ทิสโก้ชู 3 กองทุน ES-GINCOME, KFGPROP, TGOLD เด่น

           หุ้นวิชั่น – 9 ม.ค. 68 – ธนาคารทิสโก้เคาะ 3 กองทุน สร้างโอกาสปกป้องความเสี่ยงจากนโยบายทรัมป์ (Asset Shield) ได้แก่  กองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Income (ES-GINCOME) ลงทุนในตราสารหนี้ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลก กองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลพร็อพเพอร์ตี้ (KFGPROP) ลงทุนในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) โลก และกองทุนเปิด ทิสโก้ โกลด์ ฟันด์ (TGOLD) เน้นลงทุนในทองคำแท่ง คาดตราสารหนี้ระยะสั้นถึงระยะกลาง และ REITs โลกได้รับประโยชน์จากช่วงดอกเบี้ยขาลง และราคาทองคำแท่งอาจปรับขึ้นช่วงหนี้สาธารณะสหรัฐฯ พุ่ง  

           นางวรสินี เศรษฐบุตร ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์กองทุน และสื่อสารการตลาด สายธุรกิจธนบดี ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2568 สำหรับลูกค้าที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่ช่วยปกป้องความผันผวนจากนโยบายนายโดนัล ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ (Asset Shield) พร้อมทั้งเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ธนาคารทิสโก้แนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นถึงระยะกลาง ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ระดับโลก และทองคำ โดยมี 3 กองทุนรวมที่แนะนำ ดังนี้ 1. กองทุน ES-GINCOME เน้นลงทุนในตราสารหนี้ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลก  2. กองทุน KFGPROP ลงทุนใน REITs และอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก และ 3. กองทุน TGOLD ลงทุนในกองทุน SPDR Gold Trust (กองทุนหลัก) ซึ่งมีนโยบายเน้นลงทุนในทองคำแท่ง

สำหรับรายละเอียดของ 3 กองทุนในธีม Asset Shield ที่ธนาคารทิสโก้แนะนำ มีดังนี้

  1. กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นถึงระยะกลาง แนะนำลงทุนในกองทุน ES-GINCOME

           กองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Income (ES-GINCOME) ความเสี่ยงระดับ 5 (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง) เน้นลงทุนในกองทุน PIMCO GIS Income Fund ซึ่งลงทุนในตราสารหนี้ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลกอย่างน้อย 2 ใน 3 ของมูลค่าทรัพย์สิน กองทุนหลักอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ทำให้ผู้จัดการกองทุนสามารถบริหารพอร์ตให้เข้ากับสภาวะตลาดได้ดี ซึ่งข้อมูลจาก PIMCO GIS Income Fund  ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 ระบุว่าในช่วงนี้กองทุนหลักลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ย 4.09 ปี ซึ่งนับเป็นตราสารหนี้ระยะสั้นถึงระยะกลาง ทำให้มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าตราสารหนี้ระยะยาว นอกจากนี้ในส่วนของการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนผู้จัดการกองทุนจะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับ AA- ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ออกหุ้นกู้อีกด้วย

           “ตราสารหนี้ระยะสั้นถึงระยะกลาง เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากนโยบายอัตราดอกเบี้ยขาลง  โดยข้อมูลจาก TISCO Wealth Advisory ระบุว่าในปี 2568 ตราสารหนี้ระยะสั้นถึงระยะกลาง มีโอกาสสร้างผลตอบแทนรวมกว่า 5% ในขณะที่การลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวอาจจะได้ผลตอบแทนรวมเพียง 4.5% เท่านั้น เนื่องจากคาดว่าเส้นแสดงอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ในแต่ละช่วงอายุ (Yield Curve) จะมีความชันมากขึ้น เพราะอัตราผลตอบแทนหรือ Yield ของตราสารหนี้ระยะสั้นถึงระยะกลางจะปรับลดลงตามนโยบายการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ที่เราคาดว่าจะลดลงจาก 4.25 – 4.50% เหลือ 3.75-4.00% ณ สิ้นปี 2568  ในขณะที่อัตราผลตอบแทนหรือ Yield ของตราสารหนี้ระยะยาวจะปรับลดลงมาด้วยแต่จะลดลงในอัตราที่น้อยกว่าอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ระยะสั้นถึงระยะกลาง เพราะคาดว่าอัตราเงินเฟ้ออาจจะเร่งตัวเพิ่มขึ้นจากนโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้า (Tariffs) ของทรัมป์ ซึ่งจะทำให้อัตราผลตอบแทนของตัวยาวลดลงไม่ได้มากนัก ดังนั้น การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นถึงระยะกลางจึงมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างของราคา (Capital gains) มากกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว” นางวรสินีกล่าว

