#กองทุน


กองทุนลดหย่อนภาษีเด่น 2024 ที่ไม่ควรพลาด

กองทุนลดหย่อนภาษีเด่น 2024 ที่ไม่ควรพลาด

           หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า ทีมกลยุทธ์ บล.กรุงศรี ชวนวางแผนลดหย่อนภาษีช่วงโค้งสุดท้ายปลายปีผ่าน กองทุนลดหย่อนภาษี SSF, RMF และ TESG โดยอิงจากน้ำหนักการลงทุน KSS Rating ที่ทีมกลยุทธ์ให้ไว้ในบทวิเคราะห์ Cross Asset Strategy เลือกการลงทุนสินทรัพย์ประเภท Fixed Income (ทั่วโลก), Equities (ไทย จีน เอเชีย) เป็น Top pick สำหรับการลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีในปี 2024 นี้และกองทุน Top pick ได้แก่ UGIS-SSF/UGISRMF, KFACHINSSF/KFACHINRMF, K-TNZ-ThaiESG, KFTHAIESGA            สำหรับผู้ที่มีเงินได้ในปี 2024 และต้องการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนลดหย่อนภาษีและต้องการลงทุนระยะยาว สามารถเลือกลงทุนได้ผ่านกองทุนลดหย่อนภาษีในทุกประเภท ทั้ง SSF, RMF และ TESG โดยกองทุน RMF และ SSF สามารถลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้โดยกองทุนทั้ง 2 ประเภท เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ แล้วต้องไม่เกิน 5 แสนบาท ส่วนกองทุน TESG สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้และสูงสุดไม่เกิน 3 แสนบาท            สำหรับผู้มีเงินได้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี และใส่ใจในระยะเวลาถือครอง แนะนำสำรวจช่วงอายุของนักลงทุน โดยสำหรับนักลงทุนที่อายุต่ำกว่า 51 ปีกองทุน TESG<SSF<RMF จะมีระยะเวลาการถือครองสั้นที่สุดตามลำดับ ส่วนนักลงทุนที่มีอายุ 51 ปีขึ้นไป กองทุน RMF<TESG<SSF จะมีระยะเวลาการถือครองสั้นที่สุด ตามลำดับ กลยุทธ์ Tax Allowance Fund Strategy:            กองทุน SSF และ RMF (ลดหย่อนได้ประเภทละ 30% แต่ SSF ไม่เกิน 200,000 บาท และรวมกันกับ RMF และกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท) แนะนำ UGIS-SSF/UGISRMF (GlobalBond), KFACHINSSF/KFACHINRMF (China)            กองทุน TESG (ลดหย่อนได้ 30% หรือสูงสุด 300,000 บาท) แนะนำ KFTHAIESGA และ K-TNZ-ThaiESG รายละเอียดเพิ่ม ที่ https://www.krungsrisecurities.com/e_learning/knowledge_inner/knowledge_details.aspx?id=59&cat_id=2

บลจ.ดาโอ เปิดขาย ‘กองทุน DAOL-DEFENSE’

บลจ.ดาโอ เปิดขาย ‘กองทุน DAOL-DEFENSE’

           จากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลให้แต่ละประเทศตระหนักถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคนในประเทศของตนเอง ทำให้งบประมาณการใช้จ่ายทางทหารทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากและผลักดันให้อุตสาหกรรมป้องกันประเทศมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง “บลจ.ดาโอ” มองเป็นจังหวะลงทุน เปิดขาย “กองทุนเปิด ดาโอ ดีเฟนส์ (DAOL-DEFENSE)”  ลงทุนในบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีป้องกันประเทศรวมถึงความปลอดภัยไซเบอร์ เปิดเสนอขายครั้งแรก ระหว่างวันที่ 11-18 ธันวาคม 2567            คุณมนชญา รัชตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ดาโอ จำกัด หรือ บลจ.ดาโอ (DAOL INVESTMENT MANAGEMENT) เปิดเผยว่า ด้วยปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เป็นเหตุให้การใช้จ่ายทางทหารทั่วโลกพุ่งทะลุ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกในปี 2564 และเพิ่มสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2.44 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2566 และคาดว่า การใช้จ่ายทางการทหารจะเติบโตในอัตรา 5% ต่อปี จนถึงระดับ 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในสิ้นทศวรรษนี้ โดยประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน รัสเซีย และอินเดีย มีการเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศอย่างมีนัยสำคัญเพื่อเสริมสร้างความสามารถทางการทหารในการป้องกันประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการรับรองวงเงินสูงสุดที่เสนอไว้ที่ 8.86 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการใช้จ่ายด้านกลาโหมในปีงบประมาณ 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา คาดการณ์จากสำนักงานงบประมาณของรัฐสภาสหรัฐฯ ระบุว่า การใช้จ่ายด้านการป้องกันจะสูงถึง 1.11 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 2.8% ของ GDP ภายในปี 2576            ขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายด้านการทหารของยุโรปได้ปรับตัวสูงขึ้นถึงระดับสูงสุดนับตั้งแต่สงครามเย็น ซึ่งเกิดจากการรุกรานยูเครนของรัสเซีย โดยในปี 2566 มีการเพิ่มงบประมาณการลงทุนด้านกลาโหมถึง 13% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยพันธมิตร NATO เพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมเช่นกัน คาดว่า ในปี 2024 สมาชิก 24 ประเทศจากทั้งหมด 32 ประเทศ จะสามารถบรรลุตามเป้าหมาย 2% ของ GDP ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเพียง 11 ประเทศ ในปี 2566            นอกจากนี้ การป้องกันทางดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในทางภูมิศาสตร์การเมือง จากรายงานพบว่า ทั่วโลกมีการโจมตีทางไซเบอร์เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2567 ความปลอดภัยไซเบอร์จึงเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับกระทรวงกลาโหม            เช่นเดียวกับ การใช้ระบบอัตโนมัติในระบบการป้องกันที่กำลังเร่งตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรนอัตโนมัติ ที่ไม่เพียงแต่ใช้ในการสอดแนม แต่ยังใช้ในการต่อสู้และการสนับสนุนด้านโลจิสติกส์ เพื่อลดการมีส่วนร่วมของมนุษย์และลดความเสี่ยงในสนามรบ คาดว่า ตลาดอากาศยานไร้คนขับทางทหารทั่วโลกจะเติบโตจาก 2 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2566 เป็น 4.52 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2573 เติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 12.20%            ด้วยแนวโน้มการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศที่สูงขึ้นทั่วโลก บลจ.จึงขอแนะนำ กองทุนเปิด ดาโอ ดีเฟนส์ (DAOL-DEFENSE) เปิดเสนอขายครั้งแรก ระหว่างวันที่ 11-18 ธ.