#จีน


จีนเปิดโซลาร์ฟาร์มนอกชายฝั่งใหญ่สุดในโลก กำลังผลิต 1 กิกะวัตต์!

จีนเปิดโซลาร์ฟาร์มนอกชายฝั่งใหญ่สุดในโลก กำลังผลิต 1 กิกะวัตต์!

          หุ้นวิชั่น - เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา CHN Energy รัฐวิสาหกิจด้านพลังงานของจีนเริ่มผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำนอกชายฝั่งกำลังการผลิต 1 กิกะวัตต์ตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งของเมืองตงอิ่ง ในมณฑลซานตง8 กิโลเมตร ประกอบด้วย Solar Cell จำนวน 2,934 แผง ติดตั้งบนโครงเหล็กขนาดใหญ่ที่ติดอยู่กับฐานเสาเข็มเพื่อความแข็งแรงทนทานต่อพายุ นอกจากนี้นับเป็นครั้งแรกของจีนที่ใช้สายเคเบิลขนาด 66 กิโลโวลต์เชื่อมต่อไปยังชายฝั่ง โครงการนี้สามารถผลิตไฟฟ้าได้ถึง 1.8 พันล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี ซึ่งรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้ากว่า 2.6 ล้านครัวเรือน

สงครามการค้าสหรัฐ-จีนระอุ! ไทยมีผลกระทบอย่างไร? 

สงครามการค้าสหรัฐ-จีนระอุ! ไทยมีผลกระทบอย่างไร? 

           หุ้นวิชั่น - สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ โดยกลุ่มพัฒนาแบบจำลองและเครื่องชี้วัด กองยุทธศาสตร์การพัฒนาความสามารถทางการแข่งขัน ระบุว่า 1.แนวโน้มเศรษฐกิจไทยหลังผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ มีผลต่อเศรษฐกิจด้านใดบ้าง            เศรษฐกิจของไทยภายหลังผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ อาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการค้าของสหรัฐฯ อยู่บ้าง แต่เชื่อว่าในภาพรวมแล้วเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลประโยชน์และมีการเติบโตในทิศทางที่ดี อย่างไรก็ดี ผลกระทบที่คาดว่าจะมีต่อเศรษฐกิจของไทย มีดังต่อไปนี้ • ด้านการค้าระหว่างประเทศ จากนโยบายการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อการความสามารถในการแข่งขันของไทย แต่ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสที่ไทยจะส่งออกทดแทนและดึงดูดการลงทุนของบริษัทต่าง ๆ ที่ต้องการย้ายฐานการผลิต • ด้านการลงทุนจากต่างประเทศ จากการย้ายฐานการผลิตเพื่อลดความเสี่ยงจากมาตรการทางการค้า ทำให้โอกาสที่จะเข้ามาลงทุนภาคอุตสาหกรรมในไทยมากขึ้น ซึ่งไทยควรโอกาสนี้ส่งเสริมผู้ประกอบการทั้งด้าน การวิจัยและพัฒนา พัฒนาแรงงานฝีมือ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจ อำนวยความสะดวกทางการค้า ตลอดจนเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีเพื่อสร้างแต้มต่อทางการค้าและการลงทุน เพื่อเร่งยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย 2. มองแนวโน้มจะเป็นบวกหรือลบต่อเศรษฐกิจไทย ​           คาดว่าการวางตัวเป็นกลางของไทยสามารถดึงดูดการค้าและการลงทุนได้จากนักลงทุนจากทุกฝ่าย ท่ามกลางนโยบายของสหรัฐฯ ที่จะไปในทิศทางกีดกันทางการค้าและปกป้องทางการค้ามากขึ้น • ผลจากสงครามการค้า ทำให้สหรัฐฯ มีการนำเข้าสินค้าจากจีนลดลงอย่างต่อเนื่อง และเป็นโอกาสให้ไทยสามารถส่งออกสินค้าทดแทนได้ เนื่องจากไทยและจีนอยู่บนตำแหน่งของห่วงโซ่อุปทานในตลาดโลกที่คล้ายคลึงกัน คือเป็นฐานการผลิตและส่งออกสินค้าสำเร็จรูป อีกทั้งไทยและจีนมีโครงสร้างการส่งออกสินค้าที่คล้ายคลึงกันในตลาดสหรัฐฯ โดยสินค้าที่จะได้ประโยชน์ อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า วงจรอิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนยานยนต์ • ไทยสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีนมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้ทั้งสหรัฐฯ และจีน รวมถึงนักลงทุนจากประเทศต่าง ๆ จะเพิ่มการลงทุนในประเทศที่เป็นกลางและเป็นมิตรกับทุกฝ่าย นอกจากนั้น ไทยยังควรพลิกวิกฤติเป็นโอกาสด้วยการด้วยการหาโอกาสเข้าเกาะเกี่ยวในห่วงโซ่อุปทานสินค้าเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ดี 3. นโยบายไหนของทรัมป์ที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจโลก • สหรัฐฯ เป็นประเทศมหาอำนาจที่มีผลต่อเศรษฐกิจโลก การออกมาตรการของสหรัฐฯ ย่อมส่งผลต่อกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยนโยบายของทรัมป์จะเน้นการปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าของสหรัฐฯ การกลับมาของนโยบาย America First อย่างเข้มข้น อาจทำให้เกิดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและการค้าโลกจะมีความยากลำบากมากขึ้น ด้วยการตั้งกำแพงภาษี สกัดสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ และมุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมและสร้างงานในประเทศ • ตัวอย่างรายละเอียดนโยบาย ได้แก่ o นโยบายด้านการค้าระหว่างประเทศ เพิ่มการจัดเก็บภาษีสำหรับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศเกือบทั้งหมด โดยจะขึ้นอัตราภาษีนำเข้าจากจีนเป็น 60% และขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศ อื่น ๆ อีก 10 - 20% กำหนดภาษีศุลกากรแบบต่างตอบแทนกับประเทศใดก็ตามที่เรียกเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ (Reciprocity) ให้ใช้อัตราภาษีเดียวกันกับประเทศคู่ค้าที่เรียกเก็บสินค้าส่งออกของสหรัฐฯ ยกเลิกการนำเข้าสินค้าจำเป็นจากจีน เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เหล็กกล้า และยา พร้อมทั้งห้ามบริษัทจีนเป็นเจ้าของโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐฯ ในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น พลังงาน เทคโนโลยี และที่ดินสำหรับทำการเกษตร และอาจจะมีความเสี่ยงจากการย้ายฐานการผลิตบางส่วนกลับไปสหรัฐฯ หรือประเทศในภูมิภาคอเมริกาเหนือ เพื่อลดความเสี่ยงทางการค้าด้วยเช่นกัน o นโยบายอุตสาหกรรม และสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ลดบทบาทของกฎหมาย Inflation Reduction Act คัดค้านนโยบาย Green New Deal ดำเนินการขุดเจาะเชื้อเพลิงฟอสซิล และลบขั้นตอนที่ไม่จำเป็นทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับโครงการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ผ่อนปรนกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงกฎระเบียบการปล่อยมลพิษสำหรับโรงไฟฟ้าถ่านหิน และยกเลิกเครดิตภาษีคาร์บอน โดยจะดำเนินการลดกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐฯ และลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ซึ่งจะกระทบต่อทิศทางของอุตสาหกรรมที่สนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อมและ การแก้ไขการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อความรุนแรงของสภาพอากาศทำให้เกิดฝนตกหนัก น้ำท่วม พายุ และความแห้งแล้งอย่างรุนแรง ซึ่งจะกระทบต่อผลผลิตสินค้าเกษตรและการหยุดการดำเนินงานของโรงงานเมื่อเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ o นโยบายการเมืองระหว่างประเทศ ยุติสงครามในยูเครนโดยจะยกเลิกความช่วยเหลือแก่ยูเครนแต่ยังคงสนับสนุนอิสราเอล ยุติความรุนแรงในเลบานอล และนำรัสเซียและยูเครนมาสู่โต๊ะเจรจา ในขณะขณะเดียวกัน การลดบทบาทของสหรัฐฯ ในการสนับสนุนความมั่นคงในเวทีโลก โดยเฉพาะ NATO อาจทำให้มีความขัดแย้งในพื้นที่อื่น ๆ ปะทุได้ง่ายขึ้น ซึ่งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ • กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินว่า