอนด์ยิลด์ 10 ปีของไทยที่ 2.50% และระดับ EYG ที่ใส่ความเสี่ยงไปมากแล้ว ที่ mean + 1.5SD... กลยุทธ์ช่วงสั้น แนะนำรอให้แรงขายชะลอ จึงเข้าสะสมหุ้นธีมเด่น เช่น • ค้าปลีก (เน้นหุ้น CRC เป็นหลัก*) • หุ้นไฟแนนซ์ที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง • หุ้นธีมท่องเที่ยว หุ้นเด่นวันนี้ ตามปัจจัยพื้นฐาน 1. RATCH* (เป้าพื้นฐาน 33.5 บาท) o มุมมองด้านเทคนิค: ประเมินราคาหุ้นพักลงมาบริเวณค่าเฉลี่ย 200 วัน (EMA) ประเมินแนวรับ 31 บาท / แนวต้าน 32.5 – 33.0 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 34 บาท (Stop loss 30.25 บาท) o Sentiment บวก: จากการประกาศผลผู้ชนะประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน และลุ้น กนง. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ล่าสุด กกพ. ประกาศรายชื่อบริษัทที่ชนะประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนเฟส 2 RATCH* + SCG ชนะประมูลโซลาร์ฟาร์มรวม 5 โครงการ (338MW) o Valuation: PBV 0.73 เท่า (-1 SD ตั้งแต่ปี 2561 - ปัจจุบัน) Dividend yield +5% 2. KTC* (เป้าพื้นฐาน 54 บาท) o มุมมองด้านเทคนิค: ราคาเริ่มฟื้นตัวหลังพักฐาน ลุ้นทำจุดสูงใหม่ แนวรับ 48.25 บาท / แนวต้าน 49.5 – 51 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านจุดสูงเดิมไปได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 52.0 บาท (Stop loss 47 บาท) o Sentiment บวก: จากทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาลง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนการเติบโตของสินเชื่อและคุณภาพสินทรัพย์ o Valuation: PBV 3.3 เท่า (ต่ำกว่า -1 SD ที่ 3.4 เท่า) 3. SAWAD* (เป้าพื้นฐาน 46 บาท) o มุมมองด้านเทคนิค: ประเมินราคาเริ่มฟื้นตัวหลังพักบริเวณค่าเฉลี่ย 200 วัน ประเมินแนวรับ 40.75 บาท / แนวต้าน 42 - 43 บาท กรณีฟื้นตัวผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 44.5 บาท (Stop loss 39.25 บาท) o Sentiment บวก: จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐฯ และแนวโน้มดอกเบี้ยลง โดยเฉพาะมาตรการแก้หนี้ครัวเรือนจะช่วยหนุนราคาสินทรัพย์ เช่น รถมือสอง และลดผลขาดทุนรถยึด o Valuation: Forward PE 10.7 เท่า (ต่ำกว่า -1 SD ที่ราว 11.5 เท่า)
หุ้นวิชั่น - บล.ดาโอ มองเป็นบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยวจากตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นทุก ประเทศใน Top 5 โดยจำนวนนักท่องเที่ยวรวมทำจุดสูงสุดในรอบ 50 สัปดาห์ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นได้ดีเพราะการเข้าสู่ช่วง High season ของไทย ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนเริ่มฟื้นตัวได้ดีต่อเนื่องอีก +11% WoW และนักท่องเที่ยวรัสเซียมีการเพิ่มขึ้นได้สูงสุดในรอบ 11 สัปดาห์ (CENTEL มีสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวรัสเซียมากสุดที่ 5% รองลงมาเป็น ERW ที่ 3%) โดยประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวรวมเฉลี่ยรายสัปดาห์ในช่วง 16-22 ธ.ค. 24 จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่องจนถึง 1Q24E จากการเข้ามาของนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) โดยเฉพาะตลาดภูมิภาคยุโรป ประกอบกับมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีผลต่อจำนวนที่นั่งเข้าไทย ( Seat Capacity) ระหว่างเดือน ก.ค. มาจนถึง ธ.ค. ที่จะเพิ่มขึ้น 10% รวมถึงการกระตุ้นและส่งเสริมให้สายการบินเพิ่มจำนวนเที่ยวบินมากยิ่งขึ้น ขณะที่ในเดือน ธ.ค. 24 ยังมีหลายเทศกาลเข้ามาช่วยหนุน ทั้งนี้ ภาพรวมของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปี 2024E ยังอยู่ในกรอบประมาณการนักท่องเที่ยวรวมและ นักท่องเที่ยวจีนที่เราประเมินไว้ โดยหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากนักท่องเที่ยวจีนที่ เพิ่มขึ้น เรียงลำดับจากมากไปน้อยตามสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวจีน ได้แก่ ERW, CENTEL, MINT, SHRคงประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวรวม ปี 2024E เพิ่มขึ้น +28% YoY และนักท่องเที่ยวจีน +84% YoY ฝ่ายวิจัยยังคง ประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวรวมปี 2024E จะอยู่ที่ 36 ล้านคน เพิ่มขึ้น +28% YoY และคาดจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะอยู่ที่ 6.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึง +84% YoY ขณะที่คาดจำนวนนักท่องเที่ยวรวมปี 2025E จะอยู่ที่ 39 ล้านคน เพิ่มขึ้น +8% YoY และคาดจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะอยู่ที่ 8 ล้านคน เพิ่มขึ้น +23% YoY Valuation/Catalyst/Risk ฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “มากกว่าตลาด” โดย Top pick ของกลุ่ม ท่องเที่ยวยังชอบ AAV, CENTEL และ MINT AAV (ซื้อ/เป้า 3.60 บาท) คาดกำไรปกติ 4Q24E จะดีโดดเด่นจากการเข้าสู่ high season ส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารและค่าตั๋วโดยสารจะเพิ่มขึ้นได้ดี CENTEL (ซื้อ/เป้า 44.00 บาท) จาก 4Q24E-1Q25E โตได้ต่อเนื่องจากการ เข้าสู่ High season ด้าน Valuation ซื้อขายที่ 2024E EV/EBITDA ที่ 11.7x (-1.25SD below 8-yr average EV/EBITDA) ถูกกว่า ERW ที่ 14.6x ขณะที่ กำไรปกติปี 2025E จะเติบโตได้สูงที่สุด (+18% YoY) เมื่อเทียบกับ MINT และ ERW MINT (ซื้อ/เป้า 34.00 บาท) จาก valuation ยังถูกกว่ากลุ่มฯซื้อขาย 2024E EV/EBITDA ที่ 10x (-2.00SD below 10-yr average EV/EBITDA) ถูกกว่า ERW และ CENTEL ที่ average EV/EBITDA ขณะที่คาดกำไรปกติ 4Q24E จะโต YoY ได้ต่อเพราะเป็น High season ที่ไทยและมัลดีฟส์เข้ามาช่วยหนุน ประกอบกับมีแผนการจัดตั้ง REIT ที่จะช่วยลดความผันผวนได้หลาย
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.เอเอสแอล ประเมินแนวโน้มผลประกอบการของ JMART จะเติบโตเด่นสุดใน 4Q จาก 1. JMT ที่ผ่านจุดต่ำสุดของปีมาแล้ว ตามแนวโน้ม cash collection ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงแผนปรับปรุงการติดตามหนี้โดยการใช้กระบวนการทางกฎหมายที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองอย่างยั่งยืน และจะเข้าสู่ช่วง high season ในงวด 4Q24F 2. ผลประกอบการของ SINGER และ SGC มีทิศทางที่ดีขึ้นจากการขยายสินเชื่อ Locked Phone ผ่าน SG Finance+ ที่ตั้งเป้าแตะ 100,000 สัญญาภายในปีนี้ และทำการตลาดขยายพาร์ทเนอร์ให้มากขึ้น พร้อมกับการจัดการค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น คาดหวังรายงานกำไรสุทธิใน 2H24F ส่วนของ KBJ ผลประกอบการขยายตัวผ่าน Samsung Finance+ 3. ธุรกิจ Mobile ดีขึ้นจากการขยายแบรนด์ใหม่ พร้อมกับรับอานิสงส์จากการเปิดตัว iPhone 16 ในงวด และประเมิน SSSG อยู่ในกรอบ 7-10% ของ Retail shop 4. ผลประกอบการของ JAS Asset ดีขึ้นต่อเนื่อง ตามการเปิดศูนย์การค้าใหม่ที่รามคำแหง หนุนผลประกอบการให้ก้าวกระโดด โดยปัจจุบันมี occ rate เฉลี่ยราว 90% 5. ร้านสุกี้ตี๋น้อยมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ตามรายได้ที่ขยายตัวจากการขยายสาขา พร้อมกับเข้าสู่ช่วง high season ของธุรกิจ • คาดการณ์กำไรสุทธิในปี 24-26F เท่ากับ 1.3 พันล้านบาท (พลิกจากขาดทุนสุทธิในปีก่อนที่ 447 ล้านบาท), 1.54 พันล้านบาท (+16% YoY) และ 1.88 พันล้านบาท (+22% YoY) ตามลำดับ คิดเป็นการเติบโตเฉลี่ยแบบ CAGR ที่ 12% ต่อปีตามการรับรู้ผลประกอบการของบริษัทย่อยของกลุ่มที่ดีขึ้น และผลของการสร้าง Ecosystem ภายในกลุ่ม • แนะนำ “ซื้อ” มีราคาเป้าหมายปี 25F ที่ 18.60 บาท อิง PE ที่ 17.7 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยย้อนหลังระยะยาว – 0.75 SD คาดหวังแนวโน้มทุกธุรกิจฟื้นตัว โดยเฉพาะ JMT ที่ยังมี upside จากการจัดตั้ง JV AMC กับสถาบันการเงิน และผลประกอบการของ SINGER และ SGC ที่คาดว่าจะพลิกกลับมามีกำไรใน 2H24F
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.กรุงศรี คงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ AWC ด้วยราคาเป้าหมาย 4.40 บาท จาก i) การเปิดตัว Jurassic World ณ Asiatique เพื่อขยายฐานลูกค้าและเพิ่มมูลค่า สินทรัพย์ของบริษัท ii) คาดกำไรสุทธิเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ด้วยการเติบโต yoy และ qoq ใน 4Q24F-1Q25F จากฤดูกาลท่องเที่ยวสูงสุดของไทย และการเปิดโรงแรมใหม่ในไตรมาส นอกจากนี้ ราคาหุ้น AWC ปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา เรามองว่าเป็นโอกาสในการลงทุน AWC เปิดตัว Jurassic World ในกรุงเทพ AWC ได้ประกาศความร่วมมือกับ NEON (ซึ่งเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จ เช่น Avatar: The Experience ณ Gardens by the Bay ในสิงคโปร์) และ Universal Live Events & Location Based Entertainment เพื่อนำ "Jurassic World: The Experience" มาเปิดให้บริการ ณ Asiatique ใน 2Q25 โครงการนี้ใช้งบประมาณในการลงทุนกว่า 1,400 ล้านบาท เพื่อพัฒนาพื้นที่ขนาด 10,000 ตารางเมตร ด้วยการสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ Jurassic World การผจญภัยยุคไดโนเสาร์รูปแบบอิมเมอร์ซีฟ ตามแบบฉบับของภาพยนตร์เรื่อง Jurassic World ทั้งนี้ โครงการนี้จะแตกต่างจาก Disney100 Village ที่จัดขึ้นในปี 2023 เนื่องจาก Jurassic World จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เปิดให้บริการในระยะยาว ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่อรายได้และกำไรของ AWC ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่ได้เปิดเผยเป้าหมายทางการเงินที่เฉพาะเจาะจงสำหรับโครงการนี้ คาดผลประกอบการ 4Q24F เติบโต yoy, qoq จาก i) ธุรกิจโรงแรม : RevPar เติบโตระดับสองหลักในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2024 เนื่องจากการเติบโตในทุกกลุ่ม (9M24 RevPar +13% yoy) นอกจากนี้ แผนการขยายธุรกิจของบริษัทฯ ซึ่งรวมถึงการเปิดโรงแรม Melia Pattaya ในวันที่ 24 ธันวาคม 2567 และการเปิดโรงแรม Marriott Resort Jomtien Beach ในเดือนเมษายน 25 และ Fairmont Bangkok Sukhumvit ในช่วง 1H25 คาดว่าจะช่วยผลักดันการเติบโตของธุรกิจโรงแรมได้อย่างต่อเนื่อง ii) ธุรกิจค้าปลีกและเชิงพาณิชย์: บริษัทคาดว่าอัตราการเช่าพื้นที่สำนักงานได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 3Q25 ที่ระดับ 66% โดยได้รับแรงหนุนจากการเข้ามาเช่าพื้นที่ของผู้เช่ารายใหม่ใน The Empire ดังนั้น คาดจะเห็นการรักษาระดับและมีแนวโน้มที่ดีขึ้น คงประมาณการผลประกอบการ โดยคาดกำไรสุทธิปี 2024F อยู่ที่ 1.7 พันล้านบาท (+65% yoy) คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 4.40 บาท ปัจจุบัน AWC ซื้อขายอยู่ที่ 27x EV/EBITDA และ 51x P/E 2025F คาดผลประกอบการของ AWC จะเติบโตเฉลี่ยด้วย CAGR 3 ปี (2024-27F) ที่ 28% ต่อปี ซึ่งผลักดันจากการขยายโรงแรม และอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น
หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.10-34.30 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทอ่อนค่าวานนี้ก่อนกลับมาแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยช่วงข้ามคืน ด้านดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐปรับอ่อนค่าลงหลังเลขยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ออกมาผสม โดยตัวรวมออกมาที่ 7%MOM สูงกว่าตลาดคาด แต่หากหักยอดขายรถออกจะต่ำกว่าตลาดคาด คณะกรรมการธนาคารกลางยุโรป (ECB) พอใจกับมุมมองตลาดที่มองว่า ECB จะลดดอกเบี้ยอีก 4-5 ครั้งในปีหน้า ทำให้ไปใกล้เคียงระดับ Neutral rate วันนี้จับตาผล กนง. โดยตลาดยังคาดว่าจะคงดอกเบี้ย และประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ย 25%
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้“แกว่งผันผวน” ต้าน 1411/1415 จุด รับ 1390/1380 จุด ดัชนีS&P500 -0.39% ตลาดจับตาการประชุม Fed (เช้าทราบผล 19 ธ.ค.) ให้น ้าหนักมุมมอง Fed ต่อผลกระทบ Trump 2.0 ผ่าน Dot Plot ใหม่และคาดการณ์ GDP vs ปัจจุบันที่ตลาดประเมิน Fed จะปรับดอกเบี้ยในปี2025 ที่ 2-3 ครั้ง (Dot Plot ล่าสุด 4 ครั้ง) และประเมินเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวได้2.1% (Fed ล่าสุด คาด 2.0%) ส่วนภายในการปรับฐานแรงวานนี้อีกส่วนน่าจะมีผลจากความกังวลเสถียรภาพการเมือง หลัง ปปช. มีมติไต่สวน 12 เจ้าหน้าที่รัฐ เอื้อรักษาอาการป่วยคุณทักษิณที่มีความเชื่อมโยงพรรคเพื่อไทย ทั้งนี้ แม้ตลาดปัจจุบันอยู่ในโซนการลงทุนระยะกลาง-ยาว Current Equity Risk Premium ที่ 3.92% vs จุดกลับตัวภาวะปกติที่ Avg + 1 S.D. ขณะที่การประชุม กนง. เราประเมินคงดอกเบี้ยแต่มีโอกาสส่งสัญญาณ Dovish แต่ภาพทางเทคนิคที่ตลาดหลุดแนวรับส าคัญ EMA 200 วัน คาดท าให้ตลาดระยะสั้นผันผวน โดยหุ้นที่เคลื่อนไหวดีกว่าตลาด กลุ่มที่มีประเด็นบวก ท่องเที่ยว ภาคบริการ (นักท่องเที่ยว +10.5%w-w) โรงกลั่น (ค่าการกลั่น +18%d-d) หุ้นไฟฟ้า (กกพ. ประกาศผู้ชนะประมูลไฟฟ้าหมุนเวียน+ครม.เร่งผลักดัน Solar Rooftop) วันนี้แนะน ำ AWC, CPALL, BTS
หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่ 18 ธันวาคม 2567 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาปรับขึ้น 50 บาท ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 42,800.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 42,900.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 42,023.52 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 43,400.00 บาท
หุ้นวิชั่น - นายศักดิ์ดา พรรณไวย กรรมการผู้จัดการ ผู้มีอำนาจรายงานสารสนเทศ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) แจ้ง ก.ล.ต. ระบุว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 7/2567 เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2567 ได้มีมติอนุมัติการปรับโครงสร้างการบริหารงาน การปรับเปลี่ยนชื่อตำแหน่ง และการแต่งตั้งผู้บริหารของบริษัทฯ ตามรายละเอียดดังนี้ 1. อนุมัติการปรับโครงสร้างการบริหารงานในสายงานพัฒนาความยั่งยืนองค์กร เพื่อให้สอดคล้องกับแผนธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ปี 2568-2572 โดยการปรับเปลี่ยนชื่อตำแหน่งผู้บริหารของบริษัทฯ ดังนี้ 1.1 จากตำแหน่งเดิม “ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส” เป็นตำแหน่งใหม่ “ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาความยั่งยืนองค์กร” 1.2 จากตำแหน่งเดิม “ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารความเสี่ยงและความปลอดภัย” เป็นตำแหน่งใหม่ “ผู้ช่วยรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านบริหารความเสี่ยงและความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม” โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 2. อนุมัติแต่งตั้งนางสาวอัจฉรา เจริญพร ซึ่งดำรงตำแหน่ง “ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส สายงานพัฒนาความยั่งยืนองค์กร” เข้าดำรงตำแหน่ง “ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาความยั่งยืนองค์กร” ตามโครงสร้างสายงานพัฒนาความยั่งยืนองค์กรที่ได้รับอนุมัติในข้อ 1 เพื่อทดแทนอัตรากำลังตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสของนายสุเทพ ธาระวาส ที่จะเกษียณอายุลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2567 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ทั้งนี้ ผู้บริหารข้างต้นเป็นบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ และเป็นบุคคลที่ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ที่ กจ. 3/2560 เรื่องกำหนดลักษณะขาดความไว้วางใจของกรรมการและผู้บริหารของบริษัท และเป็นผู้มีหน้าที่ตามมาตรา 59 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 อยู่แล้ว บริษัทฯ จะดำเนินการเปลี่ยนแปลงข้อมูลผู้บริหารในระบบฐานข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ต่อไป
หุ้นวิชั่น - ตามที่บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ได้เปิดเผยข้อมูลต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2567 เกี่ยวกับสารสนเทศของบริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) (“CPAXT”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ที่ได้มีการจัดตั้งบริษัทย่อยทางตรงคือ บริษัท แอ็กซ์ตร้า โกรท พลัส จำกัด (“AGP”) โดย AGP จะเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทย่อยทางอ้อมคือ บริษัท แฮปปี้แทท แอท เดอะ ฟอเรสเทียส์ จำกัด (“HATF”) ในสัดส่วนร้อยละ 100 (ยกเว้นหุ้น 1 หุ้น) ซึ่งประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน (Mixed-Use Development) ภายใต้โครงการชื่อ The Happitat นั้น ทั้งนี้ CPAXT ชี้แจงเพิ่มเติมตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยสอบถามมา การเข้าลงทุนในครั้งนี้เป็นการเข้าร่วมลงทุนในหุ้นของ AGP โดยเข้าลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 95 โดยการชำระค่าหุ้นที่ออกใหม่ของ AGP เป็นเงินสดจำนวนประมาณ 7,970 ล้านบาท และบริษัท เอ็มคิวดีซี ทาวน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เข้าลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 5 โดยชำระค่าหุ้นที่ออกใหม่ของ AGP ด้วยทรัพย์สิน คือ หุ้นใน HATF ในสัดส่วนร้อยละ 100 (ยกเว้นหุ้น 1 หุ้น) อย่างไรก็ดี คณะกรรมการของ CPAXT ได้พิจารณาอนุมัติให้ทำการร่วมลงทุนในโครงการ The Happitat โดยพิจารณาความเหมาะสมของการร่วมลงทุนและมูลค่าการร่วมลงทุนในครั้งนี้อย่างรอบคอบ และมีการพิจารณามูลค่าทรัพย์สินในโครงการ The Happitat ซึ่งได้มีการประเมินมูลค่าโดยผู้ประเมินมูลค่าทรัพย์สินที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และเห็นว่าการลงทุนในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อ CPAXT และเป็นการต่อยอดธุรกิจของ CPAXT ในส่วนของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน (Mixed-Use Development) โดยคณะกรรมการตรวจสอบของ CPAXT มิได้มีความเห็นแตกต่างจากความเห็นของคณะกรรมการของ CPAXT อนึ่ง CPAXT ชี้แจงว่ารายการดังกล่าวไม่เข้าข่ายเป็นรายการที่เกี่ยวโยง และขนาดรายการเมื่อพิจารณาจากเงินค่าหุ้นที่ออกใหม่ของ AGP ซึ่ง CPAXT ชำระเป็นเงินสดจำนวนประมาณ 7,970 ล้านบาท และเมื่อพิจารณารวมจำนวนเงินที่คาดว่าจะต้องมีการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อให้โครงการ The Happitat แล้วเสร็จ การร่วมลงทุนของ CPAXT ในโครงการ The Happitat จะมีขนาดรายการสูงสุดต่ำกว่าร้อยละ 15 จึงไม่เข้าข่ายเป็นรายการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ที่มีนัยสำคัญตามข้อกำหนดของประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 20/2551 เรื่องหลักเกณฑ์ในการทำรายการที่มีนัยสำคัญที่เข้าข่ายเป็นการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สิน ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2551 (รวมทั้งที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม) และประกาศที่เกี่ยวข้อง
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.67 ที่ประชุมบอร์ดประกันสังคมมีมติเห็นชอบจ่ายอัตราค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยกรณีโรคยากให้กับโรงพยาบาล (รพ.) เอกชนคงที่ 12,000 บาท/AdjRW มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.68 เป็นต้นไป • ความเห็น มองเป็นบวกกับกลุ่มรพ.ประกันสังคม BCH (สัดส่วน 34%) CHG (สัดส่วน 33%) และ RJH (สัดส่วน 51%) อย่างไรก็ตาม แนวโน้ม 4Q67 อาจถูกกระทบ จากการบันทึกค่ารักษาที่อาจได้รับต่่ากว่า 12,000 บาท/AdjRW ในช่วงที่เหลือของงบประมาณปี 67 (ปัจจุบันได้รับถึงเดือนมิ.ย.67) เพื่อไม่ให้ต้องกลับรายการในปี 68 โดยเราชื่นชอบ BCH เนื่องจากยังมีปัจจัยช่วยหนุนผลประกอบการปี 68 เพิ่มเติม อาทิ ได้รับการติดต่อจากคูเวตเพื่อขอทราบรายละเอียดราคาค่าบริการ ท่าให้มีความมั่นใจ เกี่ยวกับการส่งตัวผู้ป่วยคูเวตว่าจะติด 1 ใน 3 รพ.เป้าหมาย และรพ.ใหม่ทั้ง 3 แห่งมีโอกาส พลิกมีก่าไรในปี 68 ทั้งนี้ Bloomberg Consensus คาดก่าไรปี 67-68 ของ BCH ราว 1,481 ลบ. +5%YoY (9M67 คิดเป็น 70%) และ 1,728 ลบ. +17%YoY ตามล่าดับ และราคาเหมาะสม 21 บาท มี Upside26% แนะน่า "ซื้อ"