ค. 2567 (ความเสี่ยงระดับ 7 : ความเสี่ยงสูง) ลงทุนตรงผ่านกองทุน Vaneck Defense UCITS ETF (DFNS)  ที่บริหารโดย Vaneck Vectors บริษัทจัดการการลงทุน ETF ที่มีความโดดเด่น โดยเน้นลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ จากแนวโน้มความเสี่ยง ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว และการใช้จ่ายทางทหารที่เพิ่มสูงขึ้น เมื่อประเทศต่างๆ ทั่วโลกปรับกลยุทธ์การป้องกันประเทศ ลักษณะกลุ่มบริษัทป้องกันประเทศที่ลงทุนได้แก่ ผลิตภัณฑ์และบริการทางอากาศและการป้องกัน ระบบและบริการด้านการสื่อสาร รวมถึงดาวเทียม ยานพาหนะไร้คนขับ ซอฟต์แวร์ด้านการตอบสนองเหตุการณ์ และความปลอดภัย ฮาร์ดแวร์และบริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซอฟต์แวร์ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ซอฟต์แวร์และผลิตภัณฑ์ด้านการฝึกอบรมและการจำลองสถานการณ์ การสืบสวนดิจิทัล, อุปกรณ์ตรวจจับ และการยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์/การระบุตัวตนทางชีวภาพ ตัวอย่างหุ้นบริษัทที่ลงทุน 1.) บริษัท QINETIQ  เป็นบริษัทเทคโนโลยีการป้องกันประเทศของสหราชอาณาจักรที่ให้บริการวิจัยและพัฒนา (R&D) และบริการทางเทคนิคแก่รัฐบาล นอกจากความเชี่ยวชาญในด้าน R&D, วิศวกรรม, ความปลอดภัยทางไซเบอร์, อวกาศและดาวเทียมแล้ว ยังให้บริการฝึกอบรมและการจำลองเพื่อช่วยเตรียมความพร้อมสำหรับการปฏิบัติการที่สำคัญต่อภารกิจ บริการเหล่านี้ใช้เทคโนโลยีการจำลองที่หลากหลาย เช่น ความเป็นจริงเสมือน (Virtual Reality), ความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality) และการฝึกอบรมที่ใช้เกม เพื่อสร้างสถานการณ์การฝึกอบรมที่สมจริง และถูกใช้สำหรับการฝึกอบรมทางทหาร, อวกาศ, การบินและการเดินเรือ รวมถึงการจำลองเหตุการณ์ฉุกเฉิน 2.) บริษัท CACI  ให้บริการด้าน IT แก่หน่วยงานรัฐบาล ประกอบด้วยบริการที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางไซเบอร์, การประมวลผลบนคลาวด์, การพัฒนาซอฟต์แวร์ รวมถึงการสนับสนุนการดำเนินงาน, การจัดการโลจิสติกส์ และการฝึกอบรม บริการความปลอดภัยทางไซเบอร์ , การประเมินและการวิเคราะห์ข่าวกรองภัยคุกคาม, การตอบสนองต่อเหตุการณ์ และการติดตามภัยคุกคามในเครือข่ายของลูกค้า            ท่ามกลางความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทำให้หุ้นกลุ่มป้องกันประเทศเติบโต ส่งผลให้กองทุน Vaneck Defense UCITS ETF ทำผลตอบแทนย้อนหลัง 1 เดือนอยู่ที่ 4.30% ย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 12.31% ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 57.30% และย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 44.78% (ข้อมูล Vaneck ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567)            “ความมั่นคงและการป้องกันประเทศกลับมาเป็นหนึ่งในความกังวลหลักของรัฐบาลในหลายประเทศ การเปลี่ยนแปลงสู่โลกที่มีหลายขั้วอำนาจได้สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อบริษัทในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ‘กองทุนเปิด ดาโอ ดีเฟนส์ (DAOL-DEFENSE)’ จึงเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีจากบริษัทชั้นนำในด้านเทคโนโลยีการป้องกันประเทศ รวมถึงบริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์ขนาดใหญ่ และผู้ให้บริการด้านการป้องกันที่เกี่ยวข้อง ภายใต้สถานการณ์ที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับความมั่นคงของชาติและปรับปรุงความสามารถทางทหาร ทำให้หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศจึงมีโอกาสได้รับประโยชน์จากสัญญาระยะยาวและความต้องการที่ต่อเนื่อง” คุณมนชญา กล่าว            สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมพร้อมรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนดาโอ จำกัด (บลจ.ดาโอ) โทรศัพท์ 02-351-1800 กด 2 หรือผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อหน่วยลงทุน ของ บลจ. ดาโอ  คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต เนื่องจากกองทุนมีการลงทุนในต่างประเทศและไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน โดยป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้  ที่มา 1Global X Estimates, SIPRI. (2023, April 24) Congressional Budget Office. (2023, February). The Budget and Economic Outlook: 2023 to 2033 NATO Public Diplomacy Division as of June 12, 2024 Check point software technologies, U.S. Global investors Global X ETFs with information derived from: Fortune Business Insights. 23 September 2024 [PR News]