การใช้นโยบายขึ้นภาษีนำเข้าที่สูงมากของทรัมป์จะปรากฎขึ้นประมาณกลางปีหน้า ซึ่งคาดว่าจะทำให้การค้าโลกชะลอตัวลง 0.8% ในปี 2568 และจะลดลง 1.3 % ในปี 2569 เนื่องจากการตั้งภาษีจะขัดขวางการเติบโตของการค้าโลก ประเทศส่วนใหญ่จะเติบโตอย่างไม่แข็งแรง ทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอลง ซึ่งการประเมินของ IMF มองว่าหากเกิดการแยกส่วนอย่างจริงจังและใช้มาตรการทางภาษีศุลกากรในวงกว้างจะทำให้ GDP โลกลดลง 7% 4. ทรัมป์ตั้งกำแพงภาษีการค้ากับจีนไว้สูงมาก ถ้ายังคงเกิดสงครามการค้า ระหว่างสหรัฐและจีน เอเชียและไทยจะมีผลกระทบอย่างไรบ้าง ​ผลกระทบ • นโยบายขึ้นภาษีสินค้าจีน 60% จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของไทยที่พึ่งพาวัตถุดิบและชิ้นส่วนจากจีน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นและอาจเกิดการขาดแคลนวัตถุดิบบางประเภท นอกจากนี้ สินค้าไทยอาจถูกตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าอย่างเข้มงวดมากขึ้น เพื่อป้องกันการหลบเลี่ยงภาษีผ่านการส่งออกผ่านประเทศไทยได้ โอกาส • โอกาสจากการย้ายฐานการผลิต (Relocation) ประเทศไทยมีโอกาสในการดึงดูดการลงทุนจากบริษัทที่ต้องการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทยที่มีความเข้มแข็ง เช่น อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอ และอาหารแปรรูป ด้วยจุดแข็งของไทยในด้านโครงสร้างพื้นฐาน แรงงานมีทักษะ ระบบนิเวศอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง และที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสม เพื่อให้ไทยมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน • โอกาสในการเป็นฐานการผลิตทางเลือก ไทยมีโอกาสในการเป็นฐานการผลิตทางเลือกสำหรับตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ไทยมีความเชี่ยวชาญ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ที่ไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญในอาเซียน อุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูปที่มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับระดับโลก และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่มีซัพพลายเชนที่แข็งแกร่ง 5. หากบางนโยบายไม่เอื้อต่อ ศก.ไทย มองว่า ไทยจะรับมืออย่างไร • ติดตามสถานการณ์แนวโน้มทางการค้า โดยติดตามนโยบายที่สำคัญ และแนวโน้มการใช้มาตรการและการดำเนินการของประเทศคู่ค้าและคู่แข่งขันทางการค้าที่อาจส่งผลต่อการค้าไทย รวมถึงการเฝ้าระวังปริมาณการนำเข้าและส่งออก สินค้าของบริษัทข้ามชาติที่อยู่ในรายการสินค้าที่ถูกใช้มาตรการทางภาษี โดยเฉพาะรายการสินค้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ มีการเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ตลอดจนการดำเนินการรับมืออย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้ไทยถูกใช้มาตรการทางภาษี รวมถึงการถูกไต่สวนและการถูกบังคับใช้มาตรการตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (Anti-circumvention) ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการสัญชาติไทยที่มีการส่งออกสินค้าในรายการเดียวกัน • ดำเนินมาตรการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ การดำเนินมาตรการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ ในกรณีที่มีสินค้าราคาถูกไหลทะลักเข้ามา ในประเทศอย่างเหมาะสม อาทิ ยกระดับการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานสินค้านำเข้า กำหนดอัตราภาษีหรือโควตาสำหรับสินค้านำเข้าที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศ การบังคับใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping: AD) มาตรการตอบโต้ การอุดหนุน (Countervailing Duty: CVD) และมาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard Measure: SG) เป็นต้น • การลดความผันผวนทางการค้าและการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ การลดความผันผวนทางการค้าและกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ โดยการกระจายตลาดส่งออกและ เพิ่มความหลากหลายของแหล่งวัตถุดิบ/สินค้านำเข้า ไม่ให้พึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไป โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่สหรัฐฯ หรือจีนตั้งเป้าหมายขยายการผลิตในประเทศหรือส่งเสริมการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ (Reshoring) โดยส่งเสริมการสร้างพันธมิตรทางการค้า และมองหาคู่ค้ารายใหม่ เพื่อลดความเสี่ยงที่ห่วงโซ่ อุปทานจะหยุดชะงัก • การปรับตัวให้สอดรับกับการแบ่งแยกห่วงโซ่อุปทาน (decoupling) โดยการยึดโยงอุตสาหกรรมสำคัญของสหรัฐฯ และจีน โดยแสวงหาโอกาสในการเข้าร่วมห่วงโซ่อุปทานของทั้งสองประเทศ ผ่านการส่งเสริมการค้าและการลงทุนในสหรัฐฯ และจีน ตลอดจนประเทศที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐฯ เช่น เม็กซิโก แคนาดา ลาตินอเมริกา และประเทศพันธมิตรภายใต้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific Economic Framework: IPEF) และประเทศที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของจีน เช่น ประเทศตามข้อริเริ่มสายแถบ และเส้นทาง (Belt and Road Initiative: BRI) กลุ่มประเทศบริกส์ (BRICS) และสมาชิกองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organisation: SCO) รวมถึงประเทศที่อยู่ร่วมห่วงโซ่อุปทานสหรัฐฯ และจีน อย่างประเทศ สมาชิกความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) • การปรับตัวสำหรับระเบียบการค้าโลกที่เปลี่ยนไป การปรับตัวสำหรับระเบียบข้อบังคับโลกที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะประเด็นด้าน ESG (Environmental Social และ Governance) ที่จะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือกประเทศในการลงทุน/ตั้งฐานการผลิตของบริษัท ข้ามชาติ ตลอดจนเกี่ยวเนี่องกับด้านการค้าระหว่างประเทศที่ประเทศมหาอำนาจจะใช้มาตรการด้านสังคมและ สิ่งแวดล้อมในการกีดกันทางการค้าเพื่อปกป้องผู้ผลิตภายในประเทศ ซึ่งหากภาคการผลิตไทยปรับตัวรับกับประเด็น ดังกล่าวไม่ทัน อาจจะทำให้ไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในตลาดโลกได้

แนะ 3 แนวทางรับมือ

แนะ 3 แนวทางรับมือ "สินค้าจีนทะลักไทย" KKP ชี้ e-Commerce ตัวเร่ง

          สินค้าจีนทะลักเข้ามาตีตลาดในไทยเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่องในสื่อ  ซึ่งเริ่มเห็นสินค้าจีนหลากหลายประเภทหลั่งไหลเข้ามาในไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ  KKP Research ประเมินว่าแนวโน้มดังกล่าว ไม่เพียงแต่จะกระทบต่อผู้ประกอบธุรกิจที่ต้องแข่งขันกับจีนโดยตรงเท่านั้น แต่ยังจะกระทบเศรษฐกิจไทยในภาพรวม ทั้งรายได้ธุรกิจและแรงงาน การขาดดุลทางการค้า ซึ่งเป็นประเด็นที่ภาครัฐจำเป็นต้องพิจารณามาตรการในการช่วยดูแลผลกระทบอย่างเหมาะสม จีนก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและกำลังรุกคืบเข้ามาไทย           จีนก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจในภาคการผลิตโลกอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ประเทศจีนเข้าร่วมองค์กรการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ในปี 2001 อย่างไรก็ตามในช่วงวิกฤตโควิด มีหลายการเปลี่ยนแปลงที่เร่งให้สินค้าจากจีนสามารถส่งออกไปยังโลกและไทยได้เร็วมากขึ้น