หุ้นวิชั่น - เซียนหุ้น 3 แห่งพร้อมใจแนะซื้อหุ้น PTG เคาะกรอบราคาเป้าหมาย 11-12.70 บาท โดยบล.ยูโอ เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ประเมินยอดขายน้ำมันQ4/67 เติบโต 8-10 % เทียบกับ QoQ ให้ราคาเป้าหมายปี 68 ที่ 12.7 บาท ด้าน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) คาดกำไรปี 68 เติบโตดี เทียบกับ YoY รับแรงหนุนจากปริมาณยอดขายน้ำมันที่เพิ่มขึ้นและธุรกิจ Non-Oil ,ท่องเที่ยวขยายตัว,กลยุทธ์ PT Max Card หนุน ให้ราคาเหมาะสม 11 บาท ขณะที่บล. ทรีนีตี้ คาดกำไรปี 67 อยู่ที่ 1,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบ YoY จากค่าการตลาดที่ระดับปกติ 1.7 บาทต่อลิตร ส่วนผลงาน Q4/67 โตโดดเด่น ให้ราคาเป้าหมายปี 68 ที่ 11 บาท บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เผยแพร่บทวิเคราะห์ โดยประเมินแนวโน้มกำไรสุทธิ Q4/2567 ของหุ้น บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) จะฟื้นตัวจาก High season ของการท่องเที่ยว รวมไปถึงผ่านช่วงฤดูฝนตั้งแต่ปลายเดือน ต.ค.เป็นต้นไป ถือเป็นปัจจัยหนุนยอดขายน้ำมันให้กลับมาฟื้นตัว ซึ่งฝ่ายวิจัยคาดว่าจะได้เห็นยอดขาย Q4/2567 เติบโต 8-10% เมื่อเทียบ QoQ นอกจากนี้ Traffic ในการเข้าสถานีบริการที่เพิ่มขึ้นจะเป็นปัจจัยหนุนรายได้จากธุรกิจ Non-Oil เติบโตเมื่อเทียบ QoQ ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ทางฝ่ายวิจัยเชื่อว่าสมมติฐานค่าการตลาดที่ 1.7 บาทต่อลิตร ยังมีความเป็นไปได้และอยู่ในกรอบเป้าหมายของบริษัทฯ ที่ 1.7-1.8 บาทต่อลิตรในปี 2567 ดังนั้นฝ่ายวิจัยจึงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 12.7 บาท อ้างอิง P/E เฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ระดับ -1.0 S.D.ที่ 17.8 เท่า ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของผลประกอบการ Q4/2567 ทำให้ PTG กลับมามีความน่าสนใจในการลงทุน อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การลงทุนแนะนำทยอยซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวหลังจากที่ราคาหุ้นปรับเพิ่มกว่า 23% ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา ด้านบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ตามที่ผู้บริหารบริษัทฯ Guidance Q4/2567 ปริมาณขายน้ำมันเติบโตเมื่อเทียบ QoQ จากอุปสงค์ฟื้นตัวตามฤดูกาล และน้ำท่วมคลี่คลาย คงเป้าหมายทั้งปีเติบโต 10-15% เมื่อเทียบ YoY ขณะที่ QTD ใน Q4/2567 คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นธุรกิจน้ำมันต่อลิตรสูงขึ้นเมื่อเทียบ QoQ จาก 1.65 บาทต่อลิตรใน Q3/2567 และคาดการณ์ทั้งปีเฉลี่ย 1.7-1.8 บาทต่อลิตร ซึ่งฝ่ายวิจัยคาดว่า แม้ SG&A จะปรับตัวขึ้นจากค่าใช้จ่ายช่วงปลายปีและการเร่งขยายสาขาธุรกิจ Non-Oil แต่คาดกำไรปกติจะเติบโตเมื่อเทียบ QoQ โดยได้รับปัจจัยบวกจาก 1.) ยอดขายน้ำมันเร่งตัวตามปัจจัยฤดูกาลทั้งกิจกรรมเดินทางท่องเที่ยวช่วงปลายปีและผ่านพ้นฤดูมรสุม 2.) กลยุทธ์บัตรสมาชิก PT Max Card 3.)อานิสงส์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และ 4.) ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจน้ำมันปาล์มมีโอกาสเร่งตัวจากการพุ่งขึ้นของราคา CPO แตะระดับสูงสุดรอบกว่า 2 ปี ทั้งนี้ คาดว่ากำไรปี 2568 ของ PTG จะเติบโตได้ดีเมื่อเทียบ YoY ตามปริมาณสาขาธุรกิจ Oil และ Non-Oil,ภาคท่องเที่ยวขยายตัว,กลยุทธ์ PT Max Card,แรงกดดันค่าการตลาดต่ำลงจากทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกชะลอตัว และเงินบาทแข็งค่า โดยในช่วง 6 เดือนข้างหน้าคาดผลประกอบการ Q4/2567-Q1/2568 ดีขึ้นตามปัจจัยฤดูกาลนับตั้งแต่ต้นเดือน ต.ค. ที่ราคาหุ้น -14% ถือว่าสะท้อนความอ่อนแอของ Q3/2567 ไปแล้ว ซึ่งราคาปัจจุบันถือว่ามี Upside gain เปิดกว้าง ทางพื้นฐานปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” ให้ราคาเหมาะสม 11.00 บาท นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยหนุนจากความคืบหน้าแผน Spin-off บริษัทลูก 1.ATLAS ธุรกิจ LPG ในปี 2568 (ปัจจุบันยื่น Filing) และ 2.Punthai ธุรกิจร้านกาแฟ ปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อม Spin-off ในอนาคต บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด คงประมาณการกำไรของ PTG ในปี 2567 ที่ 1,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% YoY จากค่าการตลาดที่ระดับปกติ 1.7 บาทต่อลิตร แม้ Q3/2567 จะเป็นช่วง Low Season หน้าฝน ปริมาณการใช้น้ำมันลดลง นอกจากนี้ระยะสั้นอาจจะมีความเสี่ยงเรื่องกฎหมายบริหารโครงสร้างราคา ซึ่งอาจจะส่งผลต่อ Margin ต่อลิตรของบริษัทฯ ได้ แต่จะกลับมาโดดเด่นในช่วง Q4/2567 โดย Non-Oil ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงปริมาณจำหน่ายน้ำมันต่อสถานีบริการที่เพิ่มขึ้น ปัจจุบันบริษัทฯ เน้นปริมาณ Traffic ที่จะเข้ามาใช้บริการมากกว่าการขยายจำนวนสถานีบริการ ดังนั้นฝ่ายวิจัยจึงคงราคาเป้าหมายปี 2568 ไว้ที่ 11 บาท อิง Avg PER ที่ 14.5 เท่า และคงคำแนะนำ Trading Buy แนวโน้มระยะสั้นอาจจะถูกกดดันจากผลการดำเนินงานที่อ่อนตัว แต่เป็นจังหวะซื้อช่วง Q4 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการบริโภคน้ำมันมากจากช่วงวันหยุดยาว [PR News]
หุ้นวิชั่น - “บมจ.ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น’ หรือ SINO ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญ คว้า “ใบรับรอง C-TPAT” ด้านมาตรฐานความปลอดภัยในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก จากหน่วยงานศุลกากรและการป้องกันชายแดนของสหรัฐฯ ช่วยยกระดับมาตรฐานการให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศและเพิ่มความเชื่อมั่นแก่ผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะความร่วมมือด้านโลจิสติกส์กับสหรัฐฯ ที่เป็นฐานลูกค้าหลักของบริษัทฯ นายนันท์มนัส วิทยศักดิ์พันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SINO เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มุ่งพัฒนาคุณภาพการให้บริการด้านโลจิสติกส์ โดยการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในห่วงโซ่อุปทานให้ดียิ่งขึ้นและก้าวไปสู่มาตรฐานระดับโลก เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้ใช้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทุกราย ล่าสุด บริษัทฯ ประสบความสำเร็จครั้งสำคัญด้านการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในห่วงโซ่อุปทาน โดยได้รับ “ใบรับรอง C-TPAT” (Customs-Trade Partnership Against Terrorism) จากหน่วยงานศุลกากรและการป้องกันชายแดนของสหรัฐอเมริกา หรือ U.S. Customs and Border Protection (CBP) ซึ่งเป็นมาตรฐานด้านความปลอดภัยระดับโลกที่มีความสำคัญกับผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ การได้รับใบรับรอง C-TPAT ครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของบริษัทฯ ที่สามารถให้บริการได้ตามมาตรฐานความปลอดภัยในระดับสากล จึงไม่เพียงเป็นการยกระดับการดำเนินธุรกิจด้านโลจิสติกส์ แต่จะเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่พันธมิตรและลูกค้าของบริษัทฯ ที่มาจากหลากหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก โดยเฉพาะการส่งเสริมความร่วมมือด้านโลจิสติกส์กับสหรัฐฯ เนื่องจากบริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางทะเลบนเส้นทางไทย-สหรัฐฯ ที่มีปริมาณการขนส่งสินค้าในเส้นทางดังกล่าวเป็นอันดับ 2 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ของผู้ให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางทะเลบนเส้นทางดังกล่าวในประเทศไทย “เรามีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งในฐานะผู้ประกอบการไทยที่ได้รับใบรับรอง C-TPAT ซึ่งมาจากความพยายามและมุ่งมั่นให้บริการที่มีคุณภาพตามมาตรฐานระดับสากล เชื่อว่าใบรับรองนี้จะเป็นหลักประกันที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจในคุณภาพและการใช้บริการด้านโลจิสติกส์ รวมถึงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยให้ SINO ก้าวขึ้นเป็นผู้นำธุรกิจในตลาดโลกอย่างยั่งยืน โดยบริษัทฯ มีความตั้งใจจะพัฒนาคุณภาพการให้บริการอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและขนส่งสินค้าถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัยและรวดเร็ว” นายนันท์มนัส กล่าว [PR News]
หุ้นวิชั่น - บมจ.เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ (PCE) สุดสตรอง! ติดโผเข้าคำนวณดัชนี FTSE SET Shariah Index มีผลวันที่ 23 ธ.ค.67 นี้ ฝ่ายผู้บริหาร “พรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล” ระบุถือเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงปัจจัยพื้นฐานที่มีความแข็งแกร่ง สภาพคล่องสูง ยึดหลัก CG ลงทุนตามหลักศาสนาอิสลาม พร้อมมุ่งมั่นสร้างคุณค่าในระยะยาว หนุนธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคง นายพรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล รองกรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (PCE) ผู้นำธุรกิจน้ำมันปาล์มครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทฯได้รับคัดเลือกเข้าคำนวณดัชนี FTSE SET Index Series ในกลุ่ม FTSE SET Shariah Index (ดัชนี ฟุตซี่ เซ็ท ชาริอะห์) จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และองค์กรระดับโลก FTSE Russell โดยใช้สูตรการคำนวณที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล ซึ่งพิจารณาเรื่องสภาพคล่อง (Liquidity Screen), การกระจายหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float Screen) รวมไปถึง การดำเนินธุรกิจโดยมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Governance) และสอดคล้องไปกับการลงทุนตามหลักศาสนาอิสลาม โดยมีผลวันที่ 23 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป “การที่ PCE ถูกนำเข้าคำนวณใน FTSE SET Shariah Index ถือเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงปัจจัยพื้นฐานที่มีความแข็งแกร่ง ดำเนินธุรกิจโดยมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี และการเติบโตของธุรกิจที่มุ่งเน้นการสร้างคุณค่าในระยะยาว เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนและมั่นคง สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น” รองกรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ PCE กล่าวอีกว่า บริษัทฯ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับการคัดเลือกเข้าคำนวณในดัชนี FTSE SET Shariah Index ซึ่งเป็นดัชนีหลักทรัพย์ระดับนานาชาติที่นักลงทุนสถาบันและต่างชาติ ใช้อ้างอิงให้น้ำหนักประกอบการตัดสินใจในการลงทุน สามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายฐานผู้ลงทุนรายใหม่ สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนช่วยสนับสนุนการขยายธุรกิจในอนาคตได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และฟุตซี่ รัสเซล (FTSE Russell) ประกาศรายชื่อหลักทรัพย์ชุดใหม่ที่ใช้ในการคำนวณ FTSE SET Index Series มีผลวันที่ 23 ธันวาคม 2567 โดยในส่วนของดัชนี FTSE SET Shariah Index มี 20 หลักทรัพย์ใหม่ที่เข้าร่วมคำนวณ [PR News]
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด CPAXT จัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อลงทุนโครงการอสังหาฯ Mixed-Use CPAXT จะเข้าลงทุนห้างในโครงการ The Forestias บางนา บริษัทแจ้งตลาดเรื่องการจัดตั้งบริษัทย่อยทางตรงแห่งใหม่ชื่อ บจ.แอ็กซ์ตร้า โกรท พลัส ทุนจดทะเบียน 8.4 พันลบ. โดยบริษัทจะถือหุ้นสัดส่วน 95% และอีก 5% ถือโดยบจ. เอ็มคิวดีซีทาวน์คอร์ปอเรชั่น ซึ่งบจ. แอ็กซ์ตร้า โกรท พลัส (บริษัทย่อย) จะเข้าถือหุ้นบจ. แฮปปี้แทท แอท เดอะ ฟอเรสเทียส์ในสัดส่วน 100% เพื่อประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน (Mixed-Use Development) ภายใต้โครงการชื่อ The Happitat ประกอบด้วยห้างสรรพสินค้าจำนวน 3 อาคาร (อาคารหลังหนึ่งจะมีสำนักงาน 10 ชั้นตั้งอยู่ด้านบน) และอาคาร Central Utility Plant ที่เป็นศูนย์กลางสาธารณูปโภค โดยโครงการ The Happitat ตั้งอยู่ภายในโครงการ The Forestias ซึ่งบริษัทได้ดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2567 เป็นผลให้ได้มาซึ่งบริษัทย่อยทั้งทางตรงและทางอ้อมจำนวน 2 บริษัท (Source: Set.or.th) บริษัทคาดใช้เงินลงทุนทั้งหมด 1.2-1.5 หมื่นลบ. และจะเปิดให้บริการภายใน 1Q26 The Forestias by MQDC เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ มูลค่าโครงการสูงราว 1.3 แสนลบ. พื้นที่ 398 ไร่ ตั้งอยู่บนถนนบางนา-ตราด กม. 7 ประกอบไปด้วยโครงการที่พักอาศัยหลายรูปแบบ คอนโด High Rise/Low Rise, บ้านพักอาศัย รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่น โรงแรม ศูนย์การแพทย์ พื้นที่สำนักงาน สปอร์ตคอมเพล็กซ์ พื้นที่สำหรับกิจกรรมไลฟ์สไตล์ต่างๆ โดยโครงการ Happitat ที่ CPAXT เข้าลงทุนจะอยู่ด้านหน้าของโครงการ มีพื้นที่เช่ารวม 7.2 หมื่นตร.ม. แบ่งเป็น 1) Lotus’s Premium Hypermarket พื้นที่ 5 พันตร.ม. 2) พื้นที่ค้าปลีก มีพื้นที่เช่ากว่า 4.3 หมื่นตร.ม. และ 3) อาคารสำนักงาน มีพื้นที่เช่ากว่า 2.4 หมื่นตร.ม. โดย CPAXT คาดจะใช้เงินลงทุนในโครงการทั้งสิ้นราว 1.2-1.5 หมื่นลบ. เงินส่วนใหญ่ 80-90% จากการเงินกู้ธนาคาร คาดจะเริ่มเปิดดำเนินการได้เต็มรูปแบบภายใน 1Q69 และตั้งเป้าหมายโครงการดังกล่าวจะสร้างกำไรสุทธิได้ในปี 2571 (ปีที่ 3 ของการดำเนินงาน) คาดผลกระทบเชิงลบเล็กน้อยในระยะสั้น ปรับประมาณการปี 2568-69 ลง 2-4% เนื่องจากแหล่งเงินทุนหลักมาจากการกู้ยืมธนาคาร คาด CPAXT จะมีภาระดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นปีละ 3-4 ร้อยลบ. ทำให้ปรับประมาณการกำไรปกติปี 2568 ลง 1.7% เป็น 1.3 หมื่นลบ. (+19% YoY) ขณะที่ปี 2569 ซึ่งจะมีการเปิดให้บริการเป็นปีแรก อิงสมมติฐานสำคัญดังนี้: 1) พื้นที่ค้าปลีก Occ. Rate ที่ 80% และค่าเช่า 1.4 พันบาทต่อตร.ม. 2) อาคารสำนักงาน Occ. Rate ที่ 40% และค่าเช่า 800 บาทต่อตร.ม. คาดเกิดผลกระทบเชิงลบจากผลขาดทุนจากการเปิดดำเนินงานในช่วงต้นและดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่ม ทำให้ปรับประมาณการกำไรปกติปี 2569 ลง 3.5% เป็น 1.4 หมื่นลบ. (+12% YoY) ปรับราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2568 ลงเป็น 38.50 บาทต่อหุ้น ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” คงแนะนำ “ซื้อ” อิงราคาเหมาะสมใหม่ที่ 38.50 บาท คาดราคาหุ้นตอบสนองเชิงลบจากความกังวลของตลาด 1) เงินลงทุนสูงกว่าการขยายสาขาแบบปกติและอาจมีค่าใช้จ่ายในการพัฒนาเพิ่มเติมจนกว่าจะเปิดโครงการ และ 2) การแข่งขันในพื้นที่ดังกล่าวค่อนข้างสูงและส่วนใหญ่เป็นผู้เล่นที่มีประสบการณ์เช่น Mega Bangna ของ CPN และ Bangkok Mall (คาดเปิดปี 2569) ของเดอะมอลล์กรุ๊ป อย่างไรก็ดี หากราคาหุ้นปรับลงเกิน 5-10% มองเป็นโอกาสในการทยอยสะสม เพราะมูลค่าโครงการดังกล่าวคิดเป็นเพียง 2% ของสินทรัพย์ทั้งหมด เงินลงทุนที่ใช้ต่ำกว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานต่อปีที่ระดับ 2 หมื่นลบ. และประเมินผลขาดทุนในปีแรกไม่ถึง 4% ของฐานกำไรทั้งปี สะท้อนว่าการลงทุนดังกล่าวยังไม่ได้สร้างผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญต่อฐานะทางการเงินบริษัท
หุ้นวิชั่น - บล.หยวนต้า มอง Downside Risk ของ SET Index เริ่มจำกัด การปรับตัวลดลงของ SET Index -1.4% WoW เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คาดมาจากการปรับตัวขึ้นของ US Bond Yield, Dollar Index และความผิดหวังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนไปมากแล้ว ขณะที่สัปดาห์นี้มีปัจจัยหนุนคือการปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าพลังงาน ประกอบกับการประชุม FOMC ที่เปิดโอกาสในการเข้าเก็งกำไรการรีบาวด์ของหุ้นในกลุ่ม Yield Play เช่น โรงไฟฟ้า, การเงิน, REIT, สื่อสาร และอสังหาฯ ประเมิน SET Index สัปดาห์นี้มีโอกาสฟื้นตัวโดยคาดกรอบการเคลื่อนไหวบริเวณ 1,420-1,450 จุด ลุ้น FOMC ส่งท้ายปีด้วย ‘Santa Rally’ ตลาดหุ้นจีนลงแรงแต่เรามองเป็นโอกาสเข้าสะสม แม้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จะเคลื่อนไหว Sideways ในกรอบแคบ แต่ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงคือ CSI 300 (-2.4%) และ HSI (-2.1%) ปรับตัวลดลง Underperform สินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ หลังการรายงานผลการประชุมทางด้านเศรษฐกิจ (CEWC) สร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน เนื่องจากยังไม่ได้ระบุถึงช่วงเวลาและขนาดของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาคการคลัง อย่างไรก็ตาม ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมารองรัฐมนตรีกระทรวงการเคหะจีนได้ยืนยันเจตจำนงในการกระตุ้นกำลังซื้ออสังหาฯ พร้อมจำกัดอุปทานใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดในปี 2568 เป็นต้นไป เราประเมินทางการจีนมีแนวโน้มที่จะเผยรายละเอียดเชิงลึกต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง 1Q68 โดยเฉพาะหลังประธานาธิบดีสหรัฐฯ ท่านใหม่เข้าดำรงตำแหน่ง จึงมองเป็นจังหวะในการเข้าสะสมกองทุนหุ้นจีน เช่น KTAshares-A และ SCBCE รวมถึง DR ที่เชื่อมโยงกับตลาดหุ้นจีน เช่น CN01 และ BABA80 เป็นต้น ราคาน้ำมันดิบเด้งคาดช่วยหนุน Sentiment ของ SET Index ในช่วงต้นสัปดาห์ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วราคาน้ำมันดิบ BRENT และ WTI ปรับตัวเพิ่มขึ้น +5% และ +6% ตามลำดับ จากความกังวลว่าการคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่อรัสเซียและอิหร่านอาจทำให้อุปทานตึงตัวขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงในยุโรปและสหรัฐฯ จะช่วยหนุนการฟื้นตัวของแนวโน้มอุปสงค์ คาดปัจจัยดังกล่าวจะทำให้หุ้นในกลุ่มพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่นมีโอกาส Outperform ตลาดในช่วงต้นสัปดาห์ FOMC รอบนี้มองเป็นจังหวะเก็งกำไรก่อนส่งท้ายปี 2567 สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง เรายังคงแนะนำสะสมหุ้นกลุ่ม Yield Play เช่น โรงไฟฟ้า, การเงิน, REIT, สื่อสาร และอสังหาฯ เพื่อเก็งกำไรการประชุม FOMC ในวันที่ 18 ธ.ค. คาดการปรับตัวขึ้นของ US Bond Yield และ US Dollar ในสัปดาห์ที่ผ่านมาสะท้อนความกังวลของตลาดต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายของ Fed ที่อาจตึงตัวมากกว่าคาดไปมากแล้ว ทำให้ Risk-Reward Ratio มีความน่าสนใจในการเก็งกำไร FOMC สะสม SCB ราคาปิด 118.50 บาท แนวต้านทางเทคนิค 122.00 บาท หุ้นกลุ่มธนาคารเคลื่อนไหว 16 ธันวาคม 2567 122.00 บาท Outperform ตลาด เนื่องจากเป็นหุ้นกลุ่มหลักที่คาดว่าจะได้อานิสงส์จากเม็ดเงินกองทุนประหยัดภาษีในช่วงเดือน ธ.ค. รวมทั้งมาตรการแก้หนี้ “คุณสู้ เราช่วย” คาดว่าจะส่งผลให้ NPL ของกลุ่มทรงตัวหรือลดลงในปี 2568 จุดเด่นของ SCB คือผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับสูง เราคาดเงินปันผล 2H67 หุ้นละ 7.20 บาท ให้ Dividend Yield สูงถึง 6.1% เก็งกำไร BANPU ราคาปิด 5.90 บาท แนวต้านทางเทคนิค 6.20 บาท ราคาหุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว คาดมีโอกาสถูกเพิ่มเข้าสู่ดัชนี SET50 ที่คาดว่าตลท. จะประกาศผลในสัปดาห์นี้ เพื่อคำนวณดัชนีรอบ 1H68 การอ่อนค่าของเงินบาท/USD ใน 4Q67 จาก 32.36 บาท เป็น 34.04 บาท จะส่งผลให้บริษัทกลับมีกำไรจาก FX คาดไม่ต่ำกว่า 1,000 ลบ. ใน 4Q67 ขณะที่ปัจจัยหนุนคือการไต่ระดับขึ้นของราคาก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ จากการเข้าสู่ High Season และเป็น 1 ในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการสนับสนุนพลังงานฟอสซิลของทรัมป์ รวมทั้งการปลดล็อกข้อจำกัดส่งออก LNG ของสหรัฐฯ ในปี 2568 จะส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติในสหรัฐมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น เก็งกำไร SAWAD ราคาปิด 40.75 บาท แนวต้านทางเทคนิค 42.00 บาท ราคาหุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว คาดมีโอกาสถูกเพิ่มเข้าสู่ดัชนี SET50 ที่คาดว่าตลท. จะประกาศผลในสัปดาห์นี้ เพื่อคำนวณดัชนีรอบ 1H68 เราคาดว่าหากการพิจารณาบอร์ดไตรภาคีจากตัวแทน 3 ฝ่าย ได้แก่ รัฐบาล, นายจ้างและลูกจ้าง ในวันที่ 23 ธ.ค. เห็นร่วมกันในการขึ้นค่าแรงเป็น 400 บาท ในปี 2568 จะเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ เนื่องจากส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนระดับกลาง-ล่างเพิ่มขึ้น ส่งผลบวกต่อความต้องการใช้สินเชื่อและความสามารถในการชำระหนี้ให้สูงขึ้น เก็งกำไรทางเทคนิค BCPG ราคาปิด 5.65 บาท แนวต้านทางเทคนิค 6.00 บาท ภาพทางเทคนิค แนวต้าน 6.00 บาท แนวรับ 5.60 บาท และ Stop loss หากต่ำกว่า 5.50 บาท ราคายืนไม่หลุดแนวรับเดิมที่ 5.55 บาท และกำลังกลับขึ้นไปยืนเหนือเส้น SMA-20 วันอีกครั้ง ทำให้ประเมินว่าระยะสั้นมีโอกาสเข้าสู่รอบ Technical Rebound โดยมีเป้าหมายที่ 5.85 และ 6.00 บาทตามลำดับ