กพช. เคาะอัตราใหม่

กพช. เคาะอัตราใหม่ "กองทุนอนุรักษ์พลังงาน" เริ่ม 1 ธ.ค. นี้

  หุ้นวิชั่น - กพช. เห็นชอบกำหนดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้เป็นก๊าซหุงต้มหรือก๊าซไฮโดรคาร์บอนเหลว พ.ศ. 2567 วันนี้ (26 พฤศจิกายน 2567) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งมี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ที่ประชุมได้พิจารณาการกำหนดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร และน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร และก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้เป็นก๊าซหุงต้มหรือก๊าซไฮโดรคาร์บอนเหลว พ.ศ. 2567 เนื่องจาก ประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร และน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร พ.ศ. 2564 เดิมจะครบกำหนดในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 นี้ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบ อัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร และน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร ในอัตรา 0.0500 บาทต่อลิตร และก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้เป็น ก๊าซหุงต้มหรือก๊าซไฮโดรคาร์บอนเหลว ในอัตรา 0.0000 บาทต่อกิโลกรัม โดยเริ่มใช้ 1 ธันวาคม 2567  เป็นต้นไป ทั้งนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร และน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักรและก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้เป็นก๊าซหุงต้มหรือก๊าซไฮโดรคาร์บอนเหลว  พ.ศ. .... และมอบหมายให้ สนพ. นำเสนอประธานกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติลงนามต่อไป    นายพีระพันธุ์ กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบข้อเสนอที่ให้กระทรวงพลังงานเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขอทบทวนมติ ครม. เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 ที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2544 (ครั้งที่ 87) เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2544 ในประเด็นเรื่องการปรับองค์กรในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม จาก “ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 เป็นต้นไป ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลัก รับผิดชอบดูแลงานด้านการกำหนดนโยบายและมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมแทนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และรับไปดำเนินการจัดทำคำขอรับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยให้ยุติการนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังประสานงานกับสำนักงบประมาณในการจัดสรรงบประมาณตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 เป็นต้นไป” เป็น “ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลัก รับผิดชอบดูแลงานด้านการกำหนดนโยบายและมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม และให้หน่วยงานที่มีความประสงค์ขอรับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมดำเนินการจัดทำคำขอรับการจัดสรรงบประมาณโดยตรงตั้งแต่ปีงบประมาณ  พ.ศ. 2569 เป็นต้นไป” นอกจากนี้ ที่ประชุม ยังได้มีการพิจารณาให้ความเห็นชอบ ร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 3 ฉบับ (3 ผลิตภัณฑ์) ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ เครื่องอัดอากาศแบบเกลียว และกระจก และมอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน นำร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 3 ฉบับ  (3 ผลิตภัณฑ์) เสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจร่างต่อไป

หุ้น - กองทุน ตอบโจทย์ทำกำไร โค้งสุดท้ายปลายปี |  จัดเต็มการลงทุน

หุ้น - กองทุน ตอบโจทย์ทำกำไร โค้งสุดท้ายปลายปี | จัดเต็มการลงทุน

https://www.youtube.com/watch?v=eSF-qyJj1Ss หุ้น - กองทุน ตอบโจทย์ทำกำไร โค้งสุดท้ายปลายปี | จัดเต็มการลงทุน ติดตามรายการ #จัดเต็มการลงทุน ทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 9.00-9.30 น. ทาง ททบ.5

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

บลจ.ดาโอ เปิดขายกองทุน DAOL-TAIWANEQ รับการโตเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีไต้หวัน

บลจ.ดาโอ เปิดขายกองทุน DAOL-TAIWANEQ รับการโตเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีไต้หวัน