โดยแบ่งออกเป็นสองปัจจัยผลักจากจีน คือ (1) พัฒนาการการเติบโตที่รวดเร็วของแพลตฟอร์ม e-Commerce ในจีนโดยและธุรกรรมในประเทศจีนมีขนาดใหญ่กว่า 50% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งโลก  และยังขยายธุรกิจส่งออกโดยอาศัย e-Commerce ข้ามประเทศ (Cross-border e-Commerce) ซึ่งเติบโตขึ้นถึง 15% ในปี 2021 โดยประเทศไทยมีสัดส่วนจากการส่งสินค้าข้ามประเทศจากจีนขนาดประมาณ 24% ของมูลค่า e-Commerce ทั้งหมด (2) เศรษฐกิจภายในประเทศของจีนที่ชะลอตัวลงจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ ทำให้จีนต้องหันมาพึ่งพาภาคการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ           อย่างไรก็ตาม KKP Research ประเมินว่ามี 4 ปัจจัยในไทยเอง ที่มีส่วนดึงดูดสินค้าจากจีนให้เร่งเข้ามามากกว่าในหลายประเทศ คือ  1) ประเทศไทยมีกฎระเบียบที่เอื้อต่อการนำเข้าสินค้าจากจีน ตัวอย่างเช่น การคิดอัตราภาษีจากสินค้าจีนในระดับต่ำ 2) การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่จีนเป็นผู้นำ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า 3) การเกิดขึ้นของ e-Commerce ในประเทศไทย โดยคนไทยมีความคุ้นเคยและนิยมซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยพิจารณาจากราคา ไม่ยึดติดกับแบรนด์  4) การให้ Free visa กับนักท่องเที่ยวจากจีน ทำให้ไม่มีการตรวจสอบการเข้าออกประเทศอย่างเข้มงวด เปิดช่องทางให้คนจีนเข้ามาทำการค้าทำธุรกิจในไทยได้โดยง่าย           ปัจจัยทั้งหมดส่งผลให้ไทยเป็นหนึ่งในเป้าหมายการส่งออกสินค้าจากจีน ไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเร่งตัวของการขาดดุลการค้ากับจีนเร็วมากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ โดยเพิ่มขึ้นจาก 2.5% ของ GDP ในปี 2012 เป็น 7.5% ของ GDP ในปี 2022 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 5 p.p.  ซึ่งเกิดจากทั้งการนำเข้ามาเพื่อบริโภคในประเทศเอง และการนำเข้าเพื่อส่งออกสินค้าต่อไปยังต่างประเทศ สินค้าที่ทะลักเข้าไทยมากที่สุด            KKP Research ประเมินว่าหากพิจารณาพัฒนาการของการค้าระหว่างไทยกับจีนในรายละเอียดอาจสามารถแบ่งได้เป็น 5 กลุ่มสินค้าสำคัญที่น่าสนใจ คือ กลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ จะเป็นกลุ่มที่ส่งผลให้มีการขาดดุลมากที่สุด โดยสินค้าที่สำคัญที่ไทยนำเข้าจากจีนค่อนข้างมาก คือ สินค้าในกลุ่ม smartphone ซึ่งเป็นสินค้าที่สามารถซื้อขายได้ผ่าน e-Commerce Platform ทำให้เห็นภาพว่า e-Commerce มีบทบาทสำคัญเช่นกันในการส่งผ่านสินค้าจากจีนมายังไทยมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สินค้าในกลุ่มเครื่องจักร เคยเป็นหนึ่งในประเภทสินค้าที่ไทยเกินดุลการค้ากับจีนจากสินค้าอย่าง Hard Disk Drive อย่างไรก็ดี ในภายหลังสินค้าเครื่องจักรจากจีนเริ่มเข้ามาในตลาดไทยมากขึ้น นำโดย Laptop และเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าในกลุ่มยานยนต์ สินค้าที่ขาดดุลกับจีนเป็นอันดับต้น ๆ ส่วนใหญ่เป็นชิ้นส่วนรถยนต์ ขณะที่สินค้าที่เกินดุลการค้ากับจีนเป็นสินค้ารถยนต์ที่ประกอบสำเร็จแล้ว โดยในปี 2022 เริ่มเห็นสัญญาณความเสี่ยงจากการที่ไทยเริ่มขาดดุลการค้ากับจีนในสินค้ารถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV โดยมีการขาดดุลเพิ่มขึ้นแซงหน้าชิ้นส่วนยานยนต์ทุกประเภท เหล็กกล้าและอะลูมิเนียม พบว่าเหล็กและอะลูมิเนียมขาดดุลการค้ามากขึ้นทุกปีกับจีน โดยมีสาเหตุจากกำลังการผลิตที่เกินอุปสงค์ภายในประเทศจีนที่ชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจ สุดท้ายจึงต้องส่งออกเหล็กสำเร็จรูปเหล่านั้นมาที่ประเทศอื่น ๆ รวมถึงประเทศไทย