นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต CEO ไทยออยล์ เผยแนวโน้มธุรกิจโรงกลั่นในไตรมาส 4 มีสัญญาณฟื้นตัวจากความต้องการน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในฤดูหนาวและการท่องเที่ยวที่เติบโต น้ำมันอากาศยานดีขึ้น เตรียมแผนเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจพลังงานสะอาดและโอกาสในธุรกิจใหม่
นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า สำหรับภาพรวมธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันในไตรมาสที่ 4 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากไตรมาส 3/2567 โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันในช่วงฤดูหนาว รวมถึงการเติบโตของภาคการท่องเที่ยว ในขณะที่ปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปคงคลังปรับลดลงจากไตรมาสที่ 3 ส่งผลให้ส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยานกับราคาน้ำมันดิบดูไบมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น สำหรับปี 2568 ถึงแม้ว่าอุปสงค์น้ำมันสำเร็จรูปจะเพิ่มขึ้น แต่อุปทานจากโรงกลั่นน้ำมันใหม่ปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน ทั้งจากในประเทศจีน และเม็กซิโก ที่จะทยอยเปิดดำเนินการในปีนี้และปีหน้า ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าการกลั่นปรับเพิ่มขึ้นในระดับจำกัด
ในส่วนน้ำมันอากาศยานถือปรับตัวดีขึ้นเพราะยังมีกิจกรรมการบินอยู่ต่อเนื่อง แต่อาจจะยังไม่ถือว่ากลับมาในระดับปกติเพราะปริมาณเที่ยวบินก็ยังไม่กลับมาเทียบเท่าช่วงก่อนโควิด ทั้งนี้ปัจจุบัน ไทยออยล์ มีการผลิตน้ำมันอากาศยานกว่า 18%
อย่างไรก็ดี ไทยออยล์จะติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทาง การแข่งขันในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการเร่งรัดการก่อสร้างโครงการพลังงานสะอาดให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด ตลอดจนแสวงหาโอกาสในธุรกิจใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ Megatrends เพื่อมุ่งเติบโตเป็นองค์กร 100 ปี อย่างมั่นคง ภายใต้วิสัยทัศน์ สร้างสรรค์คุณภาพชีวิต ด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน
ส่วนไตรมาส 3/2567 กลุ่มไทยออยล์ขาดทุนสุทธิ 4,218 ล้านบาท สาเหตุจากส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลกับราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวลดลง เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันช่วงฤดูกาลขับขี่ในประเทศสหรัฐอเมริกา (สหรัฐฯ) ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ และมีอุปทานเพิ่มขึ้นจากโรงกลั่นน้ำมันใหม่ ทำให้ระดับน้ำมันสำเร็จรูปคงคลังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และประเทศจีนยังคงอ่อนแอ ในส่วนธุรกิจอะโรเมติกส์ปรับตัวลดลงเช่นกันจากส่วนต่างราคาสารพาราไซลีนกับน้ำมันเบนซิน 95 ที่ปรับลดลงจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจภายในประเทศจีนที่ยังคงเปราะบาง นอกจากนี้ ธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์ ทำความสะอาดปรับลดลงเล็กน้อยจากอุปสงค์ที่ถูกกดดันในช่วงฤดูมรสุมในประเทศอินเดีย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในขณะที่ธุรกิจผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานปรับตัวดีขึ้นจากต้นทุนราคาน้ำมันเตาที่ลดลง
ราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 3/2567 ปรับลดลงจากราคาเฉลี่ยในไตรมาส 2/2567 จากตัวเลขการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของประเทศจีนต่ำกว่าคาดการณ์ รวมถึงการหดตัวของภาคการผลิต (PMI) ในประเทศสหรัฐฯ และจีน ทำให้อุปสงค์น้ำมันโลกเติบโตในระดับจำกัด ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 5,380 ล้านบาท หรือ 5.4 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มรวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันลดลง 7.0 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลจากไตรมาส 2 ของปี 2567
ส่วนโครงการ CFP ปัจจุบันการดำเนินงานของโครงการ CFP ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยอุปกรณ์ เครื่องจักร โครงสร้างเหล็กขนาดใหญ่ที่สำคัญได้ถูกนำเข้ามาในพื้นที่ก่อสร้างเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการเร่งประกอบติดตั้งในแต่ละพื้นที่ นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เริ่มทดลองเดินเครื่องจักรของหน่วยกำจัดสารกำมะถันในน้ำมันดีเซลหน่วยใหม่ (Hydrodesulfurization; HDS-4) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งการดำเนินงานของหน่วย HDS-4 เร็วกว่าแผนงาน เพื่อรองรับการผลิตน้ำมันมาตรฐาน Euro 5 ที่มีผลบังคับใช้ทั่วประเทศในปี 2567 ในส่วนของหน่วยผลิตอื่นๆ อยู่ระหว่างเร่งดำเนินการเพื่อให้เริ่มทยอยทดลองเดินเครื่องจักรได้ต่อไป