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน จากตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2567 รวม 228 บริษัท โดยบจ. มีผลคะแนนเฉลี่ยสูงขึ้นในทุกมิติ ESG โดยเน้นเรื่องการบริหารความเสี่ยงด้าน Climate และการตั้งเป้าหมายสู่ Carbon Neutral และ Net Zero และ SET ESG Ratings เป็นหนึ่งในนโยบายการลงทุนของกองทุน Thailand ESG Funds (TESG) และกองทุนวายุภักษ์หนึ่ง หน่วยลงทุนประเภท ก. คิดเป็น AUM รวมกว่า 6 แสนล้านบาท นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในการประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ประจำปี 2567 มีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ได้รับการประกาศผลประเมินรวมทั้งสิ้น 228 บริษัท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ สอดคล้องกับเทรนด์การลงทุนอย่างยั่งยืน (sustainable investment) ที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งในและต่างประเทศ “ผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผู้ลงทุน นักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุน ใช้ควบคู่กับข้อมูลอื่น ๆ ในการวิเคราะห์ความเสี่ยงและโอกาสการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งนับวันปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) จะยิ่งส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันและศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจ โดยปัจจุบันมีกองทุนบางประเภทที่ใช้ SET ESG Ratings เป็นหนึ่งในนโยบายการลงทุน เช่น กองทุน Thailand ESG Funds (TESG) มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการของกองทุน (AUM) กว่า 14,545 ล้านบาท และกองทุนวายุภักษ์หนึ่ง หน่วยลงทุนประเภท ก. มี AUM 150,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าในอนาคตจะมีกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนด้าน ESG เพิ่มขึ้น สอดรับกับทิศทางความตื่นตัวของ บจ. ในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ เห็นถึงพัฒนาการทั้งในฝั่งของผู้ลงทุนและ บจ. อย่างต่อเนื่อง” นายศรพลกล่าว ในการประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ปี 2567 มี บจ. ที่ผ่านเกณฑ์และได้รับการประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings รวม 228 บริษัท (ระดับ AAA 56 บริษัท ระดับ AA 80 บริษัท ระดับ A 71 บริษัท และระดับ BBB 21 บริษัท) โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมคิดเป็น 82% เมื่อเทียบกับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดทั้งหมดของ SET และ mai (ณ 12 ธันวาคม 2567) “เป็นที่น่าสนใจว่า ในปีนี้มี บจ. ขนาดกลางและเล็กที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดไม่เกิน 10,000 ล้านบาทสามารถผ่านเกณฑ์ SET ESG Ratings ได้ถึง 106 บจ. เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 43% สะท้อนถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังพบว่า บจ. มีคะแนนเฉลี่ยสูงขึ้นในทุกมิติ ทั้ง E S และ G โดยมีความโดดเด่นในด้านการพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้า การวิเคราะห์ผลกระทบและบริหารความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงมีการตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจนสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)” นายศรพลกล่าว SET ESG Ratings คัดเลือกจาก บจ. ที่สมัครใจเข้าร่วมการประเมิน และมีผลคะแนนจากการตอบแบบประเมินผ่าน 50% ในมิติ E S และ G และต้องผ่านเกณฑ์คุณสมบัติตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนด เช่น เป็นบริษัทที่มีผลการประเมินคุณภาพรายงานด้านบรรษัทภิบาล (CGR) โดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ตั้งแต่ 3 ดาวขึ้นไป ไม่เป็นบริษัทหรือมีกรรมการหรือผู้บริหารของบริษัทที่ถูกกล่าวโทษหรือได้รับการตัดสินความผิดเรื่อง ESG จากหน่วยงานทางการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่เป็นบริษัทที่ถูกขึ้นเครื่องหมาย CB, CC, CF, CS เป็นต้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทบทวนและปรับปรุงเกณฑ์ประเมินเป็นประจำทุกปีเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทและเทรนด์ ESG ทั้งในระดับประเทศและระดับสากล นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังติดตามคุณสมบัติของ บจ. ตลอดกระบวนการ หาก บจ. ขาดคุณสมบัติตามเกณฑ์หลังจากที่ประกาศเรตติ้งไปแล้วอาจถูกถอดออกจาก SET ESG Ratings ได้ รวมถึงการขึ้นข้อความเพื่อให้ผู้ใช้ SET ESG Ratings พิจารณาข้อมูล ESG ของบริษัทเป็นการเพิ่มเติม
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะ"ซื้อ" MAGURO (ซื้อ/ปรับเป้าขึ้นเป็น 26.00 บาท) กำไร 24E-26E ทำ All Time High จากขยายสาขาและ new brands คงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 26.00 บาท อิง 2025E PER 23.5x (เดิมที่ 22.50 บาท อิง 2025E PER 22.0x) เรามีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นต่อ outlook ของ MAGURO มีประเด็นสำคัญดังนี้: ในปี 2025E บริษัทมีแผนเปิดสาขาใหม่ไม่ต่ำกว่า 13 สาขา (ใกล้เคียงเราคาด) และมีแผนเปิดแบรนด์ใหม่ 2 แบรนด์,สำหรับ Tonkatsu Aoki มีแผนที่จะเปิดสาขาแรกที่ Central World วันที่ 20 ธ.ค. และสาขา 2 ที่ One Bangkok ใน 1Q25E เราคาดว่าจะเปิดครบ 5 สาขาในปี 2025E,GPM รวมไม่ต่ำกว่า 45% และแบรนด์ใหม่ GPM > 50% เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E ที่ 95 ล้านบาท (+31% YoY) และกำไรปกติที่ 101 ล้านบาท (+39% YoY) แต่ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E ขึ้น +9% จากการปรับรายได้และ GPM เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เราประเมินกำไรสุทธิปี 2025E ที่ 141 ล้านบาท (+49% YoY) เราคาดรายได้จากแบรนด์ใหม่ที่ 132 ล้านบาท คาด NPM ของแบรนด์ใหม่ที่ 9-10% ราคาหุ้น outperform SET +7% ใน 1 เดือนที่ผ่านมาปัจจุบันเทรดอยู่ที่ 2025E PER 19.2x ต่ำกว่าคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม เรายังชอบ MAGURO จาก: ธุรกิจร้านอาหารแบบ Full-Service ไทย ยังมีการเติบโตต่อเนื่อง, มี penetration rate ที่ต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก, Valuation ไม่แพงเมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไรปี 24-25E ที่ทำ All Time High และยังมี upside จากแบรนด์ใหม่และการขยายสาขาที่มากกว่าคาด
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) ผลประกอบการจะเติบโตโดดเด่นในปี 25F โดยสิ้นงวด ก.ย. 24 JMT มีพอร์ตหนี้เสียในมูลค่ารวม 534,864 ล้านบาท โดย 87% เป็น Unsecured NPL และ 13% เป็น Secured NPL ขณะที่การซื้อหนี้ 9M24 มีเพียง 807 ล้านบาท เทียบกับ 9M23 ที่ใช้เงินซื้อ 6,380 ล้านบาท เราแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 21.6 บาท โดยมองว่าผลประกอบการใน 4Q24F จะเป็นช่วงพีคที่สุดของปีโดยปี 24F ประเมินกำไรสุทธิที่ 1.66 พันล้านบาท -16% YoY ชะลอตัวลงจาก 1.การเพิ่มค่าใช้จ่ายเพื่อปรับปรุงกระบวนการติดตามหนี้ราว 500 ล้านบาท ในช่วงมิ.ย. เป็นต้นมา เพื่อลดค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองในระยะยาว ค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการจัดเก็บหนี้ด้อยคุณภาพที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย Cash collection ที่ชะลอตัว ส่วนหนึ่งมาจากการปรับเกณฑ์การขายหนี้ด้อยคุณภาพของ ธปท. ที่ทำให้สถาบันการเงินขาย NPL และ NPA ได้น้อยลง เนื่องจากต้องมีการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งก่อนและหลังเป็นหนี้เสีย ก่อนที่จะขายหนี้ออกมาได้จึงใช้เวลานานและมีปริมาณหนี้น้อยลงมาขายสู่ตลาด สำหรับแนวโน้มการเติบโตเฉลี่ยแบบ CAGR ของกำไรสุทธิในปี 24-26F คิดเป็น 10% โดยผลประกอบการจะเติบโตโดดเด่นในปี 25F ที่ประเมินกำไรสุทธิราว 2.05 พันล้านบาท +23% YoY เนื่องจาก 1. คาดหวังก่อตั้ง AMC กับพาร์ทเนอร์สถาบันการเงินอีกแห่ง หนุนส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีเพียง JK AMC แนวโน้มค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองที่ลดลงจากการจัดเก็บหนี้ที่ดีขึ้น โดยวางแผนซื้อหนี้เพิ่ม 2-3 พันล้านบาท ได้ประโยชน์จากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ภายใต้บรรยากาศการปรับลดดอกเบี้ยของ ธปท. อย่างน้อย 1-2 ครั้งในปี 2025 หนุนรายได้ในทุกกลุ่มธุรกิจขยายตัว YoY
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “แกว่งสร้างฐาน” ต้าน 1439/1443 จุด รับ 1425/1421 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯแกว่งตัวในกรอบแคบ ดัชนีS&P500 ทรงๆ -0.16% โดยมีหุ้นเทคโนโลยีรายตัว อาทิ Broadcom น าตลาด จากทิศทางการเติบโต AI ดีกว่าคาด ปัจจัยมหภาคตลาดรอติดตามรายงานเศรษฐกิจ Flash PMI ภาคผลิตและบริการสหรัฐ ธ.ค. 24 วันนี้, ยอดค้าปลีก ผลผลิตอุตสาหกรรม ธ.ค. 24 พรุ่งนี้(17 ธ.ค.) และผลประชุม Fed 17-18 ธ.ค. (เวลาไทยเช้า 19 ธ.ค.) แต่หากอิง US Bond Yield 10 ปีที่เร่งขึ้นมาแตะ 4.4% น่าจะสะท้อนมุมมองระมัดระวังตลาดคาด Fed จะส่งสัญญาณเข้มงวดขึ้น ด้านเอเชียเช้าวันนี้ติดตามรายงานเศรษฐกิจจีน พ.ย. 24 คาดการฟื้นตัวยังค่อยเป็นค่อยไป อิงรายงาน New Yuan Loans สุดสัปดาห์ต่ำกว่าคาด ประเมินปัจจัยต่างประเทศเป็นกลางถึงลบอ่อนๆ อย่างไรก็ดีภายในเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้าย ของปี คาดเม็ดเงินลงทุนระยะยาวลดหย่อนภาษี ประเมินไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท จะเริ่มเข้ามาประคองตลาด ประเมิน SET วันนี้น่าจะยังพอประคองตัวสร้างฐานได้โดยมีกลุ่มเด่น คือ ธนาคาร น ้ามัน หุ้น Big Cap ที่อยู่ในเป้ากองทุน TESG วันนี้แนะนํา ADVANC, KTB, KBANK
หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่ 16 ธันวาคม 2567 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาปรับลง 50 บาท ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 42,800.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 42,900.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 42,023.52 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 43,4000.00 บาท
หุ้นวิชั่น - บล.เคจีไอ ส่องหุ้นกลุ่มมีเดีย โดยฝ่ายวิจัยมองว่าได้สังเกตว่ากลุ่มสื่อโฆษณาของประเทศไทยเผชิญเส้นทางต่าง ๆ ที่แตกต่างกันในช่วงการเปลี่ยนผ่านสู่การโฆษณาดิจิทัลช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ การโฆษณาในโรงภาพยนตร์และการโฆษณาผ่านสื่อนอกบ้าน (OOH) เป็นสื่อแบบดั้งเดิมเพียงสองสื่อที่สามารถเติบโตได้ และฝ่ายวิจัยเชื่อว่าสองสื่อนี้จะโตต่อเนื่องในปี 2568 ส่วนสื่อโฆษณารูปแบบดั้งเดิมอื่นๆ คาดว่าจะลดลงต่ออีก ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคงให้น้ำหนักลงทุนกลุ่มนี้ “ เท่ากับตลาด ฯ” (Neutral) โดยเลือก MAJOR เป็นหุ้นเด่นสุดในกลุ่ม เพราะฝ่ายวิจัยคาดว่าจะเห็นกําไรเติบโตโดดเด่นในปีหน้าด้วยสัดส่วน รายได้จากโรงภาพยนตร์มากขึ้น โดยแนะนําซื้อ ประเมินราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 17.80 บาท มองแนวโน้มไตรมาส4/2567 มองแนวโน้มกําไรใน Q4/67 ฝ่ายวิจัยคาดว่ากําไรรวมใน Q4/67 ของกลุ่มสื่อโฆษณาที่เราศึกษาอยู่จะดีขึ้นทั้ง YoY และ QoQ เนื่องจากเป็น ช่วงการใช้จ่ายเม็ดเงินโฆษณาสูงสุดในปีของธุรกิจสื่อ ซึ่งจะดันให้margin ดีขึ้น จากนั้น กําไรใน Q1/68อาจชะลอตัว QoQ เนื่องจากเป็นช่วง low season ของธุรกิจนี้แต่เรายังคาดว่าจะเห็นการเติบโต YoY จากเม็ดเงินโฆษณามากขึ้นและภาพยนตร์โด่งดังหลาย ๆ เรื่องรอเข้าฉายอยู่ ฝ่ายวิจัยคาดกําไรสุทธิใน Q4/67 ของ MAJOR ฟื้นตัวโดดเด่น QoQ เป็นเพราะผลการดําเนินงานแข็งแกร่งจาก หนังไทย น่าจะช่วยหนุนรายได้จากโรงภาพยนตร์และอัตรากําไรขั้นต้นดีขึ้น ในขณะเดียวกัน กําไรน่าจะทรงตัว YoY จากฐานสูงเป็นเพราะมีหนังไทยหลาย ๆเรื่องประสบความสําเร็จอย่างมากใน Q4/66 ขณะที่กําไรสุทธิใน Q4/67 ของ PLANB คาดว่าจะเป็นจุดสูงสุดของปีโดยที่ คาดกําไรเติบโตปานกลาง QoQ และ YoY ในเบื้องต้นเป็นเพราะ margin ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม คาดกําไรใน Q1/68 ลดลง QoQ จาก ปัจจัยฤดูกาล แต่ดีขึ้น YoY เพราะการเพิ่มขึ้นของพื้นที่สื่อโฆษณาน่าจะช่วยหนุนรายได้และ margin ของสื่อ OOH ให้สูงขึ้น พร้อมฉายภาพแนวโน้มกําไร ปี 2568 ฝ่ายวิจัยคาดว่ากําไรปี2568 ของ MAJOR จะเติบโต 26% YoY จากหนังเด็ดโด่งดังของค่าย Hollywoodหลากหลายเรื่องรอจะเข้าฉาย และโมเมนตัมบวกของหนังไทยมาแรงต่อเนื่อง น่าจะดันรายได้โรงภาพยนตร์สูงขึ้น (ยอดขายตั๋วและยอดขายเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยว) เรายึดแนวอนุรักษ์นิยม โดยประเมินจํานวนผู้เข้าชมอยู่ราว 37.6 ล้านคน (เทียบกับเป้าหมายของบริษัทที่ 40 ล้านคน) และคาดว่าบริษัทจะสามารถปรับเพิ่มราคาตั๋วเฉลี่ยขึ้นในปี2568 ได้ประเด็นนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อรายได้จากการโฆษณาของบริษัท (คิดเป็น 13% ของรายได้) และอัตรากําไรขั้นต้นด้วย และฝ่ายวิจัยมองว่า PLANB จะได้รับประโยชน์จากการเป็นผู้เล่นหลักในสื่อ OOH ในปี2568 แต่ทว่า คาด utilization rate จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย (76.5% ในปี2568F เทียบกับ 75.2% ในปี2567F) เพราะปัจจุบันอยู่สูงที่ >70-75% อย่างไรก็ดีPLANB อาจยังได้รับประโยชน์จากการปรับราคาสื่อขึ้น ซึ่งจะช่วยหนุนให้GPM ดี ขึ้นด้วย นอกจากนี้บริษัทตั้งเป้าแทนที่ static billboard บางส่วนด้วยป้ายสื่อดิจิทัลในทําเลที่เป็นกลยุทธ์ หลัก ๆ ถึงแม้ว่ารายได้จากการจัดกิจกรรมแข่งขันฟุตบอลและมวย การตลาดแบบมีส่วนร่วม (16% ของรายได้รวมปี2568F) น่าจะลดลง22% YoY เนื่องจากการไม่มีรายได้จากการบริหารสิทธิ์งานโอลิมปิกแล้ว
หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ 13 ธันวาคม 2567 – ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ได้มอบสินเชื่อภายใต้กรอบการสนับสนุน ทางการเงินเพื่อการเปลี่ยนผ่าน (Transition Finance Framework) จำนวน 6,500 ล้านบาทให้กับบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย เพื่อใช้ในการพัฒนาก่อสร้างและเป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับโครงการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel - SAF) แห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งถือเป็นการสนับสนุนทางการเงินเพื่อการเปลี่ยนผ่าน สำหรับอุตสาหกรรมที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากธุรกิจปัจจุบันได้ยากครั้งแรกในประเทศไทย นางสาวพนิตสนีย์ ตั๊นสวัสดิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจลูกค้าองค์กร ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ธุรกรรมนี้เป็นการยืนยันของยูโอบีในการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องต่อกลุ่มบริษัทบางจาก ให้ครอบคลุมใน ทุกด้าน พร้อมทั้งยืนยันจุดยืนของเราในฐานะธนาคารหลักที่สนับสนุนกลุ่มบริษัทฯ ในด้านกลยุทธ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับแผนการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน เรามีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ของบางจากฯ ซึ่งเป็นโครงการแรกของประเทศไทย ภายใต้กรอบการสนับสนุนทางการเงินเพื่อการเปลี่ยนผ่านนี้ ธนาคารยูโอบี มีความพร้อมที่จะสนับสนุนกิจกรรมการเปลี่ยนผ่านในหลากหลายด้าน สำหรับอุตสาหกรรมที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากธุรกิจปัจจุบัน ได้ยาก ซึ่งรวมถึงการผลิตเชื้อเพลิงทางเลือกคาร์บอนต่ำ การปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน การดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) การใช้ประโยชน์จากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดักจับได้ (CCUS) และการมีส่วนร่วมในโครงการคาร์บอนเครดิตโดยสมัครใจ อันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการผลิต SAF ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการลดคาร์บอนในภาคการบินได้” โดยสินเชื่อนี้ได้รับการออกแบบให้มีการจัดสรรคาร์บอนเครดิต เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนของบางจากฯ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกสำหรับธนาคารยูโอบีในการให้บริการในลักษณะนี้ในประเทศ นางสาวภัทร์ภูรี ชินกุลกิจนิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มงานบัญชีและการเงิน บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "โครงการนี้สะท้อนความพยายามของบางจากฯ ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเปลี่ยนผ่านธุรกิจของเราไปสู่การเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2573 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2593 ความร่วมมือนี้ช่วยให้เราสามารถดำเนินการแผนการลดคาร์บอนได้อย่างเป็นรูปธรรม เราขอขอบคุณธนาคารยูโอบี ในการสนับสนุนทางการเงินในครั้งนี้ และความมุ่งมั่นที่จะอยู่เคียงข้างตลอดการเดินทางสู่ความยั่งยืนของเรา" โครงการนี้ออกแบบมาเพื่อผลิต SAF จากน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่โซลูชันพลังงานที่ยั่งยืนของประเทศ โครงการ SAF นี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนกลยุทธ์ของบางจากฯ ในการก้าวไปสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำและนวัตกรรมที่ยั่งยืน ซึ่งมีศักยภาพในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ (Oil & Gas Industry) น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ผลิตจากทรัพยากรที่ยั่งยืนซึ่งสามารถผสมกับเชื้อเพลิงอากาศยานแบบดั้งเดิมเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โครงการนี้ใช้ประโยชน์จากห่วงโซ่คุณค่าแบบบูรณาการของบางจากฯ (Integrated Value Chain) โดยสามารถจัดหาน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วจากสถานีบริการน้ำมันของบางจากฯ ทั่วประเทศและเครือข่ายพันธมิตร ทั้งนี้ โครงการ SAF จะส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้กับบางจากฯ ในฐานะหน่วยงานการค้า/การตลาดหลัก และจำหน่ายให้ลูกค้าอาทิ ผู้จำหน่ายเชื้อเพลิง สายการบิน และผู้ค้าน้ำมัน อีกทั้งเมื่อเร็ว ๆ นี้ บางจากฯ ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายกับบริษัท เชลล์ อินเตอร์เนชันแนล อีสเทิร์น เทรดดิ้ง ในประเทศสิงคโปร์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว บางจากฯ ซึ่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมพลังงานของประเทศไทย เป็นผู้บุกเบิกการผลิต SAF จากน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วในประเทศไทยผ่านบริษัทย่อย บริษัท บีเอสจีเอฟ จำกัด (BSGF) ซึ่งบางจากได้ลงทุน 8,500 ล้านบาท ในการพัฒนาโครงการผลิต SAF ที่โรงกลั่นน้ำมันบางจาก พระโขนง กรุงเทพฯ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในไตรมาส 2/2568 โดยมีกำลังการผลิต 1 ล้านลิตรต่อวัน ทั้งนี้ การใช้ SAF จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงประมาณ 80,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้เชื้อเพลิงอากาศยานแบบดั้งเดิม
หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี จับตานโยบายรัฐบาล จากนายกฯ แถลงผลงาน 3 เดือน พร้อมให้มุมมองปี 2025 ภายใต้แนวทาง “โอกาสไทย ทำได้จริง” มีเรื่องเป็นประเด็นใหม่ ดังนี้ 1.) โครงการ บ้านเพื่อคนไทย จะมีการใช้ที่ดินรัฐฯ ที่ใกล้แนวรถไฟฟ้า แต่ไม่มีการใช้ประโยชน์ สร้างบ้าน ให้ประชาชนที่ยังไม่มีบ้าน เริ่มลงทะเบียน 20 ม.ค. ฝ่ายวิจัยประเมินจิตวิทยาบวกหุ้นที่มีโอกาสเห็น Upside งานก่อสร้างที่มีฐานรายได้ไม่ใหญ่ อาทิ PYLON SEAFCO 2.) โครงการรถไฟฟ้า 20 บาท เรื่องใหม่ คือ การยืนยันผลักดันให้เกิดขึ้นในปี 2025F ฝ่ายวิจัยประเมินเป็นบวกต่อ BTS ที่ได้ประโยชน์จากนโยบายดังกล่าวชัดเจนกว่า BEM 3.) โครงการกองทุนหมู่บ้าน SML พัฒนาหมู่บ้าน กระจายอ านาจสู่ชุมชน ฝ่ายวิจัยประเมินบวกต่อหุ้น Domestic ที่อิงกำลังซื้อฐานราก CPALL. CPAXT, BJC, GLOBAL 4.) โครงการ ODOS ให้ทุนการศึกษา หนึ่งอ าเถอ หนึ่งทุน ฝ่ายวิจัยประเมินบวกระยะกลาง-ยาว ส่วนนโยบายเศรษฐกิจเดิมที่ยังยืนยันเดินหน้าต่อเนื่อง อาทิ - การนำธุรกิจนอกระบบ (49% ของ GDP) เข้ามาอยู่ในระบบ - การผลักดันลงทุนอุตสาหกรรม S Curve ใหม่ อาทิ Data Center, EV, Semi-conductor เน้นการผ่อนคลายกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค และ - Digital Wallet จะดำเนินโครงการเงินหมื่นฟื้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 โดยเงินสดจะถึงมือ ผู้สูงอายุประมาณ 4 ล้านรายไม่เกินตรุษจีนนี้(ปลาย ม.ค. 25) หลังจากนั้น จะดำเนินการระยะที่ 3 สำหรับบุคคลทั่วไป เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องพร้อมกับยกระดับประเทศไทยให้ก้าวสู่ยุคดิจิทัล สำหรับโครงการที่ยืนยันจะดำเนินการต่อ ประเมินเป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทย โดย Digital Wallet จะช่วยเศรษฐกิจระยะสั้น ส่วนระยะกลาง-ยาว คือ การดึงเม็ดเงินใหม่ๆ เศรษฐกิจนอกระบบ+เม็ดเงินต่างประเทศเข้ามาต่อเนื่อง ขณะที่หนุนหุ้น Domestic ได้ประโยชน์การบริโภค ค้าปลีก เน้น CPALL, BJC, HMPRO ได้ประโยชน์จากการลงทุน นิคม เน้น WHA ธนาคาร เน้น KBANK, SCB, BBL
หุ้นวิชั่น - นางสาวกาญจนา พงศ์พัฒนะเดชา (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย ดร.วิจิตร เตชะเกษม (ซ้าย) กรรมการ และ นายศุภณัฐ พร้อมศิริพงษ์ (ขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บมจ.เคที เมดิคอล เซอร์วิส หรือ KTMS ร่วมนำเสนอข้อมูลภายในงานบริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน (Opportunity Day) ผ่านระบบออนไลน์ ณ KTMS สำนักงานใหญ่ โดยสรุปผลประกอบการงวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิ 11.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.37 และมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าและบริการ 433.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 29.93 ส่งสัญญาณผลงานโค้งสุดท้ายสดใส จ่อรับรู้รายได้จากศูนย์ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม 2 แห่งใหม่ ที่เปิดให้บริการโซนภาคตะวันออกเฉียงเหนือช่วงต้นไตรมาส 4 ที่ผ่านมา และรับรู้รายได้จาก การผลิตและจำหน่ายน้ำยาไตเทียมอย่างต่อเนื่อง หนุนทั้งปีรายได้รวมเข้าเป้า 600 ล้านบาท
หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บทวิเคราะห์ บล.พาย ระบุว่า เมื่อวานที่ผ่านมามหาวิทยาลัยหอการค้าไทยรายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือน พ.ย. พบว่าปรับดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ปัจจัยหนุนมาจากผู้บริโภคเริ่มเห็นว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลช่วยผ่อนคลายสถานการณ์เศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้นและการท่องเที่ยวก็เริ่มปรับดีขึ้นหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมที่ภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มคลี่คลาย แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยกดดันมาจากผู้บริโภคมีความรู้สึกว่าเศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้าและรายได้ในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่ด้วยการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นก็มองเป็นบวกเล็กน้อยกับหุ้นในกลุ่มอิงการบริโภค อาทิ ค้าปลีก (BJC CRC CPALL) ส่วนสหรัฐฯเมื่อคืนรายงานดัชนีราคาผู้ผลิตพบว่าขยายตัว 3%YoY , 0.4%MoM ซึ่งสูงกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ที่ 2.6%YoY ขณะที่ไม่รวมพลังงานและอาหารก็ขยายตัวมากกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ ทั้ง นี้หลังรายงานพบว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯปรับขึ้นและ Dollar Index แข็งค่าอย่างมีนัยยะสำคัญ ด้านเงินบาทกลับมาอ่อนค่าทดสอบระดับ 33.92 บาท / ดอลลาร์สหรัฐฯ โดย CME FED Watch ให้น้ำหนัก 96.7% สำหรับการปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือน ธ.ค. อย่างไรก็ตามกับทั้งปี 25 ให้น้ำหนักลดดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้ง ทั้งนี้ด้วยการปรับขึ้นมาทั้งดัชนีราคาผู้ผลิตและดัชนีราคาผู้บริโภคส่งผลให้ปัจจัยด้านเงินเฟ้อและดอกเบี้ยกลับมาเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอีกครั้งเพราะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของกระแสเงินทุน ด้านการแถลงนโยบาย 100 วันของนายกรัฐมนตรีพบว่าเน้นย้ำเรื่องการแก้ปัญหา PM 2.5 พร้อมเดินหน้ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย โดยเน้นย้ำปี 25 จะให้น้ำหนักกับการลงทุนด้าน AI และ Semiconductor พร้อมเสริมเงิน Digital เฟส 2 ไม่เกินช่วงตรุษจีน วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1430 – 1450 ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยช่วงปลายปีหนุนจากกระแสเงินทุนภายในประเทศและเศรษฐกิจไทยค่อยๆฟื้นตัว เน้นที่กลุ่มค้าปลีก (BJC CRC CPALL) ศูนย์การค้า (CPN) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) ท่องเที่ยว (AOT CENTEL MINT) คืนนี้ไม่มีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามโดยสัปดาห์หน้ารอติดตามผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯจะเป็นปัจจัยสำคัญส่งท้ายปี CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท) รายงานกำไรงวด 3Q24 ที่ 5.6 พันล้านบาท (+27%YoY) หลังหักรายการพิเศษจะมีกำไรปกติ 6.2 พันล้านบาท (+45%YoY) ดีกว่าที่เราและตลาดคาด 9% หนุนจากยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 ที่เติบโต 3.3%YoY จากยอดขายกลุ่มอาหารพร้อมทานและ Personal Care ที่เติบโตดี รวมกับการเติบโตของกำไรของ CPAXT จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Makro +1.5% และ Lotus’s +2.3%) ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 4Q24 จะเติบโต YoY และ QoQ ต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยว BBL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 168.00 บาท) คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตชะลอตัวที่ 2%/4.3% ในปี 2025-26 ด้าน ROE ปรับลดลงที่ 7.9%/7.8% ในปี 2025-26 จาก 8.1% ในปี 2024 และคาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง 5.3-5.6% ในปี 2024-26 ด้านแนวโน้มผลการดำเนินงานใน 4Q เราคาดกำไรจะลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาลที่ค่าใช้จ่ายการดำเนินงานเพิ่มขึ้น และรายได้ดอกดเบี้ยลดลง แต่กำไรจะปรับสูงขึ้น YoY จากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นหลัก
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายอธิพร ลิ่มเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ ทู เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด (มหาชน) ขอแจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 5/2567 เมื่อ วันที่ 12 ธันวาคม 2567 โดยคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดต่อตลาดหลักทรัพย์ฯได้ เนื่องจากการเข้าทำธุรกรรมการลงทุนยังมีความไม่แน่นอน รวมทั้งบริษัทฯ มีหน้าที่เก็บรักษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมไว้เป็นความลับในระหว่างการเจรจาสัญญาและเงื่อนไขต่างๆ โดยบริษัทฯจะเปิดเผยต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ทันที เมื่อรายละเอียด เงื่อนไขและข้อตกลงของธุรกรรมการลงทุนมีความชัดเจนแน่นอน จึงขอแจ้งรายละเอียดของบริษัทร่วมทุน ดังต่อไปนี้ ชื่อบริษัท อยู่ระหว่างการพิจารณา วันที่คาดว่าจะจดทะเบียนจัดตั้ง ภายในไตรมาส 1 ปี 2568วัตถุประสงค์การจัดตั้ง เพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมจากธุรกิจหลักของบริษัท สร้างพันธมิตรที่ดีทางธุรกิจและโอกาสในธุรกิจด้านความปลอดภัยสารสนเทศ สถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ อยู่ระหว่างการพิจารณา ทุนจดทะเบียน ทุนจดทะเบียน 5,000,000 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญ 50,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท ลักษณะการประกอบธุรกิจ ดำเนินธุรกิจให้บริการด้านความปลอดภัยสารสนเทศ และเทคโนโลยีโซลูชันแบบครบวงจร
หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.85-34.10 บาท/ดอลลาร์ ดัชนี PPI สหรัฐพุ่งขึ้น 3% ในเดือนพฤศจิกายน เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธุ์ 2566 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดที่ระดับ 6% ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานสหรัฐเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 242,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25% ตามคาดและส่งสัญญาณปรับลดต่อ
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล จำกัด (มหาชน) หรือ TMAN ประเด็นน่าสนใจจากการประชุมนักวิเคราะห์ (12 ธ.ค. 67) ► แนวโน้มผลประกอบการ 4Q67 เติบโต QoQ และ YoY จาก Organic Growth สินค้าแบรนด์หลัก (Propoliz, ไอยรา) และยาสามัญใหม่ (Attor, Maniptin) ติดตลาด โดยยอดสั่งซื้อยังคงต่อเนื่องและเพิ่มมากขึ้นจากการขยายฐานกลุ่มลูกค้ารพ. ► ล่าสุด Propoliz Plus ได้รับเลขใบอนุญาตยาสำเร็จรูปจากทางอ.ย. (เดิมเป็นสมุนไพร) ทำให้การสั่งเบิกจ่ายผ่านประกันในรพ.เอกชนจะทำได้สะดวกขึ้น ส่งผลบวกต่อรายได้จากแบรนด์ Propoliz คาดจะเริ่มเห็นการเติบโตในช่วง 1H68 ► บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ปี 2568 เติบโต 10-15% YoY โดยมีแรงหนุนสำคัญจาก 1) กลุ่มลูกค้าโรงพยาบาล ตั้งเป้าเติบโต 20% YoY จากแผนการออกยาสามัญใหม่ อีกทั้งปัจจุบันบริษัทฯ มีทีมขายใหม่ที่ใช้กลยุทธ์การขายเชิงรุกในการนำยาสามัญใหม่เข้าไปเจาะตลาดโรงพยาบาลใหม่เพิ่มขึ้น 2) กลุ่มลูกค้าต่างประเทศ ตั้งเป้าเติบโต 20% YoY จากการสร้าง Brand Awareness แบรนด์เรือธง Propoliz ในกลุ่มนักท่องเที่ยวและการเข้าไปเจาะตลาดต่างประเทศโดยใช้ Local Distributor ช่วย และ 3) กลุ่มลูกค้าคลินิกความงาม เพิ่มความครบวงจรของสินค้าจำเป็นและเป็น One stop service สำหรับคลินิก เช่น ยาชา ไหมร้อยหน้า ฟิลเลอร์ มุมมองของฝ่ายวิจัย ► คาดเห็นผลประกอบการเติบโต QoQ และ YoY ต่อเนื่องใน 4Q67 และผลประกอบการสะสมช่วง 9M67 อยู่ที่ 338 ลบ. (+15% YoY) คิดเป็น 75% ของประมาณการปี 2567 ของเราที่ 452 ลบ.แล้ว ► แนวโน้มการเติบโตของสินค้าแบรนด์หลักของ TMAN ทำได้แข็งแกร่ง กลุ่มยาสามัญใหม่ (First Generic Drug) และยาโรคติดต่อไม่เรื้อรัง (NCD) ได้แรงหนุนจากคำสั่งซื้อต่อเนื่องของลูกค้าโรงพยาบาล และความสามารถในการรักษาระดับอัตรากำไรสุทธิ (NPM) ที่ราว 19-20% ส่งผลให้เราคาดกำไรปกติปี 2568 ที่ 536 ลบ. (+19% YoY) ► เราประเมินราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2568 ที่ 26.00 บาท และคงคำแนะนำ “ซื้อ” จาก 1) Valuation ต่ำน้อยกว่าค่าเฉลี่ยคู่แข่งในประเทศ โดยปัจจุบันหุ้นซื้อขายบน PER68 เพียง 11.9 เท่า 2) ผลประกอบการของบริษัทฯ มีความผันผวนในระดับต่ำ เนื่องจากสินค้าหลักของบริษัทฯ (ยารักษาโรค และสมุนไพร) เป็นสินค้าจำเป็น อีกทั้งมีปัจจัยหนุนจากทั้งโครงสร้างประชากรสูงวัยและการเข้าถึงสิทธิการรักษาที่เพิ่มขึ้น และ 3) Catalyst หนุนราคาหุ้นระยะสั้น จาก Propoliz Plus ที่ได้รับเลขใบอนุญาตยาสำเร็จรูปจากทางอ.ย. และหนุนการเติบโตรายได้จากแบรนด์ Propoliz ในอนาคต
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “แกว่งสร้างฐาน” ต้าน 1445/1448 จุด รับ 1432/1427 จุด ดัชนี S&P500 -0.54% เงินเฟ้อผู้ผลิต PPI สหรัฐ ก.ย. 24 สูงกว่าคาด+ 3%y-y, 0.4%m-m vs prev. 2.6%y-y, 0.2%m-m ส่งผลให้US Bond Yield 10 ปี+6 bps สู่ 4.33% สูงสุดใน 2 สัปดาห์ทั้งนี้ ภาคแรงงานที่เริ่มเปราะบางขึ้น ผู้ขอรับสวิสดิการว่างงานครั้งแรก แย่กว่าคาด เพิ่มสู่ 2.42 แสนราย สูงสุดใน 6 สัปดาห์ แม้ระยะสั้นอาจมีความผันผวนจากภาพ PPI แต่ประเมินไม่เปลี่ยนภาพหลักวงจรดอกเบี้ยขาลง และสหรัฐพยายามประคองเศรษฐกิจ Soft Landing ใน ระยะกลาง ด้านจีน หลังประชุม CEWC พบว่า ยังไม่มีการแถลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้แรงขับเคลื่อนเอเชียแผ่วลง แต่จุดประคอง SET คาดอยู่ที่ภายใน แม้โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ ที่นายกแถลงดูจะเน้นโครงการสร้างโอกาส ระยะกลาง-ยาวให้ประชาชน แต่โครงการเดิมที่ยังเดินหน้าต่อ อาทิ Digital Wallet เฟส 2 และ 3 , การเร่งสร้าง New S Curve ผสาน สัญญาณ รฟท.เร่งประมูลโครงการ Mega Projects รถไฟ รางคู่ ระยะ 2 > 1.0 แสนล้านบาท ในปี2025F ประเมิน SET สร้างฐาน หุ้นนำ คือ หุ้น Domestic ที่ได้ประโยชน์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไปยังองค์ประกอบ การบริโภค การลงทุนวันนี้แนะนํา BTS, KTB, SPRC
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (มหาชน) หรือ KJL การคาดการณ์กำไรใน 4Q67 มีโอกาสเติบโตทั้ง QoQ และ YoY เนื่องจากการฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดใน 3Q67 ซึ่งกำไรในไตรมาสนี้อยู่ที่ 43 ล้านบาท ลดลง 13.4% QoQ และ 10.6% YoY จากการแข่งขันในตลาดที่สูงขึ้น และอุปสงค์ที่ลดลงจากการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลที่ล่าช้า อย่างไรก็ตาม จำนวนวันที่ขายสินค้าได้ต่อรอบเพิ่มขึ้นเป็น 31 วันจาก 25 วันใน 4Q66 และระยะเวลาการให้เครดิตลูกหนี้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 93 วันจาก 83 วันใน 4Q66 ซึ่งยังคงอยู่ในระดับที่ไม่สูงเกินไป คาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งจากการเบิกจ่ายงบประมาณที่ไม่ล่าช้า มีออเดอร์หนุนจากการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม และสินค้าที่เน้นราคาเข้าถึงได้มากขึ้น เช่น กล่องพลาสติกกันน้ำ และกล่องเหล็ก รวมถึงสายเคเบิล 5K ที่มีคุณภาพสูง ทนทาน แม้ว่าจะใช้เหล็กที่มีความหนาน้อยลง คาดว่า GPM จะสูงขึ้น และใน 4Q67 ไม่มีค่าใช้จ่ายในการจัดสัมมนาใหญ่เหมือนใน 4Q66 ทำให้กำไรสุทธิในไตรมาสนี้มีแนวโน้มจะอยู่ที่ 50 ล้านบาท (+/-) ซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิเติบโตทั้ง QoQ และ YoY โดยคาดว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลในช่วง 2H67 ที่ 0.33 บาท ซึ่งให้ผลตอบแทน 4.9% ในปี 2568 คาดว่าจะเติบโตใกล้เคียงหรือมากกว่าประมาณการ โดย KJL มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตอีกกว่า 30% เป็น 40 ล้านชิ้น ด้วยการลงทุน 200 ล้านบาท เพื่อรองรับปริมาณความต้องการที่สูงขึ้นจากสินค้าที่ใหม่และกลุ่มลูกค้าที่เพิ่มขึ้นตามแผนขยายโครงข่ายลูกค้าในทุกกลุ่ม KJL ตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนร้านค้าในเครือข่ายเป็น 1,000 ร้านในปีนี้ จาก 800 ร้านในปี 2566 และคาดว่าในปี 2568 จะมีจำนวนร้านค้าในเครือข่ายเพิ่มขึ้นเป็น 1,200 ร้าน ส่วนในกลุ่มช่างไฟ (Tier 3) ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 10,000 คนในปี 2567 และ 15,000 คนในปี 2568 นอกจากนี้ ในปี 2568 KJL ยังมุ่งเน้นเพิ่มสินค้ากลุ่ม Data Center เช่น ตู้ Racks, รางสายไฟ และตู้ไฟสำหรับธุรกิจนี้ ซึ่งมีความต้องการสูงทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ คาดว่าจะมีรายได้ในปี 2568 ที่ 1,400 ล้านบาท ใกล้เคียงกับประมาณการของเรา แต่ตั้งเป้า GPM ที่ 30% ซึ่งสูงกว่าที่คาดไว้ที่ 28% ทำให้มีโอกาสที่กำไรปี 2568 จะเติบโตมากกว่าคาด ราคาหุ้นของ KJL ขณะนี้ค่อนข้างคงที่และไม่แพง โดยซื้อขายด้วย PER ปี 68 ที่ต่ำเพียง 8.2 เท่า และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลต่อปีประมาณ 7.9% จึงแนะนำ "ซื้อ" โดยตั้งราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ที่ 10.90 บาท
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) น้ำมันดิบ Brent -0.15%d-d ปิดที่ USD 73.41/barrel น้ำมันดิบ West Texas -0.38%d- d ปิดที่ USD 70.02/barrel รับข่าว IEA ออกรายงานเตือนเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาดในปี 2568 ราว 950,000 บาร์เรล/วันในปี 2568 เท่ากับ 1% ของผลผลิตน้ำมันทั่วโลก ขณะที่ ค่าการกลั่นฟื้นตัว วานนี้ค่าการกลั่น ณ โรงกลั่นสิงคโปร์ ปิดล่าสุด 12 ธ.ค. เพิ่มขึ้น 1.13$ (+21%) ปิดที่ระดับ 6.5$/bbl ระยะสั้นยังเป็นขาขึ้นสะท้อนจากค่าการกลั่นในช่วงปลาย 3Q24 เฉลี่ยที่ 2-3$/bbl แต่ปัจจุบันเคลื่อนไหวที่ระดับ 5-6.5$/bbl นับเป็นสัญญาณบวกต่อการดำเนินงานปกติของกลุ่มโรงกลั่น Top Pick คือ SPRC ด้าน ก๊าซธรรมชาติNYMEX +2.2%d-d, +12.3%wtd ปิดที่ USD3.378/MMBtu สูงสุดในรอบสัปดาห์เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าอากาศจะหนาวเย็นขึ้นและความต้องการใช้ความร้อนจะสูงขึ้น โดยรวมมองบวกต่อหุ้นที่มีรายได้จากก๊าซ อาทิ BANPU แต่เป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นกลุ่มทีมีต้นทุนก๊าซ อาทิโรงไฟฟ้า
หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล.ดาโอระบุว่า ยังคงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” สำหรับกลุ่มพลังงาน กลุ่มโรงกลั่นมีความน่าสนใจมากที่สุด จากผลประกอบการ 4Q24E ที่จะฟื้นตัวดี โดยเลือก SPRC (ซื้อ/เป้า 8.50 บาท) เป็น Top pick โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้ 1) ราคาน้ำมันมีแรงกดดันจากภาวะล้นตลาด โดยล่าสุด IEA ระบุว่าปี 2025E จะมีอุปทานน้ำมันส่วนเกิน 0.95 ล้านบาร์เรลต่อวัน (mbd) (ประมาณเกือบ 1% ของอุปทานน้ำมันทั่วโลก) และจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.4 mbd หาก OPEC+ ปรับเพิ่มกำลังผลิตในเดือนเม.ย. 2025E โดยเราคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปี 2025E จะลดลงเป็น USD73/bbl จากระดับ USD79-80/bbl ในปี 2024E, 2) ราคาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติจะสูงขึ้นไม่ได้มากจากปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติคงคลังที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวในสหภาพยุโรป (EU), 3) ค่าการตลาด (marketing margin) ของกลุ่มค้าปลีกน้ำมันไทยมีแนวโน้มทรงตัวแต่ยังคงมีความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ (regulatory risk), 4) ค่าการกลั่นตลาด (market GRM)/ค่าการกลั่นพื้นฐาน (operating GRM) มีแนวโน้มสูงขึ้นใน 4Q24E ตามส่วนต่างราคา crack spread โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์กึ่งหนักกึ่งเบา (middle distillate) ที่ดีขึ้น ดัชนีกลุ่มพลังงานปรับตัวลงและ underperform SET –8% ในช่วง 6 เดือน ตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัว ทั้งนี้ เลือก SPRC (ซื้อ/เป้า 8.50 บาท) เป็น Top pick ของกลุ่มพลังงานโดยเชื่อว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนผลประกอบการที่อ่อนแอใน 3Q24 ไปมากแล้ว เราเชื่อว่าบริษัทจะกลับมารายงานกำไรสุทธิได้ใน 4Q24E ตามแนวโน้ม market GRM/operating GRM ที่ฟื้นตัวและผลขาดทุนจากสต๊อก (stock loss) ที่เป็นไปได้ที่ลดลง
หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า มีรายงานบริษัทรับเหมาช่วง 28 บริษัทของโครงการพลังงานสะอาด (CFP) เดินทางมารวมตัวกันบริเวณด้านหน้าสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย (สถานทูตเกาหลีใต้) เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้แก้ปัญหาการค้างชำระค่าจ้างที่เกิดขึ้นจากผู้รับเหมากลุ่มหลักกิจการร่วมค้า UJV ซึ่งนำโดยบริษัท Samsung E&A (Thailand) Co.,Ltd. ร่วมกับ Petrofac South East Asia Pte. Ltd. และ Saipem Singapore Pte. Ltd. ทั้งนี้ หากภายในสิ้นปีนี้ยังไม่ได้รับคำตอบกลุ่มผู้รับเหมาช่วงจะนำพนักงานไปเรียกร้องที่บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) (PTT) ภายในสัปดาห์แรกของปี 2025 และขอแนวทางแก้ไขจาก TOP ด้วย โดยผู้รับเหมาช่วงอ้างว่า UJV ค้างชำระค่าจ้างเป็นระยะเวลา 10 เดือน สร้างความเสียหายกว่า 7.0 พันล้านบาทแล้ว นอกจากนี้ ผู้รับเหมาช่วงมีแผนที่จะไปขอความเป็นธรรมกับสถานทูตของอีก 2 ผู้ถือหุ้นด้วย (ที่มา: ข่าวหุ้น) มีมุมมองเป็นกลางต่อข่าวนี้ โดยเรามองว่าการประท้วงที่สถานทูตไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อแนวทางแก้ปัญหาอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ดี TOP ได้แจ้งก่อนหน้านี้ว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในส่วนของแนวทางการแก้ปัญหานี้ในต้นปี 2025 สำหรับภาพรวมธุรกิจระยะสั้นใน 4Q24E เชื่อว่าบริษัทจะกลับมารายงานกำไรปกติได้ใน 4Q24E หนุนโดยการฟื้นตัวของค่าการกลั่นตลาด (market GRM) และผลขาดทุนจากสต๊อก (stock loss) ที่ลดลง ทั้งนี้ ยังคงประมาณการกำไรสุทธิ 2024E ที่ 9.7 พันล้านบาท (-50% YoY) อย่างไรก็ดี แม้ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" ที่ราคาเป้าหมายที่ 55.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.70x (ประมาณ -1.5SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง) แต่สำหรับภาพระยะสั้นจนกว่าจะมีความชัดเจนในเรื่องนี้ เราแนะนำให้ลงทุนใน SPRC (ซื้อ/เป้า 8.50 บาท) แทนก่อนการฟื้นตัวที่เป็นไปได้ของผลประกอบการ 4Q24E
หุ้นวิชั่น - นายวิจิตร เตชะเกษม กรรมการผู้จัดการ (กลาง) พร้อมด้วย นายธนพรรจน์ ตันติวัฒนวิจิตร (ขวา) ผู้จัดการทั่วไป และนางสาวปานจิต ฉิมพาลี (ซ้าย) ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไปฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท ฟิลเตอร์ วิชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ FVC ร่วมนำเสนอข้อมูลสรุปผลประกอบการงวด 9 เดือนของปี 2567 ภายในงานบริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน (Opportunity Day) ผ่านระบบออนไลน์ ณ FVC สำนักงานใหญ่ โดยผลประกอบการงวด 9 เดือน บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 18.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.83% ขณะที่รายได้จากการจำหน่ายสินค้าและบริการ 774.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.51% พร้อมระบุไตรมาส 4 นี้ แนวโน้มโตต่อเนื่องจากการเร่งขยายฐานลูกค้าใหม่ และรักษาลูกค้าเดิม ทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจการให้บริการ หนุนรายได้ทั้งปี 2567แตะ 1,000 ล้านบาท
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ผลประกอบการ 3Q67 ของ MINT มีรายได้จากการดำเนินงาน 42 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% YoY จากแนวโน้มที่ดีขึ้น อย่างต่อเนื่องของกลุ่มโรงแรม รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPar) เพิ่มขึ้น 9% และราคาห้องพักเฉลี่ย (ADR) ที่เพิ่มขึ้น 7 % จากช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวในยุโรป ส่วนไทยแม้จะเป็นช่วง Low Season แต่ได้รับแรงหนุนจากความต้องการห้องพักสำหรับการเดินทางเพื่อธุรกิจและการพักผ่อนที่ยังแข็งแกร่ง ADR เพิ่มขึ้น 9% ในส่วนของธุรกิจอาหาร SSSG ของแบรนด์อาหารหลักในไทยและสิงคโปร์ยังเติบโตได้ กำไรสุทธิอยู่ที่ 2.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% YoY แนวโน้มใน 4Q67 คาดจะเติบโตได้ต่อเนื่องจากแรงหนุนการเข้าสู่ช่วง High Season ของภาคการท่องเที่ยวไทย และด้านธุรกิจอาหารคาดยอดขายและจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นผ่านการจัดแคมเปญของร้านอาหารในเครือ อีกทั้งบริษัทมีแผนจัดตั้งกอง REIT นำโรงแรมขายเข้ากอง REIT ขนาดกองทุนราว 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยบริษัทจะถือหุ้นราว 50% จะทำให้บริษัทได้รับเงินราว 700 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 2.3-2.4หมื่นล้านบาท ทางบริษัทจะนำเงินราว 1 หมื่นล้านบาทชำระหนี้ ส่วนที่เหลือจะนำไปขยายการลงทุน ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยของบริษัทลงได้ 500 ล้านบาทต่อปี โดยบริษัทคาดว่าจะจัดตั้งกอง REIT ได้แล้วเสร็จ ปลายปี 2568 นี้ ด้านแผนระยะยาวตั้งเป้าเพิ่มโรงแรมในเครือมากกว่า 780 แห่ง และร้านอาหาร 3,700 สาขาภายในปี 2569 จากสิ้นปี 2566 มีโรงแรม 532 โรงแรมและร้านอาหาร 2,645 สาขา ได้รับ Sentiment บวกจาการที่ MINT ได้รับการเข้าคำนวณดัชนี FTSE Large cap ซึ่งมีผลบังคับใช้ 23 ธ.ค.