เคมีภัณฑ์และพลาสติก เปลี่ยนจากการเกินดุลการค้าเป็นขาดดุลการค้าในช่วงที่ผ่านมา โดยข้อมูลจากองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่าในปัจจุบันจีนมีการพัฒนาเพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรม โดยมีกำลังผลิตรวมมากกว่ายุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้รวมกันเสียอีก จีนจึงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าอีกต่อไป e-Commerce platform คลื่นยักษ์ลูกใหม่ที่เร่งการทะลักของสินค้าจีนมาไทย           KKP Research ประเมินว่าหนึ่งในปัจจัยเร่งการส่งสินค้าจีนมายังไทย คือ   การเติบโตของ e-Commerce platform โดยข้อมูลชี้ว่ามูลค่า e-Commerce เติบโตเฉลี่ยถึงปีละ 10.5% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยการเติบโตเร่งขึ้นมากในช่วงโควิดส่งผลให้ในปี 2023 ตลาด e-Commerce มีมูลค่าโดยรวมอยู่ที่ราว 5.96 ล้านล้านบาท โดยสัดส่วนกว่า 50% เป็นธุรกิจประเภท Business-to-Consumer (B2C) คือการขายของออนไลน์จากธุรกิจไปยังผู้บริโภคโดยตรง ในด้านช่องทางการซื้อขายออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอันดับแรก คือ e-Marketplace           สาเหตุที่ทำให้ e-Commerce ในประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็วและยังมีโอกาสเติบโตต่อไปได้สูงจากหลายปัจจัย ได้แก่ (1) การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่อยู่ในระดับสูง โดยสัดส่วนประชากรที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตสูงถึง 88% จัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลก เทียบกับค่าเฉลี่ยโลกที่ 66% (2) สัดส่วนการเข้าถึง smart phone สูงถึง 77.2% เทียบกับค่าเฉลี่ยโลกที่ 69%  (3) การเข้าถึงข่องทางการชำระเงินออนไลน์ (online payments) ที่หลากหลาย ช่วยสนับสนุนการค้าปลีกออนไลน์ให้มีความสะดวกในต้นทุนที่ต่ำ  ติดอันดับต้น ๆ ของโลก ในระยะข้างหน้าการแข่งขันในสมรภูมิ e-Commerce กำลังจะเข้มข้นขึ้นอีก เมื่อ มี e-Marketplace platform เจ้าใหม่ที่เจาะตลาดไปแล้วถึง 51 ประเทศทั่วโลกและได้รุกก้าวเข้ามาบุกตลาดในประเทศไทยเมื่อไม่นานมานี้ เศรษฐกิจไทยภายใต้แรงกดดันจากสินค้าจีน           ในกรณีของประเทศไทยการเติบโตของ e-Commerce มีแนวโน้มส่งผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว โดยผลจะแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มผู้เล่นในระบบเศรษฐกิจ 1) ผู้บริโภคมีแนวโน้มได้ประโยชน์ เพราะสามารถซื้อสินค้าได้ในราคาถูกลง 2) ผู้ผลิตในกลุ่มธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากการใช้วัตถุดิบราคาถูก หรือธุรกิจที่โตไปพร้อมกับ e-Commerce 3) ผู้ผลิตในกลุ่มสินค้าเดียวกับสินค้าที่นำเข้าผ่าน e-Commerce มีแนวโน้มได้รับผลกระทบทางลบจากการเข้ามาทดแทนของสินค้าจีน ตัวอย่างเช่น สินค้าในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า           เมื่อพิจารณาสินค้าในกลุ่มที่มีแนวโน้มส่งออกผ่านแพลตฟอร์ม e-Commerce มายังประเทศไทย กลุ่มสินค้าที่ไทยมีแนวโน้มขาดดุลกับจีนมากขึ้นและมีแนวโน้มเกี่ยวข้องกับ e-Commerce คือ คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มมากถึง 8.8% ของภาคการผลิตไทย เครื่องใช้ไฟฟ้ามีมูลค่าเพิ่ม 3.5 % และอุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้ามีมูลค่าประมาณ 3 % โดยนับรวมเป็นมูลค่าเพิ่มในภาคการผลิตในกลุ่มที่มีความเสี่ยงนี้คิดเป็นประมาณ 18% ของ มูลค่าการผลิตทั้งหมดของประเทศ โดยเริ่มเห็นทิศทางการผลิตที่ชะลอลงแล้วในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้การเข้ามาของ e-Commerce ยังมีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อ ภาคบริการแบบเก่า คือ กลุ่มค้าปลีกมีโอกาสได้รับผลกระทบ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนใหญ่ถึงประมาณ 16% ของ GDP           KKP Research ประเมินว่าอาจมีผลกระทบสำคัญตามมาอีกอย่างน้อย 5 เรื่อง คือ 1) รายได้ของธุรกิจมีแนวโน้มถูกกระทบรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดเล็กที่ปรับตัวได้ยากกว่า 2) หนี้เสียมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดยในปัจจุบันเริ่มเห็นสัญญาณการเพิ่มขึ้นของหนี้เสียของธุรกิจในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีแนวโน้มเป็นกลุ่มสินค้าเดียวกันกับสินค้าที่ไทยขาดดุลกับจีนมากขึ้น เช่น สิ่งทอและเสื้อผ้า เหล็ก  3) ดุลการค้ามีแนวโน้มพลิกเป็นขาดดุลในระยะยาวและกดดันค่าเงินบาทจากการนำเข้าสินค้าจีนทดแทนการผลิต 4) เงินเฟ้อไทยมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง จากสินค้าราคาถูกจากจีน 5) รัฐบาลไทยสูญเสียรายได้ภาษี จากการที่การชำระเงินให้กับการซื้อสินค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์มข้ามชาติเหล่านี้ ถูกจ่ายตรงไปยังธุรกิจในต่างประเทศ ไทยควรรับมืออย่างไร ?           การเข้ามาบุกตลาดของสินค้าจีนอาจมีข้อดีทำให้ซื้อสินค้าในราคาถูกลง แต่ตามมาด้วยผลกระทบด้านลบต่อผู้ประกอบการไทย ทั้งนี้การออกมาตรการสกัดกั้นหรือตอบโต้สินค้าจากจีนอาจเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนในทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ KKP Research ประเมินว่าภาครัฐไม่จำเป็นต้องกีดกันสินค้าจากจีนในวงกว้าง หากแต่ควรพิจารณาออกแบบมาตรการรับมือ ที่เหมาะสมกับสถานการณ์และหลักการในมิติดังต่อไปนี้ Fair competition: สินค้านำเข้าเป็นการนำเข้าที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย มีการลักลอบ หรือใช้ช่องว่างทางกฎหมายต่าง ๆ เพื่อหลบเลี่ยงภาษี หรือเป็นการทุ่มตลาด ทำให้ผู้ประกอบการไทยเสียผลประโยชน์จากการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียม Quality and standards: สินค้านำเข้าเป็นการนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานตามที่กำหนดโดยมาตรฐานสินค้าและอาหารของหน่วยงานภาครัฐไทยหรือไม่? Strategic industry: สินค้านำเข้าเป็นการนำเข้าที่มาแข่งขันกับการผลิตในประเทศในอุตสาหกรรมสำคัญที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์สำหรับเศรษฐกิจไทย และการจ้างงานในภาพรวมหรือไม่?           ในกรณีที่สินค้ามีลักษณะที่ตรงตามเกณฑ์ต่าง ๆ ภาครัฐควรให้ความช่วยเหลือธุรกิจไทยในกรณีที่มีการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม หรือเป็นการช่วยให้อุตสาหกรรมที่มีความสำคัญกับเศรษฐกิจมีเวลาปรับตัวมากเพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจ           อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นมาตรการใดที่จะใช้ในการตั้งรับกับการแข่งขันในสมรภูมิสินค้าที่ดุเดือดมากขึ้นนี้ก็อาจเป็นเพียงการซื้อเวลาให้ผู้ประกอบการได้พอมีเวลาปรับตัว แต่สุดท้ายแล้วผู้ชนะในตลาดนี้จำเป็นต้องแข่งกันด้วยคุณภาพของสินค้า ประสิทธิภาพในการผลิต ความคุ้มค่า รวมไปถึงการบริการที่ตอบโจทย์และได้ความพึงพอใจจากผู้บริโภค นับเป็นโอกาสที่ดีที่ภาคการผลิตไทยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจ พัฒนาประสิทธิภาพการผลิต สร้างนวัตกรรม สร้างแบรนด์ที่มีความแตกต่าง เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มที่สูงขึ้น โดยภาครัฐอาจต้องช่วยส่งเสริมด้วยการสนับสนุนการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม การพัฒนาปรับปรุงการผลิต รวมถึงการบุกเบิกตลาดใหม่