          “บลจ.ดาโอ” ชี้ เศรษฐกิจไต้หวันโดดเด่นจากอุตสาหรรมเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์ที่มีส่วนสำคัญใน Supply Chain ของโลก หนุนกำไรตลาดเติบโต เป็นจังหวะลงทุน เปิดขาย ‘กองทุนเปิด ดาโอ ไต้หวัน อิควิตี้ (DAOL-TAIWANEQ)’ 14-20 พฤศจิกายน 2567  โอกาสสร้างรับผลตอบแทนจาก Mega Trends ใน AI”           คุณมนชญา รัชตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ดาโอ จำกัด หรือ บลจ.ดาโอ (DAOL INVESTMENT MANAGEMENT) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไต้หวันยังเติบโตได้ดี โดยธนาคารกลางไต้หวันคาดการณ์การเติบโตของ Real GDP ในปี 2024 อยู่ที่ 3.82% เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน และคาดการณ์ปี 2025 จะเติบโตที่ 3.08% ขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัว (GDP per Capita) ของไต้หวันมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และคาดว่าจะแซงหน้าญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ภายในปีนี้           ปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไต้หวัน จะมาจากการพัฒนาเทคโนโลยี AI ให้มีศักยภาพในการประมวลผลที่สูงขึ้น และการเติบโตอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่คาดว่า จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจาก 5.27 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2023 เป็นมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 โดยมีการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ 5-6% ซึ่งไต้หวันมีส่วนแบ่งตลาดระดับโลกในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ด้านการผลิตชิป (Foundry) อยู่สูงถึง 78%, และมากกว่า 50% ในด้านการบรรจุและทดสอบชิป (IC Packaging and Testing) และมากกว่า 20% ในด้านการออกแบบชิป (IC Design)           นอกจากนี้ ไต้หวันยังมีการลงทุนเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์มากกว่า 7.16 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนาความสามารถในการประมวลผลของชิปให้สูงขึ้น โดยโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็เป็นบริษัทของไต้หวันนั้น คือ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company Limited (TSMC) ผู้ผลิตชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์อันดับ 1 ของโลก และเป็นผู้นำตลาดด้านการผลิตชิปขั้นสูง โดยปัจจุบัน TSMC เป็นเพียงบริษัทเดียวของโลกที่สามารถผลิตชิปขนาดเล็กที่สุด 3 nm และยังมีแผนการพัฒนาที่จะผลิตชิป 2 nm ภายในปี 2025 ซึ่งจะทำให้มีความสามารถในการทิ้งห่างคู่แข่ง และยากที่จะเลียนแบบได้           นอกจากนั้น ไต้หวันยังมีบริษัทที่ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์  ซึ่งเป็นที่ต้องการในกลุ่มอุปกรณ์สมาร์ทโฟน และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ขณะที่เทรนด์ของเทคโนโลยี อย่างช่น Internet of Things ,5G , AI และรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) จะยังคงสนับสนุนแนวโน้มการเติบโตนี้ต่อไป           ด้านภาคการส่งออกของไต้หวัน ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ไอที ยังเป็นสินค้าส่งออกหลัก ซึ่งกว่า 40% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด เป็นสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ที่ไต้หวันส่งออกให้คู่ค้าหลักอย่างจีน สหรัฐอเมริกา และประเทศในกลุ่มอาเซียน ส่งผลบวกต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกในระยะยาว และส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไต้หวัน           ด้วยเศรษฐกิจไต้หวันที่ยังมีความสามารถในเติบโตสนับสนุนให้ตลาดหุ้นไต้หวันมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ดัชนี TWSE มีผลกำไรที่โดดเด่นถึง 35% แซงหน้าตลาดหุ้นหลักในเอเชียทั้งหมด และทำผลงานได้ดีกว่า S&P500 และ Nasdaq 100 ของสหรัฐฯ ในช่วงเวลาเดียวกัน           บลจ.