บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) ดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องตามกลยุทธ์ความยั่งยืนและคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม โดยให้ความสำคัญทั้งในด้านของการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบ การบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบระมัดระวัง การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการดูแลส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีสู่สังคมผ่านโครงการต่างๆ เช่น การให้ความรู้ทางการเงิน การส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการพัฒนาศักยภาพพนักงานและสร้างองค์กรแห่งความสุข
บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทแม่ของกลุ่มธุรกิจทิสโก้ มีกำไรสุทธิจากผลการดำเนินงานเฉพาะกิจการสำหรับปี 2567 จำนวน 6,306.54 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากรายได้เงินปันผลและรายได้ค่าธรรมเนียมบริการแก่บริษัทลูกภายในกลุ่ม แต่เนื่องจากบริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) และไม่มีการประกอบธุรกิจหลักอื่นใด ดังนั้น ผลการดำเนินงานและฐานะการเงินที่ใช้ในการวิเคราะห์ จึงเป็นงบการเงินรวมของบริษัท ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มธุรกิจหลัก 2 กลุ่ม คือ กลุ่มธุรกิจธนาคารพาณิชย์และกลุ่มธุรกิจตลาดทุน
ผลการดำเนินงานรวมของบริษัท งวดปี 2567
กำไรสุทธิสำหรับผลประกอบการงวดปี 2567 ของบริษัทมีจำนวน 6,901.28 ล้านบาท ลดลงจำนวน 399.84 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.5 เมื่อเทียบกับปี 2566 สาเหตุหลักมาจากการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 0.6 ของยอดสินเชื่อเฉลี่ย ซึ่งเป็นไปตามแผนการเพิ่มสำรองเพื่อกลับสู่ระดับปกติ พร้อมทั้งเพื่อรองรับความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบาง สำหรับรายได้รวมจากการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นร้อยละ 2.3 โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิทรงตัวจากปีก่อนหน้าจากการบริหารผลตอบแทนของเงินให้สินเชื่อที่มีประสิทธิภาพ ชดเชยต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 29.4 ตามการปรับเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยเงินฝาก
ด้านรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยขยายตัวร้อยละ 8.4 ส่วนใหญ่มาจากผลกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน (FVTPL) ด้านธุรกิจหลัก ค่าธรรมเนียมรวมของธุรกิจจัดการกองทุนเติบโตร้อยละ 5.5 จากการขยายตัวของธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ รวมถึงการรับรู้ค่าธรรมเนียมตามผลประกอบการ (Performance Fee) ในช่วงสิ้นปี นอกจากนี้ บริษัทมีรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจวาณิชธนกิจเพิ่มขึ้นจากการเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ครั้งแรก (IPO) อย่างไรก็ตาม ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ได้รับผลกระทบจากยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ลดลงอย่างมาก ส่งผลให้พอร์ตสินเชื่อปรับลดลง พร้อมกับรายได้ค่าธรรมเนียมนายหน้าประกันภัยอ่อนตัวลง ส่วนค่าธรรมเนียมธุรกิจหลักทรัพย์ชะลอตัว เป็นไปตามภาวะตลาดทุนที่ผันผวนและปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ซบเซา
กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน (Basic earnings per share) สำหรับงวดปี 2567 เท่ากับ 8.62 บาทต่อหุ้น ลดลงจาก 9.12 บาทต่อหุ้นในงวดปี 2566 และบริษัทมีอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ROAE) ของปี 2567 อยู่ที่ร้อยละ 16.1