  1. ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) โลก แนะนำลงทุนในกองทุน KFGPROP 

           กองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลพร็อพเพอร์ตี้ (KFGPROP) ความเสี่ยงระดับ 7 (เสี่ยงสูง) ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศชื่อ Janus Henderson-Global Real Estate EquityIncome Fund (กองทุนหลัก) เน้นการลงทุนทั่วโลกในหุ้นของบริษัทที่ประกอบธุรกิจหรือเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ หรือบริษัทที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ จะลงทุนใน REITs ซึ่งลงทุนในอาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า อพาร์ทเมนต์ เป็นต้น กองทุนนี้โดดเด่นตรงที่กองทุนหลักมีกระบวนการลงทุนยืดหยุ่นและแตกต่าง ทีมผู้จัดการกองทุนมีประสบการณ์ยาวนานมีมุมมองการลงทุนเชิงลึกเพื่อเฟ้นหาแนวทางการลงทุนที่ดีที่สุดในแต่ละสภาวะตลาด

           “Global REITs จะมีต้นทุนการกู้ยืมที่ลดลงจากอัตราดอกเบี้ยขาลง ส่งผลให้มีกำไรจากการดำเนินงานมากขึ้น โดยข้อมูลจาก Bloomberg คาดว่าในปี 2568 อัตราการเติบโตของกำไรกลุ่ม Global REITs จะเติบโต 4.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนถือว่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจ นอกจากนี้ ในปี 2560 – 2562 ซึ่งเป็นช่วงทรัมป์เดินหน้าสงครามการค้า ราคา Global REITs ยังปรับตัวเพิ่มขึ้น 24%” นางวรสินีกล่าว

  1. ทองคำ แนะนำลงทุนในกองทุน TGOLD

           กองทุนเปิด ทิสโก้ โกลด์ ฟันด์ (TGOLD) ความเสี่ยงระดับ 8 (เสี่ยงสูงมาก) ลงทุนในกองทุน SPDR Gold Trust (กองทุนหลัก) ซึ่งมีนโยบายเน้นลงทุนในทองคำแท่ง จัดตั้งและจัดการโดย World Gold Trust Services, LLC โดยกองทุน SPDR เป็นกองทุน ETF ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำ  จุดเด่นของกองทุนนี้คือ การนำเงินที่ได้จากการขายหน่วยลงทุนไปซื้อทองคำแท่งเพียงอย่างเดียว  ไม่มีการนำไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ หรือใช้ตราสารอนุพันธ์ใดๆ  ผลตอบแทนที่ได้จึงมาจากการลงทุนในทองคำ 100% มีสภาพคล่องสูงซื้อขายง่าย และมีราคาใกล้เคียงกับราคาทองคำแท่งในตลาดโลก  ผู้ลงทุนจึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับการลงทุนในทองคำแท่งอ้างอิงกับราคาทองคำแท่งใน LBMA หรือสมาคมตลาดทองคำแห่งลอนดอน

           “ในช่วงสมัยแรกที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีและดำเนินนโยบายต่างๆ ทำให้สหรัฐฯ มีหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นถึง 39% ซึ่งในระยะเวลาดังกล่าวราคาทองคำปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นถึง 53% ดังนั้น จึงมองว่าในช่วงทรัมป์ 2.0 ซึ่งทรัมป์อาจดำเนินนโยบายต่างๆ ซึ่งจะส่งผลให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น จึงมีโอกาสที่ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต” นางวรสินีกล่าว

           อย่างไรก็ตาม กองทุน KFGPROP ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก นอกจากนี้ กองทุน ES-GINCOME KFGPROP  และ TGOLD  ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน ติดต่อสอบถามรายละเอียด หรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือ TISCO Contact Center โทร. 02-633-6000 กด 2 กด 4

[PR News]

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.50-34.70 บาท/ดอลลาร์

คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.50-34.70 บาท/ดอลลาร์

[Vision Exclusive] ปีของการลงทุนทอง Q2 แตะ 3พันดอลลาร์

[Vision Exclusive] ปีของการลงทุนทอง Q2 แตะ 3พันดอลลาร์

คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.50-34.70 บาท/ดอลลาร์

คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.50-34.70 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทวันนี้ เคลื่อนไหวในกรอบ 34.40-34.60 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทวันนี้ เคลื่อนไหวในกรอบ 34.40-34.60 บาท/ดอลลาร์

ข่าวล่าสุด

ทั้งหมด