ดาโอ มองเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนในตลาดหุ้นไต้หวัน จึงขอแนะนำ กองทุนเปิด ดาโอ ไต้หวัน อิควิตี้ (DAOL-TAIWANEQ) เปิดเสนอขายวันที่ วันที่ 14-20 พฤศจิกายน 2567 (ความเสี่ยงระดับ 6 : ความเสี่ยงสูง) ลงทุนตรงผ่าน iShares MSCI Taiwan ETF (EWT US) ซึ่งเป็น ETF บนตลาด NYSE ARCA ที่บริหารโดย BlackRock, Inc. บริษัทจัดการการลงทุนที่ใหญ่สุดในโลกและเป็นผู้นำในตลาด ETF มายาวนานกว่า 20 ปี กองทุนมีการลงทุนตามดัชนี MSCI Taiwan 25/50 ในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลางหลากหลายกลุ่มธุรกิจตามการเติบโตของเศรษฐกิจไต้หวัน รายชื่อหุ้นบริษัทชั้นนำที่ลงทุน 1.)TAIWAN SEMICONDUCTOR MANUFACTURING 2.)HON HAI PRECISION INDUSTRY LTD 3.)MEDIATEK INC 4.)FUBON FINANCIAL HOLDING LTD 5.)QUANTA COMPUTER INC 6.)DELTA ELECTRONICS INC 7.)CTBC FINANCIAL HOLDING LTD 8.)CATHAY FINANCIAL HOLDING LTD 9.)UNITED MICRO ELECTRONICS CORP 10.)ASE TECHNOLOGY HOLDING LTD           “ด้วยกลยุทธ์แบบ Full Replication เพื่อให้พอร์ตลงทุนออกมาใกล้เคียงกับดัชนีที่สุด ทำให้กองทุน iShares MSCI Taiwan ETF ทำผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 36.51% ย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 5.87% ย้อนหลัง 5 ปีอยู่ที่ 16.36% และย้อนหลัง 10 ปีอยู่ที่ 11.19% (ข้อมูล BlackRock ณ วันที่ 30 กันยายน 2567)”           ปัจจุบันราคาของตลาดหุ้นไต้หวันมีความน่าสนใจ ด้วย Forward PE ของตลาดไต้หวันอยู่ที่ระดับ 17 เท่า ถูกกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ และอินเดีย ขณะที่กำไรปี 2024 และ 2025 มีแนวโน้มเติบโตดี จากเศรษฐกิจไต้หวันที่ได้แรงหนุนจากอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งคาดว่า จะเติบโตมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030 ‘กองทุนเปิด ดาโอ ไต้หวัน อิควิตี้’ จึงเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนที่เป็น Mega Trends ใน AI ซึ่งเป็นห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ ที่มีส่วนแบ่งการตลาดกว่า 90% ในชิปขั้นสูง” คุณมนชญา กล่าว           สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมพร้อมรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนดาโอ จำกัด (บลจ.ดาโอ) โทรศัพท์ 02-351-1800 กด 2 หรือผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อหน่วยลงทุน ของ บลจ. ดาโอ  คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต เนื่องจากกองทุนมีการลงทุนในต่างประเทศและไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน โดยป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้  ที่มา Asian Development Outlook (ADO) September 2024 IMF as of August 2024 WSTS (Historical and 2024 Forecast Data), A&M (Projection), as of September 2024 Chip shortages: a 5nm European fab is not the answer’, Yole Group, as of September 2024 Taiwan International Trade Administration, as of September 2024 Bloomberg, as of 15 August 2024 [PR News]