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายอิศรา เรืองสุขอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีเทอเนิล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ EE ได้รับหนังสือจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขอให้บริษัทฯ ชี้แจงข้อมูลกรอบเวลาที่จะศึกษาความเป็นไปได้ของการลงทุนในธุรกิจ Tech นั้น บริษัทฯ ขอชี้แจงว่าบริษัทฯ จะยังคงดำเนินธุรกิจกัญชงและกัญชาต่อไป แต่เนื่องด้วยธุรกิจกัญชงและกัญชามีความเสี่ยงสูงจากการเปลี่ยนแปลงของนโยบายภาครัฐ อีกทั้งสภาวะอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ราคาผลผลิตตกต่ำลงจากสภาวะอุปทานส่วนเกิน ซึ่งส่งผลโดยตรงกับผลประกอบการของบริษัทฯ ดังนั้น บริษัทฯ จึงมีแนวทางในการขยายการลงทุนในธุรกิจอื่นที่มีศักยภาพในการเติบโต กล่าวคือ ธุรกิจอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและสารสนเทศ (“ธุรกิจ Tech”) โดยบริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในธุรกิจ Tech ซึ่งรวมถึง (1) ธุรกิจสื่อเทคโนโลยี (Technology Media) (2) ธุรกิจให้บริการชำระเงิน (PaymentGateway Solution) และ/หรือ (3) ธุรกิจแพลตฟอร์มตลาดซื้อขาย (Marketplace Platform) เนื่องจากเห็นว่าธุรกิจ Tech เป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้และความสามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว และเป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับทิศทางเมกะเทรนด์ บริษัทฯ จึงมีความสนใจในการเข้าลงทุนในธุรกิจดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างกระแสเงินสดให้กับบริษัทฯ อย่างสม่ำเสมอ มีผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 12.0 และมีศักยภาพการเติบโตในอนาคต (Potential Upside) อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ประสงค์ที่จะระดมทุนโดยการเข้าทำรายการ Private Placement เพื่อให้บริษัทฯ สามารถระดมเงินทุนให้ได้ทันท่วงทีสำหรับการเข้าลงทุนในธุรกิจ Tech ดังกล่าว โดยบริษัทฯ ยังไม่สามารถเปิดเผยชื่อของธุรกิจที่บริษัทฯ อยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนได้ เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวเป็นธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนแห่งอื่น และการเปิดเผยข้อมูลในขณะที่ยังไม่มีความแน่นอนอาจจะทำให้บริษัทจะทะเบียนดังกล่าวได้รับผลกระทบ และอาจส่งผลต่อการเจราจาราคาของธุรกรรมการลงทุนนี้ อย่างไรก็ดีบริษัทฯ คาดว่าจะได้ความแน่นอนเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในธุรกิจ Tech ภายในไตรมาส 2 – 3 ปี 2568
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายกิตติ สัมฤทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) หรือ PCC ขอแจ้งให้ทราบว่า บริษัท พรีไซซ ซิสเท็ม แอนด์ โปรเจ็ค จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้น ร้อยละ 99.96 ได้ลงนามในสัญญา ซื้อ TOU Meter with RS232 port, 50(150) A, 230/400 V 3 Phase 4 Wire จํานวน 3,300 เครื่อง ด้วยวิธีคัดเลือก กับ การไฟฟ้านครหลวง เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2567 มูลค่าสัญญารวม 19,773,600.00 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ) ทั้งนี้ มีกําหนดการส่งมอบเป็น 2 งวด ภายใน 180 วัน นับถัดจากวันลงนามในสัญญา โดยมีเงื่อนไขการชําระเงิน ตามงวดงานที่ส่งมอบ
หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอ ระบุว่า ธปท. ออกมาตรการแก้หนี้ช่วยเหลือลูกหนี้ในโครงการคุณสู้ เราช่วย โดยมี 2 มาตรการคือ มาตรการจ่ายตรง คงทรัพย์ และมาตรการ จ่าย ปิด จบ โดยลูกหนี้ที่จะเข้าร่วมได้ต้องทำสัญญาสินเชื่อก่อน 1 ม.ค. 24 และมีสถานะเป็นลูกหนี้ค้างชำระ 31-365 วัน ขณะที่ลูกหนี้ที่จะเข้าร่วมต้องเข้าไปลงทะเบียนผ่าน ธปท. ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค. 24-28 ก.พ. 25 โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1) มาตรการจ่ายตรง คงทรัพย์ มียอดหนี้ที่ 8.9 แสนล้านบาท (น้อยกว่าข่าวก่อนหน้านี้ที่ 1.3 ล้านล้านบาท) โดยธนาคารจะจ่าย FIDF ที่เท่าเดิมที่ 0.46% ขณะที่ภาครัฐจะตั้งกองกลางโดยนำเงินจาก FIDF fee ที่ 0.23% มาใส่ที่ราว 3.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากธนาคารไหนแก้หนี้ให้ลูกหนี้ได้เท่าไรก็สามารถมาเบิกดอกเบี้ยได้ 50% โดยมาตรการนี้จะครอบคลุมลูกหนี้ 5 กลุ่มคือ สินเชื่อบ้าน/Home for cash ไม่เกิน 5 ล้านบาท, สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์/Car for cash ไม่เกิน 8 แสนบาท, สินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์/Car for cash ไม่เกิน 5 หมื่นบาท, SME ไม่เกิน 5 ล้านบาท และบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลที่รวมหนี้บ้านและหนี้รถ โดยปีแรกชำระ 50% ของค่างวด, ปีที่สองชำระ 70% และปีที่สามชำระ 90% ขณะที่ลูกหนี้ไม่สามารถขอสินเชื่อใหม่ได้ในช่วง 12 เดือนแรก และต้องติด Flag ใน NCB 2) มาตรการ จ่าย ปิด จบ มียอดหนี้ที่ 1 พันล้านบาท โดยให้กับลูกหนี้ NPL บุคคลธรรมดาในทุกประเภทสินเชื่อ โดยมีภาระหนี้คงค้างไม่เกิน 5,000 บาท ซึ่งลูกหนี้ต้องชำระบางส่วนเพื่อเป็นการปิดบัญชี เป็นกลางต่อกลุ่มธนาคาร เพราะรายละเอียดคล้ายกับข่าวก่อนหน้า โดย 1) มาตรการจ่ายตรง คงทรัพย์ มีเพียงวงเงินที่ลดลงเหลือ 8.9 แสนล้านบาท และเพิ่มวงเงินสินเชื่อบ้านและ SME เป็น 5 ล้านบาท จากเดิมที่ 3 ล้านบาท ขณะที่ผลกระทบต่องบกำไรขาดทุนทั้งปี 2025E คาดว่าจะไม่กระทบแบบมีนัยสำคัญ เพราะ 1H25E จะโดนผลกระทบต่อ Loan yield ที่จะลดลง จาก EIR ที่ลดลงเพราะไม่มีการรับรู้ดอกเบี้ย 3 ปี แต่ช่วง 2H25E จะเห็นการลดลงของสำรองฯหลังจากที่ลูกหนี้กลับมาจ่ายได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด อย่างไรก็ดี รอความชัดเจนในการลงบัญชีเพราะตอนนี้ยังไม่ทราบว่าจะมีการบันทึกเป็นดอกเบี้ยค้างรับหรือไม่ ซึ่งต้องรอรายละเอียดเพิ่มเติมจาก ธปท. อีกที ส่วน 2) มาตรการ จ่าย ปิด จบ เรามองเป็นบวกเพราะสินเชื่อส่วนบุคคล-บัตรเครดิต โดยปกติทุกธนาคารจะมีการ write-off ค่อนข้างเร็วประมาณ 6-12 เดือน โดยสินเชื่อที่เข้ามาตรการนี้จะเป็นหนี้เสียค้างเกิน 1 ปี ทำให้กลุ่มธนาคารมีโอกาสได้เงินคืนจากลูกหนี้กลุ่มนี้เข้ามาเพิ่มเติมได้บ้างเล็กน้อย ทั้งนี้ธนาคารขนาดใหญ่ที่มีสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยเรียงจากมาก-น้อยคือ TTB (62%), KTB (46%), SCB (40%), KBANK (28%) ยังคงน้ำหนักเป็น “มากกว่าตลาด” เลือก KTB, KBANK เป็น Top pick เราให้น้ำหนักการลงทุนของกลุ่มธนาคารเป็น “มากกว่าตลาด” เพราะแนวโน้มการเติบโตของกำไรปี 2024E-2025E จะยังเติบโตได้ต่อเนื่องอีก 5-6% YoY ขณะที่ valuation ยังถูก โดยเทรดที่ระดับเพียง 0.67x PBV (-1.25SD below 10-yr average PBV) ขณะที่เรายังคงเลือก KBANK, KTB เป็น Top pick - KTB ราคาเป้าหมายที่ 24.50 บาท อิง PBV 2025E ที่ 0.85x (-0.75SD below 10-yr average PBV) เพราะกำไรสุทธิปี 2024E อยู่ที่ 4.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นสูงที่สุดในกลุ่มธนาคารที่ +18% YoY ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไรสุทธิ 4Q24E จะเพิ่มขึ้น YoY แต่จะลดลง QoQ จาก OPEX ที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล และ KTB เน้นปล่อยสินเชื่อภาครัฐมากขึ้น ซึ่งเป็นสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำและรองรับกับสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงได้ - KBANK ราคาเป้าหมายที่ 176.00 บาท บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.70x (-1.00SD below 10-yr average PBV) เพราะคุณภาพของสินทรัพย์ที่ดีขึ้น และเราคาดหวัง JV AMC กับ BAM จะช่วยลด NPL ได้ในระยะยาว และคาดกำไร 4Q24E จะเพิ่มขึ้น YoY จากสำรองฯที่ลดลง โดยปัจจุบันซื้อขายเพียง 0.66x PBV (-1.25SD below 10-yr average PBV) ถูกกว่า SCB ที่ 0.81x PBV
หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า Ridership พ.ย. 2024 กลับมาทำสถิติสูงสุดใหม่ BEM รายงานผู้โดยสารรถไฟฟ้าเดือน พ.ย. 2024 ที่ 4.6 แสนเที่ยว/วัน (+7% YoY, +4% MoM) และตัวเลขเฉลี่ย 11M24 อยู่ที่ 4.3 แสนเที่ยว/วัน (+10% YoY) ขณะที่ผู้ใช้ทางด่วน พ.ย. 2024 อยู่ที่ 1.14 ล้านเที่ยว/วัน (-0.1% YoY, +3% MoM) และตัวเลขเฉลี่ย 11M24 อยู่ที่ 1.1 ล้านเที่ยว/วัน (+0.02% YoY) (ที่มา: BEM) มองเป็นบวกต่อผู้โดยสารรถไฟฟ้า พ.ย. 2024 ทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง ขณะที่ผู้ใช้ทางด่วนกลับมาโตดี +3% MoM หนุนโดยท่องเที่ยวขยายตัวตาม high season การเปิดภาคเรียน และการเปิดโครงการใหญ่ One Bangkok ตั้งแต่ปลายเดือน ต.ค. 2024 แม้แนวโน้มผู้ใช้บริการ ธ.ค. 2024 จะกลับมาชะลอ MoM จากปัจจัยฤดูกาลของวันหยุดยาว แต่เรามองว่าทิศทางปี 2025E จะปรับตัวดีขึ้น ทั้งผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่ยังมี room ในการ ramp up รวมถึงผู้ใช้ทางด่วนปรับตัวดีขึ้นตามภาคท่องเที่ยวและผลกระทบจากการก่อสร้างในพื้นที่ลดลง เราคงกำไรสุทธิปี 2024E/25E ที่ 3.7 พันล้านบาท/4 พันล้านบาท (+8% YoY/+6% YoY) สำหรับ 4Q24E เบื้องต้นประเมินกำไรสุทธิจะโตต่อเนื่อง YoY ตามการฟื้นตัวของผู้โดยสารรถไฟฟ้า แต่จะอ่อนตัว QoQ เนื่องจาก 1) ผลกระทบจากปัจจัยฤดูกาลของวันหยุดยาวในช่วงเดือนสุดท้ายของปี และ 2) ไม่มีอานิสงส์จากรายได้เงินปันผล คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 11.40 บาท อิง SOTP แม้จะมี noise จากนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาท แต่เรามองว่าในช่วง 1-2 ปีแรกของการเริ่มใช้นโยบาย มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นการชดเชยส่วนต่างค่าโดยสารก่อน ซึ่งจะเป็นบวกต่อผู้ประกอบการ นอกเหนือจากนี้ยังมี catalyst จากความคืบหน้าโครงการ Double Deck และการขยายสัมปทานทางด่วนใน 1H25E เบื้องต้นเราประเมินจะเป็น upside ราว 0.5 บาท/หุ้น
หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล.ดาโอระบุว่า OPEC ออกรายงานประจำเดือนล่าสุดปรับคาดการณ์อุปสงค์การใช้น้ำมันโลกในปี 2024E ลงอีกครั้งเป็นเติบโตที่ 1.61 ล้านบาร์เรลต่อวัน (mbd) ลดลงจาก 1.82 mbd ในเดือนที่แล้ว ในขณะที่ปรับประมาณการอุปสงค์ปี 2025E ลงเป็นเติบโต 1.45 mbd จาก 1.54 mbd ทั้งนี้ การปรับลดประมาณการครั้งนี้หลักๆเป็นการรวมผลกระทบของข้อมูลที่อ่อนแอใน 3Q24 อย่างไรก็ดี มีรายงานว่า สหภาพยุโรป (EU) ได้ตกลงที่จะคว่ำบาตร (sanction) รัสเซียเพิ่มเติมจากประเด็นการทำสงครามกับยูเครน โดยการ sanction เพิ่มเติมในคราวนี้มุ่งเป้าไปที่กองเรือเงา (shadow fleet) และบริษัทจีนที่ผลิตโดรนให้รัสเซีย (ที่มา: Reuters, Bloomberg) มีมุมมองเป็นกลางต่อแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นซึ่งเราเชื่อว่าจะยังคงผันผวนอยู่และซื้อขายในกรอบ USD70.0/bbl-USD75.0/bbl วานนี้ ราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ Brent สูงขึ้น 1.8% เป็น USD73.5/bbl เรายังคงสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยที่ USD80.0/bbl ลดลงจาก USD81.9/bbl ในปี 2023 และคงน้ำหนักการลงทุน "เท่ากับตลาด" ทั้งนี้ สำหรับภาพรวมระยะสั้น กลุ่มโรงกลั่นจะรายงานกำไรที่ฟื้นตัว QoQ ใน 4Q24E ตามแนวโน้มส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) ที่ดีขึ้นและผลขาดทุนจากสต๊อกที่เป็นไปได้ที่ลดลง โดยชอบ SPRC (ซื้อ/เป้า 8.50 บาท), TOP (ซื้อ/เป้า 55.00 บาท), และ BCP (ซื้อ/เป้า 40.00 บาท)
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “Sideways to Sideways/Up” ต้าน 1450/1455 จุด รับ 1437/1432 จุด ดัชนีS&P500 +0.82% หนุนหลักดัชนีNasdaq ทำ All time high +1.77% ทะลุ 20,000 จุด เงินเฟ้อ CPI พ.ย. 24 +2.7%y-y, +0.3%m-m ตามคาด โดยเงินเฟ้ออสังหาฯที่สร้างแรงกดันช่วงที่ผ่านมามีพัฒนาการทางบวก หลังรายงาน ผลส ารวจตลาด 99% คาด Fed จะปรับลดดอกเบี้ย -25 bps ในการประชุม 17-18 ธ.ค. ยังหนุนบรรยากาศลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง ฝั่งเอเชีย 11-12 ธ.ค. ติดตามการประชุม CEWC ของจีน หากท่าทีProactive ต่อความเสี่ยง มากขึ้นจะหนุนบรรยากาศลงทุนภูมิภาค ด้านไทยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกต่อเนื่อง นำโดยมาตรการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ประเมิน บวกต่อกลุ่มธนาคาร เช่าซื้อในฝั่ง Upside ต่อคุณภาพสินทรัพย์ ส่วนวันนี้ติดตามมาตรการเพิ่มเติม จากการแถลงผลงาน 3 เดือนของนายก ประเมินตลาดวันนี้ Sideways to Sideways/Up กลุ่มนำ คือ หุ้นน้ำมัน (ราคาน้ำมันขึ้นเฉลี่ย 2.2% จาก EU ตกลงคว่ำบาตรรัสเซียรอบใหม่+ ความคาดหวังจีนกระตุ้นเศรษฐกิจ) หุ้น Domestic และหุ้น China Plays วันนี้แนะนํา PTTEP, IVL, HMPRO
หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่ 12 ธันวาคม 2567 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาปรับขึ้น 250 บาท ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 43,400.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 43,500.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 42,614.76 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 44,000.00 บาท
หุ้นวิชั่น - PROEN ได้ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Innovenx ผู้ให้บริการโซลูชันเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย จากประเทศสิงคโปร์ หวังยกระดับการจัดการ Multi-Cloud ปักธงให้บริการครอบคลุมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย ลาว เมียนมา และกัมพูชา มุ่งเน้นเสริมศักยภาพธุรกิจด้วยเทคโนโลยีคลาวด์ที่ทันสมัย นายกิตติพันธ์ ศรีบัวเอี่ยม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ PROEN ผู้ให้บริการ Cloud และ Data Center ครบวงจรชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทได้ลงนามความร่วมมือทางธุรกิจ(เอ็มโอยู)ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับบริษัท Innovenx ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโซลูชันเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย จากประเทศสิงคโปร์ เพื่อยกระดับเพื่อยกระดับการจัดการ Multi-Cloud โดยมีเป้าหมายขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย ลาว เมียนมา และกัมพูชา ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้มุ่งเน้นเสริมศักยภาพธุรกิจด้วยเทคโนโลยีคลาวด์ที่ทันสมัย "ลูกค้าของเราต้องการโซลูชันที่ครบครัน เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงานด้านคลาวด์และยกระดับความยืดหยุ่นทางธุรกิจ การผสานแพลตฟอร์มการจัดการ Multi-Cloud ของ Innovenx อย่าง MQloud เข้ากับบริการ Turnkey Multi-Cloud Provider ของ PROEN จะช่วยตอบสนองความต้องการดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ" นายกิตติพนธ์กล่าว บริการ Turnkey Multi-Cloud Provider Solution ของ PROEN Corp นำเสนอบริการคลาวด์แบบครบวงจรที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการทางธุรกิจที่หลากหลายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงการบริการให้คำปรึกษา การดำเนินการ การย้ายระบบ และการเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุน PROEN Corp ช่วยให้การจัดการทรัพยากรด้านการคำนวณ การจัดเก็บข้อมูล ฐานข้อมูล ความปลอดภัย และเครือข่ายเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ โซลูชันที่ครบวงจรนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถใช้เทคโนโลยีคลาวด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกระดับความสามารถในการดำเนินงานและสร้างการเติบโตได้ สำหรับการปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าด้วยการจัดการMulti-Cloud ผ่าน MQloud ประกอบด้วย การรวม Resource แบบไร้รอยต่อ: สามารถจัดการทรัพยากรคลาวด์ทั้งหมดบนแพลตฟอร์มเดียว พร้อมให้มุมมองที่ชัดเจนเกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากร ความยืดหยุ่นที่เพิ่มขึ้น: ช่วยสร้างและจัดการสภาพ Environment ที่เป็นอิสระได้หลายรายการ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว ความปลอดภัยของข้อมูลและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ: ควบคุมระบบ Local Clouds และระบบ Public Clouds จากส่วนกลาง เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายข้อมูลในท้องถิ่นและการส่งมอบเนื้อหาและแอปพลิเคชันที่มีประสิทธิภาพ ความยืดหยุ่น: หลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากจุดล้มเหลวจุดเดียว ด้วยการควบคุมสภาพ Environment ที่ละเอียดและปรับปรุงความสามารถในการตอบสนองความเสี่ยง การดำเนินงานที่ง่ายขึ้น: เชื่อมต่อข้ามคลาวด์โดยอัตโนมัติและทำให้การปรับใช้คล่องตัวด้วยอินเทอร์เฟซที่รวมศูนย์ การเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุน: การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ด้านผู้บริหารจาก Innovenx กล่าวว่า การร่วมมือเชิงกลยุทธ์นี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของทั้งสองบริษัทในการเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมบริการคลาวด์และขับเคลื่อนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ซึ่งแพลตฟอร์มการจัดการ Multi-Cloud ของเราสามารถแก้ปัญหาความท้าทายด้านการจัดสรรทรัพยากร ความปลอดภัย และการจัดการต้นทุน ทำให้ความซับซ้อนของ Multi-Cloud Environment ง่ายขึ้น [PR News]
