หุ้นวิชั่น – GULF โฉมใหม่พร้อมกลับมาเทรดวันนี้ (3 เมษายน 68) ก้าวสู่การเป็นบริษัทพลังงานและโครงสร้างพื้นฐาน ฐานเงินทุนแข็งแกร่ง ลุยพลังงานทดแทน โอกาสเห็นการ Synnery ธุรกิจกับ ADVANC โบรกประเมิน มูลค่าสินทรัพย์รวมทั้งหมดของ GULF (NewCo) จะอยู่ที่ประมาณ 730,000 ล้านบาท คาดว่าหุ้น GULF (NewCo) จะเปิดการซื้อขายที่ราว 48.0 บาทต่อหุ้น เปรียบเทียบกับราคาเป้าหมายที่ 56.5 บาทต่อหุ้น จะมี Upside ประมาณ 17%
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมกลับมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 3 เมษายน 2568 หลังจากการควบรวมกิจการระหว่างบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เสร็จสิ้น โดยใช้ชื่อย่อหุ้นในการซื้อขายว่า “GULF” ดังเดิม ภายหลังการควบรวมกิจการ GULF จะก้าวสู่การเป็นบริษัทพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานระดับภูมิภาค พร้อมศักยภาพในการขยายโอกาสการลงทุนสู่ภาคธุรกิจที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจพลังงานและธุรกิจดิจิทัล ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
นอกจากนี้ยังมีฐานทุน กระแสเงินสดในมือที่แข็งแกร่ง ทำให้มีความพร้อมในการขยายธุรกิจและเดินหน้าในส่วนของพลังงานสะอาด อีกทังล่าสุด ได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรจาก “A+” เป็น “AA-” โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด (TRIS) พร้อมเพิ่มอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทฯ เป็น “AA-” จาก “A” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” การปรับเพิ่มอันดับเครดิตครั้งนี้สะท้อนถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นของ GULF ภายหลังการควบรวมกิจการกับบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (INTUCH) ตลอดจนกระแสเงินสดที่มั่นคง การกระจายการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการได้รับเงินปันผลที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (ADVANC) นอกจากนี้ การควบรวมกิจการยังช่วยลดความซับซ้อนในการดำเนินงาน
นอกจากนี้ หลังจากการควบรวมกิจการ อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) ของบริษัทใหม่จะลดลง และยังมีโอกาสเห็นการ Synnery ธุรกิจกับ ADVANC รวมไปถึงการธุรกิจดิจิทัลด้วย
ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุถึง GULF ว่า หลังการควบรวมกิจการ คาดว่ามูลค่าสินทรัพย์รวมทั้งหมดของ GULF (NewCo) จะอยู่ที่ประมาณ 730,000 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (IBD/E) ลดลงเหลือเพียง 0.7 เท่า ซึ่งจะเปิดโอกาสให้บริษัทสามารถกู้ยืมเพิ่มเติมได้อีกราว 300,000 ล้านบาททั้งนี้ ปัจจุบันยังมีโครงการที่มีศักยภาพ (Potential Projects) ซึ่งยังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการของเรา โดยเฉพาะการลงทุนเพิ่มเติมในพลังงานหมุนเวียน ที่สามารถใช้วงเงินกู้ที่เกิดจาก Debt Headroom ดังกล่าวในการดำเนินการ
ได้ทำการวิเคราะห์ความอ่อนไหว (Sensitivity Analysis) โดยสมมุติว่า หากเงินลงทุนดังกล่าวถูกนำไปใช้กับโครงการพลังงานหมุนเวียน ไม่ว่าจะเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ หรือพลังงานลม จะสามารถสร้างกำไรส่วนเพิ่มในช่วงประมาณ 9,000 – 17,000 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าต่อหุ้นในช่วง 7.6 – 13.4 บาท (ตามวิธี DCF ที่ใช้ WACC 5%) ซึ่งจะเป็น Upside ต่อประมาณการปี 2569 (26F) ประมาณ 34 – 64%
กำหนดราคาเป้าหมายของหุ้น GULF (NewCo) ที่ระดับ 56.5 บาทต่อหุ้น โดยใช้วิธีการประเมินมูลค่าแบบ SOTP (Sum-of-the-Parts) สำหรับประมาณการปี 2025F ซึ่งแบ่งออกเป็น:
1. มูลค่าธุรกิจพลังงาน คิดเป็น 25.0 บาทต่อหุ้น (ประเมินด้วยวิธี DCF โดยใช้ WACC 5% และอัตราการเติบโตต่อเนื่อง [Terminal Growth] เท่ากับ 0%)
2. ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน ให้มูลค่า 4.5 บาทต่อหุ้น
3. ธุรกิจสื่อสารและดิจิทัล ให้มูลค่ารวม 27.1 บาทต่อหุ้น แบ่งเป็น:
• มูลค่าตามสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ที่สัดส่วน 40.4% คิดเป็นมูลค่า 25.0 บาท
• มูลค่าตามสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM ที่สัดส่วน 41.14% คิดเป็น 0.4 บาท
• มูลค่าของธุรกิจ Data Center และธุรกิจอื่น ๆ อีก 1.7 บาทต่อหุ้น
เมื่ออ้างอิงราคาปิด ณ วันที่ 20 มีนาคม 2568 ของ GULF ที่ 49.75 บาท และ INTUCH ที่ 81.50 บาท และเทียบกับอัตราส่วนการแลกหุ้น (Swap Ratio) คาดว่าหุ้น GULF (NewCo) จะเปิดการซื้อขายที่ราว 48.0 บาทต่อหุ้น ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไร (PER) ปี 2025F ที่ประมาณ 28 เท่า
หากนำมาเปรียบเทียบกับราคาเป้าหมายของเราที่ 56.5 บาทต่อหุ้น จะมี Upside ประมาณ 17% ซึ่งสะท้อน PER ปี 2025F ที่ประมาณ 33 เท่า เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” (Buy)
นอกจากนี้ คาดกำไรปกติปี 25-27F ของ GULF (NewCo) ทำจุดสูงสุดต่อเนื่องที่ 2.6 หมื่นลบ. บนการเติบโตเฉลี่ย 18% CAGR โดยมีกำไรเติบโต 43% ในปี 2025F, 6% ในปี 2026F และ 7% ในปี 2027F ซึ่งปัจจัยหลักมาจาก
i) การรับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรจาก Equity MW ของโรงไฟฟ้าใหม่ที่กำลังทยอย COD (Equity MW ได้แก่ HKP IPP 755 MW, BPG IPP 210 MW, และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 1,570 MW) ii) การเติบโตของส่วนแบ่งกำไรจาก ADVANC ราว 5% ต่อปี iii) คาดอัตรากำไรขั้นต้นเริ่มปรับตัวดีขึ้นจากต้นทุนเชื้อเพลิงก๊าซลดลงในปี 26-27F ไปอยู่ที่บริเวณ 302 และ 281 บาทต่อ MMBTU (เทียบกับสมมติฐานปี 25F ที่ 330 บาทต่อ MMBTU) โดยบนประมาณการปัจจุบัน เรายังไม่รวม Upside จาก Potential Project หลังการควบรวมกิจการ