#การท่องเที่ยว


ในวันที่กระเป๋าแบน ชาวไทยเที่ยวอย่างไร?

ในวันที่กระเป๋าแบน ชาวไทยเที่ยวอย่างไร?

         หุ้นวิชั่น - ชาวไทยยังคงพร้อมเที่ยวต่อในปีหน้าแต่มีแนวโน้มลดการใช้จ่ายลง จากภาวะเศรษฐกิจไทยที่เติบโตชะลอตัว ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการท่องเที่ยวต่างประเทศที่จะลดลงมากกว่าการท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งแนวโน้มการลดค่าใช้จ่ายด้านท่องเที่ยวนี้ยังเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการใช้จ่ายด้านอื่น ๆ อย่างไรก็ดี การท่องเที่ยวยังคงเป็นหนึ่งในกิจกรรมยอดฮิตที่ชาวไทยให้ความสำคัญ จากสัดส่วนผู้ที่จะเลิกใช้จ่ายในการท่องเที่ยวในประเทศมีเพียง 9% ซึ่งต่ำกว่าการเลิกใช้จ่ายในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกาย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า          SCB EIC ได้สำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคชาวไทยเกี่ยวกับแนวโน้มการใช้จ่ายด้านท่องเที่ยว พบว่า แม้นักท่องเที่ยวไทยจะได้รับแรงกดดันด้านกำลังซื้อเพิ่มขึ้น แต่กลุ่มผู้มีสถานะการเงินที่มั่นคงยังมีแนวโน้มใช้จ่ายในการท่องเที่ยวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่ไม่มีภาระหนี้ กลุ่มรายได้ดี และโดยเฉพาะกลุ่มที่คาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นก็ยิ่งมีแนวโน้มใช้จ่ายในการท่องเที่ยวมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่กลุ่มผู้มีสถานะการเงินเปราะบางมากกว่าครึ่งหนึ่งมีแนวโน้มท่องเที่ยวลดลงหรือยกเลิกแผนเที่ยว ทั้งนี้การใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวไทยส่วนใหญ่ สำหรับการท่องเที่ยวในประเทศจะอยู่ที่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคนต่อวัน และการใช้จ่ายเฉลี่ย สำหรับการท่องเที่ยวต่างประเทศจะอยู่ที่ขั้นต่ำ 10,000 บาทต่อคนต่อวัน โดยนักท่องเที่ยวกลุ่ม LGBTQIA+ และกลุ่มวัยทำงานเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มใช้จ่ายในการท่องเที่ยวต่างประเทศสูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ          ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงกดดันการใช้จ่ายของชาวไทย 4 วิธีที่นักท่องเที่ยวไทยเลือกใช้ในการปรับตัวด้านการท่องเที่ยวเรียงตามลำดับได้ดังต่อไปนี้ 1. วิธีลดความถี่ในการท่องเที่ยว 2. วิธีลดช็อปปิงสินค้า 3. วิธีเลือกที่พักที่ราคาประหยัดมากขึ้น และ 4. วิธีชะลอแผนการท่องเที่ยว โดยกลุ่มผู้ที่เผชิญภาวะรายได้ไม่พอจ่ายจะมีการปรับพฤติกรรมการท่องเที่ยวค่อนข้างมาก โดยผู้มีปัญหาทางการเงินบ่อยครั้งจะเลือกชะลอแผนการท่องเที่ยวมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ส่วนผู้มีปัญหาเป็นบางครั้งจะเลือกลดความถี่ในการท่องเที่ยวแทน นอกจากนี้ ช่วงอายุที่แตกต่างกันจะส่งผลต่อการปรับตัวที่แตกต่างกันด้วย โดยกลุ่มวัยรุ่น/วัยเริ่มทำงานกับกลุ่มผู้สูงวัย จะพยายามคงแผนท่องเที่ยวเดิมแต่จะเลือกปรับพฤติกรรมการเที่ยวแทน เช่น กลุ่มวัยรุ่น/วัยเริ่มทำงานจะยอมลดความสะดวกสบายในระหว่างท่องเที่ยวด้วยการลดค่าใช้จ่ายในการกินอยู่ ทั้งการเลือกที่พักราคาสบายกระเป๋าและการประหยัดค่าอาหาร ส่วนกลุ่มผู้สูงวัยจะเลือกปรับตัวด้วยการเปลี่ยนแผนมาเที่ยวในประเทศมากขึ้นหรือใช้บริการกรุ๊ปทัวร์เพื่อลดค่าใช้จ่าย ขณะที่กลุ่มวัยทำงานซึ่งเป็นกลุ่มที่มีภาระค่าใช้จ่ายสูงจะเลือกชะลอแผนการท่องเที่ยวออกไปมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ          การเจาะกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวกำลังซื้อค่อนข้างดี การเพิ่มความคุ้มค่าของสินค้าหรือบริการท่องเที่ยวให้ตรงจุดกับนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่มตามช่วงวัย และการบริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายของธุรกิจ เป็น 3 กลยุทธ์สำคัญที่ธุรกิจด้านการท่องเที่ยวอาจนำมาพิจารณาเพื่อตอบโจทย์การปรับตัวของพฤติกรรมนักท่องเที่ยวไทยในภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความเปราะบางสูง โดยกลยุทธ์แรก : การเจาะกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวกำลังซื้อดี แม้นักท่องเที่ยวไทยโดยรวมจะมีแนวโน้มลดการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวลง แต่กลุ่มผู้มีรายได้ค่อนข้างดีหรือผู้ที่คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นกลุ่มที่จะยิ่งใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวมากขึ้นทั้งการท่องเที่ยวในประเทศและต่างประเทศ จึงทำให้ตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ยังคงเติบโตได้ค่อนข้างดีต่อเนื่อง กลยุทธ์ที่ 2 : การเพิ่มความคุ้มค่าให้ตรงกับนักท่องเที่ยวในแต่ละกลุ่ม ด้วยพฤติกรรมการปรับตัวของนักท่องเที่ยวที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงวัย ดังนั้น การนำเสนอบริการที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายในแต่ละกลุ่มจะช่วยดึงดูดได้อย่างตรงจุด เช่น การดึงดูดนักท่องเที่ยววัยรุ่น/วัยเริ่มทำงานด้วยการนำเสนอกิจกรรมที่น่าสนใจและเหมาะกับการสร้างคอนเทนต์ ส่วนนักท่องเที่ยวกลุ่มผู้สูงวัยที่เน้นความสะดวกสบายควรใช้วิธีเพิ่มความคุ้มค่าจากบริการพิเศษที่เหมาะสมแทน เช่น การบริการขนมหวาน การเข้าชมการแสดงโชว์ หรือคลาสออกกำลังกาย แต่สำหรับกลุ่มวัยทำงานซึ่งยังมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมาก การเลือกวิธีจัดทำโปรโมชันลดราคาจึงเป็นแนวทางที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้ดีกว่าวิธีอื่น และกลยุทธ์ที่ 3 : การบริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายของธุรกิจ จากกำลังซื้อของนักท่องเที่ยวไทยที่ลดลง ทำให้ภาคธุรกิจต้องบริหารจัดการต้นทุนเพื่อนำเสนอแพ็กเกจราคาประหยัดให้กับนักท่องเที่ยวได้ ซึ่งการบริหารจัดการต้นทุนสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้อย่าง AI, Automation ในการบริการลูกค้าและบริหารจัดการโรงแรม รวมถึงการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับธุรกิจในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังงานจาก Solar cell, การใช้รถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น อ่านต่อรายงานฉบับเต็มได้ที่... https://www.scbeic.com/th/detail/product/tourism-survey-091224 ผู้เขียนบทวิเคราะห์ : ปุญญภพ ตันติปิฎก นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)

สำรวจแผนเที่ยวปลายปี 67 คนไทยเน้นงบประหยัด ‘ภาคเหนือ’ ยืนหนึ่งจุดหมายในฝัน

สำรวจแผนเที่ยวปลายปี 67 คนไทยเน้นงบประหยัด ‘ภาคเหนือ’ ยืนหนึ่งจุดหมายในฝัน

          หุ้นวิชั่น - นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ประจำเดือนพฤศจิกายน 2567 จำนวน 5,669 ราย ซึ่งครอบคลุมประชาชนทุกอำเภอทั่วประเทศ เกี่ยวกับแผนการท่องเที่ยวไทยปลายปี 2567 ผลการสำรวจพบว่า ประชาชนที่มีแผนการท่องเที่ยวในช่วงเดือนพฤศจิกายน -  ธันวาคม 2567 มีสัดส่วนค่อนข้างทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับผลการสำรวจของปี 2566 โดยภาคเหนือยังเป็นจุดมุ่งหมายหลักที่ประชาชนวางแผนไปท่องเที่ยว ทั้งนี้ ปัญหาทางการเงินและค่าใช้จ่ายยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการแผนการท่องเที่ยวในช่วงเวลาดังกล่าว โดยมีรายละเอียดผลการสำรวจ ดังนี้ พฤติกรรมและแผนการท่องเที่ยวในประเทศไทยในช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2567           ภาพรวมของการสำรวจพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 32.28 มีแผนการท่องเที่ยวในช่วงเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2567 ซึ่งค่อนข้างทรงตัวหรือปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากผลสำรวจปี 2566 (ร้อยละ 32.19) โดยภาคเหนือยังคงเป็นจุดหมายที่ได้รับความนิยมสูงเช่นเดิม อาจเนื่องด้วยเป็นช่วงที่อากาศเย็นสบาย ธรรมชาติและภูมิทัศน์สวยงาม รวมถึงมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวจากภาครัฐ สำหรับสัดส่วนผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 67.72 ที่ไม่มีแผนการท่องเที่ยวในช่วงเวลาดังกล่าว ส่วนใหญ่กังวลเกี่ยวกับปัญหาทางการเงิน ซึ่งเป็นเหตุผลที่มีสัดส่วนสูงสุดที่ร้อยละ 38.55 และตามมาด้วยความกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่สูงร้อยละ 32.12           เมื่อพิจารณาการจำแนกตามกลุ่มอาชีพ พบว่า กลุ่มผู้ไม่ได้ประกอบอาชีพและเกษียณอายุ มีสัดส่วนการวางแผนท่องเที่ยวมากที่สุดที่ร้อยละ 46.40 อาจเนื่องมาจากประชาชนกลุ่มนี้ไม่ถูกจำกัดด้วยภาระ หน้าที่การงาน ทำให้สามารถวางแผนและเดินทางท่องเที่ยวได้สะดวก รองลงมาคือ กลุ่มนักธุรกิจและเจ้าของกิจการ ที่ร้อยละ 42.52 สำหรับกลุ่มพนักงานบริษัทมีสัดส่วนการวางแผนท่องเที่ยวน้อยที่สุดที่ร้อยละ 17.54 การจำแนกตามรายได้ต่อเดือน พบว่า กลุ่มผู้มีรายได้มากกว่า 40,000 - 50,000 บาท มีสัดส่วนการวางแผนท่องเที่ยวมากที่สุด ที่ร้อยละ 48.77 ตามมาด้วยกลุ่มผู้มีรายได้ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป ที่ร้อยละ 45.00 ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็น กลุ่มที่มีรายได้ค่อนข้างสูง จึงสามารถจัดสรรงบประมาณสำหรับการท่องเที่ยวได้มากกว่ากลุ่มรายได้อื่น ขณะที่กลุ่มผู้มีรายได้ 5,001 – 10,000 บาท มีสัดส่วนการวางแผนท่องเที่ยวในช่วงเดือนดังกล่าวน้อยที่สุดที่ร้อยละ 25.95 และการจำแนกตามภูมิภาค พบว่าผู้อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเป็นผู้มีสัดส่วนวางแผนการท่องเที่ยวมากที่สุดที่ร้อยละ 40.87 รองลงมาคือ ผู้อาศัยในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ร้อยละ 34.88 ขณะที่ผู้อาศัยในเขตภาคกลางมีสัดส่วนการวางแผนการท่องเที่ยวน้อยที่สุดที่ร้อยละ 27.14 ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาผลสำรวจจากภูมิภาคต่าง ๆ พบว่า ผู้อาศัยในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคเหนือมีสัดส่วนการท่องเที่ยวในเขตภูมิภาคที่ตนเองอาศัยอยู่มากที่สุด มีเพียงกลุ่มผู้อาศัยในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคกลางที่มีสัดส่วนการวางแผนการท่องเที่ยวนอกเขตภูมิภาคที่ตนเองอาศัยอยู่ โดยกิจกรรมการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม ได้แก่ การท่องเที่ยวธรรมชาติ ผจญภัย และกีฬา ซึ่งเป็นที่นิยมในเกือบทุกกลุ่มอายุ อาชีพ รายได้ และภูมิภาค โดยคิดเป็นร้อยละ 56.67 รองลงมาคือ การท่องเที่ยวร้านกาแฟและร้านอาหารยอดฮิตที่ร้อยละ 48.14 โดยกิจกรรมนี้ได้รับความนิยมในกลุ่มอายุต่ำกว่า 39 ปี และกลุ่มผู้อาศัยในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งมีผู้ตอบเกินครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามในกลุ่มเดียวกัน           อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมการวางแผนการท่องเที่ยว ประชาชนยังมีปัจจัยที่กังวลอยู่หลายประการ โดยความกังวลด้านความปลอดภัยและอุบัติเหตุเป็นปัจจัยหลักที่มีสัดส่วนสูงที่ร้อยละ 51.48 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่าง มีนัยสำคัญจากการสำรวจในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 (ร้อยละ 30.85) โดยเฉพาะในกลุ่มอายุต่ำกว่า 20 ปีที่มีความกังวลในเรื่องนี้สูงถึงร้อยละ 71.05 นอกจากนี้ ประชาชนยังมีความกังวลในเรื่องความแออัดของสถานที่ท่องเที่ยวคิดเป็นร้อยละ 50.00 และกังวลด้านการจราจรที่ร้อยละ 47.49 การคาดการณ์ค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2567           ในภาพรวม ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 44.59 คาดว่าจะใช้จ่ายอยู่ระหว่าง 5,001 – 10,000 บาท/คน/ทริป เพื่อเป็นค่าเดินทาง อาหาร และที่พัก โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับผลการสำรวจของปีก่อน (ปี 2566 ร้อยละ 42.07) รองลงมาคือ ใช้จ่ายไม่เกิน 5,000 บาท ร้อยละ 31.79 (ปี 2566 ร้อยละ 24.71) และใช้จ่ายอยู่ระหว่าง 10,001 – 30,000 บาท ร้อยละ 19.54 (ปี 2566 ร้อยละ 30.02) ตามลำดับ ซึ่งจะเห็นได้ว่า ประชาชนมีแผนการใช้จ่ายลดลงในวงเงินที่สูง สะท้อนถึงการปรับตัวและการควบคุมงบประมาณที่มากขึ้น สำหรับประเภทของค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะมีการใช้จ่ายมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง คิดเป็นร้อยละ 71.64 รองลงมาคือค่าอาหาร คิดเป็นร้อยละ 70.71 และค่าที่พักคิดเป็นร้อยละ 62.35 ตามลำดับ           นายพูนพงษ์ กล่าวถึงการสำรวจครั้งนี้ว่า แม้ประชาชนจะมีความกังวลกับสถานการณ์เศรษฐกิจสถานะทางการเงิน และภาระค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม การท่องเที่ยวในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2567 คาดว่า จะยังคงมีบรรยากาศที่คึกคักทั่วทุกภูมิภาค โดยภาครัฐได้มีการออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมให้การท่องเที่ยวมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะภาคเหนือที่ได้รับความนิยมสูง อาทิ โครงการแอ่วเหนือคนละครึ่ง ดังนั้น หน่วยงานและสถานประกอบการที่เกี่ยวข้องควรเตรียมแนวทางและความพร้อมในการรับมืออย่างเข้มข้น พร้อมทั้งดูแลและอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว เพื่อให้ประชาชนสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้อย่างสะดวกและปลอดภัย           เพื่อบรรเทาความกังวลของประชาชนในการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงปลายปี 2567 ภาครัฐได้มีการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อออกมาตรการเพิ่มความปลอดภัยทางท้องถนน เช่น การใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยในการกำกับดูแลความปลอดภัยทางท้องถนน และมาตรการเชิงป้องกันสำหรับการให้บริการขนส่งด้วยรถโดยสารสาธารณะ นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มเที่ยวบินให้เพียงพอกับความต้องการในการเดินทาง และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายเพื่อจะกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น โดยในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ได้มีการจัดของขวัญปีใหม่ ปี 2568 ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น งานพาณิชย์ลดราคา “New Year Mega Sale 2025” งานลดราคาสินค้าส่งออก “Made in Thailand” การมอบส่วนลดแพ็กเกจแฟรนไชส์ การแจกส่วนลดราคาสินค้าผ่าน 4 แพลตฟอร์มออนไลน์ และการจัดงานแสดงและจุดจำหน่ายสินค้าในส่วนภูมิภาคกว่า 300 จุดทั่วประเทศ เป็นต้น เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการ โดยคาดว่ากิจกรรมดังกล่าว จะสามารถขยายโอกาสและสร้างมูลค่าทางการค้าไม่น้อยกว่า 400 ล้านบาท เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศและช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวในภูมิภาคต่าง ๆ