หุ้นวิชั่น - คุณสุวีรยา อังศวานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานบริหารคู่ค้า และธุรกิจลิขสิทธิ์ บริษัท ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) (TACC) ถ่ายภาพร่วมกับ คุณแซมมี่ คาโรลุส ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท และคุณอณิตา ตันติศิรินทร์ ศิลปินชาวไทยที่สร้างสรรค์คาแร็คเตอร์ Warbie Yama เนื่องในโอกาสเข้าร่วมงาน Warbie's Whimsical Holiday ต้อนรับเทศกาลแห่งความสุขไปพร้อมกับเจ้านกเหลืองจอมกวน นำเสนอประสบการณ์การพักผ่อนในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีกับครั้งแรกของห้องพักสำหรับครอบครัวในธีม “วอร์บี้ ยามะ” ที่จะพาแฟน ๆ ปลดปล่อยจินตนาการ พร้อมสนุกไปกับการพักผ่อนภายในห้องพักที่อัดแน่นไปด้วยความน่ารักและอบอุ่น เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย นอกจากนี้ ยังมีสินค้าลิขสิทธิ์แท้จากทางวอร์บี้ ยามะ พร้อมสินค้ารุ่นลิมิเต็ดสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับโปรโมชั่น Warbie's Whimsical Holiday เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นผ้าห่ม พวงกุญแจ พรม โปสการ์ด สติ๊กเกอร์ และผ้าปิดตา มาร่วมสร้างความทรงจำอันแสนพิเศษที่เต็มไปด้วยความสุขไปพร้อมกัน ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 ที่โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้น ณ โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท เมื่อเร็วๆ นี้
หุ้นวิชั่น - บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ร่วมสนับสนุนการจัดงานเลี้ยงรับรองเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพพระพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2567 จัดโดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล โดยมี นายพีรเดช พัฒนจันทร์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานธุรกิจภูมิภาคเอเชียเหนือ ฟิลิปปินส์และกัมพูชา ผู้แทนจาก บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วมงาน เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ณ Crystal Ballroom โรงแรม Lotte กรุงโซล ตลอดทั้งงานยังมีการบรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์และเพลงเกาหลีจากวง Royal Bangkok Symphony Orchestraโดยการสนับสนุนจากบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ ร่วมขับร้องโดย ผศ.ดร.กิตตินันท์ ชินสำราญ และนักร้องประสานเสียงจากวง The National Chorus of Korea โดยได้รับเกียรติจาก นายธานี แสงรัตน์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล เป็นประธานฝ่ายไทย และนาย Keeyong Chung เอกอัครราชทูตและรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผู้แทนพิเศษสำหรับภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก เป็นแขกเกียรติยศ พร้อมแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง ประมาณ 500 คน ประกอบด้วย คณะทูตานุทูต, บุคคลสำคัญภาคการเมืองและผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐของเกาหลีใต้, ผู้บริหารภาคเอกชนไทยและเกาหลีใต้, สื่อมวลชนและกลุ่มผู้มีอิทธิพลทางความคิดไทยและเกาหลีใต้, ข้าราชการและเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตฯ และหน่วยงานทีมประเทศไทย พร้อมทั้งคู่สมรส และผู้แทนชุมชนชาวไทยที่พำนักอยู่ในเกาหลีใต้ สำหรับกิจกรรมไฮไลท์ในงานฯ มีการจัดแสดงนิทรรศการที่เกี่ยวข้องกับพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และราชวงศ์ไทย โดย บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ การออกร้านอาหารของผู้ประกอบการไทยในเกาหลีใต้ การจัดคูหาแสดงผลิตภัณฑ์ และศักยภาพจากภาคเอกชน นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงประติมากรรมน้ำแข็งแกะสลักรูปช้างและหมูเด้ง จัดแสดงในงานเพื่อเชิญชวนคนเกาหลีใต้และคนต่างชาติไปเยือนไทย รวมถึงประติมากรรมอินทรชิตแปลง ร.ศ.115 จาก 333 Art Gallery สถานที่จัดแสดงงานศิลปะของไทยแห่งแรกในกรุงโซล เพื่อเผยแพร่งานศิลปะของไทย งานดังกล่าวสะท้อนถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐเกาหลี พร้อมทั้งเผยแพร่วัฒนธรรมไทยไปสู่สายตานานาชาติ
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน จากกลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.60-33.80 บาท/ดอลลาร์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้นหลังคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้น้อยลง จีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ ผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้นเพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศ ทองคำปรับตัวสูงขึ้นจากแรงหนุนคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดและความตึงเครียดในตะวันออกกลาง จับตาการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ คืนนี้เพื่อประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมสัปดาห์หน้า
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด มุมมองตลาดเช้านี้ “แกว่งตัว sideway ในกรอบ 1,440-1,460" โดยติดตามข้อมูลเงิน CPI-PPI ที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจของเฟด รวมถึงปัจจัยในประเทศยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ชัดเจน แนะนํา selective buy หุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว หุ้นเด่นประจำเดือน ธ.ค. : OR (เป้า 15.20 บ.), ITC (เป้า 22.10 บ.), CPALL (เป้า 65.00 บ.) กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง - MTC SAWAD TISCO กลุ่มท่องเที่ยว - AOT AAV / AWC ERW MINT SHR CENTEL กลุ่มส่งออก - AAI ITC CPF TU STA DELTA CCET กลุ่ม Trade war / นิคม - AMATA WHA PIN กลุ่มกระแสลงทุน Data Center – AIT BE8 BBIK INSET GULF กลุ่ม Domestic play - ADVANC BJC CPALL CPAXT CPN HMPRO OSP ตลาดระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่สหรัฐฯ จะเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ว่าเฟดจะยุติวงจรการผ่อนคลายนโยบายการเงินในเดือนม.ค. ปีหน้าหรือไม่ หลังจากเจ้าหน้าที่เฟดหลายรายได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เฟดควรชะลอการผ่อนคลายนโยบายการเงินเมื่อพิจารณาจากเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว โดยคาดว่า Headline CPI พ.ย. จะอยู่ที่ +2.7% YoY จากเดือนก่อนที่ +2.6% YoY ขณะที่ Core CPI คาดที่ 3.3% YoY ทรงตัวจากเดือนก่อน ส่วน PPI คาดว่า Headline จะอยู่ที่ +2.5% YoY เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ +2.4% YoY ส่วน Core คาดที่ 3.3% YoY เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ 3.1% YoY ทั้งนี้ หากออกมาสอดคล้องกับการคาดการณ์ นักลงทุนก็จะมีความมั่นใจมากขึ้นว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ในการประชุมสัปดาห์หน้า โดยข้อมูลล่าสุดจาก FedWatch Tool บ่งชี้ว่าตลาดให้น้ำหนักราว 86% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 17-18 ธ.ค. อย่างไรก็ตาม กลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ ปรับตัวลง รวมถึงดัชนี semiconductor ปรับตัวลง 2.5% หลัง 1. หุ้นบริษัทออราเคิล (Oracle) รายงานผลประกอบการที่ต่ำกว่าตลาดคาด และ 2. สำนักงานควบคุมกฎระเบียบตลาดของจีน (SAMR) ได้เริ่มสอบสวน NVIDIA ที่อาจละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดของจีน ขณะที่ตลาดมองว่าการดำเนินการดังกล่าวของจีนเป็นการตอบโต้สหรัฐฯ ที่ประกาศห้ามการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ไปยังบริษัทจีนจำนวน 140 แห่ง ซึ่งรวมถึงบริษัทผลิตชิปของจีน ด้านแถลงการณ์จากกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน หลังการประชุม 9-10 ธ.ค. ที่ผ่านมา ได้สร้างความเชื่อมั่นแก่ตลาดในเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น โดยทางการจีนจะใช้มาตรการทางการคลังในเชิงรุกมากขึ้น รวมทั้งใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายในปีหน้าเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ หนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจีนทำ new low และตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้น เป็น sentiment เชิงบวกต่อกลุ่ม China play แนะนำเก็งกำไร SCGP, SCC, PTTGC, TOP, IVL, TKN, CPF
หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล.ดาโอ ระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” TOG และราคาเป้าหมาย 12.00 บาท อิง 2025E PER 12x (-1SD below 5-yr average PER) เรามองเป็นบวกจากการจัด Group conference call กับ TOG เมื่อวันจันทร์ (9 ธ.ค.) จากแนวโน้มโดยรวมยังดีตามคาด มีประเด็นสำคัญดังนี้ 1) ตั้งเป้ารายได้ปี 2025E โต +10-12% YoY (เราคาด +9% YoY) ทั้งนี้สายการผลิตใหม่เลนส์ Rx ได้เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์แล้วใน 4Q24E โดยปัจจุบัน utilization rate อยู่ในระดับสูงที่ 85%, 2) คาดการณ์งบลงทุนโรงงานใหม่ที่เวียดนามเฟสแรกอยู่ที่ราว 600-800 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาแหล่งที่มาของเงินทุน (ซึ่งรวมถึงตัวเลือกการเพิ่มทุน) คาดได้ข้อสรุป พ.ค. 2025 เบื้องต้นเราประเมินหากบริษัทต้องกู้เต็มจำนวน ตัวเลข D/E ปี 2025E จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.1x จากเดิม 0.8x ยังต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของบริษัทที่ 1.2x, และ 3) มองการที่จีนจะโดนเรียกเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐฯ สูงขึ้นกว่าไทยเป็นโอกาสทางธุรกิจ ขณะที่เชื่อมั่นกลยุทธ์ขยายตลาดสหรัฐฯ ปี 2025E ยังเป็นไปตามแผน คงกำไรปกติปี 2024E/25E ที่ 436 ล้านบาท/478 ล้านบาท (+2% YoY/+10% YoY) สำหรับ 4Q24E เบื้องต้นประเมินกำไรปกติจะโตต่อเนื่อง YoY, QoQ และมีโอกาสเป็นจุดสูงสุดของปี อานิสงส์ high season และการเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ของสายการผลิตใหม่เลนส์ Rxราคาหุ้น in line กับ SET ใน 1-3 เดือน แม้จะมีความไม่แน่นอนจากนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใหม่ ซึ่งยังเป็นปัจจัยที่ยังต้องติดตามต่อ อย่างไรก็ตามปัจจุบันลูกค้าในสหรัฐฯ ยังคงแผนขยายคำสั่งซื้อต่อเนื่องกับบริษัท นอกจากนี้ยังมี catalyst จากกำลังการผลิตใหม่เลนส์ Rx ทยอย ramp up ต่อเนื่อง และความคืบหน้าแผนลงทุนโรงงานใหม่ใน พ.ค. 2025
หุ้นวิชั่น - "ทุกความสำเร็จที่เกิดขึ้นเป็นเพียง Milestone ไม่ใช่เส้นชัย เราต้องพร้อมปรับตัว Disrupt ตัวเองก่อนถูก Disrupt และเตรียมพร้อมรับคลื่นลูกใหม่แห่งนวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อน OR สู่วิสัยทัศน์ 'Empowering All toward Inclusive Growth' ในการเป็นองค์กรที่เสริมสร้างโอกาสเพื่อทุกการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน” นายดิษทัต กล่าว นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ได้แบ่งปันมุมมองและประสบการณ์การทำงานจากจุดเริ่มต้นในสายงานเทรดดิ้ง ปตท. สู่การก้าวขึ้นเป็นผู้นำ OR โดยได้วางรากฐานสำคัญขององค์กรผ่านแนวคิด RISE OR ที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ (R - Result-oriented) การตัดสินใจอย่างชาญฉลาด (I - Intelligence) การร่วมกันทำร่วมกันเติบโต (S - Synergy) และการสร้าง Mindset แห่งความเป็นเจ้าของธุรกิจ (E - Entrepreneurship) พร้อมผลักดันการเปลี่ยนแปลงในการทำงานขององค์กร โดยส่งเสริมให้บุคลากรก้าวออกจาก Comfort Zone ที่จำกัดอยู่ในพื้นที่ความถนัดเดิม สู่ Growth Zone ที่เปิดรับโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพใหม่ ๆ และวางกลยุทธ์การพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งในทุกมิติ ทั้งด้านโครงสร้างการดำเนินงาน การเตรียมโครงสร้างความพร้อมสำหรับบุคลากรใน OR การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพทั้งภายในและภายนอกองค์กร และการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยเฉพาะการผลักดันให้เกิด Digital Transformation ด้วยการเป็นบริษัทแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่บูรณาการการจัดการระหว่างธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกด้วยระบบ SAP S/4HANA ใน 2 อุตสาหกรรม พร้อมพัฒนาระบบติดตามและควบคุมการดำเนินงานแบบศูนย์รวม (Dashboard Control Tower) ที่ช่วยให้มองเห็นภาพรวมการดำเนินงานตลอดห่วงโซ่อุปทานและเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจ รวมถึงต่อยอดสู่การพัฒนาสู่ธุรกิจใหม่ ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) ที่จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มจากข้อมูลทางธุรกิจ โดยร่วมมือกับพันธมิตร OR ได้เสริมความแข็งแกร่งของระบบนิเวศธุรกิจในหลายด้าน โดยเฉพาะการพัฒนาด้าน Mobility ผ่านการเป็น Thailand Mobility Partner ที่ขยายเครือข่าย EV Station PluZ ให้ครอบคลุม 77 จังหวัด ควบคู่กับการผลักดันการใช้เชื้อเพลิงการบินแบบยั่งยืน (SAF) ร่วมกับการบินไทย เวียตเจ็ทแอร์ และบางกอกแอร์เวย์ส พร้อมทั้งปรับ Mode การขนส่งโดยเพิ่มการใช้ขนส่งทางท่อแทนทางรถยนต์หรือรถไฟ เพื่อการบริหารจัดการด้านระบบ Logistic ให้ Optimization มากที่สุด นอกจากนี้ ยังได้พัฒนา Retail Mixed-Use Platform รูปแบบใหม่ผ่าน PTT Station Flagship ที่มีธุรกิจ Non-oil ถึง 80% และต่อยอดสู่ OR Space ที่มุ่งเน้นธุรกิจ Non-oil 100% รองรับความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค ควบคู่ไปกับความสำเร็จในธุรกิจไลฟ์สไตล์ โดย Café Amazon ทำยอดขายกว่า 1 ล้านแก้วต่อวัน พร้อมขยายความแข็งแกร่งให้ธุรกิจต้นน้ำผ่าน Café Amazon Park ที่ จ. ลำปาง รวมถึงการเปิดจุดรับซื้อและโรงแปรรูปเมล็ดกาแฟที่ อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ที่ได้รับซื้อเมล็ดกาแฟจากเกษตรกรชุมชนในพื้นที่แล้วกว่า 370 ตัน ซึ่งนอกจากจะเป็นโรงงานแปรรูปเมล็ดกาแฟต้นแบบแล้ว ยังสร้างการเติบโตร่วมกับชุมชนตามแนวทาง OR SDG ด้วยการพัฒนาระบบ KALA Application เพื่อรวบรวมข้อมูลเกษตรกร พื้นที่ปลูก และคุณภาพเมล็ดกาแฟ นอกจากนี้ ยังเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจไลฟ์สไตล์ผ่านการเปิดร้าน found&found แบรนด์เฮลท์แอนด์บิวตี้รีเทลรูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรักสุขภาพและความงาม โดยวางแผนขยายเป็น 10 สาขาในปี 2025 พร้อมทั้งบริหารพอร์ตโฟลิโออย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ EBITDA Margin ปรับเพิ่มขึ้นจาก 27% เป็น 30% นอกจากนี้ OR ยังเดินหน้าขยายการลงทุนในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยวางรากฐานผ่านการลงทุนใน PTT (Cambodia) หรือ PTTCL ในฐานะ Second Homebase พร้อมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ทั้ง Marine Terminal และสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ที่ถนนหุนเซนบูเลอวาร์ด ควบคู่กับการต่อยอดโครงการ Project ONE ในประเทศฟิลิปปินส์ หรือ PTTPC ที่แสดงให้เห็นถึงความร่วมมืออันแข็งแกร่งภายในกลุ่ม ปตท. นอกจากนี้ยังขยายโอกาสทางธุรกิจสู่เวียดนาม ผ่านการสร้างฐานธุรกิจ LPG แห่งใหม่ และขยายแหล่งจัดหาเมล็ดกาแฟใน สปป. ลาวเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น นายดิษทัต เปิดเผยว่า "ทุกความสำเร็จที่เกิดขึ้นเป็นเพียง Milestone ไม่ใช่เส้นชัย เราต้องพร้อมปรับตัว Disrupt ตัวเองก่อนถูก Disrupt และเตรียมพร้อมรับคลื่นลูกใหม่แห่งนวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อน OR สู่วิสัยทัศน์ 'Empowering All toward Inclusive Growth' ในการเป็นองค์กรที่เสริมสร้างโอกาสเพื่อทุกการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน” ทั้งนี้ นายดิษทัตได้เน้นย้ำถึงหลักคิดสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรว่า การจะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้นั้น ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงตนเองก่อน ต้องกล้าที่จะ Disrupt ตัวเองก่อนที่จะถูก Disrupt จากภายนอก พร้อมเตรียมรับมือกับคลื่นลูกใหม่แห่งนวัตกรรมและแพลตฟอร์ม ไม่รอให้อนาคตมาถึงแต่ต้องลงมือสร้างอนาคตเอง และที่สำคัญคือต้องสื่อสารพันธกิจขององค์กรให้ชัดเจนและสม่ำเสมอ สะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมของ OR ในการก้าวสู่บทใหม่แห่งการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป
หุ้นวิชั่น - นายดุสิต สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด (Jaymart Mobile) หนึ่งในผู้นำการจัดจำหน่ายสินค้าเทคโนโลยี มือถือ และอุปกรณ์เสริมชั้นนำของประเทศ จัดงานสุดยิ่งใหญ่ “Jaymart Miss Mobile Thailand 2024” เพื่อเฟ้นหาผู้หญิงคนรุ่นใหม่ สวย สมาร์ท และนำเทรนด์ด้านเทคโนโลยี ซึ่งในปีนี้มีผู้สมัครเข้ารอบสุดท้าย 35 คน และคัดเหลือเพียง 5 คนสุดท้าย ที่ได้รับตำแหน่งนี้ไป โดย “คุณโซเฟียร์ สทอตต์” คว้าตำแหน่งผู้ชนะการประกวด รอบชิงชนะเลิศ Jaymart Miss Mobile Thailand 2024 และจะทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ นำเสนอผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ อันจะสร้างความโดดเด่นให้กับผลิตภัณฑ์และบริการของเจมาร์ทในปี 2025 โดยได้รับเกียรติจากคณะกรรมการ ผู้บริหารและผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอก ร่วมเป็นกรรมการตัดสิน ณ SCB Next Tech ชั้น 4 สยามพารากอน
หุ้นวิชั่น - บมจ.พีเคเอ็น อินเตอร์โฮลดิ้ง (PKN) ว่าที่หุ้นน้องใหม่ไอพีโอในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค กระแสดีสุดๆ ไม่เพียงแต่เป็นผู้นำในการผลิต จัดหา และจำหน่ายสินค้าลิขสิทธิ์ สินค้าพรีเมียม ไลฟ์สไตล์ และสินค้าสะสม เท่านั้น แต่บริษัทฯ ยังเป็น One-stop services License Solutions ให้แก่กลุ่มลูกค้าธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การให้คำแนะนำในการเลือกคาแรคเตอร์และประเภทสินค้าที่เหมาะสม การออกแบบสินค้าที่มีดีไซน์ที่โดดเด่นและผสมผสานเทคโนโลยีใหม่ๆ และการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและมีมาตรฐานจากผู้ผลิตที่มีศักยภาพ เพื่อช่วยเพิ่มยอดขายสินค้า และสร้างการรับรู้ใน Brand Awareness งานนี้ มีธุรกิจที่ครบเครื่อง พร้อมความสามารถในการสร้างกำไรขั้นต้นที่โดดเด่น สามารถผลักดันอนาคตโตวันโตคืน แถมตอนนี้ พร้อมระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai สนับสนุนฐานทุนแน่นปึ้กเข้าไปอีก ว้าว! หุ้นดีคุณภาพเด็ด ต้องหามาประดับพอร์ตไว้เลยคร้าา!!