บลจ.กรุงศรี รุกตลาด RMF เสิร์ฟ 4 กองทุนใหม่

บลจ.กรุงศรี รุกตลาด RMF เสิร์ฟ 4 กองทุนใหม่

          บลจ.กรุงศรี ประกาศเปิดตัว 4 กองทุน RMF เน้นลงทุนต่างประเทศ ครอบคลุมทั้งตราสารหนี้ หุ้นดัชนี และหุ้นชั้นนำระดับโลก เพิ่มโอกาสเติบโตของพอร์ตในระยะยาวพร้อมรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เสนอขายครั้งแรก วันที่ 15 - 22 ต.ค. นี้ ลงทุนขั้นต่ำ 500 บาท           นางสุภาพร ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด (บลจ.กรุงศรี) เปิดเผยว่า “บริษัทเปิดเสนอขายกองทุน RMF ใหม่ 4 กองทุน  ซึ่งคัดสรรมาจากธีมการลงทุนที่มีโอกาสเติบโตสูง รับดอกเบี้ยขาลง และจัดการความผันผวนได้ดี ได้แก่ กองทุน KFSINCFXRMF, KFWINDXRMF, KFGLOBALRMF และ KFGLOBFXRMF เพื่อเพิ่มทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการลดความเสี่ยงให้กับพอร์ต และผู้ที่เน้นโอกาสรับผลตอบแทนสูงจากหุ้นชั้นนำทั่วโลก ไปพร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษี” โดยทั้ง 4 กองทุน มีรายละเอียดและความน่าสนใจ ดังนี้           - กองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลสมาร์ทอินคัมเอฟเอ็กซ์เพื่อการเลี้ยงชีพ (KFSINCFXRMF): มีนโยบายลงทุนในกองทุนหลัก PIMCO GIS Income Fund กระจายการลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลกทั้งภาครัฐและเอกชน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นคง ไม่ต้องการเสี่ยงสูง โดยกองทุนหลักได้รับ Morningstar Rating 5 ดาว (ที่มา Morningstar Rating จาก PIMCO ณ 31 ก.ค. 67 ผลการดำเนินงานอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต / รางวัลและการจัดอันดับดังกล่าว ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการจัดอันดับของสมาคมบริษัทจัดการลงทุนแต่อย่างใด)           - กองทุนเปิดกรุงศรีเวิลด์อิควิตี้อินเด็กซ์เพื่อการเลี้ยงชีพ (KFWINDXRMF): มีนโยบายลงทุนในกองทุนหลัก iShares MSCI ACWI ETF ที่อ้างอิงดัชนี MSCI ACWI  ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกกว่า 1.88 หมื่นล้านเหรียญ กระจายการลงทุนในหุ้นทั่วโลกกว่า 2,000 บริษัท ทั้งในตลาดพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการโอกาสจากการเติบโตของดัชนีหุ้นโลก           - กองทุนเปิดกรุงศรี Global Unconstrained Equity เพื่อการเลี้ยงชีพ (KFGLOBALRMF) และ กองทุนเปิดกรุงศรี Global Unconstrained Equity FX เพื่อการเลี้ยงชีพ (KFGLOBFXRMF) : ทั้งสองกองทุนมีนโยบายลงทุนในกองทุนหลัก BlackRock Global Unconstrained Equity Fund ซึ่งได้รับ Morningstar Rating 5 ดาว (ที่มา Morningstar rating จาก BlackRock ณ 31 ส.ค. 67 ผลการดำเนินงานอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต / รางวัลและการจัดอันดับดังกล่าว ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการจัดอันดับของสมาคมบริษัทจัดการลงทุนแต่อย่างใด) กองทุนหลักมุ่งเน้นการคัดเลือกหุ้นคุณภาพจากทั่วโลก โดยไม่จำกัดประเภทหุ้น อุตสาหกรรม หรือดัชนีชี้วัด เพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี บนระดับความผันผวนที่ไม่มากจนเกินไปทั้งในวัฏจักรเศรษฐกิจขาขึ้นและขาลง           โดยกองทุนหลักจะแบ่งสัดส่วนโดยประมาณ 50% ของพอร์ต ลงทุนในธุรกิจที่มีความทนทานต่อวัฏจักรเศรษฐกิจ เพื่อสร้างเกราะป้องกันในช่วงเศรษฐกิจขาลง ส่วนที่เหลือกระจายการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตสูง โดยมุ่งเน้น 3 ธีมหลัก ได้แก่ 1) บริษัทที่มีแบรนด์แข็งแกร่งและเป็นผู้นำตลาด 2) บริษัทมีเทคโนโลยี หรือนวัตกรรมที่น่าสนใจ 3) บริษัทมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว           ทั้งนี้ พอร์ตการลงทุนของกองทุนหลัก เน้นการลงทุนในประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรป           ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.กรุงศรี โทร. 02-657-5757 หรือ ติดต่อธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา           หมายเหตุ : ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน *** ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับกองทุน RMF ลงทุนเพื่อเกษียณอายุ ผู้ถือหน่วยลงทุนจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี หากไม่ปฎิบัติตามเงื่อนไขการลงทุน การจัดอันดับจาก Morningstar ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการจัดอันดับของ AIMC KFSINCFXRMF มีนโยบายลงทุนในPIMCO GIS Income Fund (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ความเสี่ยงระดับ 5 – เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง กองทุนป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจผู้จัดการกองทุน จึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ KFWINDXRMF) มีนโยบายลงทุนในกองทุนหลัก iShares MSCI ACWI ETF (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ความเสี่ยงระดับ 6: เสี่ยงสูง กองทุนป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจผู้จัดการกองทุน จึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ KFGLOBALRMF และ KFGLOBFXRMF มีนโยบายลงทุนใน BlackRock Global Unconstrained Equity Fund (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ความเสี่ยงระดับ 6 – เสี่ยงสูง KFGLOBALRMF ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน จึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ KFGLOBFXRMF ไม่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน จึงมีความเสี่ยงสูงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