หุ้นวิชั่น - คุณสุวรรณา ขจรวุฒิเดช (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยคุณพัชรีรัตน์ ขจรวุฒิเดชภัทร์ (ขวา) รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร/ผู้อำนวยการสายงานปฏิบัติการ และคุณกอบชัย ชิดเชื้อสกุลชน (ซ้าย) ผู้อำนวยการสายงานบัญชีการเงิน บริษัท มีนาทรานสปอร์ต จำกัด (มหาชน) (MENA) ร่วมนำเสนอข้อมูลผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3/2567 ในงาน Opportunity Day บนแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยคาดว่าแนวโน้มรายได้ไตรมาส 4/2567 จะเติบโตต่อเนื่อง จากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมก่อสร้างที่ได้รับปัจจัยบวกจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลง และการลงทุนของภาครัฐกลับมาขยายตัว รวมถึงแผนขยาย Fleet รถของบริษัท TDM เพื่อรองรับปริมาณงานที่จะเพิ่มขึ้นจากการขยายสาขาบริษัท CJ ทำให้มั่นใจรายได้ในปี 2567 จะสร้างสถิติสูงสุดใหม่ (New High) ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้
หุ้นวิชั่น - นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ mai ยินดีต้อนรับ บมจ. อินสไปร์ ไอวีเอฟ เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน mai ภายใต้กลุ่มบริการ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “IVF” ในวันที่ 11 ธันวาคม 2567 IVF ผู้ให้บริการด้านการรักษาผู้มีบุตรยากตั้งแต่การให้คำปรึกษา การวางแผนการรักษาภาวะมีบุตรยาก ตลอดจนการเลือกรักษาด้วยวิธีต่างๆ ให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เช่น ICSI และ IUI เพื่อเพิ่มอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ของคู่สมรส โดยมีทีมแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ผู้ชำนาญการด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ มีสถานที่ให้บริการตั้งอยู่ที่ อาคารเพลินจิต เซ็นเตอร์ พื้นที่ประมาณ 1,000 ตร.ม. มีแพทย์แบบประจำ 1 ท่าน แพทย์แบบชั่วคราว 6 ท่าน และนักวิทยาศาสตร์ผู้ชำนาญการฯ 6 ท่าน บริษัทแบ่งการให้บริการเป็น 2 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1. การให้บริการรักษาผู้มีบุตรยาก และการให้บริการอื่นๆ เช่น การให้บริการสร้างเสริมสุขภาพแก่คู่สมรสที่มารับบริการรักษาผู้มีบุตรยาก การตรวจความผิดปกติทางพันธุกรรมของตัวอ่อน การรักษาภาวะเจริญพันธุ์ 2. การให้บริการเวชศาสตร์ป้องกันและฟื้นฟูสุขภาพแก่บุคคลทั่วไป โดยในงวด 9 เดือน 2567 มีสัดส่วนรายได้จากบริการทั้ง 2 กลุ่ม และรายได้อื่นร้อยละ 90 : 8 : 2 ตามลำดับ ทั้งนี้มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายส่วนใหญ่ร้อยละ 80-90 เป็นลูกค้าชาวต่างชาติ IVF มีทุนชำระแล้วหลัง IPO 220 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 310 ล้านหุ้นและหุ้นสามัญเพิ่มทุน 130 ล้านหุ้น เสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์จำนวนไม่น้อยกว่า 57.5 ล้านหุ้น ผู้ลงทุนสถาบันไม่เกิน 40 ล้านหุ้น ผู้มีอุปการคุณของบริษัทไม่เกิน 19.5 ล้านหุ้น กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทไม่เกิน 13 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 29 พ.ย.- 3 ธ.ค. 2567 ในราคาหุ้นละ 3.10 บาท คิดเป็นมูลค่าเสนอขาย 403 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,364 ล้านบาท ทั้งนี้ การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ 44.93 เท่า คำนวณจากกำไรสุทธิ 4 ไตรมาสล่าสุด (1 ต.ค. 66-30 ก.ย. 67) ซึ่งเท่ากับ 30.36 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.069 บาท โดยมีบริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย นางสาวเกศิณี กุลดิลก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. อินสไปร์ ไอวีเอฟ (IVF) เปิดเผยว่า บริษัทเน้นสร้าง Brand Awareness และพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ลูกค้าเชื่อมั่นในคุณภาพ บริษัทจึงให้ความใส่ใจต่อคุณภาพบริการด้วยมาตรฐาน AACI, ISO9001:2015,GHA และ Temos และให้ความสำคัญกับความพึงพอใจของลูกค้าเป็นสำคัญ สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จะนำไปใช้ในการขยายสาขา ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ธุรกิจให้บริการดูแลสุขภาพ (wellness) และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน IVF มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลังเข้าจดทะเบียน คือ กลุ่มนายชนะชัย จุลจิราภรณ์ ถือหุ้น 46.82% นายพุฒิพงศ์ ภูมิสุวรรณ 11.91% และนายบัณฑิต อนันตมงคล 4.20% โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิภายหลังจากหักภาษีเงินได้ นิติบุคคล และเงินทุนสำรองตามกฎหมาย และเงินสำรองอื่น ๆ
หุ้นวิชั่น - ประกาศชี้แจง บริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ตามที่มีบุคคลบางกลุ่มได้ติดต่อไปยังลูกค้าของบริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (บล. Zcom) โดยกล่าวอ้างว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทีมผู้บริหารชุดใหม่ รวมถึงกล่าวอ้างว่าสามารถติดต่อพูดคุยกับผู้บริหารชุดใหม่ได้ หรือมีการแอบอ้างในลักษณะต่าง ๆ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ลูกค้าของบล. Zcom ติดต่อผ่านกลุ่มบุคคลดังกล่าวเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับบัญชีของลูกค้าที่มีอยู่กับบริษัทฯ หรือเพื่อสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า บริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ขอยืนยันว่าข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง และบุคคลกลุ่มดังกล่าว ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับบริษัทฯ บริษัทฯ ขอแจ้งเตือนลูกค้าและนักลงทุนทุกท่านว่า หากได้รับการติดต่อจากบุคคลดังกล่าว โปรดอย่าดำเนินการใด ๆ หรือให้ข้อมูลส่วนบุคคลแก่บุคคลดังกล่าว และหากต้องการตรวจสอบข้อมูลหรือมีข้อสงสัยเพิ่มเติม ขอให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ของบล. Zcom โดยตรง เพื่อความถูกต้องและความปลอดภัยของข้อมูล ทั้งนี้ บริษัทฯ ขอแนะนำให้นักลงทุนทุกท่านติดตามข่าวสารและประกาศต่าง ๆ ผ่าน ช่องทางการสื่อสารอย่างเป็นทางการของบริษัทฯ เท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนหรือความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้น หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ โทร: 02-088-8111 จึงเรียนมาเพื่อทราบ บริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
หุ้นวิชั่น - บมจ.แอ็พพลาย ดีบี หรือ ADB ประกาศปิดดีลร่วมทุนกับ AICA ASIA PACIFIC HOLDING PTE. LTD. (AAPH) ในเครือ AICA กลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นที่มีประวัติการดำเนินธุรกิจกว่าร้อยปีเรียบร้อยแล้ว โดยได้รับชำระเงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท บริษัท เอดีบี ซีแลนท์ จำกัด (ADBS) บริษัทย่อย หลังจากทำรายการเข้าถือหุ้น จำนวน 31,609,804 หุ้น สัดส่วน 51% มูลค่ารวมกว่า 360 ล้านบาท ฟากฝ่ายบริหาร มั่นใจ การร่วมทุนในครั้งนี้เป็นการร่วมทุนกับคู่ค้าที่มีศักยภาพสามารถ ส่งเสริมแผนขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าในไทยและต่างประเทศ เพิ่มสัดส่วนการผลิต ลุยขยายตลาดกาว ยาแนว และผลิตภัณฑ์ในบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็กสำหรับใช้ในครัวเรือน (DIY Product) ให้มากขึ้น สนับสนุน ADBS สร้างรายได้-กำไรแตะนิวไฮ พร้อมมั่นใจผลงานปีนี้ ADB เติบโตเข้าเป้า ปักหมุดก้าวสู่โหมดสร้าง New S-curve นายหวัง วนาไพรสณฑ์ บริษัท แอ็พพลาย ดีบี จำกัด (มหาชน) หรือ ADB เปิดเผยว่า บริษัทประสบความสำเร็จในการร่วมมือกับพันธมิตรรายใหญ่ โดยได้รับเงินชำระค่าจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ บริษัท เอดีบี ซีแลนท์ จำกัด (ADBS) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย จำนวน 31,609,804 หุ้น สัดส่วน 51% มูลค่ารวม 360 ล้านบาท จากบริษัท AICA ASIA PACIFIC HOLDING PTE. LTD. (AAPH) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยและถือหุ้นทั้งหมดโดย AICA KOGYO CO., LTD. ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ยึดติด โดยมีกลยุทธ์ในการจัดหาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและการเพิ่มผลประโยชน์ร่วมกันภายในเครือ AAPH ได้ขยายธุรกิจกาวอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญ โดยดำเนินกิจการผ่าน 21 บริษัทย่อย และมี 22 โรงงานใน 8 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีอัตราการเติบโตของธุรกิจเคมีภัณฑ์ในต่างประเทศเฉลี่ย 10% ต่อปี โดยเฉพาะการเติบโตในประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซียที่มีแบรนด์ที่ทรงพลัง มีเครือข่ายการขายและมีสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดค้าปลีก โดยผลิตภัณฑ์ยาแนวของ ADBS ถือเป็นสินค้าใหม่ที่ช่วยเติมเต็มพอร์ทสินค้าให้กับ AAPH ในตลาดต่างประเทศ รวมถึงผลิตภัณฑ์กาวแบบใช้ตัวทำละลาย (Solvent-based adhesive) ที่ ADBS มีส่วนแบ่งการตลาดสูงในประเทศไทย เมื่อร่วมมือกันจะสามารถใช้ประโยชน์ทางเทคโนโลยี ช่วยส่งเสริมแผนขยายส่วนแบ่งการตลาดของกาว เป็นห่วงโซ่อุปทานในแนวตั้งแบบบูรณาการที่รวมการผลิตและการขายเข้าไว้ด้วยกัน การร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มขีดสามารถในการแข่งขันผ่านการใช้ประโยชน์จากพลังของแบรนด์และเครือข่ายการขายของทั้งสองฝ่ายทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เพิ่มสัดส่วนการผลิต เพื่อได้รับประโยชน์จากขนาด เสริมความแข็งแกร่งและความหลากหลายของแบรนด์ เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ทำให้ตำแหน่งทางการตลาดในตลาดค้าปลีกของบริษัทในภูมิภาคเอเชียแข็งแกร่งยิ่งขึ้น “เมื่อมีพันธมิตรรายใหญ่ระดับโลกเข้ามาถือหุ้นในสัดส่วน 51% จะช่วยทำให้ ADBS มีการเติบโตในธุรกิจกาว-ยาแนวอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะรายได้และกำไร จะแตะระดับสูงสุด ซึ่งในปีแรกคาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นราว 15% ขณะเดียวกัน ADB จะได้รับอานิสงส์จากการรับรู้กำไรตามสัดส่วนที่ถือหุ้นอยู่ที่ 49% ดังนั้นสามารถผลักดันผลงานเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีนี้และปีต่อๆไปได้อย่างแน่นอน” สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของ ADB ในปีนี้ มั่นใจว่าจะสามารถเติบโตได้ตามแผนที่วางไว้ และคาดว่ารายได้จะแตะระดับ 1,000 ล้านบาท ผลจากธุรกิจผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกคอมปาวด์ โดยเฉพาะสายไฟฟ้าที่ใช้ในภาคก่อสร้างและอุตสาหกรรม และเม็ดพลาสติกเกรดทางการแพทย์ที่ผลิตเป็นวัสดุทางการแพทย์ เช่น สายน้ำเกลือ ถุงเลือดยังมีความต้องการใช้ในระดับที่ดี รวมทั้งสถานการณ์ของราคาวัตถุดิบเริ่มมีความผันผวนลดลงทำให้สามารถมีการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อนึ่ง บริษัท ADBS เป็นผู้นำด้านการผลิตและจำหน่ายกาวอุตสาหกรรมสำหรับอุตสาหกรรมรองเท้า เฟอร์นิเจอร์ เครื่องหนัง ผลิตภัณฑ์ยาแนวในรูปแบบหลอด (cartridge) และในบรรจุภัณฑ์ขนาดใหญ่สำหรับที่ตอบโจทย์การใช้งานในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง อุตสาหกรรมงานตกแต่ง อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงผลิตภัณฑ์กาวยาแนวในบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็กสำหรับใช้งานในครัวเรือน (DIY product) ADBS มีเทคโนโลยีและประสบการณ์การผลิตในระดับมืออาชีพมากกว่า 40 ปี มีฐานลูกค้าในประเทศไทยและฐานลูกค้าต่างประเทศในกลุ่มอาเซียน ตะวันออกกลาง ยุโรป แอฟริกา และอเมริกาใต้ รวมถึงให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าในรูปแบบ OEM และ ODM ให้กับแบรนด์ชั้นนำในประเทศและระดับสากล [PR News]
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวผันผวน โดยปัจจัยในประเทศยังค่อนข้างจำกัด ขณะที่ยังต้องติดตามนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก กลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 1 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้ หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคและท่องเที่ยวแนะนำกลุ่มพาณิชย์: CPALL, CPAXT, CRC, HMPRO, TNP และกลุ่มท่องเที่ยว: AWC, AOT, MINT หุ้น Earnings Play ซึ่งมองว่ามีโมเมนตัมกำไรใน 4Q67 จะเติบโตดีทั้ง YoY และ QoQ อีกทั้งเราแนะนำ Outperform เลือก: GULF, OSP, AMATA, AU, TIDLOR, BCP หุ้นที่จ่ายปันผลสูงและคาดได้อานิสงส์จากการเป็นเป้าหมายสะสมของกองทุนวายุภักษ์และกองทุนที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีช่วงปลายปี อาทิ SSF, RMF และ THAIESGแนะนำหุ้น SET100 ที่คาดให้ Dividend Yield ขั้นต่ำปีละ 3.5% และมี ESG Rating สูงตั้งแต่ระดับ AA-AAA และ CG ระดับ 5 ดาว อีกทั้งมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตได้ในปี 2025 ได้แก่ BBL, ADVANC, HMPRO Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจเก็งกำไรหุ้นที่ Laggard ซึ่งมีเทคนิคมีแนวโน้มฟื้นตัว อาทิ BEM, BDMS, MINT, AP / หุ้นที่คาดมีโอกาสเข้าคำนวณ SET50 ในงวด 1H68 อาทิ BANPU, CCET, COM7 / หุ้นที่ได้อานิสงส์บวกจากสถานการณ์น้ำท่วมใต้ แนะนำ HMPRO, CPALL และ TASCOขณะที่ระมัดระวังการลงทุนสำหรับหุ้นกลุ่มยานยนต์และกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่โมเมนตัมกำไรใน 4Q67 ยังอ่อนแอ
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ราคาน้ำมัน WTI และ Brent ปรับลง 1.6% DoD และ 1.35% DoD จากความกังวลภาวะน้ำมันล้นตลาดจากอุปสงค์ที่อ่อนแอ แม้โอเปกพลัสประกาศเลื่อนแผนการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน นอกจากนี้ยังมีจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นในสัปดาห์นี้
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท เอเอสแอล จำกัด เปิดเผยถึงแนวโน้ม BEM Valuation น่าสนใจ upside สูง ผลประกอบการ 3Q67 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1.067 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% YoY ซึ่งดีกว่าคาดเล็กน้อย โดยมีปัจจัยหลักมาจากรายได้ค่าบริการที่เพิ่มขึ้น ตามปริมาณผู้โดยสารและการปรับขึ้นอัตราค่าบริการ รวมถึงธุรกิจทางพิเศษที่ยังเติบโตเล็กน้อยจากปริมาณรถที่เพิ่มขึ้น ทั้งทางพิเศษศรีรัชและอุดรรัถยา อัตรากำไรสุทธิ ณ สิ้นงวดอยู่ที่ 23.16% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 21.99% ขณะที่ Net IBD/E ณ สิ้นงวดอยู่ที่ 1.87 เท่า จากปีที่แล้วที่ 1.69 เท่า เนื่องจากการมีเงินกู้ยืมและหุ้นกู้ที่เพิ่มขึ้น แต่ยังคงต่ำกว่าระดับ 2.5 เท่า ธุรกิจมีความน่าสนใจ เมื่อเทียบกับราคาปัจจุบันที่ -6.3% YTD จึงมองว่าเป็นจังหวะที่น่าสะสมในระยะกลางถึงยาว โดยคาดว่าแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 4 ปี 2567 (4Q67F) จะเติบโต YoY จากจำนวนผู้ใช้รถไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นและการปรับขึ้นค่าบริการ ส่วนธุรกิจทางด่วนคาดว่าจะทรงตัว QoQ ขณะที่กำไรสุทธิจะเติบโต YoY แต่จะชะลอตัว QoQ เนื่องจากไม่ได้รับปันผลจาก TTQ และ CKP แนวโน้มผลประกอบการทั้งปี 2567 ตามการคาดการณ์ของ Bloomberg คาดว่าจะมีกำไรทั้งปี 3.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.8% YoY ทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) ส่วนในปี 2568 คาดว่าจะมีกำไร 4.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.2% YoY โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 11.36 บาท ซึ่งมี Upside มากกว่า 50% ในเชิง Sentiment การเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ 2 โครงการ ได้แก่ One Bangkok และ Dusit Central Park จะช่วยหนุนจำนวนผู้ใช้รถไฟฟ้า MRT สถานีลุมพินี และทางด่วนด้านพระราม 4 รวมถึงรอความคืบหน้าของนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย แนวรับ ที่ 7.35-7.30 บาท แนวต้าน ที่ 7.55/8.05 บาท
หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอ คงคำแนะนำ “ซื้อ” SISB และราคาเป้าหมายที่ 40.00 บาท อิงวิธี DCF (WACC 7.2%, TG 3.0%) ทั้งนี้มีมุมมองเป็นบวกจากงาน Analyst Meeting เมื่อ 6 ธ.ค. 2024 จากการเข้าพัฒนาโครงการใหม่หนุนรายได้ระยาว โดยสรุปประเด็นดังนี้ 1) โครงการโรงเรียนแห่งใหม่ (Halving project) เตรียมเปิดในปีการศึกษาใหม่ 2026E ผู้บริหารตั้งเป้าปีแรกรับนักเรียนราว 200 คน (capacity 1,000 ที่) โดยค่าเทอมจะถูกกว่าปกติราว 35% (margin maintained จากบุคลากรและ facilities ถูกกว่า) 2) คงเป้าจำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้นในปี 2024E 25E สู่ระดับ 4.6 พันคน และ 5.0 พันคน ตามลำดับ ส่วนปี 2026E ปรับเพิ่มจาก 5.4 พันคน เป็น 5.6 พันคน จากโครงการ Halving project ที่จะเปิดดำเนินการ 3) สำหรับ English Enhancement Program ผู้บริหารคาดว่าจะเริ่มเห็นผลในปี 2025E และประเมินลด withdrawal rate ลงต่ำกว่า 10% จากปัจจุบันที่ระดับ 10-12% โดยเบื้องต้นยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2024E ที่ 914 ล้านบาท (+35% YoY) แนวโน้ม 4Q24E ยังเติบโตต่อเนื่องโดยมีปัจจัยหนุนหลักคือการรับรู้รายได้จากปีการศึกษาใหม่เข้ามาเต็มไตรมาสราคาหุ้นผันผวนและ underperform SET ราว -27% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา หลังราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามาก
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) • คาดตลาด รอดูมาตรการเศรษฐกิจใหม่ของทั้งไทยและจีนกลางสัปดาห์ ต่างประเทศจับตาเงินเฟ้อสหรัฐฯ • ตลาดเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของปี นักลงทุนทยอยเข้าเก็บหุ้น(ใหญ่) รวมทั้ง หุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลที่ดี ส่วนแรงขายทำกำไรมีตามปกติ ...... สัปดาห์นี้ มีเรื่องใหญ่ๆ คือ มาตรการเศรษฐกิจของจีนและไทย รวมทั้งเข้าสู่ สัปดาห์สุดท้ายก่อนประชุม FOMC ...... ประเมินกรอบดัชนีฯ สัปดาห์นี้ไว้ ที่ 1430-1470 จุด • ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ออกมาที่ +2.27 แสนตำแหน่ง สูงกว่าประมาณการ(+2.1 แสนต าแหน่ง) และอัตราการว่างงานขยับสูงขึ้น ในเดือน พ.ย. ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ มิเชลล์ โบว์แมน ย้ำ ว่าเธอต้องการลดอัตราดอกเบี้ย ด้วยความระมัดระวัง ท่ามกลางความ เสี่ยงต่อภาวะเงินเฟ้อ • Fed ยังคงคาดว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไป 17-18 ธ.ค.นี้ แต่นักลงทุนกำลังพิจารณาความเป็นไปได้ที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยแบบเข้มงวด(เพียง 0-0.25%) และตั้งคำถามว่ามีแนวโน้มว่า Fed จะ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในช่วงต้นปี 2568 หรือไม่ โดยข้อมูลสำคัญชิ้นต่อไปจะเป็นรายงานอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า กล่าวคือ สหรัฐฯจะรายการตัวเลขเงินเฟ้อผู้บริโภคและเงินเฟ้อผู้ผลิต ในวันที่ 11 และ 12 ธ.ค. ตามลำดับ ..... เรามองว่า เหตุนี้ จะทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และ สินทรัพย์ทางการเงินทั่วโลก รอดูผลประชุม FOMC • สงครามการค้า บีบให้รัฐบาลต่างๆ ทั่วภูมิภาคก าลังเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องตนเองจากภาษีของทรัมป์ เวียดนามซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับประโยชน์ สูงสุดจากการย้ายฐานการผลิตของจีนออกไปนอกประเทศ ได้ให้ค ามั่นแล้ว ว่าจะสั่งซื้อเครื่องบิน ก๊าซธรรมชาติเหลว และผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากสหรัฐฯ มากขึ้น เจ้าหน้าที่มาเลเซีย กล่าว เมื่อสัปดาห์นี้ว่า เขาเตือนบริษัทจีนไม่ให้ลงทุนเพียงเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีของสหรัฐฯ • ประธานสภาเกาห ลีใต้ประกาศ สิ้นสุดการลงมติญัตติถอดถอนประธานาธิบดี ยุนซอกยอล ......แม้ว่ายุนจะรอดพ้นจากการถอดถอนอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ความวุ่นวายทางการเมืองดูท่าจะยังคงดำเนินต่อไป เนื่องจากพรรคฝ่ายค้านยืนยันว่าจะยื่นญัตติถอดถอนต่อไปจนกว่ายุนจะถูกถอดถอน (ฝ่ายค้านจะเสนอครั้งต่อไป 14 ธ.ค.) ..... เรามองว่า ตลาดหุ้นและเศรษฐกิจไต้หวันจะได้ประโยชน์ • ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าหลายรายอาจละทิ้งหรือลดความสนใจในเรื่องการอุดหนุนภาษีและอากรน าเข้าที่รัฐบาลไทยเสนอให้ เนื่องจากอำนาจการซื้อที่ อ่อนแอและเงินกู้ธนาคารที่เข้มงวดยิ่งขึ้นท าให้ความต้องการลดลง .....ข่าวนี้ ลบต่ออุตสาหกรรม EV ของไทย และหุ้นนิคมฯ • FTSE SET Index Series ประกาศชื่อหุ้นค านวณดัชนีฯ SET IndexSeries รอบเดือน ธ.ค.24 โดยจะใช้ราคาปิด 20 ธ.ค.67 เพื่อ rebalanceหุ้นที่เข้า Large-Cap คือ MINT โดย EA ถูกน าออก ..... ในส่วนของ Mid-Cap หุ้น EA และ CCET จะเข้าค านวณ ส่วน B-LAND, BYD, MINT(ย้าย ไป Large) , ORI, SPCG ถูกน าออก • หุ้น DELTA เทรดด้วย Cash Balance ตั้งแต่วันที่ 21 พ.ย.-11 ธ.ค. .....เราประเมิน ถ้าปลด lock ราคาหุ้นมีโอกาสขึ้นต่อได้ • Event ส าคัญสัปดาห์นี้ : ตัวเลขเงินเฟ้อจีน (9) ตัวเลขส่งออกของจีน(10) ตัวเลขเงินเฟ้อผู้บริโภคของสหรัฐฯ(คาด 2.7%)(11) เงินเฟ้อผู้ผลิตของ
หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล.ดาโอระบุว่า เมื่อวาน บริษัท Saudi Aramco (บริษัทน้ำมันแห่งชาติซาอุดิอาระเบีย) ประกาศจะลดราคาน้ำมัน (OSP) ที่ขายให้แก่ผู้ซื้อในเอเชียสะท้อนภาพรวมอุปสงค์น้ำมันที่ยังคงอ่อนแอหลังจากกลุ่ม OPEC+ ได้มีการเลื่อนการถอนการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันออกไป 3 เดือนก่อนหน้านี้ (ตามปัจจุบันจะเริ่มในเดือน มี.ค.2025) ทั้งนี้ Saudi Aramco ประกาศว่าจะขายราคาน้ำมันดิบเกรด Arab Light ที่ USD0.9/bbl สำหรับการส่งมอบในเดือน ม.ค.2025 เทียบกับ USD1.7/bbl ในเดือน ธ.ค.2024 โดยการปรับลด MoM นี้สูงกว่าที่ตลาดคาดก่อนหน้านี้ว่า Saudi Aramco จะปรับลดราคาน้ำมันในอัตราที่น้อยกว่า USD1.0/bbl (ที่มา: Bloomberg) มีมุมมองเป็นกลางต่อแนวโน้มราคาน้ำมันในระยะสั้นแม้ว่าเรามองว่าข่าวนี้จะส่งผลบวกต่อโรงกลั่นที่ใช้น้ำมันดิบจากตะวันออกกลางเป็นหลัก (SPRC, TOP, IRPC) แต่เชื่อว่าข่าวนี้ยังสะท้อนภาพรวมอุปสงค์น้ำมันที่ยังคงอ่อนแอด้วย ทั้งนี้ วันศุกร์ที่ผ่านมา ราคาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้า Brent ปรับตัวลดลง 1.4% เป็น USD71.1/bbl ยังสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยที่ USD80.0/bbl ลดลงจาก USD81.9/bbl ในปี 2023 และคงน้ำหนักการลงทุน "เท่ากับตลาด" ทั้งนี้ สำหรับภาพรวมระยะสั้นเชื่อว่ากลุ่มโรงกลั่นจะรายงานกำไรที่ฟื้นตัว QoQ ใน 4Q24E ตามแนวโน้มส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) ที่ดีขึ้นและผลขาดทุนจากสต๊อกที่เป็นไปได้ที่ลดลง โดยชอบ SPRC (ซื้อ/เป้า 8.50 บาท), TOP (ซื้อ/เป้า 55.00 บาท), และ BCP (ซื้อ/เป้า 40.00 บาท)
หุ้นวิชั่น - รู้หรือไม่ว่าในแต่ละปี มนุษย์เราสร้างขยะพลาสติกจำนวนกว่า 400 ล้านตัน ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศเป็นวงกว้าง บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้นำตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคลำดับต้น ๆ ของประเทศไทย ตระหนักถึงปัญหาและผลกระทบของบรรจุภัณฑ์ที่มีต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างดี โอสถสภาจึงเดินหน้าเต็มกำลังเพื่อลดผลกระทบดังกล่าวให้เหลือน้อยที่สุดผ่านการพัฒนาออกแบบบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน ที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2573 บรรจุภัณฑ์ของโอสถสภาทั้ง 100% ต้องสามารถนำไปรีไซเคิล (Recyclable) หรือ ใช้ซ้ำ (Reuseable) หรือ ย่อยสลาย (Compostable) ได้ และยังคงคุณสมบัติและคุณภาพบรรจุภัณฑ์ได้ดีเช่นเดิม เพื่อไปสู่เป้าหมายดังกล่าว โอสถสภาได้เริ่มต้นภารกิจพลิกโฉมบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ให้เป็นบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน ผ่านการขับเคลื่อนนวัตกรรมในสามแนวทาง ได้แก่ การลดการใช้วัสดุเพื่อผลิตบรรจุภัณฑ์ การลดการใช้พลาสติก และการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อการรีไซเคิล "ลดวัสดุเพื่อวันที่ดีกว่า" หนึ่งในนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ของโอสถสภาที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ คือการลดการใช้วัสดุเพื่อผลิตบรรจุภัณฑ์และการลดน้ำหนักบรรจุภัณฑ์ โดยในปี 2565 โอสถสภาได้พัฒนานวัตกรรมขวดแก้วรักษ์โลกที่มีน้ำหนักเบาลงถึง 15% หรือประมาณ 20 กรัม โดยเฉพาะขวด “เอ็ม-150” แต่ยังคงความแข็งแรงทนทาน และต่อมาในปี 2566 ได้พัฒนาต่อยอดลดน้ำหนักขวดแก้วในผลิตภัณฑ์โรลออนแบรนด์ “ทเวลฟ์ พลัส” และ “เอ็กซิท” ที่มีน้ำหนักเบาลงราว 6-8% (ขึ้นอยู่กับขนาดขวด) หรือประมาณ 5 กรัม ดังนั้น นวัตกรรมลดน้ำหนักบรรจุภัณฑ์ขวดแก้ว ในส่วนของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและของใช้ส่วนบุคคลของโอสถสภา สามารถลดการใช้วัสดุแก้วได้ถึง 32,822.5 ตันต่อปี จากการลดน้ำหนัก ขวดแก้วและยังช่วยลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากการผลิตและการขนส่งได้อีกด้วย นอกจากนี้ โอสถสภายังมุ่งมั่นลดการใช้วัสดุอะลูมิเนียมในกระป๋องเครื่องดื่ม อาทิ เครื่องดื่ม “ชาร์ค” “คาลพิส แลคโตะ” และ “เอ็ม-150 สปาร์คกลิ้ง” จนนำไปสู่ความสำเร็จในการลดการใช้วัสดุอะลูมิเนียมได้ถึง 341 ตันต่อปี ผ่านความร่วมมือกับคู่ค้า ตลอดจนส่งเสริมการลดการใช้กระดาษที่ใช้ทำกล่องของผลิตภัณฑ์หลายประเภท โดยโครงการนี้ครอบคลุมทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ (NPD) และผลิตภัณฑ์เดิม เช่น “เอ็ม-150” และ “ซี-วิท”จนสามารถลดการใช้วัสดุกระดาษได้มากถึง 715 ตันต่อปีอีกด้วย "พลิกโฉมใหม่ ไม่ใช่แค่สวย แต่ช่วยโลก" สำหรับการขับเคลื่อนการลดการใช้พลาสติกในบรรจุภัณฑ์ โอสถสภาดำเนินการวิจัยและพัฒนาการออกแบบ บรรรจุภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เดิมและผลิตภัณฑ์ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นขวดผลิตภัณฑ์เบบี้ออยล์ แชมพู ผลิตภัณฑ์อาบน้ำ น้ำยาล้างจาน น้ำยาปรับผ้านุ่ม ไปจนถึงหีบห่อบรรจุภัณฑ์ของลูกอม แบรนด์ “โบตัน” และ “โอเล่” จนสามารถลดการใช้วัสดุพลาสติกลงไปได้ถึง 91.1 ตันต่อปี โดยหนึ่งในความสำเร็จล่าสุดที่น่าภาคภูมิใจของ โอสถสภาคือ การปรับบรรจุภัณฑ์ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ “เบบี้มายด์” ในปี 2566 มาเป็นขวด PET แบบใส ที่นอกจากจะช่วยยกภาพลักษณ์ของบรรจุภัณฑ์ให้ดูสวยงามและพรีเมียมขึ้นแล้ว ยังนำไปสู่การยกเลิกการใช้บรรจุภัณฑ์ขวด PVC และ เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้โอสถสภาสามารถยุติการใช้พลาสติก PVC ในการผลิตบรรจุภัณฑ์ไปแล้วถึง 90% ในปี 2567 โดยบริษัทฯ จะพัฒนานวัตกรรมลดการใช้พลาสติกต่อไป เพื่อไปสู่เป้าหมายในการยุติการใช้พลาสติก PVC ในบรรจุภัณฑ์ของโอสถสภา 100% ภายในปี 2568 "ผลักดันสู่การรีไซเคิลครบวงจร" ด้วยความมุ่งมั่นพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนในทุกมิติตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ อีกหนึ่งโจทย์สำคัญในการพัฒนา บรรจุภัณฑ์คือต้องเป็นมิตรต่อการนำไปรีไซเคิลด้วย ถึงจะสามารถช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ในระยะยาว โอสถสภาจึงได้ดำเนินการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำไปรีไซเคิลต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ โอสถสภาได้ริเริ่มโครงการจากขวดแก้วสู่ขวดแก้ว (Bottle to Bottle) รับขยะรีไซเคิลจากชุมชนและเครือข่ายพันธมิตร โดยเฉพาะขวดแก้ว เพื่อกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล โดยตลอดระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการฯ สามารถนำขวดแก้วกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้แล้วกว่า 118 ตัน ช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ ได้กว่า 33,057.92 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และยังผลักดันการใช้วัสดุรีไซเคิล เป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการผลิตบรรจุภัณฑ์ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการผลิตขวดแก้วรักษ์โลก ซึ่งช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ นอกจากนี้ ยังได้ผสานความร่วมมือกับพันธมิตรในโครงการต่างๆ ที่ส่งเสริมการนำขยะบรรจุภัณฑ์กลับเข้าสู่การ รีไซเคิลได้อย่างครบวงจร อาทิ โครงการ Aluminum Loop CAN นำส่งคืนกระป๋องเครื่องดื่มที่ใช้แล้วกลับคืนสู่กระบวนการ รีไซเคิลแบบครบวงจร ในรูปแบบที่โปร่งใสและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ เพื่อส่งเสริมแนวทางการเก็บกลับกระป๋องอลูมิเนียมใช้แล้วมาผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มกระป๋องอลูมิเนียมใบใหม่อีกครั้ง โครงการพลาสติกคืนชีพ นำเศษซากพลาสติกมาหลอมเป็นเม็ดพลาสติก PCR เพื่อผลิตเป็นเม็ดพลาสติกใหม่และนำไปใช้เป็นฟิล์มสำหรับห่อผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มของโอสถสภา ในฐานะผู้ผลิตเครื่องดื่มและสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีวิสัยทัศน์ในการเป็น “พลังเพื่อเสริมสร้างชีวิต” ให้แก่สังคมอย่างยั่งยืน การรักษาสิ่งแวดล้อมจึงไม่ใช่เพียงแค่หน้าที่ แต่เป็นพันธกิจที่ต้องทำอย่างจริงจัง โอสถสภาจึงมุ่งมั่นลดการใช้พลาสติก ลดการใช้ทรัพยากร และมองหาทางเลือกใหม่ๆ ในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก เพราะธุรกิจต้องดูแลโลกไปพร้อมกัน จึงจะสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนโดยแท้จริง
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ปรับประมาณการกำไร SUN โรงงาน RTE ใหม่จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตรายได้ปี 2568F โรงงานกลุ่มสินค้าพร้อมทาน (RTE) แห่งใหม่ซึ่งกำหนดจะเริ่มดำเนินการใน 1Q68 จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตหลักของ SUN ในปี 2568 โดยที่กำลังการผลิตกลุ่มสินค้าพร้อมทานจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าสู่ 3.0 แสนชิ้นต่อวัน จากปัจจุบันที่ 1.5 แสนชิ้นต่อวัน ซึ่งปัจจุบันนี้ได้ดำเนินการเต็มกำลังการผลิตแล้ว นอกจากนี้ SUN วางแผนที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ในปีหน้าอีกด้วย จากที่มี 15 SKUs ในปัจจุบันที่วางขายในร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ซึ่งจะรวมถึงการเปิดตัวผลิตภัณฑ์กลุ่มสินค้าพร้อมทานต่าง ๆ ที่มีอายุการเก็บที่ยาวนานขึ้นเพื่อมุ่งเป้าไปที่การขายในต่างประเทศ ทั้งนี้ประเมินว่ารายได้ของกลุ่ม RTE จะเติบโตราว 43% ในปี 2568F และ 22% ในปี 2569F ความร่วมมือกับเต็ดตราแพ็ค (Tetra Pak) เป็นตัวเร่งการเติบโตใหม่ SUN ได้เข้าเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ระยะยาว 8 ปีกับบริษัทเต็ดตราแพ็ค (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำของโลกด้านโซลูชันกระบวนการผลิต การบรรจุและบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อผลิตข้าวโพดหวานในบรรจุภัณฑ์กระดาษโดยที่ภายใต้ข้อตกลงนี้ทางเต็ดตราแพ็คจะจัดหาบรรจุภัณฑ์กระดาษและให้ยืมใช้เครื่องจักรสำหรับสายการผลิตใหม่ด้วยกำลังการผลิตราว 35-40 ล้านชิ้นต่อปี ขณะที่ สายการผลิตดังกล่าวนี้คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในเดือนตุลาคม 2568 มองว่าความร่วมมือนี้เป็นตัวหนุนของการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญต่อ SUN ขณะที่ใช้เงินลงทุนน้อยมาก ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่บรรจุในกล่องกระดาษนี้มีอุปสงค์อย่างมากจากกลุ่มลูกค้าปัจจุบันของ SUN โดยที่ประเมินว่าโครงการนี้จะสร้างรายได้ประมาณ 75 ล้านบาทในปี 2568F และเติบโตโดดเด่นในปีถัดไป ฝ่ายวิเคราะห์ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2567F ขึ้นเล็กน้อยที่ 3% อยู่ที่ 330 ล้านบาท สะท้อนถึงประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้นของ SUN และการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ราว 0.7ppts อยู่ที่ 21.9% ขณะที่ กำลังการผลิตส่วนเพิ่มจากโรงงาน RTE ใหม่และความร่วมมือกับเต็ดตราแพ็คคาดว่าจะผลักดันยอดขายให้เติบโตได้ราว 17-18% ต่อปีในปี 2568F-2569F อย่างไรก็ตามเมื่อคำนึงถึงแรงกดดันที่อาจเกิดจากค่าเงินบาทแข็งค่าและการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ประมาณการค่อนข้างอนุรักษ์นิยมว่า GPM จะลดลงอยู่ที่ 20.8% ในปี 2568F ดังนั้นคาดว่ากำไรสุทธิของ SUN จะเติบโตปานกลางราว 10% เป็น 363 ล้านบาทในปี 2568F ก่อนที่จะเร่งโตขึ้น 20% (435 ล้านบาท) ในปี 2569F ฝ่ายวิเคราะห์คงให้คำแนะนำซื้อหุ้น SUN หลังจากผ่านพ้น 4Q67 ที่เป็นช่วง low season ของการส่งออกแล้ว คาดว่าวัฏจักรการเติบโตรอบใหม่น่าจะเริ่มใน 1Q68 เพราะฉะนั้น ฝ่ายวิเคราะห์ได้ปรับ PER ของ SUN ใหม่ขึ้นเป็น 11x (เฉลี่ย PER ระยะยาว) และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายขึ้นใหม่ที่ 5.15 บาท จากเดิม 4.68 บาท (PER ที่ 10x) นอกจากนี้ คาดว่า SUN จะให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลจูงใจราว 6.5% ในปี 2567F และ 7.1% ในปี 2568F ซึ่งตอกย้ำความน่าสนใจในการลงทุน เป้าปี 2568 ที่ 5.15 บาท
หุ้นวิชั่น - ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ EE ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมและขอให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลด้วยความระมัดระวังก่อนตัดสินใจลงทุน กรณีบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงธุรกิจและอำนาจควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ ตามที่วันที่ 4 ธันวาคม 2567 บริษัท อีเทอร์นัล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน) (EE) ได้แจ้งสารสนเทศสำคัญมายังตลาดหลักทรัพย์ฯ ดังนี้ 1. มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นนายพนธ์ธวัช นาควัชรสิทธิ์ ซึ่งเข้ามาถือหุ้น EE ในสัดส่วน 57.81% และมีหน้าที่ต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่ราคาหุ้นละ 0.14 บาท 2. คณะกรรมการบริษัทมีมติให้เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อพิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุน 2,720 ล้านหุ้น (49.45% ของทุนชำระแล้วภายหลังการเพิ่มทุน) ราคาเสนอขายหุ้นละ 0.19 บาท เป็นเงิน 517 ล้านบาท เพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement: PP) 5 ราย ซึ่งเป็นจำนวนที่มีนัยสำคัญ เนื่องจากกระทบต่อสิทธิออกเสียงของผู้ถือหุ้น (Control Dilution) มากกว่า 25% โดยมีวัตถุประสงค์นำเงินเพิ่มทุนไปใช้ลงทุนในธุรกิจอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและสารสนเทศ (ธุรกิจ Tech) ซึ่งบริษัทคาดว่าจะมีผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ไม่น้อยกว่า 12% แต่บริษัทยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนและธุรกิจดังกล่าวเป็นธุรกิจของบริษัทจดทะเบียน (รายละเอียดตามข่าวของ EE วันที่ 4 ธันวาคม 2567) จากรายการข้างต้นส่งผลให้ EE มีการเปลี่ยนแปลงทั้งธุรกิจและอำนาจควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ โดยธุรกิจใหม่มีความเสี่ยงที่แตกต่างจากธุรกิจปัจจุบันของบริษัทซึ่งเป็นธุรกิจการเกษตร บริษัทคาดว่าจะลงทุนภายในปี 2568 และมีผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ไม่น้อยกว่า 12% จึงเป็นข้อมูลสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุน
หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) อัพเดตแนวโน้มกลุ่ม Commerce มีสัญญาณว่าการจับจ่ายใช้สอยในประเทศดีขึ้นภาวะการจับจ่ายใช้สอยมีสัญญาณดีขึ้น จากการที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขยับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 56.0 ในเดือนตุลาคม 2567 หลังจากที่ปรับลดลงติดต่อกันมาเจ็ดเดือน (Figure 2)ซึ่งดัชนีที่เพิ่มขึ้นเป็นเพราะสามารถตั้งรัฐบาลชุดใหม่ได้ ซึ่งจะเปิดทางให้มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเป็นระลอก คาดว่ามาตรการกระตุ้นล่าสุดของรัฐบาล (แจกเงินเฟส 1: จ่าย 10,000 บาท/หัว ให้กลุ่มเป้าหมาย 14.5 ล้านคน มูลค่ารวมประมาณ 1.45 แสนล้านบาท) จะช่วยหนุนการใช้จ่ายในประเทศในเดือนกันยายน2567 และ 4Q67 โดยเม็ดเงินส่วนใหญ่จากโครงการนี้น่าจะไปลงที่ร้านค้าขนาดเล็กในชุมชนที่ขายสินค้าจำเป็น (โดยเฉพาะหมวดอาหาร และ เครื่องดื่ม) ซึ่งจากผลการสำรวจของภาครัฐ ประมาณ 95% ของผู้ตอบแบบสอบถามจะใช้เงิน 10,000 บาทที่ได้รับแจกเพื่อซื้ออาหาร และเครื่องดื่มจากร้านค้าขนาดเล็กในชุมชน (Figure 9 และ Figure 10) คาดว่าอุปสงค์ในประเทศจะดีขึ้นต่อเนื่องจาก i) มาตรการแจกเงินเฟส 2 (คาดว่าจะมีมูลค่ารวม 4 หมื่นล้านบาท) ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการบริโภคใน 1Q68 ii) มาตรการ Easy e-receipt (คาดว่าจะมีมูลค่ารวม1 แสนล้านบาท อิงจากสมมติฐานว่าผู้เสียภาษี 50% เข้าร่วมโครงการ) ซึ่งคาดว่าจะประกาศ และ มีผลใน 1Q68 iii) การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาล หลังจากที่อัตราการเบิกจ่ายชะลอลงในปีงบประมาณ 2567 และ มีการตั้งงบลงทุนเพิ่ม 34% YoY ในปีงบประมาณ 2568 (Figure 13 – 14) และ iv) จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 35 ล้านคนในปี 2567 เป็น 38 ล้านคนในปี 2568 (เกือบจะกลับมาเท่าระดับก่อน COVID ระบาดแล้ว); Figure 12 โมเมนตัม same store sales growth ของบริษัทในกลุ่ม commerce ของไทยดีขึ้นจากการตรวจสอบล่าสุดของ same-store-sales growth ของบริษัทส่วนใหญ่ในกลุ่ม commerce ที่ศึกษาอยู่ (C.P. All (CPALL.BK/CPALL TB)*, CP Axtra (CPAXT.BK/CPAXT PCL)), Central Retail Corporation (CRC.BK/CRC TB)*, Dohome (DOHOME.BK/DOHOME TB)*, Siam Global House (GLOBAL.BK/GLOBAL TB)* และ Home Product Center (HMPRO.BK/HMPRO TB)*) ดีขึ้นในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2567 (Figure 11) โดยเฉพาะร้านค้าในประเทศไทยซึ่งเป็นบวกในระดับเลขตัวเดียวต่ำ ๆ ยกเว้น GLOBAL (ซึ่งทรงตัว) และ HMPRO ในส่วนของห้าง Homepro (ซึ่งติดลบในระดับเลขตัวเดียวต่ำ ๆ) ทั้งนี้จากมาตรการกระตุ้นที่ออกมาเป็นระลอก และ ช่วงเทศกาลใน 4Q67 เราจึงคาดว่าโมเมนตัม ของ same-store-sales น่าจะดีต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของไตรมาสนี้ และ ปี 2568F กลุ่ม commerce จะได้ประโยชน์ บริษัทในกลุ่มที่เน้นจำหน่ายอาหาร และ เครื่องดื่ม (75% ของยอดขาย CPALL / 94% ของยอดขาย CPAXT (ค้าส่ง) / 83% ของยอดขาย CPAXT (ค้าปลีก); Figure 15 – 16) น่าจะได้อานิสงส์จากมาตรการแจกเงินของรัฐบาล ในขณะที่บริษัทในกลุ่มที่เน้นจำหน่ายสินค้าที่มีราคาสูง และจับกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงสูงน่าจะได้อานิสงส์จากมาตรการ Easy E-receipt ฝ่ายวิเคราะห์คิดว่าผลบวกจากฐานที่ต่ำเพราะ COVID-19 น่าจะหมดไปแล้ว ดังนั้นจึงคาดว่ากำไรน่าจะกลับมาโตในระดับปกติจากปี 2568 เป็นต้นไป ดังนั้นนักลงทุนจึงควรติดตามประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และ กลยุทธ์ทางธุรกิจของบริษัทในกลุ่ม โดยมองว่าอาจจะมีการปรับ de-rate PER ในระยะต่อไปเพื่อสะท้อนถึงการเติบโของกำไรที่กลับมาอยู่ระดับปกติ Valuation & action ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่ม commerce ที่ “มากกว่าตลาด” เนื่องจากคาดว่ารัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นมาเป็นระลอกใน 4Q67 และ 1Q68 ซึ่งจะช่วยหนุนการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค เลือก CPAXT (แนะนำ “ซื้อ” โดยประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ที่ 39.0 บาท อิงจาก PER ที่ 33.0X) และ CRC (แนะนำ “ซื้อ” โดยประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ที่ 36.0 บาท อิงจาก PER ที่ 24.0X) คาดว่า CPAXT จะได้อานิสงส์จากมาตรการแจกเงินของรัฐบาลทั้งเฟส 1 และ 2 เพราะประเภทสินค้าที่จำหน่าย และโครงสร้างลูกค้าในธุรกิจค้าส่ง ในขณะเดียวกัน คาดว่า CRC จะได้อานิสงส์จากมาตรการ easy E-SECTOR UPDATE Thailand