[PR News] บลจ.เกียรตินาคินภัทร เปิดตัวกองทุน KKP SIB-H และ KKP SIB-UH

[PR News] บลจ.เกียรตินาคินภัทร เปิดตัวกองทุน KKP SIB-H และ KKP SIB-UH

          บลจ.เกียรตินาคินภัทร เปิดตัวกองทุน KKP SIB-H และ KKP SIB-UH ขยายโอกาสสร้างผลตอบแทนให้พอร์ตกับตราสารหนี้ต่างประเทศ ที่เน้นลงทุนในสหรัฐ เสนอขายครั้งแรก (IPO) วันที่ 8 – 16 ตุลาคมนี้           บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เกียรตินาคินภัทร จำกัด (บลจ.เกียรตินาคินภัทร) มองเห็นโอกาสการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่ดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง ช่วยในการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนให้กับพอร์ตการลงทุน จึงเปิดเสนอขาย 2 กองทุนใหม่ล่าสุด ได้แก่ กองทุนเปิดเคเคพี สตราทิจิค อินคัม บอนด์ เฮดจ์ (KKP SIB-H) และกองทุนเปิดเคเคพี สตราทิจิค อินคัม บอนด์ อันเฮดจ์ (KKP SIB-UH) ที่เน้นลงทุนในกองทุนหลัก Neuberger Berman Strategic Income Fund ซึ่งมุ่งเน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทหรือรัฐบาลของสหรัฐอเมริกา ด้วยกลยุทธ์การบริหารกองทุนแบบเชิงรุก (Active Management) โดยเปิดเสนอขายทั้งประเภทป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเกือบทั้งหมด (HEDGED) และไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (UNHEDGED) เพื่อเป็นทางเลือกให้นักลงทุน ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท กำหนดการเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 8 – 16 ตุลาคม 2567           นายยุทธพล ลาภละมูล กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า แม้ FED จะเริ่มวัฎจักรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้ว แต่การปรับลดคาดว่าจะเป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยประมาณการอัตราดอกเบี้ยของ FED (FED Dot Plot) ชี้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ในช่วง 4.25%-4.5% ในสิ้นปีนี้และช่วง 3.25%-3.5% ในปีหน้า ตามคาดการณ์เศรษฐกิจเติบโตลดลงแต่ไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย (Soft landing) ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปีในปัจจุบันที่ 3.74% เป็นระดับที่ไม่ต่ำเกินไป ทำให้มองว่าการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ต่างประเทศมีความน่าสนใจทั้งในเรื่องอัตราดอกเบี้ยจากการลงทุนและการกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุนในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว บลจ.เกียรตินาคินภัทร จึงได้นำเสนอกองทุน KKP SIB-H และ KKP SIB-UH แก่นักลงทุนไทยเพื่อเป็นทางเลือกการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ           สำหรับ กองทุน KKP SIB-H และ KKP SIB-UH ระดับความเสี่ยง 5 (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง) เป็นกองทุนรวมหน่วยลงทุนประเภท Feeder Fund มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนหลัก Neuberger Berman Strategic Income Fund ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม โดยกองทุนหลักจะลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทหรือรัฐบาล ในสหรัฐอเมริกา รวมถึงตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทหรือรัฐบาลนอกสหรัฐอเมริกา ความน่าสนใจของกองทุนหลักคือ เป็นกองทุน Multi-Sector Bond ที่ลงทุนได้แบบยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนอายุเฉลี่ยของตราสารและอุตสาหกรรมได้ตามสภาวะเศรษฐกิจ ทำให้สามารถลงทุนในตราสารหนี้ได้หลากหลายประเภท รวมถึงมีทีมผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์ยาวนานเฉลี่ยกว่า 25 ปี           กองทุน KKP SIB-H จะทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อลดความเสี่ยง (Hedging) ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ ส่วนกองทุน KKP SIB-UH จะไม่ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อลดความเสี่ยง (Hedging) ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ           สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจสามารถขอรับหนังสือชี้ชวนและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02 305 9559 หรือ ธนาคารเกียรตินาคินภัทรทุกสาขา หรือ https://am.kkpfg.com หรือผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนที่ได้รับการแต่งตั้ง ข้อมูลกองทุน KKP SIB-H และ KKP SIB-UH : เปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ระหว่าง วันที่ 8-16 ตุลาคม 2567 มูลค่าขั้นต่ำในการซื้อครั้งแรก 1,000 บาท ครั้งถัดไป 1,000 บาท คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน กองทุน KKP SIB-H จะทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเกือบทั้งหมด (ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ) กองทุนจึงอาจมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนในส่วนที่ไม่ได้ทำการป้องกันความเสี่ยงไว้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนได้รับผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ กองทุน KKP SIB-UH จะไม่ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อลดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ดังนั้น กองทุนจึงมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนได้รับผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ โปรดศึกษาคำเตือนที่สำคัญอื่นและข้อมูลเพิ่มเติมได้ในหนังสือชี้ชวนส่วนข้อมูลกองทุนรวม https://am.kkpfg.com หรือผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนที่ได้รับการแต่งตั้ง

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต